WarRoom - อาสาสมัครเตรียมการเฝ้าระวังประสานงานเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ปี 2013

13 ชายหาดสุดอเมซิ่งที่ได้ชื่อว่า “แปลกที่สุดในโลก”

นิตยสาร “ทราเวล แอนด์ ลีเชอร์ ” ฉบับเดือนมิถุนายน 2012 แนะนำ 13 ชายหาด “แปลกที่สุดในโลก” เอาใจนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์อันแปลกใหม่และอยากเห็นท้องทะเลในมุมมองที่แตกต่าง โดยชายหาดทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลงานสร้างสรรค์ของธรรมชาติทั้งสิ้น


พิงค์แซนด์ส บีช
เกาะฮาร์เบอร์ ประเทศบาฮามาส



แม้ฮาร์เบอร์จะเป็นเกาะเล็กๆ ที่มีความยาวเพียง 3.5 ไมล์ (5.6 ก.ม.) และกว้างเพียง 1.5 ไมล์ (2.4 ก.ม.) แต่เกาะแห่งนี้ก็ไม่ธรรมดาเพราะเป็นที่ตั้งของ “ชายหาดสีชมพู” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในชายหาดสวยที่สุดในทะเลแคริบเบียน ชายหาดสีชมพูที่ว่านี้ ทอดตัวเป็นแนวยาวบริเวณชายฝั่งด้านตะวันออกของเกาะ สาเหตุที่ทำให้ชายหาดมีสีชมพูเป็นเพราะมีเปลือกสีแดงของสัตว์น้ำเซลล์เดียวประเภทแพลงตอน (foraminifera) ทับถมปะปนอยู่กับทรายสีขาวนั่นเอง






ปาปาโกเลีย บีช
ฮาวาย สหรัฐอเมริกา




ชายหาดแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม “หาดทรายสีเขียว” เพราะบริเวณชายหาดเต็มไปด้วยผลึกแร่โอลิวีนสีเขียวมะกอกที่ไหลลงมา (พร้อมลาวา) จากกรวยกรวดภูเขาไฟ “ปูมาฮาน่า” เหนือชายหาด ซึ่งการเดินทางไปเที่ยวชมต้องใช้ความอดทนและความพยายามเป็นอย่างมาก เพราะต้องเดิน (หรือนั่งรถโฟร์วีล) ลัดเลาะไปตามหน้าผาที่ค่อนข้างร้อนเป็นระยะทางกว่า 4 ก.ม. จากนั้นก็ไต่ลงไปทางด้านล่าง จึงจะได้ชื่นชมความงามของชายหาด







หาดเจนิปาบู
เมืองนาตาล รัฐรีโอกรันดีโดนอร์เต ประเทศบราซิล




ชายหาดแห่งนี้ถูกโอบล้อมด้วยเนินทรายขนาดใหญ่ยักษ์แทนที่จะเป็นหาดทรายราบเรียบเหมือนชายหาดทั่วไป นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือนชายหาดแห่งนี้จึงได้เที่ยวแบบทูอินวัน เพราะถ้าหันหลังให้ทะเลก็จะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ท่ามกลางทะเลทรายในแถบตะวันออกกลาง แต่พอหันกลับมาอีกด้านก็จะพบกับความงามของมหาสมุทรแอตแลนติก แถมที่นี่ยังมีกิจกรรมสุดท้าทายให้ทำหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถบั๊กกี้ตะลุยเนินทราย การขี่อูฐ หรือเล่นแซนด์บอร์ด เป็นต้น







หาดธันเดอร์ โคฟ
รัฐปรินซ์เอ็ดเวิร์ด ไอส์แลนด์ ประเทศแคนาดา




ปรินซ์เอ็ดเวิร์ด ไอส์แลนด์ เป็นเกาะที่มีแนวชายหาดยาวรวมกันมากกว่า 500 ไมล์ (805 ก.ม.) และชายหาดครึ่งหนึ่งของที่นี่ล้วนมีทรายเป็นสีแดงเนื่องจากมีเหล็กออกไซด์เป็นส่วนประกอบในปริมาณสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณชายฝั่งทางตอนใต้ของเกาะ ซึ่งจะมีชายหาดลักษณะดังกล่าวหลายแห่ง จนถูกเรียกขานว่าเป็นฝั่ง “เรดแซนด์ส ชอร์” แต่ถ้าอยากไปเยี่ยมชมชายหาดสีแดงชื่อดัง “ธันเดอร์ โคฟ” ก็ต้องมุ่งหน้าไปทางตอนเหนือของฝั่ง “กรีนเกเบิลส์ ชอร์” ซึ่งมีชายหาดและหินทรายสีแดงเข้ม










75 ไมล์บีช
เกาะเฟรเซอร์ รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย



บริเวณชายฝั่งด้านทิศตะวันออกของเกาะเฟรเซอร์ มีชายหาดทอดตัวเป็นแนวยาว 75 ไมล์ (กว่า 120 ก.ม.) ซึ่งถ้ามองลงมาจากเครื่องบืนจะแลดูคล้ายถนนเรียบชายฝั่ง แต่ถึงไม่ใช่ก็เหมือนใช่ เพราะชายหาดที่ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็น “มรดกโลกทางธรรมชาติ” แห่งนี้ถูกใช้เป็นถนนสำหรับรถขับเคลื่อนสี่ล้อและรันเวย์ (ทางขึ้น-ลงเครื่องบิน) ในขณะเดียวกัน ถึงกระนั้นก็ยังมีพื้นที่ปลอดภัยไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ลงเล่นน้ำ อาบแดด และจุดที่นักท่องเที่ยวโปรดปรานสุดๆ ก็คือ “แชมเปญ พูลส์” ซึ่งมีลักษณะเป็นสระน้ำธรรมชาติที่ถูกรายล้อมด้วยโขดหิน นักท่องเที่ยวจึงลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัยแม้ว่าคลื่นในบริเวณดังกล่าวจะซัดค่อนข้างแรงก็ตาม









โบลเดอร์ส บีช
เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้




ชายหาดแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเทเบิ้ล เมาน์เท่น มีความโดดเด่นสะดุดตาตรงที่มีก้อนหินแกรนิตขนาดใหญ่ยักษ์ อายุราวๆ 540 ล้านปี ตั้งเรียงรายอยู่รอบบริเวณ นอกจากการลงเล่นน้ำและนอนอาบแดดริมชายหาดแล้ว ชายหาดแห่งนี้ยังเหมาะสำหรับคนรักสัตว์ เพราะที่นี่เป็นถิ่นอาศัยของนกเพนกวินแอฟริกันจำนวนกว่า 3 พันตัว นักท่องเที่ยวจึงสามารถเฝ้าดูพวกมันว่ายน้ำและอาบแดดบนชายหาดส่วนตัว (ของนกเพนกวิน) ได้ในระยะใกล้ เห็นรูปร่างหน้าตาน่ารักอย่างนี้ ขอบอกว่าพวกมันมีจะงอยปากที่แหลมคมมาก ทั้งยังดุอีกด้วย




​

Credit : Paow007

 

ฟ้าผ่าหัวยักษ์วัดอรุณฯหักไม่ใช่ลางร้าย

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2555 เวลา 13:29 น.


<!-- /.images-list-items -->
<!-- /.images-list-items -->
<!-- /.images-list-items -->
<!-- /.images-list-container -->
<!-- /.images-list-wrapper -->ฟ้าผ่าหัวยักษ์ วัดอรุณหัก “สุกุมล” รุดตรวจสอบ สั่งกรมศิลป์ เร่งซ่อมให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นต.ค. ชี้เป็นอุบติเหตุ ไม่ใช่ลางร้าย

<!-- /.content -->
<!-- /.content -->
<!-- /.content --><!-- /#featured-caption -->เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่วัดอรุณราชวราราม นางสุกุมล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม (วธ.) พร้อมด้วยนายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการบูรณะคอม้า ประกอบพระปรางค์บริวารที่โค่นลงมา ภายในพระปรางค์วัดอรุณฯ โดยนางสุกุมล กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมว่า ตนได้รับรายงานจากทางวัดอรุณฯ ว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดฝนตกหนักมีเหตุฟ้าผ่าลงมาที่ยอดพระปรางค์องค์เล็กด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้หัวยักษ์ที่ประดับอยู่ด้านบนหักหล่นลงมาเกิดความเสียหาย เบื้องต้นได้สั่งการให้กรมศิลปากรเร่งบูรณะอย่างเร่งด่วน คาดว่าภายในวันที่ 31 ต.ค.นี้จะแล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการบูรณะคอม้าพระปรางค์องค์เล็กที่เกิดหักหล่นลงมาก่อนหน้านี้นั้น ได้ดำเนินการบูรณะเสร็จแล้ว คาดว่า ในช่วงปลายเดือน ต.ค. นี้ กรมศิลปากรจะนำนั่งร้านออก เพื่อปรับภูมิทัศน์ให้สวยงามเช่นเดิม

นาง สุกุมล กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินการบูรณะวัดอรุณฯ นั้นได้ดำเนินการจัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยจะดำเนินการบูรณะตั้งแต่ปี 2556-2558 โดยในปีงบประมาณ 2556 นี้ สำนักโบราณคดี ได้ทำแผนเสนอของบประมาณกลาง 39.7 ล้านบาท เพื่อนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ในการบูรณะพระปรางค์องค์เล็ก จำนวน 2 องค์ และมณฑปรายอีก 2 องค์ ซึ่งทรุดโทรมมาก ส่วนของการบูรณะพระปรางค์ประธานหรือพระปรางค์องค์ใหญ่ และภูมิทัศน์โดยรอบ จะดำเนินการบูรณะตั้งแต่ปี 2557-2558 ใช้งบประมาณของกรมศิลปากรจำนวน 90.3 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 130 ล้านบาท

นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า จากการตรวจสอบการดำเนินการบูรณะคอม้าที่โค่นหักลงมาก่อนหน้านี้ พบว่า ได้บูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงนั่งร้าน ซึ่งทางคณะช่างจะดำเนินการถอดออกภายในสัปดาห์หน้า เนื่องจากจะมีพิธีซ้อมใหญ่พระราชพิธีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ส่วนที่มีหัวยักษ์หักลงมาอีก คิดว่าเป็นเรื่องอุบัติเหตุ ไม่อยากให้คิดเป็นเหตุการณ์ไม่ดีหรือลางร้าย ที่สำคัญยังถือว่าโชคดีที่อุบัติเหตุดังกล่าวไม่กระทบกับประชาชน หรือนักท่องเที่ยว เพราะจะเกิดความสูญเสียถึงชีวิตอย่างแน่นนอน ทั้งนี้ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการการโยงสายล่อฟ้าให้นำลงดินให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์น่าตกใจเช่นนี้ขึ้นอีก

ด้าน นายธราพงศ์ ศรีสุชาติ ผอ.สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร กล่าวว่า สาเหตุของการที่หัวยักษ์หล่นลงมา เนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝนตกหนัก จึงทำให้กระแสไฟวิ่งสู่สายล่อฟ้า ซึ่งพาดอยู่ตรงหัวยักษ์ที่ปรางค์บริวาร และเกิดการระเบิดขึ้นทำให้หัวยักษ์กระเด็นหล่นลงมา โดยการบูรณะนั้นจะต้องมีการเจาะเดือย ทั้งด้านหัวและคอยักษ์ เข้าด้วยกัน และจะเสริมความมั่นคงด้วยการฉาบปูน ประสานให้ติดกลับไปเป็นเหมือนเดิม คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ต.ค. นี้

ฟ้าผ่าหัวยักษ์วัดอรุณฯหักไม่ใช่ลางร้าย | เดลินิวส์

B5 - War Room Falkman

 

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ชาวอ่างทองผวาดินถล่มลงแม่น้ำลามถึงตัวบ้าน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>19 ตุลาคม 2555 11:59 น</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=bottom width=1 align=right></TD><TD height=1 vAlign=bottom background=/images/linedot_hori.gif align=middle></TD><TD height=1 vAlign=bottom width=1 align=left></TD></TR><TR><TD vAlign=center background=/images/linedot_vert.gif width=1 align=middle></TD><TD><TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center background=/images/linedot_vert.gif width=1 align=middle></TD></TR><TR><TD height=1 vAlign=top width=1 align=right></TD><TD height=1 vAlign=top background=/images/linedot_hori.gif align=middle></TD><TD height=1 vAlign=top width=1 align=left></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=12 vAlign=bottom align=left></TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=160 align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=center width=165 align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=/images/linedot_vert3.gif width=4></TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=7 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>อ่างทอง - ชาวบ้านในตำบลจำปาหล่อ เมืองอ่างทอง ผวาหนักหลังดินถล่มลงแม่น้ำเจ้าพระยาทุกวันจนถึงตัวบ้าน เผยนอนไม่หลับหวั่นบ้านพังลงน้ำ ไม่มีเงินโยกย้ายที่อยู่

วันนี้ (19 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการแจ้งจากนายวิมล สมพงษ์ อายุ 33 ปี บ้านเลขที่ 10 หมู่ 6 ต.จำปาหล่อ อ.เมือง จ.อ่างทอง ว่า ที่บ้านตนได้เกิดดินถล่มลงแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงตัวบ้าน จึงเดินทางไปตรวจสอบพบนายสมพงษ์ และภรรยา กำลังสำรวจความเสียหายบ้าน ซึ่งเป็นบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ ปลูกอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา และมีสภาพดินถล่มลงแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงตัวบ้าน หลังจากน้ำลดลงต่อเนื่องทำให้ดินที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาพัง และยุบตัวลงในแม่น้ำอย่างต่อเนื่อง และเมื่อช่วงดึกที่ผ่านมาได้ถล่มลงแม่น้ำอีกจนถึงตัวบ้าน และห้องน้ำ

นายสมพงษ์ เปิดเผยว่า ที่บ้านหลังดังกล่าวตนเองได้อาศัยอยู่กับภรรยาซื่อนางวันเพ็ญ และหลานวัย 2 ขวบอีกหนึ่งคน และเมื่อคืนที่ผ่านมานั้น ดินสไลด์จนถึงตัวบ้านทำให้เครียดหนักเนื่องจากกลัวบ้านพังลงน้ำทำให้ได้รับอันตราย

“เมื่อช่วงเช้าผมได้ตรวจสภาพความเสียหายทำให้กังวลมาก เนื่องจากดินได้ถล่มมาถึงตัวบ้านแล้ว ไม่สามารถที่จะอยู่อาศัยได้ จึงวอนหน่วยงานให้ความช่วยเหลือเนื่องจากผมไม่มีเงินที่จะโยกย้ายบ้านไปปลูกที่ใหม่ก็ต้องทนอาศัยไปจนกว่าบ้านจะพังลงไป เนื่องจากรายได้น้อย และที่ปลูกบ้านอยู่ก็ไม่ใช่ที่ของผม ถ้ารื้อออกไปก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนได้แต่วอนหน่วยงาน และผู้ใจบุญช่วย”

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
B5 - War Room Falkman


</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

อุตุฯเผย ทุกภาคเริ่มเย็น-หมอกบางตอนเช้า

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2555 เวลา 08:29 น.


<!-- /.images-list-items -->
<!-- /.images-list-container -->
<!-- /.images-list-wrapper -->
กรมอุตุฯ เผย เกือบทั่วทุกภาค มีอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า ส่วน ภาคใต้มีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
<!-- /.content -->
<!-- /#featured-caption -->วันนี้ (19 ต.ค.)ลักษณะอากาศทั่วไป เมื่อเวลา 04:00 น. วันนี้ บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีน ยังคงแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีอากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า สำหรับลมตะวันออกที่พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทย เข้ามาปกคลุมภาคใต้มีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง มีกำลังปานกลาง ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

พยากรณ์อากาศ สำหรับกรุงเทพฯและปริมณฑล ตั้งแต่เวลา 06:00 น.วันนี้ - 06:00 น. วันพรุ่งนี้ อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ช.ม.

อุตุฯเผย ทุกภาคเริ่มเย็น-หมอกบางตอนเช้า | เดลินิวส์

B5 - War Room Falkman

 

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>โฮจิมินห์เละอีก ทางหลวงสายใต้สู่ที่ราบแม่น้ำโขงตัดขาด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>19 ตุลาคม 2555 11:53 น</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700><TBODY><TR><TD vAlign=top width=700 align=middle> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
ครอบครัวนี้ลุยน้ำกลับบ้านในเขต อ.เติ่นบี่ง (Tan Binh) นครโฮจิมินห์ในคืนวันพุธ 17 ต.ค. วันรุ่งขึ้นพฤหัสบดี 18 ต.ค.สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง น้ำได้เอ่อท่วมทางหลวงสายหลักเหนือ-ใต้ ทำให้การสัญจรและการขนส่งกับจังหวัดเขตที่ราบปากแม่น้ำโขงถูกตัดขาด นครใหญ่ทางภาคใต้เวียดนามเจออุทกภัยหนักหน่วงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงปีหลังๆ นี้ ปีนี้ระดับน้ำในแม่น้ำไซ่ง่อนเอ่อขึ้นสูงที่สุดในรอบ 10 ปี สำนักขาวของทางการกล่าว. -- ภาพ: Tuoi Tre Onilne. </B></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE> .

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ปีนี้ถึงแม้ว่าจะผ่านฤดูไต้ฝุ่นมาได้อย่างสบายๆ แต่นครโฮจิมินห์ก็ไม่รอดจากอุทุกภัย และน้ำท่วมในช่วงปลายปีในปีนี้หนักหน่วงที่สุด นครใหญ่ที่มีประชากร 8 ล้านคนจมน้ำตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา อันเนื่องจากฝนตกในช่วงเปลี่ยนฤดู ประกอบกับน้ำทะเลหนุนสูง ปีนี้น้ำได้เอ่อขึ้นท่วมทางหลวงสาย 1A (เหนือ-ใต้) เป็นครั้งแรก ทำให้การขนส่ง และการจราจรเป็นอัมพาตในทันที

ราษฎรในอำเภอบี่งเติ๋น (Binh Tan) กล่าวว่า ในช่วง 2 เดือนมานี้เกิดน้ำท่วมเดือนละ 2 ครั้ง ในช่วงต้น และกลางเดือน (ตามการหนุนของน้ำทะเล) ซึ่งไม่ต่างกับในอีกหลายย่านของโฮจิมินห์ที่ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากน้ำในแม่น้ำไซ่ง่อน หลังจากเกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันในสัปดาห์นี้

ในบ่ายวันพุธ 17 ต.ค.เป็นต้นมา ในหลายย่านระดับน้ำท่วมขังสูงถึง 50-70 เซนติเมตร

ปลายปีที่แล้ว เกิดอุทกภัยคล้ายกันนี้ แต่ก็ยังไม่เคยท่วมถึงทางหลวง 1A และไม่รุนแรงเช่นในขณะนี้ ซึ่งทางการกล่าวว่า เป็นระดับน้ำท่วมสูงที่สุดในรอบกว่า 10 ปีหนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋รายงาน

น้ำท่วมสูงบนทางหลวงสายหลักที่ทอดไปสู่ จ.ลองอาน (Long An) ในวันพฤหัสบดีที่ทำให้การขนส่งระหว่างนครโฮจิมินห์กับจังหวัดในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขงซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำขนาดใหญ่อันดับ 1 ของประเทศถูกตัดขาด การจราจรที่ยากลำบากอยู่แล้วถึงกับหยุดนิ่ง สื่อของทางการรายงานในเว็บไซต์ข่าวภาษาเวียดนาม

ระดับน้ำในแม่น้ำเอ่อขึ้นสูง 1.64 เมตร เมื่อเวลา 17.00 น. วันพุธ อีกเพียง 30 นาทีต่อมา ได้ไหลเข้าท่วมถนนหลายสายในเขตอำเภอที่ 8 หลายอาณาบริเวณระดับน้ำสูงครึ่งเมตร และเพิ่มขึ้นเป็น 0.70 เมตรในกลางดึก ในหลายอาณาบริเวณของอำเภอที่ 5 อำเภอที่ 2 อำเภอที่ 7 อำเภอบี่งเติ่น และอำเภอถูกดึก อุทกภัยส่งผลให้ต้องปิดโรงเรียนหลายแห่งในวันพฤหัสบดีเตื่อยแจ๋กล่าว

สถานีอุตุนิยมวิทยาและอุทกศาสตร์ภาคใต้กล่าวว่า ฝนที่ตกหนักทำให้ระดับน้ำอ่างเก็บน้ำแห่งหนึ่งเพิ่มสูงเกินที่จะรับได้ หน่วยงานรับผิดชอบได้ทยอยปล่อยน้ำจากเขื่อนตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.เป็นต้นมา น้ำไปไหลลงถึงนครโฮจิมินห์ในช่วงที่น้ำทะเลหนุนขึ้นสูงพอดี เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุทุกภัย สื่อของทางการกล่าว.

<CENTER>

<EMBED height=280 type=application/x-shockwave-flash width=500 src=http://tv.tuoitre.vn/js/player/player.swf flashvars="&backcolor=0x000000&file=http%3A%2F%2F123.30.128.25%2Fr%2F2012%2F10%2FaNrQQbqV.mp4&frontcolor=0x999999&image=http%3A%2F%2F123.30.128.26%2Ft%2Fs528%2F2012%2F10%2FSWeaYKgq.jpg&lightcolor=0xcc0000&plugins=viral-2d&screencolor=0x000000&viral.oncomplete=false&viral.onpause=false" allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always" bgcolor="0x000000"></EMBED>​

</CENTER>

.

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=660><TBODY><TR><TD vAlign=top width=660 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE> <CENTER>[SIZE=+0]2 </CENTER>

[/SIZE]</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=660><TBODY><TR><TD vAlign=top width=660 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE> <CENTER>[SIZE=+0]3 </CENTER>

[/SIZE]</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=660><TBODY><TR><TD vAlign=top width=660 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE> <CENTER>[SIZE=+0]4 </CENTER>[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

B5 - War Room Falkman

</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

จีนซ้อมรบกลางทะเลเย้ยญี่ปุ่น

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2555 เวลา 10:54 น.


<!-- /.images-list-items -->
<!-- /.images-list-container -->
<!-- /.images-list-wrapper -->
จีนซ้อมรบบริเวณน่านน้ำหมู่เกาะพิพาท หลังนักการเมืองระดับสูงของญี่ปุ่น ไปสักการะศาลเจ้ายาสุคูนิ
<!-- /.content -->
<!-- /#featured-caption -->เมื่อวันที่ 19 ต.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีนว่า ทางการจีนจัดการซ้อมรบขนาดย่อยทางทะเล บริเวณน่านน้ำหมู่เกาะพิพาทในทะเลจีนตะวันออก ที่ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังกับญี่ปุ่น

สำนักข่าวซินหัวรายงานในวันเดียวกันว่า ขบวนเรือที่เข้าร่วมการซ้อมรบประกอบด้วย เรือรบตรวจการณ์ทางทะเล 11 ลำ และเครื่องบินขับไล่อีก 8 ลำ จากหน่วยรบทะเลจีนตะวันออก นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง รวมถึงกรมประมงของจีน อย่างไรก็ตาม ระหว่าการซ้อมรบกำลังดำเนินอยู่นั้น พบว่ามีเรือลาดตระเวนไม่ทราบสัญชาติจำนวนหนึ่ง คอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆตลอดเวลา

ทั้งนี้ กรณีพิพาทเกี่ยวกับการอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างทั้งสองชาติ เหนือพื้นที่บนหมู่เกาะเตียวหยู หรือเซนกากุในภาษาญี่ปุ่น ยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง หลังรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศซื้อเกาะย่อย 3 เกาะในอาณาเขตหมู่เกาะดังกล่าว เมื่อเดือนที่แล้ว สร้างความไม่พอใจให้แก่ทางการจีนอย่างรุนแรง

หลังจากนั้น กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น จัดพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ด้วยการจัดแสดงแสนยานุภาพทางทะเล โดยการใช้เรือรบกว่า 40 ลำ บริเวณน่านน้ำทางตอนใต้ของกรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสหรัฐ ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ที่ส่งเรือรบเข้าร่วมแสดงด้วยเป็นครั้งแรก ท่ามกลางการเฝ้าสังเกตการณ์ของตัวแทนจากกว่า 20 ประเทศ รวมถึงจีน

ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 ต.ค. มีรายงานระบุว่า เครื่องบินรบตรวจการณ์ของญี่ปุ่น บินสังเกตการณ์เพื่อเฝ้าระวังเรือรบของจีน 7 ลำ ที่อยู่ไม่ไกลจากน่านน้ำหมู่เกาะพิพาท ขณะที่รัฐบาลปักกิ่งอ้างว่า เรือรบเหล่านั้นอยู่ระหว่างดำเนินการซ้อมรบตามปกติ

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า การซ้อมรับของรัฐบาลจีนในวันนี้ เกิดขึ้นเพียง 1 วัน หลังทางการจีนแสดงปฏิกิริยาไม่พอใจอย่างมาก ต่อการที่รัฐมนตรี 2 คน ในคณะรัฐบาลญี่ปุ่นชุดปัจจุบัน และนักการเมืองระดับสูงหลายคน รวมถึง นายชินโซ อาเบะ อดีตนายกฯ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน และเป็นตัวเก็งผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปในการเลือกตั้งช่วงปีหน้า เดินทางไปสักการะศาลวีรชนสงครามยาสุคูนิ ในกรุงโตเกียว เพื่อรำลึกครบรอบ 67 ปี การยอมแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 และเคารพวีรชน 2.5 ล้านคนที่เสียชีวิตในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นอาชญากรสงคราม 14 ศพ.

จีนซ้อมรบกลางทะเลเย้ยญี่ปุ่น | เดลินิวส์

B5 - War Room Falkman

 

อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันจ้า แต่ถ้าสนใจลองเข้าอ่านกระทู้ของคุณ ped2011 ดูได้นะ มีภาพที่น่าสนใจอยู่หลายภาพเลยทีเดียว ...

http://palungjit.org/threads/สงคราม...งฟ้าแปลกจากการพ่นสารเคมีพิษ-chemtrail.361609/

 

ดินถล่มเปรู เสียชีวิต 11 สูญหายกว่า 20 คน

วันศุกร์ ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เกิดดินถล่มขึ้นอย่างรุนแรงที่ประเทศเปรูเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ดินถล่มครั้งนี้เกิดขึ้นบริเวณหุบเขาฮูมาซาปา ในเมืองนูโวปอร์วีเนียร์ จังหวัดปิโคตา ทางภาคเหนือของเปรู หลังจากที่เกิดฝนตกหนักและมีบ้านเรือนพังเสียหายประมาณ 10 หลัง เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยสามารถกู้ศพของชาวบ้านได้แล้วอย่างน้อย 11 ศพ แต่ยังมีผู้สูญหายอีกกว่า 20 คน หน่วยกู้ภัยและชาวบ้านที่รอดชีวิตกำลังช่วยกันต้นหาตามซากปรักหักพังโดยใช้เครื่องมือเท่าที่หาได้ ขณะที่อาสาสมัครป้องกันพลเรือนและชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งใช้เปลหามที่ทำขึ้นอย่างลวกๆ ลำเลียงผู้บาดเจ็บข้ามลำน้ำไปยังโรงพยาบาล

ดินถล่มที่เปรูครั้งนี้ มีหลายครอบครัวที่สมาชิกพลัดหลงกัน บางครอบครัวเหลือแต่ผู้เป็นแม่ ส่วนพ่อและลูกๆ สูญหาย เด็กหญิงคนหนึ่งพลัดหลงกับผู้เป็นแม่ และติดอยู่ในซากบ้านที่จมอยู่ดินโคลน โชคดีที่หน่วยกู้ภัยค้นพบและช่วยชีวิตไว้ได้

ดินถล่มเปรู เสียชีวิต 11 สูญหายกว่า 20 คน ข่าวต่างประเทศ ข่าวอาชญากรรม ข่าวสังคม ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการเมือง ข่าวด่วน ข่าว ข่าวสด ข่าววันนี้ สลากกินแบ่งรัฐบาล ข่าวดารา ข่าวบันเทิง : ครอบครัวข่าว 3

B5 - War Room Falkman

 

ต่างประเทศสนใจร่วมพัฒนาพันธุ์ข้าว

วันศุกร์ ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555


จากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทั้งน้ำท่วมและภัยแล้ง ทำให้นักวิจัยเร่งปรับปรุงพันธุ์ข้าวรับมือภัยพิบัติ เพื่อให้ข้าวได้ผลผลิตที่สูง ซึ่งประเทศคู่แข่งอย่างอินเดียและเวียดนามก็สนใจร่วมวิจัยกับไทย

นายไพฑูรย์ อุไรรงค์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว บอกว่า ด้วยสภาพภูมิประเทศทำให้ประเทศมีสายพันธุ์ข้าวมากที่สุดถึงกว่า 16,000 ชนิด อีกทั้งมีความหลากหลายทางพันธุกรรมข้าว โดยเฉพาะข้าวพื้นเมืองที่มีคุณภาพ และคุณค่าทางโภชนาการ ประกอบกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในภูมิภาค ทำให้นักวิจัยต่างเร่งพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวเพื่อรับมือภัยพิบัติและแข่งขันกับตลาดโลกได้ ขณะเดียวกันนักวิจัยจากทั้งประเทศอินเดียและเวียดนาม ซึ่งเป็นคู่แข่งส่งออกข้าวของไทยก็สนใจอยากเข้ามาวิจัยปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวร่วมกับไทย

ขณะที่ชาวนาของไทย ที่อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ก็ได้คิดค้นการปลูกข้าวลอยน้ำ ซึ่งฉีกกฎของการปลูกข้าว โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นนำไม้ไผ่ทำเป็นแปลง ปลูกดำข้าวในกระถาง โดยใช้ผักตบชวาเป็นปุ๋ยและดินโคลน สำหรับน้ำใช้เป็นสารอาหาร เพื่อให้ข้าวเจริญเติบโต วิธีนี้สามารถลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้สารเคมีและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกทั้งได้ผลผลิตต่อไร่สูงไม่ต่างจากปลูกบนดิน


ต่างประเทศสนใจร่วมพัฒนาพันธุ์ข้าว : ครอบครัวข่าว 3


B5 - War Room Falkman

 

"คิวริออสซิที" พบวัตถุประหลาดบนดาวอังคาร

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2555 เวลา 15:36 น.


<!-- /.images-list-items -->
<!-- /.images-list-container -->
<!-- /.images-list-wrapper -->
ยานหุ่นยนต์สำรวจดาวอังคาร “คิวริออสซิที” ขององค์การนาซา ค้นพบก้อนดินบนดาวอังคารที่มีวัตถุลึกลับที่มีแสงประกายปนอยู่ สร้างความประหลาดใจให้แก่นักวิทยาศาสตร์ที่ยังไม่อาจยืนยันได้ว่า เป็นวัตถุที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์หรือไม่
<!-- /.content -->
<!-- /#featured-caption -->วันนี้ (19 ต.ค.)นายจอห์น กร็อตซิงเจอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้รับผิดชอบดูแลโครงการทดลองทางวิทยาศาสตร์บนดาวอังคาร จากห้องปฏิบัติการจรวดขับเคลื่อนความดัน ( เจพีแอล ) ขององค์การนาซา ในเมืองพาซาดีนา รัฐแคลิฟอร์เนีย แถลงเมื่อวันพฤหัสบดีว่า หุ่นยนต์สำรวจใช้อุปกรณ์ที่เปี่ยมประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ทางเคมี และแร่วิทยา หรือ “เคมิน” ที่ติดตั้งอยู่ภายใต้ท้องยาน ขุดลงไปใต้พื้นดาวเคราะห์แดงแห่งนี้ เพื่อนำดินในบริเวณดังกล่าวมาวิเคราะห์หาส่วนประกอบ

ทั้งนี้ ตัวอย่างดินที่หุ่นยนต์สำรวจขุดขึ้นมาได้ สร้างความประหลาดใจให้แก่บรรดาผู้เชี่ยวชาญขององค์การนาซาอย่างมาก เนื่องจากมีวัตถุขนาดเล็กสีสะท้อนแสงปนเปื้อนอยู่ตามเนื้อดิน ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับวัตถุลึกลับที่หุ่นยนต์สำรวจค้นพบเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ แต่ภายหลังได้รับการเปิดเผยว่า เป็นเพียงเศษชิ้นส่วนพลาสติกที่หลุดออกมาจากตัวยานสำรวจ

แม้มีความเป็นไปได้มากว่า ชิ้นส่วนที่พบในเนื้อดินเหล่านี้ อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ แต่ผลการตรวจสอบโดยคณะนักวิทยาศาสตร์ ร่วมกับวิศวกรขององค์การนาซ่า ระบุว่ามีแนวโน้มสูงเช่นกัน ที่วัตถุเหล่านี้จะถือกำเนิดขึ้นบนดาวอังคาร หลังมีการสังเกตพบร่องรอยที่เหลือของวัตถุดังกล่าว ภายในหลุมที่หุ่นยนต์สำรวจทำการขุดลงไป แสดงให้เห็นว่า วัตถุที่แทรกตัวอยู่ตามเนื้อดินนี้ อยู่ลึกลงไปใต้ผิวดินบนดาวอังคาร

อย่างไรก็ตาม ทางนาซายังไม่ขอยืนยันแหล่งที่มาแท้จริงของวัตถุปริศนาที่พบในเนื้อดินตัวอย่างนี้ แต่ความสำเร็จในการใช้เครื่องมือ เคมิน เพื่อเก็บตัวอย่างดินบนดาวเคราะห์แดงดวงนี้มาวิเคราะห์ได้เป็นครั้งแรก ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการปฏิบัติภารกิจสำรวจหาแหล่งน้ำ และสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารนาน 2 ปี ของยานหุ่นยนต์สำรวจมูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 80,000 ล้านบาท ) ซึ่งถือเป็นยานหุ่นยนต์สำรวจทางเทคโนโลยีล้ำยุคที่สุดเท่าที่นาซาเคยสร้าง และเดินทางลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารอย่างปลอดภัยเมื่อวันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมา


"คิวริออสซิที" พบวัตถุประหลาดบนดาวอังคาร | เดลินิวส์

B5 - War Room Falkman

 

'UFO spent four hours hovering above our rural home', claims family after capturing video footage of 'spinning lights' in the sky

เผยจานบินโผล่นานกว่า 4 ชั่วโมงเหนือบ้านครอบครัวชนบทชาวสก๊อตแลนด์ สามารถบันทึกภาพไว้ทัน

UPDATED: 16:39 GMT, 18 October 2012


A family has spoken of the terrifying moment they saw a UFO hovering above their house for four hours.
Morag Ritchie, 50, was awoken in the middle of the night by flashing lights in the sky over the family home in rural Scotland.

The grandmother-of-one woke her family up and her daughter’s fiance caught the shocking images of four blinking lights on video


The UFO: Scott Bower, Morag's daughter's fiance, captured the strange lights in the sky above their home



Sighting: Morag Ritchie said she saw the UFO hovering over her house in Aberdeenshire for four hours



Right there: Morag Ritchie in their back garden pointing towards the part of the sky where she saw the UFO on Saturday night


Strange: Flashing lights are not usually decorating the skyline at the back of the Ritchie family home in rural Scotland

Family's terror as UFO 'hovers above their rural home for four hours' | Mail Online

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=0H0KkL4upAs"]Scottish mum films UFO flying over Aberdeenshire - YouTube[/ame]

B5 - War Room Falkman

 

ฮือฮา ตึกระฟ้าสูงสุดของโลกในดูไบ"เด่นตระหง่าน"สูงเสียดฟ้า"งดงาม"เหนือหมอกคลุม (ชมภาพ)

วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 13:30:00 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ตึกระฟ้า"The Burj Khalifa"ในดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ ปรากฎเป็นภาพสุดสวยงามหลังถูกบันทึกภาพในภาพสูงเสียดฟ้าเหนือหมอกที่ปกคลุมไปทั่ว โดยส่งผลให้ตึกระฟ้าต่าง ๆ ดูเล็กลงไปถนัดใจ โดยภาวะหมอกคลุมเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกปีในเมืองดูไบ เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงและความชื้นปะทะกับอากาศที่เย็นลง จนก่อตัวเป็นหมอก โดยเมื่ออาทิตย์รุ่งอรุณ ภาวะหมอกปกคลุมดังกลาวจึงจะสลายไป

ฮือฮา ตึกระฟ้าสูงสุดของโลกในดูไบ"เด่นตระหง่าน"สูงเสียดฟ้า"งดงาม"เหนือหมอกคลุม (ชมภาพ) : มติชนออนไลน์


Stunning: The world's tallest building, the Burj Khalifa, juts above the fog in what looks like a science fiction scene


Misty: The other-wordly scene is caused by a natural phenomena as every year around this time the temperature begins to drop and humidity meets cooler air, forming the rolling fog


Dedicated: These pictures were taken by German snapper Bjoern Lauen, who went up a tall building in the central business district at sunrise to capture the amazing sight


Amazing: As the sun rises it burns away the mist to reveal the desert once again


Rising about the clouds: The world's tallest building peaks above the mist as Dubai's skyscrapers are dwarfed by stunning sea of fog | Mail Online

B5 - War Room Falkman

 

มีใครโพสไปยัง

ตะลึง!!! ฟ้าผ่าเศียรยักษ์ วัดอรุณ หัก 2 ท่อน

ฟ้าผ่าเศียรยักษ์ วัดอรุณ หัก 2 ท่อน “สุกุมล” รุดตรวจสอบ สั่งกรมศิลป์ เร่งซ่อมให้แล้วเสร็จก่อน 31 ต.ค.นี้ เตรียมของบ 130 ล้าน บูรณะพระปรางค์ครั้งใหญ่ อธิบดีกรมศิลป์ ระบุ เป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่ลางร้าย

Quality of Life - Manager Online - ตะลึง!!! ฟ้าผ่าเศียรยักษ์ วัดอรุณ หัก 2 ท่อน

 

Loud boom and shaking reported in Bay area as fireball streaks across sky


Posted on October 19, 2012

เกิดเสียงบูมดัง พร้อมกับการสั่นไหว จนหลายคนคิดว่าเกิดจากแผ่นดินไหว และรายงานปรากฎลูกไฟสว่างเฉดสีแดง-ส้มพุ่งข้ามท้องฟ้ายามค่ำคืน เห็นจากบริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก
<!-- .entry-meta -->



October 19, 2012 – SAN FRANCISCO, CA – A bright fireball, reportedly with hues of red and orange, streaked across the night sky visible from San Francisco’s Bay Area on Wednesday, October 18, around 8 p.m. local time (3UTC on October 18). Many say they heard a boom, which was so loud it “shook their homes,” some residents said, making them think it may be an earthquake. Belmont, California astronomer Wes Jones captured the fireball as it sailed across the sky on October 17, just as it was entering the trees. –Earth Sky

<IFRAME class=youtube-player height=255 src="http://www.youtube.com/embed/S0PEMOlhAdE?version=3&rel=1&fs=1&showsearch=0&showinfo=1&iv_load_policy=1&wmode=transparent" frameBorder=0 width=400 type="text/html"></IFRAME>​

<!-- .entry-content -->


B5 - War Room Falkman

 

หนแรก ม้าทรงที่ระนองตกบันไดมีด 36 ขั้นดับ ลือมีลางร้ายก่อนเกิดเหตุ

South - Manager Online - ม้าทรงที่ระนองตกบันไดมีด 36 ขั้นดับ ลือมีลางร้ายก่อนเกิดเหตุ


หนที่ 2 สยอง! ม้าทรงคลั่งเชือดคอตัวเองเลือดพุ่ง กลางงานกินเจระนอง โชคดีช่วยเหลือทัน

เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (19 ตุลาคม) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า เกิดเหตุม้าทรงรายหนึ่งมีอาการคลุ้มคลั่งหยิบมีดขึ้นมาเชือดคอตัวเองจนเลือดนองพื้น ขณะเตรียมเข้าร่วมขบวนแห่พิธีฮิ้วเก้งใหญ่ ในงานเทศกาลถือศีลกินเจของจังหวัดระนอง แต่โชคดีที่เจ้าหน้าที่ประจำศาลเจ้า และผู้จัดงานเข้าไปช่วยเหลือได้ทัน

ม้าทรงคลั่งเชือดคอตัวเอง กลางงาน เทศกาลกินเจ จังหวัดระนอง

เป็นลางอะไรกับจังหวัดระนองรึเปล่าเนี่ย

 

.......ซ้ำ.....

 

รูปนี้เพื่อนเมื่อเช้านี้ แถวๆสายใต้ ถ่ายด้วยกล้องมือถือแล้วอัพขึ้น instagram ครับ
จุดเล็กๆส้มๆ นั่น ดูๆไปก็เหมือน นิบิรุ แต่จริงๆแล้วจะเป็นดวงจัทร์หรือปล่าวก็ไม่รู้ครับ
.....เสียดายไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง

 

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>อ้างถ่ายติดUFOในเมฆหมอก ก่อนพบนกตายปริศนาหลายสิบตัว</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>20 ตุลาคม 2555 04:29 น.</TD><TD vAlign=center align=left><SCRIPT type=text/javascript src="http://platform.twitter.com/widgets.js"></SCRIPT><IFRAME style="WIDTH: 116px; HEIGHT: 20px" class="twitter-share-button twitter-count-horizontal" title="Twitter Tweet Button" src="http://platform.twitter.com/widgets/tweet_button.1347008535.html#_=1009818354062&count=horizontal&id=twitter-widget-0&lang=en&original_referer=http%3A%2F%2Fwww.manager.co.th%2FAround%2FViewNews.aspx%3FNewsID%3D9550000128449&size=m&text=%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94UFO%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%86%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%81%20%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7&url=http%3A%2F%2Fwww.manager.co.th%2FAround%2FViewNews.aspx%3FNewsID%3D9550000128449&via=ASTVManager" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no data-twttr-rendered="true"></IFRAME>

<SCRIPT type=text/javascript src="https://apis.google.com/js/plusone.js"> {lang: 'th'}</SCRIPT><?XML:NAMESPACE PREFIX = G /><GLUSONE size="medium"></GLUSONE>
<TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><!--
<script>(function(d, s, id) { var js, fjs = d.getElementsByTagName(s)[0]; if (d.getElementById(id)) return; js = d.createElement(s); js.id = id; js.src = "//connect.facebook.net/th_TH/all.js#xfbml=1"; fjs.parentNode.insertBefore(js, fjs);}(document, 'script', 'facebook-jssdk'));</script><fb:like href="http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrshort.aspx?NewsID=9550000128449" send="true" width="450" show_faces="false"></fb:like>--></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550><TBODY><TR><TD vAlign=top width=550 align=middle> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เค้าโครงปริศนาคล้ายยูเอฟโอถูกถ่ายติดโดย คาลัม เชอร์วูด</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE> เดลิเมล์ - วัยรุ่นชาวอังกฤษอ้างถ่ายติดภาพวัตถุคล้ายยูเอฟโอกำลังลอยอยู่ในกลุ่มเมฆเหนือท้องฟ้าเมืองคัมเบรีย ในวันเดียวกับที่พบนกตายหลายสิบตัวบริเวณสวนที่อยู่ใกล้กัน เรื่องราวน่าฉงนซึ่งเกิดขึ้นในเมืองที่เคยประสบเหตุประหลาดๆหลายครั้ง

นายคาลัม เชอร์วูด วัย 23 ปี รู้สึกช็อกมากตอนที่เห็นเค้าโครงปริศนาลอยอยู่ในกลุ่มเมฆ ระหว่างโดยสารรถบัสคันหนึ่งที่เขตซัลเตอร์บัค ในเมืองคัมเบรียเมื่อวันจันทร์(19) และต่อมาเขาก็ปักใจเชื่อว่ามันคือยูเอฟโอ

จากนั้นในวันเดียวกันนางสาวชารอน ลาร์กิน เพื่อนของ เชอร์วูด ซึ่งเป็นคนที่เชื่อในเรื่องของยานนอกโลกและพักอาศัยอยู่ใกล้ๆกัน ก็พบนกตายปริศนาภายในสวนหลังบ้าน เหตุการณ์ประหลาดที่ทั้งสองทึกทักว่ามันน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน

นางสาวลาร์กิน เชื่อว่าเหตุนกตายเกี่ยวข้องกับยูเอฟโอที่เธอพบเห็นแน่ๆ พร้อมอ้างด้วยว่าพื้นที่ดังกล่าวซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เซลลาฟิลด์ เคยมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเธอยังเคยเสียงดังแปลกๆบนท้องฟ้า ฟังดูคล้ายกับเหล็กครูดกันอีกด้วย

อย่างไรก็ตามเหล่าผู้เชี่ยวชาญมองถึงสาเหตุแตกต่างกันออกไป โดยบางส่วนเชื่อว่ามันเป็นแค่รูปแบบการก่อตัวของเมฆที่ไม่ค่อยพบเห็นนัก ส่วนคนอื่นๆสันนิษฐานว่ามันน่าจะเป็นผลึกน้ำแข็งจากเครื่องยนต์ของเครื่องบินเจ็ตมากกว่า

เชอร์วูด เล่าถึงตอนที่พบเห็นเค้าโครงลึกลับว่า "ผมมองดูวัตถุนั้นอยู่ราวๆ 20 ปี มันดูแปลกมาก ตอนที่ผมเอารูปไปให้แฟนดู เราทั้งคู่คิดว่ามันอาจจะเป็นยูเอฟโอ ดังนั้นจึงติดต่อกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งมีความสนใจในเรื่องเหล่านี้ ผมไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้มาก่อน จึงไม่รู้จริงๆว่ามันคืออะไร"

เมืองแห่งนี้นับเป็นดินแดนที่พบเจอเหตุการณ์ประหลาดบ่อยครั้ง โดยในปี 2010 ชายคนหนึ่งอ้างว่าเขาพบเห็นวัตถุบินประหลาดส่องแสงวาบลอยอยู่เหนือเมืองและกำลังเคลื่อนไปทางเหนือ ชายรายนี้อ้างด้วยว่าวัตถุดังกล่าวนี้บินอยู่ในระดับต่ำกว่าเมฆ ก่อนเปลี่ยนทิศทางและหายวับไปกับตา

นอกจากนี้แล้วในปี 2004 ชาวบ้านหลายคนยังอ้างว่าเคยพบเห็นยานบินประหลาดทรงสามเหลี่ยมและลูกบอลส่องแสงวาบบนท้องฟ้าด้วย
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>พายุทรายยักษ์ปกคลุมโอคลาโฮมา ทำเกิดอุบัติเหตุนับสิบ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>20 ตุลาคม 2555 02:00 น.</TD><TD vAlign=center align=left><SCRIPT type=text/javascript src="http://platform.twitter.com/widgets.js"></SCRIPT><IFRAME style="WIDTH: 116px; HEIGHT: 20px" class="twitter-share-button twitter-count-horizontal" title="Twitter Tweet Button" src="http://platform.twitter.com/widgets/tweet_button.1347008535.html#_=1009818328062&count=horizontal&id=twitter-widget-0&lang=en&original_referer=http%3A%2F%2Fwww.manager.co.th%2FHome%2FViewNews.aspx%3FNewsID%3D9550000128452&size=m&text=%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%AE%E0%B8%A1%E0%B8%B2%20%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A&url=http%3A%2F%2Fwww.manager.co.th%2FHome%2FViewNews.aspx%3FNewsID%3D9550000128452&via=ASTVManager" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no data-twttr-rendered="true"></IFRAME>

<SCRIPT type=text/javascript src="https://apis.google.com/js/plusone.js"> {lang: 'th'}</SCRIPT><?XML:NAMESPACE PREFIX = G /><GLUSONE size="medium"></GLUSONE>
<TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><!--
<script>(function(d, s, id) { var js, fjs = d.getElementsByTagName(s)[0]; if (d.getElementById(id)) return; js = d.createElement(s); js.id = id; js.src = "//connect.facebook.net/th_TH/all.js#xfbml=1"; fjs.parentNode.insertBefore(js, fjs);}(document, 'script', 'facebook-jssdk'));</script><fb:like href="http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrshort.aspx?NewsID=9550000128452" send="true" width="450" show_faces="false"></fb:like>--></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> พายุทรายยักษ์ซัดหอบฝุ่นสีน้ำตาลแดงปกคลุมทางเหนือของมลรัฐโอคลาโฮมาเมื่อวันพฤหัสบดี(11) ส่งผลให้รถยนต์ชนกันหลายสิบคันบนถนนสายหลักระหว่างมลรัฐ จนตำรวจต้องปิดการจรจาจรเป็นระยะทางหลายสิบกิโลเมตร

ลมกำลังแรงหอบฝุ่นทรายพัดปกคลุมทางหลวงสายอินเตอร์สเตท 35 เชื่อมระหว่างเมืองดัลลัสและโอคลาโฮมาซิตีกับเมืองแคนซัสซิตี มลรัฐมิสซูรี เมื่อวันพฤหัสบดี(11) ตามเวลาท้องถิ่น

ภาพถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ของสำนักข่าวแห่งหนึ่งเผยให้เห็นว่าทางด่วน 4 เลนถูกกลืนหายไปกับกลุ่มฝุ่นทรายหนาทึบ ขณะเดียวกันก็พบเห็นรถยนต์และรถเทรลเลอร์หลายสิบคันประสบอุบัติเหตุหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นตรงกลางถนนหรือไหล่ทาง

ลมจากพายุฝุ่นทรายทำให้ไฟฟ้าเกือบใช้การไม่ได้ในพื้นที่ และมีระยะการมองเห็นแค่เพียง 3 เมตร เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอกว่า ไม่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน และเชื่อว่าสภาพอากาศที่แห้งแล้งจึงทำให้เกิดพายุฝุ่นทรายครั้งนี้

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>