คลังเรื่องเด่น
-
เพราะเหตุไรจึงไม่เชื่อเรื่องกรรม
ในจิตใจที่มีสามัญสำนึกของทุกๆ คน ย่อมมีความรู้สึกว่ามีความดีความชั่ว มีผลของความดีความชั่ว และผู้ทำนั้นเองเป็นผู้มีความดีความชั่วติดตัวอยู่ เพราะใครทำกรรมอันใด กรรมนั้นย่อมจารึกอยู่ในจิตใจ และผู้ทำนั้นเองต้องเป็นผู้รับผล คือ รับผิดชอบต่อการกระทำของตน ความพิสดารในเรื่องนี้ได้แสดงแล้ว แต่การที่คนไม่น้อยยังไม่มีความเชื่อตั้งมั่นลงไปในกรรมตามหลักที่กล่าว ซึ่งรวบรัดโดยย่อว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ก็เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ
๑. ความลำเอียงเข้ากับตนเอง หรือถือเอาแต่ใจตน
๒. ไม่เห็นผลสนองที่สาสมทันตาทันใจ
ความลำเอียงเข้ากับตนเองนั้น คือ มุ่งประโยชน์ตน หรือมุ่งจะได้เพื่อตนเท่านั้น ไม่คำนึงถึงความเสียหายทุกข์ยากของผู้อื่น ดังเช่นเมื่อโกรธขึ้นมาก็ทำร้ายเขา เมื่ออยากได้ขึ้นมา ก็ลักของเขา เมื่อทำได้สำเร็จดังนี้ ก็มีความยินดีและอาจเข้าใจว่าทำดี แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายตัวเรามาลักของเรา ถ้าใครมาทำเข้าเราก็ต้องว่าเขาไม่ดี ถึงเราจะไปยั่วให้เขาโกรธ เมื่อเขาโกรธขึ้นมาทำร้ายร่างกายเราเรา ก็ยังว่าเขาไม่ดีอยู่นั้นเอง การกระทำอย่างเดียวกันจะดีบ้างไม่ดีบ้าง
อย่างไรได้... -
สติปัฏฐาน ๔ ปิดอบายภูมิได้ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
สติปัฏฐาน ๔ ปิดอบายภูมิได้
โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
จากหนังสือกฎแห่งกรรม เล่มที่ ๓ ภาคกฎแห่งกรรม
ญาติโยมเอ๋ย โปรดได้ทราบไว้เถอะ บุญกรรมมีจริง บาปกรรมมี ยมบาลจดไม่มี จิตนี้เป็นผู้จด จดทุกวันคือ อารมณ์ เรื่องจริงแน่ จดทุกกระเบียดนิ้ว บาปบุญคุณโทษบันทึกเข้าไว้ พอวิญญาณออกจากร่างไป มันก็ขยายออกมาใช้กรรมไป ถ้าเราทำดีก็ไปบังเกิดในสวรรค์ ทำชั่วก็ลงนรกไปแบบนี้ อาตมามาคิดดูนะว่าสวรรค์อยู่บนฟ้า นรกอยู่ใต้ดินก็คงไม่ใช่ ดูตัวอย่างที่เคยเล่าให้ญาติโยมฟัง
ตาเล่งฮ่วยผูกคอตาย วิญญาณไปเข้ายายเภา ยายเภาเป็นคนไทยแท้ๆ เกิดพูดภาษาจีนได้ ตอนนั้นอาตมาอยู่วัดพรหมบุรี อาตมาเป็นหมอไล่ผีแต่ไม่มีคาถา ถ้าเป็นหมอผีไม่ต้องใช้คาถา ทำปากขมุบขมิบ เทน้ำมนต์ราดส่งไป ผีจริงก็ร้อง ผีปลอมก็ร้อง พวกนี้โดนน้ำไม่ได้ร้องหมด อาตมาจับผีได้หมดแล้ว จริงปลอมรู้หมด
คนที่เป็นลมเพลมพัดไม่ต้องเสกคาถาหรอก เอาน้ำพ่นไปยังร้องเลย ร้องหวีดหวาดๆ คนสติไม่ดี ไม่ใช่อะไรหรอก คนไม่มีสติเขาสวดภาณยักษ์กัน คนไม่มีสติดิ้นกันจะตาย คนมีสติเขาเฉย นี่จำไว้มีสตินี่มีประโยชน์ คนไม่มีสติผีเข้าเจ้าสิง มีคนมาตามอาตมาไป... -
ผีเล่าเรื่องพระเจ้าตากที่ไม่เหมือนประวัติศาสตร์ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ผีเล่าเรื่องพระเจ้าตากที่ไม่เหมือนประวัติศาสตร์ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
108*** 1009 :-
Published on Jul 21, 2017
เผยแพร่เมื่อ 21 กรกฎาคม 2560 -
พระรัฐบาลเถระ เอตทัคคะในทางผู้บวชด้วยศรัทธา
พระรัฐบาลเถระ เอตทัคคะในทางผู้บวชด้วยศรัทธา
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระรัฐบาล เป็นบุตรของเศรษฐี ผู้ชื่อว่ารัฐบาลเหมือนกัน และรัฐบาลเศรษฐีผู้เป็นบิดา ของท่าน เป็นหัวหน้าหมู่บ้านถุลลโกฏฐิตนิคม ในแคว้นกุรุ
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปสู่แคว้นกุรุ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ สาวกเป็น บริวาร ประทับอยู่ที่ถุลลโฏฐิตนิคมนั้น ขณะนั้น ชาวบ้าน ซึ่งประกอบด้วยพราหมณ์ และคฤหบดี จำนวนมาก ได้ทราบข่าวการเสด็จมา ก็พากันไปเฝ้าพระบรมศาสดา และมีชายหนุ่มชื่อรัฐบาลไป ด้วย ได้ถวายบังคม แล้วนั่งในที่อันสมควรแก่ตน ส่วนบรรดาชนอื่น ๆ เหล่านั้น บางพวกถวาย บังคม บางพวกได้แต่พูดจาปราศรัย บางพวกเพียงแต่ประนมมือไหว้ และบางพวกก็ประกาศชื่อ โคตรของตน
พระพุทธองค์ ทรงแสดงพระธรรมเทศนา โปรดชาวบ้านทั้งหลายเหล่านั้น ให้เกิด ความเลื่อมใสทั่วกัน ครั้นจบพระธรรมเทศนา ประชาชนทั้งหลาย พากันกราบทูลลากลับสู่บ้าน ของตน ๆ ส่วนนายรัฐบาลนั้น เกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างแรงกล้า เมื่อประชาชนกลับกันหมดแล้ว จึงได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลขออุปสมบท... -
"ใส่บาตรเป็งปุ๊ด" หรือ "ใส่บาตรพระอุปคุต" ตามความเชื่อของชนชาวล้านนา
ประเพณี "ใส่บาตรเป็งปุ๊ด" หรือ "ใส่บาตรพระอุปคุต" ตามความเชื่อของชนชาวล้านนาซึ่งจะมีขึ้นในทุกปีที่มีวันขึ้น 15 ค่ำที่ตรงกับวันพุธ โดยไม่เจาะจงว่าต้องอยู่ในเดือนใด
ที่ จ.เชียงใหม่ จะใส่บาตรคืนวันอังคารหลังเวลา 00.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เข้าสู่วันพุธ ในขณะที่ จ.เชียงราย ลำปาง และแม่ฮ่องสอน จะใส่บาตรในคืนวันพุธเวลา 00.00 น. เป็นต้นไป
สำหรับประวัติความเป็นมาของประเพณีตักบาตรเที่ยงคืนนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด แต่เข้าใจว่าทางภาคเหนือหรือดินแดนล้านนาคงรับอิทธิพลนี้มาจากพม่าอีกต่อหนึ่ง โดยพม่ามีความเชื่อว่า พระอุปคุตซึ่งเป็นภิกษุที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสพยากรณ์ว่าเป็นพระอรหันต์ผู้ปราบพญามารได้ ได้ลงไปจำศีลภาวนาอยู่ ณ สะดือทะเล ในรอบ 1 ปี จะขึ้นมาโปรดชาวเมืองก่อนเวลารุ่งอรุณ
"พระอุปคุตปางจกบาตร" เป็นปางหนึ่งที่พระอุปคุตแหงนหน้าหยุดพระอาทิตย์เพื่อฉันข้าวก่อนเลยเที่ยงวันไป แม้แต่พระอาทิตย์ไม่ว่าใหญ่แค่ไหนก็ต้องหยุดด้วยอานุภาพของท่าน
การนิยมสร้างพระอุปคุตปางนี้ไว้บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล และเชื่อกันในเรื่องของความสมบูรณ์พูนสุข... -
“เอ็งเห็นดอกไม้ที่ร่วงไหม?”....หลวงปู่บุดดา ถาวโร
“เอ็งเห็นดอกไม้ที่ร่วงไหม?”
“มีทั้งดอกอ่อนที่ยังไม่ตูม ดอกที่ตูมแล้วยังไม่บาน
ดอกที่บานแล้วยังไม่โรย ดอกที่โรยแล้วยังไม่เหี่ยว
ดอกที่เหี่ยวแล้วยังไม่แห้ง ดอกที่แห้งแล้วเป็นที่สุดก็มี
นี่มันร่วงลงมาจากต้นไม้เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่สภาวะของมันไม่เท่านั้น”
“ชีวิตร่างกายของคนก็เหมือนกัน บางรายตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์
บางรายคลอดออกมาแล้วตาย บางรายตายตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
บางรายตายตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว บางรายตายตอนวัยกลางคน
บางรายตายเมื่อแก่ อย่างข้านี่ตายเมื่อแก่ก็ไม่ต่างกับดอกไม้ที่แห้งคาต้น
แล้วร่วงหล่นลงมา สภาวะความจริงมันเป็นอย่างนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในโลกมีอนัตตาเป็นที่สุด
อย่างร่างกายก็คือตายไปในที่สุด”
“แล้วเอ็งเห็นดอกไม้ร่วงหล่นอยู่นี่ เอ็งมีความเศร้าโศกบ้างหรือไม่” (ก็ตอบว่า ไม่)
“นั่นซิ มันร่วงมันหล่นมากมายเกลื่อนกลาดอย่างนี้ มันก็เป็นปกติของมัน
ร่างกายก็เหมือนกัน มันร่วงมันหล่นก็เป็นปกติของมัน
จะมัวเศร้าโศกเสียใจอยู่ทำไม ภาวะปกติมันเป็นอยู่อย่างนี้
มันเป็นธรรมดา ก็จงอย่าไปฝืนมัน ไม่มีใครหรอกที่เกิดมาแล้วไม่ตาย”
หลวงปู่บุดดา ถาวโร -
"พุทธศาสนาสอนให้เห็นโทษ เพื่อปล่อยวาง"
"พุทธศาสนาสอนให้เห็นโทษ เพื่อปล่อยวาง"
" .. พุทธศาสนาสอน "ให้เห็นโทษในการเข้าไปยึดอย่างนี้จนกว่าจะเห็นชัดด้วยตนเอง มันจะปล่อยวาง"
อุปมาเหมือนกับ "ค้างคาวตัวหนึ่ง หากินลูกมะเดื่อในเวลากลางคืน" ไปพบต้นมะเดื่อเข้า "ต้นมะเดื่อมีห้ากิ่ง" ค้างคาวก็ไต่ไปตามกิ่งที่ ๑ ไปจนตลอดปลายก็ไม่เห็นมีผลสักลูกเดียว ยังสงสัยกิ่งที่ ๒ ก็ไต่ตามไปจนตลอดปลาย ก็ไม่มีสักลูกเดียว จึงไต่กิ่งที่ ๓ ก็เช่นนั้นอีกเหมือนกัน จึงมาไต่กิ่งที่ ๔ ดูก็ไม่พบอีกเหมือนกัน
"เอ .. เห็นจะไม่มีลูกเสียแล้วกระมัง" แต่ยังไม่สิ้นสงสัยจึงได้ไต่ตามกิ่งที่ ๕ ลองดู เมื่อไต่ไป ๆ จนถึงปลายแล้ว ก็ไม่มีลูกอีกเหมือนเดิม "ค้างคาวตัวนั้นจึงหมดสงสัยในต้นมะเดื่อนั้น" แล้วก็บินหนีไป ฉันใด
"ผู้ปฎิบัติเมื่อไม่เห็นโทษหรือเห็นโทษในขันธ์ห้า" แต่ยังละไม่ได้ก็ต้องยึดไปก่อน ต่อเมื่อเห็นโทษด้วยใจของตนเองจนเป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า "ขันธ์ห้าหาประโยชน์ไม่ได้ ไม่มีสาระแล้วจึงปล่อยวางด้วยตนเอง" ก็ฉันนั้นเหมือนกัน .. "
"สนทนาต่างประเทศ"
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี -
รัสเซียเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาไปใช้กันเป็นล้านคน ก็เพราะคุณูปการของเจงกิสข่าน
พระอาจารย์กล่าวว่า
"เจงกิสข่านเป็นผู้นำที่สุดยอดมาก ทหารรวมอยู่เป็นแสน ๆ ใครจะนับถือศาสนาอะไร เจงกิสข่านไม่เคยห้าม ขอให้รบได้เท่านั้น
ถึงเวลาพักก็จะมีคนไปนั่งละหมาด มีคนไปบูชาไฟ มีคนไปเดินจงกรม นับลูกประคำอะไรก็แล้วแต่ คุณจะทำอะไรทำไป จึงกลายเป็นว่าพอถึงเวลายึดบ้านยึดเมืองได้ ก็ทิ้งกองทหารเอาไว้เพื่อให้ดูแล ถ้ากองทหารที่นับถือพุทธก็ช่วยกันสร้างวัด จะได้นิมนต์พระไปอยู่
พวกเราจะแปลกใจว่าทำไมอยู่ ๆ ในรัสเซียมีวัดพุทธได้อย่างไร ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย ก็เพราะคุณูปการของเจงกิสข่าน ปัจจุบันนี้รัสเซียเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะส่วนของสมาธิ กรรมฐาน ไปใช้กันเป็นล้าน ๆ คนเลย เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ประกาศตัวนับถือพุทธ เข้าวัดเข้าวา มาไหว้พระ มานั่งสมาธิหาความสงบ เพราะเขาเห็นผลว่าช่วยให้การทำงานเขาดีขึ้นมาก เพราะฉะนั้น...ต่อให้เขาไม่ประกาศเป็นพุทธก็เป็นไปครึ่งตัวแล้ว"
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐
เว็บวัดท่าขนุน -
คนสมัยนี้ทำบุญ ตั้งกำลังใจผิดจึงได้บุญน้อย "มัวแต่ถ่ายรูปกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า
“มีอยู่วันหนึ่ง ก็กำลังรับสังฆทานอยู่อย่างนี้แหละ
พระท่านก็บอกว่า "คนสมัยนี้ทำบุญ ตั้งกำลังใจผิดจึงได้บุญน้อย"
กราบเรียนถามท่านว่าเป็นเพราะอะไร ?
ท่านบอกว่า “มัวแต่ถ่ายรูปกัน” กำลังใจไม่ได้ตั้งมั่นอยู่กับทานตรงหน้า ห่วงแต่จะถ่ายรูป
อันนี้อาตมาไม่ได้ว่าเองนะ ท่านที่มองไม่เห็นท่านว่ามา อาตมาก็แค่ว่าต่อ ไม่เป็นไรหรอก...อย่างไรก็มีหลักฐานนะ ถึงเวลาลงไปข้างล่างนี่นายบัญชีทำงานง่าย เพราะว่าเรามีหลักฐานพร้อมว่าได้ทำบุญจริง ๆ”
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐
เว็บวัดท่าขนุน -
ทำไมคนเราต้องภาวนาคะ ?
ถาม : ทำไมคนเราต้องภาวนาคะ ?
ตอบ : อันดับแรกคือต้องการให้ใจสงบ ในเหตุการณ์ทางโลกถ้าใจเราสงบลง ประสิทธิภาพการทำงานทุกอย่างจะดีขึ้น
อันดับที่สองก็คือ จิตใจที่สงบจากกิเลสชั่วคราว เป็นความสุขที่หาได้ยากในชีวิตปัจจุบัน หลังจากนั้นก็คือต้องการให้เกิดปัญญา เพื่อหาทางหลุดพ้นจากกองทุกข์ ซึ่งเป็นขั้นท้าย ๆ ของการภาวนาเลย
ถ้าคนสมาธิดี ๆ โรคสารพัดโรคจะหายไปเองโดยอัตโนมัติ อย่างเช่นโรคเครียด นอนไม่หลับอะไรประมาณนั้น เพราะฉะนั้น...ลองไปทำดู เป็นยานอนหลับชั้นดีเลย พุทไม่ทันจะโธก็หลับแล้ว
ถาม : ถ้าสติตามไม่ทันละคะ ?
ตอบ : ถ้าสติตามไม่ทันจะมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือหายไปเฉย ๆ เหมือนกับเราเผลอหลับ อีกอย่างหนึ่งก็คือไปฟุ้งซ่าน รัก โลภ โกรธ หลง เสียเยอะแยะ พอรู้ตัวให้รีบดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจใหม่ เริ่มต้นนับ ๑ กันใหม่
ถาม : ถ้าวูบหายไปเลย ?
ตอบ : รอให้ได้สติแล้วก็เริ่มต้นใหม่ พยายามตั้งสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเอาไว้ อย่าเผลอให้หลุดไปอีก แต่ก็จะหลุดอยู่เรื่อย ๆ จนกว่าเราจะชำนาญ ถึงจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ก็จะรำคาญ ไม่ทันไรหลับอีกแล้ว ความจริงไม่ได้หลับหรอก สติขาด จึงไม่รับรู้อะไร... -
การสร้างวัดและสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการสร้างคน
ถาม : เรื่องการสร้างวัด เราจะรู้ได้อย่างไรว่ากิเลสหลอกให้เราอยากทำ หรือกิเลสหลอกให้เราเบื่อหน่าย อยู่เฉย ๆ ดีกว่า ไม่ต้องทำอะไร ?
ตอบ : เอาแค่พอสมควรแก่การใช้งาน ถ้าหากว่ามีเพียงพอแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปทำให้เหนื่อยยาก เพราะว่าสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการสร้างคน
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งใจจะสร้างคน ถึงขนาดทำธุดงค์สถาน ๑๐๐ ไร่ ท่านตั้งใจจะให้พระผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปฝึกกรรมฐานคนละ ๑ เดือน แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันจะทำเสร็จ ท่านก็ไปเสียก่อน ตกลงว่าท่านสร้างได้แต่ของ ส่วนคนสร้างได้ไม่มากเท่าที่ท่านต้องการ
จะว่าไปแล้วในหมู่ลูกศิษย์ของท่านรุ่นแรก ๆ ได้ดีกันทั้งนั้น แต่คราวนี้สำคัญตรงที่ว่าท่านอยากให้พระได้ดี ท่านบอกว่า "ข้ามัวแต่ทำงานอยู่ จนพระรอไม่ไหว สึกหาลาเพศไปก็มาก ออกไปอยู่วัดอื่นก็มี" ท่านก็เลยตั้งใจทำธุดงค์สถานเอาไว้ เพื่อที่จะให้พระเข้าไปฝึกกรรมฐานกันที่นั่น แต่ว่ายังไม่ทันจะสำเร็จ
เพราะฉะนั้น...พวกคุณก็ดูแค่ว่า ถ้าวัดมีเสนาสนะเพียงพอแก่การใช้งาน ไม่ต้องถึงขนาดหรูหรามาก ใหญ่โตมาก ก็เริ่มสร้างคนได้แล้ว ตัวผมเองในวัดก็หยุดสร้างแล้ว เหลืออยู่แค่สร้างคนอย่างเดียว... -
ยิ่งทุกข์ยากลำบากยิ่งเห็นง่าย วิปัสสนาญาณหลัก ๆ ที่สำคัญก็คือมองทุกข์ให้เห็น ยอมรับสภาพว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น แล้วเราไม่ต้องการอีก
ถาม : สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา ไม่ว่าโยมหรือพระก็ได้รับวิบากกรรมเช่น มีอุบัติเหตุตาย แต่กำลังวิปัสสนาก็ทำให้บรรลุได้ ไม่เกี่ยวกันใช่ไหมครับว่าจะต้องมีบุญ จะต้องเจริญขึ้นแล้วต้องบรรลุ หรือต้องรับกรรมนั้น ?
ตอบ : ยิ่งทุกข์ยากลำบากยิ่งเห็นง่าย วิปัสสนาญาณหลัก ๆ ที่สำคัญก็คือมองทุกข์ให้เห็น ยอมรับสภาพว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น แล้วเราไม่ต้องการอีก ถ้าหากว่ามีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว บางทีลืมทุกข์ไปเสียด้วยซ้ำ บางคนเป็นพระโสดาบันก็ติดอยู่แค่นั้นทั้งชีวิต เพราะว่าไปเพลินกับความสุขของอารมณ์ที่กิเลสลดน้อยลง
ยิ่งลำบากยิ่งได้เปรียบ ถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อบรรลุจริงๆ จะง่าย
ก็แบบเดียวกับเรื่องของการสร้างวัด ตอนแรกหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ถ้าทำใจได้จะบรรลุเร็ว ผมเองก็สงสัยว่าอย่างไร ทำใจได้ บรรลุเร็ว ?
พอไปเจอเข้าจริง ๆ สารพัดเรื่องสารพัดราว โดยเฉพาะพวกช่างรับเงินแล้วไม่ทำงาน อยากจะไปกระทืบพวกนี้ถึงบ้าน แต่พอเราทำใจได้ ปล่อยได้ วางได้ รู้สึกว่าอะไรต่อมิอะไรไหลมาเทมา ได้มากกว่าเดิมเยอะ ถ้าหากว่าเอาแต่สบาย โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมกลับมีน้อย ต้องพวกสร้างบุญมาดีจริง ๆ เท่านั้น
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.... -
คุณค่าที่สำคัญที่สุด ของมโนมยิทธิที่หลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านเมตตาสอนมา
"มโนมยิทธิที่หลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านเมตตาสอนมานั้น
คุณค่าที่สำคัญที่สุด คือ รู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง
ถ้าเราจดจำอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นเอาไว้ได้
ตอนที่เรากลับลงมาแล้วประคับประคองรักษาเอาไว้
เท่ากับว่าเราเข้าถึงอารมณ์ความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง
ถ้าสามารถทำได้บ่อย ๆ เข้า ระยะเวลาที่เราทรงอารมณ์แบบนั้นได้ก็จะนานขึ้นไปเรื่อย ๆ
ท้ายที่สุดสภาพจิตที่ชินกับการหมดกิเลส ก็จะเข้าถึงความหมดกิเลสไปจริง ๆ
นั่นคือเป้าหมายหลักที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตาสอนให้กับพวกเรา"
"ส่วนเป้าหมายรองลงไปก็คือ พิสูจน์ว่าบรรดาภพภูมิต่าง ๆ
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นั้นมีจริงหรือไม่ ?
ดูว่าผลของกรรมดีกรรมชั่วที่เราทำมาจะส่งผลอย่างไร ?
ถ้าเห็นชัดเจนขนาดนั้นแล้วยังเลือกที่จะทำชั่ว ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรแล้ว
แต่พวกเรามักจะเอาไปใช้ผิด ก็คือไประลึกชาติว่าคนโน้นเป็นอย่างนั้นกับเรา
คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะเข็ดว่ากี่ชาติ ๆ ก็เกิดมาลำบากอยู่อย่างนี้ แต่ก็ไม่เข็ด
แถมไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่อีกต่างหาก ที่อาตมาเคยเปรียบว่า เราลอยคออยู่ในทะเลทุกข์ แทนที่จะรีบว่ายขึ้นฝั่ง... -
เหตุใดที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เทศน์เรื่องการตัดเข้ามรรคผลนิพพานโดยตรง แต่ผู้รับฟังกลับบรรลุอรหันต์ได้เป็นจำนวนมาก ?
ถาม : เหตุใดที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เทศน์เรื่องการตัดเข้ามรรคผลนิพพานโดยตรง แต่ผู้รับฟังกลับบรรลุอรหันต์ได้เป็นจำนวนมาก ? อ้างอิงจากตอนที่พระพุทธเจ้าหนีพระภิกษุสองฝ่ายที่ทะเลาะกันหนีไปอยู่ที่ป่าเลไลยก์ และพระอานนท์พร้อมทั้งสาวก ๕๐๐ รูปไปตาม หลังเทศน์เรื่องการคบมิตรแล้วทำให้พระภิกษุ ๕๐๐ รูปบรรลุอรหัตผล ?
ตอบ : เพราะว่าพระทั้งหลายเหล่านั้นท่านฉลาด ส่วนเราโง่ก็เลยไม่บรรลุเสียที...! ในเรื่องของเทศนาจะต้องส่งใจตามธรรมไป โดยเฉพาะเห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไร้สาระแก่นสารของการเกิดมาในโลกนี้
ถ้าหากปัญญาถึง สามารถรู้เห็นได้อย่างชัดเจน สภาพจิตถอนจากการยึดมั่นถือมั่น ก็สามารถที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้ ไม่ใช่ว่าต้องป้อนไปจนกระทั่งถึงปาก ต่อให้ป้อนถึงปาก ถ้าเราไม่อ้าปาก ก็ไม่สามารถที่จะกินข้าวนั้นได้อยู่ดี
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐
เว็บวัดท่าขนุน -
พระโพธิสัตว์กับปุถุชนทั่วไปมีข้อแตกต่างหรือเปล่าครับ ?
ถาม : พระโพธิสัตว์กับปุถุชนทั่วไปมีข้อแตกต่างหรือเปล่าครับ ? เพราะบางชาติพระโพธิสัตว์ก็ทำบาปทั้งที่ ๆ ดูแล้วไม่น่าจะทำ อย่างโตไทยพราหมณ์โพธิสัตว์ ที่จะได้ตรัสรู้ในกัปหน้า ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ก็คือบุคคลที่เหมือน ๆ กับเรานี่เอง ประกอบด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกัน เพียงแต่เป้าหมายในการดำรงชีวิตของท่านเหล่านั้นยิ่งใหญ่มาก คือ ตั้งใจขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร ดังนั้น...การเป็นพระโพธิสัตว์นั้น มีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นอยู่แน่แท้ คือลงนรกเป็นปกติ..!
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐
เว็บวัดท่าขนุน -
ใน ๑๐ บารมี พระพุทธเจ้าสรรเสริญปัญญาบารมีที่สุด ในชาตินี้อยากมีปัญญาบารมีมาก ๆ ควรจะทำบุญประเภทใด
ถาม : พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ท่านกล่าวไว้ว่าใน ๑๐ บารมี ตั้งแต่ทานบารมีจนถึงอุเบกขาบารมี พระพุทธเจ้าสรรเสริญปัญญาบารมีที่สุด ผมเลยอยากทราบว่า ในชาตินี้อยากมีปัญญาบารมีมาก ๆ แล้วเผื่อไปชาติหน้าด้วย ควรจะทำบุญประเภทใดนอกจากการภาวนาและการถวายพระไตรปิฎก ?
ตอบ : พิจารณาวิปัสสนาญาณไว้บ่อย ๆ ถ้าสามารถรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วยอมรับได้ ก็ไม่ต้องรอชาติหน้าอีกด้วย
ถาม : การภาวนาต้องเข้าถึงระดับฌาน ๘ และวิปัสสนา ๑๖ จะได้มีปัญญาบารมีมาก ๆ ในชาตินี้และเผื่อในอนาคตชาติด้วย แบบขนาดที่ว่าฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ครั้งเดียวแล้วบรรลุเลย หรือเปล่าครับ หรือแค่ได้สมาธิไม่ถึงระดับฌานก็พอ ?
ตอบ : แค่กำลังใจเราเกาะความดีจุดใดจุดหนึ่ง ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนของเก่าให้ก็บรรลุมรรคผลได้แล้ว ถ้าถึงวิปัสสนาญาณ ๑๖ ก็ไม่ต้องเกิดกันอีก บรรลุตั้งแต่เข้าถึงแล้ว
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐
เว็บวัดท่าขนุน -
พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติปี 2560
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2560
เมื่อวันที่ 25 ก.ค. สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2560 เพื่ออัญเชิญลงหนังสือวันแม่แห่งชาติปี 2560 ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ความว่า “สอนให้ลูก เรียนรู้ สู้ปัญหา พัฒนา ด้วยตน จนเติบใหญ่ เพราะคนแกร่ง จะก้าว ได้ยาวไกล เพื่อมาเป็น กำลังไทย ให้แข็งแรง”
----------
ที่มา :
http://www.newtv.co.th/news/3682 -
ปรมาจารย์เว่ยหล่าง พระอรหันต์ของจีนที่นิพพานมาเป็นพันๆปีแต่ร่างกายยังนั่งสมาธิเป็นหินอย่างสมบูรณ์
...................
ปรมาจารย์เว่ยหล่าง พระอรหันต์ของจีนที่นิพพานมาเป็นพันๆปีแต่ร่างกายยังนั่งสมาธิเป็นหินอย่างสมบูรณ์
ประวัติของท่านเว่ยหล่าง
ท่านเว่ยหล่าง พระสังฆปริณายกองค์ที่ ๖ ของพุทธศาสนานิกายเซน เดิมชื่อฮุ่ยเน่ง (Hui Neng) ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๑๑๘๑ สมัยยุคราชวงค์ถัง เดิมเป็นชาวเมืองน่ำเฮี้ยง แล้วต่อมาได้ไปอยู่ที่กวางตุ้ง บิดาได้ถึงแก่กรรมในขณะที่ท่านยังเล็กอยู่ และมารดาก็เลี้ยงท่านมาในสภาพที่ยากจนทนทุกข์ ทั้งสองคนได้ย้ายจากกวางตุ้งไปอยู่กวางเจา ต้องทำงานในเรือกสวนไร่นา ช่วงเวลาว่างก็จะตัดไม้ ผ่าฟืนและหาบไปขายในตลาด ท่านเว่ยหล่างอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่มีความเฉลียวฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณและมีความจำเป็นเลิศ
ในหนังสือ "สูตรของเว่ยหล่าง" ที่แปลโดยท่านพุทธทาสภิกขุ มีข้อความที่ท่านเว่ยหล่างเล่าอัตชีวประวัติเอาไว้ว่า
"บิดาของอาตมาเป็นชาวเมืองฟันยาง ถูกถอดจากตำแหน่งข้าราชการ ถูกเนรเทศไปอยู่อย่างราษฎรสามัญที่ซุนเจาในมณฑลกวางตุ้ง อาตมาโชคร้ายโดยที่บิดาไปถึงแก่กรรมเสียแต่ในขณะที่อาตมายังเล็กเหลือเกิน และละทิ้งมารดาไว้ในสภาพที่ยากจนทนทุกข์ เราสองคนจึงย้ายไปอยู่ทางกวางเจา... -
เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน พระภิกษุผู้บรรลุอรหันต์ด้วยการเพ่งเงาแดด
เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน พระภิกษุผู้บรรลุอรหันต์ด้วยการเพ่งเงาแดด
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ผู้เจริญมรีจิกัมมัฏฐาน ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 46 นี้
ครั้งหนึ่ง มีพระภิกษุรูปหนึ่ง เรียนพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้ว ได้ไปสู่ป่า แม้ว่าพระภิกษุรูปนี้จะเพียรพยามปฏิบัติพระกัมมัฏฐานอย่างไร ก็ไม่ก้าวหน้าถึงพระอรหัตตผล ดังนั้นท่านจึงได้ตัดสินใจเดินทางกลับไปเฝ้าพระศาสดาเพื่อขอคำนะนำเพิ่มเติม ในระหว่างทางท่านได้เห็นพยับแดด(เงาแดด)ซึ่งเป็นเพียงภาพลวงตาที่แลเห็นเป็นรูปร่าง พอเห็นแค่นี้นี้ท่านก็รู้แจ้งเห็นจริงว่า ร่างกายของคนเราก็ไม่มีตัวตนเหมือนกับพยับแดด ดังนั้นท่านจึงได้ใช้จิตพิจาณาความไม่มีตัวตนของร่างกาย เดินมาถึงริมฝั่งมาน้ำอจิรวดี ขณะที่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ริมฝั่งแม่น้ำมองลงไปในแม่น้ำ ได้แลเห็นฟูมฟองน้ำขนาดใหญ่ถูกคลื่นซัดแตกกระจาย ท่านก็ได้ตระหนักถึงสภาพที่ไม่ยั่งยืนของร่างกาย
ต่อมาไม่นาน พระศาสดาประทับอยู่ที่พระคันธกุฎี ได้มาปรากฏในภาพนิมิตของพระภิกษุนั้น ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุ ที่เธอเข้าใจแล้วนั้นถูกต้องแล้ว ร่างกายนี้ไม่ยั่งยืน... -
จมมานานกว่า 30 ปี!! "วัดวังก์วิเวการาม" เมืองใต้บาดาลอันสวยงาม กับประวัติความเป็นมาน่ามหัศจรรย์!!เป็นบุญตาของชีวิต สักครั้งต้องลองไปสัมผัส!!
สถานที่แห่งนี้คือ "เมืองบาดาล" ที่จมอยู่ใต้น้ำมานานกว่า 33 ปีแล้ว โดยจมอยู่ใต้เขื่อนเขาแหลม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ซึ่งเมื่อก่อนเคย ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน ก่อนจมลงใต้บาดาล
"วัดวังก์วิเวการาม" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่ออุตตมะ" เป็นบริเวณวัดหลวงพ่ออุตตมะเดิมที่ ปัจจุบันพระอุโบสถหลังเก่าจมอยู่ใต้น้ำเป็นที่รู้จักในชื่อว่า "วัดใต้น้ำ สังขละบุรี" เราจะสามารถเห็นได้ชัดในช่วงฤดูแล้งช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน เพราะน้ำจะลด ทำให้สามารถมองเห็นโบสถ์ของวัดได้อย่างชัดเจน
แต่ในช่วงน้ำขึ้นน้ำจะท่วมสูงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงยอดโบสถ์ให้เห็นเท่านั้น หากใครที่ต้องการชมความงดงามของโบสถ์ และศาลาการเปรียญของวัดวังก์วิเวการามเดิมอย่างใกล้ชิด ควรเดินทางมาก่อนเดือนสิงหาคม ก่อนที่น้ำจะเพิ่มระดับสูงขึ้น
ซึ่งประวัติความเป็นมาของ "วัดวังก์วิเวการาม" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่ออุตตมะ" เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ ได้ร่วมกันสร้างขึ้น ในปี พ.ศ. 2496 ที่บ้านวังกะล่าง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ในระยะแรกมีเพียงกุฏิและศาลา มีฐานะเป็นสำนักสงฆ์... -
การสร้างพระ หล่อพระ แล้วได้บุญใหญ่นั้นจริงหรือไม่? ทำเช่นไรจึงจะได้บุญใหญ่? พระอาจารย์สุชาติชี้แนะไว้!!!
ถาม : การสร้างพระ หล่อพระ แล้วได้บุญใหญ่นั้นจริงหรือไม่? ถ้าเทียบกับการลงมือปฏิบัติธรรมภาวนา อันไหนได้อานิสงส์มากกว่ากัน
พระอาจารย์ : การปฏิบัติต้องได้อานิสงส์มากกว่า เพราะเป็นปฏิบัติบูชา ส่วนการสร้างพระพุทธรูปนี้ ยังถือว่าเป็นอามิสบูชาอยู่
ถ้าการสร้างพระพุทธรูปได้บุญ ๑ ล้าน (หนึ่งล้าน)
การปฏิบัติก็จะได้เป็น ๑๐๐,๐๐๐ ล้าน (แสนล้าน)
พระพุทธเจ้าบอกว่าการบูชาตถาคตที่แท้จริง ต้องบูชาด้วยการปฏิบัติบูชา ส่วนอามิสบูชานี้ ก็เป็นเพียงแต่การแสดงความเคารพความศรัทธาเท่านั้น แต่ยังไม่ได้ยังประโยชน์ให้แก่ผู้ที่มีความเคารพมีความศรัทธา ไม่เหมือนกับการปฏิบัติบูชา ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา อันนี้จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ปฏิบัติ
ดังนั้นขอให้เรามุ่งไปที่การปฏิบัติบูชา
ไม่มีเงินสร้างพระพุทธรูป ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาหาเงินมาสร้างพระพุทธรูป เพราะว่าอานิสงส์ได้ไม่เท่ากับการไปปลีกวิเวก ไปปฏิบัติธรรม ไปเจริญสมถวิปัสสนาภาวนา อันนี้แหละเป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะจะทำให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานนั่นเอง
ต่อให้สร้างพระพุทธรูปเป็นแสนล้านองค์ ก็จะไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้... -
เปิดที่เที่ยวใหม่ วังพญานาค 4 ตระกูล พุทธอุทยานหลวงปู่สด
วันนี้ Sanook! Travel จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ของจังหวัดปราจีนบุรี นั่นก็คือ พุทธอุทยานหลวงปู่สดนั่นเอง
ที่นี่เป็นอุทยานที่สร้างขึ้นมาจากพื้นที่นาเก่ารกร้างของนายณรงค์ เพียรผักแว่น หรือช่างเอ๋ วัย 46 ปี อาชีพเป็นช่างปั้นงานศิลปะฝีมือดี
โดยเริ่มแรกนั้นช่างเอ๋ได้นิมิตรเห็นหลวงปู่สดลอยอยู่กลางบึงน้ำขนาดใหญ่จึง ได้ริเริ่มทำตามนิมิตรของตน บูรณะที่นารกร้าง
ให้กลายเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ และปั้นรูปปั้นหลวงปู่สดขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ที่บึงน้ำนี้ และต่อมาได้นิมิตรอีกว่าได้พบเห็นพญานาค 4 ตน อยู่ตรงบึงน้ำของหลวงปู่สด
จึงเกิดเป็นปณิธานในการสร้างปั้นรูปพญานาคต่อมาในปัจจุบัน ซึ่งพญานาคมีทั้งหมดสี่ตน จึงตั้งชื่อที่นี่ว่า วังพญานาค 4 ตระกูล พุทธอุทยานหลวงปู่สด
กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเชื่อของเหล่าพุทธศาสนิกชน ที่มีความเชื่อเรื่องพญานาค แห่แหนเข้ามาเยี่ยมชมพุทธอุทยานนี้เป็นจำนวนมาก
กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ของ ปราจีนบุรี ใครที่มีความเชื่อและความศรัทธาในพญานาครวมถึงหลวงปู่สด สามารถเดินทางไปสักการะกันได้ที่ บ้านเลขที่ 37/1 หมู่ 9 บ้านคลองชัน... -
เข้าวัด ทำบุญ ไล่ยุงวิถีพุทธ สร้างบุญป้องกันโรคจากยุงลาย ลุย 3.6 หมื่นวัด ช่วงเข้าพรรษา
อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข พร้อมด้วยพระมหาสมควร สุทสฺสโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบัวขวัญ นายณรงค์ แสงสุวรรณ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดบัวขวัญ (มีทับราษฎร์บำรุง) ร่วมเปิดโครงการรณรงค์ “เข้าวัด ทำบุญ ไล่ยุงวิถีพุทธ”
โดยชวนพุทธศาสนิกชนสร้างบุญป้องกันโรคติดต่อจากยุงลายด้วย 5 วิธี หลังผลสำรวจชี้! ศาสนสถานเป็นแหล่งที่พบลูกน้ำยุงลายมากที่สุด ถึงร้อยละ 58 ของจำนวนศาสนสถานที่สำรวจทั้งหมด
นายแพทย์เจษฎา กล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงของเทศกาลเข้าพรรษา ประชาชนและพุทธศาสนิกชนต่างพากันเข้าวัดทำบุญ ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน จึงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง
หลายพื้นที่มีน้ำขังจนกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ส่งผลให้ช่วงนี้มีผู้ป่วยจากโรคที่มียุงเป็นพาหะเพิ่มขึ้น ทั้งโรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย โดยเฉพาะโรคไข้เลือดออกที่มียุงลายเป็นพาหะ
ซึ่งสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 17 กรกฎาคม 2560 มีรายงานผู้ป่วยแล้ว 22,356 ราย เสียชีวิต 31 ราย จากข้อมูลพบว่าในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด พบว่าเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก... -
จะพิสูจน์กรรมได้อย่างไร
จะพิสูจน์กรรมได้อย่างไร
เดี๋ยวนี้เมื่อพูดว่าอะไรเป็นอะไร ก็มักจะถูกถามว่าพิสูจน์ได้หรือไม่ เหมือนอย่างวิธีพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ อันทุกๆสิ่งที่ปรากฏขึ้น หรือดังที่เรียกว่าปรากฏการณ์นั้น ต้องเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้แน่ ในเมื่อมีเครื่องพิสูจน์ที่เพียงพอ แต่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ชนิดไหน ก็สุดแต่สิ่งที่พิสูจน์
ถ้าสิ่งที่พิสูจน์นั้นเป็นวัตถุหรือสสาร ก็พึงพิสูจน์ด้วยเครื่องพิสูจน์สำหรับวัตถุหรือสสารนั้นทางวิทยาศาสตร์ ดังนี้เป็นต้น ถ้าสิ่งที่พิสูจน์เป็นอย่างอื่นจะใช้เครื่องพิสูจน์สำหรับวัตถุหรือสสารนั้นก็หาได้ไม่ ถ้าจะพึงใช้เครื่องพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าวได้ทุกอย่างแล้ว ศาลหลวงก็ไม่ต้องตั้งขึ้น เพราะเมื่อใครถูกกล่าวหาฟ้องร้องว่าทำผิด ก็จับตัวมาเข้าห้องวิทยาศาสตร์พิสูจน์ ไม่ต้องขึ้นศาล ในบัดนี้แม้จะมีเครื่องจับเท็จก็ใช้เป็นเพียงเครื่องมือประกอบเท่านั้น ใช้เป็นเครื่องวินิจฉัยเด็ดขาดหาได้ไม่ ฉะนั้น จะพิสูจน์อะไรก็ต้องมีเครื่องพิสูจน์ที่ควรกัน
กล่าวอย่างสรุป เมื่อสิ่งที่พิสูจน์เป็นวัตถุหรือสสาร ก็ใช้เครื่องพิสูจน์ในทางนั้น เมื่อสิ่งที่พิสูจน์เป็น
ความจริงที่นอกไปจากวัตถุหรือสสาร... -
หลักกรรมนอกพระพุทธศาสนา
ส่วนในลัทธิอื่น บางลัทธิปรฏิเสธกรรมเสียเลย บางลัทธิรับรองหลักกรรมบ้าง ปฏิเสธบ้าง แต่การระบุว่าทำอะไร เป็นกรรมดี ทำอะไรเป็นกรรมไม่ดี ก็มีกล่าวไว้ต่างๆ กัน ลัทธิที่ปฏิเสธหลักกรรมเสียเลยนั้น คือปฏิเสธว่ากรรมดีชั่วไม่มี ผลของกรรมดีชั่วไม่มี เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีกรรมเป็นของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของของกรรม เพราะเมื่อใครทำอะไรทำแล้วก็แล้วไปไม่เห็นมีอะไรที่เรียกว่ากรรมเหลือติดตัว และที่ว่าดีไม่ดีนั้นก็เป็นการว่าเอาเอง ใครชอบก็ว่าดี ใครไม่ชอบก็ว่าไม่ดี เหมือนอย่างฝนตกแดดออก ใครชอบก็ชม ใครไม่ชอบก็ติ โดยที่แท้เป็นเรื่องของดินฟ้าอากาศ เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีผลอะไร กรรมอะไร ส่วนผลต่างๆ ที่ได้รับนั้น เกิดขึ้นตามคราว ตามสมัย เหมือนอย่างผลไม้ต่างๆ ถึงคราวจะมีผล ก็มีผลขึ้นตามชนิด
ลัทธิที่รับบ้างปฏิเสธบ้าง เช่น รับว่าเมื่อทำอะไรไปก็เป็นบุญเป็นบาป ทำนองรับรองว่ากรรมมี แต่เมื่อคราวจะต้องรับผลของกรรม ก็อยากจะรับแต่ผลของกรรมดี ไม่อยากรับผลของกรรมชั่ว จึงแสดงวิธีทำให้หายบาป เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ทำเอง จึงมิใช่ผู้เป็นเจ้าของของกรรมที่ทำอย่างแน่นอน แต่มีเจ้าของอยู่อีกส่วนหนึ่ง... -
ชีวิตเนื่องด้วยกรรม และกรรมคืออะไร
ชีวิตของทุกคนเกี่ยวข้องกับกรรม ทั้งที่เป็นกรรมเก่า ทั้งที่เป็นกรรมใหม่ จะกล่าวว่าชีวิตเป็นผลของกรรมก็ได้ คำว่า กรรมเก่ากรรมใหม่นี้ อธิบายได้หลายระยะ เช่น ระยะไกล
กรรมที่ทำแล้วในอดีตชาติ เรียกว่ากรรมเก่า กรรมที่ทำแล้วในปัจจุบันชาติ เรียกว่ากรรมใหม่ อธิบายอย่างนี้อาจจะไกลมากไป จนคนที่ไม่เชื่ออดีตเกิดความคลางแคลงไม่เชื่อ จึงเปลี่ยน
มาอธิบายระยะใกล้ว่าในปัจจุบันชาตินี้แหละ กรรมที่ทำไปแล้ว ตั้งแต่เกิดมาเป็นกรรมเก่า ส่วนกรรมที่เพิ่งทำเสร็จลงไปใหม่ๆ เป็นกรรมใหม่ แม้กรรมที่จะเข้าใจหรือที่จะทำก็เป็นกรรมใหม่
เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจเรื่องชีวิตได้ดี จำต้องทำความเข้าใจเรื่องกรรมให้ดีด้วย
คำว่า กรรม มีใช้ในภาษาไทยมาก เช่น กรรมการ กรรมกร กรรมาธิการ แต่ในภาษาที่พูดกัน เคราะห์ร้ายมักตกอยู่แก่กรรม เคราะห์ดีมักอยู่แก่บุญ ดังเมื่อใครประสบเคราะห์ร้าย
คือทุกข์ภัยพิบัติต่างๆ ก็พูดว่าเป็นกรรม แต่เมื่อใครประสบเคราะห์ดีมักพูดว่าเป็นบุญ และมีคำพูดกันว่า บุญทำกรรมแต่ง
เกณฑ์ให้กรรมเป็นฝ่ายดำ ให้บุญเป็นฝ่ายขาว ความเข้าใจเรื่องกรรมและคำที่ใช้พูดกันในภาษาไทยจักเป็นอย่างไร ให้งดไว้ก่อน... -
กรรมจากการขวางบุญผู้อื่น และเรื่องในพระไตรปิฏก
การขวางบุญผู้อื่น
การขวางบุญผู้อื่น ถือว่าเป็นกรรมฝ่ายอกุศลกรรมอีกชนิดหนึ่ง ถือว่าเป็นกรรมใหญ่ที่บั่นทอนรายได้และความเจริญอย่างมาก มีหลายชนิดดังนี้
การขวางบุญโดยไม่ให้ผู้อื่นรักษาศีลและนั่งสมาธิ ถือว่าเป็นกรรมใหญ่ เพราะศีลเป็นบุญชั้นกลาง สมาธิเป็นบุญชั้นสูง คือเป็นครุกรรม คือกรรมหนักฝ่ายกุศล ถ้าผู้ใดไปขวางบุญชนิดนี้ จะทำให้ผู้นั้นได้รับความทุกข์ยากลำบากเป็นอย่างมาก
การขวางบุญในการแสดงธรรม-การฟังธรรม คือ ในขณะที่อาจารย์สอนธรรมะให้คนทั่วไปฟังอยู่นั้น หรือในขณะที่พระทำพิธีสวดมนต์อยู่นั้น อาจจะมีบางคนพุดคุยกันในที่แห่งนั้น ซึ่งทำให้ผู้ที่ถูกชวนคุยนั้นฟังที่อาจารย์สอนไม่รู้เรื่อง และยังทำให้คนข้างๆ เสียสมาธิในการฟังด้วย เป็นการรบกวนคนอื่นรอบข้าง หรือการกระทำใดๆก็ตามคนที่ฟังธรรม ในที่แห่งนั้นเสียสมาธิในการฟัง หรือถูกรบกวนการฟังธรรม ทั้งที่ผู้ที่กระทำนั้นไม่ได้มีความตั้งใจหรือมีเจตนา แต่เขาผู้นั้นจะต้องได้รับกรรมชดใช้ และกรรมของการขัดขวางบุญผู้อื่นแน่นอน และผลกรรมที่ได้รับก็คือ เขาจะเป็นผู้ตาบอด หูหนวก เป็นต้อเนื้อ ต้อกระจก ปากแหว่ง หรืออาจจะปากเสีย... -
หนังสือ สนทนาธรรม เล่ม 10 ทั้งเล่ม
หนังสือ สนทนาธรรม เล่ม 10
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) -
พระพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ตอน ความสิ้นตัณหา คือ นิพพาน
พระพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ตอน ความสิ้นตัณหา คือ นิพพาน
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ที่เรียกว่า ‘สัตว์ สัตว์’ดังนี้, อันว่าสัตว์มีได้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเล่า ? พระเจ้าข้า !”
ราธะ ! ความพอใจอันใด ราคะอันใด นันทิอันใด ตัณหาอันใด มีอยู่ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณ, เพราะการติดแล้ว ข้องแล้ว ในสิ่งนั้น ๆ, เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ‘สัตว์’ ดังนี้.
ราธะ ! เปรียบเหมือนพวกกุมารน้อย ๆ หรือกุมารีน้อย ๆ เล่นเรือนน้อย ๆ ที่ทำด้วยดินอยู่, ตราบใดเขายังมีราคะ มีฉันทะ มีความรัก มีความกระหาย มีความเร่าร้อน และมีตัณหา ในเรือนน้อยที่ทำด้วยดินเหล่านั้น ; ตราบนั้นพวกเด็กน้อยนั้น ๆ ย่อมอาลัยเรือนน้อยที่ทำด้วยดินเหล่านั้น ย่อมอยากเล่น ย่อมอยากมีเรือนน้อย ที่ทำด้วยดิน เหล่านั้น ย่อมยึดถือเรือนน้อย ที่ทำด้วยดินเหล่านั้นว่าเป็นของเรา ดังนี้.
ราธะ ! แต่เมื่อใดแล พวกกุมารน้อย ๆ หรือกุมารีน้อย ๆ เหล่านั้น มีราคะไปปราศแล้ว มีฉันทะไปปราศแล้ว มีความรักไปปราศแล้ว มีความกระหายไปปราศแล้ว มีความเร่าร้อนไปปราศแล้ว มีตัณหาไปปราศแล้ว ในเรือนน้อยที่ทำด้วยดินเหล่านั้น,... -
พายุโซนร้อน “เซินกา” เข้าไทยวันนี้
กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือน พายุโซนร้อน “เซินกา” ส่งผลทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนตกชุกหนาแน่น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่
กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือน ฉบับที่ 8 เรื่อง “พายุโซนร้อน “เซินกา” (SONCA) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีผลกระทบจนถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2560
ประกาศดังกล่าวระบุว่า วันนี้ พายุโซนร้อน “เซินกา” (SONCA) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 190 กิโลเมตรทางตะวันออกของเมืองวิญ ประเทศเวียดนาม พายุนี้กำลังเคลื่อนที่ทางตะวันตกอย่างช้าๆ คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามในวันนี้ และจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำ ก่อนเคลื่อนผ่านประเทศลาว ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคเหนือ ตามลำดับ ลักษณะเช่นนี้ส่งผลทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนตกชุกหนาแน่น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ โดยมีพื้นที่ได้รับผลกระทบตามภาคต่างๆ โดยในช่วงวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2560 ภาคเหนือ , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ , ภาคตะวันออก และในช่วงวันที่ 27-28 กรกฎาคม 2560 ภาคเหนือ , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ , ภาคตะวันออก...
หน้า 361 ของ 416