Almine ผู้เป็นอมตะ และเป็น "Ascended Master" และ "คู่มือการเลื่อนระดับขึ้น" จากเธอ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 25 พฤศจิกายน 2011.

  1. Lastquarter

    Lastquarter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +272
    เยี่ยมยอดครับ
     
  2. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571
    เป็นสิ่งที่ดี ....... ปล่อยวาง แล้วจิตใจท่าน จะสงบ

    ไม่ควรคล้อยตามครับ ที่ผมแย้งข้อมูล จขกท เพื่อให้ เห็นข้อมูลหลายๆด้าน

    ซึ่งข้อมูลของผม อาจมั่วมา หรือ ผิดพลาดก็ได้ ท่านต้องพิจารณาให้รอบครับ



    ........... ไม่คล้อยตามอะไรง่ายๆ ชีวิตท่านจะไม่ค่อยหลงทาง ไม่ถูกหลอกง่าย........

    .................. สติ ..............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2011
  3. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    อ่านข้อความคุณ numtrn (อ่านว่า น้ำตาลหรือเปล่าครับ) แล้วนึกถึงข้อความของคุณชยุต สมัยก่อน อิอิ คล้ายๆแบบนี้แหละ


    ขออภัยที่พาดพิง จขกท.
     
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    วิธีการเลื่อนระดับขึ้น โดยอาศัยสมองซีกขวา (The Right Brain Method)


    http://www.ascendedmastery.com/Resources/rightbrain.pdf


    ทัศนคติแห่งการเลื่อนระดับขึ้นทั้งสามนี้ ซึ่งได้แก่ ความรัก (Love),
    ความชื่นชมยินดี (Praise) และ ความซาบซึ้งใจ (Gratitude)
    คือตัวแทนของสิ่งที่เป็นไตรภาคี (trinity) ที่พบอยู่ทั่วไปทั่วทั้งเมตริกซ์ของสรรพสิ่งทั้งปวงนี้

    พวกมันคือสิ่งประเสริฐสูงสุดในชีวิตของผู้ที่หลุดพ้นแล้วทั้งหลาย
    พวกมันคือยานพาหนะไปสู่ความเป็นอมตะ และการเลื่อนระดับขึ้น
    ที่กำลังรอคอยมนุษย์อยู่ เพื่อให้มนุษย์ได้มีประสบการณ์
    ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของประสบการณ์ในปัจจุบันนี้ของมนุษย์



    1). ความรัก (Love)

    [​IMG]


    Emerson เขียนเอาไว้ว่า “อนิจจา..ข้าไม่รู้เลยว่าทำไม มนุษย์แต่ละคนจึงมองเห็นว่าประสบการณ์ของตัวเอง
    เป็นความผิดพลาดและแปดเปื้อน ในขณะที่มองเห็นประสบการณ์ของคนอื่นๆว่าถูกต้องแล้ว และดีมากแล้ว”

    เหตุผลที่เมื่อเรามองย้อนกลับไปในอดีต เราจะรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เราเรียกว่าการกระทำที่โง่เขลาของตัวเองอย่างมากนั้น
    ก็เพราะว่า ความทรงจำในจิตสำนึกระดับสูงกว่าของเรา อยู่ไม่ลึกลงไปกว่าระดับพื้นผิวของจิตใจมากนัก
    เราทนอยู่กับความทรงจำที่ปวดร้าวเกี่ยวกับใครบางคนที่เราเคยรัก และทนอยู่กับความรู้สึกผิด
    จากความด่างพร้อยของการเลือกมากมาย ที่เราได้เลือกทำไปแล้วในอดีต

    เราไม่เคารพในเส้นทางเดินของชีวิตเรา แต่อย่างไรก็ตาม เพราะความที่ไม่รู้คุณค่า
    ของสิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นความผิดพลาดเหล่านั้น เราจึงไม่รู้ว่ามันคือครูผู้ยิ่งใหญ่ที่จะสอนให้เราเกิดปัญญาได้
    การตัดขาดความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวไป หรือทิ้งทางเลือกที่ไม่ฉลาดอันนั้นไปเสีย
    ก็เท่ากับว่าเราจะต้องทิ้งภูมิปัญญาและความเข้าใจไปด้วย

    ไม่มีความเจ็บปวดจากการตำหนิตัวเองใด จะทรมานเราได้มากเท่ากับ
    การเจ็บปวดจากความทรงจำที่สูญเสียรักไป หรือ ไว้ใจคนผิดหรอก


    [​IMG]
    (สัญญลักษณ์ภาษาโบราณจากทวยเทพที่หมายถึง "ความรัก")


    คำว่า “รัก” นี้ ถูกพาดพิงถึงโดยพระนักเทศน์ หรือบนโต๊ะอาหารในภัตตาคาร หรือในการ์ดอวยพรในวาระต่างๆทุกๆวาระ
    แต่ความจริงก็คือ มีนักปรัชญาน้อยคนมากที่จะให้ความสำคัญกับความรักแบบโรแมนติก
    ว่ามันก็สามารถที่จะไปกันได้กับความรักที่มีต่อพระเจ้าและพระผู้สร้างได้เหมือนกัน

    ความรักแบบโรแมนติกนั้น ถูกสรรเสริญโดยงานประพันธ์มากมาย แต่ในขณะเดียวกัน
    ก็ถูกมองข้ามโดยงานเขียนทางด้านจิตวิญญาณมากมายด้วย
    เพราะว่ามันถูกมองว่าไม่คู่ควรที่จะเป็นภาพสะท้อนของความรักแบบไร้ขีดจำกัด

    ผลลัพธ์ของมันก็คือ เพราะว่าความรักแบบโรแมนติกนั้น คือความรู้สึกลุ่มหลงมัวเมามากที่สุด ที่มนุษย์จะสามารถมีได้
    (พวกนักปรัชญาเรียกว่า “สิ่งลุ่มหลงในชีวิตมนุษย์”) ดังนั้น มันจึงก่อให้เกิดความรู้สึกผิดขึ้น
    เพราะว่าพวกเขารู้สึกว่า น่าจะเอาความรักที่ล้นเหลือแบบนี้ไปมอบให้พระเจ้าแทน

    ในชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่มีช่วงเวลาใดในชีวิตอีกแล้ว ที่จะมีความรักแบบลุ่มหลงมัวเมาแบบเตลิดเปิดเปิง
    เท่ากับในช่วงที่เป็นวัยรุ่นเลย ดังนั้น เราจึงพบว่าตัวเองกำลังขาดความศรัทธาอยู่
    ดังนั้น เราจึงพยายามที่จะรักพระเจ้าด้วยความรู้สึกท่วมท้นทั้งหมดที่เราพอจะมีได้
    ซึ่งสำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นหลักการณ์ที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน

    เพราะเหตุนี้ บ่อยครั้งมันจึงก่อให้เกิดกลุ่มผู้คลั่งไคล้ศาสนาขึ้น ผู้ที่ล้นเหลวในความรู้สึกของตนเอง
    ผู้ที่พยายามจะชดเชยด้วยการกระทำบางอย่างของตัวเอง

    ความรู้สึกทะลักล้นของความรักแบบโรแมนติกของเรานี้ จะไปแกะสลักให้จิตวิญญาณของเราเกิดช่องเกิดโพรงขึ้น
    ซึ่งพวกมันจะกลายเป็นที่ๆจะใช้เก็บสะสมความรักที่สูงส่งกว่าเอาไว้ต่อไป
    ซึ่งด้วยความรักของเราที่มีต่อบุคคลอันเป็นที่รักของเรานี้เอง ไม่ว่าจะเป็นต่อพ่อ แม่ หรือลูกๆก็ตาม
    จะทำให้มันพัฒนาและขยายไปสู่การรักคนอื่นๆทุกๆคนได้ต่อไป

    คลื่นทะเลอันเชี่ยวกราก สามารถที่จะแกะสลักให้เกิดอุโมงค์หรือถ้ำที่ลึกที่สุดบนหน้าผาได้ฉันใด
    ความทรงจำที่เจ็บปวดที่สุดทั้งหลาย ก็สามารถที่จะทำให้เกิดช่องว่าง
    สำหรับบรรจุความรักที่ลึกล้ำที่สุดได้ฉันนั้นเหมือนกัน


    คุณแม่ของฉัน ใช้บั้นปลายชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากที่ๆฉันอยู่ราวๆ 15 ชั่วโมงเมื่อไปทางรถยนตร์
    ฉันเคยพยายามที่จะขอให้ท่านย้ายมาอยู่ในที่ๆครอบครัวของฉันจะสามารถดูแลเธอได้สะดวกๆแล้ว
    แต่หมอบอกว่านั่นอาจจะทำให้โรคหัวใจที่รักษาไม่หายของเธอเป็นหนักขึ้นไปอีก

    เพราะความเครียดจากการย้ายเธอก็ได้ ดังนั้น เพราะความยากลำบากในการไปหาเธอ
    (ซึ่งช่วงหลังๆมา เธอก็จำพวกเราไม่ได้อีกเลย เมื่อพวกเราโทรไปหาเธอ)
    ทำให้เธอต้องตายอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า ห่างไกลจากคนที่เธอรักไปหลายไมล์

    ความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดที่ฉันปล่อยเธอไว้แบบนั้น ได้ผุดขึ้นมาในหัวใจของฉันอยู่หลายปีโดยไม่ได้รับเชิญ
    แต่มันก็ได้ทำให้ความสามารถในการรักคนชราของฉัน เพิ่มมากขึ้นและลึกล้ำยิ่งขึ้นด้วย

    ดังนั้น เมื่อใดที่ฉันได้เจอคนชรา ฉันก็จะแอบอวยพรและบำบัดรักษาให้แก่พวกเขาอยู่เสมอๆ
    เพราะฉันรู้ว่าพวกเขาก็คือพ่อหรือแม่ของลูกคนใดคนหนึ่งนั่นเอง

    ดังนั้น ความรักแบบโรแมนติกที่ท่วมท้นมากๆ ก็สามารถที่จะทำให้ ความสามารถของเรา
    ในการที่จะรักผู้อื่นให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้เหมือนกัน
    แต่มันก็ยังช่วยทำให้อีกหลายสิ่งหลายอย่างถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้เหมือนกัน

    ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ศิลปินทั้งหลาย ใส่ลงไปในงานศิลปะของพวกเขา
    ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความเสน่หาในความรักนั่นเอง

    ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ไม่เพียงแต่สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งที่เราเป็นอีกด้วย ก็จะถูกลับให้คมขึ้น
    และถูกทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจนโตเต็มที่ ซึ่งสิ่งนี้จะไม่มีอยู่ในผู้ที่ไม่เคยสละความรักที่มีต่อตนเองเพียงอย่างเดียว
    เพื่อที่จะไปรักคนอื่นๆบ้างได้เลย ดังนั้น พวกเราจึงต้องเรียนรู้ผ่านความรักแบบโลกๆของเรานี้แหละว่า
    จะสามารถสละอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะให้ได้บางอย่างที่สูงส่งยิ่งกว่ามาได้อย่างไร
    แล้วสักวันหนึ่งเราก็อาจจะสามารถผสานรวมกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของเราเองได้

    พวกเราจะสามารถค้นพบบทกวีที่อยู่ภายใน หรือความเป็นเด็กตามธรรมชาติที่อยู่ภายในตัวเราเองได้
    โดยอาศัยการการคิดคะนึงถึงความรัก พวกเราจะจดจำความรู้สึกของการปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามใจของเราเอง
    โดยละทิ้งเหตุผลทั้งหมดไป ได้อีกครั้งหนึ่ง

    ความรักจะทำให้เราเบิกบานและลดการต่อต้านชีวิตของเราลงไปได้ และเมื่อเราโตขึ้น
    เราจะสูญเสียความรักแบบเข้มข้นรุนแรงไป แต่เราจะได้ความรักแบบครอบคลุมกว้างไกลมาแทน

    ซึ่งคุณภาพของความรักแบบครอบคลุมกว้างไกลนี้เอง (มหาเมตตาหรือเปล่านะ? – ผู้แปล)
    บวกกับการรู้จักเสียสละ จะช่วยเตรียมความพร้อมให้กับเรา เพื่อมุ่งไปสู่การมี “ความตระหนักรู้แห่งพระเจ้า”
    (God-consciousness) ได้ ซึ่ง ณ.จุดนี้เราจะได้พบกับความเงียบสงบของจิตใจ

    หัวใจของเราไม่สามารถที่จะรักได้อย่างเต็มที่ หากว่ามันกำลังฟุ้งซ่านอยู่
    ดังนั้น เราจึงสามารถรับรู้ได้แต่เฉพาะสิ่งที่เป็นสัญญาเก่าๆเท่านั้น

    แต่เมื่อใดที่จิตใจของเราสงบลงแล้ว หัวใจก็จะเปิดออกอย่างรวดเร็ว
    พร้อมกับความรู้สึกอ่อนโยนรักใคร่ ที่มีแต่ทุกสรรพชีวิตอย่างท่วมท้น
    เพราะว่าความรักอันศักดิ์สิทธิ์ สถิตย์อยู่ที่หัวใจของเรานี่เอง

    ............................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • sigil-love.jpg
      sigil-love.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.2 KB
      เปิดดู:
      696
    • love.png
      love.png
      ขนาดไฟล์:
      71.1 KB
      เปิดดู:
      694
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2011
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    วิธีการเลื่อนระดับขึ้น โดยอาศัยสมองซีกขวา (The Right Brain Method)


    http://www.ascendedmastery.com/Resources/rightbrain.pdf


    2). Praise (ความรู้สึกชื่นชมยินดี, ยกย่องสรรเสริญ)

    [​IMG]


    ตอนที่ฉันเป็นเด็ก ฉันเคยกลัวความสูง เวลาที่อยู่บนที่สูงๆในงานเทศกาลต่างๆ
    หรือเวลาที่ฉันปีนขึ้นไปเกาะอยู่บนต้นหม่อน ฉันได้พบว่าฉันสามารถเอาชนะความกลัวความสูงได้
    โดยการมองออกไปไกลๆ แล้วค่อยๆปรับสายตาให้ค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
    จากความสูงที่ทำให้กลัวจนหน้ามืด ก็จะค่อยๆรู้สึกสบายขึ้น


    [​IMG]
    (สัญญลักษณ์ภาษาโบราณจากทวยเทพที่หมายถึง Praise)

    ความรู้สึกชื่นชมยินดี คือทัศนคติอย่างหนึ่ง ที่จะเพ่งความสนใจไปที่ทิวทัศน์ที่ไกลๆ
    และทำให้ตัวมันเองได้มีโอกาสเพลิดเพลินกับภาพที่น่าตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างมากได้

    เช่น มันคือการยอมรับว่ายังมีใบเรียกเก็บเงินที่เรายังไม่ได้จ่ายอยู่ แต่เราจะเพ่งความสนใจไปที่ประเด็นที่ว่า
    นั่นหมายความว่า ยังมีกระแสแห่งความอุดมสมบูรณ์และหล่อเลี้ยงบำรุงหลั่งไหลมาหาคนที่เชื่อในมันอยู่แทน

    มันไม่ใช่ว่าให้เลิกสนใจความเป็นไปต่างๆของวันนี้ แต่มันคือการให้มองดูพวกมัน
    ในบริบทที่แท้จริงของพวกมันแทน ว่าพวกมันคือสิ่งที่จะนำพาไปสู่การเจริญเติบโต

    ความรู้สึกชื่นชมยินดี คือทัศนคติอย่างหนึ่ง ที่จะคิดไปในทางสร้างสรรค์และสูงส่งดีงาม
    ซึ่งก็ไม่มีเรื่องไหนที่จะใช้เป็นตัวอย่างได้ดีเท่ากับเรื่องที่พระเยซูคริสต์เดินบนน้ำ
    ที่มีระบุไว้ในคัมภีร์ไบเบิล ชุด New Testment ได้อีกแล้ว

    พระองค์ไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่ทะเลที่กำลังมีคลื่นโหมกระหน่ำอยู่
    แต่พระองค์จดจ่อแน่วแน่อยู่แต่กับ “ความเป็นชีวิต” ที่ดำรงอยู่ภายในแทน
    ไม่ได้เพ่งความสนใจอยู่กับสิ่งภายนอกเลย

    แต่ปิเตอร์ สาวกคนหนึ่งของพระองค์ ผู้ที่ต้องการจะเดินบนน้ำด้วยเหมือนกัน
    กลับมองเห็นแต่คลื่นใหญ่ยักษ์และลมพายุที่โหมกระหน่ำ จึงทำให้เขาจมลงไปในน้ำ
    จนพระองค์ต้องยื่นมือลงไปฉุดดึงเขาขึ้นมา

    ตอนนั้นพระเยซูคริสต์กำลังอยู่ในสภาวะแห่งความชื่นชมยินดี แต่ว่าปิเตอร์ไม่ใช่

    สภาวะแห่งความชื่นชมยินดีนั้น ได้ถูกใช้โดยผู้ที่สามารถเชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้มานานแสนนานแล้ว
    ในฐานะที่มันเป็นคุณลักษณะของการเลื่อนระดับขึ้นอย่างหนึ่ง มันจึงจำเป็นต้องถูกทำให้เข้มแข็งขึ้น
    โดยประสบการณ์

    มันไม่เป็นการเพียงพอที่จะสิ้นเปลืองเวลาทั้งวันของเราไปกับการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า
    เพื่อที่จะให้ได้มันมา เพราะว่าเหตุผลข้อแรก และเป็นข้อที่สำคัญที่สุดก็คือ ที่พวกเรามาอยู่ที่นี่
    ก็เพื่อที่จะมาค้นหาสิ่งที่เรายังไม่รู้ ดังนั้น ความพยายามใดๆก็ตามที่จะเป็นไป
    เพื่อหลีกหนีภาระหน้าที่ที่จะต้องทำนั้นหละก็ ล้วนเกิดโทษทั้งนั้น

    การหลีกเลี่ยงหน้าที่ของเราเอง และการหลบเลี่ยงเสียงเรียกร้องอันสูงสุด
    เพื่อแอบหลบไปอยู่อย่างสันโดษในสภาวะแห่งความปิติสุขของความรู้สึกชื่นชมยินดีนั้น
    จะทำให้สภาวะแห่งความชื่นชมยินดีที่เกิดขึ้นมานั้น ไม่ผ่านการทดสอบ และไม่เข้มแข็ง

    เพราะว่าสิ่งที่ถูกปกป้องเอาไว้ส่วนใหญ่ มักจะไม่ค่อยแข็งแรงทนทาน
    เพราะว่ามันจะไม่ถูกลับให้คมโดยผ่านทางประสบการณ์
    หรือไม่ถูกขัดเกลาให้เงางามเปล่งปลั่งมากยิ่งขึ้นโดยอาศัยความทุกข์

    มันง่ายมากที่จะทำให้เกิดความรู้สึกชื่นชมยินดีในหลุมหลบภัยอันศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนซักแห่ง
    แต่ว่า..เราจะสามารถค้นพบความสมบูรณ์แบบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของสิ่งที่แสดงออกมาให้เห็น
    บนใบหน้าอันซูบเซียวของขอทานที่กำลังนอนอยู่ข้างถนนในเมืองได้ไหมหละ?

    ความบังเอิญไม่มีอยู่เลยในเอกภพ ถ้ามีขอทานสักคนหนึ่งอยู่บนถนน นั่นก็แสดงว่า
    มันย่อมจะมีความจำเป็นสำหรับเขา ที่จะต้องไปอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน

    มันอาจจะเป็นผลพวงมาจาก การที่เขาเอาแต่หลบเลี่ยงพัฒนาการขั้นต่อไปของตัวเองอยู่ตลอดเวลาก็ได้
    ดังนั้น ความเจ็บปวดอันนั้น จึงกำลังผลักดันให้เขาเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขาเองอยู่
    หรือบางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าเขากำลังแก้ไขปัญหาส่วนที่ลึกลับซับซ้อนมากที่สุดส่วนหนึ่งของเขาเองอยู่ก็ได้
    มันก็เลยต้องอาศัยกระจกสะท้อนที่รุนแรงแบบนั้น เพื่อทำให้เขาเห็นว่าอะไรที่ไม่ใช่พระเจ้า

    แต่ไม่ว่าเหตุผลของมันจะคืออะไรก็ตาม มันก็จะมีวิธีการมากมาย
    ที่จะทำให้เรารู้สึกชื่นชมยินดีได้เสมอนั่นแหละ ถ้าเราเปลี่ยนการจดจ่อของเรา
    จากการจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เห็นภายนอก ไปสู่ความเป็นชีวิตที่อยู่ภายในนั้นเสีย

    ความรู้สึกชื่นชมยินดี จะไปเต็มแสงสว่างให้กับเซลของร่างกายของเรา
    แล้วทุกก้าวย่างของเราก็จะกลายเป็นของขวัญสำหรับดาวเคราะห์โลกใบนี้
    ทุกสรรพชีวิตที่เราไปสัมผัสก็จะตอบสนองต่อระดับพัฒนาการที่สูงขึ้นนี้
    ด้วยการมีระดับความสั่นสะเทือนที่สูงขึ้นเท่าที่จะสามารถเป็นไปได้

    การเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกชื่นชมยินดีนี้ ก็เท่ากับว่าเราเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่าง
    และพลังชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นด้วย แล้วภายในชั่วพริบตาเดียว สายฟ้าฟาดแห่งความเป็นอมตะ
    ก็จะเปลี่ยนพวกเราไปสู่ความเป็นคุรุผู้รู้แจ้ง (Ascended Master)

    …………………………………………..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2011
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    วิธีการเลื่อนระดับขึ้น โดยอาศัยสมองซีกขวา (The Right Brain Method)


    http://www.ascendedmastery.com/Resources/rightbrain.pdf

    3). Gratitude (ความรู้สึกสำนึกในบุญคุณ, ความรู้สึกซาบซึ้งใจ, ความรู้สึกกตัญญู)

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    ถ้าความสุขที่แท้จริง ก็คือการที่เรามีความสุขอยู่กับสิ่งที่เรามีอยู่ในขณะนี้
    ไม่ใช่การมีความสุขในเวลาที่เราได้สิ่งที่เราต้องการมาแล้วหละก็
    ถ้างั้น ความรู้สึกซาบซึ้งใจ ก็คือกุญแจสู่ความสุขหละ ความรู้สึกซาบซึ้งใจ
    จะช่วยให้เรามองเห็นคุณค่าของความสุขเล็กๆน้อยๆที่อยู่ในแต่ละชั่วขณะ
    โดยที่ไม่ต้องไปรอให้เกิดสิ่งที่ดีๆที่ไม่คาดคิดใดๆเกิดขึ้นมาก่อนเลย

    และเมื่อเป็นดังนี้แล้ว พวกเราจึงเรียนรู้ที่จะมีเห็นคุณค่าของชีวิตและสำนึกในบุญคุณของชีวิตเราเอง

    ชีวิตมีสิ่งมีค่าขนาดเล็กๆซ่อนอยู่มากมาย เช่น ในตอนที่เรากำลังอยู่ในโอเอซีสแห่งความเงียบสงบ
    ในชั่วขณะที่ไร้การถูกรบกวนใดๆ และได้จิบน้ำชาสักถ้วยหนึ่ง ก็ทำให้เราสามารถ
    กลับเข้าไปพินิจพิเคราะห์ดูโลกภายในของตนเองได้แล้ว


    ชีวิตคือความสัมฤทธิ์ผลของก้าวย่างแห่งกาลเวลา ที่เราที่จะใช้มันทำในสิ่งที่เราต้องการ
    เราสามารถที่จะใช้ชีวิตให้หมดไปกับการทำงานด้วยความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็ได้
    หรือเราสามารถที่จะเติมแสงสว่างให้กับทุกก้าวย่างของชีวิตด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจก็ได้,

    เราสามารถที่จะรู้สึกถึงความรักและใส่ใจอันแสนอบอุ่นจากคนที่เรารัก ในคืนอันมืดมิดและมีฝนกระหน่ำก็ได้,
    เราสามารถที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจในชั่วขณะที่เรารู้สึกถึงการมาของฤดูใบไม้ผลิในอากาศก็ได้,
    เราสามารถที่จะรู้สึกเพลิดเพลินและมันเขี้ยวเจ้าตัวน้อยด้วยความเอ็นดู
    ในชั่วขณะที่เรากำลังไกวเปลเจ้าตัวน้อยให้หลับอยู่ และที่ได้เห็นว่าหนังตาของเธอ
    กำลังหนักลงๆเพราะเหนื่อยจากการซุกซนมาทั้งวันก็ได้,

    ทุกชั่วขณะที่มีคุณค่าทั้งหมดนี้ที่เราตระหนักรู้ ล้วนมีเหตุผลมากพอ
    ที่จะทำให้หัวใจของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจได้ทั้งนั้น

    [​IMG]
    (สัญญลักษณ์โบราณจากทวยเทพแทนความหมายของ Gratitude)


    ความรู้สึกซาบซึ้งใจ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เรามีความสุขเท่านั้น
    แต่ยังจะช่วยให้เรามีสิ่งต่างๆเพิ่มพูนมากขึ้นอีกด้วย

    “กฎแห่งการชดเชย” (Law of Supply) ที่เป็นความลับมากที่สุดข้อหนึ่งก็คือ
    ความรู้สึกซาบซึ้งใจจะไปเปิดประตูน้ำแห่งสวรรค์ และจะไปเพิ่มพูนอะไรก็ตาม
    ที่มันกำลังจดจ่ออยู่ให้มีมากขึ้นด้วย

    ดังนั้น ถ้าเราต้องการมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์มากขึ้น, มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น,
    และมีความสามารถมากขึ้น เราก็ต้องเริ่มต้นที่ความรู้สึกซาบซึ้งใจ
    หรือสำนึกในบุญคุณในสิ่งที่เรามีอยู่ในขณะนี้ซะก่อน แทนที่จะไปมองว่า
    มันช่างมีน้อยซะเหลือเกิน อะไรแบบนั้น ให้เราจดจ่ออยู่กับความรู้สึกขอบคุณ
    ความรู้สึกกตัญญู และความรู้สึกเบิกบาน ที่ดีแล้ว ดีมากแล้ว ที่เรายังมีสิ่งเหล่านั้นอยู่แทน

    ให้เรารู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจ ด้วยความจริงใจและเต็มใจ กับทุกๆดอลล่าร์ที่เราจ่ายออกไป
    แล้วเงินทองที่มากมายกว่านั้น มันก็จะหาทางมาเข้ากระเป๋าของเราเอง

    และก็เหมือนกับคุณลักษณะของการเลื่อนระดับขึ้นอื่นๆ ที่ ความซาบซึ้งใจ
    คือสิ่งที่จะมีได้กับเฉพาะผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับมันเท่านั้น

    ชนเผ่าพื้นเมืองมากมาย รู้กันดี และรู้มาโดยตลอดว่าธรรมชาติจะตอบสนองเป็นอย่างดี
    ต่อความรู้สึกสำนึกบุญคุณ/ความกตัญญู และรู้กันดีว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จะเจริญงอกงาม
    และวิวัฒน์ได้ดี ภายใต้ความรู้สึกสำนึกบุญคุณของมนุษย์

    ความรู้สึกสำนึกบุณคุณนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นผลดีต่อผู้ให้เท่านั้น
    แต่ยังจะเป็นผลดีต่อผู้รับอีกด้วย



    บททดสอบที่แท้จริงของผู้ที่มีหัวใจรู้สึกสำนึกในบุญคุณ ก็คือปัญหาอุปสรรค์ทั้งหลาย
    ที่ชีวิตนำพามาให้นั่นเอง ความรู้สึกสำนึกในบุญคุณ/ความซาบซึ้งใจแบบกว้างไกล
    จะต้องเป็นดังดวงตะวัน หรือเป็นดังสายฝนที่หล่อเลี้ยงชีวิตทุกสรรพชีวิต
    โดยไม่มีแบ่งแยกว่าชีวิตไหนคู่ควร และชีวิตไหนไม่คูควร แต่จะต้องแผ่ความรู้สึกซาบซึ้งใจนี้
    ออกไปสู่ทั้งความสุขและความเจ็บปวดอย่างเท่าเทียมกัน

    มันจะต้องอาศัยปัญญาและความเข้าใจอันลึกซึ้ง เพื่อค้นให้เจอสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
    ของสิ่งที่ปรากฎออกมาให้เห็นทั้งหลาย แล้วสกัดเอาความจริงอันเป็นนิรันดร์ออกมาให้ได้ว่า
    แท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าไม่ได้ประทานสิ่งอื่นใดมาให้เราเลย นอกจากสิ่งที่ดีงามเท่านั้น

    เพราะไม่ว่าพระองค์จะทรงประทานของขวัญหรือปัญหาอุปสรรคมาให้เราก็ตาม
    แต่ปัญหาอุปสรรคเองก็คือของขวัญที่ซ่อนรูปมาด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว
    ดังนั้น มันจึงคู่ควรแก่การรู้สึกขอบคุณด้วย

    และเมื่อเรานำแนวคิดนี้ไปใช้ เราก็จะพบในไม่ช้าว่า แม้แต่แสงสว่างที่สลัวและเลือนลางที่สุด
    ของความรู้สึกขอบคุณ/ซาบซึ้งใจ/สำนึกในบุญคุณจากหัวใจของเรานี้
    จะเริ่มไปสลายมายาการที่ปกปิดของขวัญแห่งปัญญา ที่ปัญหาอุปสรรคนั้นๆมีอยู่ได้

    หากเราสามารถควบคุมความสามารถในการรู้สึกขอบคุณ/ซาบซึ้งใจ/สำนึกในบุญคุณของเรา
    ให้มีอยู่ในทุกๆสถานการณ์ได้ พลังอำนาจแห่งการเปลี่ยนแปลง
    ของความรู้สึกขอบคุณ/ซาบซึ้งใจ/สำนึกในบุญคุณ ก็จะโชติช่วงมากขึ้น
    และจะไปเปลี่ยนแปลงเซลในร่างกายของเรา
    [/COLOR][/SIZE][/B]
    ………………………………….
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2011
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เดี๋ยววันหลังค่อยมาต่อนะครับ
    วันนี้รู้สึกอยากนั่งสมาธิแต่หัววัน
    เลยจะขอโพสต์แค่นี้ก่อนนะครับ

    ..................................
     
  8. Senju

    Senju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +94
    ขอบคุณมากน่ะครับรับและเติมเต็มแสงสว่างแล้วครับ ^^
     
  9. tangOAH

    tangOAH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,183
    ค่าพลัง:
    +5,528
    ขอบคุณค่ะ วันหยุดก็พักผ่อนบ้างนะคะ
    ทำเพื่อพวกเรามามากแล้ว
    อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยนะคะ

    :cool::cool::cool:
     
  10. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ถ้าเป็นเมื่อก่อน เวลามีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นในชีวิต ดิฉันจะรำพึงว่า"ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับเรานะ" แต่ในวันนี้ ดิฉันจะบอกตัวเองว่า"ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง" ที่เข้ามาในชีวิตค่ะ
     
  11. tangOAH

    tangOAH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,183
    ค่าพลัง:
    +5,528
    จ้า อนุโมทนาจ้าลูอีสที่รัก

    โอ๋ก็เหมือนกันตอนนี้กำลังเป็นหวัด ไอค๊อกไอแค๊ก
    แต่ก็สุขสุขอ่ะค่ะ อิอิอิ

    :cool::cool::cool:


     
  12. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    เป็นหวัด เพราะนอนดึกใช่มั้ยจ๊ะ? ดูแลตัวเองดีๆล่ะ เป็นห่วงเพื่อนร่วมทางเสมอ 55+
     
  13. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    วิธีการเลื่อนระดับขึ้น โดยอาศัยสมองซีกซ้าย (The Left Brain Method)

    http://www.ascendedmastery.com/Resources/leftbrain.pdf


    จุดประสงค์เบื้องต้นของวิธีการเลื่อนระดับขึ้นโดยอาศัยสมองซีกซ้าย
    (The Left Brain Method) ก็คือ “การควบคุมจิตใจ”
    มันคือการจัดเรียงสิ่งที่รู้แล้วให้เป็นระบบระเบียบ
    เพื่อที่เราจะสามารถเข้าถึงสิ่งที่ยังไม่รู้ได้

    เทคนิกต่างๆที่ถูกใช้เพื่อการควบคุมจิตใจนี้
    สามารถที่จะเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลของเราได้
    และสามารถทำให้เกิดการเลื่อนระดับขึ้นได้ด้วย

    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เทคนิกต่างๆเหล่านี้มักจะถูกเข้าใจผิดอยู่เสมอๆ
    และมักจะค่อยๆถูกทำให้ผิดเพี้ยนหรือพึลึกมากขึ้นเรื่อยๆด้วย
    เช่น การห้ามไม่ให้มีความสนุกสนาน หรือรื่นเริงหรรษา,
    การดำรงชีวิตอยู่อย่างเคร่งครัดและเข้มงวด และอยู่อย่างสันโดษในวัดวาอาราม,
    การใช้ยากล่อมประสาท, การทรมานให้ร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ เป็นต้น

    เทคนิกที่สุดโต่งเหล่านี้ ก็อาจจะให้ผลได้ในระดับหนึ่ง
    แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นแต่อย่างใดเลย
    เพราะว่า มีสิ่งเดียวที่พวกเราจำเป็นต้องทำก็คือ

    “การเป็นอิสระหลุดพ้นจากการตระหนักรู้
    และความเข้าใจที่จำกัดให้ได้” เท่านั้นเอง

    โดยให้บทเรียนชีวิตเป็นครูผู้สอนเรา และโดยการกลับไปสู่
    สภาวะธรรมชาติดั้งเดิมของเราให้ได้ ซึ่งนั่นก็คือ
    สภาวะแห่ง “ความรักอันศักดิ์สิทธิ์” นั่นเอง



    ปลดปล่อยอดีตให้ผ่านไป (Overcome the Past)

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    การกำจัดอดีตทิ้งไป จะทำให้เราเป็นอิสระจากการคาดหวังแบบเป็นเหตุเป็นผลได้
    เพราะว่าความคาดหวังของเราจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเรา

    ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเคยมีคนรักแล้ว แต่ว่าคนที่คุณรักทุกคนต่างก็ทิ้งคุณไปหมด
    ดังนั้น จึงทำให้คุณรู้สึกว่ามันเป็นการเสี่ยงทางอารมณ์ที่จะไปใกล้ชิดกับคนอื่นๆ
    ซึ่งความรู้สึกนี้ จะค่อยๆตกตะกอนและนำไปสู่ความล้มเหลวทางความสัมพันธ์ครั้งใหม่
    ต่อๆไปอีก ดังนั้น ถ้าเรายังมีความคาดหวังแบบนี้อยู่ นั่นก็เท่ากับว่า
    เรากำลังสร้างอดีต ให้หวนกลับคืนมาใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่

    แล้วเราต้องการสร้างอดีตของเราขึ้นมาใหม่ ในอนาคตของเราไหมหละ?

    จุดเริ่มต้นที่ดีจุดหนึ่ง ก็คือการ “ให้คำจำกัดความใหม่แก่ตัวเอง” เสีย
    จงจำไว้ว่า พวกเราไม่ใช่สิ่งที่พวกเรากำลังมีประสบการณ์อยู่นี้เลย

    พวกเราสร้างสถานการณ์ต่างๆในชีวิตของเราเองขึ้นมา ก็เพื่อที่จะ
    เพิ่มระดับความรู้ความเข้าใจของเราให้มากขึ้นเท่านั้นเอง

    ไม่ว่า Jane จะเลือกที่จะเป็นฆาตกรต่อเนื่อง หรือ John จะเลือกที่จะเป็น Light worker
    หรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ มันก็เพื่อการเรียนรู้บทเรียนเท่านั้นเอง
    หากเราตระหนักรู้ได้ว่า มันไม่มีเส้นทางไหนหรอก ที่จะถูกต้องมากกว่าเส้นทางอื่นๆแล้วหละก็
    เราก็จะไม่เที่ยวไปตัดสินชี้ถูกผิดคนอื่น รวมทั้งตัวเราเองเลย

    นี่คือสิ่งที่สำคัญ เพราะว่าเป้าหมายก็คือการมามีประสบการณ์ชีวิต
    ด้วยความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ

    ............................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2011
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    วิธีการเลื่อนระดับขึ้น โดยอาศัยสมองซีกซ้าย (The Left Brain Method)

    http://www.ascendedmastery.com/Resources/leftbrain.pdf


    A). การเผชิญหน้ากับมันเพื่อทบทวนมันซ้ำอีกครั้งหนึ่ง (Recapitulation)

    วิธีการหนึ่งที่จะทำให้สามารถละทิ้งอดีตไปได้ก็คือ
    “การเผชิญหน้ากับมันเพื่อทบทวนมันซ้ำอีกครั้งหนึ่ง (Recapitulation)”

    มันคือการตรวจสอบหรือการคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด
    เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหลาย
    ที่ยังคงมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเราอยู่
    โดยทำให้เราต้องแสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อบุคคล,
    เหตุการณ์ และความเชื่อ ไปในทางใดทางหนึ่งอยู่

    การ Recapitulation นี้ จะช่วยให้เราสามารถปลดปล่อยเศษซากของความเจ็บปวด
    ในอดีต ที่ยังค้างอยู่ออกไปได้ และจะช่วยให้เราสามารถกอบกู้ชิ้นส่วน
    ที่ได้รับความเสียหายจากความเจ็บปวดนั้นๆของเราเองกลับคืนมาได้

    ถ้าเรามีฉลากที่ชี้บ่งความเป็นตัวตนของเราแปะเอาไว้อยู่
    หรือถ้าเรามีความทะนงตน หรือความอหังการอยู่
    หรือถ้าเรายังคงเที่ยวไปตัดสินชี้ถูกผิดคนอื่นๆ หรือเหตุการณ์ต่างๆอยู่หละก็
    ทั้งหมดเหล่านี้ เราจำเป็นจะต้องชำระสะสางพวกมันออกไปให้หมดสิ้น

    การ Recapitulation สามารถที่จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้
    แต่มันจะเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจซะมากกว่า ถ้าจะทำให้มันง่ายขึ้นหละก็
    ให้จับเรื่องราวในอดีตที่ต้องการชำระสะสางนั้นให้มาอยู่กันเป็นหมวดหมู่ซะ
    เช่น เรื่องของปีนั้นปีนี้, เรื่องครอบครัว, เรื่องคู่สมรส, เรื่องคู่รัก, เรื่องเพื่อน,
    เรื่องครูบาอาจารย์, เรื่องเพื่อนร่วมชั้นเรียน, เรื่องเพื่อนนักเรียน,
    เรื่องเจ้านาย, เรื่องเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น

    บางครั้ง เราอาจจะได้รับภาพของเหตุการณ์ในอดีตที่แว๊บเข้ามาในหัวเรา
    ในระหว่างที่เราหลับฝันก็ได้ นั่นคือสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า
    เหตุการณ์เหล่านั้น จำเป็นจะต้องได้รับการปลดปล่อยแล้ว

    และมันก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ถ้าเราสามารถรู้รูปแบบของวัฏจักร
    ของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราเองได้ เพราะว่ามันจะทำให้เราจะสามารถ
    Recapitulation มันทั้งวัฏจักรไปเลย และก็จะสามารถปลดปล่อยวัฏจักรอื่นๆ
    ที่คล้ายๆกันนี้ ไปพร้อมๆกันด้วยเลย

    ผลที่ตามมาก็คือ เมื่อคุณทบทวนชีวิตของคุณเองแล้ว
    ต้องแน่ใจว่าคุณได้ทบทวนวัฏจักรย่อยๆทั้งหลาย
    ที่ซ้อนอยู่ในวัฏจักรใหญ่ๆนั้นด้วยแล้ว


    กระบวนการ Recapitulation นี้จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
    หลังจากที่เราตายไปแล้ว เพราะว่าภายหลังจากที่เราตายไปแล้วหลายชั่วโมง
    วิญญาณของเราก็จะยังอยู่ในสนามพลังงานรูปไข่
    ที่ล้อมรอบร่างกายเนื้อของเราอยู่

    ซึ่งในช่วงเวลานี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในชีวิตของเรา
    ก็จะมาปรากฎต่อหน้าเราให้เราได้เห็นอีกครั้งหนึ่ง
    และเมื่อเราเป็นผู้ดูมันอยู่ เราจึงสามารถที่จะมองเห็นมัน
    จาก “มุมมองของพระเจ้า” ได้

    และด้วยเหตุนี้ เรื่องราวทั้งหมดในชีวิตของเรา จึงถูกเรานำมาคิดใคร่ครวญ
    และทบทวนและตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
    จากนั้น วิญญาณของเราจึงจะจากไปสู่โลกแห่งจิตวิญญาณต่อไป
    แล้วสนามพลังงานรูปไข่ที่ว่านั้น ก็จะสูญสลายหายไป


    กุญแจสู่ความสำเร็จของการ Recapitulation

    จงจำให้ได้ว่าตอนที่มันเกิดขึ้นกับเราตอนนั้น เรารู้สึกอย่างไร
    (แม้ว่าจะเป็นการมองผ่านสายตาของเด็กคนหนึ่งก็ตาม
    ถ้าตอนนั้นเรายังเป็นเด็กหนะนะ)

    แล้วจากนั้นก็ให้ค่อยๆเปลี่ยนมุมมองของเรา
    ไปมองดูมันในมุมมองของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยคนอื่นๆบ้าง
    (เช่น ตอนเป็นเด็ก เด็กอาจจะเข้าใจผิดไปอย่างสิ้นเชิง
    ที่ถูกผู้ใหญ่เหวี่ยงให้ไปกองอยู่ที่พื้น เพราะว่าผู้ใหญ่คนนั้นรู้ว่า
    กำลังมีภัยบางอย่างคุกคามความปลอดภัยของเด็กคนนั้นอยู่)

    แล้วจากนั้น ก็นึกจินตนาการถึงเหตุการณ์นั้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง
    ไม่ใช่แค่นึกถึงมันในหัวเท่านั้น ให้นึกถึงด้วยใจด้วย
    เพราะว่าคุณจะต้องรู้สึกถึงมันด้วย

    จากนั้นก็มองดูเบื้องหลังของประสบการณ์นั้น
    และให้พยายามทำความเข้าใจว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้น

    ขั้นตอนต่อไปนี้ จะช่วยให้เรามองเห็นเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นได้
    ซึ่งความเข้าใจในเรื่องนี้จะช่วยให้เราเข้มแข็ง
    เพราะว่าเราจะได้ไม่ต้องสูญเสียพลังงานไปกับการพยายามทำให้ผู้คน
    และเหตุการณ์ต่างๆที่เป็นไปในโลก เป็นไปในแบบที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแบบนั้นอีกแล้ว

    ผลที่ตามมาก็คือ เราจะสามารถปลดปล่อยอดีตและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมันทั้งหมด
    ให้ผ่านไปได้

    .............................
     
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    วิธีการเลื่อนระดับขึ้น โดยอาศัยสมองซีกซ้าย (The Left Brain Method)

    http://www.ascendedmastery.com/Resources/leftbrain.pdf


    9 ขั้นตอน สำหรับการปลดปล่อยอดีต

    เหตุการณ์ใด หรือ บุคคลใดก็ตาม ที่ยังคงทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดทางอารมณ์อยู่
    ให้ใส่คำถามเหล่านี้เข้าไป:


    1). เราได้รับบทเรียนอะไรจากมัน?

    ให้มองหาว่าจิตวิญญาณของเราต้องการให้เราได้เรียนรู้บทเรียนอะไรในเหตุการณ์นั้นๆ
    มันอาจจะเป็นเพราะว่า จิตวิญญาณของเราต้องการให้เราพูดความจริงออกมาก็ได้
    เลยปรากฎออกมาว่า เราป่วยเป็นโรคกล่องเสียงอักเสบ
    หรือ เราถูกบางคนสะท้อนให้เราเห็นอยู่บ่อยๆว่า เราไม่ยอมพูดเลย
    ซึ่งเขาหรือเธอผู้นั้น อาจจะก่อกวนเราเพื่อให้เราสนใจก็ได้
    จนเราต้องปกป้องตัวเราเอง โดยการพูดความจริงออกมา ว่าพฤติกรรมนี้ เรายอมรับไม่ได้
    การยอมรับเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องดีงามเลย มันเป็นเรื่องที่ผิดปกติ


    2). พันธะสัญญาทางจิตวิญญาณของเราเกี่ยวกับเรื่องนี้คืออะไร?

    ทุกๆคนที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา ล้วนมาเพราะมีข้อตกลงร่วมกันมาก่อนแล้วทั้งนั้น
    ก่อนที่จะถือกำเนิด เพื่อช่วยให้เรามีพัฒนาการที่สูงขึ้น พวกเขาอาจจะตกลงกันมา
    เพื่อมาผลักให้เราตกขอบก็ได้ และเราเองอาจจะทำเช่นเดียวกันนี้กับพวกเขาด้วยก็ได้
    ดังนั้น ลองถามตัวเองว่า “ในพันธะสัญญานี้ ฉัน และ เธอ กำลังเล่นบทบาทอะไรอยู่กันแน่?”

    ฉันเคยมีประสบการณ์เฉียดตายมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งในระหว่างที่ยังอยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณนั้น
    ฉันรู้สึกตกใจกับพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณมากมาย ที่ผู้คนทำไว้ต่อกันและกันอย่างมาก
    มันเป็นพันธะสัญญาที่ทำขึ้นด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ ที่หลายๆคนตกลงใจที่จะมาเป็นตัวกระตุ้นให้คนอื่นๆ
    โดยการมาเป็นผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลคนนั้น

    เพราะว่ายามที่เราอยู่ในความสมดุล เราก็จะไม่มีพัฒนาการใดๆเกิดขึ้น
    ดังนั้น มันจึงเป็นสัญญาณให้จักรวาลรู้ว่า ถึงเวลา ที่จะต้องน็อกเรา
    ให้หลุดออกมาจากความสมดุลได้แล้ว เพื่อให้ได้เรียนรู้บทเรียนต่างๆต่อไป

    ดังนั้น พวกเราจึงใช้ความสัมพันธ์ในชีวิตของพวกเรา
    เพื่อมาเป็นบททดสอบในทุกๆด้านเท่าที่จะจินตนาการได้

    ผู้คนทั้งหลายมักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง และหลายๆคน
    ก็ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงสุดโต่งซะด้วย
    แม้ว่าสถานการณ์เดิมที่พวกเขากำลังเป็นอยู่นั้น มันจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติก็ตาม

    เหตุผลที่คนมากมายไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงก็เพราะว่า
    พวกเขารู้สึกถูกตัดขาดจากแหล่งกำเนิด พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว
    และตัดขาดจากการดูแลเอาใจใส่ของพระผู้สร้างโดยสิ้นเชิงแล้ว

    การเข้าใจเรื่องพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณที่เรามีต่อผู้อื่นนี้
    จะช่วยให้เราเข้าใจคำพูดของพระเยซูได้ ที่ว่า

    “อย่าตัดสินจากสิ่งที่ปรากฎให้เห็นเท่านั้น”

    ซึ่งความหมายของพระองค์ก็คือ เมื่อใดที่เรากำลังทนทุกข์อยู่กับประสบการณ์ที่เลวร้าย
    อย่าไปมองดูมัน จงมองดูเบื้องหลังของมันแทน



    3). บทบาทการแสดงของเราในเรื่องนี้คืออะไร?


    ฉันกำลังแสดงบทบาทของเหยื่ออยู่หรือเปล่า?
    ฉันกำลังแสดงบทของคนชั่วอยู่หรือเปล่า?
    ฉันกำลังแสดงบทของครูอยู่หรือเปล่า?
    ฉันกำลังแสดงบทของนักเรียนอยู่หรือเปล่า?
    ฉันกำลังแสดงบทบาทอะไรอยู่ในพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณนี้?

    แล้วก็ให้มองดูบทบาทที่คนอื่นๆกำลังแสดงอยู่ด้วยนะ

    ตัวอย่างเช่น ในชีวิตของเรา เราอาจจะมีผู้ที่เป็นปรปักษ์กับเราหรือเป็นคู่อริกับเราอยู่
    ซึ่งคนๆนั้นอาจจะเป็นสามี/ภรรยาของเราเอง, คุณแม่ของเราเอง
    หรือเจ้านายของเราเองก็ได้ เมื่อเลือกความสัมพันธ์ใดได้แล้ว
    ให้มองดูว่าในความสัมพันธ์กับคนๆนั้น คุณกำลังสวมบทบาทการแสดงอะไรอยู่

    แต่จงจำไว้ว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงบทบาทการแสดงของเราได้ตลอดเวลา
    เพราะว่าเราคือผู้ที่สร้างโลกแห่งความเป็นจริงของเราเองขึ้นมา



    4). สถานการณ์นี้ มันสะท้อนให้เราเห็นอะไร?


    ที่พวกเรานำเอาความสัมพันธ์ต่างๆเข้ามาสู่ชีวิตของพวกเรา
    ก็เพื่อที่จะให้พวกมันทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้:

    - ช่วยสะท้อนให้เห็น ผู้ที่ตัวเราเป็น
    - ช่วยสะท้อนให้เห็น สิ่งที่เราได้สูญเสียไปแล้ว
    - ช่วยสะท้อนให้เห็น สิ่งที่เรายังคงตัดสินชี้ถูกผิดมันอยู่
    - ช่วยสะท้อนให้เห็น สิ่งที่ตัวเราเองยังบกพร่องอยู่

    เช่น ถ้าความไร้เดียงสาของเราได้สูญเสียไปแล้ว
    เราก็อาจจะพบว่าตัวเองเอ็นดูรักใคร่เด็กๆเป็นอย่างมาก

    หรือถ้าเราได้สูญเสียความซื่อสัตย์ไปแล้ว
    เราก็อาจจะตกหลุมรักผู้เผยแพร่ศาสนาซักคนหนึ่งก็ได้
    ผู้ที่ในสายตาของเราแล้ว เขาคือตัวแทนแห่งความซื่อสัตย์

    อีกอย่างหนึ่งที่จะสามารถถูกสะท้อนให้เห็นได้ก็คือ
    สิ่งที่เรายังคงตัดสินชี้ถูกผิดมันอยู่นั่นแหละ
    เช่น ถ้าเรามักจะมีปัญหากับคนที่ชอบพูดโกหกอยู่เสมอๆ
    ดังนั้น เราก็เลยไม่ชอบพวกเขาและมองว่าพวกเขาผิด
    ดังนั้น ก็เท่ากับว่า เรายิ่งไปดึงดูดคนขี้โกหกให้เข้ามาในชีวิตของเรามากขึ้นๆ

    หรือถ้ามีผู้ชายคนหนึ่ง ที่เขายังไม่สามารถเชื่อมต่อกับคุณสมบัติ
    ด้านที่เป็นสตรีเพศของตัวเองได้ เขาก็อาจที่จะเลือกผู้หญิงประเภทที่
    เป็นกุลสตรีจ๋าทุกกระเบียดนิ้วมาเป็นภรรยา
    เพราะว่าความเป็นสตรีเพศที่มากล้นจนเกินพอดีของเธอ
    ช่วยทำให้เขารู้สึกเติมเต็มมากขึ้น

    แต่หลังจากนั้น เขาก็จะรู้สึกผิดหวังและหมดความอดทน
    เพราะว่าเขาจะไม่สามารถออกจากเมืองเพื่อไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ได้เลย
    เพราะว่าอาจจะมีท่อน้ำรั่วที่ไหนซักแห่งในบ้าน
    แล้วเธอก็ไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับปัญหานี้ยังไงดี

    ความขุ่นเคืองเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ จึงสามารถสะสมมากขึ้นจนกลายมาเป็นความไม่พอใจได้
    หากว่าเขามองไม่ออกว่า ตัวเขาเองนั่นแหละ ที่เป็นคนเลือกเธอมาเองอย่างพิถีพิถัน
    เพื่อที่จะมาสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นสตรีเพศของตนเขาเอง ที่ยังบกพร่องอยู่



    5). ของขวัญที่เราได้รับคืออะไร?

    ทุกๆคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตของเรา ล้วนเข้ามา เพื่อมามอบของขวัญให้กับเราทั้งนั้น
    และก็เพื่อที่จะมารับของขวัญจากเราด้วยเช่นกัน

    ซึ่งคำกล่าวนี้ใช้ได้กับแม้กระทั่งคนที่แค่บังเอิญผ่านเข้ามาในชีวิตของเราด้วย
    ดังนั้น จงถามตัวเองว่า “ของขวัญอะไรที่ฉันควรจะมอบให้กับคนๆนี้ดี?”

    มันอาจจะเป็นอะไรบางอย่างที่ง่ายๆ เช่น การมอบความรักแบบไม่มีเงื่อนไขให้กับเขาไป
    หรือเราอาจจะรับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่สวยงามในตัวเขา ที่คนอื่นๆไม่มีใครมองเห็นก็ได้

    หรือเราอาจจะยอมรับฟังเขาพูดด้วยความจริงใจก็ได้ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นครั้งแรกในรอบปี
    ที่เขาจะรู้สึกว่ามีคนยอมรับฟังเขา และเข้าใจเขาก็ได้

    และถ้าเราได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ระเบิดอารมณ์โกรธออกมาใส่เราหละก็
    นั่นแหละเรากำลังได้รับโอกาสที่จะแสดงความเป็นคนที่
    สามารถควบคุมตัวเองได้ออกมาแล้วหละ


    หมายเหตุ: คำถาม 4 ข้อต่อไปนี้ จะเป็นทัศนคติของเราที่เกี่ยวข้องกับคำถามทั้ง 5 ข้อก่อนหน้านี้


    6). แล้วเรายอมมันได้ไหม?

    นี่คือประเด็นที่จะต้องใช้วิจารณญาณว่า อะไรที่จะต้องยินยอมให้มันเป็นไป
    อะไรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงมันไป แล้วนำเอาความกล้าหาญออกมา เพื่อลงมือกระทำ

    ลองจินตนาการดูว่าตัวคุณเองคือน้ำในแม่น้ำ แล้วมีหินอยู่ก้อนหนึ่ง
    ขวางทางน้ำไหลอยู่ตรงหน้าคุณ คุณจะหยุดไหลไหม๊ หรือว่าจะไหลอ้อมๆมันไป?

    พวกเราคือผู้ที่มีอำนาจเต็มที่ ในการสร้างสรรค์ทุกๆสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
    ในชีวิตของเราเองขึ้นมา แม้แต่หินก้อนนั้นก็ด้วย (ปัญหาอุปสรรค์ทั้งหลาย – ผู้แปล)

    ดังนั้น เราจะยินยอมให้มันอยู่ตรงนั้น สักประเดี๋ยวประด๋าวได้ไหมหละ?
    สิ่งนี้มันคือศึกสงครามของเราไหม?

    ศึกใดๆจะมีคุณค่ามากพอ ที่เราจะไปต่อสู้ด้วย ก็ต่อเมื่อมันมีเงินเดิมพันมากพอเท่านั้น
    แต่ถ้าคุณได้เคยผ่านบทเรียนแบบนี้มาก่อนแล้ว
    ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปต่อสู้กับมันอีก ในศึกครั้งนี้



    7). แล้วเรารับมันได้ไหม?

    เราคงไม่อาจยอมรับเรื่องที่เจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเราได้ นอกเสียจากว่า
    เราจะเริ่มมองเห็นความสมบูรณ์แบบที่ซกซ่อนอยู่เบื้องหลัง
    ของสิ่งที่ปรากฎออกมาให้เห็นนั้นเท่านั้น

    ความเชื่อของคนทั่วไปอย่างหนึ่งก็คือ ความเชื่อที่ว่า
    “พวกเราถูกนำมาวางไว้ในวงล้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
    ต้องทนทุกข์ทรมานภพชาติแล้วภพชาติเล่า จนกว่าภพชาติของเราจะมากพอ
    ที่จะทำให้เราสามารถเข้าถึงความสมบูรณ์แบบได้แล้วโน่นแหละ มันถึงจะจบ”

    พระเจ้า สร้างพวกเราขึ้นมาให้มีความสมบูรณ์แบบ
    พร้อมด้วยมีความสามารถแห่งการเป็นผู้สร้างด้วย

    จงจำไว้ว่า “ความคิด + อารมณ์ความรู้สึก = การกระทำ”
    (Thoughts + Feeling create Activity)

    หัวใจของเราเปรียบเสมือนไมโครโฟน ดังนั้น ยิ่งอารมณ์ความรู้สึกในหัวใจเรา
    เข้มข้นรุนแรงมากเท่าไหร่ จักรวาลก็ยิ่งจะสนองตอบต่อการเนรมิต
    ให้เป็นไปตามความปราถนาของเราเข้มข้นรุนแรงมากตามไปด้วย

    แต่จักรวาลก็จะไม่แยกแยะหรอกนะ เพราะว่ามันจะเนรมิตออกมาให้ทั้งหมดนั่นแหละ
    ไม่ว่าเราจะคิดอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะคิดบวกหรือคิดลบก็ตาม
    ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่เราจะต้องยอมรับว่า
    เราคือผู้ร่วมสร้างสถานการณ์ต่างๆเหล่านั้นขึ้นมาเอง
    แล้วมันจะไปช่วยขจัดความรู้สึกที่ว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นมันถูกผู้อื่นยัดเยียดให้กับเรา



    8). แล้วเราปลดปล่อยมันไปได้ไหม?

    การปลดปล่อยมันออกไป คือการปลดปล่อยพลังงานที่อยู่ล้อมรอบสถานการณ์นั้นๆ
    หรือบุคคลนั้นๆออกไป เพราะว่าถ้าเราไม่ยอมปลดปล่อยมันออกไป
    ก็เท่ากับว่าเรายังเลี้ยงมันเอาไว้อยู่ โดยการป้อนพลังงานให้กับมันอยู่เรื่อยๆ
    ผ่านทางความคิดของเราเอง (บางทีโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ)

    เช่น ถ้าเรามีข้อขัดแย้งกับคู่สมรสของเรา แม้ว่าเขาหรือเธอผู้นั้น
    จะเป็นผู้ทำร้ายเราก่อนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ตาม
    วิธีที่ดีที่สุดที่ควรจะกระทำก็คือ การเดินข้ามขั้นตอนนี้ไปเสีย
    แล้วทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งมากขึ้นเสีย แล้วปลดปล่อยมันไปเสีย
    โดยการเปลี่ยนการจดจ่อ และโดยการมองมันในแง่มุมที่เป็นบวกเสีย

    เพราะว่าคนผู้นั้น ก็เหมือนกับแวมไพร์ดูดเลือดหนะแหละ
    ที่จะคอยแต่ดูดเอาพลังงานของเราไป
    จนกว่าเราจะตัดสายการเชื่อมต่อระหว่างเขากับเราลงไปได้

    เพราะทุกๆครั้งที่เราคิดถึงเขา ก็เท่ากับว่าเรากำลังส่งคำอวยพรให้เขาหรือเธอผู้นั้นอยู่
    และสายการเชื่อมต่อนั้น ก็ยิ่งจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก



    9). แล้วเราสามารถที่จะรู้สึกขอบคุณมันได้ไหม?

    ถ้าเราผ่านมาถึงขั้นตอนที่ 9 นี้แล้ว และเราก็สามารถรู้สึกขอบคุณ
    หรือสำนึกในบุญคุณของมันได้อย่างแท้จริงแล้ว
    เพราะว่าความเข้าใจอันลึกซึ้งของเราเพิ่มมากขึ้นแล้ว
    นั่นก็แสดงว่าระดับความตระหนักรู้ของเราเพิ่มสูงขึ้นแล้ว

    ความรู้สึกขอบคุณหรือสำนึกในบุญคุณ (Gratitude)
    คือหนึ่งในสามคุณสมบัติของการเลื่อนระดับขึ้น
    และมันก็เป็นขั้นตอนสูงสุดด้วย

    ซึ่งถ้าเราสามารถเข้าถึงความรู้สึกสำนึกในบุญคุณได้อย่างแท้จริงแล้วหละก็
    มันก็จะช่วยให้เราสามารถเชื่อมต่อกับ “กายแห่งแสงสว่าง” (Light body)
    ชั้นที่อยู่สูงกว่าขึ้นไปได้ และมันจะช่วยเปลี่ยนความทุกข์ยากทั้งหลาย
    ให้กลายไปเป็นเครื่องมือแห่งการเลื่อนระดับขึ้นแทน

    แต่ถ้าคุณทำมาตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 จนถึงขั้นตอนที่ 8 แล้ว
    แต่ยังไม่รู้สึกขอบคุณหรือสำนึกในบุญคุณของมันเลย ให้กลับไปทำใหม่อีกครั้ง


    เมื่อเรามองดูที่ของขวัญ, มองดูที่กระจกสะท้อน และมองดูที่คุณค่าของบทเรียนนั้นแล้ว
    เราควรจะรู้สึกขอบคุณในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
    แม้ว่าบทเรียนนั้นจะหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ตามแต่
    เช่น การได้เข้าร่วมรบในสงคราม, การถูกข่มขืน, หรือการที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าก็ตาม
    แต่ถ้าเรามองดูมันจากมุมมองที่สูงส่งกว่า มันจะกลายเป็นของขวัญ
    และ คือบทเรียนอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง

    แม้ว่าในวัยเด็ก เราจะเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศมาก่อนก็ตาม
    แต่เมื่อใดที่เราสามารถปลดปล่อยมันไปได้แล้ว
    มันก็จะทำให้ระดับความสั่นสะเทือนของโลกเพิ่มสูงขึ้นด้วย
    เพราะว่าดาวเคราะห์โลกเอง เธอก็ได้รับทุกข์ทรมานไปกับเราด้วยเสมอ

    เช่นเดียวกัน หากพวกเราคนหนึ่งคนใดสามารถเอาชนะมันไปได้แล้ว
    มันก็จะง่ายสำหรับคนอื่นๆด้วย ที่จะเอาชนะมันได้ เช่นเดียวกันกับเรา

    ……………………………………………
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2011
  16. tangOAH

    tangOAH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,183
    ค่าพลัง:
    +5,528
    รู้สึกโดน กับหัวข้อนี้เป็นพิเศษ
    ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเปรียบดังของขวัญอันล้ำค่าทั้งหมดเลย
    ดีจัง (เมื่อก่อนที่จะมารู้จักที่นี่ คงยากจะนึกภาพออกได้จริงๆค่ะ)

    ไม่ยอมพักผ่อนเลยนะคะพี่ชยุต
    ขอบคุณนะคะ

    :cool::cool::cool:
     
  17. Senju

    Senju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +94
    ขอบคุณมากน่ะครับ ^^ รับและเติมเต็มแสงสว่างแล้วครับ ^_^
     
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    วิธีการเลื่อนระดับขึ้น โดยอาศัยสมองซีกซ้าย (The Left Brain Method)

    http://www.ascendedmastery.com/Resources/leftbrain.pdf


    B). เป็นอิสระจากสิ่งที่สังคมกำหนดเงื่อนไขเอาไว้ให้

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    ความเชื่อส่วนใหญ่ของพวกเรา หรือแม้แต่ผู้ที่พวกเราคิดว่าพวกเราเป็น
    ล้วนเป็นผลพวงมาจากสิ่งที่สังคมกำหนดเงื่อนไขเอาไว้ให้ทั้งสิ้น
    มันจะมาในรูปแบบของ “การชี้บ่งความเป็นตัวตน” และทัศนคติในการมองโลก
    มันมาจากพ่อแม่ผู้ปกครองของเรา, สังคมของเรา, และวัฒนธรรมของเรา
    ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมระดับประเทศ ระดับทวีป หรือวัฒนธรรมของแต่ละยุคสมัยก็ตาม

    ซึ่งภายในแต่ละโครงสร้างสังคมนั้นๆ พวกเราก็จะมีคนหลายๆกลุ่มคอยบอกเราว่า
    เราควรจะคิดอย่างไร และ ควรจะทำอย่างไรอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์
    หรือสื่อมวลชน หรืออุตสาหกรรมบรรเทิง หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์,
    สถาบันทางการเงิน, นักวิทยาศาสตร์, รัฐบาล, และองค์กรทางศาสนาทั้งหลายก็ตาม

    ความเชื่อทั้งหลาย ที่เรารับเอามาจากสังคม และเราเชื่อว่าพวกมันคือความจริงเหล่านี้
    จำเป็นจะต้องถูกปลดปล่อยออกไปให้หมด แล้วมาเริ่มต้นค้นหาความจริงกันใหม่
    ด้วยตัวของเราเอง เมื่อใดที่เราสามารถเอาชนะข้อจำกัดเหล่านี้ไปได้แล้ว
    เราก็จะปฏิบัติการอยู่ในฐานะของผู้สังเกตการณ์ ซึ่งสิ่งนี้มันจะทำให้เรามีความเข้มแข็ง

    ............................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • mprison.jpg
      mprison.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.5 KB
      เปิดดู:
      593
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    วิธีการเลื่อนระดับขึ้น โดยอาศัยสมองซีกซ้าย (The Left Brain Method)

    http://www.ascendedmastery.com/Resources/leftbrain.pdf


    C). ลบล้างความเป็นตัวตนของตนเองออกไปให้หมด

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    การชี้บ่งความเป็นตัวตน คือข้อจำกัด ถ้าเราชี้บ่งความเป็นตัวตนของเราเองว่าเป็นนั้นเป็นนี้แล้ว
    คนอื่นๆก็จะเชื่อตามไปด้วย และในที่สุดเราก็จะกลายเป็นสิ่งนั้นด้วย

    เป้าหมายคือการลบล้างความเป็นตัวตนออกไปให้หมด ซึ่งการชี้บ่งที่ว่านี้
    ก็รวมถึง: ฉันคืออาจารย์, ฉันคือผู้บำบัดรักษา, ฉันคือฮิปปี้, ฉันคือผู้หญิง,
    ฉันคือชาวอเมริกัน, ฉันคือมนุษย์, หรือฉันมาจากดาวดวงนั้นดวงนี้
    หรืออะไรก็ตามแต่ ที่จะทำให้เรามีบุคลิกลักษณะเป็นแบบนั้นแบบนี้
    ล้วนไม่เกิดประโยชน์ทั้งสิ้น

    เพราะว่ามันจะฉุดรั้งเราเอาไว้ในความมีอัตตาตัวตนของเรา (ego)
    เป้าหมายคือการรักษาความตระหนักรู้ส่วนบุคคลของเราเอาไว้
    แต่อย่าไปชี้บ่งมัน เพราะว่าการชี้บ่งทั้งหลาย จะไปทำให้คนๆนั้น
    มีนิยามบางนิยาม และมีหน้าที่บางหน้าที่เกิดขึ้น ซึ่งมันคือกับดัก
    เพราะว่าเมื่อผู้คนชี้บ่งตัวเองและผู้อื่น โดยใช้คำนิยามเหล่านี้แล้ว
    พวกเขาก็จะคิดว่าพวกเขารู้ว่าเราเป็นใคร และบางครั้งถึงกับคาดหวังว่า
    เราจะต้องอยู่ในบทบาทหน้าที่นั้นตลอดด้วยซ้ำไป

    ซึ่งตามนัยยะนี้ การชี้บ่ง ก็คือคุกที่ขังเราเอาไว้ดีๆนี่เอง

    พวกเรามักจะสูญเสียพลังงานปริมาณมหาศาลไปกับการพยายามค้นหา
    “ความเป็นตัวเรา” โดยการนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ

    ตัวอย่างเช่น “เขาคือผู้ชาย เพราะฉะนั้น ฉันก็คือผู้หญิง” เป็นต้น
    มีบ่อยครั้งที่เราอาจรู้สึกภาคภูมิใจ ในการชี้บ่งว่าเราคือคนอ่อนน้อมถ่อมตน
    แต่นี่ก็เป็นแค่อีกรูปแบบหนึ่งของการชี้บ่งเท่านั้นเองเหมือนกัน

    ในฐานะที่เป็น Light worker พวกเราจำเป็นจะต้องหมั่นกำจัดการชี้บ่งเหล่านี้
    ออกไปให้หมด เพื่อที่เราจะได้สามารถขจัดมายาการของการทะนงตนออกไปได้
    ซึ่งมันจำเป็นต้องอาศัยการคอยระมัดระวังทุกย่างก้าวที่เราเดิน
    เพื่อที่จะได้เห็นว่า ความเชื่อทั้งหลายของเรามาจากไหนกันแน่

    เช่น ถ้าคุณเป็นอาจารย์สอนหนังสือ แล้วมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในชั้นเรียน
    กำลังทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมในสายตาของคุณอยู่ คำถามที่จะต้องถามก็คือว่า
    “ทำไมการกระทำดังกล่าวนั้นถึงไม่เหมาะสมหละ?” และคำตอบของคุณก็อาจจะเป็นว่า
    “เพราะว่าการกระทำนั้นขาดความเคารพยำเกรงต่อความศักดิ์สิทธิ์ของผู้อื่น”
    ซึ่งถ้าตามเงื่อนไขนี้ คุณจึงตัดสินไปว่า เธอขาดความเคารพยำเกรง

    ดังนั้น ความรู้สึกว่าไม่เหมาะสมนี้มาจากไหน? มันมาจากป้ายชี้บ่งว่า
    คุณคืออาจารย์ใช่หรือไม่ ดังนั้น มันจึงมีวิธีการอะไรบางอย่างที่ควรจะต้องมีตามมา
    ใช่หรือไม่?

    ทุกๆครั้งที่ป้ายชี้บ่งเหล่านี้ผุดขึ้นมา จงหยุด แล้วพูดว่า

    “ฉันเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้น ทำไมฉันจะต้องมายุ่งวุ่นวายกับสถานการณ์นี้ด้วย?”

    จากนั้น จงตรวจสอบป้ายชี้บ่งอันนั้น ที่กำลังส่งผลต่อพฤติกรรมของคุณอยู่เสีย
    เพราะว่าเมื่อใดที่เรา “เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง” (All That Is) แล้ว
    มันก็หมายความครอบคลุมกว้างไกลไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

    พวกเราจะกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง สำหรับทุกๆคน
    หากว่ามันสอดคล้องกับภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา
    พวกเราอาจจะเลือกที่จะสวมหน้ากากหลายอันแตกต่างกัน
    สำหรับคนแต่ละคนก็ได้ ดังนั้น คนแต่ละคน จึงอาจจมองเห็นเราในแบบที่แตกต่างกัน
    ซึ่งนั่นก็เหมาะสมดีแล้ว เพราะว่าเราไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์อะไรให้ใครเห็นเลย
    เพราะว่า ณ.จุดนั้น เราได้หยุดยึดเอาสิ่งต่างๆมาเป็นสมบัติส่วนตัวแล้ว

    การลบล้างความเป็นตัวตนของเราเองออกไป หมายความว่า เราจะไม่ไปนิยามว่า
    ตัวเราเองเป็นอะไร อีกต่อไป เราจะไม่มีน้ำหนักของความคิดที่สะท้อนถึงความเป็นตัวเราเอง
    มาถ่วงไว้อีกแล้ว เพราะว่านั่นคือส่วนหนึ่งของการทะนงตน

    ซึ่งเมื่อใดที่เราสามารถกำจัดการชี้บ่งและการสะท้อนความเป็นตัวเองออกไปได้แล้ว
    เราก็จะโปร่งโล่งลื่นไหล และพลังงานก็จะมีให้เรามากขึ้น

    การกำจัดป้ายชี้บ่งทั้งหลายออกไป จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงความรู้สึกอันบริสุทธิ์ของตัวเองได้
    ซึ่งนั่นจะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เรายังไม่รู้ได้

    .....................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    วิธีการเลื่อนระดับขึ้น โดยอาศัยสมองซีกซ้าย (The Left Brain Method)

    http://www.ascendedmastery.com/Resources/leftbrain.pdf


    D). เปลี่ยนทัศนคติในการมองโลก

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    ทัศนคติในการมองโลกส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความรู้ที่จำกัด
    และนั่นแหละคือเหตุผลหลักที่ว่าทำไมผู้คนถึงไม่สามารถบรรลุถึงความเป็นเลิศได้

    ทัศนคติในการมองโลกเหล่านั้นบอกว่า เราไม่สามารถที่จะสร้างเครื่องบินได้,
    บอกว่าเราไม่สามารถที่จะเยียวยารักษาตัวเราเองด้วยพลังงานได้,
    บอกว่าโลกเราไม่สามารถที่จะมีสันติสุขได้
    และบอกว่าเราไม่สามารถที่จะใช้สมองของเราได้อย่างเต็มศักยภาพ
    และมันยังทำให้เราเชื่อว่าใครคนใดคนหนึ่งมีความสำคัญมากกว่าอีกคนหนึ่งด้วย

    การยอมรับทัศนคติในการมองโลกแบบนั้น ก็เท่ากับว่า เราให้คุณค่าของสิ่งต่างๆ
    เพียงแค่พื้นผิวเท่านั้น คุรุทางด้านจิตวิญญาณหลายคนได้เคยกล่าวไว้ว่า
    “อย่าตัดสินจากสิ่งที่เห็น”

    ดังนั้น เมื่อเราทำเช่นนั้น เราจึงติดอยู่ในกับดักของความคิดที่ว่า
    เรารู้จักและเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงนี้ดีแล้ว
    ซึ่งนี่แหละคือความอวดดีหละ เพราะว่าในบรรดาสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่ทั้งหมดนี้
    ส่วนใหญ่แล้ว เราไม่อาจรู้จักพวกมันได้ด้วยซ้ำไป

    ทัศนคติในการมองโลกทั้งหลายเหล่านี้ เราสามารถที่จะข้ามพ้นมันไปได้
    โดยการแค่ “ไม่ต้องทำอะไรเลย”

    ซึ่งหมายความว่า ให้เราก้าวออกมาจากประสบการณ์นั้นเสีย
    แล้วคอยสังเกตการณ์ดูมันอย่างเดียวเท่านั้น

    เราจะสามารถทำเช่นนี้ได้ โดยการลอยอยู่เหนือสถานการณ์นั้นๆ
    แล้วเราก็จะมองเห็นภาพรวมของมัน

    เหมือนกับมุมมองของเหยี่ยวที่กำลังบินอยู่บนที่สูง
    เพื่อที่จะให้สามารถเข้าถึงความเป็นไปได้ทั้งมวล จากทุกๆแง่ทุกๆมุม
    การใช้เทคนิกการมองแบบเหยี่ยวนี้ จะช่วยให้เราสามารถสังเกตการณ์ดูเหตุการณ์นั้นๆได้
    และจะทำให้เราสามารถตัดสินใจตอบสนองต่อสถานการณ์นั้นๆอย่างรอบคอบ
    และระมัดระวังได้ ว่าควรจะต้องลงมือกระทำอะไรบางอย่างหรือไม่

    ในเบื้องต้นแล้วมันคือการถ่วงเวลารูปแบบหนึ่ง ที่จะทำให้เรามีเวลา
    เพื่อดูให้แน่ใจก่อน และเพื่อเป็นการปกป้องการกระทำของเรา
    ให้คงอยู่ในความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติอยู่เสมอ

    และมันก็ยังสามารถนำไปใช้กับการก้าวออกมาจากความเคยชินเก่าๆได้ด้วย
    ตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าปู่ของคุณชอบหาเรื่องคุณ
    และหยาบคายกับคุณอยู่ตลอดเวลา จนหลายปีผ่านไป
    ปู่ของคุณก็จะคาดเดามากขึ้นว่า คุณจะต้องหยาบคายตอบท่านอย่างแน่นอน

    แต่แทนที่คุณจะตอบสนองกลับไปแบบนั้น คุณกลับเพียงแต่สังเกตการณ์ดูเฉยๆ
    และถ้าคุณเลือกที่จะไม่ถือสาหาความเลย ก็จงปล่อยให้มันเป็นไป
    ในแบบที่ผิดความคาดหมายของท่านไป

    โดยการเพียงแต่โอบกอดท่าน แล้วเดินออกประตูไป
    ปล่อยให้ท่านงงกับสิ่งที่คุณทำไปทั้งวันอย่างงั้นแหละ

    หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ ถ้าคุณแม่ของคุณ ชอบชวนคุณทะเลาะเป็นประจำทุกวันหละก็
    ครั้งต่อไป อย่าไปทะเลาะกับท่าน ให้พูดว่า
    “แม่คิดว่าอย่างงั้นเหรอค่ะ? เดี๋ยวหนูจะเก็บเอาไปคิดดูนะค่ะ”

    ในท้ายที่สุดแล้ว การไม่ทำอะไรเลย จะกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ
    เพราะว่า ส่วนหนึ่งของจิตใจของเรา กำลังทำหน้าที่เป็น
    “ผู้สังเกตการณ์ที่วางอุเบกขา” อยู่ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งของมัน
    ก็ยังทำกิจของมันอยู่ต่อไป

    ช่วงเวลาที่สำคัญมากที่จะใช้วิธีการ “ไม่ทำอะไรเลย” ก็คือ
    ช่วงเวลาที่เรากำลังทำศึกอยู่ คือในช่วงเวลาที่เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
    หรือ ถูกจู่โจมโดยไม่ได้ตั้งตัว แนวโน้มที่เราจะสูญเสียสถานะการวางเฉยของเราไป
    จึงมีมาก และจะทำให้เราตกลงกลับไปสู่นิสัยเก่าๆเหมือนเดิม
    ซึ่งนั่นก็ยิ่งจะทำให้รูปแบบของสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมีความคงทนถาวรขึ้นไปอีก

    ด้วยการฝึกฝน “การไม่ทำอะไรเลย” จะนำเราไปสู่ความสงบสงัดภายใน
    ที่จะไปทำให้กิจกรรมของสมองของเราช้าลง และในที่สุดแล้ว
    จะช่วยหยุด “ความคิดฟุ้งซ่านจากภายใน” (Internal dialogue) ได้ด้วย

    ความคิดฟุ้งซ่านจากภายใน ก็คือกระแสความคิดที่รักษา
    และช่วยตอกย้ำทัศนคติในการมองโลกแบบนี้ของเราเอาไว้
    (อย่าไปสับสนกับเสียงวิจารณ์จาก “ผู้หล่อเลี้ยงจากภายในที่ผิดปกติ” หละ
    (the dysfunctional inner nurturer) เพราะว่านั่นคือนักวิจารณ์)

    ผู้ที่เป็นคุรุ จะไม่มีทัศนคติในการมองโลกแบบมีกรอบแบบนั้นเลย
    เพราะว่าเขาจะก้าวออกมาจากมัน เขาจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนมากพอ
    ที่จะยอมรับว่า ส่วนใหญ่ของสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ในจักรวาลแล้ว
    คือส่วนที่ไม่อาจเข้าใจได้ ดังนั้น เขาจึงเปิดรับสัจธรรมใหม่ๆได้
    และเขาก็จะมีคำถามให้กับทุกสิ่งทุกอย่างด้วย เช่น


    - ใครบอกว่าเราจะต้องหนาว ถ้าเราออกไปยืนอยู่ข้างนอก ในฤดูหนาว
    โดยไม่มีเสื้อกันหนาว?
    - ไฟจำเป็นต้องร้อนด้วยเหรอ?
    - น้ำจำเป็นต้องไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำด้วยเหรอ?
    - แรงโน้มถ่วงจำเป็นต้องดึงดูดฉันเอาไว้ตลอดเวลาด้วยหรือ?
    - ฉันสามารถที่จะได้ยินเสียงความคิดของคนอื่นๆได้ไหม?

    ถ้าเราเพียงแต่รู้จักไฟที่อยู่ในมิติที่ 4 ซึ่งก็คือแสงสว่างแล้ว
    เราก็จะรู้ว่าเราสามารถที่จะเอามือเข้าไปล้างไฟได้เหมือนกับล้างน้ำเลยหละ
    และที่ไฟในมิติที่ 3 ต้องร้อน และสามารถไหม้ผู้คนส่วนใหญ่ได้
    นั้นก็เพราะว่า พวกเขาถูกโปรแกรมให้เชื่อว่ามันร้อนนั่นเอง

    ถ้าเราออกไปข้างนอก ในฤดูหนาว โดยไม่มีเสื้อกันหนาว แล้วรู้สึกหนาว
    ก็เพราะว่าพวกเราเชื่อว่ามันจะต้องหนาวแน่ๆ
    ซึ่งความเชื่อนี้ก็จะยิ่งถูกทำให้เข้มแข้งมากขึ้น ถ้าเราออกไปยืนอยู่ข้างนอก
    แล้วเราไปต่อต้านความหนาว แทนที่จะปล่อยให้มันไหลผ่านร่างกายของเราไป

    .........................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...