ไดอารี่ ชีวิต , ผี , วิญญาณ , พุทธศาสนา By Specialized

ซึ่งตรงจุดนี้มี 2 ทางที่จะแยกไป คือ ตรงไปก็จะไปถ้ำสิงห์ต่อ ซึ่งไม่ค่อยยาวนัก ส่วนอีกทางคือเข้าไปสู่ถ้ำสายธาร พวกเราจึงเลือกไปยังเป้าหมายเรากันดีกว่า ซึ่งก็ต้อง มุดอีกแล้ว ! ซึ่งถ้ามาหน้าฝนคงจะเข้าไม่ได้เลยครับน้ำคงเต็มไปหมด

 

บรรยากาศการมุดถ้ำขะรับ เหนื่อยแต่สู้ตาย อิอิ

 

จอมคนเทียนพรรษา กับ บรรยากาศอีกมุมหนึ่งของถ้ำ

 

ในที่สุดหลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่ง พลันสายตาผมเนี่ยแหละ มองไปเห็นจนได้ ฮ่าๆ ในที่สุดก็เจอ "โคตรเหล็กไหล" ครับ เกาะอยู่ตรงนั่น ขออภัยที่ภาพไม่ชัด ขอโทษคนถ่ายครับ แง่งๆ ซึ่งตั้งแต่เกิดมาพึ่งเคยเห็นว่าเขาอยู่ในถ้ำยังไง ส่วนใครที่ไม่รู้จักโคตรเหล็กไหล จบการนำเสนอทริปถ้ำสายธารผมจะเอาเรื่องเหล็กไหลมาลงให้อ่านกัน แบบเต็มๆ ละกันครับ ขออธิบายง่ายๆว่า โคตรเหล็กไหล นั้นก็คือ รังเหล็กไหล นั่นเอง บางทีก็อาจจะเรียกกันว่า ขี้เหล็กไหล ซึ่งบางทีอาจจะเกิดจากการที่เหล็กไหลที่ย้ายที่อยู่อาศัย แล้วอนุภาค หรืออะไรของเขาเนี่ยแหละ ร่วงหล่นมากองอยู่กับพื้นจนเกาะตัวกันเป็นก้อนดำๆ อย่างที่เห็นในภาพครับ และอีกประเภทหนึ่ง ก็อาจจะเป็นรังเหล็กไหล ที่ตัวเหล็กไหลเองนั้นได้ถูกผู้มีวิชาอัญเชิญออกไปแล้วจึงเหลือแต่รังครับ ถึงจะเหลือแต่รังก็ยังมีกายทิพย์ เจ้าป่าเจ้าเขาปกปักษ์รักษาอยู่นะครับ ถ้าเอามาไม่ถูกวิธีอาจจะเกิดอาเพศขึ้นได้ครับ

 

บริเวณนี้อุดมไปด้วยทรัพย์ยากรโคตรเหล็กไหลมากมายครับ แต่ผมเสียใจที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนถ่ายรูปมาให้เพื่อนๆดูกัน - - เพราะมีเยอะมาก

ชมอีกภาพครับ

 

มีอยู่จุดหนึ่งบริเวณนี้ครับ ที่หลวงปู่บอกว่า มีคณะตัดเหล็กไหล มาตัดเหล็กไหลกันไป แต่หลวงปู่ไม่รู้ว่าได้ไปรึเปล่า เพราะตอนนั้นไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับเขา แต่หลวงปู่บอกว่าเขานำบายศรี เครื่องสังเวยมากันเยอะมาก และยังชี้ให้พวกเราได้ดู สายแร่บนเพดาน ซึ่งหลวงปู่บอกว่าตรงนี้ มีเหล็กไหลฝังตัวอยู่ในฝักหินครับ ผมเห็นกับตาก็รู้สึกทึ่ง เพราะ..บอกไม่ถูกครับ ภาพถ่ายจะมายืนยันกับเพื่อนๆก็ไม่มี ยังเจ็บใจคนถ่ายไม่หาย แฮ่ๆๆ

ชมบรรยากาศไปพลางๆครับ ใครตาดี อาจสัมผัสบางอย่างบริเวณนี้ได้นะครับ

 

พอแค่นี้ก่อนนะครับ มือผมจะหงิกแล้ว - -

 

ต่อกันละกันนะครับ รีบปิดต้นฉบับดีกว่า หุหุ

หลังจากเจอโคตรเหล็กไหลแล้ว ผมก็คุยกับพี่แต้ว่า เราควรจะขอไป เป็นมวลสารสร้างพระ ซึ่งพี่แต้ก็เห็นด้วย หลวงพี่ก็เห็นด้วยเพราะดีกว่าปล่อยให้เขาอยู่ในถ้ำนี้ พวกเราก็พยายามควานหากันบริเวณนั้นว่าจะพอมีเศษขี้เหล็กไหล อยู่หรือไม่ ผมก็ควานหาเจอ 2 ก้อน ส่วนพี่แต้ และ พี่แจ็คก็ได้อีกคนละส่วน แล้วพวกเราก็นำส่วนที่เจอนั่นเอง มาวางรวมกันไว้บนก้อนหินก้อนหนึ่งเพราะว่าถ้า ติดตัวเข้าไปอีกเกรงว่าจะพะรุงพะรังก็เลยคุยกันว่า ขาออกมาค่อยนำออกไปกัน...

ซึ่งหลังจากตรงจุดนั้นอีกเล็กน้อยพวกเราก็เจอ ... หินก้อนใหญ่มาก ซึ่งดูจากภายนอกแม้คนทั่วไปจะเห็นว่าเป็นหิน แต่พวกเราไม่ใช่สิครับ ซึ่งหลวงปู่บอกว่าหินนี้แหละก้อนเหล็กไหลทั้งก้อน ใช้วิจารณญาณในการรับรู้นะครับเป็นปัจจัตตัง ส่วนตัวผมต้องบอกว่า อัศจรรย์ใจมากมาย !

จากภาพนะครับ ก้อนดำๆ อยู่มุมถ้ำนั่นแหละครับ

 

ดูกันให้ชัดๆ อีกที ท่านใดจับพลังได้ก็ลองจับดูนะครับ

 

ตรงจุดนี้หลวงปู่ หลวงพี่เคยบอกว่า เคยมีพระธาตุอยู่ครับ พวกเราก็พยายามคุ้ยๆหากันอยู่ ซึ่งระหว่างคุ้ยหากันอยู่นั่นเอง พี่แจ็คที่ได้มโนมยิทธิแล้ว ก็บอกว่า ได้ยินเสียงเทวดาหัวเราะใส่ แล้วบอกว่า

"ก็รู้ว่ามันไม่มีก็ยังจะหากันอีกนะ"

แต่แกยังไม่ได้บอกพวกเรานะครับว่าได้ยิน มาบอกซะตอนออกจากถ้ำ ปล่อยให้พวกเราควานหากันให้เงกเลย - -

 

ก็ยังคุ้ยกันต่อครับ และก็นำภาพบรรยากาศมาให้ชมกัน

 

ก็สิ้นสุดการสำรวจถ้ำสายธารกันแค่นี้ก่อนครับ มีทางไปต่อที่ต้องมุดไปอีก แต่หลวงปู่เหนื่อยครับ - - ก็ให้ท่านพักเถอะครับนำเรามาแค่นี้ก็ดีถมเถครับ รูข้างหลังหลวงปู่นั่นแหละครับทางไปต่อ ซึ่งหลวงพี่บอกว่า เคยไปกับหลวงปู่ , หลวงพ่อสมบูรณ์มาครั้งหนึ่งแล้ว เหล็กไหลที่เห็นกันมานั่นแค่จิ๊บจ๊อย ข้างในยังมีเหมือนเป็นอาณาจักรเลยครับ แต่การเดินทางจะยิ่งลำบากกว่านี้อีกนะครับ

 

ครับ ทุกคนคงเห็นจิตกรรมฝาผนังจากพวกมือบอนทั้งหลาย ใช่มั้ยครับ

ทุกคนอาจจะมีคำถามว่า ถ้ามันลึกลับ มีเหล็กไหลจริง ทำไมถึงยังมีวัยรุ่น หรือคนหลายๆคนมาเที่ยวแล้วมาถึงตรงนี้ได้ ก็ขอบอกว่า ตอนแรกก็มีวัยรุ่นกลุ่มเล็กๆ มาขอหลวงปู่นำทางหลวงปู่ก็พานำทางมาถึงตรงนี้ แล้วก็ไม่ได้พาไปต่อ จนนานเข้าๆ วัยรุ่นกลุ่มนั้นหลังจากจำเส้นทางได้ก็ มากันเองโดยไม่ให้หลวงปู่นำทาง แล้วก็เกิดจิตกรรมฝาผนังขึ้นมากมายตรงบริเวณนี้ครับ ส่วนพวกนั้นถึงจะเดินเที่ยวถ้ำยังไงก็คงเป็นแค่ความเพลิดเพลิน คงไม่มีโอกาศที่จะได้เห็นธาตุกายสิทธิ์กันหรอกครับ บุญใครบุญมันครับ ถึงเห็นพวกเขาก็คงจะมองเป็นหิน เป็นดินไปครับ และยังมีพระอาจารย์อีกหลายรูปที่มาบำเพ็ญในถ้ำแห่งนี้แล้วก่อนจากก็ยังทิ้งจิตกรรมฝาผนังไว้อีก เจริญครับ

 

บรรยากาศขากลับครับ

หินงอกที่เห็นนั้นเหมือน พระโพธิสัตว์กวนอิมไหม ครับ สาธุๆ

 

หลังจากคลานๆ กลับออกมาได้ระยะหนึ่ง หลวงปู่ชี้ให้ดูบอกว่า ลองขึ้นไปบนนั้นดูสิสวยมาก ก็มีหน่วยกล้าตายคือ พี่แหวว ยอมรับในความกล้ามากครับเล่นบุกเดี่ยวขึ้นไปเลย (ตอนนี้ผมยึดกล้องมาแล้ว หุหุ) ชมบรรยากาศกันดู

 

ซึ่งหลังจากมาถึงแล้ว ก็ต้องตกตะลึงในความงามของธรรมชาติครับสวยมาก ตอนนี้คนที่อยู่ตรงนี้มีแค่ผมกับพี่แหวว แค่ 2 คน และเมื่อหันไปมองทางขวามือของตัวเองก็เจอ "เหว" ครับ ชักจะหลอนๆ และพี่แหววก็คลานออกไปก่อน โดยทิ้งผมไว้คนเดียวกับบรรยากาศสุดสยอง ซึ่งผมก็ได้คลานไปดู และก็เรียกเจ้าต้นเพื่อนซี้ให้ขึ้นมาดูด้วย (ความจริงจะหาเพื่อนกลับ ฮ่าๆ มันน่ากัว)

 

หลังจากก้มดูอยู่นาน รู้สึกว่าเจ้าเม็ดๆ ในบ่อนั่นมันอะไรนะ ระ หรือว่าเป็น พระธาตุ !?

ผมเลยเรียกหลวงพี่ให้ขึ้นมายืนยัน ซึ่งหลวงพี่ก็ยังคลานเข้ามาดูด้วยความสนใจ ซึ่งท่านก็บอกว่า นี่แหละ พระธาตุพระสิวลี ผู้เป็นเลิศทางลาภสักการะนั่นเอง

 

ซึ่งหลังจากทุกคนรู้ว่าเราได้พบพระธาตุสิวลีในบ่อเรียบร้อยก็แห่ เฮโลกันมาเป็นยกใหญ่ แล้วก็เก็บพระธาตุออกมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งพี่แต้ ก็มีความคิดว่า ดินบริเวณนี้มีความเหนียวและแกร่งหรือเรียกกันว่า "ดินขุยปู" ก็เลยก่อเจดีย์ขึ้นด้วยมือตัวเอง และได้นำพระธาตุสิวลี ที่ได้มาจากบ่อ มาบรรจุด้วยครับ และพวกเราได้ร่วมกันสวดบทนมัสการพระรัตนตรัย และบทบูชาพระธาตุ ถึงจะเป็นเจดีย์เล็กๆ ที่ไม่มีใครเห็น แต่เหล่าเทพเทวาที่อยู่ในถ้ำต่างก็ร่วมอนุโมทนากันยกใหญ่ (หลวงพี่ และพี่แจ็คดูด้วยมโนมยิทธิครับ) คงไม่ต้องบอกนะครับว่าอานิสงฆ์การสร้างเจดีย์นั้นมากแค่ไหน โมทนากันนะครับ

อะหังวันทามิทูระโต
อะหังวันทามิธาตุโย
อะหังวันทามิสัพพะโส