เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 พฤษภาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,402
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,331
    ค่าพลัง:
    +26,082
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,402
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,331
    ค่าพลัง:
    +26,082
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เอาเรื่องอะไรดี ? สารพัดเรื่องเต็มไปหมด มีทฤษฎีสมคบคิดเขาว่า ถ้าใกล้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา อย่างเช่นวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา บรรดาสื่อมวลชนจะเร่งตีข่าว เรื่องของความไม่ดีไม่งามในคณะสงฆ์ เพื่อที่จะ "ด้อยค่า" พระพุทธศาสนาลงไปเรื่อย ๆ แล้วจะมีการยกเอาศาสนาอื่นขึ้นมาแทน ซึ่งเรื่องนี้ก็มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ

    แต่คราวนี้เรื่องของความเชื่อและไม่เชื่อนั้น ไม่ใช่สาระสำคัญ เราต้องนึกถึงสุภาษิตโบราณที่ว่า "ไม่มีมูลฝอย หมาไม่ขี้" ก็แปลว่าคณะสงฆ์ของเราต้องมีข้อบกพร่องจริง ๆ เขาถึงจะยกมาตำหนิติเตียนได้

    ดังนั้น..ท่านจะเห็นว่าบางเรื่องไม่เกี่ยวกับคณะสงฆ์เลย อย่างเรื่องของ "น้องหญิงร่างทรง" ก็ดี หรือไม่ก็เรื่องของผู้ที่อ้างเป็น "นักบวชชุดดำ ร่างทรงหลวงปู่เทพโลกอุดร" ก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของฆราวาส แต่ก็ยังโดนจับมาโยงกับคณะสงฆ์

    เรื่องที่เป็นเรื่องของคณะสงฆ์ อย่างเรื่องของหลวงตาสิ้นคิด ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจก่อนว่า การที่แม่ชีเจิ้นถวายรถ BMW ซีรีส์ ๗ ให้กับหลวงตาสิ้นคิด แล้วก็ไปโพสต์ให้อนุโมทนา อย่าลืมว่าเรื่องของยานเป็น ๑ ใน ๑๐ ทานวัตถุ ที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระภิกษุสามเณรรับถวายจากญาติโยมได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,402
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,331
    ค่าพลัง:
    +26,082
    มีบาลีกำกับไว้ว่า อันนัง ปานัง วัตถัง ยานัง มาลา คันธัง วิเลปะนัง เสยยาวะสะถัง ปะทีเปยยัง ทานะวัตถู อิเม ทะสะ ก็คือวัตถุทานทั้ง ๑๐ ประกอบไปด้วย

    อันนัง คือข้าว ปานัง คือน้ำ วัตถัง คือผ้า ยานัง คือยานพาหนะ มาลา คือดอกไม้ คันธัง คือของหอม

    วิเลปะนัง คือเครื่องลูบไล้ ซึ่งสมัยก่อนนั้นก็คือน้ำมันสำหรับทาเท้า เนื่องจากว่าพระเดินเท้าเปล่า ระยะไกล ๆ ถ้าไม่มีน้ำมันรักษาเท้าหลังจากทำความสะอาดแล้ว ก็มักจะทำให้เท้าแตก เดินไม่ได้ เป็นต้น

    เสยยา คือเครื่องนอน วะสะถัง คือเครื่องนั่ง อย่างเช่นว่าผ้าปูที่นอน หรือว่าอาสนะ เป็นต้น

    ปะทีเปยยัง คือเครื่องตามประทีป อย่างสมัยนี้ก็เป็นพวกเทียน พวกไม้ขีดไฟ ตลอดจนกระทั่งไฟฟ้าด้วย

    แล้วคราวนี้ไปพลาดตรงไหน ถึงทำให้เป็นเรื่องใหญ่ปานนั้น ? ก็ไปพลาดตรงที่ว่าทานวัตถุนั้นราคาแพงจนเกินไป
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,402
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,331
    ค่าพลัง:
    +26,082
    เมื่อตอนที่โยมจะถวายรถยนต์ กระผม/อาตมภาพได้บอกไปว่า ทองผาภูมินั้นเป็นพื้นที่กันดาร ต้องมีรถตรวจการณ์ หรือว่าขับเคลื่อน ๔ ล้อ ถึงจะเหมาะสม ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่สะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของพระสังฆาธิการ ที่ต้องออกตรวจการณ์คณะสงฆ์ในที่ลำบาก โยมก็ปวารณาถวาย Lexus เลย ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "เกินความจำเป็น"

    อันดับแรกก็คือ ถ้าเราคิดราคาแล้ว มาเทียบกับรถตรวจการณ์ทั่วไป สามารถซื้อรถตรวจการณ์ทั่วไปได้ตั้ง ๓ - ๔ คัน ถ้าหากว่าแต่ละคัน อายุใช้งาน ๕ ปี ซื้อรถตรวจการณ์ทั่วไปใช้ได้ ๒๐ ปี แต่ถ้าหากว่าซื้อ Lexus ก็ใช้ได้ ๕ ปีเท่านั้น..!

    ท้ายสุดโยมก็ยังต้องลดลงมาเป็น Fortuner แต่ก็ยังแอบรวย ก็คือเอาระบบอัตโนมัติมาทั้งคัน กระผม/อาตมภาพยังคิดว่า "ถ้าวันไหนเสียหลักตกน้ำลงไป กูตายแน่ เพราะระบบจะตัดหมด ออกจากรถไม่ได้..!" นี่คือการที่โยมมีศรัทธา แต่เราสามารถที่จะปรับเปลี่ยนเอาที่พอเหมาะพอสมกับฐานะของเราได้

    แล้วอีกประการหนึ่งก็คือไปพลาดตรงที่ไปโพสต์ออกสื่อโซเชียล ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องไปออก คาดว่าคงเจตนาให้คนอนุโมทนา ที่ตนเองได้ถวายยานพาหนะแก่ครูบาอาจารย์ที่เคารพ แต่ไม่รู้ว่าจะ "ดราม่า" กันถึงขนาดนี้..!

    แล้วหลายท่านก็ไปขุดประวัติของหลวงตาสินทรัพย์ ว่าเป็นผู้ต้องหาต้องคดีมาก่อนอะไรให้วุ่นวายไปหมด ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านั้น ท่านไม่ต้องคิด โยนทิ้งไปได้เลย เพราะถ้าหากว่าจะเอาเรื่องก่อนบวช คงไม่มีใครหนักกว่าพระองคุลิมาลเถระ..!

    พระองคุลิมาลเถระยังสามารถที่จะปฏิบัติจนกระทั่งกลายเป็นพระอรหันต์ พ้นจากกองทุกข์ ไปสู่พระนิพพานได้ ดังนั้น..ในเรื่องของภูมิหลัง ไม่ได้จำเป็นอะไรเลย นอกจากความมันในชีวิตของคนที่จะไปเที่ยวขุดคุ้ยเรื่องคนอื่นเขา ซึ่งบุคคลที่สนใจผิดประเภทแบบนั้น ก็พูดได้เลยว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรมแน่นอน เนื่องเพราะว่ามัวแต่ไปสนใจจริยาคนอื่น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,402
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,331
    ค่าพลัง:
    +26,082
    คราวนี้อีกส่วนหนึ่งที่วันนี้มีการลงข่าว น่าตกใจมาก เขาใช้คำว่า "พระสงฆ์ตั้งแก๊งเกือบ ๕๐ รูป มั่วสุมเสพยา โดนจับสึกทั้งวัด..!"

    กระผม/อาตมภาพเข้าไปอ่านข่าวดู ปรากฏว่าไม่ใช่วัด แล้วก็ไม่ใช่สำนักสงฆ์ ไม่ใช่ที่พักสงฆ์ แต่ว่าเป็นที่เอกชน แล้วก็มีบุคคลเข้าไปปักกลดบ้าง กางเต็นท์บ้าง ท้ายสุดก็ไปสุมรวมกันอยู่ มีการสร้างกุฏิเพิ่มขึ้นมา รวมแล้ว ๒๗ รูป เป็นพระที่มีหนังสือสุทธิ ได้รับการบวชที่ถูกต้องจากพระอุปัชฌาย์ทั้งหมด ๒๗ รูปไม่ใช่เกือบ ๕๐ รูป..!

    แล้วคำว่ามั่วสุมเสพยา เมื่อนำตัวไปตรวจปัสสาวะ ปรากฏว่ามีปัสสาวะสีม่วงอยู่รายเดียว ก็เลยโดนจับสึกดำเนินคดี ส่วนที่เหลือ ๒๖ รูป ทางตำรวจส่งคืนต้นสังกัด

    ท่านเห็นหรือยังว่าการพาดหัวข่าวเอามันกับความเป็นจริงนั้น ต่างกันขนาดไหน ? ก็แปลว่าพระเณรของเราเป็นที่รักของชาวบ้านเขามาก มีอะไรก็ให้มากเอาไว้ก่อน..!

    เรื่องที่กระผม/อาตมภาพตักเตือนท่านทั้งหลายนักหนา ก็คือว่าเราอยู่ในสายตาชาวบ้านเขา เพราะฉะนั้น..พยายามปฏิบัติตามพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เคร่งครัดเข้าไว้ ระยะแรกเราต้องตึงก่อน ถ้าผ่อนแล้วจะพอดี แต่ถ้าท่านหย่อนตั้งแต่ต้น พอถึงเวลาผ่อน มักจะยาน..!

    อย่างวันนี้ท่านเต็ง (พระอนัน ปภสฺสโร) ที่ออกไปผจญโลกกว้างได้กลับมา มากราบขอขมากระผม/อาตมภาพ บอกว่า "หลายต่อหลายเรื่อง หลวงพ่อบอกล่วงหน้าไปนานแล้ว แต่ว่าไม่มีโอกาสที่จะได้พบได้เจอ จึงไม่เชื่อถือ พอออกไปผจญโลกกว้างแล้ว ทุกอย่างเป็นอย่างที่หลวงพ่อบอกหมด จึงต้องกลับมากราบขอขมา"

    เรื่องนี้ปลัดตั้ม (พระปลัดอาทิตย์ ชุตินฺธโร) เคยเป็นมาก่อน ปลัดตั้มใช้คำพูดว่า "หลวงพ่อบอกคำตอบ ทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่ทันจะเห็นโจทย์เลย แล้วผมจะเชื่อได้อย่างไร ?" ก็เป็นเรื่องจริง แต่ถ้าท่านทั้งหลายมีประสบการณ์ว่า เรื่องนี้คำตอบเป็นอย่างนี้ ก็จะไม่เสียเวลาในการไปแก้ไขเหตุการณ์นั้น ๆ
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,402
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,331
    ค่าพลัง:
    +26,082
    กระผม/อาตมภาพเองยังเสียดายว่า มีเวลาอยู่กับหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงแค่ ๑๘ ปี ชีวิตฆราวาส ๑๑ ปี ชีวิตความเป็นพระอีก ๗ พรรษา ยังรู้สึกว่าศึกษาความรู้จากครูบาอาจารย์น้อยเกินไป ถึงได้ปรารภกับพวกท่านไปว่า "พวกท่านส่วนใหญ่แล้วกลัวว่าจะอยู่กับกระผม/อาตมภาพมากจนเกินไป กลัวดี..! ว่าอย่างนั้น" ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็คงจะเหมือนกับพระชุดนี้แหละ ที่โดนตำรวจเขาส่งคืนต้นสังกัด อยู่กับครูบาอาจารย์แล้วอึดอัดใจ แหกคอกออกไปข้างนอก แล้วก็ไปทำผิดทำพลาด กลายเป็นเรื่องเสียหายถึงครูบาอาจารย์ไปด้วย

    ท่านทั้งหลายอย่าลืมว่า เราเรียนแค่นักธรรมชั้นตรี ก็มีภัยของภิกษุใหม่แล้ว มีอะไรบ้าง ? วังวน คลื่นลม จระเข้ ปลาร้าย

    การที่เราจะข้ามวัฏสงสารนี้ได้ต้องระวังวังวน คือ กามคุณ ๕ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มีแต่จะพาเราจมอยู่ในคลื่น ตายฟรีเสียเปล่า ๆ..!

    คลื่นลม ก็คือคำสั่งสอนครูบาอาจารย์ ทนคำสั่งสอนไม่ได้ แหกคอกออกไป โอกาสที่จะเสียก็มากกว่าดี กระผม/อาตมภาพทราบดีว่าพวกเรากว่าที่จะครบ ๕ พรรษา แล้วออกจากวัดได้นั้นอึดอัดใจมาก แต่ถ้าหากว่าท่านตั้งใจศึกษาเพื่อปฏิบัติ ๕ พรรษาสำหรับกระผม/อาตมภาพสมัยโน้นแล้ว เหมือนอย่างกับกระพริบตาเดียว คล้ายกับว่าเรายังไม่ทันจะทำอะไรได้เลย ก็ผ่านไป ๕ พรรษาแล้ว

    จระเข้ คือการเห็นแก่กิน เห็นแก่นอน ถึงเวลาควรที่จะทำวัตร บิณฑบาต เจริญกรรมฐาน เพื่อสร้างกำลังใจของตนให้แข็งแกร่ง จะได้สู้กิเลสได้ กลับไปตามใจกิเลส เห็นแก่กิน เห็นแก่นอน ไม่คิดที่จะถือวัตรปฏิบัติธรรม ตามที่กฎระเบียบวางเอาไว้ ตามที่พระธรรมวินัยมีบังคับไว้ ประเภทนี้รอเวลาตายอย่างเดียว..!

    สุดท้าย ปลาร้ายคือเพศตรงข้าม จะคาบไปกินเสียกลางทะเลเมื่อไรก็ไม่รู้ !?
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,402
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,331
    ค่าพลัง:
    +26,082
    เรื่องพวกนี้ไม่ใช่แต่พระใหม่ต้องระมัดระวัง เขาใช้คำว่า ภัยของภิกษุใหม่ แต่ภิกษุเก่านั่นแหละ ต้องระมัดระวังให้มากเข้าไว้ เพราะว่าท่านทั้งหลายส่วนหนึ่งแล้วขาดสติ พออายุพรรษามากขึ้น ก็เริ่มทำตัวตามสบาย กระผม/อาตมภาพเป็นครูบาอาจารย์ มานั่งหัวโด่อยู่ตั้งแต่ตี ๓ กว่า บางทียังไม่เห็นท่านโผล่มาเลยสักคน..! ทั้ง ๆ ที่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราต้องเข้าใจว่า ถ้าตั้งใจปฏิบัติธรรมกันจริง ๆ วันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงยังไม่เพียงพอเลย..!

    ช่วงสมัยที่กระผม/อาตมภาพปฏิบัติอยู่ บางทีอยากจะได้วันหนึ่ง ๒๕ ชั่วโมงเสียด้วยซ้ำไป ขนาดนั้นยังแทบจะเอาตัวไม่รอด อยากจะสึกเสียนับครั้งไม่ถ้วน แล้วท่านทั้งหลายที่ทำตัวตามสบาย คิดว่าจะรอดไหม ?

    แม้กระทั่งทุกวันนี้ กระผม/อาตมภาพก็ยังไม่ประมาท ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องร้าย ๆ จะมาถึงตัวเมื่อไร เนื่องเพราะว่าสมัยก่อนได้สร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้มาก สมัยนี้จึงต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ยิ่งตั้งใจว่าจะให้เป็นชาติสุดท้าย เจ้าหนี้ก็ยิ่งตามทวงหนัก..!

    หลายท่านอาจจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพ "บ้างาน" ซึ่งความจริง การบ้างานนั้นก็คือ สิ่งที่เราสร้างคุณงามความดีให้เกิดแก่พระศาสนา และสำคัญที่สุดก็คือเกิดบุญเกิดกุศลกับตนเอง เมื่อถึงเวลาเราวิ่งใส่งาน เรารู้ว่างานนี้หนักแค่ไหน เรารับได้ เป็นการบรรเทากรรมในอดีตไปอย่างหนึ่ง แต่ถ้าท่านทั้งหลายรอให้กรรมมาเอง อาจจะหนักจนรับไม่ไหว จึงเป็นเรื่องเทคนิคของใครของมัน ว่าจะเอาตัวรอดอยู่กับพระพุทธศาสนาของเราได้อย่างไร ?

    เรื่องที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น กระผม/อาตมภาพพิจารณาแล้วว่าหาสาระไม่ค่อยจะได้ ดังนั้น..อะไรที่ไม่ได้พูดถึง แปลว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรจะไปสนใจ แต่ว่าอะไรที่พูดถึง ก็คือมีความเกี่ยวโยง ที่จะสร้างความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนาได้ ก็จึงนำมาบอกมากล่าว เพื่อให้พวกเรามีประสบการณ์ว่า ถึงเวลาควรที่จะมีมุมมองอย่างไร ? ถึงเวลาควรที่จะแก้ไขอย่างไร ? ในเมื่อมีประสบการณ์แล้ว ถึงเวลาก็เหมือนกับครูบาอาจารย์มอบอาวุธให้ ลงสนามรบไป งัดขึ้นมาใช้ไม่ทันก็สมควรตาย..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...