เรื่องเล่า ตื่นนอน ตอนสายๆ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 30 มิถุนายน 2010.

  1. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ก็ในเมื่อนาคครอบครัวนี้ไม่ได้มา แล้วพวกที่ปรากฏเป็นนาคที่นางพรรณไม้ได้พบเป็นใครมาจากใหน

    ปกติตัวปลอมที่ปรากฏในนิมิตรนี่ จะมีรูปแบบใหญ่ๆอยู่ ๒ รูปแบบนะ

    แบบที่ ๑ เป็นพวกที่แปลงตนมาให้เห็นกันจะๆ แบบนี้นะเขายังมีฤทธิ์อำนาจไม่มากนัก แปลงตัวกันมาแบบหนึ่งต่อหนึ่ง
    คือ มีมาให้เห็น ห้าท่านสิบท่าน ก็ต้องมีผู้แปลงตน ห้าท่านสิบท่านเช่นกัน

    แบบที่ ๒ นะ พวกนี้มีฤทธิ์มาก เขาแปลงตนเพียงหนึ่งเดียว และเนรมิตรกายเพิ่มขึ้นอีกหลายๆแบบ อาจเป็นสิบหรือร้อย ก็ได้
    บางทีนะ ตัวเขาไม่มา แต่เนรมิตรกายหลอกมากันเป็นสิบเป็นพัน ก็มี

    ในกรณีที่นางพรรณไม้เห็นนี่ เป็นแบบที่ ๑ เขาใช้จริงๆหลอก (ก็มีทั้งจริงมีทั้งหลอก)

    ไอ้เจ้านาคเด็กสีขาวประกายรุ้ง นั่นเป็นนาคจริง
    ไอ้ที่เหลือเป็นนาคหลอกทั้งสิ้น

    มีปัญหาอีกแล้วซิ ไอ้เจ้านาคเด็กสีขาวนี่มาจากใหน
    และไอ้ที่ปลอมตัวมานี่เป็นอะไร
    และที่สำคัญเขาต้องการอะไรจากนางพรรณไม้ จึงต้งปลอมตัวกันมาให้นางพรรณไม้เข้าใจผิด
     
  2. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ผู้ที่ฝึกสมาธิจนมองเห็นนี่นั่นโน่น แม้จะถอดจิตได้นี่ พูดได้ว่า ไม่เคยมีใครที่ไม่ถูกหลอก
    บ้างถูกหลอกจนเสียเนื้อเสียตัวเสียผู้เสียคนเสียจิตวิญานตกไปเป็นทาษบริวารเขาแบบไม่รู้ตัวก็มี
    บ้างก็ถูกหลอกให้เข้าใจผิดว่าเป็นนี่นั่นโน่น เป็นพระศรีฯ เป็นเทพ มหาเทพ ฯลฯ
    บ้างก็ถูกสวมหัวโขนอุปโหลกให้เป็นเทพเจ้า เสียจริต มีวิมาณอยู่ที่ศรีธัญญา
    ฯลฯ

    อย่างหมอสุวินี่ถูกหลอกซะชาชินแล้ว
    บางทีรู้ว่าเขาหลอก ก็ยังยินดีให้หลอก

    แล้วมือใหม่หัดขับอย่างนางพรรณไม้นี่ มีหรือจะไม่ถูกหลอก
    มีปัญหาอีกแล้ว
    แล้วทำไงไม่ให้ถูกหลอก

    แต่บอกก่อนนา ผู้ปลอมตัวมาหลอกนี่ พอเขาหลอกได้นี่ เขาก็ดีใจ ทำสำเร็จแล๊ะ
    แต่หากไปรู้ทันเขานี่ แลัะทำตัวว่าข้ารู้นะ ถ้าไปเจอพวกหน้าบางนี่ เขาก็หยุดและล่าถอย
    แต่ถ้าไปเจออย่างหนาตราช้างนี่ เขาโมโหนา ตอนนี้ตัวใครตัวเผือกนิ อาจโดนตบกระโหลกได้โทษฐานรู้ทันเขา
     
  3. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    แล้วทำไงไม่ให้ถูกหลอก

    นี่เป็นคำถามสุด ฮ๊อท ของผู้ฝึกสมาธิทุกคน
    จะทำอย่างไรไม่ให้ถูกหลอก
    วิธีการนะมีหลายรูปแบบ มีทริกเล็กทริกน้อยยุบยับ

    เอาง่ายๆให้เป็นรูปธรรมนะ
    ปกติในผู้มีกำลังสมาธิสูงๆ โอกาศถูกหลอกก็ยาก
    แต่กำลังสมาธิน้อย นี่ถูกหลอกได้ง่ายๆ

    ดังนั้นเราต้องพึ่งครูบาอาจารย์ที่กำลังสมาธิสูงๆมาเป็นตัวช่วย
    ครูอาจารย์ที่ดีที่สุดของพวกเราชาวพุทธนี่ จะมีอะไรที่ยอดกว่า

    พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง

    ด้วยพระเมตตาของพระองค์ ขออาราชธนาอำนาจบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาประกอยการรู้เห็นของเราให้กระจ่าง
    อย่าให้อำนาจใดมาครอบงำความรู้เห็นของเรได้
    อย่าให้อำนาจใดมาชักจูงให้คิดผิดเห็นผิด
    ฯลฯ
    อธิษฐานเอานิ จะสำเร็จหรือไม่นี่ก็อยู่ที่ อำนาจ/ปริมาณ ของบุญแล้ว
    บุญนี่เกิดได้จาก ทาน ศีล และภาวนา ก็ต้องทำเอานะ ของใครของมัน
    ทำให้มีบุญล้นฟ้าเลย จะอธิษฐานอะไรล้วนสำเร็จทั้งสิ้น

    ว่าก็ว่าเถอะ คนจบด๊อกเตอร์ยังถูกหลอกโดยคนธรรมดา ยังมีเลย
    บางทีเราอาราชธนาพระองค์แล้ว เราก็ยังถูกหลอก
    พอทบทวนดูไอ้ที่ถูกเขาหลอกได้นี่ เป็นเพราะกิเลสในตัวเราเองเป็นผู้ชักนำ ให้ถูกหลอกเอง
    สรุปได้เลยว่า พวกสมาธิสูงแล้วถูกหลอกนี่เป็นเพราะกิเลส(ละเอียดที่ดูไม่ออก ตามไม่ทัน)มันหลอกตัวเองเอา แค่เขาชักจูงเล็กๆเท่านั้น
     
  4. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ในกรณีของนางพรรณไม้นี่
    ไอ้เสมามันพาสาวเจ้าท่องเที่ยวไหว้พระวัดโน้นวัดนี้ จนสุดที่จะจำได้
    พระสงฆ์ที่ไปไหว้ท่าน ท่านก็ให้พระผงบ้าง ชานหมากบ้าง ลูกแก้วบ้าง ให้พรบ้าง จนเก็บเป็นกระบุง ไม่รู้อะไรเป็นอะไร

    รู้หรือไม่พระที่ไอ้เสมาพาไปกราบ ล้วนเป็นพระอริยะเจ้าทั้งสิ้น ทุกสิ่งที่ท่านให้มาล้วนสุดยอด

    ให้ทำดังนี้นะ
    ให้นึกรวมสมบัติทั้งหมดที่พระท่านให้มา(รวมทั้งคำอวยพรด้วย) มากองไว้ตรงหน้าแล้วว่า
    พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง
    พร้อมระลึกถึงอำนาจของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ และอธิษฐานขอให้สิ่งของที่ท่านมอบให้ไว้จงรวมกันเป็นหนึ่ง ดังดวงแก้วมณีโชติรส
    เรียกดวงแก้วไว้ในฝ่ามือ แล้วนึกเก็บไว้ในมโนธาตุ

    เวลาใช้ ให้นึกถึงดวงแก้ว (สิ่งที่เรานึก จะนึกขึ้นมาจากมโนธาตุทั้งสิ้น ไม่ได้นึกจากใจ แต่เราใช้ใจเป็นตัวนึก)
    และขอให้สิ่งนี้ปกป้องคุ้มครองตัวเราให้พ้นภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ พ้นภัยจากอุบัติภัยทั้งปวง พ้นภัยจากการเบียดเบียนของมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง
    แล้วนึกให้ดวงแก้วนี้ครอบคลุมตัวทั้งหมด

    เวลาดูสิ่งใด ไม่รู้จริงหรือเท็จ ให้นึงถึงดวงแก้วและอำนาจพุทธองค์(พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง)
    ดึงดวงแก้วมาซ้อนที่ดวงตา แล้วขะเม้น มองลึกเข้าไปในสิ่งนั้น
    แล้วอธิษฐาน ให้ความจริงทั้งปวงจงปรากฏแก่สายตา

    วิธีใช้ให้ถามรายละเอียดปลีกย่อยจากไอ้เสมามัน

    อ้อ..เตือนไว้สักนิด
    เวลามองสิ่งใดให้ระวังด้วย ความจริงในสิ่งที่มองอาจไม่น่าดูนัก
    อาจจะเหมือนไอ้ตัวประหลาดในหนังไซไฟร์ ที่สุดขยะแขยง
    ซากศพที่เน่าเละและเดินได้
    อาจเหมือนมนุษย์มีปีกแบบค้างคาว มีกรงเล็บดังอินทรีล่าเหยื่อ

    จำไว้นะ ว่าดูก็สักแต่ดู เห็นก็สักแต่เห็น แล้ววางอุเบกขาเสีย

    ทำให้ได้นะ ไม่งั้น พรที่ท่านท้าวให้ไว้จะทำร้ายตัวเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2012
  5. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    ขอบพระคุณค่ะ คุณอาหมอสุวิที่ให้ธรรมทาน

    และขอขอบพระคุณในความเอื้อเฟื้อ เมตตา และธรรมทานที่ได้กรุณาให้ไว้ จะพยายามจดจำเพื่อนำไปใช้ค่ะ
     
  6. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +13,166
    ขอแจม ด้วยหน่อย
    เรื่องถูกหลอก

    ในโลกมนุษย์ เรา เค้าเรียก พวกนักต้มตุ๋น ว่า 18 มงกุฎ
    ตั้งชื่อ ให้นึกถึง นิยาย อินตาลาเดีย เรื่องรามเกียรติ์

    ทางทิพย์ เรื่องหลอก กันมันก็ น่าจะมี

    เช่น ผีหลอก หมายถึง ผี ทำหน้าตาน่าเกลียดให้ คนดู
    คน ก็ เรียกว่า ถูกผีหลอก

    ถ้าแปลกันตรงๆ คน ก็ รู้ ว่า ผี หลอก
    แล้ว ยังไป กลัว อีกทำไม
    ที่ผี ต้องหลอก ให้คน กลัว ก็ เพราะจริงๆ แล้ว อาจจะไม่ได้น่ากลัว......55

    นี่ ก็ เรื่องหนึ่ง แล้ว นะ
    มันเกิดมาจาก ไปดูหนังผี แล้ว ชอบเก็บมาคิด ว่าเป็นเรื่องจริง มันฝังใจ....55

    แล้ว อย่างพวกเรา ที่ ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ
    จน จิตนิ่งสว่างใส จนถึงขั้นณาน ก็ พอจะไปไหนมาไหน ได้
    ไปดู นั่น นี่ โน้ม ให้ สนุก กันไป

    พวกนี้ ก็ ถูกหลอกได้ เหมือนกัน
    แล้ว เค้าจะหลอก กันอย่างไง

    อันที่จริง บางที เค้า ก็ ไม่ได้หลอก เรา
    แต่ เรา มันฉลาด ไม่พอ ไป คิดเอาเอง ว่า เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ตามที่เห็นมา

    คือ บางที เห็น นะ เห็นจริงๆ ไม่ผิดเพี้ยน
    แต่ เป็นการเห็น ด้านเดียว
    มิใช่การเห็น แบบ พาโนรามา 360 องศา

    มันจึงพลาด ได้

    เช่น
    มีคน เค้า เอา แตงโม มาผ่า ซึก แขวนไว้

    เราเห็น ก็ รู้ ว่า แตงโม เนื้อแดง น่ากิน

    เห็นอย่างนี้ ก็ เอามาเล่าให้เพื่อนๆฟังว่า
    เห็นแตงโม ผ่าซีก เนื้อสีแดง น่ากิน ทีเดียว
    ให้ น้ำลายไหล....55

    ...........

    หากว่า เรื่องจริง มันเป็น แค่ แตงโม สไลด์ เป็นแผ่นๆ
    นำมาแขวนไว้ ละ

    ที่ เราเอามาเล่า ถูก หรือ ผิด

    ตอบว่า ถูก แหละ แต่ ถูกไม่หมด

    แล้ว หากเป็นเรื่อง ซีเรียส ถึงเป็นถึงตาย ล่ะ จะเป็นอย่างไง

    ก็ ตัวใคร ตัวมัน แล้ว ละ เธอ.....

    ............

    เหมือน ตอนน้ำท่วม ปี ที่แล้ว
    มีคน รู้ ล่วงหน้า กัน เยอะ
    แล้ว นำมา บอกให้ ระวัง หาทางป้องกัน ไว้ก่อน

    เห็นน้ำท่วม หลายจังหวัด จนมาถึง น้ำท่วมกรุงเทพฯ
    ท่วม กัน สูง สองสามเมตร ก็มี

    จริงไหม ต้องตอบว่า จริง

    ก็ มันมีน้ำท่วม จริงๆ นี่นา

    คนที่เห็น เค้าเห็น จริงๆ เอามาเล่า ก็ ถูก อีก ละ

    แต่ พอ เอามาเล่า มาตีความกัน
    กลายเป็น น้ำท่วม กทม. สูง สองสามเมตร
    อยู่ กันไม่ได้ แล้ว ต้อง อพยพ ไปอยู่ บนเขา

    ตรงนี้ ต่างหาก ที่ พวกเรา พลาดกันไป

    ปกติ ผม เอง จะไม่พยากรณ์ เรื่องโลกแตก ภัยวิบัติ
    ก็ เพราะอย่างนี้ แหละ

    ..............

    ยกตัวอย่าง มา เยอะ แยะ พอให้ เห็นเป็นแนวทาง

    ระวัง ถูกหลอก

    ระวังตัวเรา ไป เผลอ หลอกคนอื่น ด้วยนะ

    จะโดย เจตนา หรือ ไม่เจตนา ก็ มุสา เหมือนกัน....55

    .................................​

    เรื่อง ไป ดู นั่น ดู นี่ จะว่า ไป มันก็ สนุก ดี............55​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2012
  7. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    คำตอบของคำถามนี้ น่ามีประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย จึงนำมาตอบไว้ในที่นี้

    ปกติกายมนุษย์จะมีกายซ้อนๆกันอยู่ คิดอย่างหยาบๆ ก็มี ๓ กาย(คิดแยกย่อยละเอียด ก็มีถึง ๑๘ กายนะ)
    เรามาคุยกันแบบชาวบ้านนะ ๓ กายที่ว่า มีอะไรบ้าง
    ก็มี
    ๑ กายมนุษย์ (กายหยาบ กายมนุษย์ละเอียด-บางคนเรียกกายจิต)
    ๒ กายทิพย์ (มีกายทิพย์หยาบ กายทิพละเอียด กายเทวดา กายพรหม ฯ)
    ๓ กายธรรม (มีกายพระโสดา ฯลฯ)

    อธิบายเคร่าๆนี่
    กายมนุษย์หยาบ อยู่นอกสุด ถัดเข้าไปเป็นกายมนุษย์ละเอียด(กายนี้เป็นกายฝัน บางคนเรียก กายจิต) ถัดเข้าไปอีก จะเป็นกายทิพย์ และเป็นกายธรรม
    กายทั้งสามนี่เมื่อฝึกสมาธิได้ถึงระดับ กายจะค่อยๆแยกออกจากกันได้ ตามระดับพลังงานทีฝึกได้

    และเมื่อกายทั้งสามแยกจากกัน มันจะมีสายโยงไย กายทั้งสาม ต่อเชื่อมถึงกันอยู่ มีเอาไว้ถ่ายทอดพลังงานหล่อเลี้ยงซึ่งกันและกัน
    ถ้าสายนี้ขาดด้วนเหตุใดก็ตาม(เช่นถูกมือดี แอบมาตัด เอาไปชั่งกิโลขาย แบบเดียวกับแอบตัดสายไฟฟ้าแรงสูงเลย) ไม่กี่อึดใจ ก็ตายแน่นอน
    สายนี้เป็นสายที่เล็กละเอียดมากจนยากมองเห็นด้วยตาทิพย์ธรรมดา มีความยืดหยุ่นสูงและเหนียวแน่น ไม่ว่าไปไกลแค่ใหน เขาก็ยืดตัวตามได้ไม่มีขาด
    แต่ไม่อาจออกไปจาก สามโลกนี้ได้(หมายถึงออกนอกจักรวาล)
    ถ้าออกนอกจักวาล สายไยนี้จะขาดทันที(ยกเว้นพวกได้ไลเซ่นพิเศษ)

    ที่นางพรรณไม้ ไปท่องเที่ยวกับไอ้เสมานี่ เป็นการแยกกายมนุษย์ละเอียดออกไป บางคนเรียกว่าการถอดจิต(นี่ไม่ใช่การถอดกายทิพย์นะ)
    กายที่ถอดออกไป เป็นกายที่มีอายตนะใกล้เคียงมนุษย์มากที่สุด
    การเห็น การรู้รส การได้กลิ่น การได้ยิน การสัมผัส เวทนา(ด้วยอายะตนะหก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ใจ) จึงคมชัด

    เวลาที่ถอดกายละเอียดออก(กายทิพย์ที่ซ้อนภายในกายมนุษย์ละเอียด จะออกไปด้วย)
    กายเนื้อหยาบ ซึ่งเป็นเพียงหุนยนต์ ก็จะทำอะไรไม่ได้ ต้องนั่งหรือนอนอยู่เฉยๆ(ดูเหมือนสลบไสลไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวทั้งปวง-ระวังเขาเอาไปเผาทิ้งนะ)
    ถ้าไอ้กายฝันมันเที่ยวเพลินไปหน่อยไม่กลับเข้าร่างในเวลาอันควร นี่ ไอ้กายมนุษย์หยาบ มันก็จะค่อยเฉาตายไปทีละน้อย
    ในแต่ละคน เวลาที่กายมนุษย์ทั้งสองแยกจากกันได้โดยไม่มีอันตรายนี่ ไม่ค่อยเท่ากันนัก
    ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานและบุญที่หล่อเลี้นงกายหยาบ และการถ่านเทพลังงานผ่านเส้นไยที่เชื่อมกายทั้งสอง
    ในคนปกติก็ประมาณ ๓-๗ วัน แต่ในคนที่มีบุญและพลังสูงๆนี่อยู่ได้เป็นเดือนนะ อาจจะ สามเดือน หกเดือน(แต่ก็โดนคนเข้าใจผิด เอาไปเผาทิ้งอยู่ดี)

    แต่ในกรณี ที่กายทิพย์แยกกายออกไป โดยให้กายมนุษย์หยาบและละเอียดยังคงซ้อนกันอยู่ จะเกิดขึ้นได้สองกรณี
    ในกรณีที่ ๑. มีการฝึกฝนจนมีระดับพลังสูงมากจนกายเนื้อละเอียด และกายทิพย์ ขยับตัวออกจากกัน(เหมือนทุเรียนสุกได้ที่ เนื้อทุเรียนก็จะหลวมไม่ติดกับเปลือก)
    ในกรณีนี้ กายทิพย์ยังแยกกายไม่ได้ แต่อาจมีอะไรบางอย่งมากระแทก หรือสะดุจจะหกล้มได้จังหวะ กายทิพย์ก็จะหลุดออกจากกายเนื้อได้ง่ายๆ
    ช่วงที่กายทิพย์กำลังหลุดออกนี่จะรู้สึกวูปไปแป๊ปหนึ่ง แล้วก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา (แต่ตอนนี้กายทิพย์อยู่นอกตัวแล้ว) แบบงงๆ และเบลอนิดหน่อยเหมือนคนไม่ค่อยสบาย
    แต่ถ้าเป็นคนที่ฝึกมาดี มีสัมประชัญญะพร้อมมีรู้หนอที่ดี เขาจะฝึกต่อให้กายทั้งสอง สวมเข้า ถอดออก สักพัก ไม่กี่ครั้ง กายทิพย์เขาจะเข้าใจ
    เมื่อกายทิพย์เข้าใจวิธีการแล้ว คราวนี้ เวลาเขาจะเข้าจะออกนี่ ถ้ากายเนื้อมีผัสสะไม่ดีนี่ จะไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่า กายทิพย์มันหนีเที่ยวอีกแล้ว
    ถ้ามีผัสสะดีจะรู้เพียงว่ามีสายพลังพุ่งเข้าพุ่งออกจากกายเนื้อเท่านั้น

    การเยกกายในแบบที่ ๒ เกิดจากผู้มีพลังสูงกว่ามาก ใช้พลังมาดึงกายทิพย์ของเราออกไป อาจจะมีจุดมุ่งหมายดีหรือร้ายก็ได้
    เคยพบในเวปนี้ มารดึงเอากายทิพย์ออกไปกักขังไว้ แล้วให้สมุนมารเข้ามาแทรกและเข้าขับเคลื่อนหุ่นยนตืมนุษย์แทน
    กรณีนี้ จะมีการต่อสู้กันระหว่าจิตสำนึกธรรมดา(กายมนุษย์ละเอียด)กับจิตใต้สำนึกที่แปลกปลอม


    ที่เขียนเล่าไว้นี้ ความจริงแล้ว หากพูดตามวิทยาศาตรสมัยใหม่
    ไอ้กายมนุษย์ละเอียด มันก็คือ จิตสำนึกปกติธรรมดา
    และไอ้กายทิพย์นี่มันเป็นจิตใต้สำนึกนั่นเอง

    เวลากายทิพย์แยกตัวออกไป กายมนุย์หยาบก็ยังทำงานได้ปกติ
    การขับเคลื่อนหุนยนต์มนุษย์ ก็ยังขับเคลื่อนด้วยกายมนุษย์ละเอียดเช่นเดิมนั่นเอง

    และในคนที่มีอภิญญาใหญ่นี่ กายทิพย์จะสามารถแยกตัวออกได้อีก เป็นสิบเป็นร้อย แล้วแต่ความสามารถของเขา
    ทุกกายทิพย์ ก็สามารถมีกิจกรรมแยกกันไปทำ เรียกว่าต่างคนต่างทำงานคนละแบบไม่ซ้ำกัน
    และเมื่อกายทิพย์ที่แยกกันออกไปนี้เมื่อมีความเป็นส่วนตัวมากๆเข้า มันก็อาจหนีไปจุติใหม่ได้
    ถ้าสภาพธรรมไม่ดี หนีออกไปก่อกรรมมากเข้า ก็ไม่อาจกลับมารวมร่างได้
    ไอ้เจ้ากายทิพย์ตัวต้นก็จะสูนเสียพลังไปส่วนหนึ่ง ทำอะไรไม่ได้ได้แต่ทำตาปริบๆ ไล่ทุบไอ้เจ้ากายทิพย์ที่หนีเที่ยว

    เฮ้อ.......เหนึ่อยกับการอวตาลวุ้ย

    อุ้ยตาย ....เขียนมาตั้งนานยังไม่มีคำตอบของหนูพรรณไม้เลย
     
  8. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    มีผู้ถามถึง suwi2 มีสถานะภาพเป็นอะไร
    ก็ตอบได้เพียงว่า เป็นคนชอบหนีเที่ยวนั่นเอง

    เมื่อปลายเดือนที่แล้ว หนีเที่ยวซะจนได้เรื่อง
    ถูกมือดีจับไป ตัดแขนตัดขาซะสิ้น กลายเป็นพรหมลูกฟักนอนกลิ้งไปมาทำตาปริบๆอยู่กลางสนามหญ้าที่วังจันทรเกษมอยุธยา
    เดือดร้อนหมอต้องท่อสังขารอันชราภาพไปต่อแขนต่อขาให้มันกลางดึก

    พอเดินเหิรได้คล่อง มันก็พาไปดูตัวประหลาดที่ใต้น้ำหน้าวังตรงกับวัดมณฑป
    ตัวมันประหลาดดีวุ้ย คล้ายๆนาคมีขา มีพิษเผ็ดๆฉุนๆดุจพริกไทยผสมพริกแห้ง(รสชาดนี้ดาวทะเลทรายเป็นคนชิมนะ หมอเป็นคนไม่กินเผ็ดเลยไม่กล้าชิม)
    หน้าตาว่าไปคล้ายไอ้เข้ ดูไปดูมาก็คล้ายไอ้มังกรโคโดโม่วุ้ย แต่หัวมันโตกว่า
    จำได้ว่านี่เป็นนาครุ่นที่ ๒ นิ สายสืบรายงานมาว่า ไอ้ตัวนี้มาจากเมืองจีนแถวๆเขื่อนแม่น้ำโขง
    ไอ้พวกที่ตัดแขนขา ไอ้สุวิ๒ เป็นผู้นำมาเพื่อขจัดเหล่านาคในพื้นที่ ที่มาก่อกวนพวกมัน ให้ทำงานกันไม่เป็นสุข
    ไอ้ตัวประหลาดตัวนี้ ตามตำราเขาเรียกเหรา มันมาถึงก็ไล่จับนาคเจ้าถิ่นกินซะเกลี้ยงเลย
    สายสืบรายงานมาอีกว่ามีนาคเด็กลูกของนาคเจ้าถิ่น สีขาวประกายรุ้ง หนีออกไปเที่ยว จึงรอดตายอยู่ตัวหนึ่ง กลับเข้าบ้านไม่ได้ ไอ้สายสืบจึงเอาไปถวายวัดไว้
    พระท่านก็ดีนะ ไปพบเข้าก็เลยตกกระไดพลอยโจนรับเลี้ยงไว้

    ตอนไปแอบดูไอ้ตัวนี้นะ มันกินอิ่มจึงหลับฟี้ๆ
    จีงช่วกกันจับใส่สตารเกซ ส่งกลับไปอยู่ที่เขื่อนแม่น้ำโขงในเมืองจีนซะ

    ตานี้เป็นเรื่องของ สุวิ๒ ที่ต้องไปสืบเสาะหาความจริงให้ได้ว่า ไอ้พวกที่ตัดแขนขามันนะ มาจากใหนมาทำอะไร
    โอ้ย..... ขำกลิ้งวะ พอไอ้พวกนั้นมันเห็นหน้าไอ้สุวิ
     
  9. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ตานี้เป็นเรื่องของ สุวิ๒ ที่ต้องไปสืบเสาะหาความจริงให้ได้ว่า ไอ้พวกที่ตัดแขนขามันนะ มาจากใหนมาทำอะไร

    โอ้ย..... ขำกลิ้งวะ พอไอ้พวกนั้นมันเห็นหน้าไอ้สุวิ๒ นี่มันวิ่งหนีกันกระเจิงเหมือนถูกผีหลอก แอบไปหาที่ซ่อนกันอุดตะรุด
    ได้จังหวะ ดาวทะเลทรายโทรมาพอดี เลยชวนไปแอบดูการเล่นซ่อนหาของไอ้สุวิ๒ กัน

    ดาวทะเลทราย นั่งส่องจากบนฟ้า ลงมาในวังจันทรเกษมก็หาตัวไม่เจอเลย
    เห็นแต่นกขนาดใหญ่ตนหนึ่งบินร่อนไปมาเหนือวังจันทรเกษมอยุธยา ดังมองหาอะไรอยู่
    อีพึมพำว่า นกอะไรหว่าตัวเหมือนคน มีปีกด้วย ใช่ครุฑหรือไม่หว่า
    มองไปมองมาสักพัก ไม่เห็นอะไร มันซ่อนเก่งวุ้ย ไม่มีเรื่องน่าหนุก อีจึงหนีกลับบ้านไปก่อน

    มาพบความจริงภายหลังจากนั้นไม่นาน ไอ้พวกนี้มันหนีจากวังจัทรเกษม ไปแอบกันที่ ม.เทคโนโลยี่ราชมงคลสุวรรณภูมิ ที่ห่างออกไปสักกิโลกว่าๆ
    มีรึจะพ้นสายตาเหยี่ยวสายลมไปได้ (ยืมชื่อมาจากป่านางเสือนะ)

    หลังจากนั้นก็ไม่รู้เรื่องแล้ว อะไรเป็นอะไร เพราะจนป่านนี้ไอ้สุวิ๒ ยังไม่กลับมารายงานข่าวเลย
    รู้แต่ว่ามีการกวาดจับกันยกใหญ่ ตัวหัวหน้าแป๊บเดียวหนีไปถึงเมืองศรีเทพแนะ
    สรปก็จับได้หมดนะ
    แต่ไอ้ สุวิ๒ นี่หายจ๋อมไปเลยนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2012
  10. ksriuta

    ksriuta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +2,971
    ฝากรบกวนอาจารย์ดูปิรามิดครับ
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  11. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นปิรามิดอยู่ดี
     
  12. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +13,166
    จะสร้างปิรามิด ให้สำเหร็จไว ไว
    ให้ ตีตั๋วเครื่องบิน ไปดูตัวอย่าง ที่ อียิป
    เดินดูให้ รอบ แล้ว เข้าไป ข้างใน
    ตรงห้องกลาง น่าจะเป็นที่วางพระศพ ฟาโรห์ นั่นแหละ
    แรง จน ยืนไม่อยู่ ทีเดียว
     
  13. ksriuta

    ksriuta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +2,971
    ขอไปศึกษาวิธีอัพรูปก่อนครับ ทำไมเราเห็นอยู่คนเดียวหนอ
     
  14. ksriuta

    ksriuta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +2,971
    คราวนี้สำเร็จไหมนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2012
  15. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ในมนุษย์ทุกรูปทุกนามนะ จะมีอายะตนะหกเอาไว้รับรู้ สิ่งที่มากระทบทั้งปวง
    อายะตนะหกนี่มี ภายนอก ภายใน นะ
    อายะตนะภายนอกนี่ก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (รวมหกอย่าง)
    ภายในนี่ก็เป็นของคู่กับอายะตะนะภายนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผ้ส เวทนา(ความรู้สึก)

    เมื่ออายะตนะหกภายนอกนี่ถูกฝึกอย่างถูกต้อง อายะตะนะภายในก็จะรับรู้ใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความรับรู้ ก็จะละเอียดมากขึ้น มากขึ้น
    เมื่อมากขึ้นถึงระดับหนึ่ง การรับรู้นั้นก็จะทะลุขึ้นไปในอีกมิติหนึ่ง
    เริ่มแรกก็เป็นมิติที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ ก็คือมิติของจิตวิญญาน
    และเมื่อฝึกสูงขึ้นไปอีก การรับรู้ก็จะขึ้นสูงไปอีกมิติหนึ่ง คือมิติของเทวดาและพรหม
    สูงขึ้นไปอีก ก็เป็นมิติของจักวาลระดับสูง(พวกจิตจักวาลบางพวกนี่ก็อยู่ในมิติของจิตวิญญานทั่วไปนะต่ำกว่าเทวดาซะอีก)

    ปกติอายะตนะหกของกายมนุษย์ละเอียดนี่จะอยู่ระดับของจิตวิญญานทั่วไปนะ
    ส่วนอายะตนะหกของกายทิพย์นี่จะอยู่ในระดับของเทวดาและพรหม

    และปกตินะอายตนะหกของผู้ที่สูงกว่าจะเห็นและรับรู้หมดในมิติที่ต่ำกว่า
    ส่วนผู้ที่ต่ำกว่า จะไม่อาจเห็นหรือรับรู้ในมิติที่สูงกว่าได้ นอกจากเขาจะยอมให้เห็น
     
  16. Old Navy

    Old Navy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +80
    ขออนุญาตเรียนถามเรื่องการฝึกสมาธิฯ

    ด้วยผมได้รับความเมตตาสั่งสอนบางประการจากท่านครูเทพกัญญา และท่านครูฯเคยเอ่ยชื่นชมท่านหมอสุวิฯมากมาย ผมจึงตามหาการโพสกระทู้ของท่านหมอฯ เมื่อพบแล้วจึงอยากเรียนถามในเรื่องการฝึกสมาธิตั้งแต่เบื้องต้นเลยทีเดียว ท่านครูเทพฯบอกว่าผมมีอดีตเป็นนาค แต่ตัวผมเองยังหาสัญญาเดิมไม่พบ พยายามฝึกมานานแต่ไม่เอาอ่าวเอาทะเลอะไรเลย (อานาปานสติ-พุทโธ) ท่านหมอฯพอจะเมตตาแนะนำแนวทางอะไรให้ผมได้ไหมครับ? เผื่อว่าจะไปช่วยท่านครูเทพฯได้บ้าง เห็นงานท่านเยอะมากๆ หรืออย่างน้อยก็เกื้อกูลผู้คนรอบข้างก็ยังดีครับ
    หมายเหตุ หากท่านหมอฯเห็นว่าจะเกะกะกระทู้นี่ จะให้ติดต่อทางเมลล์ส่วนตัวก็ดีครับ
     
  17. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    การที่ฝึกจน อายตนะหก รับรู้ได้ข้ามไปในมิติอื่นๆ เราเรียกว่า ฝึกได้ตาทิพย์ หูทิพย์ ฯลฯ

    ความเป็นทิพย์นี่มิใช่ว่าจะใช้เฉพาะการรับรู้ข้ามมิติเท่านั้น
    แต่ยังรับรู้ได้ในมิติเดิม โดยไม่มีเรื่องของความก้วาง ยาว สูงและกาลเวลาเข้าเกี่ยวข้อง หรือขัดขวางการรู้เห็นนั้น เช่น
    ของอยู่ในกล่อง ก็มองทะลุเข้าไปได้
    เสียงอยู่อีกที่หนึ่งที่ไกลเป็นกิโล ก็กำหนด หูเข้าไปได้ยินได้
    ผลไม้หรืออาหารกล่องอยู่ในตู้เย็น พอตาเห็น ก็กำหนดเข้าไปรับรู้ กลิ่นและรสชาติ ได้
    วัสดุสิ่งของ ที่วางอยู่แต่ไกล เพียงตาเห็นก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มหรือแข็งกระด้างของวัสถุนั้น
    เมื่อตาเห็นภาพ ใจก็รับรู้ได้ว่า ภาพที่เห็นเป็นอะไร สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของสิ่งนั้น เช่น
    มองเห็นคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ ก็ให้รู้สึกถึงอารมณ์ของเขาว่ากำลังเศร้าสร้อย โหยหา ฯลฯ
    แม้ในที่สุด แม้เห็นก้อนหินก้อนหนึ่งเราก็อาจจะรับรู้ในจิตวิญญานของหินก้อนนั้นว่าเขาอยากหาคนสักคนที่รักเขา เขาอยากไปอยู่ด้วย
    หินพวกนี้จะมีกาญสิทธิ์แทรกอยู่ บางชิ้นเป็นถึงสมบัติจักรพรรดิ์

    และการรับรู้ของอายตนะหกนี่ ไม่ได้ถูกเรื่องเวลากำหนดตายตัว เพียงใจกำหนด เวลาก็สามารถเดินหน้าหรือถอยหลังได้
    ทำให้เรากำหนดรู้สิ่งในอดีต หรืออนาคตได้
    เพียงใจกำหนดว่าเมื่อเช้านี้(สมมุติว่าขณะนี้เป็นตอนเย็นนะ) ณ ตำแหน่งนี้ เกิดอะไรขึ้น ขอดูภาพ ขอได้ยินเสียง
    เราก็จะได้รับรู้ในสิ่งนั้นๆได้

    เรื่องในอดีต เราจะรู้เห็นได้ง่าย แต่เรื่องในอนาคต นั้น มีเหตุมากมายเป็นตัวแปร ทำให้ผลเปลี่ยนไปไม่แน่นอน
    โอกาสที่จะทำนายถูกนั้นยาก แต่ก็มีทางแก้โดยนึงถึงพระพุทธองค์แล้วกำหนด "เย ธัมมา เหตุ ปัปภวา ฯ" ลงไปบนสิ่งนั้น
    แล้วคำนวน เหตุทั้งหมดลงไปแล้วกำหนดรู้
    อย่างไรก็ดี สิ่งที่รู้นี่ ก็ยังได้เพียง ๘๐% โดยประมาณเท่านั้น

    เหล่านี้คือคุณสมบัติเคร่าๆของอายะตนะหกที่เป็นทิพย์ (ผู้มีปัญญาย่อมใช้ได้พิศดารกว่านี้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2012
  18. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ในคนหนึ่งๆ การที่จะฝึกให้อายะตนะทั้งหกเป็นทิพย์ โดยพร้อมกันเป็นเรื่องยาก
    ปกติจะฝึกได้เพียง ๑-๓ อย่างเท่านั้น
    แต่ในผู้ที่จะเริ่มเข้าใจ และใช้งานจริง จะต้องได้ ประมาณ ๔ อย่างเป็นอย่างน้อย
    คือ ตา หู กายสัมผัส และใจ(ตาทิพย์ หูทิพย์ สัมผัสพลังได้ ใจรับรู้ในสิ่งที่สัมผัสได้จากตา หู และกายสัมผัส)

    ในคนที่ฝึกได้หมดทั้งหก ตัว เมื่อกำหนดสมาธินิ่งที่จุดศูนย์ กำหนดรู้ในอายะตนะทั้งหกพร้อมกัน
    ไม่นาน กายหยาบและกายละเอียดจะเคลื่อนออกจากกัน
    จะเกิดกายถอดจิต

    การกำหนดให้เกิดการถอดจิตนี่อาจเกิดจากการฝึกของตนเอง ใช้พลังงานของตนเองก็ได้
    หรืออาจได้รับการสอนวิธีการจากอริยะเทพ หรือเทพ พรหม ระดับสูง ให้ทรงสมาธิ ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
    พอได้จังหวะ ก็ส่งพลังงานของท่านจำนวนหนึ่ง พลักเข้าใส่ กายละเอียด
    กายหยาบและละเอียดก็หลุดออกจากกันได้โดยง่าย
    ฝึกต่ออีกนิด ก็สามารถเดินเข้าเดินออก จากกายหยาบได้ง่ายๆ

    หากขาดการฝึกฝน ทำให้พลังงานที่ท่านมอบไว้ให้ต่ำลง การถอดจิต ก็จะทำได้ลำบาก
    และเมื่อต่ำลงเกินพิกัด ก็ไม่อาจถอดจิตได้อีก
    ผู้ที่ถอดกายจิตได้ด้วยวิธีนี้ หากไม่ระวังไม่รักษา ไม่นาน พลังงานก็จะลดลง และทำไมได้อีก

    ผู้ที่จะทรงการถอดกายอันเกิดจากการช่วยเหลือดังกล่าวได้ นี่ ต้องหมั่นฝึกในอายตนะหกแบบเริ่มต้นใหม่ ทีละอายะตนะอีกครั้ง เพื่อให้เกิดการรู้เอง
    และต้องเป็นการฝึกด้วยตนเองโดยไร้การช่วยเหลือใดๆ
    ขณะที่ฝึกแบบเริ่มใหม่นี้ต้องทำควบคู่กันไปกับความสามารถเดิมที่ถอดจิตได้
    หากผู้ใดคิดว่า เราทำได้แล้ว ไยต้องมาตั้งต้นใหม่ หากคิดเช่นนี้
    ไม่นานความสามารถนั้นก็จะค่อยๆจางหายไปในที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2012
  19. NewLerner

    NewLerner Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +32
    อาจารย์ครับ แล้วอย่างผมนี่ต้องธรณีสารอะไรบ้างหรือเปล่าครับ คือกลัวและเกรงเลยครับ เพราะบางทีก็ไม่ค่อยระวังสำรวม รบกวนอาจารย์ช่วยตรวจด้วยนะครับ

    ขอบพระคุณครับ (กำลังอ่านต่อเนื่องอยู่ครับ)

    ธัน
     
  20. Stradale

    Stradale เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2007
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +4,379
    จุดศูนย์ ต้องกำหนดยังงัยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...