เมื่อจิตเกิด-ดับ การดูจิตจะเป็นไปตามความเป็นจริงได้อย่างไร???

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 10 สิงหาคม 2009.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    กำลังจิต (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) มันยังไม่พอ

    มันยังหาตัวที่เราจะต้องเข้าไปจัดการกับมันจริง ๆ ยังไม่เจอ เรียกว่า ยังหาต้นตอจริง ๆ ยังไม่เจอ มันก็เลยรู้สึกล่องลอยไป ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบอาการแบบนี้ไว้ว่า เหมือนเรือที่ไม่มีคนขับ เพราะทิศทางของมันยังไม่ชัดเจน เนื่องจากความเข้าใจเรื่องทางที่จะไปจริง ๆ มันยังไม่มีนั่นเอง มันก็เลยลอยเคว้งคว้างไป แบบนี้ใคร ๆ (คือ กุศล/อกุศล) ชักจูงไปในทางใดก็ไปได้หมด ถือว่ายังเสี่ยงอยู่มาก บางทีเขาก็เรียกว่า ว่างแบบไม่มีปัญญา คือจิตมันก็ยังเกิดอยู่ เกิดบนความว่าง เกิดแบบว่าง ๆ นั่นเอง ต้องเพิ่มกำลังสติเข้าไป และหัดสังเกตให้ทันเวลาที่เราเผลอ เราหลงอินจนจิตเกิดเป็นสุขเป็นทุกข์ขึ้นมานั้น เราหลงความคิดที่เป็นกุศล อกุศลเหล่านั้นไปได้อย่างไร สังเกตให้ทัน ถ้าสมมุติจิตมันเกิดไปแล้ว มีอารมณ์ร่วมกับความคิดขึ้นมาแล้วให้ดับ อย่าไปปรุงต่อ อย่าตามมันไป ให้ดับแล้วรอดูตัวใหม่ต่อไป เรียกว่า เผลอก็เริ่มใหม่ ๆ ๆ ๆ จิตเกิดก็ดับ เอาจนทันเห็นอาการมันจริง ๆ นั่นแหละ ถึงตอนนั้นก็จะเข้าใจได้เอง ทีนี้เรือก็มีคนขับแล้ว

    อ่านแล้วให้โยนทิ้งไป อย่าเก็บเอามาคิดอีก ถึงเวลาจะเข้าใจเอง...
     
  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    จ๊าบมาก...
     
  3. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    อนุโมทนาค่ะคุณที

    ที่คุณทีบอกว่า ไม่มีสติใช่ไหม มีสติค่ะ คือเรารู้ว่าเราคิดหรือไม่คิดนะ
    รู้ว่าตอนรู้ จิตเราเกิดอะไรขึ้น หากใครชักจูงที่ไม่ดีก็จะรู้สึกอึดอัดใจเหมือนกัน
    แต่จะเฉยกับการกระทำที่ไม่ดีของคนอื่นมากกว่า ค่ะ ไม่ไ้ด้เบลอ
    หากเบลอเราจะไม่รู้ว่าตัวเรา ใครทำอะไรบ้างใช่ไหมคะ
    จิตยังมองร่างทำโน้มทำนี่อยู่ แต่ไม่อินเหมือนเดิม
    พยายามทำอย่างที่ความเคยชินเดิมต้องฝืนใช่ไหม พอฝืนทำมาเื่รื่อย ๆ
    เลยได้อาการนี้มาล่ะ ไม่เป็นไร เป็นบ้าแบบใหม่ เดี๋ยวจะพิจารณาค่ะ

    อาจจะเป็นการกระทบมากไปหรือเปล่าอันนี้พิจารณาเหมือนกัน
     
  4. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ท่านอัลผมขอเอี่ยวด้วยนะแต่เสริมแบบกรรมใครกรรมมันไม่ได้ร่วมกันต่างกรรมต่างวาระนะ ในบรรดาคนทั้งหมดที่ผมสนทนามาสำหรับผู้มีปฏิปทาแนวทางการปฏิบัติแตกต่างจากกลุ่มหรือจุดสนใจในการปฏิบัติ(point of concentrate) ผมชัดเจนว่า หลายท่านหรือแม้แต่ท่านอัลก็ประจักษ์ชัดเช่นกัน ผมขอติชมท่าน ดังต่อไปนี้
    ท่าน วิสุทโธ ว่าเป็นผู้มีสติดีที่สุดแต่บางครั้งก็หลุดไปกับกิเลสแต่มีหลักยึดอย่างเยี่ยมยอดก็เลยไม่เป็นไรกลับมาทางเดิมได้ และผมถือว่าหากท่านไม่มีโทสะคติเลย ท่านก็คงเป็นอริยะบุคคลขั้นสูงอย่างแน่นอน
    ท่าน ทีโบน ท่านนี้คล้ายๆกับท่านวิสุทโธ แต่บางอย่างท่านก็ไม่ทันท่านวิสุทโธ เพราะผมสังเกตเห็นว่ายังไม่พัฒนาเลยทั้งที่ท่านน่าจะเห็นธรรมนั้นสิ้นสงสัยในธรรมนั้นมานานก่อนใครเลย ผมรู้ว่าท่านอาจไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้มาติชมท่านแต่ท่านครับรายละเอียดแค่เล็กน้อยก็อาจทำให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นได้เรียกความไม่แน่นอน วาสนาคือความเพียรครับ แต่ถึงอย่างไรผมก็ชื่นชอบในปฏิปทาของท่านครับ เพราะเป็นเหตุให้ถึงสติสัมปยุต ครับ
    ท่าน มโน กับ ท่านขันธ์ ท่านเป็นคนดีแต่ท่านโทสะแรง ด้วยโทสะมันมักจะปิดใจเราให้หลงได้ง่าย ยึดมั่นในสิ่งต่างๆได้ง่าย แต่ท่านมโน ยังดีกว่า เพราะนักปฏิบัติธรรมที่รู้กาลว่าเวลานี้ควรยึดเวลานี้ควรวาง คือ การไม่ถือโทษมีเมตตา ต่อผู้อื่น แม้บางครั้งก็มีบ้างที่กล่าวตำหนิผู้อื่นลับหลังแต่ก็เป็นไปด้วยโทสะธรรมดาทั้งสิ้น ผมก็ชื่นชมท่านอยู่ดีป่านนี้ท่านคงปฏิบัติได้อะไรเยอะแล้ว
    พี่ ธรรมภูต ที่จริงเหมือนเราเคยรู้จักกันแต่ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เขาเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมศึกษาธรรมปฏิบัติอย่างถูกต้อง เพราะเวลาผมเถียงพี่เขาผมก็ต้องมาปฏิบัติพิจารณาหาคำตอบว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น และผมเชื่อว่าพี่คงไม่ถือสาหาความอะไร เพราะของมีไว้ศึกษาไม่ได้มีไว้ครอบครองจริงไหมครับ

    ส่วนท่านอื่นที่มีปฏิปทาการปฏิบัติแตกต่างจากผมในเรื่องการหลุดพ้นนั้น ที่เหลือผมเห็นว่ายังไม่แน่นอน บางท่านก็ยังสงสัยเคลือบแคลงในพระรัตนตรัย บางท่าน ไม่สนใจเห็นเป็นเรื่องไม่จำเป็น เพราะฉันคือตัวฉัน แต่คนเหล่านี้ก็ยังดีกว่าคนที่คิดว่าตนดีตลอดเวลาเมื่อเทียบกับตนเองแล้วกิเลสไม่เกิด แต่พอออกมาสู่โลกความเป็นจริงกิเลสก็เกิด เกิดความริษยา เกิดอัตตาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในตนเอง ก่อภพก่อชาติไม่รู้จบ คนเหล่านี้ต้องอาศัยความเพียร มีสติระลึกรู้การกระทำอยู่ตลอดเวลา จึงจะดับกิเลสได้จริง ไม่หลง
    ถึงอย่างไรทุกท่านก้อเป็นส่วนสำคัญที่ปัจจุบันนี้น้อยคือไม่มากที่จะมีใจเมตตาต่อผู้อื่น เผยแพร่พระธรรมให้ผู้อื่น เป็นสิ่งดีงามที่ผมขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  5. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ไม่ได้บอกว่า ไม่มีสตินะ เพียงแต่ให้เพิ่มกำลังสติเข้าไปอีกน่ะ

    เวลาความคิดที่เป็นกุศลหรืออกุศลเกิด ให้เราสังเกตว่าเราจะหลงเข้าไปร่วมกับความคิด หน่วงเหนี่ยวเอาความคิดเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์ได้อย่างไีีร ให้สังเกตให้ทัน (ไม่ทันก็ดับไว้ก่อน) ให้ดูเป็นขณะ ๆ ไปเลย โดยไม่เผลอไปเพ่งจ้องดักรอ ให้เขาเกิดแล้วเรารู้ให้เร็วให้ไวให้ทันเขาเอา มันถึงจะเป็นธรรมชาติ ถึงจะเป็นการรู้ตามความเป็นจริงได้ สมมุติว่า เราเพ่งไว้ก่อนนะ มันก็เป็นธรรมชาติเหมือนกัน แต่ธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งคือ ธรรมชาติที่ถูกดัดแปรงอย่างนั้นเราจะไม่เห็นความจริง กิเลสมันไปสร้างฉากจัดฉากไว้หมดแล้ว เราจะได้แต่ของหลอกของลวง เป็นจิตหลอกจิตไปแทน

    ใหม่ ๆ ไม่มีใครทันหรอก ก็ต้องมาเพิ่มกำลังสติเข้าไปให้มันต่อเนื่องอย่างนี้ทุกคน จนมีจังหวะที่มันทันกันนั่นเอง ต้องอาศัยความชำนาญในการรู้เท่าทันเค้านะ
     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ขอบคุณครับ ถือว่า แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันไป ตราบใดที่ยังไม่ถึงที่่สุดแห่งทุกข์ ตราบนั้นก็ยังต้องศึกษากันต่อไป...ดีแล้วล่ะที่แนะนำ

    ส่วนจะถึงไหนแล้วนั้น โดยส่วนตัวขอบอกตามตรงเลยว่า ผมไม่ได้สนใจแล้วล่ะ มันเลิกสนใจไปเองนานพอสมควรแล้ว ผมว่าถ้าเรายังเผลอสนใจตรงนั้นอยู่ แสดงว่าปัญญามันยังไม่รอบ พอมันไม่รอบมันก็วางไม่ลงน่ะครับ แบบนั้นมันก็ยังเป็นการหลงสร้างภพสร้างชาติอยู่ อันนั้นมันก็เป็นการหลงทำทุกข์ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เป็นอัตตาเป็นสักกายทิฏฐิอย่างหนึ่ง คือถ้าคิดว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่มันก็ยังมีเราอยู่นะสิ จริงมั้ยครับ

    ส่วนเรื่องการแนะนำ เราก็จำเป็นต้องแนะนำกันเป็นลำดับ ๆ ไปก่อน ไปคว้ายอดมาเลย โดยมากคนจะหลงน่ะครับ

    ขอบคุณมากครับ
     
  7. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    แป่วผมแค่อทิบายให้คุน amocy.. ฟังเท่านั้นอ่ะครับ
    อืมแล้วคุนเก่งเห็นผมเป็นอย่างไร
     
  8. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ขอบคุณค่ะ คุณที ที่ช่วยชี้แนะ เรื่องสติ
    โดยส่วนตัวก็นับถือคุณทีด้วยนะ คือสามารถอธิบายลักษณะของจิตได้ชัดเชนดี
    อะไรที่หลอกลวง อะไรคือแท้ ก็คงแยกได้ต่อไป เมื่อเราเท่าทันสติของเราจริงๆ นะ ตอนนั้นสติก็คงจะเข้มข้นแล้ว อนุโมทนาค่ะ
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นานาจัง ความรู้สึกเฉยๆ มันมาแล้วซักพักมันก็ไป เพราะมันไม่ที่ยง
    เมื่อก่อนเรารู้สึกมีสุขมีทุกข์ ต่อมาเราเฉยๆ ต่อไปก็มีอีก
    เราได้แต่ดูความเป็นไปของจิต เพื่อจะเห็นด้วยตาตนเองว่าไม่มีอะไรเที่ยง จริงๆ
    ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ จังๆ แต่ถ้าจิตชอบใจอยู่ลึกๆ มันจะยึดเฉยๆไว้เป็นตน
    แต่ถ้าจิตมีไม่ชอบใจ มันจะหาอุบายแก้ไข แต่ถ้าจิตรู้ทันตนเอง ก็ตั้งมั่นไว้ดูความไม่เที่ยง
    อาการเฉยๆ มันทนอยู่ไม่ได้นาน ถ้ามันเป็นของปรุงแต่ง แต่ถ้าเป็นของจริง 3 เดือน 6
    เดือน มันก็ยังอยู่ ถ้ามันเป็นธรรมชาติของเราจริง

    พี่ขวัญ ก็เฉยๆกับการทำบุญทำทาน นะ แต่ก็ทำ เพราะเข้าใจว่ามันเป็นเสบียงไว้เลี้ยงตัว
    ในยามที่ต้องอยู่ในโลก ไม่ได้ปิติซาบซึ้งในการทำบุญทำทาน แต่ถ้าเป็นการฟังธรรมโดย
    เฉพาะถ้าถูกใจ ถูกจิต มันจะซาบซึ้งอิ่มเอมเกิดปิติ บางทีก็น้ำตาไหล มันเป็นเรื่องของ
    วาสนาส่วนตัวด้วย ว่าจริตของเราชอบทำกรรมแบบไหน ถ้าทำถูกจริตอานิสงค์ก็มีมาก

    อย่างพี่ขวัญกับอาเฮียนี่จริตต่างกันมาก เรื่องทำบุญทำทาน ช่วยเหลือคนอื่นนี่เขามีศรัทธา
    มาก ทำแล้วใจเขาก็ได้อานิสงค์มาก ยิ่งทำยิ่งเกิดศรัทธาอิ่มอกอิ่มใจ พอเกิดศรัทธามาก
    เขาก็เริ่มเห็นสิ่งแปลกๆ อย่างที่วัดพุทธบูชามีครูบาสายวัดป่ามาเยอะ มีหลวงปู่จันทร์แรม
    หลวงปู่ท่อน บางครั้งการถวายทานใหญ่ๆรวมหมู่คณะ แล้วพระท่านสวดรับไทยทาน อาเฮีย
    เขาเห็นเป็นแสงทองไหลมาที่พวกเรา อันนี้ยิ่งทำให้อาเฮีย อิ่มบุญมากซาบซึ้งมาก แต่พี่
    ขวัญ ไม่เห็นอะไรก็เฉยๆ อาเฮียสะกิดบอก ก็ได้แต่อนุโมทนาบุญตามเขาไป ก็เลยคิดว่า
    มันเป็นเรื่องของวาสนา จิตเราชอบแบบไหน ทำแล้วอานิสงค์จะได้มาก เพราะแรงศรัทธา
    เกิดที่จิตทำให้มีกำลังมาก ถ้าจิตไม่สนใจก็ได้บุญน้อย ถึงแม้จะไปทำด้วยกัน เหมือนกับว่า
    ใช้ใจทำก็ได้ที่ใจ ถ้าใจมันไม่สนใจทำ ก็ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย คราวต่อไปตอนที่ไปทำ
    บุญที่วัดกับคุณแม่ นานาลองทำใจดูใหม่สิ เผื่อจะเห็นอะไรดีดี ลองเอาใจส่องดู
     
  10. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ขอบคุณค่ะพี่ขวัญ อนุโมทนาบุญกับการสร้างบุญของพี่ขวัญและอาเฮียด้วยค่ะ
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2009
  12. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ตอบคุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->หลบภัย<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2343502", true); </SCRIPT>
    สิ่งที่คุณหลบภัยกลัว กลัวจิตตัวเองเป็นมิฉาทิฐิ<!-- google_ad_section_end --> นั้น สบายใจได้ครับไม่เป็นหรอกครับ.
    จิตที่เป็นมิฉาทิฐิ<!-- google_ad_section_end --> ประกอบด้วย
    1.ไม่เชื่อเรื่องบุญไม่เชื่อเรื่องบาป
    2.มีีความเห็นการตายแล้วสูญ
    3.ไม่เชื่อเรื่องการ การเวียนว่ายตายเกิด
    4.ยึดในหลักอัตตาตัวตน

    ส่วนที่จิตเฉย ๆ กับทุกเรื่อง ให้พิจารณาในเรื่องที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เช่น
    1.หน้าที่การงาน
    2.ความรับผิดชอบโดยตรงของเรา
    3.ความเกี่ยวข้องกับหมู่คณะฯ เช่น พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูง ฯลฯ

    บางสิ่งบางอย่างเราก็เฉยได้ บางสิ่งบางอย่างเราก็วางเฉยไม่ได้..พิจารณาถึงความสำคัญคุณและโทษประกอบในการตัดสินใจ...

    อุเบกขาต้องประกอบด้วยปัญญาในการพิจารณา...มิเช่นนั้นจะเป็นอุเบกขาเฉยเมยเหมือนคนซังกะตายเบื่อโลก ...
    สับสนกับอารมณ์กับความรู้สึกของตัวเอง..

    ค่อยๆค่อยๆไป...สิ่งสำคัญสุด คือ หมั่นตรวจสอบจิตใจตนเอง มันดีขึ้นหรือแย่ลง
    ตักเตือนตนเองเมื่อทำผิด ชมเชยบ้างเป็นบางโอกาสเมื่อทำความดี เช่น
    วันแม่ คุณทำอะไรให้แม่บ้าง..ถ้าทำดีก็ชมเชยตนเองบ้าง ถ้าไม่ทำก็ต้องตำหนิตนเอง

    มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ กล้าหาญในการตัดสินใจ
    ไม่ท้อถอยไม่หนีปัญหา มีจิตเพียรสร้างความดี
     
  13. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ในศาสนาพุทธ สติเท่านั้นที่มีแต่คุณไม่มีโทษ
    สติ..อย่างเดียวที่แก้ไขได้..ยิ่งทำมากยิ่งเป็นคุณ

    สมาธิมากเกินไป ก็เป็นโทษ ทำให้หลงในสมาธิ จิตไม่ยอมพิจารณาติดในอารมณ์สงบ
    ปัญญามากเกินไป ก็เป็นโทษ เทำให้หลงในปัญญา เพราะว่าความฟุ้งซ่านกับปัญญา มันเหมือนเส้นผมบังภูเขา
    ถ้าไม่มีกำลังสมาธิ กำลังปัญญามันน้อยจะเป็นปัญญาขั้นหยาบ

    พ่อแม่ครูจารย์ท่านจึงกล่าวว่า..
    มัชฌิมาปฏิปทา เท่านั้นที่ถูกต้อง..
    มัชฌิมานี้ หมายถึง ท่ามกลางความพอดีความเหมาะสม..
    กิเลสมาแบบไหน ก็ต้องมรรคแบบนั้น..ตามขั้นตอนการปฏิบัติเป็นลำดับ
    ต้องทันกัน..ระหว่างธรรมกับกิเลส
     
  14. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ถ้าหมายถึง คำว่า ปัญญาในพระพุทธศาสนา ไม่มีโทษเลย
    นอกเสียจากว่า ปัญญา ในทางโลกๆ

    ปัญญาในทางพระพุทธศาสนา เป็นปัญญา ที่พ้น เจตนา
    ปัญญาในทางโลกที่เข้าใจกัน เป็นปัญญาที่ได้จากความจำตกผลึก

    ศาสนาพุธ ในพระพุทธเจ้าสมณโคดม เป็น ปัญญาธิกะ ย่อมพ้นได้เร็ว ด้วยปัญญา
     
  15. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    สภาวะอุเบกขาแบบผู้มีปัญญา คือ

    การเฝ้าดูแบบมีสติ อยู่ พิจารณาประกอบด้วยปัญญาในการตัดสินใจ

    ในการกระทำ-พูด-คิด ให้ถูกทำนองคลองธรรม

    ไม่ให้ตนเองพลาดพลั้ง ในสิ่งที่ไม่ดี ในสิ่งที่เป็นอกุศล"

    ที่สำคัญ..หมั่นตรวจสอบจิตใจตนเอง มันดีขึ้นหรือแย่ลง

    บางสิ่งบางอย่างเราก็เฉยได้ บางสิ่งบางอย่างเราก็วางเฉยไม่ได้..

    พิจารณาถึงความสำคัญคุณและโทษประกอบในการตัดสินใจ...

    มีความจำเป็นต่อตนเองและผู้อื่นหรือไม่...

    พิจารณาธรรมของสัตบุรุษสำคัญที่สุด
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    มันเป็นอย่างไรหรือ ที่เรียกว่า ติดสมถะ น่ะ
     
  17. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ปัญญาทางธรรมคือพิจารณาแล้วไม่เอา ไม่ยึดเรียกแบบนี้ไม่ไหมคะ

    แต่ถ้าปัญญาทางโลกคือ จะการเจตนาตามพร้อมวัตถุประสงค์ คือจะเอา หรือต้องการ
    หากมีปัญญาทางโลกเราจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะหากไปเกิดกับคนที่ไม่ดี
    ย่อมเบียดเบียนผุ้อื่น เพราะถือว่าตนเหนือผู้อืน

    หากไปอยู่กับบุคคลที่มีศีลมีธรรมก็จะเกิดประโยชน์กับสังคมได้ดีทีเดียว
    เข้าใจแบบนี้ค่ะ
     
  18. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    อาการติดสมถะคือต้องนั่งสมาธิถึงจะหลับ มันเป็นอุปทานว่า
    หากไม่นั่งนอนไม่ได้ประมาณนี้ และติดภาวนาก่อนนอน พุทโธถึงหลับ
    ก็เลยคิดว่า ตัวเองมีปัญหาหรือเปล่า เท่านั้น
     
  19. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    สั้นๆ ...

    พิจารณาประกอบด้วยปัญญาในการตัดสินใจ

    ในการกระทำ-พูด-คิด ให้ถูกทำนองคลองธรรม

    สิ่งสำคัญ...โลกไม่ติเตียน ธรรมไม่ขุ่นมัว
     
  20. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ขอบคุณค่ะ ท่านวิสุทธโธ
     

แชร์หน้านี้

Loading...