เปิดจักระขั้นพื้นฐานผ่านหน้าเว๊บ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย มีแปปเดียว, 24 สิงหาคม 2010.

  1. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    วานถามท่าน อคนีวาต
    วันนี้เราได้กระทำตามจริตแห่งเรา
    นำพลังแห่งจักรวาลหล่อหลอมร่วมกับสายญาณแห่งเรา
    รวมเป็นหนึ่งส่งเข้าสู่ผู้คนที่มาสู่เรา
    ณ เพลานี้เราพบบางสิ่ง
    กล่าวคือ
    หากเป็นพวกสัมเวสีฤามีดวงจิตอื่นแฝง
    เรากระทำได้เพียงบรรเทา
    แม้นกรวดน้ำอุทิศกุศลให้ด้วยดวงจิตที่ส่งตรงสู่จิตผู้แฝงอยู่
    บางท่านกลับเจ็บปวดโอดโอย
    บางท่านดื้อรั้น
    รักษาได้เพียงบางส่วน
    ท่านพอจักแนะนำได้ในสิ่งได
    ฤาว่าความเมตตาแลอุเบกขาแห่งเรายังมิถึงพร้อม
    เรามิต้องการใช้พลังแห่งสายญาณขับไล่ออกไป
    จิตเราให้โอกาสเห็นธรรม
    หากแม้นใช้พลังสายญาณขับไล่ออกย่อมกระทำได้
    แต่จักเป็นการสร้างมิจฉาทิษฐิแก่ดวงจิตนั้น
    หากออกไปด้วยจิตที่ปรีดา
    ย่อมอิ่มเอิบในกุศล
    จักไม่สร้างทุกข์ให้กายหยาบผู้อื่นที่จักแสวงหาต่อไป
    เพลานี้เราเริ่มพบผู้มาแฝงแห่งการรักษาเริ่มมากแล้ว
    อันเรายังด้อยประสบการณ์
    จึงวานความเมตตาจากท่าน
    ด้วยการรวมพลังจักวาลสู่สายญาณ
    ออกไปสู่ผู้ทุกข์ยาก
     
  2. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    การแผ่อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้มีความพยาบาทนั้นทำได้ยากยิ่ง เพราะจิตเขาไม่อ่อนพอที่จะรับรู้ถึงกระแสแห่งความเมตตาจิตได้
    ผู้ให้การรักษาพึงยึดเอาความว่างที่หาที่สุดหาที่ประมาณไม่ได้เป็นอารมณ์ ภาวนาบทเมตตากรณียสูตร
    กะระณียะเมตตะสุตตัง


    ๐ กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ
    ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ
    ๐ สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ สุวะโจ
    จัสสะ มุทุ อะนะติมานี,
    ๐ สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ
    อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ
    ๐ สันตินทริโย จะ นิปะโก จะ
    อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ
    ๐ นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ
    เยนะ วิญญู ปะเร อุปวะเทยยุง,
    ๐ สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ
    สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา,
    ๐ เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ ตะสา
    วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา

    ทีฆา วา เย มะหันตา วา
    มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา

    ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา เย
    จะ ทูเร วะสันติ อะวิทูเร

    ภูตา วา สัมภะเวสี วา สัพเพ
    สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา,

    นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ
    นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ,

    ๐ พยาโรสะนา
    ปะฏิฆะสัญญา นาญญะมัญญัสสะ
    กัตถะจิ นัง กิญจิ,

    ๐ มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง
    อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข,

    ๐ เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ
    มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง,

    ๐ เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย
    อะปะริมาณัง,

    ๐ อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ
    อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง,

    ๐ ติฎฐัญจะรัง นิสินโน วา
    สะยาโน วา
    ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ,

    ๐ เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ
    พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ,

    ๐ ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ
    สีสะวา ทัสสะเนนะ สัมปันโน,

    ๐ กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง
    นะ หิ ชาตุ
    คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ ฯ

    กรณียเมตตสูตร(แปล)

    - กุลบุตรผู้ฉลาด พึงกระทำกิจที่พระอริยเจ้าผู้บรรลุแล้วซึ่ง
    พระนิพพานอันเป็นที่สงบระงับได้กระทำแล้ว,

    - กุลบุตรนั้งพึงเป็นผู้องอาจ ซื่อตรงและประพฤติตรงดี เป็นผู้ที่ว่าง่ายสอนง่าย อ่อนโยน ไม่มีมานะอันยิ่ง,

    - เป็นผู้สันโดษยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่ เป็นผู้เลี้ยงง่าย เป็นผู้มีกิจธุระน้อย เป็นผู้ประพฤติทำให้กายและจิตเบา,

    - มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันสงบนิ่ง มีปัญญาฆ่ากิเลส เป็นผู้ไม่คะนอง กาย วาจา ใจ และไม่พัวพันในสกุลทั้งหลาย,

    -ไม่พึงกระทำกรรมที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายติเตียน
    ผู้อื่นว่าทำแล้วไม่ดี,

    - พึงแผ่เมตตาจิตว่า ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นผู้มีสุข
    มีจิตเกาะพระนิพพานแดนอันพ้นจากภัยทั้งหลาย
    และจงเป็นผู้ทำตนให้ถึงความสุขทุกเมื่อเถิด,

    -ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมดโดยไม่มีเหลือ ทั้งที่มีตัณหาเครื่องทำใจให้สะดุ้งอยู่ และผู้มั่นคงคือไม่มีตัณหาแล้ว ทั้งที่มีกาย
    ยาว ใหญ่ปานกลาง หรือกายสั้น หรือผอม อ้วน เป็นผู้ที่เราเห็นแล้วก็ดี ไม่ได้เห็นก็ดี อยู่ในที่ไกลหรือในที่ไม่ไกล ทั้งที่เกิดมาในโลกนี้แล้ว
    และที่ยังกำลังแสวงหาภพเป็นที่เกิดอยู่ดี จงเป็นเป็นผู้ทำตนให้ถึงความสุขเถิด,

    - สัตว์อื่นอย่าพึงรังแกข่มเหงสัตว์อื่น อย่าพึงดูหมิ่นใครในที่ใด ๆ เลย,

    - ไม่ควรปรารถนาให้กันและกันมีความทุกข์ เพราะความกริ้วโกรธ และเพราะความเคียดแค้นกันเลย,

    - มารดาย่อมตามรักษาบุตรคนเดียวผู้เกิดในตน ด้วยชีวิต ฉันใด,

    - กุลบุตรพึงเจริญเมตตาจิตในใจไม่มีประมาณ ในสัตว์ทั้งปวงทั้งหลายแม้ฉันนั้น,

    - บุคคลพึงเจริญเมตตาให้มีในใจไม่มีประมาณ ไปในโลกทั้งสิ้น,

    - ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง การเจริญเมตตาจิตนี้เป็นธรรมอันไม่แคบ ไม่มีเวร ไม่มีศัตรู,

    - ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น จะยืนอยู่ก็ดี เดินไปก็ดี นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี เป็นผู้ปราศจากความง่วงเพียงใด,

    - ก็สามารถตั้งสติไว้ได้เพียงนั้น บัณฑิตทั้งหลายกล่าวถึงกิริยาอย่างนี้ว่า เป็นการเจริญพรหมวิหารในศาสนานี้,

    - บุคคลผู้ที่มีเมตตา ไม่เข้าถึงความเห็นผิด เป็นผู้มีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยความเห็นคือปัญญา,

    - นำความหมกมุ่นในกามทั้งหลายออกได้แล้ว ย่อมไม่เข้าถึงความเข้าไปนอนในครรภ์เพื่อเกิดอีกโดยแท้แล ฯ
    เมื่อภาวนาแล้ว พึงเจริญเมตตาจิตไว้เป็นอารมณ์ ภาวนามหากรุณาณิโก
    มหาการุณิโก
    มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา
    ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
    โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ
    ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง
    นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
    อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ
    พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง
    สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ
    จารีสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
    มโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัดเถ ปะทักขิเณฯ
    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
    สัพพะพุทธา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
    สัพพะธัมมา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
    สัพพะสังฆา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
    * ถ้าสวดให้คนอื่นใช้คำว่า เต สวดให้ตัวเองใช้คำว่า เม (เต แปลว่าท่าน - เม แปลว่าข้าพเจ้า) คำแปล มหาการุณิโก

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งปวง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยการกล่าวสัจจวาจานี้ ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

    ขอข้าพเจ้าจงมีชัยชนะในชัยมงคลพิธี ดุจพระจอมมุนีผู้ยังความปีติยินดีให้เพิ่มพูนแก่ชาวศากยะ ทรงมีชัยชนะมาร ณ โคนต้นมหาโพธิ์ทรงถึงความเป็นเลิศยอดเยี่ยม ทรงปีติปราโมทย์อยู่เหนืออชิตบัลลังก์อันไม่รู้พ่าย ณ โปกขรปฐพี อันเป็นที่อภิเษกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ฉะนั้นเถิด เวลาที่กำหนดไว้ดี งานมงคลดี รุ่งแจ้งดี ความพยายามดี ชั่วขณะหนึ่งดี ชั่วครู่หนึ่งดี การบูชาดี แด่พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ กายกรรมอันเป็นกุศล วจีกรรมอันเป็นกุศล มโนกรรมอันเป็นกุศล ความปรารถนาดีอันเป็นกุศล ผู้ได้ประพฤติกรรมอันเป็นกุศล ย่อมประสบความสุขโชคดี เทอญ

    ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

    ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

    ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ
    ประคองจิตให้เป็นกลาง นึกถึงคุณพระศรีรัตรตรัย อัญเชิญฉัพพรรณรังสีอันเจิดจ้าลงมาครอบคลุมตัวของผู้ที่จะได้รับการรักษา
    ใช้เจตจำนงอันบริสุทธิ์ ประกอบด้วยองค์คุณแห่งอุเบกขาจิตสิ่อกับสัมภเวสีนั้นผ่านจักระที่6ว่า
    ทุกๆท่านย่อมได้ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้จักจบสิ้น ทุกๆท่านย่อมได้เคยบำเพ็ญกุศลคุณความดีใดๆมาไม่มากก็น้อย ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและเทพยดาทั้งปวงจงแสดงกุศลผลบุญที่ท่านได้เคยบำเพ็ญให้ปรากฏและขอให้ท่านได้ระลึกได้เถิด ด้วยอำนาจแห่งคุณความดีที่ท่านได้เคยกระทำและอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยขอท่านจงไปสู่ภพภูมิที่ดีมีความสุขเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มกราคม 2011
  3. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ถ้าเขาไปแล้วให้ปิดผนึกคนไข้โดยชินบัญชรคาถา
    สอนให้เขาท่องบทพาหุงมหากาและชินบัณชรเพื่อคุ้มครองตนเอง
    และให้แผ่เมตตาเป็นนิจเพื่อบรรเทาโทษทุกข์
    ขอได้โปรดพิจารณา
     
  4. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    ขอขอบคุณท่านอัคนีวาตเสียยิ่งนักที่กรุณาแนะนำ
    อันบทสวดทั้งมวลที่ท่านแนะนำเราใช้เป็นนิจ
    เหลือเพียง กะระณี ผลิว่าจักไปท่องมาใช้ให้ได้ดังจิตหมาย
    ใคร่ถามสักนิด
    พอมีผู้ใดบางไหมที่นำจักกระมาใช้รวมกับสายญาณที่ตนพึงมีไปใช้รักษาผู้อื่น
    ไม่เอาแบบไปใช้ยิงพลังใส่กันนะ
    เราหาชอบไม่
    เพื่อจักได้เรียนรู้
    เพราะที่ทำในตอนนี้
    กระทำตามจิตตนเอง
    จึงมิรู้ว่าถุกหรือผิด
    แต่ปลายทางได้ผล
    ผู้ทุกอยากทุเลา หลายท่านหาย
    และก็สอนเขาเดินพลังจักระวาลรักษาตัวเขาเอง
    แต่เป็นแบบวิธีลัดแก้เฉพาะจุดที่เขาเป็น
    คือดึงให้ดึงจักวาลจากจุด 7 มายังจุดที่เขาเจ็บแล้วดันออกไป 2-3 ครั้ง เขาก็จักหาย
    หากท่านใดกระทำไม่ได้ก็จักค่อยสอน
    เช่น ให้สูดลมหายใจทางปาก แต่กำหนดให้ออกที่หัว
    หรือ กำหนดจิตให้หายใจทางจุด 7 ออกที่ปาก
    เขาก็ทำได้กัน แล้วให้กระทำในแบบเดียวกันในจุดที่เขาเจ็บ
    เขาก็ทำได้แลหายเจ็บ
    ซึ่งเราเอาวิชาการของ อ.มาม๊ามาผนวกกับวิธีจริตของเรา
    แต่ละท่านมีหลายครั้งที่จักกระทำการรักษาหาเหมือนกันไม่นะ
    มีเปลี่ยนแปลงตามสภาวะแต่ละท่าน
    ประการเช่นนี้เป็นเช่นไรท่าน อ.อัคนีวาต
    ที่พิมพ์ลงบอร์ด
    เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในท่านทั้งหลายที่พึงผ่านมา
    มิได้มีเจตนาอุตริในธรรมแลท่าน

    ขอขอบคุณแลท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2011
  5. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ลมปราณและพลังจักรวาลเป็นพื้นฐานของสรรพวิชาต่างๆ
    เหมือนคนจะฝึกมวยกำลังภายนอกต้องฝึกซ้อมกล้ามเนื้อและกระดูกให้แข็งแรงและแข็งแกร่ง
    ส่วนการจะนำไปใช้นั้นแต่ละคนก็มีลีลาและวาสนาที่ติดตัวมาและครูบาอาจารย์ที่ต่างกัน ปัจจัตตังที่เกิดขึ้นรู้เฉพาะตนต่างกัน
    บางครั้งบอกกันได้แต่ทำเหมือนกันไม่ได้ก็มี ไม่ได้หมายความว่าใครเก่งกว่าใคร
    เหมือนคนเก่งหมัด ย่อมยากที่จะเก่งท่าเท้า เป็นต้น
    สำคัญที่สุดคือพื้นฐาน พลังต้องแกร่ง ใช้ได้ไม่หมด
    แกร่งคือ พลังของมนุษย์อันได้จากพละ5 อันเกิดจากศรัทธาที่ตั้งมั่นเป็นบาทฐาน ประกอบด้วยความสุจริตเป็นที่ตั้ง
    ใช้ได้ไม่หมดคือเชื่อมโยงกับพลังของพ่อคือฟ้าหรือจักรวาล
    และแม่คือโลก
    เมื่อพ่อแม่ลูก 3ประสานพลังจึงเป็นอนันต์
    เรายังโชคดีกว่าคนฝึกเต๋าที่ว่า
    มีพระรัคนตรัยเป็นสรณะ
    จึงเข้าถึงพลังที่เหนือกว่าธรรมชาติได้
    ผู้ฝึกวิชาแห่งพุทธะ ปฏิบัติพุทธธรรม
    ธรรมที่ปฏิบัตินี้จะรักษาผู้ประพฤติธรรม
    เมื่อตั้งใจปฏิบัติเพื่อความสุดทุกข์แล้ว จะไม่เกิดอีก
     
  6. pupae52

    pupae52 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +24
    ผู้มาใหม่

    เข้ามาเก็บเกี่ยวความรู้ และจะลองนำไปปฏิบัติ หากติดขัดประการใด จะได้สอบถามท่านในโอกาศต่อไป
    ขออนุโมทนาบุญ ขอให้ท่าน และทุกๆท่านที่ได้ให้ความรู้ในกระทู้นี้ เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. โอทา1

    โอทา1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +69
    ขอบคุณอาจารย์อัคนีวาตที่กรุณาสั่งสอนและให้ข้อคิดแก่ผมนะครับ
    และผมขอขมาโทษที่ได้ล่วงเกินต่ออาจารย์ทั้งทางกาย วาจา ใจ
    ขออาจารย์อัคนีวาตได้โปรดอโหสิกรรมต่อกันด้วยนะครับ
     
  8. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ผมขอเป็นกัลยณมิตรของท่านครับ มิได้มีความสามารถใดที่จะเรียกตนเองว่าอาจารย์ และรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางธรรมกับคุณโอทา
    ส่วนกรรมใดที่เราทั้งสองอาจจะได้เคยล่วงเกินกันด้วยกาย วาจา ใจ จะเจตนาหรือไม่นั้น จะเป็นกาลสมัยใดก็ตามนั้น หาได้เป็นสาระใดให้ยึดถือ
    ปัจจุบันนั้นเราก็คือเพื่อนร่วมทุกข์ที่กำลังว่ายน้ำข้ามฝั่งเหมือนๆกันครับ
    ขอให้คุณโอทาจงเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  9. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    เข้ามาขอบคุณหน้าบอร์ดเลยค่ะ
    คราวนี้แรงต้านมีมาก........แต่ก็ด้วยความตั้งใจก็เลยผ่านอุปสรรคมาได้ดี.....
    คราวหน้ามีสมาชิกเริ่มโหวดแล้วค่ะ...และเริ่มทำงานคราวหน้าต่อเลย.....พี่อัคนีวาตมีอะไรแนะนำ...ก็เชิญนะค่ะ....แต่เสียดายไม่ได้อยู่วันที่สองตอนบ่าย....เพราะเรื่องราวได้ถูกอธิบายให้รู้มากขึ้นเข้าใจมากขึ้น...ถึงที่มาที่ไปและหน้าที่ของแต่ละคน....ที่ต้องรวมมือกัน....แบบเต็มกำลัง
    เดมีดี
     
  10. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    มาสวัสดีอีกครั้งค่ะ
    จากการออกพื้นที่ และเรียนรู้จากเพื่อน ๆ สมาชิก ที่ทั้งเปิดจักระแล้วและยังไม่เปิด
    ต่างพบปัญหาที่หลากหลายกัน แต่เท่าที่สังเกตเกิดจากการที่ไปเร่งอารมณ์ เร่งเรียนวิชา โดยลืมความเป็นธรรมชาติของจิตไป

    และขอให้พี่อัคนีวาต ให้ทัศนะคติในการเดินพลัง และการควบคุมสติ กาย จิต และการปรับสมดุลย์ตน อย่างไรค่ะ

    และจะเริ่มนำข้อมูลของบอร์ดเผยแพร่ต่อไปในพื้นที่ต่าง ๆ ค่ะ เพื่อให้สมาชิกได้มีโอกาสเรียนรู้อย่างถูกต้องต่อไปค่ะ
     
  11. AFIKLIFI

    AFIKLIFI Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    560
    ค่าพลัง:
    +53
    พี่หลิน พี่อัคนีวาต สวัสดีครับ ผมสงสัยครับพอเข้ามาอ่านอันนี้ครงที่บอกว่า จักระที่สำคัญก่อนอื่นใดคือจักระที่7 เพราะเป็นจักระที่เรารับพลังผ่านเข้ามาในตัว ถ้าจักระ7หมุนดีแล้วก็ใช้คำที่บอกกระตุ้นให้จักระอื่นหมุนด้วยครับ คือว่ายังไงครับ ให้เรากระตุ้นเหรอครับ หรือว่าอะไรครับ เราไม่ได้ต้องทำให้ครบทุกจักระเหรอคัรบ แล้วการทำทีละจักระที่ว่าหมายความว่าอย่างไรครับ แล้วทุกวันนี้ผมจะรูสึกวูบที่หลังวิ่งไปมามันคืออะไรครับ บางทีก็ขึ้นด้านหลังต้นคอ


    ถามอีกครับว่า ที่พี่อัคนีวาตพูดไว้ที่หน้า 6 ว่า "หากไม่หมุนดีก็ให้ไล่ไปทีละจักระ จนหมุนครบทั้ง6จักระ ส่วนจักระที่1เมื่อถึงเวลาเขาจะหมุนเอง ไม่ต้องไปกระตุ้นเขา" การไล่ทีละจักระนี่คืออะไรครับ หากทำอย่างที่ว่า ผมคงต้องขาดอากาศตายแน่นอนเลยครับเพราะว่ากว่าจะถึงจักระสุดท้ายคงต้องสูดลมหายใจเข้าไม่รู้กี่นาทีครับ ไม่รู้เข้าใจอย่างนี้ถูกหรือเปล่าครับ
    คือว่า สมาธิแบบหมุนจักระนี่ทำอย่างไรครับ

    ผมอ่านมาตั้งแต่หน้า 1 แล้วครับ แต่คำตอบมันมีคำถามออกมาเพราะว่าผมคิดไปมากกว่านั้น คือมันยังไม่ใช่คำตอบของผม ผมอยากรบกวนพี่อัคนีวาตช่วยผมด้วยเถอะครับ ผมเพิ่งเปิดจักระเมื่อไม่กี่วันมานี่เองครับ
     
  12. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    คุณกำลังสับสนระหว่างปราณและจักระ
    เผอิญวิชาที่ผมแบ่งบันความรู้ให้กับเพื่อนๆเป็นการผสานปราณสายต่อสู้ที่ผมฝึกมาแต่เด็กกับวิชาจักระที่อาจารย์เติ้งได้ถ่ายทอดให้
    จากประสบการณ์ของตนเองพบว่าการฝึกปราณก่อนนั่งสมาธิทำให้จิตเข้าสู่ความสงบระงับได้เร็วกว่า
    เหมือนกับการฝึกอาณาปาณสติที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าให้นั่งคู้บัลลังก์กำหนดรู้กองลมว่านี้ลมหายใจยาว นี้ลมหายใจสั้น
    เครื่องมือตามธรรมชาติในการฝึกพลังปราณก็คือลมหายใจนี้เอง
    การฝึกลมปราณนั้นมุ่งสะสมพลังที่จักระที่2คือจุดต่ำกว่าสะดือ2นิ้วหรือบางคนอาจจะใช้ท้องน้อย และโคจรผ่านจักระที่1คือฝีเย็บ ผ่านกระดูกสันหลัง ทะลวงผ่านจุดขม่อม ชึ่งในคนทั่วไปการทะลวงลมปราณผ่านขม่อมทำได้ยากมากต้องใช้การฝึกฝนนับ10ปี
    การหมุนวนพลังปราณรอบใหญ่จากจักระที่2 ผ่านกระดูกสันหลัง ผ่านขม่อมและวนกลับมาจนครบรอบยิ่งทำได้ยากกว่ามาก
    ตัวผมเองฝึกมาร่วม20ปีก่อนจะเจอกับอาจารย์เติ้งที่ถ่ายทอดวิชาจักระให้ ลมปราณไม่สามารถทลวงจุดกระหม่อมได้เลย
    ภายหลังที่ได้รับการเปิดจักระที่7จึงทำให้ลมปราณโคจรได้ครบรอบได้
    การโคจรลมปราณนั้นพลังจะแล่นตามลมหายใจออกและเข้า
    เราสามารถรู้ถึงระดับการฝึกของแต่ละคนได้จากปริมาตรของอากาศที่คนๆนั้นสามารถหายใจเข้าและออกยาวแค่ไหนได้
    ตรงข้ามกับพลังจักรวาลการกระตุ้นจักระโดยไล่ไปทีละจักระนั้นทำโดยการกำหนดในใจว่า
    จงหมุน
    ถ้าจักระเราหมุนคล่องดีอยู่แล้วแค่นึกให้หมุนก็หมุนแล้ว
    อาการจักระหมุนเป็นอย่างไร
    อาการจะต่างกันไปแต่ละคนไม่เหมือนกัน
    เอาเป็นว่าขอให้เกิดความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาวนๆ ไต่ๆที่จักระหรือวูบๆวาบๆที่จักระแต่ละจุดก็เรียกได้ว่าจักระหมุนก็แล้วกัน
    จักระในคนที่มีชีวิตแท้จริงหมุนตามธรรมชาติอยู่แล้ว
    ยกเว้นในบางคนที่ป่วยจักระก็จะไม่หมุนตามอวัยวะที่ป่วยนั้นๆ
    การฝึกพลังจักวาลเพื่อให้เราสามารถรับรู้ถึงพลังของธรรมชาติที่เชื่อมโยงกับเรา
    เมื่อฟ้า มนุษย์ ดิน ประสาน
    ก็เกิดพลัง
     
  13. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ไล่จักระไปทีละจักระคือการกำหนดรู้อาการหมุนของจักระ
    หรือเรียกง่ายๆว่าเอาใจหรือความรู้สึกไปวางไว้ณจุดของจักระต่างๆ
    การบอกไม่ให้ไปยุ่งกับจักระที่1เพราะมันคือจักระแห่งสัญชาติญานตามธรรมชาติของมนุษย์
    คนฝึกปราณสายต่อสู้เมื่อฝึกไปมากๆถึงมีจิตมารเข้าแทรก
    เป็นอันตราย เพราะการสะสมพลังที่ตันเถียนนั้นเป็นพลังหยาง
    หากไม่สามารถระบายออก ธาตุไฟจะเข้าแทรก
    ไฟธาตุแตกได้ เบาะๆก็ปวดหัว ร้อนใน หนักๆก็ตายได้
    ส่วนการฝึกพลังจักรวาลเป็นพลังอิน
    ฝึกแล้วความมักมากทางโลกจะลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระตุ้นจักระที่7 6 5 4 บ่อยๆ
    แต่ในเมื่อเรายังต้องครองเรือนอยู่ ยังต้องประคับประคองธาตุขันธ์เพื่อการประกอบกิจกรรมต่างๆ จึงให้หมุน7 ถึง2 เว้น1ไว้ก่อนในขั้นพื้นฐาน
     
  14. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    การฝึกพลังเพียงแค่เป็นเครื่องมือในการทำให้ร่างกายแข็งแรงและระบบไฟฟ้าและฮอร์โมนในร่างกายเกิดการสมดุล โดยอาศัยความเมตตาของเราที่มีให้กับสรรพสิ่งและสรรพสิ่งมีให้กับเราเป็นกุญแจแห่งพลัง
    หลักสำคัญของการฝึกคือกระแสจิตที่มีเมตตาต่อตนเอง ต่อเพื่อนมนุษย์และต่อจักรวาลและทุกสรรพสิ่ง
    สู่การประสานเป็นหนึ่งกับธรรมชาติไปแบ่งแยก
    กำลังสติและสมาธิจะแข็งแกร่งขี้น
    เหมือนแมงมุมตัวใหญ่อยู่ในจิต
    ดักอารมณ์ที่เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    เป็นเครื่องมือในการฝึกสติ
    เพื่อใช้สติไปดูธรรมชาติของจิต
    ที่เกิดกุศลจิตบ้าง อกุศจิตบ้าง
    ว่าแท้จริงแล้วกุศลและอกุศลนี้เป็นอารมณ์ธรรมชาติของโลก
    การดิ้นรนของจิตเพื่อหลีกหนีหรือกระโดดเข้าใส่อารมณ์ของโลกไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลนั้นทำไปด้วยอำนาจแห่ง ภวตัณหาและวิภวตัณหา
    การกระทำนั้นๆจึงเจือไปด้วยอามิส
    การกระทำใดที่ใจเป็นกลาง
    เป็นการกระทำโดยหน้าที่
    ปราศจากความยินดียินร้ายในการกระทำเพราะไม่ได้ถูกขับด้วยตัณหาคือความอยากได้ใคร่ดี อยากเป็นผู้วิเศษเหนือใครๆ อยากมีฤทธิ์เดช
    หรือไม่ได้ถูกหลอกโดยวิภวตัณหาคือความอยากออกไปจากสภาพนั้นๆ
    การกระทำนั้นย่อมบริสุทธิ์
    เมื่อการฝึกพลังนั้นบริสุทธื์เพราะความตั้งใจไว้ดีแล้วและไม่ถูกเครื่องล่อ
    การฝึกพลังย่อมเป็นบาทฐานของสติ สัมปชัญญะ
    เกิดสัมมาปัญญาในที่สุดว่า
    สรรพสิ่งทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
    การเห็นไตรลักษณ์นั้น
    เป็นวัตถุประสงค์เดียวของการฝึกสมาธิอันบริสุทธิ์
    เพราะสัมมาสติ และสัมมาสมาธินั้น ไม่อาจขาดจากอารมณ์วิปัสสนาที่เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของธรรมชาติทั้งหลาย
     
  15. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
    เราจึงไม่อาจเอาชนะธรรมชาติได้
    การควบคุม สติ กาย จิต ทำได้แค่เวลาที่จิตอยู่ในสมถะสมาธิซึ่งเป็นการข่ม กดทับ รังแต่จะรอวันระเบิดเหมือนเราเอาฝาหม้อไปปิดไว้
    การฝึกจิตที่ถูกต้องจึงต้องอาศัยสติเป็นเครื่องมือ
    และปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา
    ให้รู้ว่าอารมณ์ฝ่ายขาวและฝ่ายดำนั้น
    เป็นธรรมชาติของโลก
    ที่มันมีผลกระทบกับความรู้สึกของเรา
    เพราะเราไปเอาธรรมชาตินั้นมาทึกทักว่าเป็นเรา
    เราโกรธ เราเกลียด
    เรารัก เราเมตตา
    เพราะความยึดติดในตัวเรานี้แหละ
    สร้างทุกข์ทางใจให้
    เหมือนกับเราดูหนังตลกเวลามันด่าแม่กันทำไมเราหัวเราะ
    แต่เวลาคนข้างบ้านมันด่าแม่ใครก็ไม่รู้แต่เสียงมาเข้าหูเรา ทำไมเราถึงไม่ขำแต่จะไปฆ่ามันแทน
    ใจเราเป็นอย่างไร โลกก็เป็นอย่างนั้น
    เมื่อไหร่วางใจคืนให้กับโลกได้จนหมด
    ก็หมดทุกอย่าง เป็นปกติ เป็นธรรมชาติ เป็นสุข
     
  16. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ทำง่ายๆก็คือเมื่อไหร่ที่รู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง
    ให้เวลาตัวเองสักนิด ก่อนจะทำอะไรไปตามอารมณ์นั้น
    พิจารณาก่อน
    ให้โอกาสตัวเองเลือกการกระทำว่าจะไปทางไหน โดยพิจารณาถึงเหตุแห่งอารมณ์นั้นๆ
    และผลของการที่จะกระทำ
    ง่ายๆแบบนี้ ปัญหาจะเบาไปเยอะ
    ค่อยๆถอนลูกศรไปนะ
    สักวันเราคงถอนได้หมด
     
  17. โอทา1

    โอทา1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +69
    เข้ามาตักตวงความรู้ ขอบคุณครับ :)
     
  18. AFIKLIFI

    AFIKLIFI Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    560
    ค่าพลัง:
    +53
    ขอบคุณมากเลยครับเป็นคำตอบที่ตรงใจมากครับ โล่งทันทีครับ จริงๆ ขอเพิ่มอีกนิดนึงครับ คือว่การรับรู้การหมุนของแต่ละจุดนี่คือทำอย่างไรครับ เช่นหากเราต้องการให้เรารับรู้การหมุนของ จักระที่ 7 เราจะทำอย่างไร ใช่ต้อง หายใจเข้าไปไว้ที่ตรงนั้นไหมครับ หรือว่าไม่ต้องครับ แค่ทำให้เรารับรู้ว่าจักระที่ 7 เกิดการหมุน ภาวนาว่า จงหมุน ๆ ส่วนการหายใจนั่นคือไว้ทำทีหลังครับ
     
  19. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ให้เอาความรู้สึกไปที่จักระที่เราจะให้หมุนและคิดในใจว่าจักระที่...จงหมุน
    เรียกว่าวิตก วิจาร ครับ
     
  20. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    พี่อัคนีวาต วานตอบน้อง AFIKLIFI ถึงเรื่องการหายใจทีค่ะ ดูเค้าจะสับสนของการหายใจ (หรือว่าหลินทำให้สับสน ค่ะ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...