ปิดรับบริจาค เชิญร่วมสร้างวัดและบูชาวัตถุมงคลเพื่อสร้างวัด

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย เก๋ณัฐา, 9 กรกฎาคม 2009.

  1. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    กระผมเคยได้ลูกกลม สีแดงดำน่ะครับ
    ตอนนันคุณอนุชวนยังอยู่ช่วยหลวงพ่อ
    ตอนแรกหลวงพ่อจะให้สีเขียว
    แล้วต่อมาท่านให้สีแดงดำซะงั้น
    ท่านว่าเป็นของส่วนตัวท่านเองครับ
    ไม่ทราบว่านอกจากอุทิศบุญให้แก่เทพเทวดารักษาองค์ลุกแก้วแล้ว
    ต้องทำอย่างไรอีกขอรับ...
     
  2. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ก่อนอื่นต้องถามว่าโอนบุญให้ท่านถูกต้องหรือยัง
    การโอนนี้โอนไม่ถูกก็ได้แต่อาจจะแก้ไม่ตรงจุด เห็นผลได้ไม่เร็ว
    เพราะการโอนนี่ต้องดูนะค่ะว่า เราโอนบุญเพื่ออะไร

    สำคัญมากนะค่ะ ถ้าโอนให้พญานาคลูกแก้วเฉยก็เหมือนให้บุญท่านท่่านก็จะเก่งขึ้น แต่บุญที่เกิดจากการโอนพวกนี้จิตไม่นิ่งได้น้อยต้องหมั่นโอนค่ะ
    โอนร้อยครั้งได้ร้อยครั้ง อยากให้ได้ผลเร็วนี่ต้องโอนวันละเป็นหลายๆร้อยโน่นค่ะ แต่อย่างไรเทียบกับการโอนบุญที่เกิดจากการปฏิบัติไม่ได้นะค่ะ เพราะบุญตรงนี้มหาศาลค่ะ สร้างมหากฐิน 100 กองก็ไม่เท่าอานิสงฆ์จิตว่างเพียงชั่วครู่เดียวนะค่ะ
     
  3. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    พุทธพจน์ :


    [​IMG]

    "ผู้ ใดมีปัญญาพิจารณาจนจิตเห็นความจริงว่า ร่างกายนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน คน สัตว์
    แม้จะนานเพียงชั่วช้างยกหูขึ้นกระดิก ก็ยังดีเสียกว่าผู้ที่มีอายุยืนนานถึง ๑๐๐ ปี แต่ไม่มีปัญญาเห็นความเป็นจริงดังกล่าว"

    "ผู้ ใดแม้จะทำสมาธิจนจิตเป็นฌานได้นานถึง ๑๐๐ ปี
    และไม่เสื่อม ก็ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ที่มองเห็นความเป็นจริงที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายอันเนื่องมาจากการปรุงแต่ง ล้วนแล้วแต่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    แม้จะเห็นเพียงชั่วขณะจิตเดียวก็ตาม"

    ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีจิตศรัทธาในงานบุญของวัดป่าโนนจ่าหอมครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2010
  4. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    [​IMG]

    *************************************************************

    ธรรมโอวาทหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    จิตตัวนี้สำคัญนัก แม้เพียงไปยึดติดหรือข้องอยู่กับกรรมเพียงน้อยนิด
    ขณะใกล้จะสิ้นใจตาย ก็ยังสามารถเบี่ยงเบนจุดหมายปลายทางที่จะไปเกิดได้


    ธรรมโอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    "พญาเอรกปัตตนาคราช"

    [​IMG]

    ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "สมเด็จพระพุทธกัสสป"
    ได้มีภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ในถํ้าติดชายทะเล คือภูเขาชายทะเล เวลานั้นคนมีอายุถึง ๔๐,๐๐๐ ปี ท่านบวชเป็นพระจำศีลภาวนานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ยังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดาที่เรียกว่า"สมมุติสงฆ์"

    <O:p</O:p
    วันหนึ่งท่านอาบนํ้าอยู่ชายทะเล มีเรือสำเภาลำหนึ่งแล่นมาช้าๆ
    เพราะลมอ่อน เฉียดเข้ามาใกล้ที่ท่านอาบนํ้า ท่านเห็นตะไคร่นํ้าจับข้างเรืออยู่มันยาวมาก เรือเดินทะเลต้องเดินทางกันเป็นเดือนๆ ตะไคร่ก็จับมาก ท่านก็เลยนึกสนุกขึ้นมาโผกายไปจับตะไคร่นํ้า ปล่อยให้เรือลากไปตามอัธยาศัย ร่างกายของท่านหนัก ตะไคร่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้จึงหลุดออกมา ตัวท่านก็หลุดออกมาจากเรือแต่ไม่เป็นไรเพราะนํ้าตื้น<O:p</O:p

    การพรากของเขียว คือการทำให้ตะไคร่นํ้าหลุดออกจากที่เดิม พระพุทธเจ้าทรงปรับเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่มีโทษไม่เหมือนกับอาบัติปาจิตตีย์การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นลงนรก


    แต่ปาจิตตีย์การพรากของเขียวให้พลัดพรากจากที่เดิมของท่านก็คือ
    ท่านเป็นพระอยู่องค์เดียวจึงไม่มีการแสดงอาบัติ คือไม่มีโอกาสระงับโทษนี้ เวลาตายอาบัติก็คาใจนิดเดียวเท่านี้ การจำศีลภาวนาของท่านไม่มีผลให้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหม แต่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นพญานาค

    ด้วยอำนาจแห่งการบำเพ็ญบารมีมานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี และมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงมีสภาวะเป็นทิพย์มีความเป็นอยู่คล้ายเทวดา มีที่อยู่เป็นทิพย์ มีเครื่องบริโภคเป็นทิพย์ มีสมบัติอันเป็นทิพย์แต่ทว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานมีนามว่า "พญาเอรกปัตตนาคราช"ก็เพราะว่ามีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนนาคธรรมดา มีสภาพเหมือนตะไคร่นํ้าคือ ทั้งตัวรุ่มร่ามนุงนังไปหมด เหมือนตะไคร่นํ้าลอยนํ้า



    ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีจิตศรัทธาในงานบุญของวัดป่าโนนจ่าหอมครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->



    ธรรมใดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้ว
    ขอให้ทุกท่านได้ดวงตาเห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    ที่มา : เว็บบอร์ด พลังจิต ดอทคอม<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- / message -->
     
  5. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    ธรรมโอวาทหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    เรื่องที่หลวงปู่ดู่ มักจะกล่าวเตือนศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ให้พึงสังวรอยู่เสมอก็คือ

    เรื่องควรงดเว้นกระทำกรรมชั่วโดยเด็ดขาด โดยท่านจะนำเอาพุทธพจน์ที่ว่า
    “ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า” มาเป็นข้อเตือนสติแก่ทุกคน

    เพราะการกระทำกรรมใด ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมเลวก็ตาม จิตของผู้นั้นจะบันทึกเก็บงำข้อมูลเอาไว้โดยละเอียด เมื่อใดที่ถึงกาลมรณะ จิตตัวนี้จะเป็นตัวชี้นำไปสู่สุคติ หรือทุคติอย่างชัดเจน

    จิตตัวนี้สำคัญนัก แม้เพียงไปยึดติดหรือข้องอยู่กับกรรมเพียงน้อยนิด ขณะใกล้จะสิ้นใจตาย ก็ยังสามารถเบี่ยงเบนจุดหมายปลายทางที่จะไปเกิดได้


    ลักษณะที่จิตไปจับกรรมในขณะกำลังจะถึงมรณกาล เรียกว่า “มรณาสันนวิถี” นี้
    หลวงปู่ดู่ ท่านเคยกล่าวถึง พระภิกษุผู้ปฏิบัติกรรมฐานขั้นสูงรูปหนึ่ง

    พระภิกษุรูปนี้ เป็นที่แน่ใจว่า ไม่มีทางไปสูทุคติ หรือ ภูมิแห่งความทุกข์ยากลำบากอย่างแน่นอน

    ท่านถึงกับบอกแก่บรรดาศิษย์ของท่านว่า “หากท่านมรณภาพวันใด ทุกคนจะได้ยินเสียงปี่พาทย์ราดตะโพนมารับ” (คงหมายถึง เหล่าเทวดาแสดงเสียงดนตรีสวรรค์ต้อนรับ)

    [​IMG]

    ต่อมาอาจารย์รูปนี้อาพาธ และมีอาการทรุดหนักเกินกว่าจะเยียวยารักษาได้ กระทั่งมรณภาพ ในวันมรณภาพนั้น ศิษยานุศิษย์ และทายก ทายิกา มาชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก เมื่ออาจารย์สิ้นลมหายใจ ทุกคนก็คิดว่า จะได้ยินเสียงปี่พาทย์ราดตะโพน แต่กลับไม่ได้แว่วเสียงอะไรเลย ทุกคนต่างพากันผิดหวังระคนเสียใจ ที่อาจารย์ของตนไม่ได้ไปดี ดังที่ท่านตั้งปณิธาน และเชื่อมั่น อีกทั้งยังเกิดห่วงใยอาจารย์ไปต่างๆ นานา

    เหตุที่อาจารย์มิได้ไปตามวิถีดังที่ตั้งใจ หลังจากมรณภาพแล้วนั้น เนื่องจากก่อนท่านจะอาพาธ มีโยมนำอ้อยมาถวาย ท่านจึงได้นำไปปลูกไว้ และเอาใจใส่รดน้ำอยู่เสมอ จนอ้อยเจริญงอกงามขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ท่านใกล้จะถึงกาลมรณภาพ เกิดคิดไปถึงอ้อยกำลังเจริญงามเต็มที่ น่าจะตัดอ้อยไปปอกถวายพระฉัน ด้วยเหตุที่จิตไปข้องอยู่กับอ้อย เมื่อสิ้นใจตาย จึงไปเกิดเป็นตัวเล็น ติดอยู่ที่ต้นอ้อย ไปไหนไม่รอด

    พิธีงานศพของอาจารย์ ยังดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่ ๗
    ทายกเห็นอ้อยกำลังงาม จึงได้ตัดไปปอกเปลือกแล้วควั่นอ้อยถวายพระ
    เป็นโอกาสดีของอาจารย์ท่าน จึงโมทนาไม่ติดเกาะอยู่ที่นั่นอีก ทันทีที่อาจารย์หลุดพ้นจากอัตภาพตัวเล็น เสียงปี่พาทย์ราดตะโพนก็ดังกังวานขึ้นในอากาศ เป็นที่ประจักษ์ของผู้ร่วมงานทุกคน ทำให้ทายก ทายิกา และบรรดาศิษย์ทั้งหลาย บังเกิดความปีติปราโมทย์กันทั่วหน้า เพราะเป็นไปตามวาจาของอาจารย์ทุกประการ

    เหตุนี้ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ จึงกล่าวย้ำซ้ำเตือน ตามพุทธพจน์เสมอว่า
    “ขึ้นชื่อว่าความชั่ว ไม่ทำเสียเลยจะดีกว่า” เพราะถ้าจิตไปยึดติดกรรมเพียงน้อยนิด

    ก็ยังไม่อาจไปสู่สุคติได้ ดังเช่น อาจารย์ซึ่งปฏิบัติธรรมกรรมฐานมาอย่างเคี่ยวกรำ กระทั่งจิตหมดจดสดใสแล้ว เพียงแค่เกิดความห่วงใย “อยาก" จะนำอ้อยไปถวายให้พระฉันเท่านั้น ถึงกับไปไหนไม่รอดเอาดื้อๆ ดังเรื่องราวซึ่งได้กล่าวมาแล้ว

    ที่มา : หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    Bloggang.com : travelaround - ��ǧ������ �����ѭ��

    ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีจิตศรัทธาในงานบุญของวัดป่าโนนจ่าหอมครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    "การถวายวิหารแก่สงฆ์ เพื่อปลีกวิเวก เพื่อความสุข เพื่อเพ่งฌาน และ
    เพื่อเจริญวิปัสสนา พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงสรรเสริญว่าเป็นทานอันเลิศ"

    [​IMG]
     
  6. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    [​IMG]

    คุณเก๋ครับ

    ตอนเที่ยงวันนี้ ได้โอนเงินทำบุญลูกแก้ว 5,350 บาท
    ไปที่บัญชี 383-2-30470-9 ครับ

    ค่าบูชาลูกแก้ว ตั้งใจทำบุญทุกส่วนของที่วัด
    ส่วนอีก 300 บาท เป็นเงินทำบุญของคุณกัลยา อุดมวิทิต 200 บาท
    คุณวิไล อิ่มอารมณ์กุล 100 บาท ทำบุญทุกส่วนของวัดเช่นกันครับ
    และอีก 50 บาททำบุญค่าส่งครับ

    " วันนี้เรายังพร่อง ยังไม่เต็ม ก็ต้องเร่งบำเพ็ญบุญที่มีอานิสงฆ์สูง
    เพื่อค้ำชูชีวิตให้มีความดี ความงามทางจิตใจ และมีบารมีธรรมสูงขึ้น
    เพื่อวันหนึ่ง เราจะ "เต็ม" ไม่มีรัก โลภ โกรธ หลงไม่มีภพชาติ อีกต่อไป"

    ***************************************************
    ทางวัดยังต้องการปัจจัยอีกมาก สำหรับมุงกระเบื้องและก่ออิฐพระวิหาร

    จึงขอความกรุณาจากท่านผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน
    ร่วมกันบริจาคทรัพย์ตามกำลัง หรือ กรุณาบอกบุญต่อ
    เพื่อสร้างพระวิหารของวัดป่าโนนจ่าหอมให้สำเร็จด้วยครับ
    ขออนุโมทนาบุญล่วงหน้ากับทุกท่านครับ สาธุ

    ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีจิตศรัทธาในงานบุญของวัดป่าโนนจ่าหอมครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2010
  7. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาค่าคุณธรรมสถิต เดี๋ยวเก๋ขอรวบรวมลูกแก้วส่งให้คุณธรรมสถิต
    และกายสิทธิ์จำนวนหนึ่งที่หลวงพ่อท่านฝากมาให้ญาติโยมที่ร่วมบุญผ้าป่าช่อฟ้าคราวที่แล้วนะค่ะ แหมอยากจะให้ทุกท่านเลยค่ะแต่กายสิทธิ์วัดเป็นของศักดิ์สิทธิ์และขึ้นยาก มีอยู่เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น คงไม่สามารถให้ได้ครบทุกท่าน

    แต่ไม่เป็นไรนะค่ะไม่มีบุญประเสริฐเท่ากับการทำบุญโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆนี่แหละค่ะ บุญจะยิ่งบริสุทธฺหาประมาณมิได้ด้วยเจตนาและความตั้งใจอันผ่องแผ้วบริสุทธิ์ในการช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนา ช่วยโดยไม่คิดปรารถนาใดๆตอบแทน ช่วยโดยหวังเพียงแต่ต้องการช่วยเหลืองานพระพุทธศาสนาเพียงเท่านั้น ช่วยเพียงแค่รู้ว่าต้องช่วย เพราะจิตที่ปรารถนาในการร่วมสืบทอดพระพุทธศาสนามันมีอยู่เอ่อล้นภายในใจมากมายเหลือเกิน เรียกว่า ภักดีแบบไม่มีเหตุผลใดๆ หาคำตอบไม่ได้ค่ะ
     
  8. Oupasene

    Oupasene เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    833
    ค่าพลัง:
    +2,867
    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ คุณธรรมสถิต สาธุ สาธุ สาธุ
     
  9. pu4755

    pu4755 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +5,149

    ขออนุโมทนาบุญกับคุณธรรมสถิตด้วยครับ
     
  10. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ....หนี้กรรมข้ามชาติของอาตมา...(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)

    วันนี้จะเล่าเรื่องดาบของแม่ทัพ ทำให้คนฝันและต้องมาที่วัดนี้
    ไปได้มาอย่างไร ต้องใช้เงินเท่าไร เป็นเรื่องอัศจรรย์ของอาตมา
    ผ่านมาเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว
    ตอนนั้นอยู่วัดพรหมบุรี ยังไม่ได้มาอยู่ที่วัดนี้
    ก็จะขอเล่าประวัติอาตมาสักเล็กน้อย

    เมื่อสมัยอยู่วัดพรหมบุรี ก็เริ่มสอนกรรมฐานมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๔-๒๔๙๙
    หลังจากที่เดินออกจากป่า ก็มาเจริญภาวนาและสอนกรรมฐาน
    เริ่มต้นที่วัดพรหมบุรีตามลำดับมา

    วันหนึ่งสมภารใช้อาตมาไปเช่าเมรุพร้อมเครื่องตั้ง
    จะมาจัดงานศพที่วัดต้องไปเช่าที่หัวเวียง บ้านแพน
    อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    แถวโน้นเขามีอาชีพค้าเมรุ มีไฟประดับสวยงามพร้อมเครื่องตั้งบนศาลา
    เหมากันมาอย่างนั้น แถวนี้ทั้งแถวไม่มีเมรุ ส่วนมากเป็นเมรุเผาเตาฟืน
    ถ้ามีงานศพผู้มีเกียรติหรือผู้มีเงินต้องไปเช่าเมรุ
    เมรุก็มีมากทางหัวเวียง ผักไห่ บ้านแพน ก็เลยต้องไปที่นั่น

    อดีตชาติของหลวงพ่อ

    กล่าวถึงบ้านหนึ่ง เป็นเรื่องอัศจรรย์ครั้งอดีตชาติของอาตมา
    เจ้าของบ้านชื่อแม่ชุมศรี ศรีเรือง เป็นเจ้าของโรงสี
    อาตมาไม่เคยผ่านทางนั้นจึงไม่เคยรู้จัก

    แม่ชุมศรีนี้ยังไม่มีครอบครัว ยังเป็นสาว เขานั่งสมาธิแล้วฝันสามคืนติดๆ กัน
    ฝันว่า เมื่ออดีตชาติของเขา เขาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา เขามีลูกชายคนเดียว
    และลูกชายคนนั้นได้กำลังรบทัพจับศึก และในฝันนั้นบอกว่า
    ลูกชายโดนกลศึกวิธี พม่าได้ฆ่าลูกชายโดยผลักเขาลงน้ำถึงแก่ความตาย
    ที่อำเภอบางไทร ตรงปากครองที่ทัพพม่าเดินผ่าน
    เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาแตกทัพวันนั้น
    เขาก็ร้องห่มร้องไห้ว่าลูกชายเขาต้องจากไป บ้านเขาอยู่ตรงนั้นตรงนี้

    อีกคืนหนึ่งเขาฝันว่า ลูกชายเขามาบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
    ไม่ทราบว่าอยู่วัดไหน และในวันที่ ๕ กุมภาพันธ์
    (อาตมาจำ พ.ศ. ไม่ได้ ไม่ได้ดูสมุดบันทึก) เวลา ๑๐.๓๐ น.
    ถ้ามีพระมาฉันเพลที่บ้านในวันและเวลานั้น
    ก็เป็นลูกชายของเขาเมื่อครั้งอดีตชาติ ที่รบทัพจับศึกแล้วโดนกลศึก
    ถูกฆ่าถีบลงน้ำไป เขาก็สำนึกอยู่ตลอดเวลา
    และก็เล่าให้พี่น้อง พ่อแม่ฟังว่าดิฉันฝันอย่างนี้

    พี่ชายควบคุมโรงสีอยู่ ก็บอกว่า “ฝันไม่เข้าเรื่องเข้าราว”
    แต่เขาก็เชื่อมั่นของเขาเหลือเกินว่า ในวันที่ ๕ กุมภาพันธ์นี้
    จะต้องเตรียมทำอาหาร ถ้ามีพระองค์ไหนมาบ้านเรา ต้องใช่แน่นอน

    บ้านนี้ใหญ่มาก มีโรงสีติดอยู่ข้างบ้าน
    มีสะพานลงไปสู่ตีนท่า มีแพน้ำ บ้านทาสีสวยงาม

    เผอิญตรงกับวันที่อาตมาจะไปหาเช่าเมรุ อาตมาลงเรือจากสิงห์บุรีไปถึงผักไห่
    ก็ไปถามหาบ้านนายสง่าที่เขาเป็นเจ้าของเมรุอยู่หัวเวียง
    อาตมาก็ว่าจ้างเรือหางยาวให้ไปส่งที่บ้านนายสง่า เจ้าของเรือหางยาวก็รู้จัก

    ค่าเรือขาไปคิด ๒๐ บาท ไปกลับคิด ๕๐ บาท
    เพราะต้องเสียเวลาคอย อาตมาก็ตกลง
    ลงเรือจากตลาดผักไห่เรื่อก็แล่นไปเลย แล้วมาส่งที่บ้านนี้บอกว่าเป็นบ้านนายสง่า

    เสียงเรือแล่นดัง พูดอะไรไม่ค่อยได้ยิน
    อาตมาก็นึกว่า ใช่แล้ว บ้านนี้ใหญ่โต น่าจะเป็นบ้านของเจ้าของเมรุ

    พอขึ้นจากเรือ เขามานิมนต์ที่แพเลย มานิมนต์กันเยอะ
    ขึ้นไปมีสำรับกับข้าว โตกมากมาย
    เอ๊ะ! อะไรกันนี่ เราจะมาหาเมรุ อาตมารำพึง

    เขาก็นิมนต์ให้นั่ง เอาหมากยามาถวาย
    คุยกันว่าไม่รู้จักกัน เหมือนรู้จักกันมาหลายปีอย่างนี้

    อาตมาก็คิดว่า จะใช่บ้านนายสง่าหรือเปล่า
    เรือหางยาวพอส่งปั๊บ ก็บอกว่า “ท่าน ผมไปธุระก่อนนะ
    ประมาณชั่วโมงหนึ่งผมจะมารับ” แล้วเรือหางยาวก็วิ่งออกไปเลย
    นี่เขาบอกว่าเขารู้จักบ้านนายสง่าที่หัวเวียงที่เป็นเจ้าของเมรุ

    มีพวกโรงสี พวกแขกมาเต็มบ้าน มีสำรับครบ เวลา ๑๐.๓๐ น.
    พอดีตรงกับที่เขาจดไว้ เขาก็เลย*จ๊าวกันใหญ่
    เราก็ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา เลยบอกว่า

    “โยมจะทำบุญเรื่องอะไรกันนี่ ไม่ใช่อาตมานะ
    อาตมาจะมาหาเมรุ บ้านนี้บ้านนายสง่าใช่ไหม”

    เขาก็บอกว่า ไม่ใช่ เขารู้จักบ้านนายสง่าดี อยู่หัวเวียงโน่น
    อาตมาก็บอก “ตายจริง ผิดบ้านเสียแล้ว โยมช่วยเรียกเรือหางยาวที”
    เรือหางยาวก็ออกไปเสียแล้ว กว่าจะรู้เรื่องกันก็เพลพอดี

    เขาก็อาราธนาศีล อาตมาบอก “เอ๊ะ! โยมจะถวายสังฆทาน จะทำบุญกับพระวัดไหนนี่”
    เขาก็บอกว่า “เฉย ๆ ท่านต้องรับ”

    รับศีลเสร็จแล้ว ถวายสังฆทานเขาบอก “นิมนต์ฉันตามสบายเจ้าค่ะ”
    อาตมาก็นึกเคืองเรือหางยาวมาก ดูซิบอกว่ารู้จัก กลับมาส่งบ้านแม่ชุมศรี บ้านนี้

    เขาก็กระตือรือร้น เอาใจใส่อย่างดี เตรียมน้ำร้อนน้ำชาไว้ก่อน
    อาตมาก็ฉันไปสองสามคำ ฉันไม่ได้ รู้สึกเกรงใจเขามาก

    พอฉันเพลเสร็จ เขาก็เล่าเหตุการณ์นี้ให้ฟัง
    เขาหาว่าอาตมาเป็นลูกของเขาเมื่อครั้งอดีตชาติ
    เราไม่เชื่อ เชื่อไม่ได้ ลูกอะไรกัน
    เขายังเป็นสาวอยู่ แต่เขาก็เชื่อมั่นเหลือเกิน

    แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่า เขาบันทึกหลักฐาน เขียนไว้ครบ
    ฝันสามคืนติด ๆ กัน พ่อแม่พร้อมพี่ชายเขาบอกว่า
    น้องสาวเขาบ้า แต่ท่านมายังไงตรงเวลาพอดี

    อาตมาบอก ความจริงอาตมาไม่รู้จักบ้านโยมนะ แล้วไม่รู้เรื่องเลย
    จะไปหาเมรุบ้านนายสง่า เลยผลสุดท้ายก็คุยกันถึงเย็น
    เล่าประวัติศาสตร์ในชีวิตของเขาตลอดมา
    อาตมาก็นิ่งไว้ไม่ยอมเชื่อ สักประเดี๋ยวเรือหางยาวมารับ

    ในที่สุดก็เย็นหมดเวลา ได้ทราบจากบ้านโรงสีว่า
    นายสง่าไม่อยู่ เอาเมรุไปตั้งทางวัดสามกอ ไปทางอำเภอเสนา ต้องมาวันหลัง
    อาตมาก็กลับวัดผิดหวังไม่ได้เมรุ แต่มาได้โยมแม่ในอดีตชาติ
    ตั้งแต่นั้นมาอาตมากับบ้านแม่ชุมศรีก็ติดต่อกันเรื่อยมา

    ตอมาอีกหนึ่งปี อาตมาก็ย้ายวัดมาอยู่ที่วัดอัมพวัน มาอยู่วัดนี้ พ.ศ. ๒๕๐๐ ก็อยู่ตามลำดับมา
    แต่ในสำนึกของอาตมา เรื่องดังกล่าวเรารู้บ้างไม่รู้บ้าง จะเชื่อนักก็ไม่ได้
    แต่เราก็ต้องยอมรับบางประการเหมือนกัน

    อาตมาก็อยู่วัดนี้ตลอดมา สอนกรรมฐานไปเรื่อย
    หลังจากคอหักแล้วก็หมดเวลา มีเสียงบอกว่าท่านจะต้องอยู่ไปได้แค่ ๕ ปี
    คอหัก ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ ก็ครบ ๕ ปี พ.ศ. ๒๕๒๖

    พอดีถึงเวลา อาตมาก็มีนิมิตว่า ต้องหมดเวลา
    พวกญาติโยมมาขอนิมนต์กันใหญ่ “หมดเวลา”
    มีนิมิตเครื่องหมายไปว่า “ท่าน ขอเชิญไป” เห็นจะตายแน่คราวนี้
    แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายที่เราจะไปนั่น
    มันอาจจะคิดถึงบ้านแม่ชุมศรีว่า เขาว่าเราตกน้ำตายก็ได้ มันยังไม่แน่นอนนัก

    แต่แล้วก็มีนิมิตกรรมฐานทันที อาตมานิมิตว่า “ท่านจะต้องตายแน่นอน”

    ในวันนั้นนิมิตก็บอกว่า กำลังนั่งกรรมฐานในโบสถ์
    มีคนสี่คนเข้ามาขอเชิญ ขอนิมนต์เปลี่ยนเครื่องต้นเครื่องทรง
    เปลี่ยนผ้าออก คือหมายความว่า ให้สึก

    อาตมาก็บอกว่า “ยังไม่สึก ยังรักเพศพรหมจรรย์อยู่”

    “ไม่ได้ เจ้าต้องไป ต้องไปอย่างแน่นอน ให้แต่งตัว”
    สี่คนนี้แต่งตัวเป็นพวกทหารทั้งนั้น แล้วก็มาเอาพานเชิญ
    มีเครื่องต้น เครื่องทรง มาให้แล้วบอกว่า

    “ท่านต้องแต่งตัวใหม่”

    อาตมาบอก “ตายจริง เรายังรักเพศพรหมจรรย์อยู่ ยังไม่ไป ขออยู่ก่อน”

    เขาบอก “ไม่ได้ ต้องไปแน่” และเอาเครื่องทรงมาให้

    อาตมาจำเป็น จำยอม ก็ต้องเอาผ้าออก นุ่งผ้า ใส่เสื้อ ใส่หมวก
    ออกจากประตูโบสถ์ไป พอออกจากประตูโบสถ์ไปแล้วพบเจ๊ฉุ่น
    จังหวัดสิงห์บุรี (นางทองดี ญาณวัฒนา)

    เจ๊ฉุ่นเคยพูดกับอาตมาว่า จะขายรถ ขอให้ช่วยขายรถให้ได้สิบคัน

    เจ๊ฉุ่นก็ฝันตรงกันนิมิตในวันนั้น เอารถมาที่วัด นำมาให้เจิม
    แล้วก็เห็นหลวงพ่อแต่งตัวออกไป มีเสื้อครุย
    มีดาบ ออกไปจากโบสถ์ เจ๊ฉุ่นเสียใจเหลือเกิน ร้องไห้

    เจ๊ก็บอกว่า “หลวงพ่อทำไมสึก ไม่ควรจะสึกอย่างนี้
    ฉันเอาปัจจัยมาถวาย ๑๐,๐๐๐ บาท ขายรถได้หมดแล้ว”

    อาตมาก็บอกเจ๊ว่า “หมดเวลาต้องไปแน่ อยู่ไม่ได้หรอก”
    เจ๊ก็พูดว่า “แหม! ท่านไม่น่าสึกเลย ทำไมแต่งตัวอย่างนี้”

    สักประเดี๋ยวกลับเข้ามาในโบสถ์ใหม่ มีชุดใหม่มาอีกสองคน
    ก็มาบอกว่า “พระคุณเจ้ายังมีเวลาอยู่”
    เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่อีกแล้ว แต่งตัวใหม่แล้วบอกว่า

    “ท่านมีเวรมีกรรมมาก ไปฆ่ารันฟันแทงเขามากมายจริง ๆ
    เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านต้องไปเอาดาบของท่านมาแก้กรรมเสีย
    ดาบของท่านขณะนี้มาจากเชียงใหม่ เดี๋ยวนี้อยู่พระนครศรีอยุธยา
    ขอให้ท่านเตรียมเงินไป ๕,๐๐๐ บาท

    พอดีในวันนั้น (วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๔) ต้องไปในพิธีบวงสรวงที่วัดบรมพุทธาราม
    ในบริเวณวิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา ไปดูที่สร้างพระประธาน

    อาตมาก็นึกได้ว่าต้องเอาใครมาบวงสรวง
    คนนี้รูปร่างใหญ่โตมาก ชื่ออาจารย์ทองดี (โพธิ์) เมืองทอง
    อยู่ที่โพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร เป็นคนเกิดที่นั่น
    แล้วเคยเป็นสมภารเก่าวัดบรมพุทธาราม บวงสรวงเก่งมาก

    เหตุที่ต้องการคนอยู่ที่โพธิ์ประทับช้าง เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกัน
    คือ วัดบรมพุทธารามเป็นวัดที่สมเด็จพระเพทราชาเป็นผู้สร้าง
    และตำบลโพธิ์ประทับช้างเป็นสถานที่สมเด็จพระเจ้าเสือเสด็จประทับ
    สมเด็จพระเจ้าเสือทรงเป็นพระราชบุตรของสมเด็จพระเพทราชา

    อาตมาก็ไปหาอาจารย์โพธิ์ผู้ทำพิธีบวงสรวงให้ ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร
    ที่เราจะต้องไปร่วมสร้างพระประธานที่วัดบรมพุทธารามกันต่อไป

    อาตมาขอยืมเงินเขาไป ๕,๐๐๐ บาท ต้องไปเอาดาบเล่มนี้มาแก้กรรม
    ดาบมี ๒ เล่ม เล่มเล็กและเล่มใหญ่ อาจารย์อาคม วรจินดา เพื่อน ดร.กิ่งแก้ว
    อยู่ที่ มศว.มหาสารคาม มาซื้อเล่มเล็กไปก่อนแล้ว

    มันก็เป็นเรื่องแปลกอยู่นะ อาตมาก็จะต้องไปบวงสรวง
    แต่ไม่ได้บอกคนที่ไปด้วย มีอุ่นเรือน ร้านวรทัศน์
    สมศรี ร้านบางกอก ไปกันเยอะ ไปช่วย ดร.กิ่งแก้ว

    พอเสร็จพิธีเรียบร้อยแล้ว เพื่อน ๆ ของ ดร.กิ่งแก้ว
    เขาอยากจะไปดูเรื่องอดีตชาติของคุณนายโสภา ปัทมดิลก
    แต่อาตมาไม่ยอมพาไปในวันนั้น

    เพราะคุณนายโสภา นี่เป็นภรรยานายอำเภอเมืองสิงห์บุรี แต่ไม่ถูกกัน
    มาเข้ากรรมฐานแล้วไปดีกันทีหลัง
    ในอดีตชาตินั้นเคยหล่อพระแล้วจารึกชื่ออธิษฐานไว้ อยู่ที่วัดอยุธยา
    นายอำเภอนี้ไม่ใช่สามีภรรยากันครั้งอดีตชาติ
    แต่เคยให้เงินใช้เสมอ จึงนำเงินนั้นมาสร้างพระ
    อาตมาไปพบมาแล้ว และชื่อนั่นจารึกไว้ครบ
    เมื่อครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยายังไม่เสียแก่พม่าข้าศึก
    พระองค์นี้บอกได้เดี๋ยวนี้แต่อย่าไปค้นนะ อยู่วัดหน้าพระเมรุ
    อันนี้เป็นเรื่องของคุณนายโสภาครั้งอดีตมา

    ในที่สุด รุ่งขึ้นเช้า เจ๊ฉุ่นมาที่วัดอัมพวัน บอกว่า
    “โอ๊ย! หลวงพ่อเมื่อคืนนี้สึกนี่ แต่งตัวนุ่งผ้าโจงกระเบน ใส่หมวก
    มีสร้อยสังวาลอีก แหม! ฉันร้องไห้เสียแทบตายเมื่อคืนนี้”

    ตรงกันเลย! อาตมาถามว่า “เจ๊ฉุ่นมาทำไมแต่เช้า”

    “เอาปัจจัยมาถวายหมื่นหนึ่ง” แล้วเล่าต่อว่า

    ในฝัน “ฉันมาคอย เอารถมาจอด ท่านเดินออกจากโบสถ์
    แล้วมีคน ๔ คน พอฉันบอกโอ๊ย! ไม่ได้ ๆ ท่านเข้าไปในโบสถ์
    มีสองคนตาม สี่คนหายไป แหม! หลวงพ่อสึกได้นี่ ใส่สังวาล
    ใส่โน่น ใส่นี่ แต่ถือดาบ ดาบมีลักษณะอย่างนั้น ๆ” ก็พรรณนาไป

    อย่างนี้ก็ตรงกันแล้ว และอาตมาก็นิมิตว่า อ๋อ! เราจะต้องแก้กรรมแน่
    เหลืออีกสามสี่วัน ปัจจัยก็ไม่พอห้าพัน เลยขอยืมคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง
    ในนิมิตบอกว่า ดาบเล่มนี้ต้องห้าพัน ไม่น่าเชื่อ อีกเล่มหนึ่งไปอยู่มหาสารคามแล้ว

    วันนั้นเมื่อเสร็จพิธีบวงสรวงแล้ว พวกเราชวนกันไปดูพระที่วัดมงคลบพิตร
    ที่นำมาจากวัดบรมพุทธารามแล้วไปดูมีดดาบ
    ให้อาจารย์ไปถามดูว่า ดาบเล่มนี้มาจากเชียงใหม่ใช่ไหม
    ปรากฏว่า มาจากเชียงใหม่จริง ๆ

    ร้านนี้เป็นร้านขายอาหาร เดิมอยู่ที่เชียงใหม่ขายของเก่า
    มีคนสะพายดาบมาจากไหนไม่ทราบ มาขายให้
    แล้วเขาก็ย้ายจากเชียงใหม่มาพระนครศรีอยุธยา
    แล้วก็ไม่ได้ขายดาบหรอก เขาเก็บไว้เป็นของเก่าใส่ตู้แสดงไว้

    พอถามราคาเขาจะเอาเจ็ดพันบาท พูดไปพูดมาเขาซื้อไว้ห้าพัน
    ถ้าท่านจะเอาก็คิดเท่าตามทุน ซื้อมาสี่-ห้าปีแล้ว

    ก็เลยขอดาบมาดูว่าตรงตามนิมิตไหม
    ดาบนี้ต้องมีบิ่นนิดหนึ่ง ไม่ใช่เหล็กธรรมดา
    เป็นเหล็กน้ำพี้ โค้งได้เลย แต่ปลายตัด

    เพราะเหตุใดปลายตัด เพราะเป็นเชลยของพม่า
    ดาบนี้ของแม่ทัพต้องโดนตัดปลายทั้งนั้น ถ้าดาบของพลทหารไม่โดนตัด

    ก็ได้ความว่าดาบบิ่นหน่อย แล้วปลอกแบบนี้เป็นปลอกไม้มีตราแบบนี้ทั้งนั้น
    ปลอกไม้มาทำทีหลัง ของเก่าผุไปแล้ว ซ่อมมาตั้งหลายครั้ง

    อาตมาก็ซื้อได้ในราคาห้าพันพอดี ตรงตามที่นิมิตบอกว่า เขามารับไป
    ท่านต้องไปเอาดาบมาแก้กรรมนะ ท่านฆ่าฟันเขาเยอะนะ

    อาตมาก็ดีใจมาก ในวันนั้นก็เอาดาบมาแขวนไว้ที่วัด
    โอย! เราจะตายแล้ว ปวดเมื่อยทั่วสกนธ์กาย
    แขนก็ขาด ขาก็ขาด จะตายแล้ว เอาหมอมาฉีดยาก็ไม่หาย
    ให้น้ำเกลือก็ไม่หาย อย่ากระไรเลยเราจะต้องเอาดาบไปฝากเขาไว้
    ที่ร้านวรทัศน์ จังหวัดลพบุรี มันมีกรรมด้วยกัน ไฟจะต้องไหม้แน่นอน

    พอเขาเอาดาบออกจากวัดไป อาตมาหายเลย
    ในคืนที่อาตมาจะตาย แขนก็ปวด คอก็ปวด
    เอวก็ปวดรวดร้าวทั่วสกนธ์กาย ต้องแผ่เมตตาคืนยันรุ่ง
    นี่เราไปฆ่าเขาไว้มากมายจริง ๆ นะ พอเอามีดไปฝากไว้บ้านนั้นหายทันที

    ในเวลาต่อมา อาตมาต้องเดินทางไปเมืองจีน
    มีคนไปส่งหลายคน อาตมาบอกว่า จะเดินทางขึ้นเครื่องบินแล้วนะจ๊ะ
    ไม่ห่วงใครเลยนะ ห่วงแต่แม่สมศรี กับแม่อุ่นเรือน
    นิมิตบอกแล้ว ไฟจะไหม้บ้านสองคนนี้

    ฝ่ายยายเตียง (นางเตียง ปุริปุณนะ) ไปพูดกับโยมพิน (นางยุพิน บำเรอจิต)
    นินทาแล้ว หลวงพ่อวัดเรานี่แย่มาก
    ห่วงเฉพาะสาวๆ คนไหนสวยละห่วงนัก ไอ้เรานี่มันแก่แล้วไม่ได้ห่วงเราเลย

    แล้วเราก็ย้ำเรื่อยเรื่องห่วงสองคนนี้
    แม่สมศรี ร้านบางกอกเฟอร์นิเจอร์แล้วเป็นห่วงแม่อุ่นเรือนมากที่สุด

    อาตมาเดินทางไปก็นึก ๆ ห่วงเรื่องนี้ ในวันพระ ๘ ค่ำ
    แม่สองคนเกิดนุ่งขาวมาที่วัด ตอนนั้นอาตมากำลังอยู่ที่โรงแรมซัวเถา
    แล้วก็ทำพิธีกรรมสวดมนต์ไหว้พระของเราเสร็จแล้วจะกลับไป่กุ้ย
    อาตมาก็นั่งอยู่ในห้องเป็นลมคืนยันรุ่ง ถามหลวงพ่อวัดดอนเมืองดูได้

    เจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ วัดสระเกศ ถามว่า “เอ๊ะ! หลวงพ่อวัดอัมพวันเป็นอะไร”

    “เกล้ากระผมไม่สบายมาก ปวดรวดร้าวไปหมดแล้ว
    ณ บัดนี้ ไฟกำลังไหม้ ณ บัดนี้ ไฟกำลังไหม้ ไหม้หมดเลย”
    เลยบอกหลวงพ่อวัดดอนเมืองต่อว่า

    “หลวงพ่อวัดดอนเมืองครับ ผมเป็นลมไปเสียแล้วครับ
    เดี๋ยวขอผมนั่งกรรมฐาน” ก็นั่งเจริญภาวนามาเรื่อย ๆ

    พอรุ่งเช้า อาตมาก็ไปขอโทรศัพท์ทางไกล
    เงียบ! ทั้งสองร้านเลย นึกแล้วไฟไหม้หมดแล้ว ไม่มีเหลือแล้วนะ ช่วยไม่ได้
    พร้อมด้วยดาบของเราด้วย ไฟไหม้หมดเลย!

    พอกลับมาถึงดอนเมือง ลงจากเครื่องบินแล้ว
    หลวงพ่อวัดดอนเมืองมาบอกว่า “ขอนิมนต์ฉันเพล วัดดอนเมืองเขามาต้อนรับ”

    อาตมาไม่ยอม รีบขึ้นรถเลย เขานึกว่าเราไม่รู้ รีบขึ้นรถบึ่งถึงวัด
    พวกที่ไปรับก็อดข้าวกัน ถ้าหากว่าไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้
    เราก็ต้องเลี้ยงพวกนั้นแน่ เราก็ไม่สบายใจกลับจากเมืองจีนในวันนั้น

    พออาตมากลับมาแล้วก็ไม่ต้องฉัน ไม่ได้ฉันข้าว
    เพราะเครื่องบินขึ้นจากฮ่องกง ตัดตรงมาทางจังหวัดอุบลราชธานี
    ผ่านเมืองญวนมาตามลำดับ พอผ่านอุบลสักประเดี๋ยวลงดอนเมืองแล้ว
    ก็เหลืออีกยี่สิบนาทีจะเพล เราก็รีบบึ่งเข้าวัดอัมพวัน
    เลยพวกนั้นอดข้าวอดปลาไปตาม ๆ กัน

    ก็ได้ความว่า ดาบไหม้ไฟแล้ว เหลือแต่ดาบไม่มีด้าม
    อาตมาก็ขออธิษฐานว่า เราจะเอาดาบนี้มาแผ่ส่วนกุศลที่เราไปฆ่าเขา
    เพื่อตัวเราจะได้รอดตาย มีชีวิตอยู่ในปีนั้น

    ตรงกับนิมิตเครื่องหมายที่เขาเอาเครื่องทรงมาให้เราสึก
    บอกไปเถอะถ้าไม่ไปนะ ต้องไปเอาดาบมาแก้กรรมเสีย
    ต้องถวายสังฆทานให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วท่านจงแผ่เมตตาให้มาก
    ทำบุญให้เยอะ ท่านก็จะอยู่ต่อไปอีกหน่อย แต่ก็ไม่ทราบว่าจะอยู่ไปได้แค่ไหน

    อาตมาขออธิษฐาน ดาบไม่มีด้ามแล้ว
    ข้าพเจ้าไปฆ่ารันฟันแทงเขามา ก็จะขอทำดาบนี้ให้ดีตามเดิม
    มีวิญญาณอยู่ในมีดนี้หลาย ๆ อย่างบอกได้ นี่เล่าเฉพาะนักปฏิบัติธรรมนะ

    อีกเจ็ดวันข้างหน้า อาตมาอธิษฐาน
    ผู้ใดหนอ ที่จะเป็นช่างทำด้ามดาบนี้ให้ดีได้ตามเดิมได้ ขอให้มาพบภายในเจ็ดวันนี้

    ในวันที่ครบเจ็ดวัน อาตมารออยู่ที่วัด
    พอดีดลบันดาลให้ คุณจินตนา กับ คุณกวี
    ที่เราเคยไปพักบ้านเขาที่เชียงใหม่ เกิดมาที่วัดพอดีในวันนั้น

    อาตมาก็ไปเอาดาบมาเลย คิดว่ายายคนนี้ต้องทำมีดให้เราได้แน่
    ก็บอกว่า “โยมจินตนา ขอให้ช่วยเหลือสักอย่าง”

    แต่ที่เรานิมิตนะ เราไม่ได้บอกนะ เขาถามว่า

    “ช่วยยังไงล่ะ เจ้าคะ” ก็บอกว่า

    “ช่วยเอาดาบไปทำฝักให้ที ไปทำด้ามด้วย”

    “ขอดูดาบหน่อยเจ้าค่ะ” เลยก็เอาดาบมาให้ดู ห่อกระดาษมา

    “ดิฉันรับรอง แต่จะทำยังไง ดิฉันไม่ทราบนะ”

    แล้วคุณจินตนาก็นำเอาดาบเหล็กนี้ไป ไปปรึกษาคุณกวี
    ผู้จัดการธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ สาขาสันป่าข่อย
    เป็นลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณศรีธรรมนิเทศ
    คุณกวีก็บอกว่า “เราก็ต้องไปสอบถามดู รับปากท่านมาแล้วนี่”

    เลยคุณจินตนาก็นิมิตขึ้นว่าต้องไปที่ฝาง
    ก็เอาดาบไปที่ฝาง มีคนหนึ่งเคยทำดาบ อายุ ๗๐ ปีแล้ว
    นั่งสมาธิเก่ง คุณจินตนาก็อธิษฐาน
    เจ้าพ่อคุณเอ๋ย ขอให้ทำได้เหมือนเล่มเดิม แล้วก็เอาดาบไปให้

    ตาคนนี้บอก เลิกทำมานานแล้ว แก่แล้ว ไม่ยอมทำ
    แต่แล้วสักพักใหญ่คุยกันไปคุยกันมา ช่างคนนี้บอกยินดีรับทำให้

    คุณจินตนาก็ถามว่าจะทำรูปไหน นายช่างนั้นบอก แล้วแต่อธิษฐาน
    บอกว่าดาบนี่ไม่ใช่เหล็กธรรมดา เป็นเหล็กน้ำพี้
    เลยก็รับทำ ใช้เวลา ๓ เดือน มีเครื่องมือเพียง ค้อน สิ่ว และเหล็กหมาด
    ก็ทำออกมาในรูปนี้ เหมือนอย่างเดิม

    พอได้ดาบเหมือนอย่างเดิมแล้ว คุณจินตนาก็ดีใจ
    ก็รับมาในวันนั้นไม่พักบ้าน เอาไปถวายให้ท่านเจ้าคุณศรีธรรมนิเทศน์ดู

    ท่านเจ้าคุณศรีธรรมนิเทศน์ก็มีอยู่ ๒ เล่ม ก็นำมาให้คุณจินตนาดู
    บอกว่า นี่ดาบของพลทหารรุ่นเดียวกันนี่
    ท่านได้เตรียมหอก เตรียมดาบไว้สำหรับให้นักศึกษาดู ว่าเป็นรุ่นนั้น รุ่นนี้

    แล้วท่านก็บอกว่า จินตนาเอ๋ย ไหน ๆ ทำให้ท่านแล้ว เอากลับไปทำใหม่
    ลงรักปิดทอง เพราะดาบรุ่นนี้เขาเป็นทอง

    เป็นดาบที่ใช้รบบนหลังม้า นี่ปลายตัด แล้วก็มีบิ่นนิด ๆ ไม่ต้องลับ
    การฟันบนหลังม้า ไม่ได้ฟันลงอย่างนี้นะ เขาใช้ฟันตวัดขึ้นนะคอขาดเลย

    เลยได้ความว่าท่านเจ้าคุณศรีธรรมนิเทศน์ให้ไปลงรักปิดทอง
    แล้วท่านยังเอาดาบของพลทหารให้ดู แล้วท่านยังได้อธิบายต่อไปว่า

    ดาบนี่ปลายโดนตัด โดยที่ตอนนั้นไทยเราแพ้พม่า
    พม่าจับเอาดาบของแม่ทัพตัดหัวหมด
    ข้อเท็จจริงยาวอีกคืบหนึ่ง โดนตัดหมดทั้งนั้น

    นี่เล่าเหตุการณ์กฎแห่งกรรม ก็ไม่น่าเชื่อนะ
    ช่างที่ฝางก็แก่แล้ว บอกเลิกทำแล้ว อายุตั้งเจ็ดสิบกว่าแล้ว
    ก็รับทำให้แล้วก่อนที่จะทำ เขาเข้าครูเชิญครูอธิษฐาน
    ขอให้ทำได้เหมือนเล่มเดิมที่ไหม้ไฟไป

    และเจ้าคุณศรีธรรมนิเทศน์บอกให้ลงรักปิดทอง
    เพราะดาบนี้มีด้ามและฝักเป็นทอง แต่ตอนที่ได้มาไม่ได้ปิดทอง เป็นฝักไม้
    แต่ตรงปลายด้ามเป็นเงิน มีตรา ทำใหม่ก็มีตราอย่างเดียวกัน
    ดูซิช่างไม่น่าจะรู้ว่าต้องทำอย่างนี้ เพราะไหม้ไฟไปแล้ว ก็แปลกดีนะ

    อย่างแม่ชุมศรีที่ว่าพระมาถึงบ้านเขา เวลา ๑๐.๓๐ น. ในวันที่ ๕ กุมภาพันธ์
    จะต้องเป็นลูกของเขาที่ตกน้ำตายสมัยสงครามกรุงศรีอยุธยา
    นี่เล่าเฉพาะนักปฏิบัตินะ เดี๋ยวจะว่าเป็นบ้าบอไป

    ความจริงอาตมามีนิมิตกรรมฐานว่า เราก็รู้มาก่อนที่จะไปบ้านแม่ชุมศรี
    ในนิมิตก็บอกว่า ไปรบทัพจับศึกกัน ยังรู้สึกว่าจำได้ว่ามันฟันอะไร
    เพราะไอ้พม่ารามัญมันเตรียมจากธนบุรีตามลำน้ำ
    มันก็ขึ้นมาหมดแล้ว ไม่มีเหลือแล้ว

    และเราจำเป็นต้องไปรบทัพจับศึก ก็ไปรบกับพม่า
    ใช้เรือ รบที่บางไทร ฆ่าฟันพม่ามากมาย

    เลยพอดีโดนกลศึกวิธีคนไทยด้วยกัน ถีบเราหลุดตกน้ำไปถึงแก่ความตาย
    แล้วดาบนั้นพวกนี้ก็เอาไป แล้วก็ซัดเซพเนจรไปเรื่อย ๆ
    กระทั่งไปอยู่ถึงเชียงใหม่ แล้วก็ล่องกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาตามเดิม

    แล้วเราก็นิมิตว่าเราตกน้ำตาย นี่ถ้าอาตมาไม่ได้ดาบ อาตมาตายไปแล้ว
    ตอบแทนบุญคุณมารดาในอดีต

    ทางบ้านแม่ชุมศรี อาตมาต้องไปมาหาสู่ ไปทำบ้านให้เขาอีก
    ใช้หนี้เขาอีกนะ เขาไม่มีครอบครัว พ่อเขาเกิดมาตาย บ้านใหญ่ยังกับวัด

    เลยบอกว่าแม่ชุมศรีเอ๋ย เราอยู่คนเดียวแล้วโรงสีก็ลำบากลำบน
    ย่นบ้านให้เล็กเสียเถอะ

    ก็เลยไปทำบ้านให้ บ้านใหญ่ ๆ
    สี่ห้าหลังทรงไทย ก็เอามาทำเป็นหลังเดียวสองชั้น

    อาตมาก็ต้องเป็นหนี้เขา ไปทำประตู หน้าต่างให้เสร็จ
    เช้าไปเย็นกลับ มันฝังใจอย่างไรไม่ทราบ แล้วพวกวัดนี้ก็หาว่าไปติดพันสาว ๆ

    เขาก็เอาข้าวสารมาให้ทีละห้ากระสอบ สิบกระสอบ
    มะพร้าวก็ของเขาทั้งนั้นนี่นะ เอามาจากบ้านเขา มาปลูกที่นี่
    และเขาก็สำนึกว่าเราเป็นลูกเขาตลอดมา

    แล้วพวกญาติโยมวัดอัมพวันก็สำนึกว่า ท่านจะต้องสึกแน่ จะต้องไปเป็นเถ้าแก่โรงสี
    และแม่ชุมศรีนี่สวยผมยาว แล้วเขาก็เอาของมาถวายบ่อย ๆ

    หนักเข้าก็มีกรณีเรื่องโรงสี เรื่องที่ดิน อาตมาก็บอกแม่ชุมศรีว่า
    จะต้องมีกรรมตอนแก่ซะแล้วละนะ จะเชื่ออาตมาก็ได้ แต่คงจะไม่เชื่อแล้ว
    เพราะมันเป็นกฎแห่งกรรม เวลาคนใหญ่ ๆ โต ๆ มาขอก็ไม่แต่งงาน
    ทำอย่างไรก็ไม่แต่ง แต่แล้วจะต้องได้พ่อม่ายแน่

    เลยพอดีกรณีก็เกิดขึ้นอย่างกับอาตมาว่า ไปที่หอทะเบียนที่ดินบ่อย ๆ เข้า
    ติดต่อกับหัวหน้าทะเบียน มีเมียแล้ว ลูกก็มี ลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นคนภาคใต้
    ภรรยาเขาตายหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ติดต่อกันมาความสนิทสนมก็เกิดขึ้น
    เรื่องที่ดินบ้าง เรื่องโรงสีบ้าง เรื่องเงินบ้าง ติดต่อไปติดต่อมา
    เลยก็นิมนต์อาตมาบอกว่า “ท่าน ฉันจะต้องแต่งงานเสียแล้ว”

    อาตมาบอก “ตามใจโยมเถอะ ว่าจะต้องเป็นกรรมต่อไป ไม่ทราบก็รับทราบ”
    นี่ทำบ้านให้แล้วนะ ใช้หนี้แล้วนะ ดูซิรู้จักกันที่ไหน ก็ต้องไปทำบ้านช่วยดูแลให้
    ทำห้องพระห้องอะไรต่าง ๆ ให้เรียบร้อย

    ในที่สุดแม่ชุมศรีก็แต่งงานกับนายทะเบียนนี้
    จะต้องลำบากตรากตรำต่อไป เพราะเป็นกฎแห่งกรรม

    เดี๋ยวนี้อาตมาไม่ได้ไปเยี่ยมนานแล้ว นาน ๆ ก็เอาข้าวสารมาให้ เอาโน่นเอานี่มาให้บ้าง
    คล้าย ๆ ว่ามันมีความสัมพันธ์กันอย่างนั้น มีอะไรเขาก็เอามาให้เรื่อย ๆ อย่างนี้

    บางที่เราบอกห่วงสองคนนี่นะ กลับหาว่า ติดพัน แล้วชอบแต่สาว ๆ ฉันมันแก่แล้วไม่ห่วง
    เกิดไฟไหม้บ้านหมดเลย เข้าถึงได้รู้ว่าท่านห่วงอย่างนี้

    เวลาเราขึ้นเครื่องบินก็มองแล้วมองอีกนะ
    เวลาก่อนที่จะเข้าไปในห้องพิเศษที่เขาจะส่งเราไปต่างประเทศนี้
    ก็ห่วงคอยสั่งแล้วสั่งอีก ก็ยังอดไฟไหม้ไม่ได้อย่างนี้
    คำถามท้ายเรื่อง

    พ.อ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน - ทำไมหลวงพ่อถึงได้ทราบว่าดาบอยู่ที่ร้านใด หรือนิมิตบอก

    พระภาวนาวิสุทธิคุณ - นิมิตบอกว่าอยู่ที่อยุธยา

    ท - ทำไมถึงเลือกร้านได้

    พ - อาตมาก็ถามที่วิทยาลัยครู พวกอาจารย์เขาบอกร้านนี้

    ท - อ้อ! พวกนี้เขาเคยเห็นดาบมาก่อนแล้ว

    พ - ใช่ เขาเคยเห็นมาก่อน และอาตมาขอตรวจดูก่อน มีบิ่นนิดหรือเปล่า
    พวกอาจารย์เขาก็ไม่รู้ว่า อาตมาเอาสตางค์ไปเท่าไร
    พวกวัดเราบอกว่าหลวงพ่อนี่ถ้าจะลมไม่ดี ซื้อดาบไปทำไมตั้งห้าพัน
    แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเราเอาสตางค์ไปห้าพัน เกินก็ไม่เอา ขาดก็ไม่เอา

    เมื่อก่อนเขาจะเอาเจ็ดพัน แต่พอให้อาจารย์เข้าไปถามว่ามีบิ่นหน่อยใช่ไหม
    ปลายตัดหรือเปล่า และมาจากเชียงใหม่ใช่หรือไม่ ตกลงเอาเท่าทุน
    พระซื้อไม่เอากำไร ถ้าจะเอาสี่พัน เราก็ไม่ยอม ต้องให้ห้าพัน
    ถ้าไม่ได้มีดดาบมา อาตมาก็ต้องตาย

    ท - ได้ดาบมาแล้วมีอะไรเกิดขึ้นกับหลวงพ่อหรือเปล่า

    พ - ได้มาวันแรกต้องทรมานคืนยันรุ่งเลย
    คืนนั้นไม่ต้องนอน ปวดรวดร้าวทั่วสกนธ์กาย
    สมประสงค์ก็วิ่งไปหาหมอ หมอสมหมายก็มา
    หมอประกอบ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล มาควบคุมกินยาก็ไม่หาย

    เขากระซิบกันข้างล่าง อาตมาได้ยินหมอพูดกับสมประสงค์
    “หนู หลวงพ่อไม่มีทางแล้ว ตายแน่ ๆ” อาตมาก็ได้สติขึ้นมา เอ๊! ยังไง?

    รุ่งเช้าบอกสมประสงค์ “ไปตามอุ่นเรือนมาพบหน่อย”
    พวกลพบุรีรู้เรื่องเข้า ก็มาเยี่ยมกันใหญ่
    ลุกไม่ไหวเลยละ เหมือนโดนฟันตลอดเวลา

    เลยบอกอุ่นเรือนว่า แม่คุณเอ๋ย ฝากดาบไว้ชั่วคราวเถอะ
    พอเอาดาบไปแล้ว ไม่เกิน ๑ ชั่วโมง อาตมาลุกได้เลย
    ก็ลุกทันที นั่งกรรมฐาน แผ่ส่วนกุศล

    อาตมาก็ไปถวายสังฆทานหลายครั้ง
    ช่างปุ่นบอกว่า หลวงพ่อทำบุญมากจังเลยปีนี้ และทอดผ้าป่าใหญ่อุทิศส่วนกุศล

    อย่าลืมนะท่านทั้งหลาย พวกที่เราไปทำเขามาร้องหวีดหวาด
    และอาตมาก็ปวดเมื่อยทั่วสกนธ์กาย ไม่ใช่ว่าเราไม่มีกรรมนะ และแขนยกไม่ไหวเลย

    ที่ปวดนั้น อาตมามีกรรมฐานอยู่ ถึงได้สู้ได้
    กำหนดได้ พอเอาดาบให้เขาไปเก็บ พวกเราเอาอีกแล้ว

    “ฝากฉันก็ไม่ฝาก ไปฝากพวกบ้านนั้นอีกแล้ว” อคติอีกแล้ว
    พอไฟไหม้แล้วถึงได้รู้ เลยต้องอุทิศส่วนกุศลทอดผ้าป่า

    บางครั้งเราทำกรรมนี่มาเราก็ต้องใช้เวรใช้กรรม
    อุทิศส่วนกุศลไปอย่างนี้ ดูนี่ซิทำไมต้องทำปลอกอย่างนี้

    นิมิตบอกคนที่มาในวันที่นั้น ทำได้
    จินตนาก็มาพอดี เมื่อสองวันนี้ก็มาเอาโน่นมาให้ เอานี่มาให้
    ไม่รู้ว่าสัมพันธ์กันอย่างไร

    ตอนที่อาตมาไปเชียงใหม่ จะไปค้างวัดผาลาด
    แล้วเลยไปฉันเพลวังน้ำค้าง แต่ก็ไปวัดผาลาดไม่ได้
    ก็ต้องค้างที่บ้านจินตนา ๒ คืน ตอนนั้นแขนเขายกไม่ได้
    เลยเอาน้ำร้อนลวกรักษาให้ เลยยกได้แล้ว
    มันมีกรรมติดหนี้กัน มันเป็นหนี้กรรมกันนะ

    เมื่อกลับจากได้ดาบมา พวกญาติโยมว่าอาตมาเป็นกะพ้อมเลย
    “หลวงพ่อนี่ ถ้าจะลมไม่ดีมั้ง มีหรือดาบราคาห้าพันบาท
    มีแต่ราคาร้อยบาท แปดสิบบาท ไปซื้อมาได้”

    เขาก็หาว่าเราเป็นคนลมเสีย อาตมาก็ยอมรับนะ ก็มันเกิดกับขาด

    ขอสรุปว่า กรรมอดีตที่ผ่านแล้วแก้ไม่ได้
    กฎแห่งกรรมที่ทำชั่วไว้แก้ไม่ได้ วิธีแก้คือปัจจุบัน
    ทำมันขึ้นใหม่ บ้านหลังนี้พังไปแล้ว เป็นทรงไทยเสาก็ขาด หลังคาก็รั่ว
    วิธีปฏิบัติทำอย่างไร เราจะให้มันดีก็ต้องทำใหม่
    หลังเก่าก็แล้วกันไป ต้องรื้อแล้วทำใหม่ เขาเรียกปัจจุบัน



    บันทึกประกอบเรื่องหนี้กรรมข้ามชาติ

    เรื่องที่ ๑

    เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๔ คณะผู้จัดทำได้ไปที่ร้านอาหารสยาม
    ตรงข้ามวัดมหาธาตุ อยุธยา ขอพบเจ้าของ

    ร้านคนที่ขายมีดดาบให้หลวงพ่อ ได้คุยกันถึงเรื่องที่หลวงพ่อมาซื้อดาบ
    และได้ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน เจ้าของร้านชื่อคุณมะลิ เมฆะภูติ ได้เล่าให้ฟังดังนี้

    เมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว ได้เปิดร้านค้าวัตถุโบราณอยู่ที่ถนนคูเมือง จังหวัดเชียงใหม่
    มีคนเก็บผักสะพายดาบมาขายให้ บอกว่าเป็นของปู่ย่าตายายเก็บได้นานแล้ว
    ดาบนี้เป็นของนักรบโบราณ เป็นเหล็กน้ำพี้ เขาก็ซื้อสะสมเอาไว้

    ต่อมาเขาย้ายจากเชียงใหม่ มาเปิดร้านขายอาหารชื่อ “สยาม” อยู่ตรงข้ามวัดมหาธาตุ
    จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็นำดาบเล่มนี้มาใส่ตู้โชว์ไว้เฉย ๆ

    มีคนนำดาบอีกเล่มหนึ่ง ด้ามเป็นเงินมาขายให้ ก็นำมาตั้งแสดงไว้คู่กัน
    ต่อมาอาจารย์อาคม วรจินดา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒมหาสารคามมาขอซื้อไป

    เล่มที่มาจากเชียงใหม่ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน มาซื้อไป เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๔

    เรื่องที่ ๒

    เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๓๔ คณะผู้จัดทำได้ไปขอพบคุณชุมศรี ศรีเรือง
    ที่บ้านเลขที่ ๓๘ หมู่ที่ ๗ ตำบลบางรัก อำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง
    เพื่อถามเรื่องราวต่าง ๆ ตามที่หลวงพ่อได้เล่าไว้
    คุณชุมศรีได้กรุณาเล่าประวัติส่วนตัวให้ฟังดังนี้

    คุณชุมศรี ศรีเรือง เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ ปัจจุบันอายุ ๕๖ ปี
    บิดาชื่อนายผล ศรีเรือง มารดาชื่อนางแช่ม ศรีเรือง เสียชีวิตแล้วทั้งสองคน
    มารดาเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว อายุได้ ๙๓ ปี
    พี่น้องไปอยู่กรุงเทพฯหมด เลยอยู่ที่บ้านนี้เพียงคนเดียว

    กิจวัตรประจำวันคือ ดูแลบริเวณบ้าน ซึ่งกว้างขวางพอสมควร
    ประมาณ ๓ ไร่ มีสวนมะพร้าว และปลูกต้นมะลิไว้เป็นแถว ๆ
    ด้านหลังบ้านติดถนน หน้าบ้านมีสะพานยาวทอดไปฝั่งแม่น้ำน้อย
    ซึ่งไหลมาจากเมืองสิงห์บุรี ที่หลวงพ่อเคยนั่งเรือมาจอดที่แพท่า

    ตัวบ้านเป็นทรงไทยสองชั้น ลักษณะเป็นบ้านโบราณ ภายในบ้านกว้างขวาง
    ต้องทำความสะอาดเองทั้งสองชั้น พอขึ้นไปชั้นบนได้กลิ่นดอกมะลิหอมฟุ้ง
    ซึ่งคุณชุมศรีได้เก็บจากต้นมาร้อยมาลัยบูชาพระบรมฉายาลักษณ์พระพุทธเจ้าหลวง
    ซึ่งได้รับจากหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน

    กิจวัตรประจำวันอีกส่วนหนึ่งก็คือ ตักบาตรทุกเช้า สวดมนต์ เจริญกุศลภาวนา
    ได้ไปรับกรรมฐานกับหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว
    และตั้งใจว่าจะปฏิบัติติดต่อกันจนครบ ๓ ปี จนบัดนี้ยังไม่เคยขาดเลย

    ก่อนที่จะมาเรียนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อ
    จิตมีสมาธิอยู่ก่อนแล้ว เมื่อจิตสงบมักรู้เห็นอดีตชาติอยู่เสมอ
    ทั้งสมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา

    เรื่องที่หลวงพ่อเล่านั้น เป็นความจริงทุกประการ ได้จดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
    มีคุณแม่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เชื่อ ส่วนคุณพ่อและพี่น้องไม่เชื่อเลย
    และว่ากล่าวต่าง ๆ นานาทุกวัน จึงได้เผาบันทึกนั้นทิ้งไป
    เมื่อพบกับหลวงพ่อครั้งแรกนั้น อายุประมาณ ๒๙ ปี

    มีอยู่วันหนึ่งหลังจากที่พบกับหลวงพ่อแล้ว ตอนนั้นคุณแม่อายุได้ ๗๕ ปี ได้ล้มป่วยลง
    อาการทรุดอย่างน่าใจหาย ได้นำไปรักษาที่กรุงเทพฯ จิตก็กังวลว่ากลัวคุณแม่จะไม่หาย

    พอกลางคืนก็ฝันไปว่า มีเด็กไว้ผมจุกชวนไปเที่ยวบ้าน
    รู้สึกว่าเด็กนั้นมีอำนาจจนต้องไปกับเขา ขึ้นรถไฟไปมีแต่ป่าสองข้างทาง
    ลงรถไฟแล้วลงเรือสำปั้น เด็กเป็นคนพายไปเอง
    พอถึงกลางแม่น้ำ เด็กคนนั้นพยายามล่มเรือ จึงได้ขืนไว้
    และต่อว่า ทำไมทำเช่นนั้น เขาก็บอกว่าล้อเล่น และพายเรือต่อไป

    เมื่อถึงฝั่งตรงข้าม เขาก็พาเดินไปเป็นทางแคบ ๆ
    จนกระทั่งถึงบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านโบราณ
    ได้ขึ้นไปบนบ้านพบพระพุทธรูปมากมาย ทั้งองค์เล็กองค์ใหญ่เต็มบ้านไปหมด ทุกองค์มีปูนหุ้มไว้

    เด็กคนนั้นก็มาจับมือเขย่า แล้วถามว่าจำได้ไหมว่าที่ไหน ก็ตอบไปว่าจำไม่ได้
    เขาก็เขย่ามืออีก แล้วถามว่าจำได้หรือยัง
    เด็กจับมือเขย่าเสียจนรู้สึกว่าจำได้ว่า เป็นบ้านของเราเอง
    แต่ได้จากไปเสียนาน ปล่อยให้มันรกรุงรัง

    เขาก็บอกว่า พระพุทธรูปทั้งหมดนี้เป็นของเราที่สร้างขึ้น
    พอสร้างเสร็จแล้วมีงานทำบุญฉลอง หลังจากฉลองได้ ๓ วัน
    ลูกชายคนเล็กก็ตาย และเรื่องของคุณแม่นั้นไม่ต้องกังวล ลูกชายคนเล็กนี้จะมาช่วย

    ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าเป็นห่วงบ้านที่บางรัก
    ใจอยากจะรีบกลับไปคอยลูกชายคนเล็ก เกรงว่าถ้ามาหาแล้วจะไม่พบ
    แต่อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงบ้านที่มีพระพุทธรูป
    จึงไปขอธูปบ้านที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อจุดบอกเจ้าที่เจ้าทางให้ช่วยเฝ้าบ้านให้ด้วย
    เขาก็บอกว่าไม่ต้องจุดธูปหรอง ก็เฝ้าให้แล้ว แต่เขาก็เอาธูปให้

    พอบอกเล่าเสร็จก็รู้สึกตัวตื่น แปลกใจมากเพราะไม่เคยคิดเรื่องอย่างนี้เลย
    ฝันเป็นตุเป็นตะไปได้ แต่คอยดูว่าจะมีใครมาหา
    ซึ่งตามความฝันบอกว่าเคยเป็นลูกคนเล็กจะมาช่วย

    ปรากฎว่าหลวงพ่อวัดอัมพวันไปเยี่ยมพอดี และได้ทราบอาการป่วยของคุณแม่
    ท่านจึงแนะนำให้ทำพิธีสวดธรรมจักร นิมนต์พระวัดใดสวดก็ได้
    ให้คุณแม่ปั้นเทียนชัยเอง อธิษฐานจิตเองว่า
    จะอยู่ถึงอายุเท่าไร แล้วใส่ไส้เทียนให้ครบตามอายุนั้น

    คุณแม่ก็ปั้นเทียน ตอนนั้นคุณแม่อายุ ๗๕ ปี ก็คิดว่าจะอยู่แค่ ๘๐ ปี
    ก็ช่วยคุณแม่ปั้น นับไส้ได้พอดี ๘๐ เส้น
    แต่พอปั้นเสร็จแล้ว มานับไส้เทียนใหม่ ปรากฏว่าได้ ๙๓ เส้น
    และคุณแม่ก็มีอายุถึง ๙๓ ปี เพิ่งเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ นี่เอง

    ความรู้สึกส่วนตัวก็รู้ว่า มีความปลื้มใจที่หลวงพ่อ
    ได้มาบวชสร้างความดีอยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนา
    และมีความห่วงใยอยู่ลึก ๆ อย่างเช่น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ หลวงพ่อถูกรถชนคอหัก
    อยู่ที่บ้านก็รู้สึกกระวนกระวายใจ จนต้องขอแรงคนรู้จักกันช่วยขับรถไปเยี่ยมหลวงพ่อที่วัด

    พอมาถึงวัด เงียบผิดปกติก็นึกเอะใจ ลูกศิษย์หลวงพ่อบอกว่า
    หลวงพ่อถูกรถชนอยู่โรงพยาบาล และยังเล่าให้ฟังอีกว่า
    หลวงพ่อพูดถึงอยู่เมื่อวานนี้ และท่านยังพูดเปรย ๆ ขึ้นอีกว่า
    “เราถูกรถชนจนป่วยหนักถึงขนาดนี้ แม่ชุมศรีก็คงไม่รู้”

    ปัจจุบันนี้ได้รับสัจจะกับหลวงพ่อว่า จะปฏิบัติธรรมติดต่อกัน ๓ ปี
    หลังจากรับกรรมฐานแล้วอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัด ๗ วัน แล้วกลับมาปฏิบัติต่อที่บ้าน
    เพราะที่บ้านสะดวก เงียบ ไม่มีสิ่งรบกวนใด ๆ จิตเป็นกุศลมาก

    ขณะนี้ปฏิบัติได้ติดต่อกันมา ๒ ปีกว่าแล้ว มีประสบการณ์แปลก ๆ หลายอย่าง แต่จะไม่ขอเล่า
    เพราะหลวงพ่อไม่ให้ยึดติดสิ่งใด ๆ
    กำหนดรู้แต่สภาวะปัจจุบันที่ปรากฏขึ้นเท่านั้น ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน
    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารพอที่จะยึดถือได้

    จะตั้งใจปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกรวดน้ำ แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล
    และขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรทุกวันตลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่


    คัดลอกจาก...กฎแห่งกรรม - ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๕
    <!-- m -->
    http://jarun.org
     
  11. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาค่าคุณธรรมสถิตกับธรรมะดีของครูบาอาจารย์ที่นำมาให้เราได้อ่านกันเสมอๆ พรุ่งนี้เก๋ส่งลูกแก้วให้นะค่ะใส่ถุงไว้เรียบร้อยแล้วรอส่งอย่างเดียว

    แต่จริงอย่างหลวงปู่ว่านะค่ะ จำได้ว่าหลวงพ่อเคยบอกว่าก่อนตาย มันจะเห็นเป็นเหมือนสีทองหมดเลย สวยงาม เหมือนหลอกล่อเราไปนะค่ะ ถ้าเราเห็นนกสีทองสวยงามแล้วตามนกไปก็จะไปเกิดเป็นนก ตามอะไรไปก็จะไปเกิดเป็นอันนั้น นี่แหละค่ะจิตไปติดอยู่ นี่แหละค่ะเหตุผลที่ว่าทำไม เราจึงต้องฝึกจิต พลิกนิดเดียวลงไปอยู่ภพภูมิที่ต่ำกว่าทันที เรียกว่าวินาทีที่จะตายนี่ตัดสินชะตาชีวิตเราเลยว่าจะไปเกิดในภพภูมิที่สูงหรือต่ำ ตอนนั้นจิตมันอ่อนควบคุมลำบากค่ะ

    [​IMG]
     
  12. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    ธรรมะจากครูบาอาจารย์วัดป่า

    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เก๋ณัฐา [​IMG]

    แต่จริงอย่างหลวงปู่ว่านะค่ะ จำได้ว่าหลวงพ่อเคยบอกว่าก่อนตาย มันจะเห็นเป็นเหมือนสีทองหมดเลย
    สวยงาม เหมือนหลอกล่อเราไปนะค่ะ ถ้าเราเห็นนกสีทองสวยงามแล้วตามนกไปก็จะไปเกิดเป็นนก
    ตามอะไรไปก็จะไปเกิดเป็นอันนั้น นี่แหละค่ะจิตไปติดอยู่

    นี่แหละค่ะเหตุผลที่ว่าทำไม เราจึงต้องฝึกจิต


    อนุโมทนาสาธุครับ

    ผมขอขยายความให้ทราบต่อเนื่องกันสำหรับเรื่องที่คุณเก๋บอกข้างต้น

    พระอาจารย์ท่านได้กรุณาเล่าเป็นธรรมทานให้ผมฟัง พอจับความได้ ดังนี้ครับ

    [​IMG]


    เรื่องนี้เป็นเรื่องของท่าน ก่อนมาอยู่ที่วัดป่าโนนจ่าหอม


    มีอยู่คราวหนึ่งที่ท่านพบว่า มีอาการเหมือนลมหายใจจะหยุดอยู่บ่อย ๆ
    แต่ท่านก็ยังไม่ยอมรับว่า ท่านจะต้องตาย ก็เกิดอาการทุกขเวทนาแบบนี้อยู่หลายวัน
    จนกระทั่งคืนหนึ่งท่านตัดสินใจว่า ตายเป็นตาย และได้เข้าจำวัดในกุฎิของท่าน

    และเมื่อเกิดทุกขเวทนาจนกระทั่งพระอาจารย์ท่านพบว่า จิตได้หลุดลอยออกไปจากร่าง

    ท่านได้ลอยไปพบเขียงนา (ท้องนา) พบสัตว์ต่าง ๆ เช่น ไก่ วัว และอื่น ๆ
    แต่แปลกที่ทุกอย่างที่พบ แม้กระทั่งสัตว์ทุกตัวล้วนเป็นสีทองอร่ามไปหมด ดูงดงามละลานตา

    พลันก็มีสิ่งหนึ่งที่ท่านระลึกได้ คือ
    ท่านบอกตัวเองว่า ท่านเกิดมาเพื่ออะไร
    ท่านเกิดมาเพื่อหาทางพ้นทุกข์ หาทางพ้นจากการพรากจากของรักของชอบใจ

    ท่านจึงทราบว่า สิ่งที่ท่านเห็นนั้น เป็นสิ่งที่มาล่อลวงให้ท่านยึดติด

    ดังนั้น หากท่านพอใจในสัตว์ที่เป็นสีทองนั้น หากท่านตายในครั้งนี้
    ท่านก็จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง ท่านจึงไม่ยึดติดในสิ่งเหล่านั้น

    ดังนั้น คนเราตายแล้ว จะไปเกิดในภพภูมิใด จึงสำคัญที่ จิต ก่อนตาย

    หากจิตจับที่ความดี ก็จะไปภพภูมิที่ดี

    ตัวอย่างเช่น ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    ได้กล่าวไว้ว่า ตอนที่ท่านจะสิ้นพระชนม์ ท่านตรัสว่า สว่างแล้ว สว่างมากขึ้นแล้ว
    (ท่านก็ได้ไปอยู่ที่พระนิพพานวิมานแก้วแล้ว)

    หรือ กรณีของพระภิกษุที่ท่านทำตระไครน้ำหลุด เป็นอาบัติ
    แต่ท่านอยู่เพียงองค์เดียว จึงไม่มีโอกาสแสดงอาบัติเพื่อระงับโทษนี้กับพระรูปอื่น
    ก่อนตายจึงยังคาใจในเรื่องนี้เพียงนิดเดียว
    ศีล บารมีที่ท่านบำเพ็ญมาก็ไม่สามารถส่งผลให้ท่านให้ไปเกิดในภพภูมิ
    มนุษย์ เทวดา หรือ พรหม แต่ต้องไปเกิดเป็นพญานาค

    หรือ กรณีพระที่หลวงปูดู่เล่าไว้ ที่ท่านยึดติดกับอ้อย
    ก่อนสิ้นใจตาย เมื่อตายแล้วจึงไปเกิดเป็นตัวเลนอยู่กับอ้อย

    หรือ อีกกรณีหนึ่ง มีพี่ที่ผมรู้จัก ได้เล่าให้ฟังว่า
    มีคนหนึ่งที่อยุธยาชอบโกงที่ทางของคนอื่นมาเป็นของตนเอง
    ก่อนตาย แกร้องว่า มีดินมาทับตัวแก หนักมาก หนักมาก ๆ คงไม่ต้องบอกว่า แกตายแล้ว ไปที่ใด เป็นต้น

    ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีจิตศรัทธาในงานบุญของวัดป่าโนนจ่าหอมครับ
    ==================================================

    ทางวัดยังต้องการปัจจัยอีกมาก สำหรับมุงกระเบื้อง ก่ออิฐพระวิหาร
    จึงขอความกรุณาจากท่านผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน
    ร่วมกันบริจาคทรัพย์ตามกำลัง หรือ กรุณาบอกบุญต่อ
    เพื่อสร้างพระวิหารของวัดป่าโนนจ่าหอมให้สำเร็จด้วยครับ
    ขออนุโมทนาบุญล่วงหน้ากับทุกท่านครับ สาธุ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  13. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    นำภาพเก่ามาให้ชมกันค่ะพิธีลงเสาพระวิหาร 8 มีนา 2009

    แหมเห็นภาพแล้วคิดถึงความหลังนะค่ะเนี่ยะ เพียงปีเดียวหลายท่านยังไปๆมาๆ หลายท่านก็หายไปเลย แต่เก๋เข้าใจนะค่ะ งานสร้างวัดเป็นงานสร้างบารมีครั้งใหญ่ ปัญหาเยอะค่ะ มีหลายเรื่องเข้ามาเราต้องหนักแน่น เมื่อก่อนหลวงพ่อเคยบอกตั้งแต่เก๋เข้ามาทำงานตรงนี้แล้วว่า ต้องหนักแน่น ไม่หนักแน่นไม่มีทางสร้างวัดเสร็จ แต่ตอนนั้นเก๋ไม่เข้าใจหรอกค่ะ

    แต่ตอนนี้เข้าใจเข้าใจดีมากๆด้วย แต่ละปัญหาที่เข้ามากมันหนักค่ะ ไหนจะปัญหาภายนอกภายใน ที่ไหนมีคนมารวมกันย่อมมีปัญหามีความวุ่นวายเกิดขึ้นมา ดังนั้นเก๋เข้าใจนะค่ะสำหรับหลายท่านที่อาจจะไม่ชอบความวุ่นวาย ขนาดเก๋บอกตรงว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้อยู่ช่วยจนวัดสร้างเสร็จหรือไม่ งานใหญ่ปัญหาก็ย่อมมีเยอะตามไปด้วย เก๋ก็ไม่ใช่คนหนักแน่นขนาดนั้น แต่ก็ช่วยไปช่วยให้ถึงที่สุดละค่ะ ไม่รับปากเพราะแค่สัญญาเก่ายังใช้เค้าไม่หมดเลย ขืนสร้างสัญญาใหม่ขึ้นอีกนี่ถ้าจะแย่ค่ะ555 มีหวังใช้เค้าไม่หมดแน่ชาตินี้555

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.JPG
      3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      74.6 KB
      เปิดดู:
      57
    • 5.JPG
      5.JPG
      ขนาดไฟล์:
      72 KB
      เปิดดู:
      54
    • 7.JPG
      7.JPG
      ขนาดไฟล์:
      44.3 KB
      เปิดดู:
      58
    • 8.JPG
      8.JPG
      ขนาดไฟล์:
      110.4 KB
      เปิดดู:
      50
    • 9.jpg
      9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.4 KB
      เปิดดู:
      53
    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      138.7 KB
      เปิดดู:
      60
    • 12.jpg
      12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.5 KB
      เปิดดู:
      56
    • 066_2_~1.JPG
      066_2_~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      784.8 KB
      เปิดดู:
      60
    • 080_2_~1.JPG
      080_2_~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      985.3 KB
      เปิดดู:
      65
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2010
  14. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    <TABLE id=post3127208 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_3127208 class=alt1>สัญญา<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]

    คนเราทุกคนเกิดมาล้วนแต่มี "สัญญา" หรือ มีสิ่งที่ตั้งใจจะทำให้สำเร็จ
    จะจำได้หรือไม่เท่านั้น

    ขอเพียงได้ทำตามสัญญา ได้ทำให้สำเร็จ แม้จะมีอุปสรรคมากมายก็ตาม
    โอกาสหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ก็จะมีมากขึ้น

    คล้ายกับการได้ชดใช้กรรมแก่เจ้ากรรมนายเวร หากยอมชดใช้กรรม จนกระทั่งได้รับอโหสิกรรม ฉันใดฉันนั้น

    เจ้ากรรมนายเวรเอง หากไม่ให้อโหสิกรรม ตัวเองก็ยังมิอาจพ้นจากห้วงทุกข์ได้เนื่องจากยังคงผุกมัดตัวเองอยู่เช่นกัน

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    คำว่า เคราะห์ คือ บาป เราล้างไม่ได้แต่ถ้าหากว่าทำความดีให้มีกำลังสูงกว่า คำว่า เคราะห์จะเปรียบเทียบให้ฟัง เหมือนกับคนยืนอยู่กลางแดดจัดๆ เวลานี้อยู่ในร่มมันก็ร้อน ถ้ายืนกลางแดดมันก็ร้อน ถ้าทำบุญน้อยๆ ก็เหมือนกับมีร่มเล็กๆ ไปกางบังอยู่มันก็เย็นไปหน่อยหนึ่ง ทำบุญที่มีอานิสงส์มากๆ ก็เหมือนกับมีคนเอาน้ำไปราดให้ ก็มีความเย็น ถ้าทำบุญที่มีกำลังสูงใหญ่อย่างเรา เจริญกรรมฐานเหมือนกับเราแช่ในอ่างน้ำ ถึงเราจะอยู่กลางแจ้ง กลางแดด ความร้อนมันก็น้อยไป ข้อนี้ฉันใด การสะเดาะเคราะห์ก็เหมือนกัน การสะเดาะเคราะห์ไม่ได้ทำให้หมดไป

    ที่มา : พิธีสะเดาะห์เคราะห์วัดท่าซุง : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีจิตศรัทธาในงานบุญของวัดป่าโนนจ่าหอมครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->

    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2>[​IMG] </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt1 align=right>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2010
  15. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    เมื่อวานฝันแปลกๆ ในฝันเกิดภัยพิบัติเราก็อยู่แต่ไม่เป็นไรค่ะ จริงเก๋ฝันหลายรอบแล้วแล้วก็อะไรบางอย่างบอกว่าเราจะไม่เป็นอะไร ตัวเก๋ก็ไม่กลัวด้วยจริงๆเบื่อขันธ์ทั้งห้าอันเป็นทุกข์นี้เหลือเกิน นักปฏิบัจิด้วยกันคงเข้าใจดี สำหรับภัยพิบัติ จริงๆตอนนี้มันก็เกิดอยู่ แล้วสำหรับเก๋ไม่เคยกลัวตายแต่กลัวจะตายก่อนที่จะทำอะไรหลายๆอย่างยังไม่เสร็จ กลัวตายก่อนที่จะช่วยงานพระพุทธศาสนาให้ได้อย่างยิ่งยวดเสียก่อน อย่างไรท่านที่เคยบูชาเพชรพญานาคจากเก๋ไปนี่ก็พกติดตัวกันหน่อยนะค่ะ พวกนาคเค้าฤิทธิเยอะ ถึงเวลาเค้าจะออกมาช่วยเองเค้าก็อยู่ในเพชรพญานาคที่พวกพี่บูชาไปจากเก๋นั่นแหละค่ะ เพียงแต่บางคนไม่ได้ปฏิบัติมองไม่เห็นเอง แต่พี่ๆหลายคนที่ปฏิบัติก็เห็นอยู่ว่าเค้าตามไปกับเพชรพญานาคด้วย พวกนาคฤิทธิเยอะถึเวลาจะช่วยให้แคล้วคลาดได้กับภัยต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับผู้เป็นเจ้าจอง แต่ต้องไม่เกินกรรมนะค่ะ
    ไม่ใช่ว่าเราไปฆ่าเค้า ชาติต้องมาใช้เค้ามาฆ่าเราคืนอย่างนี้เรียก กรรมที่ต้องชดใช้ช่วยไม่ได้ค่ะ


    สำหรับป่าโนนจ่าหอมยิ่งไม่เป็นไรใหญ่อันนี้คอนเฟิร์มเพราะเคยถามหลวงพ่อแล้ว ว่าหลวงพ่อเจ้าค่ะถ้าโลกจะแตก เราจะสร้างกันทำไม หากมันจะแตกเร็วๆนี้ ท่านว่า ไม่แตกหรอก ยังอยู่ไปได้อีกนานจนเราตายกันไปแล้วโน้นก็ยังไม่แตก แต่สำหรับภัยพิบัติที่จะเกิด ถึงเกิดพวกเราก็ไม่เป้นไร ท่านว่าคนที่อยู่ใต้ร่มโพธิสมภารจะไม่เป้นไรค่ะ เห็นเค้าบอกมาเหมือนกันว่าจะเกิด แต่บอกไม่ได้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ ถ้าบอกจะเคลื่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2010
  16. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    [​IMG]

    เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ได้สี่สัปดาห์ และได้ประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ใต้ต้นเกต ซึ่งอยู่ทางทิศทักษิณของต้นพระศรีมหาโพธิ

    ได้มีนายพานิชสองคน คือ ตปุสสะและภัลลิกะ เดินทางมาจาก อกุกลชนบท เมื่อได้เห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ ที่นั่น มีพระรัศมีผ่องใสยิ่งนักก็บังเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธองค์มาก จึงได้น้อมนำเอาข้าวสัตตุก้อนและสัตตุผง เข้าไปถวายพระองค์ และพระองค์ก็มีพระประสงค์จะรับ แต่ขณะนั้นพระองค์ไม่มีบาตรทั้งนี้เป็นธรรมเนียมของพระ ศาสดาชั้นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    ที่จะไม่รับของถวายประเภทอาหารด้วยพระหัตถ์แต่จะรับคือพาชนะคือบาตรเท่านั้น


    ฝ่ายท้าวมหาราชทั้งสี่ คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ ท้าวกุเวร ทราบจึงต่างนำบาตรศิลาองค์ละใบเข้าไปถวาย พระองค์ทรงรับบาตรจากท้าวมหาราชทั้งสี่แล้ว ทรงอธิษฐานให้รวมกันเป็น บาตรใบเดียว แล้วทรงรับข้าวสัตตุก้อน สัตตุผง ของนายพาณิชทั้งสองด้วยบาตรนั้น เมื่อประทับอยู่ใต้ต้นพระราชาตนะหรือไม้เกด ครบ ๗ วันแล้ว
    พระพุทธเจ้า เสด็จแปรสถานที่ประทับ กลับไปประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธหรือต้นไทร ซึ่งเคยเสด็จไปประทับหน หนึ่งมาแล้ว

    ระหว่างที่ทรงประทับอยู่ ณ ที่นี่ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาถึงพระธรรมที่พระองค์ทรง ตรัสรู้มา ทรงเห็นว่าเป็นธรรมที่มีความหมายสุขุมละเอียด ก็ทรงบังเกิดความท้อพระทัยว่า

    จะมีใคร สักคนที่ฟังธรรมของพระองค์รู้เรื่อง

    พระทัยหนึ่งเกิดจากความมักน้อยว่าจะไม่แสดงธรรมเพื่อโปรด ใครเลย
    พระดำริของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ได้ทราบไปถึงท้าวสหัมบดีพรหมในเทวโลก ท้าวสหัมบดี พรหมจึงตกพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงเปล่งศัพท์สำเนียงอันดังเป็นสามหนว่า "โลกจะฉิบหายในครั้งนี้"

    ท้าวสหัมบดีพรหมพร้อมด้วยเทวคณานิกรจึงลงมากราบทูลอาราธนาให้ พระพุทธเจ้าแสดงธรรม ซึ่งท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวอาราธานาพระพุทธเจ้ามีข้อความดังนี้ "ท้าวสหัมบดีพรหม ประณมกรกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐว่า

    "สัตว์ในโลกนี้ ที่มีกิเลสบางเบาพอที่จะฟังพระธรรมเข้าใจนั้นมีอยู่ ขอพระองค์ได้แสดงธรรมช่วยเหลือชาวโลก เทอญ"


    ถึงพระพุทธเจ้าจะทรงท้อพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรม แต่อีกพระทัยหนึ่งซึ่งมีอำนาจ เหนือกว่า คือ พระมหากรุณา และพระมหากรุณานี้เองเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงตัดสินพระทัยว่า จะทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์

    ที่มา : การเผยแพร่พุทธศาสนาและพุทธประวัติ


    ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีจิตศรัทธาในงานบุญของวัดป่าโนนจ่าหอมครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    ธรรมใดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้ว
    ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2010
  17. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    คุณน้องที่ติดต่อเก๋เรื่อดอกบัวเล็กหมดนะค่ะ
    ตอนนี้มีแต่สัณฐานพญานาคเล็กขดสองชั้นสำหรับทำจี้

    สีปกติร่วมบุญ 2500 บาท
    สีดำร่วมบุญ 3000 บาท

    ตอนนี้ขึ้นมาจำนวนหนึ่งแต่ก็ไม่มากนัก เอาไว้ถ้าขึ้นมาเยอะราคาก็จะดาวน์ลงค่ะ
    ช่วยๆกันอธิษฐานนะค่ะ เดี๋ยวขึ้นเองแรงอธิษฐานนี่แหละค่ะ แต่ต้องไม่เกินบารมีคะ

    ติดต่อ
    วัด ครูบาจ่อย 080-167-5445
    ฝ่ายวัดถุมงคลและงานบุญวัด เก๋ณัฐา 080-772-1000

    อ๋อแล้วก็สำหรับคุณน้องจากกรุงเทพผู้มีพญานาครักษาอยู่ถึง 6 องค์ ลูกแก้วสีเขียวเดี๋ยวพี่เก็บไว้ให้นะจ๊ะ
    ของพี่มีแค่องค์เดียวจ้าทำสำหรับเทวดาประจำตัวที่เป็นพญานาค ฮิฮิ แต่ที่ตามๆพี่มาอยู่นี่มีอยู๋ทั้งพญานาคพี่เลี้ยง ทั้งยักษ์นี่มีอยู๋จ้า
    อยู่กรุงเทพนี่ สมควรพกพวกเพชรพญานาคติดตัวจะดีที่สุด ถึงเวลาเค้าจะออกมาช่วยเอง ไม่ต้องห่วงพญานาคเผ่าพี่เก่งรับรองไม่ผิดหวัง
    หลวงพ่อบอกว่าไม่เป็นไรพระแก้วมรกตท่านยังอยู่ คือ ง่ายๆอย่างไรโลกก็ยังไม่แตก
    ส่วนภัยพิบัติเกิดนี่คงหลีกเหลี่ยงไม่ได้ กรรมของคนหมู่มาก แต่อย่างไรคนที่อยู่ใต้ร่วมโพธิสมภารจะไม่เป้นไร
    แต่ไม่ถึงกับอยู่เมืองหายไปทั้งเมืองไม่ใช่ ต่างประเทศเกิดเยอะ เมืองไทยนี่ดีแล้วแต่บางอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ก็คงหลีกเหลี่ยงไม่ได้
    พระพุทธศาสนายังไม่ครบห้าพันปีเลยจ้า โลกยังไม่แตกหรอกจ้า


    [​IMG]


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2010
  18. มิสดอลล่า

    มิสดอลล่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +315
    ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ

    สวัสดีค่ะพี่น้องทุกท่าน ชื่อหมูหยองค่ะ ขอฝากตัวเป็นสมาชิกใหม่ด้วยคนนะคะ

    คุณพี่เก๋คะหนูเองค่ะที่จองลูกแก้วสีเขียวกับคุณพี่ค่ะรบกวนเก็บไว้ให้ด้วยนะคะ อิอิ ขอรวบรวมปัจจัยก่อน

    หนูก็เป็นคนหนึ่งค่ะที่อดีตก็เคยเป็นลูกหลานพญานาคกะเค้าเหมือนกันพอดีมีท่านที่มีจิตหลายท่านบอกมาอีกทีค่ะ ที่บ้านก็มีท่านพญานาคอยู่ 6 องค์ค่ะที่คุ้มครองดูแลรักษาท่านมีชื่อดังนี้ค่ะ

    1. อนันตราชิ
    2. จันทมณี
    3. ก้อยกาล
    4. ภพบาดาล
    5. กัลปิ
    6. จันจันทร์

    ท่านทั้งหลายเคยมาสงเคราะห์ให้โชคลาภค่ะ ท่านเมตตาให้เห็นเป็นองค์สีเขียวสวยงามมากค่ะ และท่านก็ชอบให้ทำบุญ สวดมนต์ ค่ะ นี่หมูหยองก็เพิ่งร่วมบุญสร้างศาลาปฏิบัติธรรม เจดีย์ ฐานพระใหญ่มาค่ะ และได้เพชรพญานาคสี ม่วง เขียว เหลือง ชมพู มาค่ะ แปลกนะคะแค่ใจปราถนา ก็ได้มาครอบครองสมใจแต่อีกใจก็คิดว่าคงจะเป็นเพราะท่านพญานาคท่านสงเคราะห์ก็เป็นได้ สัณฐานสีชมพูหมูหยองมอบให้คุณแม่ค่ะเพราะคุณแม่ก็มีท่านพญานาคอยู่สององค์ คุณแม่แช่น้ำมนต์และสวดมนต์ทุกวันอุทิศบุญกุศลให้กับท่านพญานาค ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะเพชรพญานาคสีชมพูของคุณแม่มีขนาดใหญ่ขึ้นสีสันสดใสและลองหยิบมาดูก็หนักขึ้นด้วยค่ะ

    มาเล่าประสบการณ์ให้ฟังนะคะ โปรดใช้วิจารณญาณค่ะ เป็นความเชื่อเฉพาะบุคคลที่ศรัทธาเท่านั้นค่ะ อิอิ

    ขอบุญรักษาและธรรมมะคุ้มครองทุกท่านนะคะ
    ไว้จะเข้ามาแชร์ประสบการณ์ใหม่ค่ะ
     
  19. วรัท

    วรัท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    505
    ค่าพลัง:
    +2,387
    คุณเก๋ครับ ผมขอจองสัณฐานพญานาคเล็กขดสองชั้นสำหรับทำจี้ สีดำ 1 องค์
    ไม่ทราบว่าจะส่งปัจจัยร่วมทำบุญที่บัญชีไหนครับ
     
  20. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ

    บัญชีในการโอนเงินบูชากายสิทธิ์และวัตถุมงคลร่วมสร้างพระวิหาร

    บัญชีคุณปภาดา ทองภิญโญชัย<O:p</O:p

    ธนาคารไทยพาณิชย์<O:p</O:p
    สาขา ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต 2 <O:p</O:p
    บัญชีเลขที่ 383-230-470-9<O:p</O:p
    ประเภทบัญชีออมทรัพย์<O:p</O:p

    ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีจิตศรัทธาในงานบุญของวัดป่าโนนจ่าหอมครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    ธรรมใดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้ว

    ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...