อันตราย!!สารพิษในเนื้อสัตว์

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย llnuhyper, 25 พฤศจิกายน 2012.

  1. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    ถูกต้องครับ อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
     
  2. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    [​IMG]

    จิตเดิมเป็นธรรมแท้ ไม่ผันแปรแลเวียนวน
    ประเสริฐสุดในสากล เป็นตัวตนไม่เกิดตาย

    เบญจขันธ์นั้นเกิดดับ คำนวณนับก็มากหลาย
    จิตเดิมนั้นไม่ตาย ไม่ยักย้ายไม่ผันแปร

    ผู้ใดรู้แค่ขันธ์ ความรู้นั้นยังอ่อนแอ
    ผู้ใดรู้จิตแท้ ผู้นั้นแลคือโพธิญาณ​
     
  3. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    สวัสดีปีใหม่เจ้า : ภูชี้ฟ้า

    เป็นอีกครั้งที่สนุกและมีความสุขมากๆกับการถ่ายรูปท้องฟ้า พระอาทิตย์ ธรรมชาติ...แล้วอีกมากมาย
    แสงยามเช้ากับกลุ่มทะเลหมอกมันช่างสวยงามจริงๆ เมืองไทยของเรานั้น สวยจริงๆน่ะครับ ​


    [​IMG]


    [​IMG]
     
  4. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    เวียนบรรจบ ครบศักราช ตั้งปีใหม่
    ขออวยชัย อวยพร อักษรศรี
    ขอทุกท่าน พบพาน แต่สิ่งดี
    มีชีวี สุขสดใส ชีพชื่นบาน
    ให้สุขภาพ สมบูรณ์ ทั้งกายใจ
    ให้ปลอดภัย แคล้วคลาด ประสาทประสาน
    งานรุ่งเรื่อง เงินรุ่งโรจน์ ชัชวาล
    สนุกสนาน อภิรมย์ สมใจปอง
    ปีผ่านไป ให้ผ่านพ้น ตั้งต้นเริ่ม
    ที่ดีเพิ่ม ที่ร้ายลืม ไม่มัวหมอง
    ปรุงแต่งจิต พิชิตใจ ไร้ขุ่นข้อง
    เปิดสมอง รับสิ่งใหม่ สดใสพลัน
    คิดสิ่งใด ลุล่วง สำเร็จได้
    ขอเทพไท สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นมิ่งขวัญ
    เกิดปัญหา ได้ปัญญา เป็นที่มั่น
    ให้สร้างสรรค์ รับสิ่งดี ปีใหม่เอย..​
     
  5. ๛จิตพุทธะ๛

    ๛จิตพุทธะ๛ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +87
    สวยงามมากๆเลย

    สวัสดีปีใหม่ครับ
     
  6. ๛จิตพุทธะ๛

    ๛จิตพุทธะ๛ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +87
    โมทนา สาธุครับ
     
  7. ๛จิตพุทธะ๛

    ๛จิตพุทธะ๛ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +87
    โมทนา สาธุ
     
  8. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    ขอบคุณครับ
     
  9. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    [​IMG]

    บูชา คือเลื่อมใส ยกย่องไว้ และเชิดชู
    สำนึก สำเหนียกรู้ ทั้งต่อหน้า และลับหลัง

    สำรวม กิริยา เปี่ยมศรัทธา ไม่หยุดยั้ง
    ยึดมั่น ในพลัง คุณธรรม นำมาใช้

    ยกใจ ให้สูงขึ้น พร้อมหยัดยืน ทำตามได้
    ตามรอย ผู้รู้ไซร้ ประคองใจ พ้นมลทิน

    เปิดใจ ให้ยอมรับ น้อมซึมซับ เป็นนิจสิน
    ด้วยจิต ที่ยลยิน ละเอียดอ่อน ด้วยปัญญา

    ครองใจ ประคองบุญ เป็นต้นทุน ในวันหน้า
    ทำดี ด้วยศรัทธา ตามอย่างท่าน ไม่ผันแปร

    ย่อมพบ สุขสงบ ปลายภพ เป็นแน่แท้
    ประพฤติ สิ่งดีแล เป็นมงคล อันอุดม​
     
  10. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์? โดยท่านพุทธทาสภิกขุ

    ข้อคิดพิจารณาธรรม
    ท่านพุทธทาสภิกขุแห่งสวนโมกข์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
    ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์?

    เพราะเป็นการปฏิบัติเพื่อยึดเอาประโยชน์ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นทางก้าวหน้าของสัมมาปฏิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งได้ผลมาก โดยลงทุนทางวัตถุน้อยที่สุดแต่ให้ผลมากทางใจ
    ประโยชน์ทางฝ่ายธรรม
    ข้อที่ ๑ เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น
    เพราะพวกพืชผัก เป็นของหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ ซึ่งมีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น นักกินผักย่อมไม่มีเวลาไปกระวนกระวายเพราะอาหารไม่ค่อยจะถูกปากถูกลิ้นนักเลย ในขณะที่นักกินเนื้อมักต้องเลียบๆ เคียงๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งภัตตาหารเนื้อบ่อยๆ ญาติโยมเสียไม่ได้ในท่าทีก็พยายามหามาถวายศรัทธาญาติโยมที่มีใจเป็นกลาง เคยปรารภกับข้าพเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่า เขาสามารถจะเลี้ยงพระได้ถึง ๕๐ รูป โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย หากเป็นอาหารที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อกับปลา แต่ที่ผ่านมาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างมากๆ ไม่ใช่ว่าจะคิดว่า เนื้อมีราคาแพงกว่าผักแต่เป็นเพราะรู้ว่าสัตว์ถูกฆ่าตาย เพื่อการทำบุญเลี้ยงพระของเรามีอีกหลายคน ที่ทีแรกค้านว่าการทำอาหารมังสวิรัติวุ่นวายลำบาก แต่เมื่อได้ทดลองทำไป ๒-๓ ครั้ง กลับสารภาพว่าเป็นการง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องไปติดไฟเลยก็มี ตัณหาของนักกินผักกับกินเนื้อมีความแตกต่างกันอย่างไร จะกล่าวในข้อหลังเฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า
    “คนกินเนื้อสัตว์ เพราะแพ้รสตัณหา
    กินเพราะตัณหา ไม่ใช่เพราะเลี้ยงง่าย”
    ข้อที่ ๒. เป็นการฝึกในส่วน “สัจธรรม”
    คนเราห่างไกลจากความพ้นทุกข์ก็เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตัวเอง สัจจะในการกินผักนั้นเป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลินบริสุทธิ์ ได้ผลสูงเกินกว่าที่คนไม่เคยทดลองจะคาดถึง พืชผักเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง “ดวงธรรมแห่งสัจจะ”ในใจของเราให้สมบูรณ์แข็งแรงดังนั้นการฝึกกินผัก อาหารพืชผักจึงเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ที่ยอดเยี่ยมกว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่นๆ เพราะแบบฝึกหัดบางอย่างค่อนข้างง่าย แต่บางอย่างก็ยากเกินจะฝึกทำให้ไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุกๆวัน แต่เราผู้ปฏิบัติธรรมต้องฝึกทุกวันจึงจะได้ผลเร็ว เหตุฉะนี้การฝึกใจด้วยเรื่องอาหารอันเป็นสิ่งที่เราต้องบริโภคอยู่ทุกวันจึงเหมาะมาก อย่าลืมพระพุทธภาษิตที่มีใจความว่า
    “สัจจะเป็นคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์”
    ข้อที่ ๓.เป็นการฝึกในส่วน“ทมะ”ธรรม
    “ทมะ” คือ การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ คนเราเป็นทุกข์เพราะตัณหาอันได้แก่ ความอยากที่ข่มใจไว้ไม่อยู่ มีข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อง่ายๆ เช่นข้าพเจ้าเคยเห็นชาวบ้านที่มาจากป่าดอนสูงๆ อุตสาห์หาบเอาพวกพืชผักลงมาแลกปลาแห้งๆ จากชาวบ้านแถบริมทะเลขึ้นไปกินทั้งๆ ที่ต้องเสียเวลาเป็นวันๆ ในขณะที่กลางบ้านของเขาก็มีอาหารพวกพืชผัก เผือก มัน ฟัก มะพร้าวฯลฯ อย่างอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังเป็นของสด สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้งๆ และขึ้นราที่พวกเขาสู้อุตส่าห์ลงมาหามหิ้วขึ้นไปเก็บไว้กินเป็นไหนๆดังนั้น… ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหาจักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม เหตุนี้การข่มจิตด้วยเรื่องอาหารการกินจึงเหมาะมาก เพราะจะมีการข่มได้ทุกวันการข่มจิตอยู่เสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์เช่นกัน
    โปรดทราบ! ว่ามันเป็นการยากยิ่งที่คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหา โดยพยายามเลือกกินแต่ผักจากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อ และผักปนกันมาจงยึดเอาเกมกีฬาฝึกข่มจิต ที่เป็นเครื่องชนะตนอันนี้เถิดการเลี้ยงพระในงานต่างๆ ข้าพเจ้าเคยเห็นเคยได้ยินเสียงเอ็ดตะโร เรียกเอาแต่อาหารเนื้อส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะถูกเลือกกับเขา มิหนำซ้ำยังเหลือกลับไปอีก แมกระทั่งอาหารที่ปรุงระคนกันมาก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อคงเหลือแต่ผักติดจานกลับไป และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือควรรู้ไว้ด้วยว่าบรรดาพ่อครัวแม่ครัวและเจ้าภาพเขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำไป จึงปรุงอาหารเนื้อสัตว์เอาไว้ให้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายแขกเหรื่อชาวบ้าน และฝ่ายบรรพชิตทั้งหลายร่วมมือกัน “แบ่งอิทธิพล”
    ข้อที่ ๔. เป็นการฝึกในส่วน “สันโดษ”
    สันโดษ คือ ความพอใจเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ตามฐานะของตน โดยทั่วไปชีวิตของผู้ออกบวชย่อมดำรงอยู่ด้วยอาหารชั้นเลว ทว่าข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางรูป เว้นไม่ยอมรับอาหารจากคนจนเพราะเห็นว่าเลวเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ และถึงแม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยมีความสันโดษหรือถ่อมตนดังนั้น… การฝึกเป็นนักกินผัก กินอาหารอย่างง่ายๆ จะแก้ได้หมด “สันโดษเป็นทรัพย์อย่างเอกของบรรพชิต”
    ข้อที่ ๕. เป็นการฝึกในส่วน “จาคะ”
    จาคะ คือ การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบหรือความพ้นทุกข์ นักกินผักที่แท้จริงมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าที่จะมีใจนึกอยากในเรื่องจะบริโภคอาหารที่มีรสหลากหลาย เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไปกว่ากินเพื่ออย่าให้ตาย ซึ่งต่างไปจากเนื้อสัตว์ที่ยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ
    ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิตความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ไม่มีดวงจิตของนักกินผักเลย ส่วนนักกินเนื้อนั้น ท่านจะทราบของท่านได้เองเป็นปัจจัตตัง เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่นๆ
    ข้อที่ ๖. เป็นการฝึกในส่วน “ปัญญา”
    ปัญญา คือ ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก การใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของการยึดมั่น และให้ใจละวางความยึดมั่นในการกินอาหาร แบบฝึกหัดที่ยากและเป็นก้าวที่ใหญ่ของการปฏิบัติธรรมเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกบริโภคอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์อันบังคับให้ท่าน ต้องใช้พิจารณาตัวเองอยู่เสมอทุกมื้อเพราะเนื้อทำให้หลงในรส ส่วนผักทำให้ยกใจขึ้นไป ซึ่งเหมาะแก่สันดานของสัตว์ผู้มีกิเลสย้อมใจจนจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาแต่เดิมปัญญาของท่านต้องรู้อยู่เสมอว่า ไม่ใช่จะไปนิพพานได้เพราะกินผัก เป็นแต่การกินผักจะช่วยขัดเกลากิเลสทุกๆ วัน
    แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นว่าฝ่ายที่จะช่วยขัดเกลาจิตใจต้องเป็นผักความจริงอาจจะถือว่า ผักเป็นอาหารชั้นเลวหรือไม่ประณีตก็พอแล้ว แต่เมื่อมาพิจารณาใคร่ครวญให้ดีแล้วมันมาตรงกับอาหารผัก เพราะจะทำอย่างไร เนื้อก็เป็นของชวนกินเพียงแต่ต้มเฉย ๆ พอได้กลิ่นมันก็ยั่วตัณหาอยู่ดี!เพราะฉะนั้นฝ่ายที่จะปราบตัณหา จึงกลายเป็นเกียรติยศของผักไป อาหารผักเป็นอาหารที่ข่มตัณหาได้และมีแต่ความบริสุทธิ์จึงเหมาะสม สำหรับผู้ที่ระแวงภัย และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ
    ผลดีในฝ่ายโลก อาหารผักมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายยิ่งกว่าเนื้อสัตว์หรือไม่? เรื่องนี้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็บอกแก่เราชัดแจ้งอยู่แล้วว่าอาหารผัก จะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังแข็งแรงโรคน้อย ดวงจิตสงบ ช่วยให้ความกระหาย ในความอยาก ความโกรธ ความมัวเมา บรรเทาลงเป็นอันมาก
    ************************************
     
  11. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    อย่ากินผมเลย ! กลอนสะกิดใจ



    สัพเพ สัตตา เสียงร้องขอ ชีวิตจิตหวั่นไหว

    เสียงห่ำหั่น เข่นฆ่า น่าสยอง

    เสียงซวบซาบ ดาบคมเชือด เลือดไหลนอง

    เสียงกรีดร้อง สะท้านจิต สะกิดใจ

    เสียงสัพเพ สัตตา พาให้คิดว่าชีวิตนี้ มีค่า กว่าสิ่งไหน

    อเวรา อย่ามีเวร อย่ามีภัย
    ชีวิตใคร ใครก็หวง อย่าล่วงเกิน

    ท่องสัพเพ สัตตา มาแต่ไหน ยังเข้าใจ ในเนื้อแท้ ้แค่ผิวเผิน

    ยังฆ่าบ้าง กินบ้าง อย่างเพลิดเพลิน ยังใช้เงิน ซื้อชีวิต อนิจจา

    สัตว์เกิดกาย มาใช้กรรม ที่ทำไว้ เป็นเป็ดไก่ กุ้งปลา ูและหมูหมา

    ตามเหตุต้น ผลกรรม ที่ทำมา มิใช่ฟ้า ประทานมา ให้คนกิน

    มีปัญญา แต่ไฉน จึงไม่คิด
    มองชีวิต กลับเห็น เป็นทรัพย์สิน

    เสียงกรีดร้อง ก่อนตาย ใครได้ยิน น้ำตาริน เมื่อถูกเฉือด เลือดกระเซ็น

    พูดว่าเขา เกิดมา เป็นอาหาร เขาลนลาน หนีตาย ใครมองเห็น

    เขาจนใจ พูดไม่ได ้เถียงไม่เป็น ช่างเลือดเย็น เข่นฆ่า ไม่ปราณี

    มีพืชผัก มากมาย นับไม่ถ้วน ทุกกลิ่นรส สดใส หลายหลากสี

    ธรรมชาติ วางไว้ อย่างดิบดี สัตว์วิ่งหนี พืชเต็มใจ ให้กินมัน

    เพราะเรากิน เขาจึงฆ่า เอามาขาย เราสบาย แต่สัตว์โลก ต้องโศกศัลย์

    ท่องสัพเพ สัตตา มาทุกวัน
    เมตตากัน โปรดอย่าฆ่า และอย่ากิน
     
  12. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    เรือ่งแผ่เมตตา
    >
    > อยากให้เพื่อน ได้เข้าดูเวป ที่แนบมา
    >
    > ชีวิตที่ร่ำไห้
    > เจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ผลิต คือ สำนักพิมพ์ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต
    >
    > เพื่อให้เราตระหนักถึงคำที่พระพุทธตรัสว่า.. เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
    > พาไปดูเบื้องหลังของชีวิตสัตว์ที่เรา-ท่านทั้งหลายบริโภคกัน ตั้งแต่ถูกเลี้ยงมา
    > กระทั่งถูกลำเลียงมา ฆ่า
    >
    >
    > มองให้เห็นถึงใจเขาใจเรา โดยเอาใจเราไปใส่ใจเขา รับรู้และรู้สึกเหมือนเขา
    > นำมาเปรียบกับเราอีกที
    >
    >
    > เป็นความจริงว่า.. สัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเขา จะเราก็ย่อมรักตัว
    > กลัวตายทั้งสิ้น
    >
    >
    > ทุกเหล่าสรรพสัตว์มีวิญญาณ การรับรู้ เจ็บเป็น กลัวเป็น
    >
    >
    > เราท่านซึ่งเป็นมนุษย์(แปลว่าผู้ที่มีใจสูง)ที่ยังคงบริโภคสัตว์อื่นอยู่ด้วยความสะใจ
    > จะสะท้อนคิดไหม ว่าหากเราโดนกระทำเช่นนั้นบ้าง
    > หรืออาจจะกับพ่อแม่และคนที่เรารัก เราจะรู้สึกอย่างไร
    >
    >
    > กรรมใดใครก่อ คนนั้นก็ต้องรับกรรม
    >
    >
    > กินตามใจปาก ตามความอยากจนเคยตัว โดยขาดปัญญา ไม่คำนึงถึงที่มา
    > ว่าทุกชิ้น-เนื้อที่เข้าปาก มันคือชีวิตที่สูญเสียไป
    >
    >
    > ว่ากันว่า "ป่าช้าที่ใหญที่สุดในโลกนี้ อยู่ที่ท้องคน" เป็นความจริง
    > เพราะเติบโตมาจนบัดนี้จะมีใครสักกี่คนรู้ได้ว่า มีกี่ศพ กี่ชีวิตแล้ว
    > ที่ต้องสังเวยให้แก่เรา นั้นเพราะว่ามันมากมายมหาศาล
    >
    >
    > กระแสแห่งกรรมย่อมทำหน้าที่ของมันโดยเที่ยงธรรม
    >
    >
    > ก่อนจะสายเกินไป มากู้เมตตาธรรมที่มันแอบอยู่ในหลืบใจเรากลับคืนมาซิครับ
    >
    >
    > ใครที่ผ่านการเข้าค่ายคุณธรรมมาบ้างแล้ว อาจจะได้ดูบ้างแล้ว
    > ก็ถือว่าเป็นการมาย้ำสำนึก เพื่อนสมาชิกอื่น ๆ ยิ่งต้องดูครับ
    >
    >
    > เวปลิงค์ ที่เข้าไปดูได้
    >
    >
    > [ame=http://www.youtube.com/watch?v=RxTnxG4Hzmk]life - YouTube[/ame]
    >
    > file:///D:/user/touu034272334
     
  13. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    ขออนุโมทนา ถ้าลด ละ บริโภคสัตว์ใหญ่ โดยเฉพาะ วัว ควาย สัตว์ผู้มีพระคุณ ก่อน
    เพื่อสุขภาพ ที่ดีกว่า และ สร้างเมตตาบารมี
     
  14. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    ข้อความน่าสนใจ จาก ตปท เกี่ยวกับอาหารเนื้อสัตว์ แหล่งสะสมโรคร้ายนานาชนิด

    อันตรายอาหารเนื้อสัตว์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งร้ายหลาย ๆ ชนิด
    ----ยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ และ ทีมคณะแพทย์ชื่อดังระดับโลกที่ทำการศึกษาวิจัยจากผู้ ป่วยกว่า 500000 คนท่วโลก ใช้เวลากว่า 7 ปี โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ กว่า 12000 คน

    น่ากลัวคาดว่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่ ๆ เพิ่มอีกกว่า
    เนื้อสัตว์ เป็นบ่อเกิด ต้นตอของนานาโรคร้ายหลากหลายชนิด
    เช่นโรคมะเร็ง เต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
    และจากการวิจัยล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยแพทย์ ฮาวาด์ แห่งสหรัฐ และ
    มหาลัยแพทย์ ลีด แห่ง ประเทศอังกฤษ เนื้อสัตว์ ยังเป็นต้นเหตุหลัก ๆ ของ
    มะเร็งต่อมลูกหมาก และ มะเร็งรังไข่

    ข้อมูลโดยมหาลัยแพทย์ชื่อดังระดับโลก
    มหาลัยเทกซัส สหรัฐ
    มหาลัยชิคาโก สหรัฐ
    มหาลัยฮาวาย สหรัฐ
    มหาลัยฮาววาด สหรัฐ
    มหาลัยแพทย์ แห่งออสเตอเรีย
    มหาลัยคิวเบค แห่งแคนาดา
    มหาลัยออกฟอร์ด แห่งอังกฤษ
    มหาลัยลีด แห่งอังกฤษ
    มหาลัยแฟงค์เฟิต แห่งเยอรมัน

    โดยการสนับสนุนสถาบันวิจัย โรคมะเร็ง แห่งสหรัฐ
    National Cancer Research Institue - USA
    สถาบันโรคมะเร็ง แห่ง WHO
    The World Cancer Research Fund ( WCRF )
    และวารสารสุขภาพชื่อดังระดับโลกกว่า 100 ฉบับรวมถึง
    เอกสารทางการแพทย์ จากมหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดังก้องโลก

    ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเราจะตายหรือไม่ (พุทธศาสตร์+วิทยาศาสตร์

    มุมมองความเห็นจากพระสงฆ์ไทย

    และจากพระ อาจารย์ บัญฑิต พระฝรั่งชาวอังกฤษ

    อดีตผู้อุปถาฐพระอาจารย์ สุเมโท พระฝรั่งตะวันตกพระลูกศิษย์ รุ่นบุกเบิก
    พระอาจารย์ ชา แห่งวัดป่านานาชาติ
    ขณะนี้จำพรรษาอยู่ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

    ได้ให้ข้อมูลว่าขณะนี้ประเทศอังกฤษ ประชากรกว่า40% หรือเกือบ 30 ล้านคน
    ได้ละเลิกการบริโภคเนื้อสัตว์ มาเป็นอาหารมังสะวิรัติ
    ปลอดเนื้อสัตว์ เพื่อสุขภาพ และ หวั่นเกรงมหันตภัยโรคร้าย
    จากเนื้อสัตว์ ที่เคยคุกคามฆ่าชีวิตชาวอังก ฤษเป็นจำนวนมากจากโรคมะเ ร็ง ไขมันอุดตัน โรคหัวใจ ปีละจำนวนมาก ๆ ต่อเนื่องด้วยโรควัวบ้าระบาด เมื่อ 6 ปีก่อน และอีก 3 ปีถัดมาโรคไข้หวัดนกระบาด ทำให้ชาวอังกฤษหวาดผวาภัยจากเนื ้อสัตว์

    ข้อมูลที่น่าสนใจในเวปข้างล่าง


    http://www.watisan.com/showdetail.asp?boardid=1080
     
  15. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    กรรมดี ดีกว่ามงคล
    สืบสร้าง กุศล ดีกว่า นั่งเคล้า ของขลัง
    พระเครื่อง ตะกรุด อุทกัง ปลุกเสก แสนฉมัง
    คาดมั่ง แขวนมั่ง รังรุง

    ขี้ขลาด หวาดกลัว หัวยุ่ง กิเลส เต็มพุง
    มงคล อะไร ได้คุ้ม
    อันธพาล ซื้อหา มาคุม เป็นเรื่อง อุทลุม
    นอนตาย ก่ายเครื่อง รางกอง

    ธรรมะ ต่างหาก เป็นของ เป็นเครื่อง คุ้มครอง
    เพราะว่า เป็นพระ องค์จริง
    มีธรรม ฤามี ใครยิง ไร้ธรรม ผีสิง
    ไม่ยิง ก็ตาย เกินตาย

    เหตุนั้น เราท่าน หญิงชาย เร่งขวน เร่งขวาย
    หาธรรม มาเป็น มงคล
    กระทั่ง บรรลุ มรรคผล หมดตัว หมดตน
    พ้นจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย

    บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ใจกาย อุปัทวะ ทั้งหลาย
    ไม่พ้อง ไม่พาน สถานใด
    เหนือโลก เหนือกรรม อำไพ กิเลสา- สวะไหน
    ไม่อาจ ย่ำยี บีฑา ฯ
     
  16. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    ความน่ากลัวของสังสารวัฏ ​

    [​IMG][​IMG]
    สุขจากการละวางตัวตนและใจ จะกลายเป็น "ตายก่อนตาย"

    ละวางอัตตา ตัวตน ก่อนที่จิตและกายจะแตกดับจริงๆ

    บางครั้งในหมู่คนที่มีความสุขสบายในชีวิต เกิดความขี้เกียจเจริญสติ บางครั้งในหมู่คนที่ มีความสุขสบายในชีวิต พรั่งพร้อมด้วย ทรัพย์สินเงินทอง รูปร่างหน้าตา และสติปัญญา ครั้งแรกๆ ก็สนใจ ใคร่รู้ในการปฏิบัติธรรม แต่เมื่อปฏิบัติไปสักระยะหนึ่ง สมใจอยากแล้ว บางครั้งก็ละเลย เบื่อและเกียจคร้าน ในการปฏิบัติ ขอให้ท่านฉุกคิดขึ้นมาว่า โลกมีสิ่งที่ไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจ มากมาย เรามีสิ่งที่เราเกลียด เช่น แมลงสาบ หนูสกปรก หมาขี้เรื้อน .... "ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่าเราไม่ต้องไปเกิดเป็นสิ่งเหล่านั้น"

    เว้นเรื่องชาตินี้ ชาติหน้าไปเสีย บางครั้งเราพบเห็นคนที่ประสบอุบัติเหตุ หน้าตาเละ เสียโฉม ตาบอด พิกลพิการ หรือบางคนยากจนค่นแค้น พ่อแม่หรือลูกเมียสร้างหนี้สินภาระไว้ให้มากมายมหาศาล บางคนพลั้งพลาด ถูกหลอกลวง เจ็บแค้นเจ็บปวด ทรมานแสนสาหัส ......"ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่า เราไม่ต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์เหล่านั้น"เว้นเรื่อง ไกลตัวที่ยังไม่มีไม่เกิด มาดูสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่เช่น ...บ้านอันแสนอบอุ่น ...ครอบครัวที่เรามีอยู่ ...เครื่องใช้อำนวยความสะดวกสบายและบันเทิงทั้งหลายทั้งปวง ...คอมพ์ตัวโปรดที่ใช้เล่นเน็ต หรือแม้แต่ลมหายใจแห่งชีวิตของเรา เมื่อวันใดวันหนึ่งมาถึง สิ่งเหล่านี้ก็ต้องพลัดพรากจากเราไป หรือเราเองนี่แหละที่ต้องพลัดพรากจากมันไป ......"ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่า ความพลัดพรากใดๆ จะไม่เกิดขึ้น"เว้นเรื่องชีวิต มนุษย์ ไปเสีย ด้วยจิตที่มีกำลังบุญอย่างใหญ่ หรือตั้งมั่นในฌานสมาบัติอันแก่กล้า มีความมั่นใจในอนาคตของตน ที่เห็นสุขคติและความสุข รออยู่เบื้องหน้า

    แต่ด้วยพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ได้ทรงสอนไว้แล้วว่าแม้แต่เทวดา หรือ พรหม ใดๆ ก็มีความเสื่อมและต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนี้ ไม่พ้นไปได้ นี่ไม่ใช่การคิดหรือเห็นโลกในแง่ร้าย แต่นี่คือความจริงของโลกที่เรามิอาจปฏิเสธ เราอาจจะพยายามหลีกเลี่ยง ไม่คิดถึง ไม่พูดไม่นึก พร้อมทั้งสร้างสิ่ง ที่จะสามารถรักษาสิ่งที่ดีดี เหล่านี้ไว้ให้มี นานที่สุด

    แต่ความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเราพยายามจะ หลีกเลี่ยงไม่นึกถึงนั้น ก็ยังคงเป็นความจริงอย่างที่สุด ที่เรามิอาจหลีกเลี่ยง เป็นโชคอันมหาศาลอย่างที่สุดที่มี มหาบุรุษผู้เจนโลก ผู้หยั่งรู้แล้วซึ่งความเป็นไปทั้งปวง มาช่วยเหลือเรา ให้พ้นจากวงจรแห่งความไม่แน่นอน จากความมีความเป็น แล้วเราจะเสียเวลา และประมาทอยู่ทำไม???

    "ในทางโลก เขาแข่งกันมี แต่ทางธรรม เรามุ่งที่ความไม่มี"
     
  17. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    ยึดติด โดย พระไพศาล วิสาโล

    สุด .. ได้เลขท้าย ๓ ตัวมาจากหลวงพ่อ เลยแทงไป ๑๕ บาท ปรากฏว่าถูกเผง ได้มา ๖๐๐ บาท เขาดีใจมาก เที่ยวอวดใครต่อใครในหมู่บ้านว่าถูกหวย แต่พอรู้ว่า คอนซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ก็แทงหวย ๓ ตัวถูกเหมือนกัน แต่ได้เงินมากกว่าคือ ๒ , ๐๐๐ บาท เพราะแทงมากกว่า สุดเลยยิ้มไม่ออก หงอยไปทั้งวัน แถมยังโมโหตัวเองที่แทงน้อยไป

    ใจ .. ไปเที่ยวไนท์บาซ่า เห็นผ้าพื้นเมืองลายงาม ราคา ๕๐๐ บาท แต่เธอต่อได้ ๓๕๐ บาทจึงคว้าผ้าผืนนั้นกลับโรงแรมด้วยความดีใจ แต่พอรู้ว่าไก่เพื่อนร่วมห้องก็ซื้อผ้าแบบเดียวกันมา แต่ได้ราคาถูกกว่า คือ ๓๐๐ บาท ใจก็หุบยิ้มทันที ไม่รู้สึกโปรดปรานผ้าของตนอีกต่อไป

    แม้เราจะมี " โชค " หรือได้ของดีที่ถูกใจ
    แต่หากไปเปรียบเทียบกับของคนอื่นเมื่อใด
    สุขก็อาจกลายเป็นทุกข์ทันที หากรู้ว่าคนอื่นได้มากกว่า ได้ของดีกว่า
    หรือได้ของที่ถูกกว่า ส่วนของดีที่เราได้มากลับด้อยคุณค่าไปถนัดใจ

    บางครั้งอาจทำให้เราทุกข์กว่าตอนที่ยังไม่ได้ของนั้นมาด้วยซ้ำ
    ที่จริงไม่ต้องไปเทียบกับของคนอื่นก็ได้
    เพียงแค่เห็นของรุ่นใหม่วางขายหรือโฆษณาตามสื่อต่างๆ
    ก็เกิดความไม่พอใจในของเดิมที่มีอยู่ทันที
    ทั้งๆ ที่มันก็ยังใช้ได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรรบกวนใจ
    ยกเว้นข้อเดียวคือ มันสู้ของใหม่ที่วางขายไม่ได้
    ทั้งๆ ที่มีของดีอยู่กับตัว แต่คนเราแทนที่จะพอใจกลับรู้สึกเป็นทุกข์
    เพียงเพราะใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งดีกว่า (หรือมากกว่า) ที่ตัวเองยังไม่มี

    แต่เมื่อใดก็ตามที่ของชิ้นนั้นเกิดมีอันเป็นไป
    เช่นทำตกหล่นหรือถูกขโมยไป เราก็จะกลับมาเห็นคุณค่าของมัน
    และนึกเสียใจที่เสียมันไป จะกินจะนอนก็ยังนึกถึงมันด้วยความเสียดาย
    ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นใน กรณีที่เป็นสิ่งของเท่านั้น
    แต่ยังเกิดกับกรณีที่เป็นคนด้วย เช่น คนรัก หรือแม้แต่พ่อแม่และลูก

    ผู้คนจำนวนมากไม่เห็นคุณค่าหรือมีความสุขกับคนใกล้ชิด
    เพราะไปนึกเปรียบเทียบคนอื่นว่าเขามีพ่อแม่ คนรัก หรือลูกที่ดีกว่าเรา
    แต่วันใดที่เราเสียเขาไป เราถึงจะกลับมาเห็นคุณค่าของเขา
    และเศร้าโศกเสียใจจนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว
    เฝ้าหวนคำนึงถึงวันคืนเก่าๆ ที่เขาเคยอยู่กับเรา

    คนเรามักทุกข์เพราะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ยังไม่มี หรืออาลัยในสิ่งที่สูญเสียไป
    พูดให้ครอบคลุมกว่านั้นก็คือ
    ทุกข์เพราะใจยังติดยึดอยู่กับอนาคตและอดีต
    อนาคตและอดีตที่ว่ามิได้หมายถึง
    สิ่งดีๆ ที่ยังไม่มีหรือที่เสียไปเท่านั้น
    แต่ยังรวมถึงสิ่งไม่พึงปรารถนาที่ (คาดว่า) รออยู่ข้างหน้า
    เช่นอุปสรรค และสิ่งไม่พึงปรารถนาที่พานพบ คำต่อว่า หรือการกระทำที่น่ารังเกียจ

    คำตำหนิติเตียนไม่ว่าจะร ุนแรงแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้
    หากเราไม่เก็บเอาคิดซ้ำคิดซาก คำพูดเหล่านั้นผ่านพ้นไปนานแล้ว
    แต่ที่ยังบาดใจเราอยู่ก็เพราะเราไม่ยอมปล่อยวางมันต่างหาก
    ยิ่งคิดคำนึงถึงมันมากเท่าไรก็ยิ่งซ้ำเติมตัวเองมากเท่านั้น

    การเอาเปรียบ กลั่นแกล้ง ทรยศ หักหลัง ก็เช่นกัน
    แม้เป็นอดีตไปนานแล้ว แต่เราก็ยังทุกข์อยู่กับเหตุการณ์ดังกล่าว
    ไม่ใช่เพราะเขายังทำเช่นนั้นกับเราอยู่
    แต่เป็นเพราะเราชอบย้อนภาพอดีต
    กลับมาฉายซ้ำในใจอย่างไม่ยอมเลิกรา
    ย้อนแต่ละทีก็เหมือนกับกรีดแผลลงไปที่ใจ
    หยุดย้อนอดีตเมื่อใดใจก็หายเจ็บเมื่อนั้น

    อดีตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนอนาคตยังมาไม่ถึง
    แต่จะมาถึงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้!
    แต่บ่อยครั้งเรากลับยึดมั่นสำคัญหมายอย่างเป็นจริงเป็นจัง
    ว่ามันจะต้องเกิด ขึ้นแน่ เท่านั้นยังไม่พอถ้าเป็นเรื่องแง่ลบด้วยแล้ว
    เรามักจะวาดภาพไปในทางเลวร้าย
    แล้วก็ยึดมันเอาไว้ไม่ให้คลาดไปจากใจ ทั้งๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์

    ชายผู้หนึ่งเดินขึ้นตึกไปหาหมอ เพื่อฟังผลตรวจโรค
    พอหมอบอกว่า พบก้อนมะเร็งระยะที่สองในปอดของเขา
    เขาก็ถึงกับทรุด เข่าอ่อนเดินไม่ได้ กลับถึงบ้านก็กินไม่ได้
    นอนไม่หลับ ซึมไปเป็นเดือน

    ส่วนหญิงผู้หนึ่ง ป่วยกระเสาะกระแสอยู่นานหลายสัปดาห์
    แล้ววันหนึ่งหมอก็บอกว่า เธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ตับ
    จะอยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือน ปรากฏว่าผ่านไปแค่ ๑๒ วัน เธอก็สิ้นใจ
    ทั้งสองกรณีไม่ได้ทรุดฮวบเพราะโรคมะเร็งเล่นงาน
    แต่เป็นเ พราะใจเสีย ทันทีที่ได้ยินข่าวร้าย
    ใจก็นึกภาพอนาคตของตัวเองไปในทางเลวร้าย
    ยิ่งผู้ป่วยรายที่สองด้วยแล้ว
    เธอนึกไปถึงวันตายของตัวเองเลยทีเดียว
    แถมยังปรุงแต่งไปในทางที่มืดมน
    เท่านั้นไม่พอเธอยังหมกมุ่นกับภาพดังกล่าวไม่หยุดหย่อน
    ทั้งๆ ที่มันยังไม่เกิดขึ้น ผลก็คือถูกความทุกข์ท่วมทับจนมิอาจทานทนต่อไปได้

    บ่อยครั้งเราเป็นทุกข์เพราะเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
    เช่น การสอบไม่ติดหรือตกงาน
    โดยตัวมันเองไม่ก่อปัญหาแก่เรา มากเท่ากับใจที่ปรุงแต่งไปล่วงหน้า
    ว่านับแต่นี้ไปชีวิตจะลำบากยากแค้นเพียงใด แล้วจะอยู่ดูโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร
    แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจพบว่าที่แท้เราตีตนก่อนไข้ไปเอง
    เพราะปัญหาต่างๆ ที่ตามมาไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างที่คิด
    สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ในที่สุด

    อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ปรุงแต่งเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้น
    กับสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า บางครั้งเราก็ปรุงแต่งให้เลวร้ายเกินจริง
    เช่น อยู่รีสอร์ตคนเดียวกลางดึก ได้ยินเสียงผิดปกติ
    ก็ปรุงแต่งไปทันทีว่าถูกผีหลอก หรือไม่ก็มีคนจะมาทำร้าย
    เห็นคู่รักกำลังคุยอย่างสนิทสนมกับชายหนุ่มในร้านอาหาร
    ก็คิดไปทันทีว่า เธอกำลังนอกใจ

    การคิดปรุงแต่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงนั้น
    เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อใดที่เราหลงยึดว่ามันเป็นเรื่องจริง
    เราก็กำลังก่อทุกข์ให้กับตัวเอง
    แถมยังสามารถสร้างปัญหาให้แก่คนอื่นได้ด้วย

    วัยรุ่นนั่งกินอาหารอยู่หน้าร้าน เผอิญขี้นกหล่นใส่หัว
    แต่เขากลับคิดว่าเจ้าของร้านถ่มน้ำลายใส่หัว
    จึงทะเลาะกับเจ้าของร้านอย่างรุนแรง
    สักพักก็ออกจากร้านแล้วกลับมาพร้อมกับพวกอีกหลายคน
    ควักปืนออกมายิงกราด
    ถูกภรรยาเจ้าของร้านซึ่งกำลังท้อง ๕ เดือนตายคาที่
    กลายเป็นฆาตกรที่ถูกตำรวจหมายหัวทันที

    การยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง
    เป็นที่มาอีกประการหนึ่งของความทุกข์
    ทีแรกเราเป็นฝ่ายปรุงแต่งมันขึ้นมา
    แต่เผลอเมื่อใดมันก็กลับมาเป็นนายเรา
    สามารถผลักใจของเราไปสู่ความทุกข์
    และชักนำชีวิตของเราไปในทางเสื่อมได้ง่ายๆ

    กี่ครั้งกี่หนที่เราทำร้ายตัวเองและทำร้ายซึ่งกันและกัน
    เพียงเพราะหลงเชื่อ ความคิดที่เราปรุงแต่งขึ้นมา
    พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ไม่ได้ปรุงแต่งขึ้นมาเอง
    แต่เป็นความจริงแท้ๆ จะไม่ก่อปัญหา

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่สร้างความทุกข์แก่เรา
    เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ อยู่ในขณะนี้
    เช่น รถเสีย เงินไม่พอใช้ ทะเลาะกับคนรัก ลูกคบเพื่อนไม่ดี งานไม่ก้าวหน้า
    แต่ถ้าเรามัวแต่นึกถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
    ไม่ว่าจะทำอะไร ก็กวาดเอาปัญหาต่างๆ มาครุ่นคิดด้วย
    ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกันเลย เช่น กำลังทำงานอยู่
    ก็ไปกังวลถึงรถ ถึงลูก ถึงพ่อแม่ แล้วยังห่วงคู่รักอีก
    อย่างนี้แล้วจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร

    ปัญหาเป็นเรื่องที่ต้องแก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม !
    แต่เมื่อใดที่เรากวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมจิตใจ
    ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้ไข
    ก็เตรียมตัวกลุ้มได้เลย นี้เป็นการยึดติดอีกแบบหนึ่ง

    อันที่จริงแม้มีปัญหาแค่เรื่องเดียว
    แต่ถ้าหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา ก็ทำให้คลั่งได้
    ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเล็กแต่ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายๆ
    เช่น หมกมุ่นกับสิวไม่กี่เม็ดบนใบหน้าวันแล้ววันเล่า
    ก็อาจทำให้เจ็บป่วยหรือถึงกับทำร้ายตัวเองได้

    การยึดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจ
    บางครั้งก็ไปไกลถึงขนาดไปกวาดเอาปัญหาของคนอื่น
    มาเป็นของเราเสียเอง เช่น เพื่อนมาปรึกษาปัญหาชีวิต
    ก็เลยเอาปัญหาของเขามาเป็นของตนด้วย
    จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

    เท่านั้นยังไม่พอบางคนถึงกับแบกปัญหาของประเทศมาไว้กับตัว
    เลยเป็นเดือน! เป็นแค้นกับสถานการณ์บ้านเมือง
    ทะเลาะกับใครไปทั่วที่คิดต่างจากตน
    สุดท้ายก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาบ้านเมืองไป

    การยึดติดที่ลึกไป กว่านั้นคือ การยึดติดในตัวตน
    สาเหตุที่เราทะเลาะกับคนที่คิดไม่เหมือนเรา
    ก็เพราะเรายึดติดในความคิดของเรา

    ความสำคัญมั่นหมายว่านี้เป็น " ความคิดของฉัน "
    สะท้อนถึงความยึดติดในตัวตน
    หรือที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า ยึดติดใน " ตัวกู ของกู "

    นอกจากความคิดแล้ว เรายังยึดติดสิ่งต่างๆ อีกมากมายว่า
    เป็นตัวฉันของฉัน อาทิ สิ่งของ บุคคล ชุมชน ประเทศ ศาสนา
    มีอะไรมากระทบกับสิ่งนั้น ก็เท่ากับว่ากระทบ " ตัวฉัน "
    ด่าว่ารถของฉัน ก็เท่ากับด่าฉันด้วย
    วิจารณ์ศาสนาของฉันก็เท่ากับวิจารณ์ฉันด้วย

    เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อสิ่งของสูญหาย คนรักจากไป
    เราจึงอดหวนนึกถึงไม่ได้ เพราะใจยังยึดว่าเป็นของฉันอยู่
    จึงยังมีเยื่อ! ใยที่ดึงให้ใจย้อนระลึกถึงอยู่เสมอ
    เวลาให้ของแก่ใครไป ความยึดติดในของชิ้นนั้นก็ยังมีอยู่
    จึงเฝ้าดูว่าเขาจะใช้ของชิ้นนั้นหรือไม่
    ถ้าไม่ใช้ก็รู้สึกเป็นทุกข์ที่เขาไม่ได้ใช้ของ " ของฉัน "
    ญาติโยมหลายคนจึงไม่สบายใจที่พระไม่ได้ฉันอาหารที่ตนถวาย

    ยึดติดในตัว ตนอีกอย่างคือการยึดมั่นสำคัญหมายว่า
    ฉันเก่ง ฉันหล่อ ฉันเป็นส.ส. ฯลฯ ไปไหนก็อดตัวพองไม่ได้
    อยากแสดงบารมีให้ใครรู้ว่า " นี่กูนะ "
    อยู่ที่ใดก็ต้องการให้คนชื่นชม สรรเสริญ เคารพ นบไหว้
    แต่ถ้าไม่ได้รับการปฏิบัติดังกล่าว ก็จะโมโหขุ่นเคือง
    จนอาจคำรามว่า " รู้ไหมว่ากูเป็นใคร ?"
    ยิ่งเจอคำวิจารณ์ด้วยแล้ว ยิ่งทนไม่ได้เข้าไปใหญ่

    การยึดติดใน " ตัวกู ของกู หรือนี่กู! นะ " เป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ นานัปการ
    นำไปสู่การกระทบกระทั่งขัดแย้งและทำร้ายกัน
    ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเครียดบีบคั้นภายใน
    เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
    ใช่แต่เท่านั้น แม้ได้สิ่งที่พึงปรารถนา
    ก็ยังทุกข์เพราะได้ไม่สมใจ หรือทุกข์ที่คนอื่นได้มากกว่า

    ที่น่าแปลกก็คือเราไม่ได้ยึดเอาแค่สิ่งดีๆ ที่ถูกใจ
    ว่าเป็นตัวกูของกูเท่านั้น สิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกใจ
    เราก็ยังยึดเป็นตัวกูของกูอีกเช่นกัน
    เช่น ความเจ็บปวด เมื่อเกิดกับกาย
    แทนที่จะเห็นว่า กายปวดเท่านั้น กลับไปยึดเอาว่า " ฉันปวด "
    ความปวดเป็นของฉัน

    เมื่อความโกรธเกิดขึ้นกับใจ
    ก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่า " ฉันโกรธ " ความโกรธเป็นของฉัน
    ความยึดมั่นดังกล่าวรุนแรงชนิดที่ใจไม่ยอมไปไหน
    มัวจดจ่อวนเวียนอยู่กับความปวดหรือความโกรธนั้นๆ อย่างเดียว
    ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเผลอของใจ
    รู้ทั้งรู้ว่ายึดแล้วทุกข์แต่ก็ยังยึดเพราะขาดสติ
    ถ้าใจมีสติ ก็จะไม่เผลอยึดต่อไป

    ความปวดความโกรธยังมีอยู่ก็จริง แต่คราวนี้มันทำอะไรจิตใจไม่ได้
    เพราะใจไม่โดดเข้าไปให้ความปวดความโกรธเผาลน
    เหมือนกองไฟที่ยังลุกไหม้อยู่
    แต่ตราบใดที่เราไม่โดดเข้าไปในกองไฟ
    หากถอยออกมาห่างๆ เป็นแค่ผู้สังเกตเฉยๆ ไฟก็ทำอะไรเราไม่ได้

    สติช่วยให้ใจแยกออกมาอยู่ห่างๆ
    จากความเจ็บปวดแ! ละอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
    กลายเป็น " ผู้ดู " มิใช่ " ผู้ปวด " หรือ " ผู้โกรธ "
    จากความยึดติดกลายเป็นการปล่อยวาง

    การปล่อยวางดังกล่าว
    คือ หัวใจของการเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งหลาย
    เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว
    ความทุกข์ทั้งมวลเกิดจากความยึดติด
    ยึดติดอดีตกับอนาคต ยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง
    ยึดติดปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
    รวมทั้งยึดเอาปัญหาต่างๆ มาเป็นของตน
    ที่สำคัญคือ การยึดติดในตัวตน
    เมื่อใดที่ปล่อยวางจากความยึดติดดังกล่าวได้
    ความทุกข์ก็ไม่อาจทำอะไรเราได้อีกต่อไป

    สติช่วยให้เรารู้ตัวเมื่อเผลอไปอาลัยอาวรณ์ในอดีต หรือวิตกกังวลกับอนาคต
    พาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบันเมื่อรู้ตัวว่า
    เผลอไปจมอยู่กับเหตุร้ายที่ผ่านไปแล้ว
    คอยทักท้วงใจไม่ให้หลงเชื่อความคิดปรุงแต่ง
    เพราะตระหนักว่า ความจริงอาจไ! ม่เป็นอย่างที่คิด
    ในยามที่เผลอกวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจจนหนักอึ้ง

    สติช่วยให้เราแก้ปัญหาเป็นเปลาะๆ เป็นเรื่องๆ
    ไม่เอาปัญหาใดมาครุ่นคิดหากยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้
    เวลาพักผ่อน ก็พักผ่อนเต็มที่
    เมื่อถึงเวลาแก้ปัญหา ก็ใช้ปัญญาอย่างเต็มที่
    ไม่มามัวตีโพยตีพาย หรือน้อยเนื้อต่ำใจว่า "ทำไมถึงต้องเป็นฉัน ?"

    ความทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา
    แต่อยู่ที่ว่าเรามีท่าทีหรือรู้สึกอย่างไรกับมันต่างหาก

    แม้ปัญหาจะหนัก แต่ถ้าเริ่มต้นจากการยอมรับมันว่า
    เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
    ไม่ปฏิเสธผลักไสมันหรือก่นด่าชะตากรรม
    ตั้งสติให้ได้แล้วหาทางแก้ไขมัน
    แต่ขณะที่มันยังไม่หายไปไหน ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน

    ไม่หวนนึกถึงอดีตอันผาสุก หรือปรุงแต่งอนาคตไปในทางเลวร้าย
    ขณะเดียวกันก็ไม่หมกมุ่นอยู่กับปัญหา
    หากปล่อยวางมันบ้าง ความสุขก็หาได้ไม่ยาก

    นายทหารผู้หนึ่งไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า
    กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานที่ทรงเคยเป็นอุปัชฌาย์ของตนมาก่อน
    พอ! ไปถึงประโยคแรกที่กราบทูลก็คือ " หนักครับ ช่วงนี้แย่มากเลยครับ "
    ว่าแล้วเขาก็ทูลเล่าปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามาในชีวิต

    สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงฟังอยู่นาน
    แทนที่จะตรัสแนะนำหรือปลอบใจ
    พระองค์กลับรับสั่งให้เขานั่งคุกเข่า ยื่นมือสองข้าง
    แล้วพระองค์ก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งวางบนฝ่ามือของเขา
    " นั่งอยู่นี่แหละ อย่าไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา "

    รับสั่งเสร็จพระองค์ก็เสด็จเข้าไปในตำหนัก
    นายทหารนั่งในท่านั้นอยู่นาน จาก ๑๐ นาทีเป็น ๒๐ นาที
    สมเด็จพระสังฆราชก็ยังไม่เสด็จออกมา
    เขาเริ่มเหนื่อย มือและขาเริ่มสั่น กระดาษชิ้นเล็กๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ
    จนประคองแทบไม่ไหว พอสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเสด็จกลับมา
    ก็ทรงถามว่า " เป็นไง ?"

    คำตอบของเขาคือ " หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว "
    " อ้าว ทำไมไม่วางมันลงเสียละ ?"
    สมเด็จรับสั่ง " ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่ยังงั้นนะซี
    มันจะเป็นอื่นไปได้ยังไง "

    กระดาษที่เบาหวิว แต่หากถือไว้นานๆ
    ไม่ยอมปล่อย ก็กลายเป็นของหนักไปได้
    แต่ปัญหาถึงจะใหญ่โตเพียงใด
    ถ้าไม่ยึดถือเอาไว้ ก็ไม่ทำให้เรา! ทุกข์ได้

    ใช่หรือไม่ว่าหินก้อนใหญ่จะกลายเป็นของหนัก
    และสร้างทุกข์ให้แก่เราก็ต่อ เมื่อเราแบกมันเอาไว้เท่านั้น
    เมื่อมีสติรักษาใจ รู้เท่าทันความคิด ไม่เผลอยึดติดจนจิตหนักอึ้ง
    แม้งานจะยาก อุปสรรคจะเยอะ ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
     
  18. ameedee

    ameedee สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    เนื้อหาเป็นความรู้มากเลยครับ
    ขอบคุณครับ

    เดียวนี้ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ไม่ว่าทานอะไรก็เป็นอันตรายหมดอะครับ
    ขนาดผักปลอดสารพิษยังมีข่าวว่า เอาผักที่มีสามรพิษมาขาย แล้วเผาทรายให้ร้อนแล้วเอามาลาดผักให้ผักเป็นรู แล้วบอกว่าเป็นผักปลอดสารพิษด้วยครับ เหอะๆ

    พอดูข่าวแล้วกินอะไรก็ตายหมดเลยครับสมัยนี้ 555

    คิดดี ทำดี กินอย่างพอดี ครับ
     
  19. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    คนเรานี่ก็ช่างทำจริงๆ

    เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ

    คิดดี ทำดี กินอย่างพอดี ครับ

    โมทนา สาธุ
     
  20. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    ธรรมะมาฝากครับ

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อรรถกถา
    มหาสติปัฏฐานสูตร ธรรมเป็นเหตุเกิดวิริยสัมโพชฌงค์


    [​IMG]

    หากรู้สึกว่า ไม่อยากภาวนาเลย อยากนอน ขี้เกียจ
    ให้พิจารณาเพื่อเพิ่มวิริยะ ดังต่อไปนี้

    อรรถกถา มหาสติปัฏฐานสูตร ธรรมเป็นเหตุเกิดวิริยสัมโพชฌงค์
    ธรรม ๑๑ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดแห่งวิริยสัมโพชฌงค์ คือ

    ๑. การพิจารณาเห็นภัยในอบาย
    ๒. การเห็นอานิสงส์ของความเพียร
    ๓. การพิจารณาวิถีทางดำเนิน
    ๔. ความเคารพยำเกรงในบิณฑบาต
    ๕. การพิจารณาความเป็นใหญ่แห่งการรับทรัพย์มรดก
    ๖. การพิจารณาความมีพระศาสดาเป็นใหญ่
    ๗. การพิจารณาความมีชาติเป็นใหญ่
    ๘. การพิจารณาความมีสพหมจารีเป็นใหญ่
    ๙. การงดเว้นบุคคลเกียจคร้าน
    ๑๐. การคบหาบุคคลผู้ปรารภความเพียร
    ๑๑. ความน้อมจิตไปในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น.


    ๑. การพิจารณาเห็นภัยในอบาย
    บรรดาธรรม ๑๑ ประการนั้น เมื่อภิกษุผู้เจริญวิริยสัมโพชฌงค์
    แม้พิจารณาเห็นภัยในอบายอย่างนี้ว่า

    ใครๆ ไม่อาจยังวิริยสัมโพชฌงค์ให้เกิดได้
    ๐ในเวลาที่เสวยทุกข์ใหญ่จำเดิมแต่ถูกลงโทษด้วยเครื่องจองจำ ๕ ประการในนรกก็ดี
    ๐ในเวลาที่ถูกเขาจับด้วยเครื่องจับมี ข่าย แห และอวนเป็นต้นบ้าง
    ๐ในเวลาขับต้อนทิ่มแทงด้วยเครื่องประหารมีปะฏักเป็นต้น ให้ลากเกวียนบ้าง
    ๐ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็ดี
    ๐ในเวลาที่ทุรนทุรายด้วยความหิวกระหายตั้งหลายพันปีบ้าง พุทธันดรหนึ่งบ้าง ในเปรตวิสัยก็ดี
    ๐ในเวลาที่ต้องเสวยทุกข์อันเกิดแต่ลมและแดดเป็นต้น ด้วยเรือนร่างที่สูงประมาณ ๖๐ ศอก ๘๐ ศอก
    เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ในจำพวกกาลกัญชิกอสูรก็ดี

    ดูก่อนนะภิกษุ เวลานี้เท่านั้น เป็นเวลาทำความเพียรของเธอ ดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้นได้.

    ๒. การเห็นอานิสงส์
    เมื่อเห็นอานิสงส์อย่างนี้ว่า คนเกียจคร้านไม่อาจได้โลกุตตรธรรม ๙
    คนที่ปรารภความเพียรเท่านั้นจึงสามารถ
    นี้เป็นอานิสงส์ของความเพียร ดังนี้วิริยสัมโพชฌงค์ก็ย่อมเกิดได้.

    ๓. การพิจารณาวิถีทางดำเนิน
    เมื่อพิจารณาวิถีทางดำเนินอย่างนี้ว่า ควรดำเนินทางที่พระพุทธเจ้า
    พระปัจเจกพุทธเจ้า พระมหาสาวกทุกพระองค์ดำเนินไปแล้ว
    ทางนั้น คนเกียจคร้านไม่อาจเดินไปได้ ดังนี้วิริยสัมโพชฌงค์ก็ย่อมเกิดได้.

    ๔. การเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาต
    เมื่อพิจารณาความเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาตอย่างนี้ว่า
    มนุษย์เหล่าใดบำรุงเธอด้วยปัจจัยมีบิณฑบาตเป็นต้น
    มนุษย์เหล่านั้นนี้ ก็ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ทาส และคนงานของเธอเลย
    ทั้งมนุษย์เหล่านั้นก็มิใช่ถวายปัจจัยมีจีวรเป็นต้นอันประณีตแก่เธอ
    ด้วยคิดว่าจักอาศัยเธอเลี้ยงชีวิต โดยที่แท้ เขาหวังให้อุปการะที่ตนทำแล้วมีผลมาก จึงถวาย

    แม้พระศาสดาก็มิได้ทรงพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า
    ภิกษุนี้บริโภคปัจจัยเหล่านี้แล้ว จักมีร่างกายแข็งแรงมากอยู่เป็นสุข
    ดังนี้ แล้วทรงอนุญาตปัจจัยแก่เธอ โดยที่แท้ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า
    ภิกษุบริโภคปัจจัยเหล่านี้ บำเพ็ญสมณธรรม จักพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะได้ดังนี้
    จึงทรงอนุญาตปัจจัยไว้ เดี๋ยวนี้ เธอเกียจคร้านอยู่ ไม่เคารพยำเกรงบิณฑบาตนั้น

    ขึ้นชื่อว่าการเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาต ย่อมมีแก่ผู้ปรารภความเพียรเท่านั้น
    ดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ก็เกิดได้
    เหมือนวิริยสัมโพชฌงค์เกิดแก่ท่านพระมหามิตตเถระฉะนั้น.

    เรื่องพระมหามิตตเถระ

    เล่ากันว่า พระเถระอาศัยอยู่ในถ้ำชื่อ กสกะ.
    และมหาอุบาสิกาผู้หนึ่งในบ้านเป็นที่โคจรของท่าน บำรุงพระเถระเหมือนบุตร.

    วันหนึ่ง นางจะไปป่า จึงสั่งลูกสาวว่า ลูก ข้าวสารเก่าอยู่โน้น
    น้ำนม เนยใส น้ำอ้อย อยู่โน้น เวลาที่พระเป็นเจ้ามิตตะ พี่ชายของเจ้ามาแล้ว
    จงปรุงอาหารถวายพร้อมด้วยน้ำนม เนยใส และน้ำอ้อย ด้วยนะลูก.

    ลูกสาวถามว่า ก็แม่จะรับประทานไหมจ๊ะ.
    มหาอุบาสิกาตอบว่า ก็เมื่อวานนี้ แม่รับประทานอาหารสำหรับค้างคืน (ปาริวาสกภัต)
    ที่ปรุงกับน้ำส้มแล้วนี้จ๊ะ.

    ลูกสาวถามว่า แม่จักรับประทานกลางวันไหมจ๊ะ.
    มหาอุบาสิกาสั่งว่า เจ้าจงใส่ผักดองแล้วเอาปลายข้าวสาร
    ต้มข้าวต้มมีรสเปรี้ยวเก็บไว้ให้เถอะลูก.

    พระเถระครองจีวรแล้วกำลังนำบาตรออก (จากถลก) ได้ยินเสียงนั้นแล้ว
    ก็สอนตนเองว่า ได้ยินว่า มหาอุบาสิการับประทานแต่อาหารสำหรับค้างคืนกับน้ำส้ม
    แม้กลางวันก็จักรับประทานข้าวต้มเปรี้ยวใส่ผักดอง
    นางบอกอาหารมีข้าวสารเก่าเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่เธอ
    ก็มหาอุบาสิกานั้นมิได้หวังที่นาที่สวน อาหาร และผ้า เพราะอาศัยเธอเลย
    แต่ปรารถนาสมบัติ ๓ ประการ (มนุษย์สมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ) จึงถวาย
    เธอจักสามารถให้สมบัติเหล่านั้นแก่มหาอุบาสิกานั้นได้หรือไม่เล่า ดังนี้

    ท่านคิดว่า บิณฑบาตนี้แล เธอยังมีราคะโทสะโมหะอยู่ ไม่อาจรับได้ดังนี้แล้ว
    ก็เก็บบาตรเข้าถลก ปลดดุมจีวร กลับไปถ้ำกสกะเลย เก็บบาตรไว้ใต้เตียง พาดจีวรไว้ที่ราวจีวร
    นั่งลงอธิษฐานความเพียรว่า เราไม่บรรลุพระอรหัต จักไม่ออกไปจากถ้ำดังนี้.
    ภิกษุผู้ไม่ประมาทอยู่มาช้านาน เจริญวิปัสสนา ก็บรรลุพระอรหัตก่อนเวลาอาหารเช้า
    เป็นพระมหาขีณาสพ (สิ้นอาสวะแล้ว) นั่งยิ้มอยู่ เหมือนดอกปทุมที่กำลังแย้มฉะนั้น.

    เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นไม้ใกล้ประตูถ้ำเปล่งอุทานว่า
    นโม เต ปุริสาชญฺญ นโม เต ปุริสุตฺตม
    ยสฺส เต อาสวา ขีณา ทกฺขิเณยฺโยสิ มาริส

    ท่านบุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน
    ท่านยอดบุรุษ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน ข้าพเจ้าขอ
    นอบน้อมท่านผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ท่านผู้นิรทุกข์ ท่าน
    เป็นผู้ควรทักษิณาทาน ดังนี้

    แล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า พวกหญิงแก่ถวายอาหารแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย
    เช่นท่านผู้เข้าไปบิณฑบาต จักพ้นจากทุกข์ได้ ดังนี้.

    พระเถระลุกขึ้นเปิดประตูดูเวลา ทราบว่ายังเช้าอยู่ จึงถือบาตรและจีวรเข้าสู่หมู่บ้าน
    ฝ่ายเด็กหญิงจัดเตรียมอาหารเสร็จแล้ว นั่งคอยดูอยู่ตรงประตู
    ด้วยนึกว่า ประเดี๋ยวพี่ชายเราคงจักมา ประเดี๋ยวพี่ชายเราคงจักมา.

    เมื่อพระเถระมาถึงประตูเรือนแล้ว เด็กหญิงนั้นก็รับบาตรบรรจุเต็มด้วยอาหารเจือน้ำนม
    ที่ปรุงด้วยเนยใส และน้ำอ้อยแล้ว วางไว้บนมือ (ของพระเถระ).
    พระเถระทำอนุโมทนาว่า จงมีสุขเถิด แล้วก็หลีกไป.
    เด็กหญิงนั้นยืนจ้องดูท่านอยู่แล้ว. ความจริง ในคราวนั้น ผิวพรรณของพระเถระบริสุทธิ์ยิ่งนัก
    อินทรีย์ผ่องใส หน้าของท่านเปล่งปลั่งยิ่งนัก ประดุจผลตาลสุกหลุดออกจากขั้วฉะนั้น.

    มหาอุบาสิกากลับมาจากป่าถามว่า พี่ชายของเจ้ามาแล้วหรือลูก.
    เด็กหญิงนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้มารดาฟัง.

    มหาอุบาสิกาก็รู้ได้ว่า วันนี้ บรรพชิตกิจแห่งบุตรของเราถึงที่สุดแล้ว
    จึงกล่าวว่า ลูก พี่ชายของเจ้ายินดียิ่งนักในพระพุทธศาสนา ไม่กระสัน (อยากสึก) แล้วล่ะดังนี้.
     

แชร์หน้านี้

Loading...