อยากบรรลุธรรมเข้ามา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 13 ธันวาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ผมเข้าใจว่าท่านใช้คำว่า..ศรัทธา..ผิดเจตนาไป..
    น่าจะใช้คำว่า.."กำลังจิต"..เพราะกำลังจิตเกิดจาก ศรัทธา การเพียรปฏิบัติที่ต่อเนื่อง ยาวนานจนสันตติ ..
    สติปัญญา เขาจะส่งผลกันเองให้เข้มแข็งเกิดมหาสติ มหาปัญญา มหากำลังความเพียรเอง..ตรงนี้ไม่น่าใช้คำว่า ศรัทธา..น่าจะใช้คำว่า..กำลังจิตหรือกำลังความเพียร ครับ:cool:
     
  2. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    มีสมัยหนึ่งมีบุรุษชื่อว่า ศักดิ์ชัย เป็นคนไม่ชอบทำบุญ ชอบทำแต่กรรมดำไม่ชอบทำกรรมขาว ทำงานมีรายได้มาก แต่ไม่ชอบทำทานเลย ถึงทำก็ทำเล็กน้อย 20บ้าง100บ้าง ก็ทำแบบไม่เต็มใจ ทำแบบใจไม่ยินดีในทานนั้นเลย จนได้มาศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า ได้ปฎิบัติธรรมอยู่ตลอด แต่ด้วยบุพกรรมเก่าทำให้เขาต้องตกต่ำมีรายได้น้อย แต่ต้องมีภาระมากที่เดียว อยู่มาวันหนึ่งมีภรรยาเกิดอยากทำบุญเป็นเงินจำนวนไม่มากและก็ไม่น้อยเป็นจำนวน50000 ก็มาปรึกษาบุรุษที่ชื่อว่าศักดิ์ชัยผู้เป็นสามี บุรุษหนุ่มก็เกิดความยินดีอย่างมากที่ภรรยาคิดบริจาคเงินจำนวนนั้นและมีความสุขแก่การบริจาคครั้งนี้ยิ่งนัก ทั้งๆเงินที่เก็บสะสมของบุรุษผู้นี่นั้นสัก1000ก็ยังจะหามีไม่ถ้าเป็นสมัยก่อนก็คงจะหาคำมากล่าวห้ามตักเตือนว่าทำไมต้องทำขนาดนี้เพราะเราไม่ได้เป็นผู้มีทรัพย์มาก แต่กับยินดีที่ภรรยาชวนทำบุญเป็นจำนวนเงิน50000 จำนวนเงินมากน้อยไม่สำคัญ สำคัญการยินดีในการทำบุญครั้งนั้นมันมากมายจริงๆจากใจ ตื่นเต้นมีความสุขที่ได้กระทำมากๆ ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร จำได้ไม่เคยลืมความสุขที่ได้บริจาคที่มันออกมาจากใจจริงมันช่างวิเศษพึ่งเข้าใจถึงการทำทานที่บริสุทธิ์นำสุขมาให้จริงๆ
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ฮึ่ย... เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า...
    การตกกระแสนิพพานครั้งนึงแล้ว มันจะเข้าใจเรื่องการไม่มีตัวตน ไปเรียบร้อยแล้ว มันเป็นช่วงที่เห็นถึงสภาวะปราศจากตัวตน ปราศจากเขาปราศจากเรา ชั่วคราว

    ความรู้นั้น ได้บังเกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่กำลังที่ต้องสะสมมันยังไม่ถึงพร้อมสำหรับการไม่หลุดออกมาจากสภาวะนั้น จึงต้องทำต่อไปเพื่อให้ถึง

    ถ้าไม่เห็นข้อนี้ จะเลิกสงสัยในธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งปวง ด้วยจิต ได้อย่างไร?
     
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    นั่น นั่น....

    ไปยึดเอาสุขเวทนาอีก

    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้กำหนดรู้แล้วละ ยังจะไปสอนให้คนยึดอีก!!!!!!!
     
  5. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ที่ท่านกล่าวมานั้น ข้าพเจ้าไม่ขอค้านครับ แต่จิตในขณะนั้น ขณะที่จะไปต่อหรือถอยกับมีกำลังเท่าๆกัน ข้าพเจ้าคิดถึงพระพุทธองค์ขึ้นมาทำให้ข้าพเจ้าไปต่อจนพบความจริง
     
  6. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ข้าพเจ้าจะยึดหรือจะคลายคงแล้วแต่กำลังปัญญาที่มีจริง เพียงแต่เล่าว่าอาการที่ปรากฎ ต่อการที่เรารู้จักธรรมะก่อนและหลังในเรื่องของการบริจาคทาน
     
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    แล้วก่อนเล่า ได้พิจารณาไหม ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักปฏิบัติในชั้นนี้หรือเปล่า

    จริงอยู่ การชักชวน ปลูกศรัทธาให้คนบริจาคทาน นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็เป็นเรื่องของเปลือกไม้เท่านั้น

    เราพูดกันถึงแก่นไม้ ยังจะดึงคนให้ออกไปหาเปลือกไม้อีกทำไม?

    หรือ อย่างที่เคยถามไป นั่นแหละ ว่า เห็นประโยชน์ ของการแสดงสิ่งที่ตัวเองเคยประสบพบมา แม้จะเป็นเรื่องของการชี้นำให้คนเดินทางย้อนศรจากเส้นทางที่ควรจะเดิน

    เห็นประโยชน์ในข้อนี้ มากกว่าการแนะนำให้คนเดินตรงทาง ในทิศทางตามทางที่พระพุทธองค์แนะนำไว้หรือ?
     
  8. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    สิ่งที่ท่านกล่าวมาเราเข้าใจดีเพราะเราผ่านมาแล้วแบบนั้น แต่เราเป็นเพียงผู้เข้าถึงกระแสเท่านั้น การกล่าวธรรมต่างๆต่อไปก็ต้องยังมีโลภ โกรธหลงอยู่บ้างก็เป็นธรรมดา แล้วท่านยกสุภาษิต พระอรหันต์ที่กล่าวธรรมโดยไม่มีตัวตนเข้าไปเกี่ยว เราจะทำได้อย่างไรหรือ อย่างเช่นเรามีความยินดีในสุขระหว่างการทำทาน เรายินดีก็เพราะเรายังเหลือการยินดีอยู่แต่สติที่ระลึกรู้สภาวะทุกสภาวะเป็นอนัตตาก็ทำในส่วนนั้นไปตามการปรุ่งแต่งของสังขารขันต์ แต่จะให้ข้าพเจ้าตัดความยินดีได้จริงๆคงยังไม่ใช่ตอนนี้ที่ข้าพเจ้าจะทำได้ เพราะข้าพเจ้าก็บอกตลอดว่าข้าพเจ้ายังไม่ใช่อรหันต์
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..........พระวจนะ---การดำรงชีพชอบ ตามหลักอริยวงค์--พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย อริยวงค์ สี่อย่างเหล่านี้ ปรากฎเป็นธรรมอันเลิศ ยั่งยืนเป็นแบบแผนมาแต่ก่อน ไม่ถูกทอดทิ้ง แล้วไม่เคยถูกทอดทิ้งเลย ไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ จักไม่ถูกทอดทิ้ง เป็นธรรมอันสมณะพราห์มทั้งหลายที่เป็นผู้รู้ไม่คัดค้านแล้ว อริยวงค์สี่อย่าง อะไรบ้างเล่า สี่อย่างคือ 1 ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ และเป็นผู้สรรเสริญ ความสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ ไม่ทำอเนสา(การแสวงหาไม่สมควร) เพราะจีวรเป็นเหตุ ไม่ได้จีวรก็ไม่ทุรนทุราย ได้จีวรแล้วก็ไม่ยินดีเมาหมกพัวพัน เห็นส่วนที่เป้นโทษแห่งสังสารวัฎฎ์ มีปัญญาในอุบายที่จะถอนตัวออกเสมอ นุ่งห่มจีวรนั้น อนึ่งไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะความสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้นั้น ก็ภิกษุใดเป็นผู้ฉลาด ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติมั่น ในความสันโดษด้วยจีวร ตามมีตามได้นั้น เราเรียกภิกษุนี้ว่า ผู้สถิตย์อยู่ในอริยวงค์ อันปรากฎว่าเป็นธรรมเลิศมาแต่เก่าก่อน......2 อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยบิณบาตตามมีตามได้ และเป้นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วยบิณบาตตามมีตามได้ ไม่ทำอเนสา(การแสวงหาไม่สมควร)เพราะบิณบาตเป็นเหตุ ไม่ได้บิณบาตก็ไม่ได้ทุรนทุราย ได้บิณบาตแล้วก็ไม่ได้ยินดีเมาหมกพัวพัน เห็นส่วนที่เป้นโทษแห่งสังสารวัฎฎ์ มีปัญญาในอุบายที่จะถอนตัวออกอยู่เสมอ บริโภคบิณบาตรนั้น อนึ่งไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะความสันโดษด้วยบิณบาตรตามมีตามได้นั้น ก็ภิกษุใดเป้นผู้ฉลาด ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติมั่น ผู้สถิตย์อยู่ในอริยะวงค์ อันปรากฎว่าเป็นธรรมอันเลิศมาแต่เก่าก่อน...3 อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ สันโดษด้วยเสนาสนะ ตามมีตามได้ และเป็นผู้สรรเสริยความสันโดษด้วยเสนาสนะ ตามมีตามได้ ไม่ทำอเนสา(การแสวงหาไม่สมควร) เพราะเสนาสนะเป้นเหตุ ไม่ได้เสนาสนะก็ไม่ทุรนทุราย ได้เสนาสนะแล้วก้ไม่ยินดีเมาหมกพัวพัน เห้นส่วนที่เป้นโทาแห่งสังสารวัฎฎ์ มีปัญญาอุบายที่จะถอนตัวออกอยู่เสมอ ใช้สอยเสนาสนะนั้น อนึ่งไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะความสันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้นั้น ก้ภิกษุใดเป้นผู้ฉลาด ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติมั่น ในความสันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้นั้น เราเรียกภิกษุนี้ว่า ผู้สถิตยือยู่ในอริยวงค์ อันปรากฎว่าเป็นธรรมอันเลิศมาแต่เก่าก่อน.....4 อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีใจยินดี ในการบำเพ็ญ ยินดีแล้วในการบำเพ็ญสิ่งที่ควรบำเพ็ญ เป้นผู้ยินดีในการละสิ่งที่ควรละ ยินดีแล้วในการละสิ่งที่ควรละ อนึ่งไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะเหตุดังกล่าวนั้น ก็ภิกษุใดเป็นผู้ฉลาด ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติมั่น ในการบำเพ็ญ สิ่งที่ควรบำเพ็ญ เป็นผู้มีใจยินดีในการละสิ่งที่ควรละ นั้น เราเรียกภิกษุนี้ว่า ผู้สถิตย์อยู่ในอริยวงค์ อันปรากฎเป็นธรรมอันเลิศมาแต่เก่าก่อน....ภิกษุทั้งหลาย อริยวงค์สี่อย่างเหล่านี้แล ปรากฎว่าเป้นธรรมอันเลิศ ยั่งยืน เป็นแบบแผน มาแต่เก่าก่อน ไม่ถูกทอดทิ้งแล้ว ไม่เคยถูกทอดทิ้งเลย ไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ จักไม่ถูกทอดทิ้ง เป้นธรรมอันสมระพราห์มณ์ทั้งหลายที่เป้นผู้รู้ไม่คัดค้านแล้ว..ภิกษุทั้งหลาย ก็แล ภิกษุเป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยอริยวงค์สี่อย่างเหล่านี้ แม้หากอยู่ในทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ เธอย่อมย่ำยี ความไม่ยินดีเสียได้ข้างเดียว ความไม่ยินดีหาย่ำยีเธอได้ไม่ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไร เพราะเหตุว่า ภิกษุผู้มีปัญญา ย่อมเป้นผู้ย่ำยีเสียได้ ทั้งความไม่ยินดีและความยินดี ดังนี้----จตุกก.อํ.21/35/28...:cool: น่าสนใจคำว่าไม่ยกตนข่มผู้อื่น..กับ คำว่า " ย่ำยีเสียได้ ทั้งความไม่ยินดีและความยินดี" ในพระสูตรนี้นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  10. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    มีใครบ้างที่มีปัญญามากจะเดินย้อนสอน คงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าท่านจะพอเข้าใจว่าธรรมทั้งหลายเกิดตามเหตุปัจจัย
    เรารู้เท่านี้เราก็กล่าวเท่านี้ตามความรู้ที่เรามี แต่ละท่านก็เป็นผู้มีปัญญาก็ตวรจทานเอาเถอะข้ามมาแล้วก็ไปเลย ส่วนท่านใดพึ่งเริ่มหรือเดินบนมิจฉามรรคก็ยังมีประสบการณ์เล่าไว้ให้ฟังเป็นแง่คิด ขอเพียงผู้มีจริตตรงปฎิบัติตามบรรลุธรรมก็ถือว่าว่าคุ้มแล้ว
     
  11. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ขอท่านทั้งหลายจงพิสูจน์ธรรมนั้นด้วยตัวเองเถอะ เราบอกอาการให้เห็นแล้ว ไม่มีใครจะรู้เท่ากับเรารู้ตัวเราเอง ส่วนคำว่ายกตนข่มท่านนั้นน่าสนใจนัก
     
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    คฤหัสถ์ กับ บรรพชิต ก็มี สัมมาอาชีวะต่างกันอยู่ ทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม...ถ้าเอามาปนเปกัน ดูจะไม่ลงตัวเท่าไหร่..:cool:
     
  13. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ดูที่อาการของจิตภายใน ภายนอกก็ย่อมต่างกันไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศ
     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เรื่องอื่นไม่เป้นไร. แต่..ในเมื่อท่าน จขกท ยกเรื่องการทำทานขึ้นมากล่าว...:cool: น่าสนใจคำว่า " ย่ำยีเสียได้ทั้ง ความยินดี และความไม่ยินดี"................ที่ยกเรื่องนี้มา เพราะเห็นว่า ท่าน จขกท มายกวาทะ กล่าวเรื่อง "การคุยเล่นทางปัญญา" กับการทำทาน...ที่ท่านกล่าวเหมือนยกให้เป็นสิ่งที่สูงค่า จน ผมอ่านแล้ว ต้อง มาต่อ ให้ท่านอธิบายต่อ ได้ใหม?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  15. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ฮั่นแน่ อุปทานกินชัดเจนขึ้นมาเลยนะนี่

    คุณเอา ปรมัตถ์คือความว่าง ใช่ไหม พอ ตรึกเอาว่า ปรมัตถ์เป็นความ
    ว่าง อันนี้ หนึ่งดอกแล้วนะว่า อุปทานกิน

    พอ อุปทานความว่างคือปรมัตถ์ปั๊ป ก็จะแล่นไปสู่ทิฏฐิ ขาดสูญ ผลของ
    การทำทาน ผลของกรรมไม่มี เพราะมัน " ว่าง " ใช่ไหม

    ทีนี้ เวลา ทิฏฐิมันเล่นงานเนี่ยะ อุปทานเล่นงานเนี่ยะ ปรกติ มันจะมี
    อีกสอง วาระจิต ที่มันจะเก็บผลงาน คือ ตัณหาปักจิต แล้วตามด้วยอวิชชา
    ปิดบังการเห็น ซึ่ง

    อันนี้มันก็ชัดเจนว่า ทิฏฐิมันแล่นกลับไปเรื่องโลกๆ

    ดูแบบเผินๆ เหมือน คนปรารภแบบนี้รู้ธรรม เข้าใจโลก

    แต่จริงๆ เนี่ยะ ความเท่ากันของ ทาน ศีล และ ภาวนา คือ อาศัยระลึก

    มีมาก มีน้อย ศีลดี หรือ ไม่ดี ภาวนาเจริญ หรือ เสื่อม เขาไม่ได้วัดกันที่
    คุณภาพ มาก น้อย ดี ไม่ดี เจริญ หรือ เสื่อม

    แต่เขาวัดกันที่ เอามาอาศัยระลึกรู้ เป็นเครื่องรู้ของจิต เพื่อ สวนกระแส
    ไปเห็น "......" ได้หรือเปล่า หากได้ เขาก็เรียกว่า พ้น หรือ ไม่ติดข้อง
    ไม่ยึดมั่นถือมั่น

    แต่ถ้า พวกภาวนาไม่เป็น พอพูดเรื่องทาน เวลา ชาวพุทธกล่าวว่า
    อาศัยระลึก ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไอ้พวกอุปทานยังสวาปามกระบานได้ยิน
    แล้ว จะรังเกลียดชาวพุทธขึ้นมาทันที เพราะ มันดันฟังแล้วแปลความ
    ไปว่า ชาวพุทธสงสัยจะไม่ทำทานเสียกระมัง ( มันจะเหมือน ปัญหา
    ที่ เขาถามๆกันว่า หากคนไปบวชเสียหมดโลกจะเป็นยังไง ..หรือ
    หากไม่มีคนทำทานแล้วโลกจะงามได้อย่างไร เหล่านี้ คือ ตัวบอกว่า ผู้
    กล่าวยังภาวนาไม่เป็นสักแอะ )


    เนี่ยะ ศึกษาธรรมโดยเอาอุปทานเข้าว่า มันมีเต็มๆ ในทุกความคิดของคุณเลย

    ภาวนาผิดแล้วหละ เชื่อสิ

    เรื่อง ทาน เนี่ยะนะ คุณเอา ตรงนี้มายกอ้างสุ่มสี่สุ่มห้า หลอกชาวพุทธแท้ๆ
    ไม่ได้หรอก เพราะว่า

    มี หลวงตาท่านหนึ่ง ท่านเดินพฤติจิต เอาไว้ให้เห็นเป็นตัวอย่าง

    หากใครเล็งเห็น พฤติจิต ปัญญาขันธ์ ศีลขันธ์ ของหลวงตาท่านนั้นแล้ว
    ละเมอ เอา ศรัทธา เข้าปลกๆ นะ หลวงตาท่านนั้นท่านก็ดักไว้แล้วว่า
    หากเห็นแค่นี้แล้วบอกว่า ศรัทธา ศรัทธา เชื่อเอา อันนี้ ชาวพุทธจำแนก
    แยกแยะพวกปลอมปนศาสนาออกทันที

    พวก เชื่อเอา พะโล้ มาเชียวเนี่ยะ หลอก ตบตา คนภาวนาที่อาศัยพฤติจิต
    ของหลวงตาท่านแสดงไว้เป็นตัวอย่าง เป็นหลักในการพินา ไม่ได้หลอก

    แล้ว ยิ่งเรื่อง ทาน อันนี้ยิ่งชัดเจนเลย หากใครตาดีจะเห็นเลย การทำทาน
    แบบ ของแท้ๆ จิตแท้ๆ เนี่ยะเป็นยังไง

    จะมายกว่า ทำทานเพราะเป็นเครื่องหมายอริยะ อันนี้ โง่นะ หากปรารภแบบ
    นี้เพราะ หลวงตาท่านนั้น ท่านหนักแน่นทำนองว่า

    " มีเหรอ เราทำแล้วเราได้อะไรมาเหรอ เราไม่เคยได้อะไรมา จิตเราย่อม
    ไม่เอาสิ่งนี้แล้ว เข้าใจเหรอ !? "

    แต่ เราเห็นท่านขยันทำ ใช่ไหม ท่านขยันทำทาน ปุถุชนก็จะปลกๆ ไป
    ตามประสานะ ยิ่งพวกโลภยังกุมจิตนี่ จะบอกว่า โอ้โห ต้องได้อานิสงค์
    อะไรแน่ๆเลย จากการทำทาน นั้นๆ ชีวิตจะต้องดีแน่ๆ

    อันนี้ก็อีก หลวงตาท่านกล่าวหนักแน่นตบเข้ามาอีก

    " มีเหรอ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราได้อะไรมาเหรอ จิตเราย่อม
    ไม่เอาสิ่งนี้แล้ว เข้าใจเหรอ !? "

    แล้วท่านทำ ทำไม ก็ท่าน จะสอนให้หมั่น ระลึก มีของไว้ระลึก ไง
    ท่านสอนแต่การ ภาวนา ท่านไม่ได้สอนเรื่อง บ้าทาน บ้าศีล บ้าข้อวัตร
    หมากัดกัน

    ***************

    คุณ จขกท คุณจะเอา ปรัชญาอะไรของคุณ มาอธิบายการ ภาวนา นั้น
    ไม่ได้หรอก ยังไงมันก็ไม่เหมือน และ ที่ผิดมันมียุบยับไปหมด คุณอาจจะ
    รู้สึกว่า กล่าวถูก เพราะได้กล่าว ปรัชญา ภาษิต สวยๆ ที่ ชาวโลกเขา
    ฮานาก้า

    ยิ่งคุณปรารภออกเชิงโลกธรรม การอยู่เย็นเป็นสุขแบบชาวบ้านๆ มาก
    เท่าไหร่ คุณก็ยิ่ง ลำบากมากขึ้นเท่านั้น เพราะ หากเอา อุปทานแสวง
    หาการหลุดพ้น มันจะย้อนทำลายตัวจิตนั้นๆเอง การ ภาวนา มันไม่ใช่
    เรื่องกิ๊กๆก๊อกๆ " คุณค่า ความงาม ว่าด้วยวิถีชีวิต " จืดๆแค่นั้นหรอกน๊า...

    ******************

    วิธีแก้คือ เลิกสทนาธรรมสักสามเดือน หากทำได้ ก็อาจจะพอเห็น
    นะว่า อุปทานกัดเหวะหวะแค่ไหน แต่ถ้าสามเดือนแล้ว ยังปรารภแบบ
    เดิม ก็เว้นไปอักสัก สามปี สามปีไม่หาย ก็เว้นไปอีกเท่าไหร่ก็แล้ว
    แต่จะพิจารณา .........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  16. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ผมเลยกล่าวถึง คฤหัสถ์ และ บรรพชิต...คิดว่าท่าน อ่านแล้วคงเข้าใจ--------พระวจนะสัมมาทิฎฐิโดยปริยายสองอย่าง พระวจนะ"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฎฐิ เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวแม้สัมมาทิฎฐิมีอยู่โดยส่วนสอง คือ สัมมาทิฎฐิ ที่ยังเป้นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีอุปธิเป็นวิบาก ก้มีอยู่ สัมมาทิฎฐิอันเป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตระ เป้นองค์แห่งมรรค ก็มีอยู่...ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฎฐิ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีอุปธิเป็นวิบาก นั้นเป้นอย่างไรเล่า คือ สัมมาทิฎฐิที่ว่า ทานที่ให้แล้ว มี ยัญที่บูชาแล้วมี การบูชาที่บูชาแล้ว มี ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วมี โลกนี้มี โลกอื่นมี มารดามี บิดามี โอปาติกะสัตว์มี สมณะพราห์มที่ไปแล้วปฎิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง และประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มีอยู่ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย นี้คือ สัมมาทิฎฐิ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป้นส่วนแห่งบุญ มีอุปธิเป็นวิบาก...ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฎฐิ อันเป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตระ เป้นองค์แห่งมรรค นั้นเป็นอย่างไรเล่า คือ สัมมาทิฎฐิได้แก่ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ และ สัมมาทิฎฐิที่เป้นองค์แห่งมรรค ของผู้มีอริยจิต ของผู้มี อนาสวะจิต ของผู้เป็นอริยมรรคสมังคี ผู้เจริยอยู่ ซึ่งอริยมรรค ภิกษุทั้งหลาย นี้คือ สัมมาทิฎฐิ อันเป้นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์แห่งมรรค---อุปริ.ม.14/180/256-258....:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  17. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ใครสอนว่าการให้ทานเป็นเรื่องที่ไม่ดีบ้างหล่ะ
    ซึ่งจิตที่มีตระหนี่ เพราะการที่เป็นคนคิดทีีไม่ชอบบริจาค นี้เเละยากต่อการนิพพาน. ถ้านำเรื่องนั้นมาเป็นสาระว่าไม่ทำให้พ้น ต้องภาวนาอย่างเดียว มันก็คิดอยู่ดีว่าอารมเรา. คอมของเรา คีบอดของเรานั้นละ สิ่งของรอบกายเป็นของเรา
     
  18. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อานิสงงค์ของทานนั้นน้อยนิด น้อยมากจริงๆเพราะโจรก็ทำทานได้ ถ้าเราเพียงทำทานเพียงอย่างเดียว เราก็ไม่ต่างจากโจร เพราะโจรถือศิลไม่ได้ แต่บนเส้นทางมรรคนี้ละเอียดยิ่งนัก ผู้ที่ปฎิบัติภาวนาเมื่อเข้าถึงธรรมที่แท้จริงจะต้องเป็นผู้สละ การสละนั้นเช่นสละความเป็นอัตตาภาพของตนหรือสละสิ่งต่างๆ จะแตกต่างจากพูดคุยเล่นทางปัญญา พูดคุยเล่นทางปัญญานั้นอาจเป็นผู้คงแก่เรียนสามารถพูดคุยธรรมได้ไพเราะสอดคล้อง ดังพระพุทธองค์ทรงเรียกว่า พระใบลานเปล่า การที่บรรลุธรรมนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีนิมิตหรือเครื่องหมายที่ถูกต้องออกมาเป็นรูปธรรม อย่างเช่นการทำทาน(หลากหลายรูปแบบ) การรักษาศิล การออกบวช ถึงแม้การทำทานนั้นจะมีอนิสงค์เพียงน้อยนิด นั้นแหล่ะเพราะน้อยนิดนั้นเองผู้ที่มีตัวตนน้อยลงทุกที จะไม่ยึดติด จะเห็นความสำคัญของสิ่งที่น้อยนิด ผู้ที่ยังมีอัตตาภาพเยอะจะเล็งเห็นแต่สิ่งที่ทำแล้วได้ประโยชน์แก่ตนเองเยอะๆจะตรงกันข้ามกัน แต่การทำทานนนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าทำอย่างไรเหตุผลปัญญาหรอกนะ เพียงแต่ผู้มีปัญญาเล็งเห็นประโยชน์ของการทำทานมากกว่าเท่านั้นเอง เพราะการทำทานเป็นทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ก่อนหน้านั้นตัวข้าพเจ้าเองจริตเรื่องทำทานก็น้อยนัก หลังจากข้าพเจ้าประจักษ์ความจริงความยึดมั่นในทรัพย์สมบัติ ความยึดมั่นในตัวเองก็น้อยลงตามสมควรแก่ธรรม ข้าพเจ้าได้เคยเจอจิตที่จะสว่างไสวในขณะการให้ทานครั้งนั้น จิตที่เรามีความยินดีจริงๆยินดีต่อการให้ที่บริสุทธิ์ที่ไม่มีเคลือบแคลงนั้นมันเบาและปีติสุขมาก สติที่เข้าไประลึกความเกิดดับของจิตดวงนั้นก็ก่อเกิดปัญญาไม่ให้เรายึดติดก็เป็นไปตามสังขารขันต์ฝ่ายกุศลนั้นเอง
     
  19. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เนี่ยะ ดูเหมือนจะสุดปัญญาแล้วใช่ไหม เหมือนที่กล่าวมานี้ ไม่ผลาดแน่ๆ

    แต่............

    เชื่อไหมว่า ตรงนี้แหละที่ ครูบาอาจรย์เขาจะพิจารณาได้ทันทีเลยว่า คนที่
    กล่าวมาแบบนี้ ภาวนาไม่เป็น

    ความแยบคายในการ แยกขันธ์ แยกธาตุ ไม่ปรากฏเลยในคำกล่าว

    ปิติสุข บ้านคุณสิ ระลึกได้แล้ว แล้วทะลึ่งไป ตัด ไม่เอา !!!

    ปิติสุข หากมันเกิด แล้ว สติ ระลึกได้เนี่ยะ เขาให้น้อม เว้ยเฮ้ย เขาให้น้อม
    ให้จิตอยู่ให้มากๆ เสพซ่องให้มากๆ

    แต่ การเสพซ่องนั้น จะต้องเป็นแบบ อาศัยระลึก

    หากอาศัยระลึกถูกต้อง ไม่ต้องไปทะลึ่งพูดว่า ติด หรือ ไม่ติด ข้องหรือไม่ข้อง

    ก็ ปฏิปทามันใช่ จะต้องไป พูดเป็นจังหวะสอง กระแดะกระเดียด ว่าไม่ติด ไม่ข้อง
    ทำไม พวก เสพแล้ว แต่ ไพล่พูดว่า อุ้ยส์ข้าไม่ติด ข้าไม่ได้ยึดนะ อันนี้มันธรรมะ
    กระแดะเอา ไม่ใช่ ธรรมนึกเอานะ ต้องเลื่อนขั้นให้เป็น ธรรมกระแดะเอา ลามก
    สุดๆว่างั้นเหอะ

    เพราะ คนภาวนาเป็น เขาต้องเสพ แล้วก็รู้ว่าเสพ แล้วต้องเสพให้มากๆ ใน รสปิติสุข
    นั้น ไม่ใช่เสพการทำทาน นะเว้ยเฮ้ย ถ้า เข้าใจว่า ต้องไปทำทานเพื่อให้ปิติสุขมี
    มากๆ เนี่ยะ อันนี้ ยิ่งกว่าภาวนาไม่เป็น เรียกว่า ไม่เคยฟังธรรมได้เลยหละ

    ทาน ของคนภาวนาเป็น ทำบาทเดียว อาศัยระลึกได้นับครั้งไม่ถ้วน แล้ว
    ผลของทานนั้นจะเกิดเป็นร้อยเท่าพันทวี โดยไม่ต้องไป กระแดะทำซ้ำ

    ระลึกผลเอาก็ได้ หาก ภาวนา เป็น ............จะเข้าใจไหมนี่
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    Step up 4

    พี่บิ๊กโต๊ก ดูหนังซักเรื่องก่อนไหม :cool:
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...