หลังจากดับขันต์ไปแล้วพุทธเจ้ายังมีอยู่จริงหรือที่แดนนิพพาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ตาแก่, 12 พฤศจิกายน 2008.

  1. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    **********
    สอนเจ้านั้นยาก สอนคนที่เห็นธรรมนั้นง่าย เราสอนเท่ากันแต่ใครจะรับได้เท่าใดสุดแท้แต่กรรมของแต่ละคน เรามิบังคับขืนใจให้เชื่อตาม อย่าเชื่อทุกอย่างที่คิด ให้คิดทุกอย่างที่เชื่อ ให้คิดก่อนทำ อย่าทำก่อนคิด คิดได้จักได้ธรรม
     
  2. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    ถ้าพระศรีอาร์ฯ องค์ที่จะตรัสรู้ลำดับต่อไป ไม่ใช่ท่านเลย
    ถึงวันนั้น ท่านรอคิวใหม่ไหวไหม?


    ต่อจากพระศรีอาร์ฯ องค์นั้น ก็ยังมีอีก 10 องค์ตามลำดับ
    นับแล้วก็ไม่น้อยกว่า 10 กัป เป็นแน่แท้


    กำลังจิตของพุทธภูมิ ย่อมถึงได้ หากเขาผู้นั้นไม่ปรารถนาแม้จะ
    ได้เป็นอะไรเลย ขอเพียงฉุดช่วยเวไนยสัตว์ไปไม่สิ้นสุดเท่านั้น


    ทำกำลังจิตแบบนี้ เรียกว่ากำลังจิตระดับ มหาโพธิสัตว์


    ทำได้อย่างนี้ วันหนึ่งข้างหน้า ยุคของเรา ย่อมต้องมีได้จริงสักคราหนึ่ง
     
  3. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130

    พระศรีอาร์ฯ นอกจากจะแบ่งภาคจิตได้มากมายเป็นปกติของมหาโพธิสัตว์แล้ว
    ยังแบ่งภาคกายทิพย์ (ไม่มีจิต) เป็น "ขันธ์" ครอบคนไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อให้
    บำเพ็ญเพียรตามท่าน



    หลายท่านได้รับขันธ์พระศรีอาร์ฯ ก็มีอาการไม่ต่างจากคนทรงที่รับขันธ์ทั่วไป
    คือ ย่อมต้องคิดว่าตนเองคือพระศรีอาร์ฯ เป็นธรรมดาของการบำเพ็ญแบบฤษี



    พระศรีอาร์ฯ จึงมีปรากฎเยอะแยะ ตาแป๊ะก่าย...
     
  4. เทพอัสนี

    เทพอัสนี สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +2
    คิดได้จักได้ธรรม ขำจริงหนอ
    ได้ธรรมเพราะความคิด คงต้องรอ
    รอ รอ รอ ไ่ม่มีวัน พบธรรมเอย...
     
  5. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    อาตมัน (เรา) หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับปรมาตมัน (เทพเจ้า)
    คนทรง ผู้รับขันธ์ ย่อมคิดว่าตนเป็นเทพที่ประทับทรง


    ด้วยเหตุเคล็ดการบำเพ็ญแบบพราหมณ์อย่างนี้
     
  6. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    ********
    เราหมายถึง ให้เลิกยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนปิดรับทุกเรื่องราวปิดหูปิดตาตนเอง เชื่ออย่างงมงาย ศรัทธาจนขาดปัญญา เชื่อเพราะศรัทธา เพราะนับถือในตัวบุคคล แต่มิเชื่ออย่างมีเหตุผล ต๋าว คือผู้ตาม เต๋า ไต๋ คือผู้นำ
    หากตรัสรู้เองมิได้ให้เชื่อผู้นำที่รู้จริง คนส่วนใหญ่คือผู้ตามหากคิดค้นด้วยตนเองจักหลงทางเสมอ นั่นคือข้อเท็จจริง
     
  7. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    ธรรมะ ย่อมมีสภาวะเรียบง่ายธรรมดา
    เพราะธรรมะนั้น ธรรมดาอยู่ที่เป็นภาวะพ้นจากปรุงแต่งใดๆ


    นี่เรียกว่า อสังขารธรรม


    ธรรมใดยังไม่พ้นจากการปรุงแต่ง
    ยังเป็นสมมุติธรรม ไม่อาจนำสู่ความหลุดพ้นได้
     
  8. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    อภิสังขารมาร


    เป็นตัวกั้นปัญญา ในผู้ปฏิบัติ "วิปัสสนาญาณ"
    ระยะนี้ จะทำให้เกิด "จินตมยปัญญา" มาก
    ด้วยเหตุการปรุงแต่งนั้น สร้าง "สังขารธรรม"
    ได้มากมายเหลือคณานับ


    ถึงจุดนี้ ท่านเตือนให้ใช้ "สุญตา"


    สูญไป สูญไป ทิ้งไป โกยทิ้งไปให้หมด...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  9. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    สูตรแห่งใจ .. ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรไทย



    ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ เขาคิชคูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์
    พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ และพระโพธิสัตว์หมู่ใหญ่
    สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงฝึกสมาธิชื่อว่าคัมภีร์ราวสังโฆแท้
    และสมัยนั้น พระอริยอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์มหาสัตว์
    ทรงประพฤติจริยาในปรัชญาปารมิตาอันลึกซึ้ง
    พิจารณาอยู่อย่างนี้ คือพิจารณาขันธ์ ๕ และความสูญโดยสภาพ
    ลำดับนั้น ท่านสารีบุตร ได้กล่าวต่อ พระอริยะอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ด้วยพุทธานุภาพว่า
    กุลบุตร หรือ กุลธิดาใดๆ ใคร่จะประพฤติจริยาในปรัชญาปาระมิตาอันลึกซึ้งนั้นจะ พึงศึกษาอย่างไร
    พระอริยอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์มหาสัตว์อันท่านพระสารีบ ุตรกล่าวอย่างนี้แล้วได้กล่าวตอบท่านสารีบุตรว่า
    ท่านสารีบุตร กุลบุตรหรือกุลธิดาใดๆ ใคร่จะประพฤติจริยาในปรัชญาปาระมิตาอันลึกซึ้ง
    เขาพึงพิจารณาอย่างนี้ คือพิจารณาขันธ์ ๕ และความสูญโดยสภาพ
    รูปคือความสูญ ความสูญนั่นแหละคือรูป ความสูญไม่อื่นไปจากรูป
    รูปไม่อื่นไปจากความสูญ รูปอันใดความสูญก็อันนั้น ความสูญอันใด รูปก็อันนั้น
    อนึ่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็คือความสูญอย่างเดียวกัน
    ท่านสารีบุตร ธรรมทั้งปวง มีความสูญเป็นลักษณะ
    ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว ไม่หย่อน ไม่เต็ม อย่างนี้
    เพราะฉะนั้นแหละ ท่านสารีบุตร ในความสูญจึงไม่มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรม
    ไม่มีจักษุธาตุ จนถึงมโนธาตุ ธรรมชาตินั้น วิญญาณธาตุ
    ไม่มีวิชชา ไม่มีอวิชชา ไม่มีความสิ้นไปแห่งวิชชา และอวิชชา
    จนถึงไม่มี ความแก่ ความตาย ไม่มีความสิ้นไปแห่ง ความแก่ ความตาย
    ไม่มีทุกข์ สมุห์ทัย นิโรธ มรรค ไม่มีญาณ ไม่มีการบรรลุ ไม่มีการไม่บรรลุ

    ท่านสารีบุตร เพราะฉะนั้น ผู้ดำเนินตามปรัชญาปาระมิตา ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายแล้ว
    แต่ยังมีกิเลสห่อหุ้มจิตอยู่ ก็เพราะยังมิได้บรรลุ คืนนั้นจึงไม่สะดุ้งกลัว
    ก้าวล่วงความขัดข้องสำเร็จพระนิพพานได้ ก็เพราะความไม่มีกิเลสห่อหุ้มจิต
    พระพุทธเจ้าทั้งปวง ผู้ตั้งอยู่ในกาลทั้งสามทรงดำเนินตามปรัชญาปาระมิตา
    ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะฉะนั้น จึงทูลทราบมหามนต์
    ในปรัชญาปาระมิตา อันเป็นมหาวิทยามนต์ อนุตตะระมนต์ อะสัมมะสมมนต์
    สัพพะทุกข์ กับสมณมนต์ นี้เป็นสัจจะ เพราะไม่ผิดพลาด
    มนต์ที่ท่านกล่าวไว้ ในปรัชญาปาระมิตา คือดูก่อน ความรู้ ไป ไป ไปสู่ฝั่ง ไปให้ถึงฝั่งสวาหา


    ท่านสารีบุตร สัตว์ผู้จะตรัสรู้ พึงศึกษาจริยาในปรัชญาปาระมิตาอย่างนี้
    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงออกจากสมาธินั้นแล้ว
    ได้ประทานสาธุการ แก่พระอริยอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ว่า
    ถูกแล้ว ถูกแล้ว กุลบุตร ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น กุลบุตร จริยาในปรัชญาปาระมิตา อันลึกซึ้งนั้น
    อันบุคคลพึงประพฤติอย่างนี้ พระตถาคตอรหันต์เจ้าทั้งหลาย
    ย่อมทรงอนุโมทนาอย่างที่ท่านยกขึ้นแสดงแล้ว
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำนี้จบลงแล้ว ท่านพระสารีบุตร พระอริยะอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์บริษัท
    อันมีประชุมชนทุกเหล่าและสัตว์โลกพร้อมทั้งเทวา มนุษย์ อสูร คนธรรพ์ ก็มีใจเบิกบาน
    ชื่นชมภาษิต ของพระผู้มีพระภาค ด้วยประการฉะนี้

    ............................................................................................


    สูญไป สูญไป เพราะใช้ได้ ใช่เลย...
     
  10. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    *********
    พระพุทธเจ้ามีเพียงจักรวาลละ 1 พระองค์เท่านั้น เวียนว่ายตายเกิดหลายรอบ
    จิตมิอาจแบ่งเป็นหลายดวงแล้วกลับมารวมกับจิตเดิมได้ แบ่งแล้วแบ่งเลย เป็นตัวของตัวเอง
    หากคิดว่าพระศรีอารยะเมตไตรยพุทธเจ้าสามารถแบ่งนัปโกฏิแล้วย่อมเป็นจิตมารโดยแท้
    พระพุทธเจ้ามีเพียง 1 จิต ต่อ 1 จักรวาลเพียงเท่านั้น
    เอกภพมีจำนวน หนึ่งหมื่นล้านจักรวาลเพียงเท่านั้น
    พระพุทธเจ้ามีเพียงหนึ่งหมื่นล้านพระองค์เพียงเท่านั้น ต่างรับผิดชอบจักรวาล
    ที่ตนเองอุบัติขึ้น มิได้อุบัติเพียงชาติเดียว ต้องบำเพ็ญบารมีหลายชาติ
    เวียนว่ายตายเกิดหลายชาติ เพื่อความสมบูรณ์ของพุทธศาสตร์
     
  11. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130

    ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นธรรมชาติธรรมดา


    ดินเป็นของใคร ตัวไหน ตนไหน? แบ่งได้ไหม? หรือเป็นของใครตัวใครตัวมัน?
    น้ำเป็นของใคร ตัวไหน ตนไหน? แบ่งได้ไหม? หรือเป็นของใครตัวใครตัวมัน?
    ลมเป็นของใคร ตัวไหน ตนไหน? แบ่งได้ไหม? หรือเป็นของใครตัวใครตัวมัน?
    ไฟเป็นของใคร ตัวไหน ตนไหน? แบ่งได้ไหม? หรือเป็นของใครตัวใครตัวมัน?


    ก็ดินก็คือธรรมชาติ กระจายไปในธรรมชาติหมุนเวียนไป ไม่อาจยึดเป็นของเรา
    ก็น้ำก็คือธรรมชาติ กระจายไปในธรรมชาติหมุนเวียนไป ไม่อาจยึดเป็นของเรา
    ก็ลมก็คือธรรมชาติ กระจายไปในธรรมชาติหมุนเวียนไป ไม่อาจยึดเป็นของเรา
    ก็ไฟก็คือธรรมชาติ กระจายไปในธรรมชาติหมุนเวียนไป ไม่อาจยึดเป็นของเรา


    จิต หรือแม้แต่วิญญาณ ก็เป็นธรรมะ ธรรมชาติเหมือนกัน ไม่ต่างกัน
    กระจายไป หมุนเวียน ไม่ใช่ตัวเรา ของเรา ไม่อาจยึดเอาไว้ได้


    จิต คือ มโนธาตุ ไม่ต่างจากน้ำ แบ่งออกไปได้นับหยดไม่ถ้วน
    วิญญาณ คือ วิญญาณธาตุ ไม่ต่างจากน้ำ แบ่งได้นับไม่ถ้วน


    ไม่อาจยึดมั่นจิตหรือวิญญาณ เป็นตัวใครตัวมัน ได้
    ยึดไว้ไม่ได้ ถึงเวลา หากจิตจะแบ่งไป ก็ไปเอง


    ห้ามยังไม่ได้เลย...
     
  12. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    วันดีคืนดี ก็เกิดก็ดับ ทั้งๆ สังขารยังไม่สลาย


    บางวัน กายทิพย์ (วิญญาณขันธ์) ของเทพเทวดาลงมาครอบสังขารมนุษย์
    จิตมนุษย์เปิดรับ จิตแบ่งภาคออกไป ปฏิสนธิกับวิญญาณขันธ์ เป็นจิตวิญญาณ
    จิตวิญญาณนี้สมบูรณ์พร้อมเกิด


    เมื่อถึงวาระจุติ จิตวิญญาณนั้น ก็ออกไปจากกายเราเสียเฉยๆ
    นี่เรียกว่า จิตวิญญาณเกิดใหม่ มาจากกายสังขารเราเองที่ยังไม่ตายลง


    ดูสิ ดูบ่อยๆ เกิด หรือดับ เกิดได้เสมอ ไม่ต้องรอสังขารดับสลายลง...
     
  13. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    เคยอ่านบทความของคุณสันโดษ


    ที่เขียนเกี่ยวกับสังขารตนเองยังไม่ใช่ของตนเอง
    เมื่อมีจิตเทพเทวดามาชุมนุมในกายมากมาย แล้ว
    ยังบอกกับตนเองอีกว่า คุณจอยไม่ใช่เจ้าของร่าง
    แล้ว ต่อไปนี้ กายสังขารนี้เป็นของเทพที่มาแทน
    แต่คุณจอยก็ยังอยู่ในกายสังขารนั้น ในฐานะผู้อาศัย
    ไม่ใช่เจ้าของ


    ติดตามอ่านประสบการณ์จริงที่เกิดจริงเกี่ยวกับจิตวิญญาณ
    ในกายสังขารที่มีมากกว่าหนึ่งดวงได้ จากเธอเอง...
     
  14. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    ในกายสังขารของเธอละ? มีจิตกี่ดวง? วิญญาณกี่วิญญาณ?



    ลองดูสิ ลองดู...
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
  16. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    http://palungjit.org/showthread.php?t=153538


    คุณเคยสงสัยมากมาย กับ คำว่า ดูจิตที่พวกปริยัติพูดกันเสมอใช่ไหม?

    [​IMG]


    สันโดษเองก็เป็น คนนึงที่ไม่เคยอ่านธรรมะ แต่ เล่นบ้าๆบอๆ โดยการสังเกตุพฤติกรรมของกายตนเอง

    จนประสบเหตุการณ์มหัศจรรย์ใน ชีวิต หลายๆ ครั้งหลายครา

    จนทำให้สันโดษรู้ว่า ตัวเองเป็นเพียงเเค่ความคิดในร่างของมนุษย์คนนึงเท่านั้น

    คุณเองก็ไม่ต่างกันกับ สันโดษ หากคุณได้อ่านข้อความนี้ คุณจะได้เข้าใจเสียทีว่า คุณไม่ใช่เจ้าของร่าง

    ใช่คะ ฉัน ชื่อ สันโดษ เเละพวกคุณก็รู้จักในนาม เพื่อนที่มีเรื่องราวเเปลกๆมาให้พวกคุณอ่านเสมอ

    เมื่อก่อนฉันเอง ก็คิดว่า ตัวเองเป็นมนุษย์คนนึง

    เเต่มาวันนี้ ฉันรู้เเล้วว่า ตัวฉันเป็นเพียงเเค่ ความคิด หรือ จิตเพียงเท่านั้น

    สันโดษไม่มีรูปรสกลิ่นเสียง และไม่ได้มีกาย

    เเต่สิ่งพวกเรามี คือ ความคิด หรือ จินตนการที่ ขับเคลื่อนร่างนี้ไปทุกที่

    สันโดษไม่รู้ว่า ตนเองไม่ใช่เจ้าของร่าง เหมือนอย่างที่คุณคิดว่า คุณคือ เจ้าของร่างตัวเอง

    เพราะ คุณเกิดมากับร่างนี้ เเละ มีความคิดเป็น ของตนเอง

    แต่ความจริงเเล้ว พวกเราไม่ใช่จริงๆ

    เจ้าของร่างจริงๆ เขาไม่เคยพูด แต่เขาอยู่ข้างในเสมอ

    โดยพวกเรา เป็น คน กักขังหน่วงเหนี่ยวอิสรภาพเขา ในร่างของเขาเอง

    สิ่งที่พวกเราทำ คือ กักขังเขา เเละ ขังลืมเขา เป็น ระยะเวลา จนถึงปัจจุบัน

    คุณเองก็คงไม่รู้ว่า คุณ ลืม เจ้าของร่างไปเสียเเล้ว

    เพราะ คุณ เฝ้ามองผู้อื่น อยากได้ของนอกกาย จนลืม เขาไป

    สันโดษ มาบอกคุณ เพราะ สันโดษอยากบอกว่า สันโดษ ปล่อยเขาเเล้ว

    และ สัญญากับตัวเองว่า จะไม่รัก คนอื่นมากกว่า เจ้าของ สันโดษ เป็นเเค่จิต

    คุณเองก็เหมือนกันนะคะ คุณเป็น เเค่จิต จริงๆ คุณไม่ใช่ มนุษย์

    เพียงคุณไม่รู้ว่า คุณไม่มี ร่างกาย ไม่มีตัวตนในโลกมนุษย์ ที่ คุณเห็นพวกเขามีตัวตน
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    เชิญร่วมอนุโมทนาบุญด้วยนะคะ .........บวชพระ ๘๐ รูป วันที่ ๒๙ พ.ย.- ๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๑
    Lo[V]e ห้องเต้
     
  17. paisanmara

    paisanmara สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    คงตอบยากเรื่องนิพพานเพราะไม่เคยไป
    แต่ผู้ที่อยากไป ขอแนะนำพระสูตรหนึ่งที่ทำให้ไปนิพานได้ นั่นคือ

    ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร

    พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ผู้ประกอบด้วยโลกุตรปัญญาอันลึกซึ้ง
    ได้มองเห็นว่า โดยธรรมชาติแท้แล้ว ขันธ์ทั้งห้านั้นว่างเปล่า
    และด้วยเหตุที่เห็นเช่นนั้น จึงได้ก้าวล่วง พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้
    สารีบุตร รูปไม่ต่างจากความว่าง ความว่าง ก็ไม่ต่างไปจากรูป
    รูปคือความว่างนั่นเอง และความว่างก็คือรูปนั่นเอง
    เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็เป็นดังนี้ด้วย
    สารีบุตร ธรรมทั้งหลาย มีธรรมชาติแห่งความว่าง <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    ไม่ได้เกิดขึ้นและไม่ได้ดับลง
    ไม่ได้สะอาดและไม่ได้สกปรก ไม่ได้เพิ่มขึ้นไม่ได้ลดลง<o:p></o:p>

    ดังนั้น ในความว่างจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา หรือสัญญา <o:p></o:p>
    ไม่มีสังขาร หรือวิญญาณ
    ไม่มีตาหรือหู ไม่มีจมูกหรือลิ้น ไม่มีกายหรือจิต <o:p></o:p>

    ไม่มีรูปหรือเสียง ไม่มีกลิ่นหรือรส
    ไม่มีโผฏฐัพพะหรือธรรมารมณ์ <o:p></o:p>

    ไม่มีโลกแห่งผัสสะ หรือวิญญาณ
    ไม่มีอวิชชา และไม่มีความดับลงแห่งอวิชชา ไม่มีความแก่และความตาย
    และไม่มีความดับลงซึ่งความแก่ และความตาย ไม่มีความทุกข์
    และไม่มีต้นเหตุแห่งความทุกข์ ไม่มีความดับลงแห่งความทุกข์
    และไม่มีมรรคทางให้ถึง ซึ่งความดับลงแห่งความทุกข์
    ไม่มีการประจักษ์แจ้งและไม่มีการลุถึงเพราะไม่มีอะไรที่จะต้องลุถึง

    พระโพธิสัตว์ผู้วางใจในโลกุตรปัญญา จะมีจิตที่เป็นอิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้น
    เพราะจิตของพระองค์เป็นอิสระจาก อุปสรรคสิ่งกีดกั้น
    พระองค์จึงไม่มีความกลัวใดๆก้าวล่วงพ้นไปจากมายาหรือสิ่งลวงตา
    ลุถึงพระนิพพานได้ในที่สุด พระพุทธในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    ผู้ทรงวางใจในโลกุตรปัญญา ได้ประจักษ์แจ้งแล้วซึ่งภาวะอันตื่นขึ้น
    อันเป็นภาวะที่สมบูรณ์และไม่มีใดอื่นยิ่ง ดังนั้น จงรู้ได้เถิดว่า โลกุตรปัญญา
    เป็นมหามนต์อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นมนต์แห่งความรู้อันยิ่งใหญ่
    เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นยิ่งกว่า เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นมาเทียบได้ ซึ่งจะตัดเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง
    นี่เป็นสัจจะ เป็นอิสระจากความเท็จทั้งมวล ดังนั้น จงท่องมนต์แห่งโลกุตรปัญญา
    คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา
    ไป ไป ไปยังฟากฝั่งโน้น ไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิง ลุถึง <o:p></o:p>

    การรู้แจ้ง ความเบิกบาน<o:p></o:p>

    --
    สาธุ สาธุ สาธุ
    ขอให้อรหันต์จงบังเกิดขึ้น ด้วยอานิสงค์แห่งการบริกรรมมนตรานี้ด้วยเถิด
     
  18. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    ธรรมะนั้น ไม่ต้องไปไกลถึงจักรวาล




    ในกาย ในเวทนา ในจิต นั่นแหละ ธรรมะ
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    นางเบญจกาย
    ลูกกตัญญู
    นางเบญจกาย กายสีนวลจันทน์ ทรงรัดเกล้า เป็นบุตรพิเภกและนางตรีชฎา มีศักดิ์เป็นหลานทศกัณฑ์ ทศกัณฑ์จึงคิดอุบายให้นางแปลงกายเป็นนางสีดา แกล้งเป็นศพ ลอยไปถึงหน้าพลับพลากองทัพพระราม
    พระรามนั้นด้วยความรักในนางสีดา เมื่อเห็ฯศพก็เสียใจเป็นที่สุด แต่หนุมานทูลเตือนสติว่า ศพนางสีดานี้มีพิรุธ เหตุใดจึงสามารถลอยมาถึงหน้าพลับพลากองทัพ จึงขอพิสูจน์โดยนำศพนางสีดามาแปลงเผาไฟ นางเบญจกายทนความร้อนของไฟไม่ได้จึงต้องกลับร่างเดิม แล้วเหาะหนีไป แต่หนุมานจับตัวได้ และได้เป็นภรรยา

    [​IMG].....[​IMG]....[​IMG]


    นางเบญจกายทนความร้อนไม่ได้

    [​IMG]......[​IMG]


    หนุมานจับเญจกาย

    [​IMG]
     
  20. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    มโนมยิทธิ กับ กายสังขารและวิญญาณ


    ในกายสังขารของคนเรา มีวิญญาณประสานไว้ วิญญาณจะมีรูปร่างคล้าย
    กายสังขารเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่า "กายทิพย์" กายทิพย์นี้ มีธรรมชาติอยู่ว่า
    ไม่ได้ถูกขังแบบสมบูรณ์แบบ บางครั้ง กายทิพย์ก็ออกมาจากกายสังขารได้
    บางส่วน การออกมาของกายทิพย์เพื่อหน้าที่โดยธรรมชาติต่างๆ เช่น ปกป้อง
    กายสังขาร ลักษณะการออกมาโดยไม่ตั้งใจ เช่น ขณะหลับนี้ เรียกว่า "เจตภูติ"
    ซึ่งก็คือ เรานั่นเอง บางท่านมีประสบการณ์ พูดคุยกับตนเอง เห็นตัวเองเป็นตัวๆ
    เหมือนผีมาหลอก นี่เพราะได้เห็น "เจตภูติ" ของตนเอง


    สำหรับผู้ตั้งใจถอดกายทิพย์ออกไปทำงาน มักเรียกว่า "มโนมยิทธิ" แต่แท้จริง
    แล้วการถอดกายทิพย์นั้น เป็นไปได้โดยธรรมชาติ บางท่านมีบารมีเก่า แทบไม่
    ต้องไปฝึกอะไรเลย บอกให้ถอดกายทิพย์ ก็ถอดออกมาได้ดังใจทันทีก็มี
     

แชร์หน้านี้

Loading...