หลังจากดับขันต์ไปแล้วพุทธเจ้ายังมีอยู่จริงหรือที่แดนนิพพาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ตาแก่, 12 พฤศจิกายน 2008.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]...[​IMG]...[​IMG]

    [​IMG]...[​IMG]...[​IMG]...[​IMG]

    [​IMG]...[​IMG]...[​IMG]....[​IMG]


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  2. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130

    การบำเพ็ญพุทธภูมิ เช่น ถ้าคุณศรีอารยมารตะ จะบำเพ็ญ
    อย่างไรเสียก็ต้องผ่านการบำเพ็ญ อภิญญาและปัญญาอย่างหนัก
    ก่อนที่จะพ้นไปสู่บารมีที่สูงขึ้นกว่านี้ คือ 30 ทัศได้ ตาทิพย์เป็น
    หนึ่งในการบำเพ็ญอภิญญา


    ต้องมีการบำเพ็ญอภิญญาหนักก่อน อันนี้มีในไตรปิฎก
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]....[​IMG]...[​IMG]....[​IMG]


    [​IMG]...[​IMG]...[​IMG]...[​IMG]


    [​IMG] ดาวพุธ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  4. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130

    อันนี้แล้วแต่ท่านจะปรารถนากันเองละกัน ถ้าเอาพอดีตัวก็ไม่ยากเกินไปนัก
     
  5. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ความอยากของมนุษย์ยากที่สุดสิ้นประมาณ
    มีไม้ยังทำคานหารหาบบาปบุญหนัก
    ที่รู้แล้วก็ยังแบกสาแหรกนัก
    ที่ไม่รู้ยิ่งประจักษ์หนักในทรวง

    เรือลำนั้นหรือลำเดียวเดี๋ยวก็จอด
    ไปไม่รอดร้อยปีที่สู่สรวง
    ได้มาหนึ่งบรรทุกสองต้องการควง
    เดี๋ยวก็ร่วงล่มลาหาไม่เจอ

    ไปดูหนังตั๋วใบเดียวก็เสียวแล้ว
    ยังจะหิ้วขวดแก้วให้พลั้งเผลอ
    กินมากมายหลายขวดแล้วจะเบลอ
    ลืมทั้งเธอทั้งฉันพลันม้วยมรณา...ชรา...ชาติ....ภพ...จบได้ยัง
     
  6. kuro122

    kuro122 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +410

    รบกวนดูให้เรามั่งจิ ตาเปิดยังอะคะ
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]...[​IMG]..[​IMG]...[​IMG]

    [​IMG]...[​IMG]...[​IMG]...[​IMG]


    [​IMG]....[​IMG]...[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  8. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    1. การจะได้ตรัสรู้แท้จริง ต้องบำเพ็ญในปัจเจกภูมิและสาวกภูมิถึงที่สุดก่อนคือนิพพาน


    ท่านอาจารย์เคร่งครัดในการให้ปฏิบัติจิตถึงนิพพาน คือ ละกิเลสให้หมด
    ให้จิตบริสุทธิ์ อย่างแท้จริงก่อน ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิของสาวก คือ การบำเพ็ญ
    โดยอาศัยคำสอนของผู้อื่น อาศัยพระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นต้น หรือ
    ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิของปัจเจก คือ การแสวงหาธรรมคำสอนด้วยตนเอง
    จนได้มรรควิธีเฉพาะของตนเอง

    ท่านว่าให้บำเพ็ญถึงอรหันตผลทั้งสองภูมิ แล้วหากเราไม่ใช่สองภูมินั้นจริงๆ
    แล้ว เราจะเหลือดวงจิตที่เป็นพุทธภูมิแท้ๆ ปรากฏในที่สุด ถึงจุดนี้ เท่ากับ
    เราละปัจเจกภูมิและสาวกภูมิเข้าสู่พุทธภูมิอย่างแท้จริง

    ทั้งนี้ การบำเพ็ญให้ได้ในชาติเดียวนั้น เมื่อจิตถึงอรหันตสาวก จะมีการ
    แบ่งภาคจิตแล้วนิพพานไป ก่อนนิพพาน จะมีจิตส่วนเหลือแบ่งภาคออก
    มาให้บำเพ็ญต่อ แล้วบำเพ็ญในปัจเจกพุทธเจ้าต่ออีก จนสำเร็จปัจเจก
    อรหันต์ เช่น สำเร็จอรหันต์ในกายเซียน หรือในกายอื่นๆ ที่มีจิตเป็นปัจเจก
    นี่เท่ากับบำเพ็ญสองภูมินี้สำเร็จอย่างแท้จริง

    ก็จะเหลือดวงจิตสุดท้ายที่จะต้องบำเพ็ญต่อ เป็นพุทธภูมิที่แท้จริง

    ท่านกล่าวว่าหากไม่ทำแบบนี้ เท่ากับหลงตัวเองว่าเป็นพุทธภูมิ แต่เป็น
    พุทธภูมิเทียมๆ คือ พอละจากชาติภพนี้ไปแล้ว หากเกิดในที่ไม่มีพุทธ
    ศาสนาก็อาจตรัสรู้เป็นพระปัจเจกไปก่อน หรือ หากเกิดใหม่เจอพระพุทธเจ้า
    ที่มีบารมีมากๆ เข้า ก็กลายเป็นอรหันตสาวกไปเลย ดังนั้น ท่านจึงให้ซ้อม
    บำเพ็ญให้ได้อรหันต์ ทั้งสองภูมิ (ปัจเจกภูมิและสาวกภูมิ)


    http://palungjit.org/showthread.php?t=158525
     
  9. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    ********
    มีแต่จิตมารเท่านั้นที่แบ่งจิตตนเองมิสิ้นสุด มิกล้าเป็นตัวของตนเอง
    จิตที่แท้จริงคือ การยอมรับตนเอง ตรงไปตรงมามิเปลี่ยนไปเรื่อยๆมิสิ้นสุด
    ธาตุสี่เป็นเพียงปลายเหตุ ต้นเหตุมีมากกว่าธาตุสี่
    จิตมาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร ยังมิรู้จริงเลย
    กายทิพย์กับจิตยังมิรู้จริงเลย มิมีจิตมิอาจมีกายทิพย์ได้
    กายทิพย์คือสิ่งที่จิตกำหนดขึ้น มิใช่มีกายทิพย์แต่มิมีจิต
    ยังอีกไกลจึงจักเข้าถึงศาสตร์ของพุทธที่แท้จริง ยังหลงทางมิรู้จริง
    ตาว ต่าว ต้าว ต๊าว ต๋าว
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  10. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130

    ถ้าถึงอรหันต์แล้วจิตยังไม่สุด
    บำเพ็ญต่อไปอีกถึงปัจเจกพุทธเจ้าแล้วยังไม่สุด


    คือ บรรลุ อรหันตสาวกไปรอบหนึ่งแล้วบำเพ็ญต่อ
    จนได้ตรัสรู้เป็นปัจเจกพุทธเจ้าแล้วยังบำเพ็ญต่ออีก


    นี่ละ เรียกว่าพุทธภูมิแท้


    แต่ถ้าไม่กล้าทำกิเลสให้เกลี้ยงก็ยังไม่แน่ว่ากำลังจิตจะถึงพุทธภูมิได้จริง
     
  11. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    ก็คนเค้าอยากปีนขึ้นเขา ก็อยากเกิดจากอะไรหล่ะ อยากจะรู้ว่ามันเป็นยังงัยไอ้เขาลูกนี้ ปีนขึ้นไปถึงครึ่งเขา ก็เหนื่อยจะแย่ ยังไม่พอ ยังหาทางปีนขึ้นไปค่อนเขา ยังไม่พอ หาทางปีนขึ้นไปถึงยอดเขาอีก ไม่ถึงยอดเขา ยังไม่หนำใจ ต้องหาทางให้ได้ ถามว่าเหนื่อยมั้ย ทุกข์มั้ย ในเมื่อเหนื่อย ในเมื่อทุกข์ แล้วจะปีนทำไมให้เหนื่อย ปล่อยมันไปเถอะไม่ต้องไปอยากเห็นมันหรอกไอ้ยอดเขานั่นหน่ะ มันอยู่ของมันแบบนั้นน่ะดีแล้ว อย่าไปอยากเห็นมันเลย
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เอาการหมั่น พร่ำบอกด้วยตัวเอง มาอ้างอิงตัวเองไง

    ทำเรื่อยๆ เดี๋ยวก็มั่นใจว่าเป็น

    แล้วก็หัวเราะไปตามประสา
     
  13. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ มะหน่อ [​IMG]
    หากท่านจะเทียบพุทธองค์แล้วซึ่งเป็นที่เคารพสูงสุดของเหล่าบรรดาพุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่าแล้ว.....แม้กระทั่งตัวกระผมเองซึ่งพึ่งเริ่มเข้ามาศึกษาพระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนของพุทธองค์ท่าน

    หากท่านอธิบายได้ว่ากงล้อมีแปดซี่และกงล้อหมายถึงอะไร....สี่หมื่นแปดพันข้อมาจากกงล้อได้อย่างไร....สามสิบสองประการของมหาบุรุษเป็นอย่างไรอธิบายได้อย่างไรแล้ว....ภูมิปัญญาของท่านคงเทียบเท่ากับพุทธองค์เป็นแน่แท้หรืออาจจะมากกว่าด้วยขอรับ

    กระผมจะเปลี่ยนมานับถือท่านและรับใช้ท่านเคารพในคำสอนของท่านแน่นอน
    อย่างแรกที่กระผมก็หาไม่เจอไม่เข้าใจเลยขอรับ
    กงล้อนี้มีแปดซี่หมายถึงอะไรขอรับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ********
    หากเปิดรับธรรมใหม่ เราสามารถให้ความกระจ่างได้ เพียงแต่ต้องพร้อมที่จักเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มิยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อดั้งเดิม เพียงนำมาเปรียบเทียบกันให้เห็นข้อเท็จจริงแล้วเลือกที่จักเชื่อเพียงเท่านั้น กรงล้อธรรมจักรแปดซี่หมายถึงทางเลือกของสรรพจิต สรรพสัตว์ทั้งปวง คือ ดีสุดขั้ว ชั่วสุดขีด และพอดีพอดี
    คือ มรรค แต่ต้องเข้าใจตามที่เรานำมาแสดงจึงจักเข้าถึงแก่นแท้ของกฎแห่งกรรมได้ มรรคตามที่เข้าใจกันนั้นเป็นเพียงหลักปฏิบัติ มิใช่กฎแห่งกรรม เป็นเพียงเปลือก หากต้องการรู้จริงเราสามารถแสดงธรรมเพื่อเป็นธรรมทาน ดังนี้


    เต๋าอักษรไต๋ 10 [คำเดียวสั้นๆ [สมน สมร สม]]

    >>

    อ่านว่า สะมะนะ สะมะระ สะมะ

    แปลว่า สัตว์ที่ทำความดี [สมน]

    แปลว่า สัตว์ที่เปี่ยมเมตตาธรรม [สมร]

    แปลว่า สัตว์ที่อมหิตโหดร้ายทารุณชั่วร้าย [สม]

    >>

    [ทางสามแพร่ง [มรรคาแห่งมรรค]]

    >>

    ทางสามแพร่ง ที่เราจักนำมาแสดงต่อไปนี้ คือทางเลือกของสรรพสัตว์

    ที่สามารถเลือกได้เอง

    เพียงแต่มวลหมู่สรรพสัตว์

    มิอาจแยกแยะออกมาได้เพียงเท่านั้น

    >>

    ทางเลือกทั้งสามทาง ล้วนมีอยู่แล้ว มิอาจมิเลือกทางหนึ่งทางใด

    ตราบใดที่จิตสรรพสัตว์ มิสูญสลายไป

    ทั้งนี้ มิว่าเราจักนำมาแสดงหรือไม่

    ความจริง ความถูกต้อง ความเที่ยงธรรม ความยุติธรรม ความชอบธรรม [ท]

    ก็มีอยู่แล้ว ก่อนที่เราจักอุบัติขึ้นมา บนโลกมนุษย์แห่งนี้

    การแสดงธรรมของเรา บังเกิดขึ้นมาจากมุทิตาจิต

    ของบรรดาเหล่าพระผู้สร้างทุกๆพระองค์

    ซึ่งทำหน้าที่ ลิขิตวิถีชีวิตมนุษย์

    ตามกฎแห่งกรรม

    >>

    เราเป็นเพียงตัวแทน ของบรรดาเหล่าพระผู้สร้างทุกๆพระองค์

    ซึ่งทำหน้าที่ นำหลักกฎแห่งกรรม ออกมาแสดง ให้แก่มวลหมู่มนุษย์ชาติ

    จักได้มิกระทำการผิดกฎแห่งกรรม

    มิกระทำการฝ่าฝืนกฎแห่งกรรม

    เพราะมิรู้แจ้งในกฎแห่งกรรม

    เพียงเท่านั้น

    การนำทางสามแพร่ง ออกมาแสดงต่อไปนี้

    สามารถแบ่งทางเดินของสรรพสัตว์

    ออกเป็นสามทาง

    ได้แก่

    >>

    ทางเดินที่หนึ่ง [ดีสุดขั้ว] หรือ [สมน] หมายถึง การบวช ครองเพศบรรพชิต

    เพื่อเป้าหมายสูงสุด คือการหลุดพ้น

    ไปจากการเวียนว่ายตายเกิด

    อยู่ในสังสารวัฏ [ปร]

    >>

    ทางเดินที่สอง คือ [ชั่วสุดขีด] หรือ [สม] หมายถึง

    การกระผิดกฎแห่งกรรม

    การกระทำฝ่าฝืนกฎแห่งกรรม

    มิเชื่อในกฎแห่งกรรม

    ผลลัพธ์ของชั่วสุดขีด

    คือ นรกภูมิ

    >>

    ทางเดินที่สาม คือ [พอดีพอดี] หรือ [สมร] หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิด

    อยู่ในสังสารวัฏ อย่างเป็นสุข

    มิกระทำการผิดกฎแห่งกรรม

    มิกระทำการฝ่าฝืนกฎแห่งกรรม

    เชื่อในกฎแห่งกรรม

    ผลลัพธ์ของทางเลือกที่สามนี้ คือ

    การกลับมาเกิดเป็นมนุษย์

    ที่ถึงพร้อมด้วยความสุข

    มิได้เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม

    อีกต่อไป

    >>

    นั่นคือ ทางสามแพร่ง ที่สรรพสัตว์ทั้งปวง จักต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง

    ตราบใดที่จิตยังมิสูญสลายไปจากสารระบบจักรวาล [จกรวล]

    รวมทั้ง การกลับมาเกิดใหม่ของสรรพสัตว์

    ที่หลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฏ [ปร] ไปแล้ว

    ยังคงสามารถกลับมาสู่การเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฏ

    ต่อไปได้อีก

    มิสิ้นสุด

    >>

    เพราะกาลเวลานับต่อจากนี้เป็นต้นไป จักเป็นกาลมิสิ้นสุด

    การหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฏ

    เป็นอารมณ์อรหันต์

    จักเกิดขึ้นมาเพียงชั่วคราว

    เป็นความปรารถนาที่จักอยู่อย่างสันโดษ

    ปราศจากความอยากทั้งปวง

    มิปรารถนาจักอยู่ร่วมกันเป็นสังคม

    ชอบอยู่อย่างสงบ

    เมื่อเนิ่นนานไป จักแปรเปลี่ยนเป็นความเงียบเหงา เปล่าเปลี่ยว อ้างว้างและเดียวดาย

    ปรารถนาจักกลับมาเวียนว่ายตายเกิด

    อยู่ในสังสารวัฏ

    ต่อไปอีก

    >>

    เพียงแต่ ผู้ซึ่งจักหลุดพ้นไปจากการเวียนเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฏ ได้นั้น

    จักต้องมิติดค้างหนี้กรรมต่อผู้อื่นแล้ว

    รวมทั้งมิปรารถนา จักกลับมาเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฏ ต่อไปแล้ว

    เพียงเท่านั้น

    ซึ่งจักต้องฝึกฝนตนเองอย่างหนัก จึงจักสามารถหลุดพ้นไปจาก

    การเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฏได้ [ปร]

    >>

    ซึ่งผู้ที่จะสามารถหลุดพ้น [ปร] ไปจากการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏได้นั้น

    จะต้องเป็นคนที่ทำความดีอย่างยิ่งยวด [นิวน]

    เฉกเช่นพระพุทธเจ้า

    >>

    รวมทั้งจะต้องเป็นคนที่สั่งสมความดี [นิปน]

    เฉกเช่น บรรดาพระสุปติปันโน [สุปติปน] อ่านว่า [สุปะติปะนะ]

    สาวกญาณสายตรงของพระพุทธเจ้า จำนวนทั้งสิ้น 60 คน เพียงเท่านั้น

    เพราะมิอาจบรรลุอรหันต์ได้ ด้วยการบวชเพียงชาติเดียว

    เฉกเช่นพระพุทธเจ้า ผู้ทำหน้าที่นำกฎแห่งกรรมมาแสดง

    จากการตรัสรู้ธรรม เป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา

    ทั้งนี้พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ล้วนสั่งสมบารมี

    เพื่อสลายความอมหิตโหดร้ายทารุณความชั่วร้าย [ปรม] อ่านว่า {ปะระมะ}

    มานานถึง 1,110 ชาติ หรือ นาน 111,000 ปี

    ก่อนจะพักจิตไว้นาน

    กระทั่งถึงกาลอันเหมาะสม จึงลงมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า

    ย่อมสามารถปรินิพพาน ได้

    >>

    มิเป็นเฉกเช่น บรรดาพระสุปติปันโน [สุปติปน] อ่านว่า [สุปะติปะนะ]

    สาวกญาณสายตรงของพระพุทธเจ้า

    จำนวนทั้งสิ้น 60 คน

    เพราะมิอาจบรรลุอรหันต์ได้

    ด้วยการบวชเพียงชาติเดียว

    จักต้องกลับมาเกิดใหม่เพื่อเป็นคนดีที่สั่งสมความดี [นิปน]

    โดยกลับมาเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อทำหน้าที่สืบทอดพระพุทธศาสนา

    ด้วยการเป็นเจ้านิกายในพระพุทธศาสนาในหลายนิกาย

    หากเพียงแต่ส่วนใหญ่จะมีเพียงเจ้านิกายเท่านั้น

    ที่สามารถหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏได้

    ลูกศิษย์ของเจ้านิกาย ล้วนมิอาจฝึกฝนจิต ฝึกฝนกาย ได้

    เฉกเช่นเจ้านิกายได้

    ทั้งสิ้น

    >>

    นิพพาน [นิวน] จึงมิใช่ดินแดนใดๆ ทั้งสิ้น มิมีสิ่งใดทั้งสิ้น

    มีเพียงจิตตนเองสงบอยู่อย่างนั้น ดุจดังการนอนหลับอันยาวนาน โดยมิฝันเลย

    การเข้าใจว่านิพพาน หรือการหลุดพ้น [ปร]

    เป็นดินแดนอันมีแต่ความสุข

    จึงมิถูกต้อง

    >>

    นิพพาน คือ คนดีที่สั่งสมความดี [นิปน] และคนดีที่ทำความดี [นิวน]

    คนที่บรรลุนิพพานคือคนดีทั้งสองลักษณะ

    สามารถจะหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ไนสังสารวัฏได้

    หรือการหลุดพ้น[ปร] เป็นความสงบ สันโดษ ว่างเปล่า

    ไร้รูป ไร้รส ไร้กลิ่น ไร้เสียง ไร้ซึ่งสัมผัส ใดๆทั้งสิ้น

    เป็นความเฉย นิ่งเฉย ไร้ทุกข์ ไร้สุข ใดๆทั้งสิ้น

    >>

    ทางสามแพร่ง คือทางเลือกของสรรพสัตว์ทั้งปวง

    ที่ปรารถนาจักอยู่ในสารระบบจักรวาล [จกรวล]

    ภายใต้กฎแห่งกรรม

    >>

    [ทางเลือกที่หนึ่ง ดีสุดขั้ว คือ อารยะมรรค [อรย มรค]]

    อ่านว่า อะระยะ มะระคะ

    แปลว่า การละเว้นความชั่วได้มากที่สุด [อรย] คือการแสวงหาเมตตาธรรม [มรค]

    หมายถึง นักบวช [สมน] เป็นผู้ซึ่งละเว้นความชั่วให้ได้มากที่สุด [อรย]

    เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม

    ด้วยการครองเพศบรรพชิต

    ในบวรพุทธศาสนา

    จำเพาะเจาะจง เฉพาะพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่านั้น [สุปติปน]

    เป็นการแสวงหาเมตตาธรรม [มรค]

    กอปรด้วยองค์ประกอบ 2 ประการ ดังนี้

    >>

    [สมน สมรทิ] หรือ [สัมมาสมาธิ]

    อ่านว่า สะมะนะ สะมะระทิ

    หมายถึง พระสงฆ์ที่เป็นคนดี [สมน]

    เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม [สมร]

    เป็นคนที่ถึงเปี่ยมด้วยคุณธรรม [ทิ]

    เป็นคนที่มีความปรารถนา จักละเว้นความชั่วให้มากที่สุด [อรย]

    ด้วยการแสวงหาเมตตาธรรม [มรค]

    >>

    [สมน อสิว] หรือ [สัมมาอาชิวะ]

    อ่านว่า สะมะนะ อะสิวะ

    หมายถึง พระสงฆ์ที่เป็นคนดี [สมน] สามารถยกระดับตนเองให้สูงขึ้น [อสิว]

    เป็นเทวดา นางฟ้า เทพบุตร เทพธิดา [ทวต]

    รวมทั้งสามารถหลุดพ้นไปจาก การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน สังสารวัฏ [ปร]

    หรือ นิพพาน [นิวน] และ [นิปน]ได้ นั่นเอง

    >>

    [ทางเลือกที่สอง ชั่วสุดขีด คือ อริยะมรรค [อริย มค]]

    อ่านว่า อะริยะ มะคะ

    อ่านแบบคำสนธิ อะระอิยะ มะคะ

    แปลว่า เป็นคนที่ความเป็นคนลดต่ำลงมากที่สุด เพราะความชั่ว [อริย]

    เป็นคนที่แสวงหาความโหดร้าย ทารุณ การใช้ความรุนแรง [มค]

    กอปรด้วยองค์ประกอบ 3 ประการดังนี้

    >>

    [สม วยม] หรือ [สัมมาวายามะ]

    อ่านว่า สะมะ วะยะมะ

    แปลว่า สัตว์ที่โหดร้าย [สม] จักมีตัวชี้วัดคือ การกระทำความชั่วร้าย

    ด้วยความอมหิตโหดร้ายทารุณ [วยม]

    >>

    [สม วจร] หรือ [สัมมาวาจา]

    อ่านว่า สะมะ วะจะระ

    แปลว่า สัตว์ที่โหดร้าย [สม] จักมีพฤติกรรมต่ำลง หรือใฝ่ต่ำ [วจร]

    >>

    [สม สกป] หรือ [สัมมาสังกัปปะ]

    อ่านว่า สะมะ สะกะปะ

    แปลว่า สัตว์ที่โหดร้าย [สม] จักต้องเกิดมาชดใช้กรรมที่สั่งสมมา [สกป]

    เป็นสัตว์ที่ต้องรับทุกข์จากการเกิดมาบนโลกมนุษย์ทั้งสิ้น

    มิได้หมายถึงสรรพสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง [สกป]

    >>

    [ทางเลือกที่สาม พอดี พอดี คือ มรรคผล [มรค ปล]]

    >>

    อ่านว่า มะระคะ ปะละ

    แปลว่า การแสวงหาเมตตาธรรม [มรค] ด้วยกลุ่มของกิเลส คือความอยาก [ปล]

    หมายถึง ความอยากยกระดับความเป็นอยู่ให้สูงขึ้น[อุทจกรปล]

    ความอยากขั้นพื้นฐานของคน ได้แก่

    ความปรารถนาใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส [ปติคตหกร]

    และความอยากได้อำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียง [มนคปรมกร]

    รวมกันเรียกว่า มรรคผล [มรค ปล]

    กอปรด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ

    ดังนี้

    >>

    [สมร ทถิ] หรือ [สัมมาทิฐฐิ]

    อ่านว่า สะมะระ ทะถิ

    แปลว่า สัตว์ที่มีความเมตตา [สมร] จักเป็นคนที่เห็นประโยชน์ของธรรม [ทถิ]

    >>

    [สมร สติ] หรือ [สัมมาสติ]

    อ่านว่า สะมะระ สะติ

    แปลว่า สัตว์ที่มีความเมตตา [สมร] จักเกิดมาเป็นคน [สติ]

    >>

    [สมร กมรต] หรือ [สัมมากัมมันตะ]

    อ่านว่า สะมะระ กะมะระตะ

    แปลว่า สัตว์ที่เมตตา[สมร] จักได้รับความสุขจากความเมตตา อย่างเป็นรูปธรรม [กมรต]

    >>

    *********************

    [เต๋าอักษรไต๋]

    >>

    หลักการให้น้ำหนักกฎแห่งกรรมให้เรียงจากซ้ายไปขวา

    อักษรไต๋ที่อยู่ทางด้านซ้ายจักมีน้ำหน้ากว่าอักษรไต๋ถัดมาทางด้านขวา

    เป็นการอ่านตามหลักของภาษาไทย

    ให้น้ำหนักอักษรไต๋ทางต้นคำ กลุ่มคำนั้นเป็นกรอบการกำหนดกฎแห่งกรรม

    การผสมอักษรใช้หลักการสมาสและสนธิคำ ในหลักภาษาไทย

    อนาคตเราจักนำการผสมอักษรไต๋เพื่ออธิบายกฎแห่งกรรมโดยลำดับ

    การเต๋าอักษรไต๋คือการเรียนรู้กฎแห่งกรรมที่มิอาจผิดพลาดได้

    นั่นคือถูกคือถูกผิดคือผิด

    >>

    อักขระบาลีที่ใช้บัญญัติกฎแห่งกรรม

    หรือ [อขร ปรอ] อ่านว่า อะขะระ ปะระอะ

    คืออักษรไต๋ที่เราจักนำมาแสดงกฎแห่งกรรม

    ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 19 อักษร เพียงเท่านั้น

    ครอบคลุมกฎแห่งกรรมทั้งปวงที่บัญญัติไว้นานแล้ว

    เราเพียงทำหน้าที่เต๋าอักษรไต๋

    เพื่อให้มวลหมู่มนุษย์ชาติได้รู้แจ้งในกฎแห่งกรรมเพียงเท่านั้น

    อักษรไต๋คือกฎแห่งกรรมบัญญัติไว้นานแล้ว

    ก่อนสร้างมหาจักรวรรดิอนันต์จักรวาล

    >>

    เราจึงเพียงนำมาแสดง

    เพื่อให้มวลหมู่มนุษย์ชาติได้รู้แจ้งในกฎแห่งกรรมเพียงเท่านั้น

    เรามิได้เป็นผู้บัญญัติกฎแห่งกรรมขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด

    ในอนาคตพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

    ล้วนจักต้องใช้แบบการแสดงธรรมเดียวกันนี้ทั้งสิ้น

    เพราะนั่นคือหน้าที่ของพระพุทธเจ้า

    เพื่อเต๋าอักษรไต๋

    เพื่อแสดงธรรม

    เพื่อมวลหมู่สรรพสัตว์ทั้งปวง

    มวลหมู่มนุษย์ชาติทั้งปวง

    จักได้รู้แจ้งในกฎแห่งกรรม

    >>

    เพราะผู้ซึ่งสามารถเต๋าอักษรไต๋โดยมิผิดพลาดได้จักต้องรู้จริงเพียงเท่านั้น

    ต้องมีความเข้าใจอักษรไต๋อย่างลึกซึ้งจึงจักเต๋าอักษรไต๋เองได้

    สำหรับผู้ซึ่งไม่สามารถเต๋าอักษรไต๋ได้สามารถท่องจำอักษรไต๋ให้จำขึ้นใจ

    จดจำความหมายของอักษรไต๋ทุกอักขระเพื่อเข้าถึงกฎแห่งกรรมโดยแท้จริง

    มิใช่การอนุมาน การตั้งสมมุติฐาน การคาดคะเน การคำนวณ

    แต่เป็นความจริง ความถูกต้อง ความเที่ยงธรรม ความยุติธรรม

    ความเป็นธรรม ความชอบธรรม ตามกฎแห่งกรรมที่แท้จริง

    ตามอักษรไต๋ที่เรานำมาแสดงทั้ง 19 อักขระ

    เพียงแต่สามารถผสมอักษรไต๋

    เพื่อตรวจสอบกฎแห่งกรรมที่นำมาแสดงได้ทั้งสิ้น

    เป็นความมหัศจรรย์ของการบัญญัติอักษรไต๋ขึ้นมาบังคับใช้กฎแห่งกรรม

    อย่างเป็นสารระบบ

    >>

    สวัสดี สวีดัด สวัดดี

    พระอิศวร [อิสวติ ทนทลิต ทวทมทนทล อนต รมน]

    พุทธปฐม ปฐมพุทธ พระเจ้าเต๋า พระเจ้าเหา พระศรีอารยะเมตไตรย พุทธเจ้า

    ทีมงานเต๋าเรียนรู้เต๋าสร้างเต๋าสอนเต๋าทำงานเต๋าบริหารเต๋า

    >>

    *******************

    [ธรรมนูญสูงสุดที่ใช้บังคับสรรพจิตสรรพสัตว์ทั้งปวง ทั่วทั้งมหาจักรวรรดิอนันต์จักรวาล]

    >>

    [ทวปส ทวอก อนตกร อนตยรต นิวกรสทมต กลสกมต ปทม ทมจกร กปวทรมยรน]

    อ่านว่า ทะวะปะสะ ทะวะอะกะ อะนะตะกะระ อะนะตะยะระตะ

    นิวะกะระสะทะมะตะ

    กะละสะกะมะตะ

    ปะทะมะ ทะมะจะกะระ กะปะวะทะระมะยะระนะ

    แปลว่า เทวะบัญชา เป็นคำสั่งบัญญัติกฎแห่งกรรม

    แห่งมหาจักรวรรดิอนันต์จักรวาล ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

    กฎแห่งกรรมจักส่งผลดังเทวะบัญชานี้อย่างเป็นรูปธรรม

    หากมิบัญญัติไว้เรามิอาจบังคับใช้กฎแห่งกรรมอย่างเป็นรูปธรรมได้

    จิตมารที่ขัดขวางเราพยายามทุกวิถีทางที่จักหาช่องว่าง หาข้ออ้าง

    ที่จักมิกระทำตามกฎแห่งกรรม พยายามฝ่าฝืนกฎแห่งกรรม จงใจฝ่าฝืนกฎแห่งกรรม

    การบัญญัติกฎแห่งกรรมนี้ขึ้นนับเป็นธรรมนูญแห่งมหาจักรวรรดิอนันต์จักรวาล

    ในยุคอนันต์กาล อนันต์ยุค นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

    บัญญัติโดยพระอิศวรแห่งมหาจักรวรรดิอนันต์จักรวาล

    [อิสวติ ทนทลิต ทวทมทนทล อนต รมน]

    อ่านว่า อิสะวะติ ทะนะทะลิตะ ทะวะทะมะทะนะทะละ อะนะตะ ระมะนะ

    >>

    [ทวปส] เทวะบัญชานี้บังคับใช้กับสรรพสัตว์ทั้งปวงที่เวียนว่ายตายเกิด

    อยู่ในสังสารวัฏ เป็นสรรพวัฏจักร

    ในอนาคตเราจักนำมาแสดงโดยละเอียด

    แยกย่อยแต่ละอักขระในอีกวาระหนึ่ง

    [ทวอก] เทวะโองการเป็นบทลงโทษสรรพจิตสรรพสัตว์ทั้งปวง ตามเทวะบัญชา

    [อนตกร]แปลว่า สิ่งที่ดีที่สุดคือทุกข์น้อยลง

    [อนตยรต] แปลว่า สิ่งที่ดีที่สุดคือความชั่วลดลงอย่างเป็นรูปธรรม

    [นิวกรสทมต ] แปลว่า คนดีที่ทำความดีต้องได้รับความสุข

    ตามกระแสคุณธรรมอย่างเป็นรูปธรรม

    [กลสกมต] แปลว่า สัตว์ที่สร้างกรรมต้องชดใช้กรรมด้วยแรงกรรม

    ด้วยกระแสกรรมอย่างเป็นรูปธรรม

    [ปทม ] แปลว่า เป็นกรอบของคุณธรรมนำความอมหิตโหดร้ายทารุณความชั่วร้าย

    เป็นการนำคุณธรรมกับความอมหิตโหดร้ายทารุณความชั่วร้ายมาเปรียบเทียบกัน

    [ทมจกร] แปลว่า คุณธรรมอยู่เหนือความอมหิตโหดร้ายทารุณความชั่วร้าย

    จักได้รับความสุข

    [กปวทรมยรน] แปลว่า คุณธรรมต่ำลงเนื่องเพราะการทำความชั่ว

    จักได้รับความทุกข์ที่สั่งสมกรรมนั้นมา

    หากกลับตัวกลับใจเป็นคนดีจักรอดพ้นจากกรรมนั้นได้

    >>

    สวัสดี สวีดัด สวัดดี

    พระอิศวร [อิสวติ ทนทลิต ทวทมทนทล อนต รมน]

    พุทธปฐม ปฐมพุทธ พระเจ้าเต๋า พระเจ้าเหา พระศรีอารยะเมตไตรย พุทธเจ้า

    ทีมงานเต๋าเรียนรู้เต๋าสร้างเต๋าสอนเต๋าทำงานเต๋าบริหารเต๋า

    >>
     
  14. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    ไม่ไปหรอก อยากจัง
     
  15. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    จะเร้ย.........จึ๋งเลย
    แล้วกงมีกี่ล้อขอรับท่าน.....คือผมครอบครัวใหญ่ลูกเยอะกุมารเงินก็มีทองก็มี....ทองแดงก็มีอยากได้หลายๆล้อ....ครบๆขอรับทำไงดีขอรับช่วยปอกตลาดนัดด้วยเอาที่ใกล้ๆแถวสะพานนวลฉวีแล้วกันขอรับ...ใกล้บ้านหน่อยขอรับ
     
  16. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    มีลักษณะดังครึ่งหน้าของราชสีห์
     
  17. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230

    มันก็แค่นั้นเอง สมมุติให้เมื่อยตุ้มเปล่า ๆ อยู่เฉย ๆ น่ะดีแล้ว ไม่อยากน่ะ เดี๋ยวดีเอง

    ;aa21
     
  18. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ มะหน่อ [​IMG]
    แล้วรู้สามโลกละขอรับรู้อย่างไรขอรับที่พุทธองค์ท่านเขียนไว้ท่านรู้อย่างนั้นหรือไม่ขอรับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    *******
    เรามิได้สอนเฉพาะคนบนโลกมนุษย์ เราสอนทั้งเทพเซียนพระผู้สร้างพระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า
    จากทั่วทั้งอนันต์จักรวาล ทั่วทั้งเอกภพโดยพร้อมเพรียงกัน
    รวมทั้งสรรพจิตบนนรกภูมิ สรรพจิตบนสวรรค์ชั้นอาภัสสรพรหม
    ในโลกของจิตสามารถรับรู้หลักคำสอนของเราก่อนคนบนโลกมนุษย์เสมอ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    คืองงนะขอรับและคือไม่ได้คำตอบจากที่ไหนเลยด้วยเช่นกันมีแต่คนถามๆๆๆๆๆๆๆๆกันผมก็ตามๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเขาเหมือนกัน......แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสี่หมื่นแปดพันพระธรรมขันธ์ไปอย่างไรมาอย่างไร....รู้อย่างไรรู้แจ้งนะขอรับ.....กงล้อมีแปดซี่.....กำละพัน......โพธิปัก......สามสิบสองประการมหาบุรุษ......แล้วมือใหม่หัดขับจะไปหาคำตอบที่ไหนละขอรับ.....คงต้องดินข้างถนนอีกจนจบชีวิตแน่เลยขอรับ.....หาเหรียญบาทน่าจะได้เยอะกว่า....เอาเป็นว่าคงเจอพระอาจารย์เข้าสักวันขอรับ....ไม่ใช่ความอยากแต่คงเป็นความหวังเสียแล้วขอรับ......กราบขอบพระคุณท่านยิ่งแล้วขอรับ
     
  20. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    พระพุทธเจ้าหล่อไหมขอรับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...