สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด! สร้าง" พุทธวจน " ปลอม

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 7 กรกฎาคม 2015.

  1. ---สมส่วน---

    ---สมส่วน--- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,979
    ตามธรรมดา ในปัจจุบันนี้ มีหนังสือดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ ครบวงจรอยู่แล้ว
    อยู่ที่ว่า ผู้คน จะเลือกเอาทางไหน ตามธรรมดาชาวโลกเขาเป็น เช่นนี้
    มาทุกยุค ทุกสมัย ให้เข้าใจว่าเป็น กรรมของๆตนทุกคนไป และทุกคน
    ก็ไม่ได้อยู ภายใต้การดูแล ของใครได้ ตลอดไป ดังนั้นทุกคน จึงมีทาง
    เลือกที่เห็นว่า ถูกและดีที่สุด

    ธรรมดา ผู้ที่เห็นทางเลือกว่าดี อาจทำสิ่งใดไว้ ให้คนรุ่นหลังต่อไป
    เพราะรู้ว่า ทุกคนเกิดมาแล้ว ถึงเวลาอันควรก็ต้องจากกัน
    เพราะคนที่รู้แล้ว ก็ร่วงโรยไปเรื่อยๆ มาหลายคน บางคนรู้แล้วก็ตายไป
    กับตน บางคนก็ทำสิ่งนั้นๆฝากเอาไว้ให้

    ดังนั้นสิ่งที่เหลืออยู่บนโลกนี้ได้ จะต้องมีประโยชน์ ต่อคนรุ่นหลังจริงๆ
    ดังเช่น คอมพิวเตอร์ ที่เราท่านใช้กันอยู่ทุกวันนี้ คนเป็นต้นแบบจริงๆ
    ไม่ได้อยู่ดูเห็น ความเจริญของตน คนรุ่นหลัง เห็นว่าดี จึงหยิบยก
    ขึ้นมาตีแผ่ ให้พวกเราได้ใช้กัน
     
  2. tummayut

    tummayut สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2006
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +24
    จ่ายักษ์ครับ ผมอยากทราบความคิดเห็นของคุณ กรณี ภิกษุณี ในประเทศเรา ว่างๆเล่าให้ผมฟังบ้างนะครับ
     
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา.



    การที่ไม่มี{O}พระพุทธเจ้าพระบรมมหาศาสดา{O}
    มันเป็นความจริงอันเป็นเหตุที่แสดงถึง ข้อติดขัดในการปฎิบัติธรรม รักษาธรรมที่ชัดเจน ที่ส่งผลร้ายแรงที่สุดของเรื่องการบรรลุธรรมและปฎิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา
    {O}แสดงปัญหาข้อติดขัดในธรรมที่ชัดเจน ที่ส่งผลร้ายแรงที่สุดของเรื่องการบรรลุธรรมในพระพุ

    ในประเทศนี้ หรือประเทศไหนก็ตาม
    เรื่องนี้ต้องว่าด้วยความอนุเคราะห์ยินยอมของสงฆ์ว่าเห็นอะไรเป็นใหญ่ คือ
    ธรรมและตนและเหล่าพุทธบริษัท ๓ มีปัญญาสามารถที่จะควบคุม กำกับ ดูแล และไม่หวั่นไหวต่อการมีพระภิกษุณี ในอารามเขตสถานของตนเองได้ไหม? หรือจะเกรงกลัวการผิดผลาด จนเป็นที่ล้อเลียนจากลัทธิศาสนาต่างๆว่าด้วยเหตุเสื่อมที่จะเกิดขึ้นนั้นๆไป

    เรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับ ปฎิสัมภิทาญาน เป็นใหญ่ เมื่อมีปฎิสัมภิทาญาน ย่อมเห็นธรรม ที่บริสุทธิคุณ ถูกต้องชัดเจน งดงาม ไพเราะ ในเบื้องตน ท่ามกลาง และบั้นปลาย ตามนามพระสัทธรรมอันเป็นธรรมราชาของอนันตริยจักรวาลทั้งปวง อันเป็นสิ่งเหนือสหโลกธาตุทั้งสิ้น สุดจะพรรณนาหาความได้


    มีปฎิสัมภิทาญาน ย่อมมีธรรม อันเป็นรูปแบบเดียวกันของศาสนาพุทธในทุกๆยุคสมัยของแต่ละห้วงช่วงพุทธันดรของพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆตามลำดับมา อย่าไปค้นหาที่มา ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าด้วยกัน อันความนึกคิดตริตรองพระองค์ล้วนมีแบบฉบับส่วนของพระองค์เอง ไม่ใช่ฐานะที่จะไปหยั่งรู้ความคิดพิจารณาได้ ถ้าไม่มีคุณสมบัติปัญญาญานที่มากพอ รู้ไว้ตรงนี้

    จริงๆแล้วการออกถือบวชเองของบุรุษไม่ว่าหญิงหรือชาย ในจริตธรรมของตน เป็นเรื่องที่กระทำได้ในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องไปเรียกร้องขอใครบวช เช่นพระโพธิสัตว์ พระปัจเจกพุทธเจ้า และด้วยจริตธรรมของตนเอง แต่สำหรับพุทธบริษัทผู้เดินตามหรือเหล่าบรรดา นักบวชที่มีความเพียรชอบศึกษาธรรมต่างๆ ก็มีบ้างที่เข้ามาขอร่ำเรียนจริงจัง ตรวจสอบ ลักลอบแอบเรียนธรรม แล้วเอาไปใช้ประโยชน์ ทั้งแอบตู่เป็นของสำนักตน บวชเข้ามาเพื่อประสงค์อื่น วางแผนเปลี่ยนแปลงทำลายพระธรรมคำสั่งสอนให้เสียหาย ฯลฯ บ้างชอบใจมีความเพียรก็อยู่ได้ตลอด บ้างก็ได้สักระยะ บ้างก็ผิดพลาดในธรรมวินัย เสียผู้เสียคนไปเลย สิ้นสถานะสงฆ์ ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือตายไปในสภาพที่ขาดสูญสิ้นเสียก็มี เป็นยุคที่มีความหลากหลายชนชาติลัทธิศาสนา สำหรับยุคปัจจุบันในพระธรรมวินัยนี้ แต่เมื่อมีสงฆ์อยู่สงฆ์ก็ควรอนุเคราะห์ธรรมนั้น ตามพระวินัยที่มีพุทธานุญาต จึงจะประเสริฐ ไม่ควรขัดขวาง

    ในธรรมวินัยนี้ ผู้ใดปฎิบัติตามย่อมได้ฐานะนั้น การออกบวชจริงๆแล้วเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่พึงพอใจ ชอบใจในรสพระธรรมจึงออกบวช แต่ติดขัดในจารีตประเพณีที่ยึดถือปฎิบัติ ผู้เข้าถึงธรรมก็ควรปฎิบัติตามหลักเกณฑ์กฎข้อบังคับ ที่สามารถพึงจะกระทำได้ เป็นการรักษาบุคคลให้อยู่ในฐานะที่ปลอดภัย แต่ยุคสมัยนี้สังฆเภทได้เกิดขึ้นแตกแยกเป็นหลายนิกายแล้ว ควรกลับไปนับหนึ่งใหม่ อาศัยบาตรดิน ไว้คิ้ว ครองผ้าสามผืน ฉันยาดองน้ำมูตรและปฎิบัติธรรมให้ได้ตามธรรมอย่างนั้นจึงดี นั่นสำหรับผู้ที่มีบุญบารมีมาก จึงจะกระทำได้ และต้องปฎิเสธภาชนะอื่น การปฎิบัติธรรมเป็นเรื่องที่สมควรแก่ธรรม ไม่ใช่ต้องแคร์สังคมนิยม
    ที่ประเทศนอกมีอย่างนั้น ดูที่การปฎิบัติ ภิกษุณีในประเทศไทย ไม่มีเรื่องอื้อฉาวให้ได้ยินนัก เรียกได้ว่า จริยวัตรงดงามกว่าภิกษุสามเณรที่กระทำการเสียหายมาก
    เรื่องการบวชมีพระวินัยอยู่แล้ว ในธรรมวินัยนี้ ผู้ใดปฎิบัติตามย่อมได้ฐานะนั้นถ้าพิจารณาว่าสายขาดก็ยินยอมร่วมสงฆ์๒ฝ่ายบวชให้ไป พระอริยสงฆ์อริยเจ้าที่ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบตามพรรษา นั้นมีไหม? ที่บรรลุธรรมระดับสูง ท่านผู้นั้นสามารถอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อได้ เขาไม่ได้พึ่งมามีศรัทธาแก่พระรัตนตรัยแค่เพียงชาติภพนี้

    ถ้าทำได้ก็เอื้อเฟื้อ แบ่งสถานที่ซ้ายขวาแยกเป็นสัดส่วน พระและสามเณรที่นั่นต้องมีพรหมจรรย์ศีลบริสุทธิ์จริงๆ จึงจะสามารถรักษาตนได้


    สุดท้ายนี้

    ขอให้ท่านภิกษุณีทั้งหลายในอารามแห่งนั้นเจริญในธรรมอันยิ่งขึ้นไปเถิด ช่างเป็นฐานะอันพึงทำให้บุรุษพึงละอายใจจริงๆ แม้เป็นสตรียังมีปัญญาธรรมในการหาทางพ้นทุกข์ ดับทุกข์เสียได้ บุรุษใดเก้อเขินแล้วไซร้ ช่างห่างไกลธรรมเสียจริงๆ เวรกรรม บารมีธรรม มิได้สั่งสมมา



    ไม่ใช่จะไปมองตามหาดูแต่อยู่ในวัด นั่นคือพระสงฆ์ มีบัตรประจำตัวใบสุทธิ นั่นคือพระสงฆ์ ห่มผ้าไตรแล้วเชื่อว่านี่คือพระภิกษุสงฆ์

    จะดูพระสงฆ์ให้ดูศีลจริยวัตรที่การปฎิบัติ เมื่ออยากจะรู้ว่า ปฎิบัติผิดหรือถูก ก็ต้องเรียนต้องศึกษา ถ้าไม่มีปัญญาหยั่งรู้ ก็ให้ดูตามระดับ

    ยิ่งมักน้อยเท่าไหร่ มีความขวนขวายในธรรม ไม่ติดทายกทายิกา ไม่มากด้วยสมบัติอันมิใช่บริขาร ๘ ไม่ติดเสนาสนะที่จัดสร้างและถวายมาในสภาพดี ไม่ติดในถิ่นที่อยู่ คือ ไม่เป็นบุรุษจำพวก เอาวัดเป็นเรือนเป็นบ้านของตน ผู้ใดกระทำตนร่อนเร่ ดุจนกหากินผกผินทำรังนอน ปลีกวิเวก ปฎิเสธลาภยศความปรารถนา ชื่อเสียงเงินทอง นั่นแหละพระแท้พระธรรมทายาทผู้จักเป็นพระอริยสงฆ์ในพระพุทธศาสนา สมดังพุทธปรินิพพานกลางป่า สาลวโนทยาน


    ถ้าเราออกบวช ก็ถือ นิสสัย ๔ ในยุคนี้ตามหายากสักหน่อยนะ

    อธิบายตามพอรู้แต่ไม่ใช่ว่ารู้ทั้งหมด รู้ตามเท่าปัญญาที่มี

    http://www.vinaya.mbu.ac.th/sec2book6/page088.htm
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2015
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2016
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    แม้บทสวดสรรเสริญพระพุทธเจ้ายังถูกจัดรวมเป็นเดรัจฉานวิชา มันนอกแนวตรงที่ใด

    https://youtu.be/h-acEH9hUl0

    https://youtu.be/pM57DvM-av8


    https://youtu.be/-nLdd1knKGs

    บทสวดยอดนิยม พาหุงเป็นคำแต่งใหม่
    https://youtu.be/GEi_-8A-_uA

    บทสวดยอดนิยม คาถาชินบัญชรเป็นคำแต่งใหม่
    https://youtu.be/cOTNdG26nqI
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พุทธวจนะ คำจริง พระไตรปิฎกคำปลอม


    https://youtu.be/dWcDsWE4Aus


    สรุปก็เป็นอันที่เข้าใจว่า นั้นหมายถึงโดยนัยยะ บูรพาจาร์ย หลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตา ที่ท่านศึกษาร่ำเรียนมาและล่วงลับไปแล้ว เรียนคำปลอมมาหมดทุกๆรูป ไม่มีทางได้มรรคผลหรือสำเร็จธรรมใดๆ ผู้จะสำเร็จธรรมได้ มีแต่สำนักวัดนาป่าพง

    เวรกรรมของชาวพุทธ นี่ยังไม่รวม พระไตรปิฏกพระธรรมคำสั่งสอนในนิกายอื่นอีก ซึ่งก็หมายความว่า พระไตรปิฏกอื่นใดก็ตาม ที่ไม่ใช่ หนังสือ พุทธวจน เป็นของปลอมทั้งหมด ฯ


    บ้าไปแล้ว!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2015
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    แผนการใหญ่

    "พุทธวจนปิฏกจะมาแทนพระไตรปิฏกทั้งหมดในประเทศไทย และในโลก"

    https://youtu.be/fJ69eQETA6A


    สงสัยคงมีรายการรีไซเคิลกันเกิดขึ้นแน่ๆ หรือจะเผาทิ้งให้ปลวกกินก็แล้วแต่ความเมตตาปราณีของสำนักวัดนาป่าพงแล้ว

    หวังดีแต่พฤติกรรมเป็นประสงค์ร้าย มันเป็นสติปัญญาของคนพาลพาโล นกกระยางอวดว่าสามารถทำให้เต่าและปลาและกุ้งบินได้ แท้จริงฯ นำไปเป็นอาหารและฆ่าเล่นสนุกๆเพื่อความสะใจเพียงเท่านั้นฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2015
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    มิลินทปัญหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2015
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    มิลินทปัญหา
    http://www.dhammathai.org/milin/milin03.php

    ศึกษาร่วมกับภิกษุชาวลังกา

    ในคราวนั้น ยังมีภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่าพระติสสทัตตะ ได้เรียนพระพุทธวจนะเป็นภาษาสิงหล ในเมืองลังกาจบแล้วปรารถนาจะเรียนพระพุทธวจนะอันเป็นภาษามคธ จึงโดยสารสำเภามาสู่สำนักพระธรรมรักขิตนี้ เมื่อกราบไหว้แล้วจึงกล่าวว่า
    “ กระผมมาจากที่ไกล ขอท่านจงบอกพระพุทธวจนะให้แก่กระผมด้วยเถิด”
    “ เธอกับพระติสสทัตตะควรเรียนพระพุทธวจนะด้วยกัน จะได้เป็นเพื่อนสาธยายด้วยกัน อย่าร้อนใจไปเลย ”
    พระนาคเสนจึงกล่าวว่า
    “ กระผมมิอาจที่จะเรียนพระพุทธวจนะพร้อมกันด้วยคำภาษาสิงหลได้ ด้วยพระติสสทัตตะนี้เจรจาเป็นภาษาสิงหล ”
    เป็นคำถามว่า เหตุไฉนเมื่อพระอาจารย์ว่าจะให้พระติสสทัตตะกับพระนาคเสนเรียนพระพุทธวจนะพร้อมกัน พระนาคเสนนั้นว่าไม่เรียนพร้อมกัน ด้วยพระติสสทัตตะกล่าวคำภาษาสิงหล (อันเป็นภาษาชาวลังกา)
    แก้ความนั้นว่า พระนาคเสนเข้าใจว่าอาจารย์คงจะบอกพระพุทธวจนะเป็นภาษาสิงหล ด้วยภาษาสิงหลนี้เป็นคำวิเศษกลัวว่าชาวประเทศสาคลราชธานีจะไม่เข้าใจ พระนาคเสนนั้นตั้งใจจะเรียนพระพุทธวจนะที่จะให้เข้าใจของชาวสาคลนคร มีพระเจ้ามิลินท์เป็นประธาน
    พระธรรมรักขิตจึงบอกขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๒ ว่า
    “ เธอจงเรียนพร้อมกับพระติสสทัตตะเพราะพระติสสทัตตะเป็นบัณฑิต ไม่ใช่ผู้ไม่รู้จักภาษา ”
    พระนาคเสนจึงคิดได้ว่าอาจารย์คงไม่บอกเป็นภาษาสิงหลดอก อาจจะบอกเป็นภาษามคธ เราผิดเสียแล้ว จะต้องขอโทษพระติสสทัตตะ
    เมื่อพระนาคเสนคิดได้อย่างนั้น จึงกราบขอโทษแล้วเริ่มเรียนพระพุทธวจนะพร้อมกัน โดยเรียนอยู่ ๓ เดือนก็จบพระไตรปิฏก ซักซ้อมอีก ๓ เดือนก็ชำนาญ


    พุทธวจนะที่แท้จริง คือ ทิพยภาษา ไม่ใช่ภาษาใดภาษาหนึ่ง

    พุทธวจนะแท้ๆ กับภาษาที่รักษาไว้ซึ่งพุทธวจนะ เป็นคนละอย่างกัน

    ไม่รู้จักปฎิสัมภิทาญานแต่อวดฉลาดเก่งกล้าเกินใคร สุดท้ายก็มีจุดจบอย่างนี้แลฯ


    อีกอย่าง เรื่อง มิลินทปัญหา คึก ก็ไม่ยอมรับอีกแน่นอน เพราะเป็นอรรถกถาพระสาวก นั่นก็หมายถึง คัดค้านพุทธพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พุทธพยากรณ์ในวันปรินิพพาน

    เมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับเหล่าพระภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก เสด็จไปที่เมืองกุสินารามหานคร ในเวลาที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์ทรงบรรทมบนบัลลังก์ หันพระเศียรไปทางทิศอุดร ในระหว่างนางรังทั้งคู่อันมีอยู่ในพระราชอุทยานของพวกมัลลกษัตริย์ แห่งเมืองกุสินารา จึงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอทั้งหลายให้รู้ว่า สังขารทั้งปวงมีความสิ้นความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทำกิจทั้งปวงด้วยความไม่ประมาทเถิด

    ธรรมวินัยอันใด เราบัญญติไว้แล้ว เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ธรรมวินัยนั้นแหละ จะเป็นครูของพวกเธอ

    เมื่อเราปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปจะระลึกถึงถ้อยคำที่ไม่ดีของ สุภัททภิกขุผู้บวชเมื่อแก่ แล้วจะกระทำสังคายนา เพื่อรักษาพระพุทธวจนะไว้มิให้คลาดเคลื่อน ( สังคายนา ครั้งที่ ๑)

    ต่อนั้นไปอีก ๑๐๐ ปี พระยสกากัณฑกบุตร ผู้จะย่ำยีซึ่งถ้อยคำของพวกภิกษุวัชชีบุตรติสสเถระ ผู้จะลบล้างลัทธิของพวกเดียรถีย์ภายนอก จักได้กระทำ สังคายนาครั้งที่ ๒

    ต่อไปอีกได้ ๒๑๘ ปี พระโมคคลีบุตรติสสเถระ ผู้จะลบล้างลัทธิของพวกเดียรถีย์ภายนอก จักได้กระทำ สังคายนาครั้งที่ ๓

    ต่อมาภายหลัง พระมหินทเถระจะไปประดิษฐานศาสนาของเรา ลงไว้ที่ตามพปัณณิทวีป (ลังกา)

    ต่อจากเราปรินิพพานไปล่วงได้ ๕๐๐ ปี จักมีพระราชาองค์หนึ่ง ชื่อว่า "มิลินท์" ผู้ได้สร้างสมบุญบารมีไว้ดีแล้ว จะทำให้เกิดปัญหาอันละเอียดขึ้น ด้วยอานุภาพปัญญาของตน จะย่ำยีเสียซึ่งสมณพราหมณ์ทั้งหลายด้วยปัญหาอันละเอียด

    จะมีภิกษุองค์หนึ่ง ชื่อว่า "นาคเสน" ไปทำลายถ้อยคำของ มิลินทราชา ทำให้มิลินทราชาเกิดความร่าเริงยินดีด้วยอุปมาเป็นเอนก จะทำศาสนาของเราให้หมดเสี้ยนหนามหลักตอ จะทำศาสนาของเราให้ตั้งอยู่ตลอด ๕๐๐๐ พรรษา" ดังนี้

    เพราะฉะนั้น จึงได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดเกิดในตระกูลในเวลาล่วงได้ ๕๐๐ ปีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วนั้น ผู้นั้นจักได้ชื่อว่า "มิลินทราชา" เสวยราชย์อยู่ใน สาคลนคร อันเป็นเมืองอุดม มิลินทราชานั้น จักได้ถามปัญหาต่อพระนาคเสน มีอุปมาเหมือนกับน้ำในแม่น้ำคงคาไหลไปสู่มหาสมุทรสาครฉะนั้น พระองค์เป็นผู้มีถ้อยคำอันวิจิตร ได้เสด็จไปหาพระนาคเสนในเวลาราตรี มีคบเพลิงจุดสว่างไสว แล้วถามปัญหาล้วนแต่ละเอียดลึกซึ้ง ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจไว้ด้วยดี ฟังปัญหาอันละเอียดในคัมภีร์มิลินท์นั้นเถิด จะเกิดประโยชน์สุขแก่ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน ดังนี้

    พระนครของพระเจ้ามิลินท์ มีคำเล่าลือปรากฏมาว่า "เมืองสาคลนครของชาวโยนก เป็นเมืองที่งดงามด้วยธรรมชาติอันน่ารื่นรมย์ อุทยานอันมีสระน้ำ สวนดอกไม้ผลไม้ ตกแต่งไว้อย่างดี มีหมู่นกมากมายอาศัยอยู่ ป้อมปราการก็แข็งแรง ปราศจากข้าศึกมารบกวน ถนนหนทางภายในพระนครเกลื่อนกล่นไปด้วยช้างม้ารถอันคล่องแคล่ว อีกทั้งหมู่สตรีล้วนมีรูปร่างสวยงาม ต่างเที่ยวสัญจรไปมา ทั้งเป็นที่พักพาอาศัยของ สมณพราหมณ์ พ่อค้าสามัญชนต่าง ๆ
    เมืองสาคลนครนั้น สมบูรณ์ด้วยผ้าแก้วแหวนเงินทอง ยุ้งฉาง ของกินของใช้มีตลาดร้านค้าเป็นที่ไปมาแห่งพ่อค้า ข้างนอกเมืองก็บริบูรณ์ด้วยพืชข้าวกล้า อุปมาเหมือนข้าวกล้าในอุตตรกุรุทวีป หรือไม่ก็เปรียบเหมือนกับ "อารกมัณฑาอุทยาน" อันสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชฉะนั้น"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2015
  10. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๒๑.๓๒

    ไม่ง่ายนักหรอกน่าท่านจ่ายักษ์ มีกองหนุนมาช่วยแล้วววว

    มีหน่วยองครักษ์พิทักษ์ธรรมหน่วยนึง มาจากญี่ปุ่น
    เค้าสามารถอ่านเกมส์ของไอ้คึก และรู้ไปถึงกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังด้วย
    กองกำลังส่วนหน้าของพวกเค้า ได้ติดต่อสื่อสารกันกะพวกเราแล้ว
    คือท่าน "โคนัน ยอดนักสืบ" ดังมากนะท่านเนี้ย ที่ญี่ปุ่นรุ้จักกันดี ๕๕๕

    เค้าได้รับรหัสภาพของท่าน ที่ทิ้งไว้แถวเนี้ย
    แล้วเอากลับไปวิเคราะห์ ที่ญี่ปุ่น เสร็จแล้วก็ส่งมาให้ทางนี้
    เราได้รับสารนี้แล้ว โดยมีชื่อรหัสลับอันนี้ว่า "จากการ์ตูนสู่นิทาน" หึหึหึ

    ลองดูภาพของท่านก่อนละกัน เค้าแปลรหัสที่ฝ่ายทำลายมันซ่อนไว้ ออกมาได้อ่ะ
    และคาดว่า ภาพชุดเหล่านี้ น่าจะถึงมือของผู้มีอำนาจ ที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้วครับ

    วางใจได้เลย ล่ะมั้ง นะ ๕๕๕ ว่าไอ้คึกทำไม่สำเร็จหรอก
    อีกไม่นานมันก็เจ๊งแล้วอ่ะ ไม่รอดแน่ ขอบอก หึหึหึ


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    จากรูปที่ท่านจ่ายักษ์ บังเอิญไปจัดหามา
    และนำมาแปะไว้ให้ ณ.จุดนัดพบข้ามมิติ
    พวกเรา "ชาวหมู่บ้านในนิทาน" ก็ได้จัดการวางพล็อตนิทานตอนใหม่
    พร้อมทั้งวางระบบสื่อสารและเชื่อมโยงหน่วยต่างๆ เข้าด้วยกันแล้ว

    บัดนี้ เรื่องก็ได้เดินทางไปถึงมือที่เหมาะสม เรียบร้อยแล้ว
    ที่เหลือก็รอเวลา หรือรอฤกษ์เหมาะๆ ที่จะลงดาบ ฟันหัวแม่มเลย ๕๕๕


    กระต่ายป่า ซ่าส์..แต่เพื่อนแยะ / เล็บครุฑ นารายณ์ทรง ทราบ

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    กองหนุน กองหนุน กองหนุน สาธุฯ สาธุฯ สาธุ ฯ

    {O} มหันตภัยร้ายแรง คือ ภัยที่๕ กำลังจะเกิดในสหโลกธาตุในไม่ช้า ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ {O}

    http://pantip.com/topic/33698747
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2015
  12. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    เขียน ๒๒.๔๓

    สงสัยว่านี่มันเรื่องบังเอิญ อีกหรือเปล่าน๊า หึหึหึ

    ตะกี้ ตอนนึกถึงคำว่า "องครักษ์พิทักษ์ธรรม" น่ะนะ
    ก็บังเอิญให้อากู๋เค้าค้นคำนี้ดู
    ก็บังเอิญไปเจอว่า ในเวบพลังจิตนี้ ก็มีคำนี้อยู่ด้วยครับ

    เลยเข้าไปอ่าน ที่หน้าเก้าสิบแปด ที่ปรากฏคำนี้อยู่
    หน้า เก้าสิบแปด http://palungjit.org/threads/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2.314750/page-98#post8949051

    และเห็นว่าน่าสนใจ เลยไปอ่านหน้าสุดท้ายดูด้วย
    เลยเห็นว่า ท่าน toplus99 เค้าบ่นว่าไม่สบาย

    เลยปล่อย กลอนมนตรา ไปบทนึง เผื่อฟลุค
    ที่หน้าสุดท้าย http://palungjit.org/threads/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2.314750/page-106#post9739459

    ก็เอามารายงานให้ท่านจ่ายักษ์และท่านอื่นๆ ทราบด้วยละกันครับ
    ว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ หรือเปล่า หรือเป็นเรื่อง "วิทยาศาตร์ทางจิต : ลึกลับ" ๕๕๕


    ผีเสื้อสื่อสารข้ามมิติ / กระต่ายป่า แห่งหมู่บ้านในนิทาน

    .
     
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    กองหนุนที่ยังนำพาคำสอนที่ให้คนหลงเชื่อเรื่องผีวิญญานตกทุกข์ได้ยาก หลังความตายเวียนว่ายลอยไปลอยมา กองหนุนแบบนี้ คงจะต้องบินเดี่ยวจะดีกว่า!

    ยังอ่อนเรื่องรูปนามมาก



    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
    เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
    วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?
    สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงว่า
    วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?
    สาติภิกษุทูลว่า สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ.(อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ)
    (เป็นความเข้าใจในลักษณะของเจตภูตที่สามารถท่องเที่ยวล่องลอยไปแสวงหาที่เกิด หรืออัตตา(อาตมัน) หรือปฏิสนธิวิญญาณ อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ)
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ ที่เราแสดงแก่ใครเล่า(หมายถึงท่านไม่เคยแสดงธรรมเยี่ยงนี้เลย)
    ดูกรโมฆบุรุษ (ที่เราตถาคตกล่าวแสดงไว้มีดังนี้ คือ)วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น
    เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี
    ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย
    จะประสพบาปมิใช่บุญ มากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
    ดูกรโมฆบุรุษก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษ ไม่เป็นประโยชน์ (แต่เป็นไป)เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.



    ไม่มีช่องว่างสำหรับดวงวิญญานในสหโลกธาตุ เพราะการเกิดดับนั้นรวดเร็วมาก จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ในขณะที่ถูกสภาวะดึงดูดด้วยสูญญตะมหาภพ มหา ชาติ ชรา มรณะ เมื่อกำเนิดโอปาติกะ เกิดในกอบัวบ้าง โคนต้นไม้บ้าง จุติคันธัพพะในรังไข่อันปฎิสนธิขันธ์๕ บ้างฯลฯ

    พวกที่มาหาไม่เป็นญาติก็มาร๕ที่เป็นศัตรูแปลงมาซ้ำเวลาจิตใจอ่อนแอ หรือ เจ้าตัวที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นโอปาติกะ คันธัพพะแปลงมา พวกทำหนังผีขายและพวกชอบชักชวนกันไปดูหนังผีวิญญานเฮี้ยน พวกนี้จะพาคนและพาตน ไปพบกับความทุกข์ชั่วกาลนาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2015
  14. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    เขียน ๐๐.๐๕

    ระวังปากหน่อยครับ ท่านจ่ายักษ์

    ตะกี้นี้เองอ่ะ ไม่ถึงสิบวิ กะลังอ่านโพสท์ล่าสุดของท่านอยู่
    ไฟดับทั้งวัดเลย เสียววาบเลยเรา ในใจนึก เอ้า..โดนอะไรเข้าแล้ว ๕๕๕

    ดีนะ ไฟดับแค่ไม่ถึงห้าวิ ยังตกใจขนลุกไม่เสร็จเลย ไฟก็กลับมาแล้ว หึหึหึ
    โลกนี้กว้างขวางนัก ท่านไม่รู้ไปหมดทุกอย่างหรอกน่า อย่าทะนงตนนัก

    ไม่รู้ใครฝากมานะ พูดจาแรงไปหน่อย เอากลับไปคิดละกันนะ เนอะ หึหึหึ


    กระต่ายป่า ซ่าส์..เพราะเพื่อนแยะ / เจ้าถิ่น ที่ฤทธิ์ล้น

    .
     
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    คิดแต่ว่ามีเพียงทางนั้นทางไหนที่มีฤทธิ์ดลบันดาลรึ! ทางผมน่ะถึงตายและพิการไปหลายคนแล้ว แม้ปัจจุบันก็ยังมิได้หยุด ฟ้าผ่าตายก็มี รถคว่ำขาหักแขนหัก แค่ นินทาเล็กๆน้อยๆยังเดี้ยงเลย ไม่โดนเจ้าตัวทันที โดนก็ดาวบริวารทันที สงสัยจะสั่งสมไว้เต็มแก้ว ตัวที่เก่งๆยังเอาตัวรอดแบบอาการร่อแร่ก็มี ยิ่งอยู่นานจะยิ่งซึ้งในความทรมานมากกว่ารีบตาย กรรมใครกรรมมัน ผมช่วยไม่ได้ สร้างเองก็รับเอาเอง เรื่อง ทัณฑ์ในพระพุทธศาสนาผมรู้ดี ผมน่ะเหมือนตัวกาลกิณีตัวเสนียดจัญไร ของพวกชั่วๆเลวทรามต่ำช้าเสียด้วยซิ อย่าหาว่าผมใช้คุณวิเศษรังแกผู้อื่น ผมทนอยู่ในคราบฆราวาสนี่ก็เต็มกลืนแล้ว

    โย ทณฺเฑร อทณฺเฑสุ
    อปฺปทุฎฺเฐสุ ทุสฺสติ
    ทสนฺนมญฺญตรํ ฐานํ
    ขิปฺปเมว นิคจฺฉติ ฯ


    ผู้ทำร้ายลงทัณฑ์แก่บุคคล
    ผู้ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายใคร
    ย่อมได้รับผลสนองกลับอย่าง
    อย่างใดอย่างหนึ่งทันตาเห็น


    เวทนํ ผรุสํ ชานึ
    สรีรสฺส จ เภทนํ
    ครุกํ วาปิ อาพาธํ
    จิตฺตกฺเขปํว ปาปุเณ ฯ



    ได้รับเวทนาอย่างรุนแรง
    ได้รับความเสื่อมเสีย
    ถูกทำร้ายร่างกาย
    เจ็บป่วยอย่างหนัก
    กลายเป็นคนวิกลจริต

    ราชโต วา อุปสคฺคํ
    อพฺภกฺขานํ ว ทารุณํ
    ปริกฺขยํ ว ญาตีนํ
    โภคานํ ว ปภงฺคุณํ ฯ


    ต้องราชภัย
    ถูกกล่าวหาอย่างรุนแรง
    ไร้ญาติพี่น้อง
    ทรัพย์สมบัติก็พินาศยิ้ม


    อถวาสฺส อคารานิ
    อคฺคิ ฑหติ ปาวโก
    กายสฺส เภทา ทุปฺปญฺโญ
    นิรยํ โส อุปปชฺชติ ฯ


    หรือไม่บ้านเรือนของเขาย่อมถูกไฟไหม้
    ตายไป เขาผู้ทรามก็ตกนรก


    กลัว หนังผีเจ๊งหรือไง ไปยอมศิโรราบ อยู่ในกรุ๊ปสำนักไหนมาเห็นผีกลัวผีหลอนวิญญานเฮี้ยน เก่งกล้าสามารถคงกะพันอมตะวิญญานดวงจิตประภัสสรอยู่กับที่ ไม่ต้องไปผุดไม่ต้องไปเกิดก็ได้ นั่นแน่ใจว่าใช่ศาสนาพุทธเหรอ?

    ความรู้แบบนั้น ไม่เอาด้วยนะจะบอกให้ เห็นเยอะแล้ว เบื่อ! ฝากบอกให้มาหักคอที ใช้อิทธิฤทธิ์ดลบันดาลให้เทวดาหรือพญามาร พญานาคมาเสกนั่นเสกนี่ที เสกฟ้าผ่าใส่ก็ได้ จะรอ ไม่ต้องกลัวตกนรกหรอก นี่พร้อมจะแสดงเป็นพญามารเป็นตัวร้ายให้ ฆ่าผมมีแต่ได้บุญฯ คนฆ่าได้ขึ้นสวรรค์ ผมลงนรกรับทัณฑ์อเวจีสุดแสนทรมาน เบื่อแล้วโลกน่ะ

    จะให้ระวังปากระวังกาย ระวังใจ ศิโรราบให้ พวกที่มีความคิดอย่างสาติภิกษุ ขอตายเกิดใหม่เป็นสัตว์นรกสัตว์เดรัจฉานไปจนสิ้นชั่วกาลนานดีกว่า


    ความคิดแบบนั้น! ดูหนังมากไปหรือเปล่า สงสัยเผลอๆมีแบบเกิดไปเป็นคนเดิมซ้ำอีกรอบในร่างเดิม หึหึ! ท่านใด

    สนใจใฝ่ศรัทธาในดวงวิญญานรับรู้ทุกข์สุขได้ทั้งหลายฯ ของสามแดนโลกธาตุที่ถอดวิญญานเป็นดวงจิตล่องลอยเข้าๆออกๆร่างกาย ตายแล้วฟื้นเกิดใหม่ในร่างเดิม ทวงวิญญานกันตามกฎโลกวิญญาน ชอบแบบนั้นก็เอาเถิด ที่นี่ไม่มี gratrypa
    เราคุยเรื่องอะไรกันอยู่ อย่านอกเรื่องสิ!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2015
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    แนวร่วมที่ไม่มีศรัทธาในพระพุทธเจ้าในภัทรกัปป์นี้ ไม่ได้ปฐมมรรคเป็นต้นไปจนถึงปฎิสัมภิทาญาน แอบอ้างเป็นนั่นนี่มาจุติ แค่เรื่องพื้นฐานที่จะนำพาตนเข้าถึงปฐมมรรคก็ยังไม่มี ยังสอนสัตว์โลกให้หลงทาง เราต้องการแต่ผู้มีปฎิสัมภิทาญานเท่านั้น! เสมือนดอกไม้ต้องการแจกันและน้ำโต๊ะวางดีๆกับผ้าขี้ริ้วเช็ดโต๊ะ ไอ้ที่เป็นไม่ได้แม้แต่ผ้าขี้ริ้วทำประโยชน์อะไรไม่ได้จะมีแต่ความเสียหายเปล่าๆ

    บินเดี่ยว!!

    https://youtu.be/9WF18VMbrtk
     
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ออ เกรี้ยวกราดไปหน่อย นิสัย ยักษ์นิลกาฬมันก็แบบนี้

    กาลามสูตร ไม่ได้มีไว้ให้ใครมากล่าวอ้างตามจริตของตนเองว่าอย่างนี้ถูก อย่างนั้นผิด แต่เป็นไปเพื่อการสั่งสอนชี้แจงแนะนำให้รู้จักใช้ปัญญาที่ถูกต้อง และเป็นการแสดงฐานะที่ปรีชาญานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า

    สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
    สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ


    การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง
    รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
    ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
    ความสิ้นไปแห่งตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง
    ผู้ใดให้ธรรมเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย



    {O}เฉพาะที่พระองค์{O}

    หลักธรรมในพระพุทธศาสนานี้พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ ที่อาศัยอยู่ในเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล เนื่องจากในสมัยนั้นมีผู้อวดอ้างตนในคุณวิเศษกันมากเชิดชูแต่ลัทธิของตัว พูดจากระทบกระเทียบดูหมิ่นลัทธิอื่น พร้อมทั้งชักจูงมิให้เชื่อลัทธิอื่น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงเกสปุตตนิคมดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้อวดอ้างชาวกาลามะได้ทูลถามด้วยความสงสัยว่าใครพูดจริง ใครพูดเท็จ?

    พระพุทธองค์จึงทรงแสดงกาลามสูตร ว่าด้วย วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัย
    หรือหลักความเชื่อ 10 ประการ เป็นหลักตัดสิน คือ

    1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
    2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
    3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
    4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
    5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
    6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
    7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
    8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
    9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
    10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา

    ดูก่อน ชาวกาลามะทั้งหลาย เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนว่า
    สิ่งทั้งหลายไม่ดีงาม มีโทษ วิญญูชนติเตียน พึงละสิ่งเหล่านั้นเสีย
    เมื่อใดรู้ว่าสิ่งทั้งหลายดีงาม ไม่มีโทษ วิญญูชนสรรเสริญพึงรับและ
    ปฏิบัติสิ่งเหล่านั้น"



    กลามสูตรนี้ป็นหลักฐานในการแสดงฐานะอันทรงพระปรีชาญาน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเฉพาะกาลนั้นด้วย เพราะเป็นเหตุที่ต้องยอมรับนำไปปฎิบัติตาม เพราะรู้โดยปรมัตถ์ธรรมแล้วโดยดุษฏีว่า ถูกต้องเป็นเลิศที่สุด ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้

    แต่ไม่ได้มีไว้ให้ผู้ใด นำไปใช้ประกอบในมานะทิฎฐิของตนเอง อย่างไม่รู้จักมานะธรรม(คุณธรรม) เพื่อโต้แย้งความเชื่ออื่นๆ ตามตรรกะความคิดของตน
    อันที่จริงแล้ว กาลามสูตรนี้มีไว้เป็นรากฐาน เพื่อสั่งสอนให้รู้จัก การวางใจให้เป็นกลาง กับสิ่งต่างๆ และรู้จักใช้สติปัญญาคิดพิจารณาให้แยบคาย ในการตัดสินใจเพียงเท่านั้น


    ส่วนข้อมูลรายละเอียด หากตั้งใจคงพอมองออก อยู่แล้วว่า ต้องอาศัยรายละเอียดเพิ่มเติมมาประกอบการพิจารณาด้วย แต่ที่พระองค์ตรัส ในกาลามสูตรคือหัวข้อใหญ่ รายละเอียดต่อไป ต่อหามาพิจารณาใคร่ครวญ ประมวลผล จำแนกแบ่งแยกชนิดด้วยสติปัญญาของตนเอง หรือ ร่วมกันเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะก็ได้ นี่จึงเป็นความคิดที่ถูกต้องตามหลักสัมมาทิฎฐิ เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อความรู้ยิ่ง ไม่ใช่เพื่อความไม่รู้ และมีใจสำรวมในความรักใคร่สมัครสมานกลมเกลียว ลงเอยกันด้วยดี ไม่ใช่เพื่อการแตกความสามัคคี ราวฉานอื่นใด

    ซึ่งสามารถใช้ในการตัดสินคดีความได้ไม่สิ้น


    ถ้าไม่รู้จักแยกแยะการสื่อความหมาย การแสดงฐานะในสถานการณ์นั้นจริงๆ และ สิ่งที่ทรงสั่งสอน ย้ำเตือนโดยภายหลัง ก็จะไม่สามารถเห็นความสำคัญของ องค์คุณของกาลามะสูตรได้ครบถ้วน ไม่ได้เฉลียวคิดเลยว่า ตอนนั้นกำลังมีผู้ยกวาทะขึ้นอวดกันเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นเจ้าลัทธิ ศิษย์เดียร์ถีย์มากมายกำลังวุ่นวายกันอยู่ ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงฐานะ ว่าสติปัญญาของพระองค์เป็นเลิศกว่า พวกที่ถกเถียงกันอยู่ในเมืองชนบทนิคมแห่งนั้น ใครจะฟังพระพุทธองค์ คนนอกกำลังทะเลาะกัน กะแนะกะแหนกัน ฯลฯ ขนาดพระสงฆ์ที่อาศัยบวชในพระศาสนา ที่พระองค์ทรงห้ามแล้วห้ามอีก พวกนั้นยังไม่เชื่อฟังพระพุทธองค์เลย เผลอๆพวกนั้นล่ะที่โดน ธาตุทัณฑ์ตาย ในการทำพระปาฎิโมกขสังวรบริสุทธิศีล



    ตัวอย่าง
    ธรรมกำเนิด๑๐นี่คือผลจากการพิจารณาอย่าแยบคาย ซึ่งได้มาจากองค์คุณของกลามสูตร ด้วยตนเอง นี่ก็เป็นจุดของการเริ่มพิจารณาแยกแยะใคร่ครวญ ซึ่งผู้ใดก็สามารถพิจารณาให้ถี่ถ้วนกว่านี้ได้ในตามแบบจริตธรรมของตนเอง


    "ธรรมกำเนิด๑๐ นี้ในอดีตเราใช้เวลาพิจารณาแล้วบัญญัติสำเร็จในเวลา ๓-๕ นาที ถ้าท่านคิดว่าเป็นอารมณ์บัญญัติ ตรวจเนื้อความเถิดว่า เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการอันใด"

    "พึงพิจารณาให้ละเอียดกว้างขวางยิ่งขึ้นไปอีก ยังอดีตธรรมนี้ที่เราได้พิจารณาเป็นรากแก้ว เพื่อความเป็นไปของความอยู่รอด จวบจนตลอดอายุพระพุทธศาสนา เพราะเราเป็นผู้รู้อำนาจของคัมภีร์อักขระพยัญชนะมาร*โดยอัศจรรย์ อันเป็นคำสอน*มิจฉาทิฐิ* ของพวกเดียรถีย์"

    {O} ว่าด้วยกำเนิดบุคคล ๑๐ จำพวก หลังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน{O}

    จำพวกที่ ๑ มีโอกาสที่จะได้รับรู้มีความเข้าใจ และปราถนาโดยเห็นว่า " ในรูปลักษณะต่างๆ ในสิ่งก่อสร้างในพระปฏิมาใดก็ตามที่ปรากฎขึ้นมาจนถึงในยุคปัจจุบันนั้น เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ปฏิบัติตามพระพุทธวจนะ ในพระปัจฉิมโอวาทโดยเห็นว่า เพียงเท่านั้นเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง


    จำพวกที่ ๒ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " พระธรรมคำสั่งสอนทั้งหมด ที่ปรากฎขึ้นมาจนถึงในยุคปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าตามพระพุทธวจนะ ตามพระปัจฉิมโอวาทโดยเห็นว่า เพียงเท่านั้นเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง


    จำพวกที่ ๓ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " ทั้งรูปพระปฏิมาและพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ควรอยู่เคียงคู่กันตลอดไปโดยเห็นว่า เพียงเท่านั้นเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง


    จำพวกที่ ๔ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " จะมีพระธรรมปฏิมาใดใดก็ตาม พระธรรมคำสั่งสอนใดใดก็ตาม แม้จะมีแค่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ โดยเห็นว่า เพียงเท่านั้นเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง


    จำพวกที่ ๕ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " ถึงแม้จะมีหรือไม่มีสิ่งใดก็ตาม จะเกิดธรรมอันประเสริฐ มีคุณวิเศษเพียงใดก็ตาม ที่ปรากฎในพระพุทธศาสนานี้ ก็หาได้มีความหมายหรือมีประโยชน์ ในการใดใดแก่ตนและพวกพ้อง

    จำพวกที่ ๖ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " ยังลังเลสงสัยอยู่เมื่อได้ยิน และได้พบเห็นทุกๆสิ่งที่ปรากฎ ในพระพุทธศาสนา และยังก็ลังเลสงสัยอยู่อย่างนั้น โดยตลอดโดยไม่มีความเข้าใจว่าสิ่งใดที่มีประโยชน์ และสิ่งใดไม่มีประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง


    จำพวกที่ ๗ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " สมควรเกลียดชัง กล่าวให้ร้ายป้ายสีและจ้องจะทำลาย อยู่เสมอๆในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่ปรากฎ ในพระพุทธศาสนาเมื่อมีโอกาส ด้วยเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง


    " จำพวกที่ ๘ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " เห็นดีเห็นงามตามบางสิ่งบางอย่าง ในพระพุทธศาสนาและนำเอาไปประพฤติใช้ โดยเห็นว่าเป็นประโยชน์ แก่ตนและพวกพ้อง


    จำพวกที่ ๙ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนา โดยเห็นว่า " ทุกสิ่งทุกอย่างในพระพุทธศาสนา ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ในสำนัก และในลัทธิ ในศาสนาที่ตนเองนับถืออยู่แล้ว โดยถือเอาเป็นของตน ด้วยเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง


    จำพวกที่ ๑๐ ไม่มีโอกาสที่จะได้รับรู้ด้วยห่างไกลตามภาวะกรรมบันดาล ทั้งไม่มีความเข้าใจและความปราถนา โดยการใดๆเลยในพระพุทธศาสนา ด้วยขาดการศึกษา,การเรียนรู้,การเจริญภาวนา,การพิจารณาไตร่ตรอง จึงไม่ก่อเกิดประโยชน์ใดใด แก่ตนและพวกพ้อง


    สาธุธรรม ขออนุโมทนาบุญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2015
  18. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๒๒.๕๐

    ถ้าบ้าแบบนี้ ใครจะไปเล่นด้วย
    เข้ามาเวบนี้ได้กี่วันเชียว ทำซ่าซะแล้ว

    "มือหนึ่งในแต่ละสายงาน" ท่านอื่นๆ เค้าลงมือกันมาหลายปีแล้วนะ
    แต่ละท่าน ก็สร้างสาวก กองเชียร์ หรือติ่ง ของตัวเองกันได้ทั้งนั้น
    และที่สำคัญ เคยฟังนี่หรือเปล่า เคยไม๊เคยไม๊


    พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    การทำงานให้สำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถสองอย่างเป็นสำคัญ
    คือสามารถในการใช้วิชาความรู้อย่างหนึ่ง สามารถในการประสานสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกอย่างหนึ่ง.
    ทั้งสองประการนี้ ต้องดำเนินคู่กันไป และจำเป็นต้องกระทำด้วยความสุจริตกาย สุจริตใจ
    ด้วยความคิดความเห็นที่เป็นอิสระปราศจากอคติ และด้วยความถูกต้องตามเหตุตามผลด้วย
    จึงจะช่วยให้งานบรรลุจุดหมายและประโยชน์ที่พึงประสงค์โดยครบถ้วยแท้จริง.


    พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
    วันที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘



    พลทหารรักษาพระองค์ / ซุปเปอร์หนุมาน

    .
     
  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    จะวัดค่าของคนด้วยการมาช้า มาเร็ว อย่างนั้น โลกนี้คงไร้ฐานะภาพแล้ว
    ซ่าได้เพราะมี"แบ็ค"เฉพาะตัวที่สำคัญ" ซึ่งที่ใดก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถอธิบายและแสดงรูปแบบเฉพาะเจาะจงไว้ " ภาระที่แบกไว้ น่ะ ทำให้คนแปลก

    ศาสนาอะไร หาลิ่วล้อ หาติ่ง หากองเชียร์ ไม่ต้องการ และไม่เอาด้วย เอาแต่มังกร หรือ ผู้ที่จะกลายเป็นมังกรด้วยกัน


    รู้จักศึกษา ปัจเจกพุทธาปทาน บ้าง http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=32&A=147&Z=289

    พระผู้มีพระภาคสัพพัญญูผู้ประเสริฐ แสวงหาคุณใหญ่ ตรัสตอบท่านพระอานนท์ผู้เจริญ ด้วยพระสุรเสียงไพเราะว่า
    ผู้มีจิตพัวพัน ช่วยอนุเคราะห์มิตรสหาย ย่อมทำตนให้เสื่อมประโยชน์ท่านมองเห็นภัยนี้ ในความสนิทสนม จึงเที่ยวไปแต่ผู้เดียว เช่นกับนอแรดฉะนั้น ความเสน่หาในบุตรและภรรยา เปรียบเหมือนไม้ไผ่กอใหญ่เกี่ยวกันอยู่ ท่านไม่ข้องในบุตรและภริยา ดังหน่อไม้ไผ่ เที่ยวไปผู้เดียวเช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่านเป็นวิญญูชนหวังความเสรี จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น เหมือนเนื้อที่ไม่ถูกผูกมัด เที่ยวหาเหยื่อในป่าตามความปรารถนา ฉะนั้น ต้องมีการปรึกษากันในท่ามกลางสหายทั้งในที่อยู่ ที่บำรุง ที่ไป ที่เที่ยว ท่านเล็งเห็นความไม่โลภ ความเสรีจึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น

    ถ้าจะพึงได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน ประพฤติเช่นเดียวกัน อยู่ด้วยกรรมดีเป็นนักปราชญ์ พึงครอบงำอันตรายทั้งสิ้นเสียแล้ว พึงดีใจ มีสติเที่ยวไปกับสหายนั้น ถ้าจะไม่ได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน ประพฤติเช่นเดียวกันอยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนพระราชาทรงละแว่นแคว้นที่ทรงชนะแล้ว เที่ยวไปผู้เดียว ดังช้างมาตังคะ ละโขลงอยู่ในป่า ความจริง เราย่อมสรรเสริญสหายสมบัติ พึงส้องเสพสหายที่ประเสริฐกว่า หรือที่เสมอกัน (เท่านั้น) เมื่อไม่ได้สหายเหล่านี้ ก็พึงคบหากับกรรมอันไม่มีโทษ เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น


    แล้วไปพาสายอารายมา ไม่อาวววว สาย ปฎิสัมภิทาญาน ไม่ขอเอี่ยวด้วย

    https://youtu.be/2clC93q3XJ8


    คนต้องวิมุตติแล้วย่อมพึงเสพสหายที่ต้องวิมุตติ
    นี่เรื่องความเจริญของธรรมะ เป็นปัตจัตตัง ไม่ใช่เรื่องของผู้ที่ยังไม่ถึงความเจริญ ท่านเที่ยวไปผู้เดียว เช่นนอแรด เปรียบเหมือนช้างละโขลงไว้แล้ว มีขันธ์เกิดพร้อมแล้ว มีสีกายดังดอกปทุมใหญ่โตอยู่ในป่านานเท่าที่ต้องการ ฉะนั้น ท่านใคร่ครวญถ้อยคำของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ว่า บุคคลพึงถูกต้องวิมุตติอันเกิดเองนี้ มิใช่ฐานะของผู้ทำความคลุกคลีด้วยหมู่ จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรดฉะนั้น


    เรื่องภาระหน้าที่คนเขารู้เขาทำเอง ไม่ใช่ต้องเที่ยวหาใครมาคอยเตือนมาคอยเชียร์ตนเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2015
  20. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    จะว่าไปผมก็เห็นด้วยกับ พุทธวจน เป็นบางเรื่องนะ ที่ไม่ให้คนไปหลง กับพิธีต่างๆมากมาย แบบปลุกเสก เครื่องราง ของขลัง ทำน้ำมนต์ งมงายไรต่างๆ ที่เขาบอกว่าเป็น เดรัจฉานวิชชา ไรพวกนั้นอะ + สอนให้คนรู้จักคำสอนพระพุทธเจ้ามากขึ้น มีความรู้มากขึ้น

    ยังดีกว่าไปทำบุญกับพระพวกเรี่ยไร ประจบประแจงคฤหัสถ์ ประกาศหารายได้เชิญชวนคนมาทำบุญด้วยเงิน ให้กับพระ แลกกับเครื่องรางของขลัง เป็นไหนๆ

    ส่วนเรื่องโลโก้ ไปเป็นสินค้าต่างๆมะก่อนผมก็เคยอ่านๆดูเหมือนกัน มีเป็นหมอน หมวก เสื้อ เป็นขนมไรทำขาย ถ้าเป็นผมอยากจะแถก็ไม่ยาก แค่บอกว่าคนอื่นเอาโลโก้ไปใช้ก็จบ ไม่รู้เรื่อง หรือทำนองว่าเอาโลโก้ไปใช้ ได้เงินมาส่วนหนึ่งก็มาพิมพ์หนังสือ cd แจกก็ได้

    แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับคำนิยามบางคำเช่น อริยะ ไม่ทำเดรัจฉานววิชา
    ซึ่งมันดูเป็นการกำหนดชี้้ขาดเกินไป
    เหมือนกับว่าคนเป็นอริยะจะไม่เผลอทำอาบัติไรซักอย่าง หรือผิดวินัยซักข้อเลย

    ถ้าเกิด สมมติแบบว่ามีพระอริยะแบบท่านอาจจะไม่ได้สนใจ หรือไม่รู้เผลอไปทำขึ้นมา อาจะต้องทำด้วยเหตุผลไรก็ตาม โดยอาจจะไม่ได้ทำบ่อยๆหรือทำเป็นอาชีพหากินแบบพระบางพวกบางกลุ่ม
    ไอ้คนหาว่าท่านไม่เป็นอริยะ หรือ ไปดูถูกท่านเกิดความเป็นจริงหรือนอกเหนือในสิ่งท่านทำก็จะชิบหายเอาหน่ะดิ

    (โดยส่วนตัว ก็เห็นด้วย พุทธวจน เป็นบางเรื่อง แต่ก็ใช่ว่าจะเชื่อและศรัทธาเออออตามเห็นดีงามไปหมดทุกเรื่อง)

    แต่ดูๆแล้วที่จะเอามาแทนพระไตรปิฏก ก็คงทำนองว่ามีคนแย้งๆ บางอย่างได้
    เช่น โดยเอาจาก รัตนสูตร มาอ้างอิงไง ที่เหมือนกับว่าท่านให้บาตรพระอานนท์ไปตักน้ำเอาน้ำไปพรมในเมืองเวสาลี
    ก็คงตัดปัญหาไปง่ายๆโดย คิดไปซะว่า เป็นคำแต่ง คำสาวก พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดหรือยืนยันไว้ แล้วก็เหมาว่าเป็นคำปลอมให้ตัดออกไปซะทำนองนี้ จะได้ไม่ต้องมาเถียงกันให้วุ่น เผลอๆรัตนสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านให้พระเถระเรียน ก็คงเหมารวมว่า เป็นคำปลอมไปด้วยเหอะๆ

    แทนที่จะหาคำอธิบายและทางออกให้มันดูเข้าท่ากว่านี้
    จะพูดไปทำนองว่า สมัยในเรื่องตอนนั้นก่อนบัญญัติเป็นวินัยก็ได้
    หรือ เป็นคนละแบบคนละวิธีกันทำนองนี้ก็ได้ (แต่ดูแล้วก็คงยากที่จะอธิบายไปแบบไหนอย่างไร)
     

แชร์หน้านี้

Loading...