สัมมาทิฎฐิเป็นไฉน( ไม่ธรรมดา )

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 5 มีนาคม 2009.

  1. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    เหรอ..คุณศรีฯ คุณเป็นเอกพีซีเหรอ

    แล้วใช้อะไรทำลายก้อนอัตตา
    ถึงจะทำให้อนัตตาปรากฏขึ้นมาเหมือนที่คุณว่า ล่ะ?

    ถามครั้งที่ 3 แล้วน่ะนี่ ถ้าตอบไม่ได้ก็บอกมา ก็แค่นั้น
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อาจานเกสท์ คำว่า"อาจาน"มันเป็นอุกศลตรงไหนครับ
    ตรงที่คุณรับไม่ได้หรือตรงที่เขียนไม่ถูก

    ผมก็เคยเตือนคุณเสมอๆว่า
    การจะทำ พูด คิดอะไร อย่าให้อคตินำ
    ผลจากการที่ชอบเอาอคตินำก็เป็นเช่นนี้เอง

    การที่เราจะไม่รับอะไรควรวางมันไว้เฉยๆ
    ไม่ใช่กล่าวร้ายคนอื่นว่าทำเพราะอกุศลจิตคิดร้ายต่อคุณ

    ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนอย่างอาจานเกสท์ที่ยกตนเองว่ามีภูมิรู้สูง
    มีจิตใจคับแคบได้ถึงเพียงนี้ มีสติยับยั้งชั่งใจหน่อยสิ.....

    ;aa24
     
  3. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    คุณไปดูเอาแล้วกันนะในอกุศลกรรมบท 10 น่ะ
    อวดตัวว่ารู้พุทธพจน์ไปหมด
    ก็ไปดูเอาแล้วกัน

    เค้าเรียก เพ้อเจ้อ
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อาจานเกสท์ ในเมื่อคุณศรีเค้าตอบ
    คุณเองก็ถามไปถึง3ครั้งแล้ว
    ตอบให้คนอื่นได้รู้เป็นธรรมทัศน์ก็แล้วกัน

    อ้อลืมบอกไป เรื่องเพี้ยนนั้น
    ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียงครับ....


    ;aa24
     
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เรานั่งทับทุกข์ดูเวทนาทางกาย จนทุกข์เวทนาทางกายดับไปเอง

    อนุโลมกลับไปกลับมา จนถอนความพอใจจากรูปคือร่างกายเสียได้
    อย่างเด็จขาดเป็นแบบ สมุทเฉทประหารกิเลส ตัดกิเลสให้สูญสิ้นทันที

    ในมรรคเบื้องต้น ละกิเลสสังโยชน์ 3 ได้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพตปรามาส อันนี้ถ้าได้อย่างหยาบ เป็นพระโสดาบัน

    เป็นโสดาบันก่อน การภาวนามันจึงจะเป็นไปได้ อย่างน้อยก็คงที่

    อย่างมากก็ก้าวหน้า ไปศึกษาอธิจิตต่อคือการดูจิตตัวเอง
    ไม่ใช่ไปดูจิตคนอื่น แล้วเมื่อไหร่กิเลสสังโยชน์จะหมด .
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อาจานเกสท์ใครกันแน่ครับที่ชอบอวด
    ขนาดพระศรีอริยคุณยังรู้เลยว่าเป็นใครที่จะได้เป็น
    แบบนี้เพ้อเจ้อหรือเปล่าครับ?
    หมดเวลา เวลาหมด


    ;aa24
     
  7. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    คุณปรารถนาพุทธภูมินะ ไม่ใช่สาวกภูมิ
    รู้แค่เวทนากายจะถอนสักกายะทิฏฐิได้อย่างไร

    ก็มีอยู่บ้างสำหรับท่านผู้ปรารถนาสาวกภูมินี่
    ผ่านครั้งเดียวเลย ไม่ต้องมาไล่ตั้งแต่
    โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์
    ทีเดียวถึงอรหันต์เลย

    ส่วนพุทธภูมินี่ต้องละเอียดนะ
    ต้องค้นขันธ์ 5 ให้ละเอียด ถึงจะละสักกายทิฏฐิได้

    คุณนี่ อัตตา อนัตตา ยังรู้ไม่จริง ตอบก็ผิด ๆ หาถูกไม่เจอ
    เห็นแค่เวทนากายดับไปแค่นั้น
    จะมาอวดตัวว่าเป็น เอกพีซี อีก
    ว่าตัวเองจะเป็นพระศรีอาริย์อีก

    แต่ก็ช่างคุณเถอะยังไงก็ไม่มีใครเชื่อคุณหรอก

    แต่ให้กลัวบาปกลัวกรรมไว้บ้างก็ดี
     
  8. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    ก็รู้จริงจะให้ว่ายังไง
    แต่บอกไปหาประโยชน์ไม่ได้จะบอกไปทำไม
     
  9. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    รู้ไหนถ้าคิดว่ารู้แล้วฉลาดแล้ว กิเลสหลอกจนตายคาผ้า
    เหลืองมานักต่อนักแล้ว เค้าฝึกเพื่อยกจิตให้ข้ามบาปกรรม

    ไม่ใช่ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งอ่อนปลวกเปลียก ปล่อยใจให้กิเลสขี่คอ .

    กระแทกให้จะได้ทำมาก กว่าพูด
     
  10. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    มีเหตุให้ตอบผมก็จะตอบ
    โพสต์นี้ผมมองไม่เห็นแต่แรก
    ถึงได้อ่านข้ามไป

    การถอนอัตตานี่
    ต้องพิจารณารูป ให้เป็น ธาตุ หรือ อสุภ อะไรก็แล้วแต่
    ให้เห็นการเกิดดับของรูป แล้ว
    พิจารณาเป็นอนัตตา

    และเมื่อเห็นนามขันธ์เกิดดับ
    ไม่ใช่ว่าเห็นการเกิดดับแล้วเป็นไตรลักษณ์นะ
    เมื่อเห็นเกิดดับแล้ว ต้องสอนจิตของเราว่าที่เกิดดับน่ะ เป็นอนัตตา นะ
    เมื่อจิตยอมรับจะเบื่อหน่ายคลายโลกออกไป
    จิตจะพิจารณาและจะค่อย ๆ ถอยตัวรวมเข้า
    เป็นอุเบกขาจิต
    พอจิตถอนจากอุเบกขา จะไปที่ สุข
    นี่ล่ะที่ท่านว่าจิตยิ้ม ก็คือ สุข นี่ล่ะ

    เพราะฉนั้นสิ่งที่ทำลายก้อนอัตตา ก็ คือ อนัตตานั่นเอง

    เอ้ามีเหตุให้ตอบก็ตอบ
    พอใจมั้ยคุณธรรมภูต
     
  11. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    ผมไม่ใช่ผ้าเหลือผ้าขาวอะไร
    ตอบมาก็เดาไปเรื่อย

    คุณรู้มั้ยท่านผู้จะเป็นพระศรีอาริย์ท่านมีอภิญญา
    คุณกราบท่านนี่ถึงท่านปั๊บเลย

    กราบขอขมาท่านหน่อยเถอะ
    บาปกรรมจะได้บรรเทาเบาบางลงบ้าง
     
  12. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ใคร่ควรดูแล้ว
    บรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ ว่าคุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ที่จะไม่ให้เราเป็นผู้เก้อเขินในเวลา เพื่อนบรรพชิตถามในกาลภายหลัง
     
  13. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เธอรู้ไหม ใครถวายสังฆทานกับสงฆ์

    ถึงพระอริยะเจ้าทุกประเภท นับจากบุรุษ ๔ คู่ นับได้ ๘ บุคคล
    ท่านจะรับทราบด้วยกำลังญาณของท่าน และก็จะอนุโมทนา

    บางองค์ฤทธิ์แผ่ซ่านออกจากกาย ไปร่วมอนุโมทนาในกองบุญนั้น .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2009
  14. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เรามีอภิญญา ข้อที่ 6 อาสวักขยญาณ
    ในการขุดคุ้ยกิเลสขุดคุ้ยกิเลสของตัวเอง มากางออกดู
    ว่าโลภะ โทษะ โมหะ ในจิตก็จะเบาบางลงไปมากน้อยแค่ไหน
    อาสวักขยญาณ คือวิชาความรู้ที่ทำให้กิเลสให้สิ้นไปได้

    ให้หมดไปแต่ก็หมดไปตามขั้นนะ หมดในขั้นพระโสดา หมดในขั้นสกิทาคา
    หมดในขั้นอนาคามี หมดในขั้นอรหันต์

    อาสวักขยญาณ ที่หมายถึง ความ<WBR>รู้สุดยอด ที่สามารถรู้ ว่า อาสวะของตนสิ้นไปจากตนสนิทแล้ว เป็นอันว่ามหาอาสวักขยญาณ ตนจบกิจกิเลสอวสาน
     
  15. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    การถอนอัตตานี่
    ต้องพิจารณารูป ให้เป็น ธาตุ หรือ อสุภ อะไรก็แล้วแต่
    ให้เห็นการเกิดดับของรูป แล้ว
    พิจารณาเป็นอนัตตา

    พิจารณา แค่ ตัว เอง เอง หรือ ครับ

    ไตร ลักษ์ มัน แค่ ใช้ มอง ตัว เอง เอง หรือ ครับ

    กว้าง หน่อย สิ ครับ

    ไม่ ใช่ ไม่ ถูก นะ ครับ แค่ อยาก จะ บอก ว่า ที่ เรา รู้ ถูก แต่ ไม่ ใช่ อย่าง เดียว ที่ ถูก หรอก ครับ

    ถ้า ไม่ เห็น มัน เป็น ตัว ตน แล้ว ต้อง ถอน อยู่ อีก หรือ ครับ

    นอก จาก ยัง คิด ว่า มัน เป็น ตัว ตน อยู่
     
  16. หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ

    หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +22
    การพิจารณาธรรม ต้องพิจารณาที่ตัวเอง กายใจ รูปนาม ในตัวเอง เพื่อเพิกถอนความเป็นตัวเอง เมื่อเข้าใจกลไกธรรมชาติของตัวเอง ก็เข้าใจโลก ถ้าเห็นเป็นตัวตน ก็ต้องถอน ถ้าไม่เห็นเป็นตัวตนแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้ถอน แต่เท่าที่เห็นๆในเว็บพลังจิต มีแต่ที่ต้องถอน ส่วนที่ไม่มีอะไรให้ถอน ยังไม่อยู่ในข่าย...
     
  17. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    การพิจารณา ภาคอสุภะ
    ให้เอาอสุภะของตนขึ้นมาพิจารณา ให้เห็นเป็นของไม่สวยไม่งามเพ่งดูจะเห็นความสกปรก เน่าเหม็นไม่งาม น่าสะอิดสะเอียน เพ่งดูแล้วจะเบื่อหน่ายคายหลุดพ้น จึงจะเป็นที่สุดของทางปัญญา ถ้าขืนไปเอาอสุภะภายนอกมาพิจารณา จะเกิดสัญญาความ จำทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นที่สุดของทางปัญญา การดูอสุภะมีข้อพึงระวัง ถ้าวันใดไม่สามารถดับอารมณ์ที่เราปรุงแต่งได้
    ได้คือไม่ว่าจะกำหนด ให้ของที่สวยสดงดงาม เป็นของไม่สวยไม่งาม แต่เราก็ยังเห็นรูปร่างกายเป็นของสวยสดงดงาม
    บางท่านอาจคิดว่าจิตตกเพราะไม่สามารถบังคับจิตได้ จนทำให้เธอ<WBR>ถูกเผาผลาญด้วยไฟราคะความหลงชอบ,ติดใจในเรื่องทางโลก ได้รับความเราเร่าร้อน ลำบากเพราะรูปนามเป็นเหตุนักปฏิบัติบางคนเห็นภาพน่ากลัวของตัวเองเกิดกลัวคิดว่าเป็นเรื่องจริง ให้ทำความเข้าใจว่านิมิตต่าง ๆ เราปรุงแต่งขึ้นมาเป็นภาพลวงตาลวงจิตเพื่อสอนตัวเอง พอนักปฏิบัติ ทราบถึงข้อเสียคือคือจิตติดในอสุภะมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดความสังเวช จะ<WBR>ทำให้เกิดอารมณ์เบื่อหน่าย ไม่หลงยึดติด หรือคลั่งไคล้ในรูปธรรมช่วยให้<WBR>โทสะลดลง
    ถอนสังโยชน์ ๕
    คืนหนึ่งขณะนอนภาวนาเห็นจิตส่องนอก ใช้สติดึงจิตที่ส่งนอกเป็นลำแสง พลิกจิตให้ส่องดูในร่างกายแทน ก็มองเห็นร่างที่นอนภาวนาค่อย ๆ เป็นซากศพอันเน่าเปลื่อย เนื้อหนังหลุดร่อนออกไปของผม จนเห็นแต่โครงกระดูกประกอบไปด้วยกระดูกชิ้นต่างๆในร่างกาย ซึ่ง<WBR>เชื่อมต่อกันด้วยโครงสร้างของข้อต่อ และกำหนดถามดวงจิตว่า ภายในกระดูกมีอะไร
    กระดูก<WBR>เริ่มผุผัง แตกออกเป็นส่วนๆ และก็บังเกิดไฟเผากระดูกเป็นขี้เฒ่า กำหนดถามดวงจิตแล้วเป็นอะไรต่อ
    สักพักก็มีลมกระโชกอย่างแรง พัดเอาผงอังคารธาตุปลิวหายไปเหลือแต่ความว่างเปล่าท่ามกลางความว่างเปล่าฉันพบตัวฉันเองเป็นอนัตตาธรรม ไม่ไปมั่วกับคำว่าอัตตาซึ่งเท่ากับว่าไม่มีอัตตา และได้พบพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลมาในรูปสมมุติท่านไม่ได้แสดงตัวว่าท่านเป็นใคร ท่านมา แสดงการเข้านิพานให้ได้ดู และให้เข้านั่งบัลลังก์สมาธิตามท่าน เราก็ทำตามท่านด้วยรูปนั่ง พระอรหันต์องค์ต่อมาท่านแสดงรูปยืนและก็ล้มลงไปที่พื้นดิน พระอรหันต์องค์นี้แสดงรูปเดิน ท่านเดินกลับไปกลับมาและก็ล้มลงไปที่พื้นดินพระอรหันต์องค์สุดท้ายท่านเข้านิพพานรูปนอนยิ้มและก็หลับไป เมื่อพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลแสดงรูปเข้านิพพานจนผมจำได้แบบประทับจิตติดวิญญาณแล้วท่านก็พากันกลับไป พอจิตถอนก็พบว่าสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ อย่างได้
    ๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน
    ๒. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
    ๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต
    ๔. กามราคะ ความติดใจในกามคุณ
    ๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ


    เหตุเกิดกุฏิหญ้ามุ่งแฝก ที่วัดป่าบ้านบงวัดปู่ชอบ ฐานสโมท่านมาสร้างอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ผมได้มีโอกาสไปบำเพ็ญเพียร .



    [​IMG]



    จากประวัติของท่าน ท่านระลึกชาติได้ว่าท่านเกิดเป็นกวางอยู่ที่บ้านบงและได้มาตายที่บ้านบง ได้มีการขุดเพื่อพิสูจน์
    จนพบโครงกระดูก กวางจนท่านได้สร้างวัดขึ้นเป็นวัดป่าบ้านบง ท่านชอบมาจำพรรษาที่นี่ อากาศดี


     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ศึกษาไปก่อน อย่าโง่แล้วอวดฉลาด สอนคนอื่นทั้งๆที่ตัวเองไม่รู้อะไรเลย

    การพิจารณาธรรม ให้วกเข้าตัว ไม่ใช่ไปพิจารณาสิ่งอื่น จะพิจารณาสิ่งอื่นอย่างไรก็ต้องวกเข้าตัว เข้าใจนี้
    ถ้าไปพิจารณาสิ่งอื่นมันดับทุกข์ไม่ได้ เพราะทุกข์อยู่ที่ตัว ไม่ใช่ภายนอก
    พอทุกขือยุ่ที่ตัวก็ต้อง เอาจิตเอาใจ มาพิจารณา สิ่งที่เกิดกับใจ ไม่ใช่ที่อื่น
    โง่แล้วอวดฉลาด แบบนี้ ไปไม่รอดหรอก
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ส่วนสมศรี คุณหมดความชอบธรรม และ ความน่าเชื่อถือ ในการแสดงธรรมตั้งแต่ คุณมาประกาศตัวว่าเข้าถึง วิมุตติ และ เป็นพระศรีอาริยเมตไตรแล้ว
    เพราะฉะนั้น คุณมีหน้าที่ฟังคนอื่น และ เสนอความเห็นได้ แต่ คุณไม่มีสิทธิ์สอนคนอื่นแล้ว เพราะธรรมของคุณ ตกไปแล้ว
     
  20. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    จะ จิ้ม ก้น ก็ ไม่ กล้า กลัว โดน พระ ท่าน

    คุณ เป็ง คราย ที สิทธิ์ อา ราย มา กะ เกน คน โน้น คน นี้

    คน นั้น มี สิด คน นี้ โหมด สีด

    กรั่ก กรั่ก กรั่ก

    แค่ ความ หมาย ยัง ไม่ เข้า ใจ เลย นะ คุณ ขัน

    ผม ยัง มอง ว่า แก่น ของ เรา ก็ คือ เรา อยู่ ครับ

    ใคร มอง ว่า แก่น ของ เรา จิต ของ เรา ไอ้ อะ ไร ที่ มัน มี อยู่ แล้ว น่ะ ครับ

    ที่ มัน วน ไป วน มา อยู่ หา ที่ ไปอยู่ น่ะ ไม่ ใช่ เรา ผม ไม่ รู้ หรอก มัน เรื่อง ของ เขา

    ผม เข้า ใจ ยัง ไม่ ลึก ซึ้ง แต่ ผม เข้า ใจ อย่าง นั้น นะ ครับ เลย บอก ไป อย่าง นั้น

    ไม่ ได้ คิด ว่า ตน ถูก ที่ สุด แค่ ผม คิด ว่า มัน น่า จะ เป็น อย่าง นั้น ไม่ ใช่ อย่าง เขา คิด กัน

    แล้ว ผม ผิด หรือ

    ถาม จริง เหอะ คุณ ขัน คิด ว่า ศีล เพื่อ อะไร เพราะ อะไร

    ตอบ แบบ ตาม ความ เข้า ใจ และ คิด ว่า คน ธรรม ดา เขา จะ เข้า ใจ อันนนี้ คุณ ขัน ตอบ ได้ ไหม

    ทุก เรื่อง ที่ คุณ ยก มา ไม่ ผิด เพราะ ว่า ยก มา ตาม คำ สอน

    แต่ คุณ ขัน ชอบ ยก ตน คิด เรื่อง ที่ อ่าน เรา มา เข้า ใจ ลึกซึ้งถูกต้องดีแล้ว

    คน ที่ ยัง กิน เหล้า เบียร์อยู่นี่ ไม่ ใช่ อ่ะ ผม ไม่ เชื่อ

    คน ที่ ยัง โกรธ และ ไม่ เข้า ใจ หา ความ หมาย อยู่ อะ ผม ไม่ เชื่อ

    ถ้า ละ ได้ แล้ว จริง มี หรือ ว่า นี่ เรา นี่ เขา คุณ น่ะ ยัง หรอก อีก นาน

    แต่ ถ้า ทำ ถูก ส่วน อย่าง เร็ว 7 วัน อย่าง ช้า 7 ปี










    คริคริ โกรธ ดิ โกรธ เข้า แล้ว ก็ มอง ดู ด้วย ว่า ทำไมโกรธ
     

แชร์หน้านี้

Loading...