มหาสติที่เกิดในฌาน กับมหาสติที่เกิดนอกฌาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย 2ชาติตรัสรู้, 6 สิงหาคม 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สรุปธรรม ปฐมฤกษ์ ให้ดูดังนี้

    1 ธรรมอันเป็น ผัสสะและความรู้สึก สังขารธรรมต่างๆ ย่นย่อลงมา ให้เหลือแต่ เฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

    2 ธรรมจักรหรือไตรลักษณ์ ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ว่านั้นหมุนไวมาก

    3 มหาสติตามจับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปรากฎนั้นทันถี่ยิบ

    4 ปรากฎการ หยุดกึ๊ก ไม่ได้ไปมองในสิ่งใด สัญญา สังขาร วิญญาณ สติ หยุดหมด

    นั่นแหละ ปฐมฤกษ์ ตามที่หลวงตาพูด เมื่อปรากฎแล้วจะ ประทับใจไปตลอด

    ว่า นี่หรือที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ที่ว่าว่าง


    นั้นต้องไม่สัมพันธ์กับมิติใดๆ ไม่ไปไม่มา นั่นแหละโคตรภู

    อนุโมทนากับสถานี วิทยุเสียงธรรมที่นำมาเปิดให้ฟังเมื่อเย็น
     
  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    วัน ๆ เราจะเอาแต่นั่งเข้าฌาน ทำจิตสงบ แล้วไม่ต้องทำอะไร สมมุติไม่เอาเลยมันก็ไม่ได้ อย่าไปกลัวความไม่สงบ ให้ทำความเข้าใจกับความไม่สงบนั้นให้ท่องแท้จะดีเสียกว่า แล้วเราจะอยู่กับโลกได้ ไม่ปฏิเสธหรือผลักไสรังเกียจโลก แต่เข้าใจโลก รู้โลกตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไม่เอาโลก ต้องอยู่ให้ได้ เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัวในที่สุด สำรวมจิตนั้นดีแล้ว แต่ต้องทำความเข้าใจในเหตุแห่งความไม่สงบนั้นด้วยว่า เขามาเขาไปอย่างไร สติต้องตามดูตามรู้ตามทำความเข้าใจให้ทัน แต่ไม่ใช่ไปดักรอ อันนั้นมันเป็นธรรมชาติที่เราหลงเข้าไปปรุงแต่งไว้ก่อน แบบนั้นปัญญามันไม่เกิด ที่เกิดคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นทั้งหมด ไม่ใช่ความจริงโดยธรรมชาติ ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากธรรมชาติเลย มีแต่ปรุงแต่ง ปรุงให้มันว่างเท่านั้นเอง เสพให้พอแล้าคลายออกมา เรียนรู้ความจริง ปัญญาจริง ๆ เขาสอนเรา ไม่ใช่เราไปสอนเขา ถ้าเรายังสอนเขาคือเรายังปรุงยังย้อมเขา แต่ก็ดี แต่ที่สุดต้องให้เขาเป็นผู้บอกเรา เราจะร้องอ๋อ เมื่อเขาบอกเรา ไม่ใช่เราบอกเขา ข้างนอกอาจดูสว่าง แต่เมื่อมองให้ลึก ข้างในยังขมุกขมัว เพราะมันยังไม่เก็ตจริง ๆ ตรงนี้ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลาเหมือนกัน...

    ขอให้โชคดี เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป
     
  3. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ---
    1 ธรรมอันเป็น ผัสสะและความรู้สึก สังขารธรรมต่างๆ ย่นย่อลงมา ให้เหลือแต่ เฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

    จะรู้ว่าเรื่องใดควรสงสัย เรื่องใดไม่ควรสงสัย เรื่องไหนควรคิดหรือไม่ จะรู้ได้
    เพราะรู้ตรงนี้เป็นอัตโนมัติ นิวรจึงดับวูบลงมากมาย
    ถ้าในพระอรหันก็ไม่มีนิวรเลยเมื่อไม่มีนิวรเลย จิตก็โคตะระสงบ สุดๆ สมาธิก็เลยมั่นคงสุดๆ

    3 มหาสติตามจับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปรากฎนั้นทันถี่ยิบ

    ลองถามไห้ด้วยนะครับว่าเป็นระบบ ออโต้เมติกไช่ป่าวครับ^^

    4 ปรากฎการ หยุดกึ๊ก ไม่ได้ไปมองในสิ่งใด สัญญา สังขาร วิญญาณ สติ หยุดหมด

    หยุดได้หมด ก็คือดับสังโยชน์10ได้หมด หยุดบ้างหลุดบ้างก็ตามแต่สังโยชน์ที่ละได้ ไช่บ่^^ เป็นออโต้เมติกด้วยนะ

    นั่นแหละ ปฐมฤกษ์ ตามที่หลวงตาพูด เมื่อปรากฎแล้วจะ ประทับใจไปตลอด

    ว่า นี่หรือที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ที่ว่าว่าง

    สาธุสาธุ^^
    denceedencee
     
  4. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    นี่หละมั๊งที่เขาเรียก เพิกสมมุติ เห็นสมมุติแล้วรู้ว่าสมมุตินี้ทุกข์ ก็เลยหนีสมมุติซะเลย บางทีก็ติดชานไปเลยบ้าง เบื่อโลกไปเลยบ้าง ไม่เอาโลกไปเลย
    หนีเรื่อยๆ สุดท้ายก็เลยหยุดอยู่แค่นั้นสินะครับ

    จะออกจากสิ่งใดต้องอยู่กับสิ่งนั้น ถ้าหนีก็ไม่ชนะ
    ต้องไช้สมมุติ เพื่อละกิเลสสังคโยชน์ทั้ง10
    ถ้าพอละได้บ้างแล้วหนีสมมุติก็ไปไม่ถึงสังคโยชน์10แน่
    เข้าใจแล้วครับ เรื่องเพิกสมมุตินะ

    ขอให้โชคดี เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปเช่นกันครับ^^
     
  5. แกะดำ2

    แกะดำ2 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +14
    ผมเห็นด้วยครับ
    ผมก็เหมือนกบอยู่ในกะลาครับโมหะก็เปรียบเหมือนกะลาที่คลอบเราอยู่ครับอยู่ที่เราถ้ามีสติรักษาจิตไม่นานก็ออกจากกะลาได้ครับ
     
  6. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ขี้เกียจตอบ..รู้ได้อย่างไร..เอาแต่นั่งเข้าฌาน ทำจิตสงบ แล้วไม่ต้องทำอะไร

    นี่แหละเดามั่ว...ฟุ้งซ่านไร้สาระ..

    ไม่รู้เขารู้เรา...เดาเอาเอง...ไม่เคยเจอกันไม่เคยรู้จักกัน..ทักบ้าทักบอ..

    เข้าใจว่า..ตัวเองเป็นผู้สูงส่ง..หยั่งรู้

    กลับมาเอาเท้ายืนติดดิน..แล้วค่อยคุยสนทนากัน...ไม่งั้นมองคนอื่นโง่เฃลา..

    ตัวเราฉลาดเหนือมนุษย์..
     
  7. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ท่านเป็นผู้ทรงธรรมรู้ธรรม จนเห็นผู้อื่นผิดพลาดโง่เขลา...

    ตำหนิติเตียนพร่ำสอน ไม่รู้ฐานะของตน มีประโยชน์มากอยู่หรือ

    ถ้าเขาเหล่านั้นไม่สนใจในความรู้ของท่าน

    ลองหันกลับมาเป็นคนธรรมดา ให้ผู้อื่นรุกรานบ้าง บอกสอนบ้าง ตักเตือนบ้าง

    จะได้ติดต่อ สื่อสารกับคนอื่นรู้เรื่องบ้าง จะดีกว่ามั้ยครับ

    จะได้ทำตัวสบายๆ ไม่มากไปด้วยฝุ่นละอองธรรม

    จนใครๆ ติดต่อสื่อสารกับท่านไม่ได้เลย

    ธรรมที่ท่านมี ท่านเป็น ท่านทรง เพื่อจะทำให้มันสูงส่งไปทำไมกันหนอ...

    ถามแล้วจึงตอบ มีเหตุแล้วจึงแสดง สมควรแก่กาล

    อีกอย่างท่านเป็นผู้ศึกษามามาก เรียนมามาก ฟังมามาก

    ท่านลองไปทบทวนดู...
     
  8. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ไม่น่าคิดอย่างนั้นเลย...
     
  9. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    เฮ้อ....อ่านแล้วเหนื่อยจัง
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การอบรมจิตโดยการเพ่งฌาน ไม่ใช่การหลบลี้หนีกิเลส

    เรื่องสติ สมาธิ ปัญญานั้น เป็นสิ่งที่ต้องมีการสร้างขึ้นมาด้วยความเพียรเท่านั้น/...เกิดขึ้นเองไม่ได้ครับ
    เมื่อขณะที่จิตจะสงบตั้งมั่นเป็นสมาธินั้น ต้องมีปัญญาปล่อยวางอารมณ์ต่างๆที่เป็นอกุศลออกไปให้ได้เสียก่อน
    จิตจึงรวมตัวลงได้...ในบางครั้งเหมือนจะมีอาการวูบลง(มืดสนิทนั้นเป็นการปรับสภาวะครับ)

    ส่วนใหญ่แล้ว...เมื่อเกิดอาการวูบขึ้นในครั้งแรกๆนั้น...
    จิตจะมีอาการไหวตัวเนื่องเพราะความไม่คุ้นชิน...ทำให้หลุดออกมาจากสภาวะนั้น
    เพราะยังประคองจิตได้ไม่ดีพอ....ถ้าประคองได้แล้วจิตจะค่อยรวมลงแนบแน่นและสว่างโพลงขึ้นมาเอง
    อาการเหล่านี้....ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดกับผู้ที่ได้ใหม่ๆเท่านั้น/...
    สำหรับผู้ที่ทำบ่อยๆเนืองๆแล้วจิตจะมีความคุ้นชินเกิดอาการใสสว่างขึ้นครับ

    ผมขอแย้งเรื่องการเข้าสู่ฌาน...ที่ว่าเป็นการหลีกหนีกิเลส(ปัญหา)นั้น...เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องครับ....
    การฝึกอบรมเพ่งฌานนั้น...เป็นการฝึกปล่อยวางกิเลส(อารมณ์)ที่ทำให้สับสนวุ่นวาย...
    มาสู่ความสงบตั้งมั่นของจิตครับ

    เป็นการสร้างสติปัญญาให้เกิดขึ้นที่จิตครับ....เมื่อจิตมีความคุ้นชินกับการปล่อยวางอารมณ์จนชำนาญแล้ว
    พอกระทบอารมณ์ทั้งที่น่าปรารถนา/หรือที่ไม่น่าปรารถนา....จิตจะสลัดอารมณ์เหล่านั้นออกไปได้ทันทีครับ

    คนที่ฝึกเพ่งฌานนั้น...ไม่ใช่กลัวความไม่สงบนะครับ/....
    แต่เป็นการกลัวว่าจะเข้าสู่ความสงบไม่เป็นต่างหากครับ

    คนเราทุกวันนี้...ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าวันหนึ่งๆมีแต่กิเลสรุมเร้า...จนบางครั้งยังติดใจในกิเลสบางอย่างด้วยซ้ำไป
    เราจะหนีกิเลสก็ต่อเมื่อเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบและแสดงอาการของจิตออกมาทางสีหน้า
    เราจึงพยายามหนีกิเลสโดยการเปลี่ยนเพียงสีหน้ากันเท่านั้น...แต่จิตใจณ.ภายในของเรายังคุกรุ่นอยู่
    เพราะปล่อยวางอารมณ์เหล่านั้นไม่เป็น....เมื่อเป็นเช่นนี้...เราจึงต้องฝึกอบรมจิต..โดยการเพ่งฌาน
    เพื่อฝึกการปล่อยวางอารมณ์ที่วุ่นวาย....มาสู่ที่ๆสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวให้เป็น...จึงจะเกิดประโยชน์ครับ....

    ;aa24
     
  11. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ฌาน หรือ สมาธิใด ๆ เพียงเข้าใจ และรู้จักใช้เป็นวางเป็น มันก็จบเรื่องแล้ว...
     
  12. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ผมขอแย้งเรื่องการเข้าสู่ฌาน...ที่ว่าเป็นการหลีกหนีกิเลส(ปัญหา)นั้น...เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องครับ....
    การฝึกอบรมเพ่งฌานนั้น...เป็นการฝึกปล่อยวางกิเลส(อารมณ์)ที่ทำให้สับสนวุ่นวาย...
    มาสู่ความสงบตั้งมั่นของจิตครับ


    คนที่ฝึกเพ่งฌานนั้น...ไม่ใช่กลัวความไม่สงบนะครับ/....
    แต่เป็นการกลัวว่าจะเข้าสู่ความสงบไม่เป็นต่างหากครับ
    ------------------------------------------------------------------

    ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^
    เป็นการสร้างสติปัญญาให้เกิดขึ้นที่จิต....เมื่อจิตมีความคุ้นชินกับการปล่อยวางอารมณ์จนชำนาญแล้ว
    พอกระทบอารมณ์ทั้งที่น่าปรารถนา/หรือที่ไม่น่าปรารถนา....จิตจะสลัดอารมณ์เหล่านั้นออกไปได้ทันที
    ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^

    ปัญญาที่เกิดขึ้นเอาไว้ทำแค่นี้เองหรือครับ - -"
    -------

    ไม่ไช่กลัวความไม่สงบ แต่กลัวว่าจะเข้าสู่ความสงบไม่เป็นตะหาก- -".

    ไม่รู้นะครับอ่านแล้วดูเหมือนติดชาน กลัวเข้าสู่ความสงบไม่เป็นก็เหมือนกลัวหนีกิเลสไม่ได้หนะครับ คือถ้าเข้าสู่ความสงบไม่เป็นก็จะหนีกิเลสไม่ได้หรือครับ
     
  13. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ผู้เห็นทางนั้นต่างกับผู้คลำทาง
     
  14. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    อื้อหือ หยังกับรู้ใจจริงๆนะครับเนี่ย คนไหนคลำคนไหนเห็นทางหละครับ

    ผู้เห็นทางต่างกับผู้เห็นทาง เท่ครับ เท่

    ผู้รู้ใจ ต่างกับผู้เดาใจครับ . . .
     
  15. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ;39 เท่มั้ยครับ
     
  16. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    พระธรรมมีรสแห่งความสงบเยือกเย็น...สว่างแจ้งอยู่ในใจ
    แต่กิเลสมีรสตรงข้าม เร่าร้อน วุ่นวายฟุ้งซ่านไม่สงบ มืดมิดภายในจิตใจ
    ฌานเป็นเครื่องมือหรือทางเข้าสู่ญาณ..
    นักปราชญ์หรือครูบาอาจารย์ท่านสอนในเรื่องนี้ฯ
    เปรียบเสมือนตัวเราอาศัยเรือข้ามฝั่งมหาสมุทร
    เมื่อถึงฝั่งก็ไม่ได้แบกเรือขึ้นบกไปด้วย
    และก็ไม่ได้ตำหนิเรือที่เป็นยานพาหนะที่พาข้ามมาส่งจนถึงฝั่งเลย
    นักปราชญ์ท่านจึงไม่ตำหนิการทำสมาธิ
    มีแต่คนที่ทำสมาธิไม่เป็นเท่านั้น..ที่ตำหนิการทำสมาธิ

    หรือว่าท่านทั้งหลายฯ อาศัยรถเดินทางไปธุระ
    แล้วกลับตำหนิรถไม่ดีสู้เดินเท้าไม่ได้ เช่นนั้นหรือ..
    ผู้ฉลาดจึงไม่ตำหนิการทำสมาธิ

    หลงสมาธิ... เพราะติดในความสงบหลงในฌาน
    ยังแก้ไขได้เมื่อพบครูบาอาจารย์ชี้ทางถูกต้อง

    แต่หลงปัญญา... เพราะหลงคิดว่าสิ่งที่ตนคิดมันรู้แจ้งแทงตลอด
    อันนี้มันทิฐิมานะมากเก่งเกินครูเกินอาจารย์ ประเภทน้ำล้นถ้วย คือ โง่ไม่เป็น

    ทั้งที่ๆ..ไม่มีกำลังสมาธิก็ไม่มีกำลังปัญญา
    ปัญญาโลกกับปัญญาญาณ..มันแตกต่างกันสิ้นเชิง
    ปัญญาโลกมันคิดตามตรรกะความคิดตกผลึก..
    ปัญญาญาณใช้กำลังสติและกำลังสมาธิซักฟอกจิต
    จนจิตเกิดปัญญา มิใช่เกิดปัญญาที่สมอง

    ต้องแยกให้ออกปัญญาที่เกิดจากสมอง
    อารมณ์ของใจไม่นิ่งไม่สงบไม่เยือกเย็น
    เพราะว่า..มันใช้ความคิดนึกตรึกตรองตามเหตุผลของโลก..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2009
  17. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ท่านTboon ผมคงไม่ฟังคำสอนของคุณหรอก..

    เพราะผมเองมีครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยสงฆ์ที่เคารพอบรมสั่งสอนอยุ่แล้ว..
    มิใช่ไปเพียงแค่สอบถามปัญหาธรรมเป็นครั้งคราว..
    แล้วก็อ้างตนเป็นลูกศิษย์ท่านฯ

    ผมอยู่รับใช้ขอนิสัยฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์
    ทั้งเคยกินอยู่หลับนอนอยู่กับท่านฯเป็นเดือนเป็นปี
    ทำข้อวัตรปฏิบัติถวายครูบาอาจารย์ เช่น
    ถือบาตร ล้างบาตร ซักสบงจีวร สะพายย่าม เช็ดถูกุฏิศาลา ถวายสรงน้ำ นวดถวาย ฯลฯ
    บางองค์บางท่านฯ ที่ล่วงลับไปแล้ว..
    ทั้งเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว อุ้มขึ้นรถเข็น ถวายยา ฯลฯ

    ดังนั้นคงไม่ต้องให้ท่านฯ มาแนะสอนหรอก...
    เพราะผมมีครูบาอาจารย์ที่เป็นเพชรแท้ เช่น
    หลวงปู่ขาน หลวงปู่ลี หลวงพ่อประสิทธิ หลวงพ่อบุญเพ็ง หลวงปู่อุ่น
    หลวงปู่บุญมา พระอาจารย์โส พระอาจารย์สงบ หลวงปู่จันทร์โสมฯลฯ
    ทุกองค์ที่เอ่ยนามมานี้...
    ผมได้เรียนถวายการปฏิบัติของตนจนเข้าใจชัดแจ้งหายสิ้นสงสัยแล้ว..

    ท่านอย่าเสียเวลามาสอน..มีแต่เสียเวลา
    เพราะท่านเองยังห่างไกลนัก...เป็นแค่คิดเองเออเอง..ความคิดตกผลึก
    ท่านฯไปสอบถามครูบาอาจารย์ที่ผมเอ่ยชื่อถึงก่อนดีกว่าไหม...
    เรื่องการปฏิบัติของท่านฯ ว่าตรงทางถูกต้องหรือยัง...
    หรือเอาข้อความของผมได้เคยแสดงธรรมไปสอบถามก็ได้
    ดีกว่า..มามั่วซั่วแบบนี้...
    มันเหมือนไม่รู้ตัวเองบ้างเลย.

    หวังว่า..ท่านคงต้องไปพิสูจน์ตัวเอง..
    โดยไปเรียนถามการปฏิบัติของตัวท่านเองกับครูบาอาจารย์ที่ผมเอ่ยชื่อ
    แล้วค่อยมาคุยกัน..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2009
  18. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    [MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=26040[/MUSIC]
     
  19. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    จริงๆ ถ้าเรากล้าพอที่เปิดตัวออกมาแนะนำธรรมะแก่สาธารณชนได้ เราก็ต้องกล้าพอที่จะรับฟังความเห็นของผู้อื่นที่เห็นไม่ตรงกับเราด้วย จึงจะเป็นการดี จึงจะเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง

    การได้เรียนรู้ในสังคมแห่งการเีรียนรู้นี้คือ เราได้เรียนรู้ และรู้จักใจตนเองในด้านมืดที่เรายังอาจมองไม่เห็น ที่เราอาจเผลอนึกว่าเราดีแล้ว ประเสริฐแล้ว ทุกคนมีโอกาสเผลอได้ เพราะเราไม่ใช่พระอรหันต์นะ เราจะได้รู้ว่าเรายังมีกิเลสตัวไหนหลงเหลืออยู่บ้าง เมื่อต้องกระทบกับสิ่งแวดล้อมที่เราเข้าไปแนะนำพร่ำสอนเขานั่นแหละ มันเป็นเรื่องดีนะ ถ้าเราแนะนำเขาถูก เราก็ได้บำเพ็ญประโยชน์ สร้างกุศลไปเต็ม ๆ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราแนะนำเขาผิด เขาเกิดรู้ในสิ่งที่เรายังไม่รู้ เรากล้าที่จะยอมรับฟังคำแนะนำจากเขา ฟังความเห็นของเขา แล้วเราลองเอาไปปฏิบัติ ไปปรับใช้ดู มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ก็จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เกิดกับเขา และเราก็จะได้ความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือ รอบด้านมากขึ้นกลับมา ประโยชน์ก็จะเกิดอยู่ตลอดเวลา ต่างเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน แบบนี้ได้ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน เป็นกุศลทั้งขึ้นทั้งร่องเลยนะ ถ้ารู้จักการเป็นผู้เรียนรู้ที่ดี

    ธรรมดาของผู้มีคุณธรรมทั้งหลายเท่าที่พบมา ย่อมมีใจเปิดกว้าง พร้อมต่อการเรียนรู้เสมอ มีเมตตา ให้อภัย ไม่ถือสา มองโลกในแง่ดีอยู่ตลอดเวลา ผิดก็ยอมรับผิดได้ง่าย ถ้าเขาเข้าใจผิดเราก็อธิบาย แต่ถ้ามาแบบพาล ๆ เราก็หลีกเลี่ยงไปเสีย เราก็ดูว่าเขามาแบบไหน มาแบบพาลชนหรือกัลยาณชน รู้จักยืดหยุ่นผ่อนสั้นผ่อนยาวเป็น อย่างนี้จึงจะเรียกว่า เป็นผู้ที่ควรแก่การเคารพกราบไหว้บูชา เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่การรับทักขิณาทาน...สาธุครับ


    ขออภัยด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2009
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    พระธรรมบท เรื่อง พระธรรมมารามเถรเจ้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...