เรื่องเด่น มนุษย์ต่างดาวติดต่อเราหรือยัง-ควรบอกว่า เมื่อไหร่จะไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chandayot, 18 เมษายน 2012.

  1. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค4 --นักเดินทาง

    <!-- Main -->ตอนที่ ๘ โยคะสมาธิ

    ----- สิ่งหนึ่งที่ผู้ใหม่จะงงมากเมื่อฟังธรรมะจากท่านอาจารย์กตธุโรคือ การทำความเข้าใจว่าเราไม่มี ร่างกายนี้เป็นเพียงก้อนธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มาประชุมกันเข้า ไม่ใช่ตัวเรา เป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่ของเรา มองดูตัวเองทีไรก็เจอแต่เราทุกครั้งไป ผู้เขียนจึงมีแนวคิดนำเอาวิชาโยคะ มาผสมผสานเข้ากับการดูก้อนธาตุของหลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่ และการขับเคลื่อนรูปนามขันธ์ห้าด้วยทุกข์ของอาจารย์แนบ มหานีรานนท์ เมื่อนำมาใช้แล้วพบว่า สามารถทำให้ผู้ใหม่เข้าใจถึงสภาวะ “มันเป็นมัน” ได้ดีขึ้นมากโดยใช้เวลาไม่กี่นาที

    ------ วิธีการดูความเป็นก้อนธาตุของหลวงพ่อจำเนียร ท่านจะให้ยืนสบายๆ เท้าชิดกัน แล้วหลับตาลง บอกตัวเองให้ยืนนิ่งๆ แล้วระลึกรู้อยู่ภายใน เวลาผ่านไปไม่ถึงนาที ผู้ฝึกจะรู้สึกตัวโอนเอนไปมา ไม่สามารถบังคับให้อยู่นิ่งได้ ท่านบอกว่า การที่ตัวโอนเอนนั้น เป็นผลจากการเคลื่อนของธาตุลม จากนั้นท่านให้นำความรู้สึกตัวไปที่เท้าทั้งสองข้าง จะสังเกตได้ถึงอาการตึงๆ แน่นๆ นั่นคืออาการของธาตุดิน เมื่อสังเกตดูทั่วทั้งตัว จะบว่าบางส่วนอุ่นๆ ร้อนๆ บางส่วนเย็นๆ นั่นเป็นอาการของธาตุไฟ ส่วนธาตุน้ำ จะทำหน้าที่ประสานยึดธาตุต่างๆ เข้าด้วยกัน ไม่มีอาการให้สังเกตรู้ได้ แต่เราก็รู้ว่าก้อนธาตุนี้มีน้ำเป็นองค์ประกอบ เพราะเราต้องกินน้ำทุกวัน หลวงพ่อจำเนียรบอกว่าให้ดูสภาวะนี้เนืองๆ จนจิตเกิดการคลายความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าขึ้นมาเอง
    ----------- ในช่วงอาสนะยืนขณะฝึกโยคะ ผู้เขียนให้ผู้ฝึกหลับตา ทำความคุ้นเคยกับสภาวะก้อนธาตุสักครู่หนึ่ง โดยให้เห็นว่ามันเป็นเพียงก้อนธาตุที่มาชุมนุมกันชั่วคราว ก่อนพ่อแม่มาพบกัน ก้อนธาตุนี้ไม่มีอยู่บนโลก เมื่อก่อตัวขึ้นมาแล้ว มันก็เติบโตเปลี่ยนแปลงไปด้วยตัวของมันเอง แก่เอง ตายเองในที่สุด แล้วก็สลายกลับคืนสู่ธรรมชาติตามเดิม จะบังคับบัญชาอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ความคิดที่ว่ามันเป็นเรานั้น เป็นความเข้าใจผิด นี้เป็นการพิจารณาฝ่ายรูปว่าเป็นเพียงธาตุสี่ที่มาชุมนุมกัน เป็นสิ่งไม่มีอยู่จริงที่ตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    ------------ จากนั้นให้พิจารณาฝ่ายนามบ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเวทนาความไม่สบายกายไม่สบายใจ สัญญาความจำได้หมายรู้ สังขารการปรุงแต่ง วิญญาณการรับรู้ ล้วนเป็นสิ่งที่มีสภาพเป็นความว่าง เมื่อมองเข้าไปภายในก้อนธาตุที่ไหลเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ ไม่สามารถบ่งบอกได้เลยว่าตรงนี้เป็นเวทนา ตรงนี้เป็นสัญญา ตรงนี้เป็นสังขาร ตรงนี้เป็นวิญญาณ ขันธ์ทั้งสี่นี้จึงเป็นสิ่งที่ก่อตัวขึ้นภายในความว่าง แสดงให้รู้เป็นอาการ แต่ไม่มีตัวตนใดๆ แล้วก็ดับลงในความว่าง เพราะภายในความว่างไม่มีอะไรให้เกาะเกี่ยวคงสภาพอยู่ได้ มันจึงเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริงที่ตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นเดียวกับฝ่ายรูป

    ---------------การยืนหลับตาพิจารณาขันธ์ห้านี้ทำโดยใช้เวลาสั้นๆ เพราะถ้าหลับตายืนนานๆ จะเกิดอาการวิงเวียนหรือล้มได้ จากนั้นผู้เขียนจะนำเข้าสู่ท่าอาสนะของโยคะโดยบอกว่า “เมื่อก้อนธาตุนี้ก่อตัวขึ้นมาแล้ว เรามาดูกันว่าอะไรเป็นสิ่งขับเคลื่อนก้อนธาตุนี้ในขณะที่มันดำรงอยู่บนโลก” ตรงนี้จะเป็นการประยุกต์ใช้แนวทางการทำความเข้าใจว่าสิ่งขับเคลื่อนรูปนามขันธ์ห้าให้ดำเนินไปได้บนโลกคือ “ทุกข์” ของอาจารย์แนบ มหานีรานนท์
    ---ผู้เขียนให้ผู้ฝึกอยู่ในท่ายืน ยกแขนซ้ายขึ้นเหนือศีรษะช้าๆ แล้วเอียงตัวลงทางขวาให้พอสบายๆ แล้วนิ่งอยู่ประมาณสองลมหายใจ รู้และสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายใน ผู้ฝึกจะสังเกตได้ถึงการค่อยๆ ก่อตัวของสภาวะความไม่สบายกาย ที่เราเรียกกันว่า “ทุกข์” ความไม่สบายกายนี้เพิ่มมากขึ้นๆ จนร่างกายไม่สามารถทรงอยู่ในสภาพเดิมได้ ก็ให้ผู้ฝึกกำหนดรู้ในใจว่า “ทุกข์เกิดขึ้นกับรูปยืน ต้องเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อคลายทุกข์” จากนั้นจึงคลายออกจากท่า ลดมือลง กลับมาสู่ท่ายืนตามปกติ ทุกข์ก็ดับลงด้วยตัวของมันเอง ในขณะที่ทุกข์ก่อตัวขึ้นนั้น ไม่สามารถบังคับให้มันหายไปได้ แสดงว่ามันไม่ได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเรา กายนี้จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    ทำเช่นเดียวกันกับท่าอื่นๆ เคลื่อนไหวช้าๆ คงอยู่กับอาสนะแต่ละท่าประมาณสองลมหายใจ สังเกตการก่อตัวขึ้นและดับไปของทุกข์เนืองๆ จนเกิดความเข้าใจว่า “ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป” “ทุกข์คือสิ่งขับเคลื่อนขันธ์ห้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขันธ์ห้ากระทำล้วนเป็นไปเพื่อคลายทุกข์” การเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นสิ่งที่เรามักกระทำโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่ได้สังเกตว่าทำไมเราจึงต้องเปลี่ยนอิริยาบถ นอกจากนั้น การหายใจเข้า-ออก การกระพริบตา การกิน การดื่ม การนอน การชำระล้างร่างกาย ล้วนเป็นไปเพื่อคลายทุกข์ที่เกิดขึ้นกับขันธ์ห้าทั้งสิ้น ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ จะนำไปสู่การเกิดความเบื่อหน่ายคลายจางในขันธ์ห้า ทำให้จิตค้นหาวิธีการที่จะไม่ต้องมาตายเกิดด้วยตัวของมันเอง

    ---------------------จากประสบการณ์การฝึกโยคะสมาธิ ผู้ฝึกจะมีความเข้าใจได้มากขึ้นในเรื่องของความไม่มีและความว่างตามที่ท่านอาจารย์กตธุโรสอน สามารถเปิดธรรมได้ในเวลาอันสั้น สำหรับผู้เขียน มีความเข้าใจมากขึ้นว่า รูปนามขันธ์ห้านี้เปรียบเสมือนเหรียญที่มีสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นด้านที่เห็นด้วยตาเนื้อ เต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นสมมติสัจจะ (เป็นจริงตามสมมติ) ที่เราคุ้นเคยว่ามันมีอยู่จริง จนยากต่อการที่จะยอมรับว่ามันเป็นสิ่งไม่มี อีกด้านหนึ่งเป็นด้านที่เห็นด้วยตาใจ (เมื่อปิดตาเนื้อลง) หรือเห็นด้วยความรู้สึกทางใจ จะพบสภาวะที่เป็นปรมัตถ์สัจจะ (เป็นจริงตามปรมัตถ์) เป็นความไม่มีและความว่าง
    -----------------------ในการปฏิบัติเพื่อถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในรูปนามขันธ์ห้า ทำได้มากมายหลายวิธี ขึ้นอยู่กับจริตของผู้ปฏิบัติ บางท่านทำความเข้าใจละเอียดลงไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสมมติ ไม่มีอยู่จริง (พิจารณาด้านที่เป็นสมมติสัจจะ) สำหรับผู้เขียนจะมีความถนัดในการพิจารณาถึงความไม่มีของรูปนามขันธ์ห้า (พิจารณาด้านที่เป็นปรมัตถ์สัจจะ) ท่านผู้อ่านควรต้องพิจารณาตัวเอง ว่าถนัดแบบไหน

    ตอนที่ ๙ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติ

    ----------------เมื่อได้ไปพบท่านอาจารย์กตธุโรบ่อยครั้งขึ้น เวลาสนทนากับท่าน ผู้เขียนจะยิ้ม หายใจสบายๆ นับอยู่กับฐานใจจนเกิดความตั้งมั่น แล้วหยุดนับ เปิดใจว่างๆ รับกระแสจากจิตของท่าน เพราะท่านบอกว่าการถ่ายทอดธรรมแนวเซ็นนั้นเป็นการถ่ายทอดจากจิตสู่จิต สภาวะของใจก็ก้าวหน้าขึ้น สัมผัสได้กับอาการของความว่างไปเป็นลำดับ แต่มันก็ยังเป็นสภาวะว่างที่ใจมันสร้างขึ้นมาให้ดู เป็นว่างที่คู่กับไม่ว่าง ได้เรียนรู้และเข้าใจมากขึ้นถึงความเป็นมายาของใจ มันรู้ว่าเราอยากเห็นอะไร มันก็ทำขึ้นมาให้ดู บางครั้งมันว่างเบาจนรู้สึกเหมือนกับตัวตนมันหายไป เวลานั่งสมาธิจะรู้สึกสบายมาก ว่างเหมือนกับไม่มีกายนั่งอยู่ เป็นอยู่หลายวัน ทีแรกก็คิดว่าคงเป็นอันนี้แหละ ที่อาจารย์บอกว่าเป็นความไม่มี แต่โชคดีที่ภายในของผู้เขียนมันเตือนว่า “นี่ยังไม่ใช่ ให้ออกมาเสีย” ผู้เขียนจึงใช้การเดินปราณช่วยชีวิต ซึ่งเป็นเทคนิคที่นาวาเอกกฤษณ์สอนให้ใช้ในการดูแลสุขภาพ แต่ผลพลอยได้ของมันคือมันสามารถทำให้ใจมีความตั้งมั่นได้แข็งแรงกว่าการนับ แม้จะทำได้ค่อนข้างลำบากเพราะร่างกายมันว่างจนหาฐานปราณไม่เจอ แต่ก็ฝืนทำจนกระทั่งอาการของความตั้งมั่นก่อตัวขึ้นเป็นหลักให้นำสติการระลึกรู้ไปไว้ตรงนั้น และถอยใจออกมาจากสภาวะว่างได้ ทำให้เข้าใจว่า การที่ผู้ปฏิบัติติดหลงอยู่กับสภาวะจนเกิดเป็น วิปัสนูปกิเลส คงเป็นอย่างนี้นี่เอง
    ----สำหรับเทคนิคการเดินปราณช่วยชีวิตนั้น ทำได้ไม่ยาก เพียงเมื่อหายใจเข้า ให้ทำความรู้สึกว่ามีกระแสของปราณที่เกาะอยู่กับลมหายใจเคลื่อนผ่านหน้าผาก กระหม่อม ต้นคอ กลางหลัง ก้นกบ ท้องน้อย ใจ ขึ้นมาที่หน้าผากแล้วหายใจออก ทำเช่นนี้ซ้ำๆๆๆ ไปเรื่อยๆ จนสังเกตได้ถึงความตั้งมั่นของตบะที่ก่อตัวขึ้นที่ฐานใจ

    ---------สิ่งหนึ่งที่ผู้ฝึกใหม่ต้องระวังเมื่อพิจารณาสภาวะธรรมด้วยดาบอนัตตา คือการเหวี่ยงตัวกลับของใจ จากสภาวะที่เห็นว่า “อะไรๆ ก็มีอยู่จริง” (สัสสตทิฏฐิ) ไปสู่ขีดสุดโต่งของสภาวะที่เห็นว่า “อะไรๆ ก็ไม่มีอยู่จริง” (อุจเฉททิฏฐิ) แม้บุญ-บาป ก็ไม่มี คิดว่าตัวเองหมดความอยากโดยสิ้นเชิงแล้ว อะไรๆ ก็ไม่ต้องการ ท่านอาจารย์บอกว่าเป็นสภาวะที่มีตัวกูยึดติดอยู่กับความไม่มี ตรงนี้ผู้ฝึกต้องสังเกตตัวเองให้ดี การนับอยู่กับฐานใจจะช่วยได้มาก เพราะเป็นการรักษาใจให้อยู่กับความเป็นกลาง ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง

    ---วันหนึ่ง ประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้เขียนนั่งสนทนากับท่านอาจารย์กตธุโร ท่านเรียกชื่อของผู้เขียน ใจมันเกิดความสลดขึ้นมาอย่างรุนแรงจนร้องไห้ออกมา เพราะมันยอมรับแล้วว่าชื่อที่ท่านเรียกนั้นไม่มีอยู่จริง ในการปฏิบัติ การเข้าถึงธรรมนั้น เพียงแค่ความเข้าใจจากการฟัง หรือการเห็นสภาวะเกิดขึ้นอย่างนั้นอย่างนี้ ยังไม่ใช่การเข้าถึงธรรมที่แท้จริง เพราะยังเป็นเพียงแค่สุตมยปัญญา (ปัญญาจากการได้ยินได้ฟัง) และจินตามยปัญญา (ปัญญาจากการคิดนึก) ต้องมีสภาวะที่โพล่งขึ้นมาจากใจโดยไม่ได้ตั้งตัว หรือเกิดคำว่า “อ๋อ...เป็นอย่างนี้นี่เอง” ขึ้นมาที่ใจ โดยไม่ได้เตรียมทำอะไรเอาไว้ก่อน (ภาวนามยปัญญา – ปัญญาจากการภาวนา) ซึ่งบอกไม่ได้ว่ามันจะต้องใช้เวลานานเท่าใด บางคนติดตามท่านอาจารย์มาเป็นสิบปี ก็ยังไม่สามารถเกิดการเข้าถึงธรรมได้ (ทั้งนี้เพราะเขาไม่เคยรู้เทคนิคการสร้างความตั้งมั่นที่ฐานใจ) แต่สำหรับกลุ่มของพวกเรา ได้พบท่านอาจารย์เพียงไม่กี่ครั้ง สามารถเปิดธรรมได้ตามๆ กันมา จนท่านออกปากชมว่าพวกเรามีการเตรียมตัวกันมาดีมาก ทั้งนี้เพราะพื้นฐานการนับอยู่ที่ฐานใจของนาวาเอกกฤษณ์ ทำให้ใจมีกำลัง สามารถเข้าถึงธรรมได้ตามลำดับ มากน้อยต่างๆ กันไป

    ------------นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ผู้เขียนก็ยังคงใช้หลักการเดิม คือ นับอยู่ที่ฐานใจ พิจารณาทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาว่ามันทำให้เกิดอาการที่อาจารย์กตธุโรเรียกว่า “ตาม-ต้าน ดูด-ผลัก พอใจ-ไม่พอใจ” ขึ้นมาที่ใจหรือไม่ เมื่อเกิดขึ้นก็พิจารณาลงไปว่า “มันไม่มี มันมีไม่จริง มันไม่ใช่เรา เราไม่มี” เมื่อพิจารณาดังนี้ ความรู้สึกนั้นก็ดับลง (อันที่จริง แม้ไม่ได้พิจารณาอะไร มันก็ดับของมันเองอยู่แล้ว ดังนั้นท่านอาจารย์จึงบอกว่าไม่ต้องทำอะไร แต่สำหรับผู้ฝึกใหม่ การพิจารณาย้ำลงไปจะช่วยได้มาก) เปรียบเสมือนตรงกลางใจนั้นเป็นความว่าง เมื่อกระแสเวทนา อารมณ์ ความคิด ผ่านเข้ามา กระทบกับความว่าง ก็สลายตัวไป เหมือนกับการตบมือข้างเดียว ไม่มีอีกมือหนึ่งตั้งรับ เสียงก็ไม่สามารถก่อตัวขึ้นได้ ใจอยู่กับสภาวะเงียบ นิ่ง สงบได้นานๆ ท่านอาจารย์บอกว่า มันเงียบจี๋หลีเหมือนระฆังที่ยังไม่ได้ตีนั่นเอง

    ---------------เมื่อทรงความนิ่งสงบอยู่กับฐานใจได้มากขึ้นจนคุ้นเคย วันหนึ่ง น้องบังอร ซึ่งทำหน้าที่ดูแลท่านอาจารย์กตธุโรและช่วยท่านอาจารย์ “จ่ายธรรม” ให้แก่พวกเราทั้งยังเป็นแม่ครัวฝีมือเอก ทำอาหารเลี้ยงพวกเราโดยไม่เหน็ดเหนื่อย ได้บอกพวกเราว่า “ลองคิดหาวิธีมานานแล้วว่าจะช่วยพวกพี่ๆ ที่มารับธรรมะจากอาจารย์ได้อย่างไร ให้เข้าใจมากขึ้น เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” น้องบังอรหบิบกระป๋องขยะเล็กๆมาวางไว้กลางวง “อย่างนี้เรียกว่า “มี” จากนั้นก็หยิบกระป๋องขยะนั้นออกไปซ่อนไว้ข้างหลัง ชี้ไปที่กลางวงตรงที่เคยมีกระป๋องตั้งอยู่ “อย่างนี้เรียกว่า “ไม่มี” ทำซ้ำๆอยู่หลายหน
    ---------------ในขณะนั้น ผู้เขียนก็มองและฟังตามไป แต่ความรู้ตัวนั้นอยู่ที่ฐานใจโดยอัตโนมัติ ก็เห็นว่าตรงกลางใจนั้น เดิมนิ่งสงบอยู่ พอคิดว่า “มี” ก็เกิดการก่อตัวขึ้นของอาการ “มี” แล้วก็ดับลงไปเป็นความนิ่งสงบตามเดิม พอคิดว่า “ไม่มี” ก็เกิดการก่อตัวขึ้นของอาการ “ไม่มี” แล้วก็ดับลงไป ณ จุดเดิม-- เกิดความเข้าใจขึ้นมาฉับพลันถึงกับอุทานออกมาว่า “นี่มันสร้างเอาเองหมดเลยหรือนี่ มันออกมาจากที่เดียวกันนั่นเอง” ใจดั้งเดิมนั้นเป็นสภาวะว่างที่นิ่งสงบเหมือนผืนน้ำ เมื่อมีเหตุปัจจัย ก็ก่อตัวขึ้นมาเป็นอาการต่างๆ แต่เนื่องจากมันว่าง อาการที่ก่อตัวขึ้นนั้นจึงไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ต้องดับลง

    ---------------------ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขันธ์ห้านี้รู้เห็น ล้วนก่อตัวขึ้นมาจากสภาวะว่างดั้งเดิมนี้ (นาวาเอกกฤษณ์เรียกว่า “ความไม่มี”) ไม่ว่าจะเป็นสภาวะธรรมที่วิเศษเลิศหรูอย่างใดก็ตาม ล้วนสร้างขึ้นจากว่าง ล้วนเป็นมายาของใจ

    --เพราะเมื่อก่อตัวขึ้นมา มันก็เป็นเพียงอาการในความว่าง ไม่มีตัวตน หยิบยกออกมาให้ใครดูก็ไม่ได้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดเองด้วยเหตุปัจจัย ดับเองด้วยธรรมชาติของมัน เป็นกลไกธรรมชาติของขันธ์ห้า ไม่มีเราเข้าไปร่วมอยู่ในกลไกเหล่านั้น ความรู้สึกว่า “มันเป็นมัน มันมีไม่จริง เราไม่มี” ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นอีก

    -----------------------แม้จะรู้-เห็น-เข้าใจ เช่นนี้แล้ว ก็ยังต้องเพียรต่อไปอีก น้องบังอรบอกว่า ความเข้าใจตรงนี้ก็ยังผลุบๆ โผล่ๆ ตามความเคยชินเดิมๆ ของใจ น้องบังอรใช้คำว่า ยังเป็น “ครึ่งคน ครึ่งพระ” ตราบใดที่ยังมีขันธ์ห้าอยู่และต้องใช้มันอยู่ ก็ยังมีโอกาสที่จะเข้าไปยึดว่ามันเป็นเราได้ จึงต้องมีกำลังสติที่เข้มแข็งว่องไว รู้ทันว่า “ตัวกู” มันโผล่ขึ้นมาตอนไหน ก็ฟาดฟันมันด้วย “ดาบอนัตตา” ท่านอาจารย์บอกว่านี้เป็นเพียงขั้นรู้และเห็น ยังต้องคอยพิจารณาตรวจตราต่อเนื่องไปจนเกิดสภาวะ แจ้ง และสุดท้ายคือการแทงตลอด ซึ่งตรงนี้ บังคับไม่ได้ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม เขาก็เกิดเอง ท่านบอกว่า ให้ผู้เขียน และต้อย (นาวาเอกพิเศษหญิงนวลรักษา โพธิ์ศรี) ซึ่งมีสภาวะใกล้เคียงกัน ช่วยจ่ายธรรมให้คนอื่นๆ ได้แล้ว

    -----------------------ผู้เขียนชอบคำว่า “จ่ายธรรม” นี้มาก เพราะโดยตัวเอง ไม่ได้คิดว่าตนเป็นผู้มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงส่งกว่าใคร ไม่มีความสามารถพิเศษเหนือธรรมชาติ ไม่สามารถตั้งตัวเป็นครูบาอาจารย์ “สอนธรรม” ใครได้ แต่การจ่ายธรรม ไม่ใช่การสอนธรรม การจ่ายธรรมนั้นเป็นการนำธรรมะของครูบาอาจารย์มาบอกกล่าวให้แก่ผู้ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ช่วยให้เขาได้เปิดธรรมในขั้นต้น จากนั้นจึงพาไปพบกับท่านอาจารย์อีกทีหนึ่ง ในขณะที่จ่ายธรรมนั้น ผู้เขียนก็ไม่เคยประมาท จะทบทวนตัวเองตลอดเวลาว่ามีความยินดีพอใจ มีตัวกูเกิดขึ้นมาในการทำหน้าที่จ่ายธรรมหรือไม่ ถ้ามีก็จัดการด้วยดาบอนัตตา
    การปฏิบัติของผู้เขียนทุกวันนี้คือมีสติรักษาใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยนับอยู่ที่ฐานใจตลอดเวลา อยู่กับความนิ่งสงบหรือความไม่มีให้มากที่สุด เมื่อมันเกิดการเคลื่อนออกจากความไม่มี ไปเป็นสภาวะพอใจ ไม่พอใจ ก็สามารถจับได้ทัน และจัดการกับมันได้ทัน นาวาเอกกฤษณ์เรียกว่าสภาวะ “มีบนไม่มี”

    ------------------ผู้เขียนมีความมั่นใจในแนวทางการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการสร้างกำลังให้แก่สติที่ทำหน้าที่รักษาใจ โดยนับอยู่ที่ฐานใจตลอดเวลา ตามคำแนะนำของนาวาเอกกฤษณ์ และการฟาดฟัน “ตัวกู” ด้วยดาบอนัตตาของท่านอาจารย์กตธุโร และตั้งใจว่าจะทำเช่นนี้ไปจนลมหายใจสุดท้าย ผู้เขียนไม่เคยอยากรู้ว่าตัวเองบรรลุคุณธรรมขั้นไหน เพราะมันก็เป็นสิ่งไม่มีอยู่นั่นเอง มีชีวิตอยู่ด้วยการ “ไม่ให้ค่ากับสิ่งใดๆ ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับใครๆ” รู้อยู่กับภายใน จัดการกับกิเลสของตัวเองไปตามภูมิจิตภูมิธรรมที่มี เผลอไปบ้างก็แล้วไป เมื่อรู้ตัวก็กลับเข้ามาอยู่กับภายในตามเดิม
    ----------------- ท่านอาจารย์กตธุโรสอนว่า “ธรรมะนั้นต้องใส่ใจใฝ่รู้ ที่ว่าเข้าใจหรือรู้แล้วนั้นต้องดูบ่อยๆ ถี่ๆ ทุกลมหายใจเข้าออกเลยจึงจะดี จะเห็นแจ้งแทงตลอดได้เร็วขึ้น จนเห็นกายแยกกับใจได้ ก็จะหมดความเป็นคน...
    อนุสัยที่มีอยู่เดิมๆ ต้องขาดจากความยึดติดให้ได้ ไม่ต้องทิ้งหรือหนีอะไรไปไหน ถ้าหนีหรือทิ้งแสดงว่ายังติดยังยึดทั้งสองอย่าง ต้องเข้าไปรู้ว่ายึดไม่ได้ เพราะทุกสิ่งมันไม่จริง คือมันไม่อยู่คงที่สักอย่างเดียว มันจึงเป็น อนัตตา เพราะบังคับตัวมันเองไม่ได้ และมันเป็นของของโลกจึงเป็นอนิจจัง ต้องเปลื่ยนไปหมุนไปตามโลก แต่ความไม่รู้ไม่เห็นความจริง จึงไปเอาของของโลกมาสร้างทุกสิ่งจนเต็มโลกไปหมด แล้วก็ยึดว่าเป็นจริง มีจริงๆ เป็นของของเรา ของฉัน ของกู กันหมด...

    -----------------เรานำทุกสิ่งมาใช้ได้เมื่อจำเป็น ใช้ไปตามสมมุติโลก โดยไม่ยึดเท่านั้น แล้วมันก็จะพังไปตามเรื่องตามกาลเวลาของมันเอง รู้จักมันและอยู่กับมันเท่านั้นก็พอ แค่ไม่ยึดมันเป็นของเราก็จะไม่หนักใจ ไม่ป็นทุกข์เมื่อมันต้องพังต้องเปลี่ยนแปลงไป....

    ------------------ผู้ที่เพิ่งเรียน เพิ่งรู้ ยังไม่เห็นความจริงของมันจากใจ ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป กินเหล้าแก้วแรกมันจะติดได้อย่างไร หรือเพาะถั่วงอกวันเดียวมันมันก็ไม่งอกใช่ไหม? ต้องเพียร ต้องมีความเพียรให้มาก ดูกายให้มากๆ แล้วจะทิ้งกาย(ไม่ยึดกาย)ได้ เพราะกายมันเป็นแต่ธาตุทั้งหลายมาประชุมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนพอถึงเวลาก็สลายไปตามเหตูของมัน มันจึงไม่เป็นของใครและบังคับมันไม่ได้...

    ------------------การเรียนธรรมนี้จะต้องรู้เห็นเป็นขั้นเป็นตอน ต้องดูกาย เห็นกาย และแจ้งในกาย ออกจากกาย (ไม่ยึดเป็นกายเรา) ให้ได้ก่อน แล้วจึงจะมาดูใจ และทิ้งใจ (ออกจากใจ) ทีหลัง จะพิจารณาไปพร้อมๆ กันได้ไม่เป็นไร แต่เวลาแยกเราออก จะออกจากกาย หรือพ้นกายก่อนได้ก่อน...”

    ---------------เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่ท่านอาจารย์ได้ละสังขาร เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้เขียนและเพื่อนๆ ได้ไปช่วยดูแลท่านอาจารย์ที่โรงพยาบาลสระบุรี แต่เมื่อไปถึงนั้นท่านไม่รู้สึกตัวแล้ว ท่านโคม่าอยู่ ๒-๓ วัน แล้วก็ทิ้งขันธ์ไปอย่างสงบ การละสังขารของท่านอาจารย์ ช่วยให้ผู้เขียนและเพื่อนๆ ได้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความเป็นมันของขันธ์ห้า ผู้เขียนเองไม่มีความโศกเศร้าในใจ เพราะตระหนักรู้ว่าร่างที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้นั้นไม่ใช่ท่านอาจารย์ เมื่อคิดถามในใจว่า “แล้วท่านอาจารย์อยู่ที่ไหน” ก็ได้คำตอบจากภายในว่า “ท่านอาจารย์นั้นอยู่ในทุกสรรพสิ่ง อยู่ในน้ำ อยู่ในท้องฟ้า อยู่ในต้นไม้ อยู่ในภูเขา อยู่รอบตัวเรา และอยู่ในตัวเรา” ตอนที่ท่านอาจารย์ยังอยู่ เมื่อกราบท่าน ท่านมักจะบอกเสมอว่า “ขอให้ไม่มีอาจารย์ในจิต ไม่มีลูกศิษย์ในใจนะ” พวกเราก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นได้ กราบทีไรก็มีท่านอาจารย์ทุกครั้งไป เพิ่งจะเข้าใจตรงนี้ ก็เมื่อท่านละสังขารนี่เอง

    ตอนที่ ๑๐ พบทางกลับบ้าน

    ----------------ประสบการณ์ทางธรรมครั้งหลังสุด เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้เขียนไปปฏิบัติธรรมร่วมกับกลุ่มจุดประกายธรรมที่บ้านคุณหน่อง อ.สัตหีบ นาวาเอกกฤษณ์นำพวกเราเข้าสภาวะเตรียมตัวตาย โดยนอน และน้อมบารมีแห่งพุทธานุภาพเข้ามาเป็นหลักใจ ผู้เขียนนอนฟังบทสวดพุทธคุณไปเรื่อยๆ รู้อยู่กับภายใน เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า “อ้าว! มันไม่มีใครตายนี่นา ไอ้ที่นอนอยู่นี่มันขันธ์ห้าต่างหาก มันก็ตายของมันไป เราไม่ได้ตายด้วยเพราะเราไม่มี ไม่เคยมีเราเกิดขึ้นมาบนโลกนี้”
    จากนั้นก็คิดต่อว่า “ถ้ากายมันสลายไป แล้วใจล่ะจะไปที่ไหน” ก็ได้รับคำตอบออกมาจากภายในว่า “มันก็กลับไปที่เดิมก่อนที่มันจะก่อตัวขึ้นมาในวัฎฏสงสารนั่นแหละ” ผู้เขียนจึงน้อมบารมีพุทธานุภาพและครูบาอาจารย์ อธิษฐานจิตว่า ขอได้เปิดสภาวะนั้นให้ได้รู้เห็นด้วยเถิด ก็ได้สัมผัสถึงสภาวะหนึ่ง ซึ่งบรรยายไม่ถูก นอนน้ำตาซึม รู้อยู่กับความสงบเย็นของสภาวะนั้น น้อมเข้ามาที่ใจ บอกลงไปว่า ให้จดจำไว้นะ นี่คือที่ที่เจ้าจะเดินทางไปเมื่อถึงเวลา จากนั้นเกิดความเข้าใจต่อไปอีกว่า จะด้วยเหตุปัจจัยใดๆ ก็ตาม มีสิ่งหนึ่งได้ก่อตัวขึ้นจากความไม่เกิดไม่ดับ เป็นสิ่งที่มีสภาวะเกิด-ดับเป็นธรรมชาติ แล้วมันก็ท่องเที่ยวไปในวัฎฏสงสาร เพราะเมื่อก่อตัวขึ้นมาแล้ว มันลืมสภาวะเดิมแท้ของมัน มันรู้แต่ความเกิด-ดับ เมื่อดับจากภูมิหนึ่งมันก็ก่อตัวเกิดขึ้นในอีกภูมิหนึ่งทันทีตามแรงกรรม ในระหว่างการตายเกิดนับแสนๆ ชาติ มันตกลงสู่ที่ต่ำบ้าง ขึ้นสู่ที่สูงบ้าง แต่แนวโน้มโดยรวมมันจะมีพัฒนาการที่สูงขึ้นๆ จนกระทั่งมันได้พบโอกาสพบผู้สอน -ผู้ชี้แนวทาง ให้มันได้รู้ได้เห็นที่มาของมัน นับจากนั้น การเดินทางของมันก็ไม่ไร้จุดหมายอีกต่อไป เป็นการเดินทางกลับไปสู่บ้าน... บ้านที่แท้จริงของมันนั่นเอง

    -----------------------สิ่งนี้มีอยู่ในทุกๆ ท่าน เพียงแต่ท่านให้โอกาสแก่มันที่จะได้รู้เห็นเส้นทางกลับบ้าน ด้วยการมีความเพียรในการปฏิบัติจนรู้เห็นจากใจ อย่าปล่อยให้โอกาสนี้ ที่ท่านได้มาพบผู้บอกเส้นทางที่ลัดสั้น ได้หลุดลอยไป เพราะไม่รู้ว่าอีกกี่แสนชาติ จะได้มีโอกาสเช่นนี้อีก
    ในขณะที่ผู้เขียนกำลังพิมพ์เรื่องราวนี้ (วันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔) สภาวะสงบเย็นนั้นก็ยังเกิดขึ้นให้รับรู้ได้ พิมพ์ไปน้ำตาไหลไป ด้วยความรู้สึกที่พรรณาไม่ถูก ในใจระลึกรู้แต่เพียงว่า

    คุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่มีประมาณ
    คุณพระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ พระบรมมหาโพธิสัตว์ ไม่มีประมาณ
    คุณเทพพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้มีสัมมาทิฏฐิ ไม่มีประมาณ
    คุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์และผู้มีพระคุณทุกท่าน ไม่มีประมาณ
    ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตนี้เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตามสติกำลัง จนกว่าชีวิตจะหาไม่ จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ดังปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ขอบุญกุศลที่ท่านทั้งหลายทำไว้ดีแล้วนั้น
    นำพาทุกท่านเข้าสู่ความวิมุตติหลุดพ้นด้วยเทอญ
    *********************************<!-- End main-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 20 สิงหาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 2:13:40 น. </TD><TD></TD><TD align=right>2 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336563483158 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D20-08-2011%26group%3D1%26gblog%3D216&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336563483158&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=283257072&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336563483158 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>


    </TD><TD>Add to [​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- <table width=100% border=0 cellspacing=0> <tr> <td>Counter : <script src='http://fastwebcounter.com/secure.php?s= bloggang3030216 '></script> Pageviews. </td> </tr> </table> --><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%">
    <TBODY><TR><TD id=1><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%"></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- Comment 1-->อนุโมทนาสาธุครับ มาปกป้องพระพุทธศาสนาจาก "มาร " กันนะครับ "ทำดีได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่วครับ [​IMG]
    <!-- End Comment 1-->

    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%">โดย: shadee829 [​IMG] วันที่: 20 สิงหาคม 2554 เวลา:9:05:04 น. </TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY>
    </TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%">
    <TBODY><TR><TD id=2><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%"></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- Comment 2-->แน่นอนครับ บางครั้งมารก็มาในผ้าเหลืองก็มี มาจากศาสนาอื่นก็มี ต้องระวังกันอย่างสูง และรอบด้าน
    --ปัจจุบันคนห่มสาวหันมาหาแก่นธรรมกันมาก น่ายินดียิ่งครับ
    <!-- End Comment 2-->

    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%">โดย: jesdath [​IMG] วันที่: 21 สิงหาคม 2554 เวลา:13:19:55 น. </TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY>
    </TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><FORM method=post name=reply action=http://www.bloggang.com/reply.php?id=secret-world>
    <TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD>บทความส่วนนี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิในการเผยแพร่ทางธรรม(ตามารยาทควรบอกผู้เขียน) แต่ไม่ต้องการให้นำไปขาย หรืออ้างลิขสิทธิ์เอง ท่านสามรถบอกกล่าว หรือขออนุญาตเผยแพร่ได้ที่อีเมล์ pchandayot@yahoo.com หรือจะต้องการติดต่อผมด้วยความเก๋ไก๋ ก็ตัดตัว พี ออกนะครับ

    --สำหรับบทความทั้งหมดของท่านกตธุโร ควรบอกกล่าวมาทางพี่สาวผมก็ได้-ก่อนเผยแพร่ เพราะทุกๆท่านใช้เวลาและความพยายาม--เหน็ดเหนื่อยชั่วชีวิต เพียรศึกษาพุทธศาสนาในทุกรูปแบบเท่าที่จะทำได้ อย่างเอาเป็นเอาตาย- และเขียนออกมาเป็นบทสรุปสั้นๆได้แค่นี้เอง ซึ่งทุกๆท่านใช้เวลาของแต่ละคนไปมากกว่ายี่สิบปี รวมๆแล้วเป็นร้อยๆปีนะครับ ผมเองก็เช่นกันครับ ทำแบบเดียวกัน-- คนใช้ที่บ้าน ยังนอนฟูกเปิดพัดลม
    แต่ผมฝึกตัวเองเอาฟูกออก นอนบนไม้กระดานแข็งๆในอากาศที่ร้อนอบอ้าว ไม่มีพัดลม และมีเสียงรถราที่วิ่งผ่านดังมาก ผึกแบบนี้หลายปี เพราะมีความหวังว่า "สักวันหนึ่งจะต้องบวชเดินธุดงค์ จะต้องลำบากมากกว่านี้" ซึ่งการแสวงหาธรรมนั้นมันยังห่างมากกับการได้ข้อธรรม หรือบรรลุธรรม เพราะไม่รู้แม้กระทั่งว่า อาจารย์ที่สอนได้แบบถูกจริตนิสัยของเรานั้นอยู่ที่ไหน จนกระทั่งผมได้บวข และเดินทางธุดงค์ลำพัง ไปสู่ภาคใต้ ดินแดนที่ลี้ลับสุดที่คนเราจะหยั่งรู้ได้ ผมก็ได้สัมผัสมาแล้วครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></FORM>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  2. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค5 --หลวงพ่อแช่มจอมทัพรบกิเลส-1

    <!-- Main -->บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑
    ระหว่าง หลวงพ่อแช่ม วัดบ้านดาบ กับผู้ใหญ่มา
    บ้านคุ้งนามอญ จังหวัดลพบุรี
    --------------------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ เป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่วันพระที่แล้ว หายเงียบไป
    ผู้ใหญ่มา :ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ คือบ้านผมกับวัดบ้านดาบมันอยู่กันคนละทุ่ง การไปมาแต่ละครั้งต้องเดินเสียเวลากว่าจะถึง จึงเลือกมาตามโอกาสที่ใจมันอยากจะมา
    หลวงพ่อแช่ม :ถ้าอยากได้ของดีก็ต้องอดทนหน่อยนะผู้ใหญ่
    ผู้ใหญ่มา :ครับ จริงของหลวงพ่อ ตั้งแต่จากหลวงพ่อไปครั้งที่แล้ว ผมพยายามทำจังเลยครับ
    หลวงพ่อแช่ม : หือ! ว่าไงนะ ใครบอกให้ทำ? หลวงพ่อไม่ได้สั่งอย่างนั้น เพียงให้ดูให้พิจารณา ไม่ใช่ไปทำเอา ให้เรียนรู้ ให้ดูเฉยๆ ว่า กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย กายไม่มีในเรา เราไม่มีในกาย ดูให้เห็นลงไปจริงๆ ว่ามันเป็นมัน มันเป็นของของโลก เกิดธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม มาประชุมกัน จึงมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น
    ผู้ใหญ่มา :อ๋อ... ผมเข้าใจแล้วครับ เมื่อทุกสิ่งเป็นของของโลก กายก็เลยไม่ใช่ของเรา ใช่ไหมครับ?
    หลวงพ่อแช่ม : อือ... ใช่ ต้องขยันเรียนรู้ให้เข้าใจ ธรรมะนั้นต้องใส่ใจใฝ่รู้ ที่ว่าเข้าใจหรือรู้แล้วนั้นต้องดูบ่อยๆ ถี่ๆ ทุกลมหายใจเข้าออกเลยจึงจะดี จะเห็นแจ้งแทงตลอดได้เร็วขึ้น จนเห็นกายแยกกับใจได้ ก็จะหมดความเป็นคน อนุสัยที่มีอยู่เดิมๆ ต้องขาดจากความยึดติดให้ได้
    ผู้ใหญ่มา :เอ... แล้วมิต้องทิ้งหรือหนีทุกสิ่งในโลกหรือ หลวงพ่อ?
    หลวงพ่อแช่ :ไม่ใช่ๆๆ ไม่ต้องทิ้งหรือหนีอะไรไปไหนจริงๆ หรอกผู้ใหญ่ ถ้าหนีหรือทิ้งแสดงว่ายังติด ยังยึดทั้งสองอย่าง ต้องเข้าไปรู้ว่ายึดไม่ได้ เพราะทุกสิ่งมันมีไม่จริง คือมันไม่อยู่คงที่สักอย่างเดียว มันจึงเป็น อนัตตา เพราะบังคับตัวมันเองไม่ได้ และมันเป็นของของโลกจึงเป็น อนิจจัง ต้องเปลี่ยนไปหมุนไปตามโลก แต่ความไม่รู้ไม่เห็นความจริง จึงไปเอาของของโลกมาสร้างทุกสิ่งจนเต็มโลกไปหมด แล้วก็ยึดว่าเป็นจริง มีจริงๆ เป็นของของเรา ของฉัน ของกู กันหมด
    ผู้ใหญ่มา :อ้อ... ผมเข้าใจแล้ว แต่เรานำทุกสิ่งมาใช้ได้เมื่อจำเป็น ใช้ไปตามสมมุติโลก โดยไม่ยึดเท่านั้น แล้วมันก็จะพังไปตามเรื่องตามกาลเวลาของมัน ใช่ไหมครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :อือ... ใช่แล้ว รู้จักมันและอยู่กับมันเท่านั้นก็พอ แต่ไม่ยึดมันเป็นของเรา ก็จะไม่หนักใจ ไม่เป็นทุกข์เมื่อมันต้องพังต้องเปลี่ยนแปลงไป
    ผู้ใหญ่มา :ผมฟังหลวงพ่ออธิบายแล้ว ดูเหมือนว่าไม่น่าจะยาก แต่พอจากหลวงพ่อไปมันเข้าไปยึดติดอีก ก็เลยรู้ว่ายาก
    หลวงพ่อแช่ม :ผู้ใหญ่เพิ่งเรียน เพิ่งรู้ ยังไม่เห็นความจริงของมันจากใจ ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปซี กินเหล้าแก้วแรกมันจะติดได้อย่างไร? หรือเพาะถั่วงอกวันเดียวมันก็ไม่งอกใช่ไหมผู้ใหญ่?
    ผู้ใหญ่มา :ครับ จริงของหลวงพ่อ ผมต้องเพียร ต้องมีความเพียรให้มาก ดูกายให้มากๆ แล้วจะทิ้งกาย (ไม่ยึดกาย) ได้ ใช่ไหม?
    หลวงพ่อแช่ม :ใช่ เพราะกายมันเป็นแต่ธาตุทั้งหลายมาประชุมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน พอถึงเวลาก็สลายไปตามเหตุของมัน มันจึงไม่เป็นของใครและบังคับมันไม่ได้
    ผู้ใหญ่มา :สาธุ... เรื่องแยกกายแยกใจนี้ ต้องเอาไปดูเสียก่อนใช่ไหมหลวงพ่อ?
    หลวงพ่อแช่ม :ไม่ใช่ๆ โยมผู้ใหญ่ การเรียนธรรมนี้จะต้องรู้เห็นเป็นขั้นเป็นตอน ผู้ใหญ่ต้องดูกาย เห็นกาย และแจ้งในกาย ออกจากกาย (ไม่ยึดเป็นกายเรา) ให้ได้ก่อน แล้วจึงจะมาดูใจ และทิ้งใจ (ออกจากใจ) ทีหลัง แต่พิจารณาไปพร้อมๆกันนั้นไม่เป็นไร เวลาแยกเราออก จะออกจากกาย หรือพ้นกายก่อน
    ผู้ใหญ่มา :อย่างนั้นหรือครับ? ผมจะต้องไปดูกายมากๆ ให้เห็นแจ้งว่ามันเป็นมัน แล้ววันหน้าผมจะมาเรียนเพื่อดูฝ่ายใจต่อนะครับ
    หลวงพ่อแช่ม :อือ... ดีแล้วผู้ใหญ่ ขอให้ขยันหน่อยก็แล้วกัน เพราะคนเราเกิดมาไม่มีใครรู้วันตายได้เลย จะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็หารู้ได้ไม่ เห็นหน้ากันอยู่หลัดๆ อาจจะตายในเวลาอันสั้นอย่างคาดไม่ถึงก็มีมาก ลูกบ้านผู้ใหญ่มีใครสนใจเรื่องนี้บ้างไหม?
    ผู้ใหญ่มา :มีน้อยมากครับ เพราะเขายังไม่เข้าใจ ยังคิดว่ามีเวลามากอยู่ ยังไม่แก่เท่าผม ยิ่งต้องเดินข้ามทุ่งมาหาหลวงพ่อไกลๆ อย่างนี้ เขายิ่งไม่เอากัน แต่ให้วิ่งไปหาเรื่องอื่นที่สนุกๆ ตื่นเต้นและเพลิดเพลินใจ ไกลเท่าไรเขาก็ไม่ท้อ แม้จะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลก็ยังไป
    หลวงพ่อแช่ม :เออ... ก็ไม่เป็นไรหรอก ใครเขาชอบเขาสนใจก็ลองชวนให้มาฟัง มาเรียนดู ดีกว่าไม่บอกใครเสียเลย
    ผู้ใหญ่มา :ผมจะลองดูนะครับ อย่างไรก็ตามผมคิดว่าควรจะช่วยตัวเองก่อนให้พ้นภัยจนไม่สะดุ้งสะเทือนต่อคำพูดของคนอื่นได้ แต่ถ้ามีโอกาสพบคนที่สนใจจริงๆ ผมก็จะชวนเขามาด้วยในครั้งต่อไป ผมกราบลาก่อนละครับ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีผู้ใหญ่ ขอให้เจริญในธรรมเถิด
    ----------------------


    เขาเป็นเขา คือ ธาตุ

    ขอให้ดูกันดีดีไม่มีเรา
    ไปให้ชื่อตั้งเขาเป็นเราได้
    เลยยึดเขาว่าเป็นเราเฝ้าจนตาย
    เห็นว่าเราจากไปตายจริงจริง
    เขาเป็นเขา ของเขา-เราไม่มี
    ดูดีดีไม่ใช่เราเขาทุกสิ่ง
    ใครกันหลอกให้เป็นเราเขลาจริงจริง
    ที่เดินวิ่งอยู่ทุกวันนั้นคือใคร
    ก็ดินน้ำไฟลมผสมสร้าง
    ทุกทุกอย่างถูกตรงอย่าสงสัย
    เขาเป็นเขาไม่ใช่เรามาเกิดตาย
    สัตว์บุคคลมีที่ไหนใคร่ครวญดู

    กตธุโร

    ปั้นกันเอง

    ถ้าดูกายจริงๆ แล้วทิ้งกาย
    จะมีอะไรอีกเล่าให้เฝ้าหลง
    ทั้งคนสัตว์เกิดมาไม่น่างง
    ของสิ่งเดียวที่ส่งให้เกิดมา
    ไม่มีใครเป็นของใครได้ทั้งนั้น
    จะเสกสรรปั้นอย่างไรมันไม่ว่า
    จะปั้นคนปั้นช้างปั้นกวางลา
    มันก็เป็นขึ้นมาแต่ธาตุเดิม
    เลยต้องปล่อยเขาไว้ได้แต่ดู
    ที่มีกูพร้อมสะพรั่งคนสร้างเพิ่ม
    มีทุกสิ่งยังไม่พอรับต่อเติม
    หลงของเดิมของใหม่ตายกับมัน

    กตธุโร

    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๒
    -----------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ :สวัสดีผู้ใหญ่ อ้าว! วันนี้ไม่ใช่วันพระ ทำไมจึงมาได้ มีอะไรด่วนหรือ?
    ผู้ใหญ่มา :มันทนรออยู่ไม่ไหวซิครับ ใจมันรู้มันเห็นขึ้นมา จึงอยากจะมารายงานให้หลวงพ่อฟัง
    หลวงพ่อแช่ม :ถ้าใจมันอยากก็ให้มันมาโดยกายไม่ต้องมาก็ได้
    ผู้ใหญ่มา :มันอดไม่ได้ซิครับ จึงพากายให้เดินข้ามทุ่งมาด้วย
    เรื่องมันมีอยู่อย่างนี้ครับ วันที่ผมมาคุยกับหลวงพ่อครั้งที่แล้ว มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นที่บ้านขณะที่ผมไม่อยู่ ลูกบ้านกลุ่มหนึ่ง มารอพบผมและไม่ยอมกลับจนกว่าจะได้พบและพูดกันให้รู้เรื่อง เพราะเขาตกลงในบางเรื่องไม่ได้ ต้องการจะให้ผมช่วย ภรรยาผมบอกเขาว่า ผมจะกลับเย็นๆ เขาก็อุตส่าห์รอ พอผมไปถึงบ้าน เขาเล่าให้ฟังว่า ที่ดินคันนาซึ่งใช้ร่วมกันมันคด จะตัดใหม่ให้ตรง แต่ไม่มีฝ่ายใดยอมเสียเปรียบ ผมจึงใช้ธรรมะที่หลวงพ่อสอนให้ไปตัดสินให้เขา ปรากฏว่าได้ผล
    ผมอธิบายให้เขาฟังว่า “เดิมเมื่อโลกไม่มีนั้น ไม่มีพื้นดิน ไม่มีคน พอมีโลกแล้วจึงมีพื้นดินและพื้นดินก็เป็นของโลกทั้งนั้น ไม่มีใครเป็นเจ้าของ พอมีคนขึ้นมาในโลก คนมาจับจองยึดถือที่ดินเป็นของของตน (ของกู ของฉัน ของเรา) ทั้งๆ ที่เป็นได้ไม่จริง แต่ตู่เอาเอง แล้วกลับมาแก่งแย่งกัน ขัดแย้งกันถึงกับจะฆ่ากัน เพราะคิดว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ส่วนเกินไปจริงๆ หรืออีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเสียส่วนของตนไปจริงๆ จึงโกลาหลกันอย่างนี้ และหาข้อยุติกันไม่ได้ คิดดูเถอะ ต่างโกงของโลกเขาแท้ๆ”
    เท่านั้นแหละครับหลวงพ่อ ได้ผลเลย ทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกสำนึกและหยุดทะเลาะกัน ยอมให้ผมเป็นคนกลางถือเชือกวัดคันนาใหม่ ดึงให้ตรงไม่เข้าใครออกใคร ได้คันนาที่ตัดตรง และพอใจกันทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีรายอื่นๆ มาให้ผมช่วยแก้ไขอีก ๕-๖ ราย ทำให้เขาสบายไปตามๆกัน นี่ไงละครับ เรื่องที่ทำให้ผมต้องมาก่อนกำหนด
    หลวงพ่อแช่ม :อือ... นับว่าดีมาก ผู้ใหญ่เอาธรรมะไปใช้ได้ถูกตรงแล้ว เข้าท่าจริงๆ สาธุนะ
    ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ ผมขอถามเรื่องกายกับใจต่อนะครับ ผมเข้าใจเรื่องกายแล้ว ได้สังเกตและพิจารณาอยู่เสมอๆ จนเห็นว่ามันเป็นมันจริงๆ ไม่ว่าจะทำอะไร มันทำของมันเองทั้งนั้น เราบังคับบัญชามันไม่ได้เลย และมันก็เปลี่ยนของมันเองอยู่เสมอ ทุกอิริยาบถทุกอาการ ไม่ว่าหยาบหรือละเอียด ไม่มีเราอยู่ในมัน ไม่มีเราเป็นมันจริงๆ มันเองก็บังคับตัวมันไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวนั่นเอง มันเป็น อนัตตา จึงมี ทุกขัง และ อนิจจัง ตามมาคือเปลึ่ยนอยู่เป็นนิตย์
    ผมทิ้งกายได้แล้ว และไม่ยึดมันแล้ว แม้ เวทนากาย ก็เห็นได้ชัดว่ามันเป็นมัน วันหนึ่งผมเกิดปวดท้อง ท้องเสียเป็นบิดขึ้นมา ผมเฝ้าดูมัน จนเห็นชัดว่ามันปวดของมัน เราจะไปบังคับให้มันหยุดปวดไม่ได้ จนกว่ามันจะคลายตัวของมันเอง ความปวดจึงเป็นเพียงกระแสคลื่นชนิดหนึ่งเท่านั้นที่เกิดดับตามเหตุของมัน ไม่มีตัวไม่มีตนอะไร แต่ผมสงสัยว่ายังมี พอใจ-ไม่พอใจ อยู่ในขณะนี้ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? หลวงพ่อช่วยอธิบายหน่อยเถอะครับ
    หลวงพ่อแช่ม :อือ... ใช่ ผู้ใหญ่ยังมี เวทนาใจ ยังติดเวทนา ยังเข้าใจว่าเวทนาเป็นเรา เป็นของเราน่ะซี เลยมีพอใจ-ไม่พอใจ ทั้งๆ ที่มันเป็นมันและเกิดดับๆ เสมอ
    ผู้ใหญ่มา :แล้วทำอย่างไรจึงจะออกจากเวทนาใจได้ละครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :ไม่ต้องทำอะไรกับมัน ดูมันเฉยๆ เพราะ สัญญาจำได้หมายรู้นั่นเองเป็นเหตุ เช่นจำได้นี่คือปากกา (หลวงพ่อยกปากกาให้ผู้ใหญ่ดู) ก็หมายรู้ไว้และรู้อีกว่าสำหรับเขียนหนังสือ ตามที่คนสร้างขึ้นและกำหนดหน้าที่ให้มัน ปากกาจึงเป็นชื่อสมมุติของสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งใช้สำหรับเขียนหนังสือ เมื่อผู้ใหญ่ไปเห็นที่ไหนก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นปากกา แล้วยึดถือว่ามีจริงๆ เป็นปากกาจริงๆ มานานแล้ว โดยไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงธาตุของโลก ซึ่งคนนำมาปรุงแต่งสร้างเป็นสิ่งๆ หนึ่งขึ้นมาใหม่ ถ้าลองถามมันดูว่ามันเป็นอะไร มันจะไม่ตอบ เพราะพูดไม่ได้ แต่คนไปตั้งไปเรียกมันว่าปากกา และยึดถือกันเอง แสดงว่า คนหลงสมมุติและยึดสมมุติว่ามีจริงด้วยความไม่รู้ หรือยึดผิดๆ (อวิชชา) นั่นเอง
    ถ้าใครให้ของที่บอกว่าสวย ราคาแพง จะรู้สึกพอใจไปตามสัญญาที่สมมุติและจำกันมายึดถือต่อมา ทำให้อยากได้ในสิ่งที่สวยที่แพงกว่าอยู่เรื่อย ของเก่าหรือของที่ไม่สวย มีราคาถูกตามที่สมมุติเรียกกัน ก็จะถูกเมินและไม่อยากได้ เวทนาพอใจ – ไม่พอใจ จึงมีตามสัญญาหมายรู้ในอดีต ที่เป็นโมหะ หรือสำคัญมั่นหมายด้วยอวิชชา จนพาให้หลงให้ยึดถือกันจนเคยชินว่าเป็นจริง
    หลวงพ่อจะขอยกอีกตัวอย่างหนึ่งให้ชัดขึ้นนะ ถ้าผู้ใหญ่ถูกด่า มีสัญญาหมายรู้ในเสียงด่า ในคำด่า และสำคัญมั่นหมายว่าเขาด่าเราจริงๆ จะส่งให้เกิดเวทนาไม่พอใจทันที ถ้าไม่มีเราเข้าไปรับแทนสัญญา เวทนา เหล่านั้น เพียงเฝ้าดูด้วยสติให้ทัน จะเห็นว่าเมื่อธาตุต่อธาตุกระทบกันคือ เสียง มากระทบ หู และวิญญาณทางหูมาร่วมทำงาน เกิดการ ได้ยินเสียง ถ้าเสียงนั้นไม่มีสัญญาหมายรู้ไปในทางยึดถือ (เช่นด่าเป็นภาษาอื่นซึ่งคนไทยฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ความหมายก็จะโกรธไม่เป็น เกลียดไม่เป็น) เวทนาที่เกิดขึ้นก็จะเป็นสักแต่ว่าความรู้สึก ว่าได้ยินอะไรอย่างหนึ่ง แล้วก็ดับไป ไม่เกิดความพอใจ หรือไม่พอใจ ไม่รู้สึกโกรธหรือเกลียดขึ้นมา ผู้ใหญ่เข้าใจไหม?
    ผู้ใหญ่มา :อ๋อ... เข้าใจแล้วครับ เป็น เพราะสัญญาจำได้หมายรู้นี่เองส่งต่อหรือปรุงซ้อนขึ้นมาให้มีเวทนาที่ยืดถือ ความพอใจ-ไม่พอใจจึงเกิดขึ้น แต่ทั้งสัญญาและเวทนาไม่ใช่เรา–ไม่ใช่ของเรา จึงไม่มีเราพอใจหรือไม่พอใจใช่ไหมครับ?
    ทั้งสัญญาและเวทนาเป็นเพียงธาตุที่มาอาศัยกันประชุมกันเป็นขันธ์ และอาศัยวิญญาณขันธ์เข้ามาร่วมทำงานด้วย จึงเกิดการรับรู้ เกิดความรู้สึกและความจำ เป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อกัน ถ้ารู้สึกว่ามีเราเข้าไปยึดถือสัญญาและเวทนาขันธ์นั้นมาเป็นเรา-เป็นของเราแล้ว ก็จะมีเราพอใจหรือไม่พอใจ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา ใช่ไหมครับ? ทั้งสัญญาและเวทนาจะทำหน้าที่อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วก็ดับไปตามกระแสของเหตุที่ส่งมา จึงเรียกว่ามีไม่จริง ใช่ไหมครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :อือๆ ใช่แล้วๆ ขอให้มีสติ คือความระลึกนึกได้ (สัญญาณเตือนภัยให้ระวังตัว) ให้รู้ว่าสักแต่ว่าสัญญาณนะ สักแต่ว่าสุมมติที่คนในโลกตั้งเอาเรียกเอา ธรรมชาติเดิมๆ เขาไม่ดีไม่ชั่ว ไม่ถูกไม่ผิด ก็จะไม่สำคัญมั่นหมายหรือยึดถืออะไรเป็นจริงเป็นจัง เป็นเดือดเป็นแค้น เป็นโกรธเป็นเกลียด เป็นหลงใหล ฯลฯ สัญญาทำงานแล้วก็จะดับไปเสมอ ไม่ปรุงต่อให้เกิดเวทนา พอใจ-ไม่พอใจ เวทนาไม่มีงานทำก็จะโลภ-ไม่ได้ โกรธก็ไม่ได้ เกลียดก็ไม่ได้ หลงไม่ได้ กลัวไม่ได้ เป็นต้น
    ผู้ใหญ่มา :ผมเข้าใจแล้วครับ ชักเห็นลางๆ แล้วครับ ผมจะต้องดู ให้มากๆ มีสติมาให้ทัน จนเห็นว่าสัญญาเป็นสักแต่ว่าสัญญา (ลบสมมุติแห่งชื่อและความหมายออกเสียก่อนให้ทัน) เวทนาก็จะเป็นสักแต่เวทนาตามธรรมชาติ เกิดแล้วก็ดับ แล้วสังขาร วิญญาณละครับ มันทำงานอย่างไร มีหน้าที่อะไร?
    หลวงพ่อแช่ม : สังขารมีหน้าที่คิดนึก ปรุงแต่ง ตามที่สัญญา เวทนาส่งมา เมื่อมีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วิญญาณของอายตนะเหล่านี้จะทำหน้าที่รับรู้ก่อนทันทีว่า เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัสทางผิวกาย และมีอารมณ์ความนึกขึ้น เมื่อรับรู้แล้ว จะนึกถึงสัญญาจำได้หมายรู้ในอดีต และปรุงต่อเป็นเวทนา พอใจ-ไม่พอใจ ทันที แล้วสังขาร หรือปรุงต่อเป็นตัณหา คือความอยาก (อยากได้ อยากมี อยากไม่สูญเสีย) เมื่ออยากได้อยากจะเอาให้ได้ เมื่อได้แล้ว ก็ยึดเป็นของตนทันที ทุกขณะที่เกิดความรู้สึก คิดนึกปรุงแต่งเป็นความอยากและความยึด หรือความไม่อยากไม่ยึดก็ตาม มโนวิญญาณ จะรับรู้และส่งให้จิตรู้แจ้งอีกครั้ง เป็นความรู้สึกรวบยอดที่จิต รู้สังขารจิต หรืออาการของจิต รู้ว่ามีกิเลสหรือไม่มีกิเลส รู้ว่าว่างหรือวุ่น เป็นต้น แล้วเก็บจำไว้ในรูปสัญญา สังขารก็ไม่ใช่เรา—ไม่ใช่ของเรา วิญญาณก็ไม่ใช่เรา—ไมใช่ของเรา มันเกิดดับทุกครั้งตามเหตุตามปัจจัย คนมีความ โลภ โกรธ หลง ทุกวันนี้ก็เพราะมีตัวตนเข้าไปยึดถือเวทนาและตัณหามาเป็นเป็นของตนไงล่ะโยมผู้ใหญ่ เรียกว่ามีอุปาทาน นั่นเองจึงเป็นทุกข์
    ผู้ใหญ่มา :ผมเริ่มเห็นชัดขึ้นแล้วครับ แต่ต้องไปเห็นจากใจให้ได้จริงๆ ไม่ใช่นึกเอา พูดเอาใช่ไหมครับ?
    หลวงพ่อแข่ม :ใช่แล้ว รูปก็ดี เวทนาก็ดี สัญญา สังขาร วิญญาณก็ดี มันทำงานของมันตามหน้าที่ เราไม่มีในมัน ปล่อยให้มันเป็นมัน รับส่งหน้าที่กันเองเป็นทอดๆ เป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อกัน (เราอยู่เฉยๆ เปล่าๆ เป็นเพียงสมมุติเรียกขันธ์ห้าเท่านั้น) ถ้ามีสติมาทันและรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะ จะเห็นขบวนการของขันธ์ห้าชัดและเห็นว่ามันเกิดดับทุกขันธ์ โดยเราบังคับบัญชามันไม่ได้ จึงเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าไม่มีเราในมัน และมันก็ไม่มีตัวตน จึงบังคับบัญชาตัวมันเองไม่ได้ สติหรือตัวกำหนดรู้หรือผู้ดูก็ไม่ใช่เรา เป็นส่วนของจิต ของธาตุรู้ ดูไปดูมาก็จะเกิดปัญญารู้แจ้งขึ้นมาเองและรู้ได้เองว่าผู้รู้ก็ไม่ใช่เราอีก เพราะบังคับบัญชาเขาไม่ได้เช่นเดียวกัน เขารู้ของเขาเอง และเกิดดับเอง จึงไม่มีเราในมันจริงๆ ทั้งกายและใจ จะดูแบบไหนอย่างไรก็ได้ให้เห็นว่าไม่มีเราในขันธ์ห้า และขันธ์ห้าก็ไม่มีตัวไม่มีตน จึงเกิดดับ และมีไม่จริง หมดทั้งเราหมดทั้งมัน ไม่เหลือการดูดผลักในใจ จึงจะเรียกว่าสอบผ่าน เห็นธรรมได้อย่างถูกต้องด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตัง ต่อไปจะพ้นกามราคะได้ และทิ้งรูปทิ้งนามได้เด็ดขาด
    ผู้ใหญ่มา :โอ...หลวงพ่อ ดูไปดูมามันชักจะยากขึ้นนะครับ
    หลวงพ่อแช่ม :ก็อย่างนี้แหละ การเข็นครกขึ้นภูเขา ใครๆก็ย่อมรู้ว่ามันลำบาก ผู้ใหญ่จะกินอะไรให้อร่อย จะให้พ่อครัวปรุงเร็วๆ ลวกๆ ย่อมไม่ได้ พระอริยเจ้าแต่ละองค์ท่านก็ต้องอดทน ทนอย่างมาก เพียรอย่างมาก เพื่อจะไม่ต้องเกิดต้องตาย (ทางจิต) กันให้ได้ในชาตินี้ อย่าเชื่อตามคนอื่นว่า อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยในการปฎิบัติธรรมนะผู้ใหญ่ ถ้าใครบุกจริง เอาจริงในเรื่องนี้จะประสบผลสำเร็จทุกคน ทั้งๆที่ทุกเรื่องมีไม่จริงก็ตาม แต่เมื่อถึงนิพพานแล้ว จะรู้เองว่าได้รับผลนิพพานจริงๆ
    ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ ตั้งแต่ผมได้เรียนธรรมกับหลวงพ่อมาจนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่นานนัก แต่รู้สึกว่าสบายกายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
    หลวงพ่อแช่ม :เออ... ที่ว่าสบายๆ นั้น ก็ยังไม่จริงนะ มันมีสบายมากกว่าที่โยมผู้ใหญ่คิดหรือรู้สึกอีกมาก ถ้าเห็นแจ้งจนถึงที่สุด หมดทุกข์ไปอยู่เหนือโลกพ้นโลกได้เมื่อไร เมื่อนั้นแหละผู้ใหญ่จะรู้ว่าถึงบางอ้อ
    ผู้ใหญ่มา :ครับ หลวงพ่อ ผมพอจะเข้าใจ เรื่อง รูป นาม หรือกายกับใจ ว่ามันทำหน้าที่ของมัน ไม่ใช่เรา ซึ่งรู้ได้อย่างนี้ก็ทำให้รู้สึกสบาย ปลอดโปร่งใจไปมาก
    หลวงพ่อแช่ม :แสดงว่ามีความรู้สึก เกิด—ตาย น้อยลงน่ะซี เมื่อก่อนมันวุ่นวายมากกว่าว่าง พอรู้จักตัวเองขึ้นก็เลยว่างมากกว่าวุ่น
    ผู้ใหญ่มา :ผมกราบลาก่อนละครับ วันนี้คุยกันนาน ได้เนื้อหามากมายจริงๆ ผมต้องกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ และเคารพนับถือเป็นอาจารย์ของผมโดยแท้จริง
    หลวงพ่อแช่ม :“อย่ามีอาจารย์ในจิต อย่ามีลูกศิษย์ในใจ” นะผู้ใหญ่ มันเป็นของมันทั้งนั้น ขอให้เจริญในธรรมเถิด
    ----------------------
    ไม่มีสัตว์ บุคคล ฯลฯ

    คนไม่มีสัตว์ไม่มีที่ไหนไหน
    แม้ต้นหมากรากไม้ไม่เห็นหน
    ถ้าไม่ตั้งชื่อมันภาษาคน
    ใครจะสนหรือไม่สนคนตั้งเอา
    ตั้งแล้วยึดว่าเป็นจริงทุกสิ่งอย่าง
    จึงหลงผิดติดทางอย่างโง่เขลา
    เลยฆ่าแย่งแบ่งจองว่าของเรา
    ผลสุดท้ายตายเปล่าเราไม่จริง
    มาหลงตายหลงเกิดเลิศกว่าสัตว์
    หลงสมบัติว่าดีดุจผีสิง
    เลยทุกข์หนักท่วมท้นไม่พ้นจริง
    ยังอวดหยิ่งว่าเลิศเกิดเป็นคน

    กตธุโร


    รู้จักขันธ์ห้า
    ขอทุกคนอย่าเวียนวนบนขันธ์ห้า
    ให้รู้ว่ามันเป็นมันทำงานอยู่
    ให้เห็นว่าเวทนาสัญญาไม่ใช่กู
    อย่าวนอยู่กับมันทุกขันธ์ไป
    มันทำงานของมันทุกขั้นตอน
    จะนั่งนอนยืนเดินเพลินไม่ได้
    ถ้ามีเราเข้าร่วมสวมเมื่อไร
    ตกนรกหมกไหม้ได้ทั้งวัน
    วิญญาณกระทบพบสัญญาพาให้คิด
    สัญญาจิตติดว่าสวยและสุขสันติ์
    เวทนาร่วมพอใจให้ผูกพัน
    วิญญาณใจรับรู้พลันเก็บทันที
    ยามว่างนึกคิดอดีตสัญญา
    ส่งต่อมาให้ปรุงซ้ำจำหมายรี่
    เวทนาพอใจ สุขใจมี
    ปรุงซ้ำซ้ำเช่นนี้มีหายเอง
    ไม่มีคนวกวนปนขันธ์ห้า
    ถ้าดูไปดูมาเหลือหน้าที่
    หมดตัวเราตัวมันในทันที
    ประคองขันธ์ดีดีจนหมดลม
    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๓
    -----------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีผู้ใหญ่ วันนี้ดูแต่งตัวแปลกไป ไปไหนมาหรือ?
    ผู้ใหญ่มา :อ๋อ... นึกว่าอะไรที่หลวงพ่อทักผมว่าแปลก เครื่องแต่งตัวนี่เอง วันนี้ผมไปจังหวัดมาครับ ไปรับลูกชาย (ชื่อเมือง) เจ้าเมืองคนโปรดน่ะซีครับ มันไปนอนให้หมอรักษา ปะแข้งปะขาเสียหลายวันที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด สาเหตุจากปากมันไม่ดี ตั้งแต่จากหลวงพ่อไปคราวก่อน ผมไปขอซื้อต้นงิ้วยืนต้นต้นหนึ่งซึ่งตายลงที่หัวคอน ในที่นาของลุง หนอม แล้วก็ชวนลูกชายไปโค่นมาทำฟืนสำหรับให้แม่บ้านไว้ย่างปลาไปขาย พอดีไปพบลุงหนอมและหลานชายของเขา ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายผม เขาก็มาช่วยโค่นด้วย
    พอได้เวลาพักกินข้าวเช้าก็เลยชวนทุกคนกินข้าวด้วยกัน เผอิญผมปั้นข้าวไว้ ๓ ก้อน แล้วโยนออกไปนอกสำรับ เชิญเจ้าพ่อ เจ้าท่า เจ้าป่า เจ้าดง มาร่วมรับประทานด้วย และบอกทุกคนว่าอย่าได้ถือสาเลย แต่แล้วลูกชายผมเกิดอุตริทำตามผมบ้าง และใช้คำพูดที่ไม่ค่อยเพราะ จนลุงหนอมฟังแล้วสะดุ้งสุดตัว และสั่งให้ลูกชายผมขอโทษเจ้าทั้งหลายเสีย ลูกชายผมไม่ยอมขอโทษ แต่กลับหัวเราะจนงอหงายและทำท่าเย้ยฟ้าท้าดินใส่เสียด้วย จึงได้รับผลตามมา
    หลวงพ่อแช่ม :โยมผู้ใหญ่ดื่มน้ำชาเสียก่อนเถอะ คงจะคอแห้งแล้ว เดี๋ยวค่อยเล่าต่อ ชักจะไปกันใหญ่แล้วซี!
    ผู้ใหญ่มา :ครับหลวงพ่อ เมื่อกินข้าวกินปลาเรียบร้อยแล้ว ก็ชวนกันเลื่อยไม้ต่อไป แต่มันเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น คือไม้ไม่ล้มไปทางที่ต้องการซิครับ
    หลวงพ่อแช่ม :อ้าว! แล้วล้มไปทางไหนล่ะ เกิดอะไรขึ้น!
    ผู้ใหญ่มา :ความจริงต้นงิ้วต้นนี้ใหญ่มาก ใต้ต้นมันมีจอมปลวกใหญ่อยู่ ๑ กอง ใครก็นึกไม่ถึงว่ามันจะล้มไปทางจอมปลวก แต่มันก็ไปทางนั้นจนได้ และเจ้าเมืองลูกชายผมก็เผอิญหนีออกทางนั้นพอดี ก็เลยได้เรื่อง โชคดีที่เจ้าพ่อวังอ้ายด่างท่านปรานีสั่งสอนให้นิดให้หน่อยพอหอมปากหอมคอ จึงไปนอนที่โรงพยาบาลลพบุรีเพียงอาทิตย์เดียว เพื่อรักษาแผลที่ได้รับบาดเจ็บ ผมเพิ่งแวะไปรับเขาออกจากโรงพยาบาลวันนี้เอง แล้วเลยมากราบหลวงพ่อนี้แหละครับ
    หลวงพ่อแช่ม :เออ... หมดเคราะห์หมดโศกกันเสียทีนะผู้ใหญ่
    ผู้ใหญ่มา :ยังไม่แน่หรอกครับหลวงพ่อ ทำไมหลวงพ่อจึงว่าหมดเคราะห์ละครับ เคราะห์คืออะไร มันมีด้วยหรือครับ.ก็ไหนว่ามันเป็นของมันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?
    หลวงพ่อแช่ม :เปล่าๆ โยมผู้ใหญ่ หลวงพ่อหมายถึงการใช้ภาษาแบบคนๆ น่ะ และพูดตามของเก่าที่พูดกันไว้ จริงๆ แล้วมันก็เป็นมันนั่นแหละ เพราะทำเหตุอย่างนี้ สิ่งนี้ก็ต้องเกิดขึ้น และรับผลไปตามเหตุไงล่ะผู้ใหญ่
    ผู้ใหญ่มา :อ้อ... ผมเข้าใจละครับ ทุกสิ่งเป็นไปตามเหตุ แต่ตอนนี้ลูกชายผมเกิดเชื่อสนิทเลยว่า ที่ต้นงิ้วฟาดเอามันเข้า เพราะฝีมือเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าอะไรนั่นจริงๆ มันจึงไปบอกแม่ให้ทำขนมปลากริมไข่เต่า ขนมต้มแดง-ต้มขาว อย่างละ ๑ ที่ไปถวายเจ้าพ่อวังอ้ายด่างในวันรุ่งขึ้นที่กลางทุ่งนั้น หลวงพ่อก็ทราบใช่ไหมครับว่าศาลเจ้าพ่อนี้คนเคารพและเชื่อถือมาก หลวงพ่อจะให้ผมทำอย่างไรดีครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :ก็ไม่ต้องกังวลหรอกโยมผู้ใหญ่ ทำก็ทำซิขนมน่ะ ดีเสียอีกเราจะได้พลอยกินอิ่มไปด้วย แต่อย่าส่งเสริมหรือห้ามเขา ทำเฉยๆ เสียก็สิ้นเรื่อง
    ผู้ใหญ่มา :ครับ ก็ดีเหมือนกัน แต่ผมขอถามหน่อยเถอะครับว่าเจ้าพ่อหรือพวกเจ้าพวกผีนี่มีจริงไหม?
    หลวงพ่อแช่ม :เรื่องทรงเจ้าเข้าผี เขาก็ทำกันอยู่ทั่วไป เราจะไปห้ามเขาได้อย่างไรล่ะ เราเพียงมาทำความเข้าใจว่า คนมีไหม? ถ้ามีคน ก็มีผี มีเจ้า ทั้งนั้นแหละผู้ใหญ่
    ผู้ใหญ่มา :อ้าว! ถ้าคนไม่มีล่ะ ผีจะมีไหม?
    หลวงพ่อแช่ม :ถ้าไม่มีคน ผีหรือเจ้าทั้งหลายก็ไม่มีน่ะซี
    ผู้ใหญ่มา :ผมชักงงครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :ไม่ต้องงง ผู้ใหญ่ฟังให้ดีนะ เพราะมีคน คนจึงตั้งทุกสิ่งทุกอย่างและให้ชื่อไว้ว่าเป็นอะไร เช่นให้ชื่อว่า “ผี” ตามที่คนรู้สึกว่ามี ให้ชื่อว่า “เจ้าที่เจ้าทาง” ตามที่เชื่อถือกัน และไปให้ชื่อรถ ชื่อขนม อะไรต่อมิอะไรอีกมากมายเต็มโลกไปหมด
    ผู้ใหญ่มา :อ้อ... ผมเข้าใจแล้วครับ มันเป็นอย่างนี้เอง ถ้าไม่มีคน ใครจะตั้งขึ้น ใครจะรู้ว่ามันเป็นอะไร? มันเกิดขึ้นเพราะธรรมชาติอย่างหนึ่ง เพราะคนตั้งเอาเองอีกอย่างหนึ่ง ที่คนตั้งเอามันมีไม่จริงใช่ไหมครับ? มันเป็นสิ่ง สมมุติ เท่านั้นเอง
    หลวงพ่อแช่ม :อือ... ใช่ ผู้ใหญ่เข้าใจธรรมชาติและสมมุติแล้วว่าอยู่ในสิ่งเดียวกัน แต่ธรรมชาติไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร สมมุติเท่านั้นที่ไปตั้งชื่อให้ธรรมชาติ เรียกธรรมชาติว่าเป็นนั่นเป็นนี่
    ผู้ใหญ่มา :ทำไมเขาไม่บอกกันแต่ต้นละครับหลวงพ่อ คนจะได้ไม่หลง
    หลวงพ่อแช่ม :อ้าว! ก็เขาไม่รู้กันนี่นา เพราะ อวิชชา ไงล่ะ อวิชชาแปลว่าไม่รู้ตามที่เป็นจริง พ่อแม่เป็นอวิชชาต้นเงื่อนที่ผูกมาก่อน จะต้องแก้ที่พ่อแม่ คือ อวิชชาต้น ภาษาธรรมเขาจึงบอกให้ ฆ่าพ่อฆ่าแม่เสีย หมายถึง ฆ่าอวิชชานะ ถ้าฆ่าอวิชชาในพ่อในแม่ได้ ลูกก็จะได้รับการสั่งสอนให้หมดอวิชชาไปด้วย
    ผู้ใหญ่มา :อ้อ... โล่งอกไปที ผมเพิ่งทราบวันนี้เอง มัวแต่โง่งมงายอยู่กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แก่จวนจะเข้าโลงอยู่แล้ว ยังไม่รู้อะไรถูกต้องในชีวิตเลย น่าสมเพชแท้ๆ
    ทั้งหลวงพ่อแช่มและผู้ใหญ่มาต่างสนทนากันด้วยความเข้าอกเข้าใจและสดชื่นเบิกบานในธรรม แต่แล้วก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งวิ่งขึ้นบันไดกุฏิมาอย่างรวดเร็ว และหยุดอยู่ตรงหน้า พร้อมกับระล่ำระลักกล่าวว่า
    “ตอบผมมาเร็วๆ นะครับหลวงลุง ถ้าไม่ตอบให้ผมรู้เรื่องในวันนี้ผมไม่ยอมเด็ดขาด ผมฟังมาหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ผู้ใหญ่มา มาในวันแรก แต่ผมมัวเล่นหมากรุกเพลินไปใต้ถุนกุฏินี้ จึงไม่ได้ติดใจที่จะถาม ที่หลวงลุงบอกว่าไม่มีผี ไม่มีคน ไม่มีอะไร อะไรๆ ก็ไม่จริงนั้น ผมฟังจนเบื่อจะแย่อยู่แล้ว หลวงลุงช่วยตอบ “อ้ายฉุย” หลานชายให้ชื่นใจสักครั้งเถิดว่า “ผีมันมีจริงหรือไม่?”
    หลวงพ่อแช่ม : นั่งลงๆ ใจเย็นๆ อ้ายฉุย ฟังข้าให้ดีนะ วันนี้ เอ็งจะต้องเลิกดื่มเหล้าได้แน่ๆ ถึงเวลาของเอ็งแล้ว ข้าขอถามว่าเอ็งสร่างเมาและเบื่อเหล้าบ้างหรือยัง?
    ทิดฉุย :จวนแล้วครับหลวงลุง
    หลวงพ่อแช่ม :ไหน... เอ็งแอบฟังธรรมที่ข้าคุยกับโยมผู้ใหญ่ แล้วยังไม่เข้าใจตรงไหนหรือ?
    ทิดฉุย :ผมเข้าใจครับหลวงลุง แต่หลวงลุงบอกว่าผีไม่มี เจ้าก็ไม่มี ลุงผู้ใหญ่เป็นพยานให้ผมด้วยนะ ผมว่าผีมีและเจ้าทั้งหลายก็มีจริง คราวนี้หลวงลุงแพ้ผมแน่
    หลวงพ่อแช่ม :เอ็งฟังให้ดีนะ เรียนธรรมะนั้น เขาไม่ได้เอาแพ้เอาชนะกัน เขาเรียนให้พ้นทุกข์ ให้ว่าง ให้เบา ให้สงบเย็น ไม่ถูกกิเลสผูกพันร้อยรัดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างเอ็ง มีแต่ตาย-เกิดๆ ในใจทั้งวัน
    ทิดฉุย :แล้วผีมีจริงไหมครับหลวงลุง?
    หลวงพ่อแช่ม :ก็ข้าตอบเอ็งแล้วไงล่ะ ถ้ามีคนก็มีผี ถ้าเอ็งยังไม่เข้าใจ ข้าจะเสียเวลาพูดกับเอ็งอีกครั้ง เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง คืออย่างนี้นะ! ฟังให้ดี ผีหรือเจ้านั้น เขาจะมีก็เป็นเรื่องของเขา เขาต้องรับกรรมไปตามเหตุที่กระทำไว้ในอดีต และรอที่จะไปเกิดใหม่เหมือนกัน เขามีกรรมอยู่แล้วจึงไม่คิดจะสร้างกรรมชั่วอีก เอ็งเคยเห็นผีไปหลอกหรือหักคอคนที่ไหนบ้างล่ะ เจ้าฉุย?
    ทิดฉุย :ไม่เคยเลยครับ
    หลวงพ่อแช่ม :อ้าว! ถ้าอย่างนั้นเอ็งกลัวผีทำไมล่ะ? เอ็งสร้างความนึกคิดเอาเองใช่ไหมว่าผีจะหักคอบ้าง ผีจะมาแหวกอกบ้าง ตามที่จดจำมาจากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่คนก่อนๆ ที่เกิดก่อน แล้วเอ็งก็เลยเชื่อไปหมดและรู้จักกลัว รู้สึกกลัวใช่ไหม?
    ทิดฉุย :ถ้าหมดผมที่กลัว ผีจะไม่ทำอะไรผมหรือหลวงลุง?
    หลวงพ่อแช่ม :เออ... ไม่ทำแน่ ไม่งั้นเวลาข้าเข้าไปในป่าช้าตอนกลางคืน ผีก็เล่นงานข้าแย่แล้วซิ ข้าจะมานั่งพูดอยู่กับเอ็งอย่างนี้ได้หรือ?
    ทิดฉุย :ผมทราบแล้วครับหลวงลุง ที่กลัวนั้นเพราะผมไปจำเขามา ไม่ใช่ผมกลัวเอง เอ! ผมพูดว่าไม่ใช่ตัวผม เอ๊ะ! ที่กินเหล้าอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ผมน่ะซี ใช่ไหมหลวงลุง?
    หลวงพ่อแช่ม :ใช่แล้ว ไม่ใช่เอ็งหรอกที่กินเหล้า ถ้าเป็นเอ็งจริงก็สั่งมันได้ซิว่าหยุดกินได้แล้ว มันไม่ยอมฟังเอ็งใช่ไหม? หรือเอ็งจะบังคับมันว่าให้หยุดกินข้าวสัก ๓-๔วัน มันทนได้ไหม ถ้าหิวมันจะวิ่งไปหากินของมันเอง โดยไม่ฟังเอ็งหรอก
    ทิดฉุย :อ๋อ!.. หลวงลุง ผมรู้แล้ว ถ้าอย่างนั้นมันก็กินเหล้าเองด้วยใช่ไหม? ไม่ใช่ผม
    หลวงพ่อแช่ม :เออ... มันทำของมันทั้งนั้น แล้วมันก็พังไปเอง เราช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะเราเป็นเพียงสมมุติที่ใช้เรียกมัน แต่ใจที่อาศัยกายจะรู้สึกหิวและสั่งกายช่วยกายเท่าที่มันจะทำได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ทั้งกายและใจเป็นเรื่องของธรรมชาติ เขาเกิดมา ถูกสร้างมา แล้วก็เปลี่ยนไปทุกขณะ ยึดไม่ได้รู้ไหมอ้ายฉุย?
    ทิดฉุย :ครับ หลวงลุง ผมเห็นชัดขึ้นแล้ว ต่อไปผมจะไม่ดื่มเหล้าฆ่ากายอีกเลย ทำให้มันเหนื่อยและทรุดโทรมเปล่าๆ ผมเห็นผิดไปเสียนาน ถ้าไม่ได้หลวงลุงเปิดตาใจให้ ผมก็คงตายทั้งเป็นอยู่ต่อไป ผมขอกราบหลวงลุงด้วยความเคารพจากใจ และขอฝากตัวเป็นศิษย์เรียนธรรมกับหลวงลุงตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนเขาบอกเขาสอนกันอย่างนี้ ไม่งั้นผมก็จะเป็นคนดีไปนานแล้ว
    ผู้ใหญ่มา :ผมนั่งฟังมานานแล้ว อดไม่ได้ที่จะพูดว่า ก็อาจารย์อื่นท่านสอนแบบของท่าน ท่านสอนตามที่ท่านท่านเข้าใจ จะให้เหมือนกันได้อย่างไร? ก็เหมือนกับหลานฉุยนั่นแหละ เมื่อไม่รู้ก็ดื่มเหล้าตามคนอื่นเขา พอรู้ก็เลิกดื่ม และหันมาเรียนรู้ในสิ่งที่ถูกที่ควรต่อไป
    ทิดฉุย :ครับลุงผู้ใหญ่ ผมจะเป็นคนดีเสียที
    ผู้ใหญ่มา :ผมขอกราบลาก่อนนะครับหลวงพ่อ ขออนุโมทนากับหลานฉุยด้วย
    ทิดฉุย :สวัสดีครับลุงผู้ใหญ่ ขอบคุณมากครับ
    หลวงพ่อแช่ม :เอาๆ... โยมผู้ใหญ่ กลับก็กลับ ไม่กลับก็ไม่กลับ ขอให้เจริญ ๆ เถิด
    ทิดฉุย :เอ๊ะ! ทำไมหลวงลุงพูดแบบนี้อีกนะ ผมงงอีกแล้ว “ไม่มีมา ไม่มีไป” ไม่เห็นเข้าใจเลย
    หลวงพ่อแช่ม :อ้าว! มันก็เป็นอย่างนี้จริงๆ นี่นา ถ้าคนไม่พูดก็ไม่มีคำพูดน่ะซี มีแต่อาการเท่านั้นที่ธรรมชาติเขาทำ เขาเปลี่ยนแปลง
    ทิดฉุย :อ๋อ... ผมเข้าใจแล้วครับ ที่พูดมาเรื่องไม่จริงทั้งหมดเลย เพราะพูดเอาตามสมมุติ
    ทั้งผู้ใหญ่มาและทิดฉุยต่างรู้สึกโล่ง โปร่งเบาไปตามๆกัน บทมันจะรู้ก็รู้ขึ้นมา แปลกจริงๆ หลวงพ่อแช่มก็พลอยสบายใจและอนุโมทนาสาธุให้
    --------------------
    อย่ามัวเสียเวลา

    ถ้าเพียรทำตามเขาบอกล้วนนอกเรื่อง
    จึงสิ้นเปลืองเวลาหาธรรมได้
    มาเรียนธาตุเรียนธรรมความเกิดตาย
    จนกายใจหมดกิเลสเหตุเกิดมา
    ยังเป็นคนจริงหรือชื่อที่ตั้ง
    สิ่งทุกสิ่งยิ่งพังยังให้ค่า
    สัตว์ไม่จริงคนไม่จริงสิ่งเกิดมา
    แต่ก็มีดังว่าเต็มบ้านเมือง
    ไม่ขัดขืนยืนตามความสมมุติ
    จึงไม่หลุดพ้นทุกข์-สุข ทุกทุกเรื่อง
    ทะลายสมมุติให้ได้เหมือนทะลายเมือง
    จึงจบเรื่องเรียนธรรมย่ำเกิดตาย

    กตธุโร
    คนไม่มีจริง

    เห็นว่าคนเป็นคนเป็นผลเสีย
    มันละเหี่ยกายใจมือไม้สั่น
    คิดกลัวผีหักคอหลงพอกัน
    เพราะฉะนั้นต้องฆ่าคนจะพ้นภัย
    อย่าเพิ่งฆ่าผู้อื่นมันฟื้นอีก
    มันหลบหลีกหายหน้าแล้วมาใหม่
    จะต้องฆ่าตัวเราเอาใส่ไฟ
    มันจะตายไม่ฟื้นคืนเป็นคน
    หลงดื่มเหล้าฆ่าตัวทั้งกลัวผี
    เพราะยังมีอวิชชาพาฉ้อฉล
    กายถูกเผาเมาสุราท่าพิกล
    กายไม่บ่นทนทุกข์ต่อคนล่อไป
    พอหมดตัวหมดตนหมดคนแล้ว
    จิตผ่องแผ้วบริสุทธิ์ดุจเดือนฉายss
    หมดเกลียดกลัวตัวสั่นหมายมั่นคลาย
    หมดอบายกายใจปลอดรอดบ่วงกรรม

    กตธุโร
    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๔
    ------------------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ อ้าว... นั่นใครกันที่เดินตามหลังมา
    ครูพนม :นมัสการครับหลวงพ่อ ผมชื่อ “พนม” ครับ เป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดคุ้งนามอญนี่เอง และโรงเรียนนี้ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่มาครับ
    หลวงพ่อแช่ม :อ้อ... เป็นถึงครูใหญ่ ดูหน้าตายังหนุ่ม คงจะมีอายุไม่มากนะผู้ใหญ่
    ผู้ใหญ่มา :ครับ หลวงพ่อ สมัยนี้เขาเรียนหนังสือกันตั้งแต่อายุน้อยๆ จึงได้เป็นใหญ่เป็นโตกันเร็ว วันนี้ครูพนมมีปัญหาจะมาถามหลวงพ่อครับ
    ครูพนม :ครับหลวงพ่อ ผมมีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว คือผมแต่งงานมาได้ ๕ ปีแล้ว แต่ยังไม่มีบุตร จึงคิดว่าทำอย่างไรจึงจะมีบุตรได้สืบตระกูลสักคนในเร็วๆ นี้ เผอิญมีเพื่อนแนะนำว่าให้ไปติดต่อลูกสาวผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งใกล้ๆ หมู่บ้านนี้ ผมเองยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนี้ และไม่คิดจะมีภรรยาใหม่อีกคนหนึ่ง เกรงว่าจะมีปัญหายุ่งยากตามมา จึงได้มาปรึกษากับผู้ใหญ่มา และท่านแนะนำให้มาพบหลวงพ่อนี่แหละครับ
    ผู้ใหญ่มา :ผมเตือนเขาว่า อย่าหาเรื่องเลย เพราะภรรยาน้อยภรรยาหลวงนั้น ถ้าอยู่บ้านเดียวกันหรือแม้แต่อยู่คนละบ้าน ก็จะมีปัญหายุ่งยากมาก ขอให้รอไปอีกสักหน่อยอาจจะมีลูกได้ ลองปรึกษาแพทย์เขาดูว่ามีโอกาสไหม ใครเป็นหมันกันแน่ หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจจะยังไม่สมบูรณ์พอก็เป็นได้
    ครูพนม :คืออย่างนี้ครับ ผมยังไม่ได้พูดคุยกับภรรยาเลยในเรื่องนี้ ถ้าผมไม่หาภรรยาใหม่ ก็อยากจะให้กามหมดไปเลยจากจิตจากใจ จะได้ไม่ยุ่งยาก
    หลวงพ่อแช่ม :อ๋อ... ปัญหามันอยู่ตรงนี้เองหรือ อาตมาเข้าใจแล้ว แต่ครูยังไม่รู้ว่าตัวเองไม่เข้าใจเรื่องกาม จะทิ้งกามหนีกามทันทีคงจะไม่ได้ ต้องมาปฎิบัติธรรมถึงขั้นที่ละ สักกายทิฎฐิ (ละตัวตน ทิ้งกายได้เพราะเห็นว่ากายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา) ได้ก่อน แล้วจึงจะละความสงสัยในตัวตน (วิจิกิจฉา) และไม่หลงปฎิบัติตนตามที่เคยปฎิบัติมาอย่างผิดๆ และงมงายมาก่อน (สีลัพพตปรามาส) ต่อไปจึงจะไปถึงขั้นละ กามราคะ และออกจากกามได้
    ครูพนม :แล้วผมจะปฏิบัติตัวอย่างไรครับ หลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :ปฏิบัติตามปกติอย่างที่เป็นอยู่นั่นแหละ มีภรรยาก็ทำหน้าที่สามีไปให้ถูกต้องตามสมมุติ ซึ่งแปลว่าไม่จริงไงล่ะ โดยไม่ทำให้ธรรมชาติข้างในเดือดร้อน
    ครูพนม :หมายความว่าอย่างไรครับหลวงพ่อ ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าถูกต้อง?
    หลวงพ่อแช่ม :มันจะยากอะไรล่ะ ครูพนม ครูและภรรยาต่างก็เป็นสมมุติที่ครอบธรรมชาติจริงๆ ซึ่งอยู่ข้างใน การแสวงหากามเป็นเรื่องของธรรมชาติที่มีตามเหตุตามปัจจัยของเขาโดย สัญชาตญาณ เราจะบังคับหรือห้ามเขาไม่ได้ เมื่อถึงเวลาเขาจะหยุดเอง แต่หมายความว่าต้องไม่มีเหตุอย่างอื่นนอกเหนือจากธรรมชาติเดิมๆ เข้าไปปรุงแต่งให้เป็น กามตัณหา หรือ กามราคะ ถ้าเป็นแบบนี้ย่อมเดือดร้อนแน่นอน
    ขอให้ครูคิดเสียว่าครูมีจานข้าวพิเศษอยู่หนึ่งใบ สำหรับไว้ใส่อาหารธรรมชาติที่ปรุงขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราวโดยธรรมชาติ แล้วรับประทานร่วมกันกับภรรยาเป็นเสมือนยาชูกำลังขนานหนึ่ง พออิ่มแล้ว ก็จัดการล้างจานเก็บไว้ให้เรียบร้อย และถ้ามีการปรุงใหม่ก็นำจานมาใช้ใหม่ รับประทานร่วมกันใหม่ในเวลาอันสมควรตามเรื่องธรรมชาติ ก็จะหมดปัญหา อย่าคิดหาใบใหม่จนกว่าใบเก่าจะแตก หรือหากเลิกลิ้มรสอาหารชนิดนั้นได้ก็ไม่ต้องหาใหม่เลย
    ครูพนม :ผมพอจะเข้าใจแล้วครับ เพียงใช้ตามที่ธรรมชาติเรียกร้องเองใช่ไหมครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :ใช่แล้ว ถ้าจะให้ออกจากกามหรือเลิกใช้จานใบนั้น ต้องเข้าใจรสของอาหารและความรู้สึกในรส (เวทนาพอใจ-ไม่พอใจ หรืออาการดูด-ผลัก) ให้ได้เสียก่อนว่ามีไม่จริง เวทนาโดยธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่งด้วยสัญญาโมหะ หรือสัญญาอุปาทานจะเป็นกลางๆ ไม่เดือดร้อนหรือยินดียินร้าย แต่ถ้าใส่สัญญาพอใจปรุงเข้าไปในรสนั้น จะทำให้เกิดอัตตา (ตัวตน) พอใจ และเกิดตัณหา (ความอยาก) จึงเป็นเหตุให้แสวงหาไม่หยุดหย่อน กลายเป็น กามราคะ เป็นเหตุให้คนเกิดๆ ตายๆ กันอยู่เรื่อยๆ เพราะโหยไห้ในกามเกินขอบเขตและใช้จานผิดกาละเทศะ
    ผู้ใหญ่มา :ทำอย่างไรจึงจะหมดเวทนา ดูด-ผลักครับหลวงพ่อ ผมกำลังสนใจและปฏิบัติในขั้นนี้อยู่
    หลวงพ่อแช่ม :ใช่แล้ว โยมผู้ใหญ่ออกจากกายได้แล้ว เพราะเห็นว่ากายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่กาย และไม่มีเราในกาย ต่อมาหลวงพ่อก็พูดให้ฟังว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไม่ใช่เรา ฝ่ายใจทั้งหมดไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเราเช่นเดียวกัน ต้องปฏิบัติให้เห็นว่ามันเป็นสักแต่ว่าเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และมันเป็นของมันทั้งหมด
    ผู้ใหญ่มา :ก็เข้าใจละครับว่ามันเป็นมัน แต่เวลาข้องแวะกามอยู่เราจะทำอย่างไรกับมันละครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :ก็มันเป็นมันไม่ใช่หรือ? กายเป็นธาตุ อาหารก็เป็นธาตุ อารมณ์ทั้งหลายก็เป็นธาตุ ธาตุต่อธาตุกระทบกัน ล้วนเป็นไปตามธรรมชาติของเขา ไม่ใช่กายของเรา ไม่ใช่ใจของเรา เราไม่มีในกาย เราไม่มีในใจ ที่กระทำต่อกัน สัมผัสกัน เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง เพียงแต่มีสติกำหนดรู้ และดูให้รู้เห็นการทำหน้าที่ของธรรมชาติก็แล้วกัน มันจะมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะดูดหรือผลัก “อย่ามีเราเข้าไปในเวทนานั้นๆ”
    ธรรมชาติแท้ๆ เขาไม่รู้ว่าอย่างไรพอใจ อย่างไรไม่พอใจ มีแต่อาการซึ่งเป็นอย่างนั้น แต่ถ้ามีเราเข้าไปในความรู้สึกนั้น ไปใส่สัญญาพอใจหรือไม่พอใจให้เขารู้จักและยึดถือ ธรรมชาติจึงรู้สึกพอใจไม่พอใจขึ้นมาตามสัญญาที่ใส่ให้ ส่งให้นั้นเอง เมื่อมีเราเข้าไปในความรู้สึกและยึดถือด้วย จึงมีเราพอใจ-ไม่พอใจขึ้นมา
    ผู้ใหญ่มา :อ๋อ... ผมเข้าใจแล้วครับ การออกจากกามเป็นอย่างนี้เอง ต้องเข้าไปดู รู้ เห็นความจริงของเหตุปัจจัยที่ส่งมาให้เกิดเวทนา เมื่อรู้จักเหตุ เห็นเหตุว่าคือสัญญาที่คนตั้งเอายึดถือเอา เลยกลายเป็นเราเข้าไปอยู่ในเวทนาของธรรมชาติ มีเราดูด-ผลักอยู่เรื่อย ทั้งๆ ที่เราและสัญญาสมมุติต่างๆ ก็มีไม่จริง ในที่สุดก็ไม่ยอมออกจากมัน แต่ไปหลงยึดว่ามันเป็นเรา-เป็นของเรามานานแล้ว จึงออกจากมันได้ยาก ถ้าไม่ยึดเหตุว่าเป็นจริง ก็จะออกจากกามราคะได้ เป็นอันว่าหมดเราในกาม
    หลวงพ่อแช่ม :เรื่องกามไม่ได้หมายถึงกามทางเพศเท่านั้นนะ กามคุณทั้งหลายทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไปยึดว่าเป็นเรามีกาม อยากได้กาม ก็จะพากันยึดติดกามมาเป็นของเรา และถอนออกจากมันได้ยาก จะต้องเห็นแจ้งแบบกามราคะทางเพศนั่นแหละ จึงจะออกจากกามได้หมด เรียกว่าหมดกามราคะ ครูพนมเข้าใจไหม? การจะทิ้งกามหนีกามไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นา
    ครูพนม :แล้วผมจะทำอย่างไรละครับหลวงพ่อ?
    หลวงพ่อแช่ม :ครูยังไม่ได้เริ่มต้นเรียนรู้อะไรเลย จะปฏิบัติขั้นนี้เลย คือออกจากกามราคะยังไม่ได้ ต้องใจเย็นๆ เรียนรู้ขันธ์ห้าเสียก่อน ให้รู้ว่ากายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย ไม่มีเราในกาย ไม่มีกายในเรา ให้รู้จักทิ้งตัวตนออกจากกายให้ได้เสียก่อนแล้วจะรู้ เห็น และเข้าใจธรรมขึ้นเรื่อยๆ
    ครูพนม :เอาละครับหลวงพ่อ ผมขอกราบขอบพระคุณอย่างยิ่ง แค่นี้ผมก็เริ่มจะมี หู ตา สว่างขึ้นแล้ว ผมสัญญาว่าจะมาเรียนธรรมกับหลวงพ่อต่อไป และจะปฏิบัติหน้าที่ของสามีโดยสมมุติให้ถูกต้อง เหมือนกับการบริโภคอาหารที่หลวงพ่อสอน โดยใช้จานธรรมชาตินี้อย่างถูกต้องเหมาะสม พอเหมาะ พอควร ตามธรรมชาติ และไม่คิดจะหาจานใหม่มาสำรองไว้ในบ้านให้ยุ่งยากอีก ทั้งไม่ยึดจานใบเก่าและอาหารในจานว่ามีตัวตน-เป็นของตนด้วย แต่ผมต้องปฏิบัติจริงๆ ให้ได้จากใจใช่ไหมครับ? จึงจะรู้ว่าออกจากกาม เอาชนะกาม และไปอยู่เหนือกามได้
    หลวงพ่อแช่ม :อือ... ดีแล้ว ที่ครูพนมฟังรู้เรื่องและเข้าใจ ถ้าสนใจจะปฏิบัติให้เห็นธรรมแจ้งชัดจากใจตามความเป็นจริง ขอให้มาพบหลวงพ่ออีกจะได้คุยกันใหม่
    ผู้ใหญ่มาและครูพนม :ผมกราบลาละครับหลวงพ่อ ขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง
    หลวงพ่อแช่ม :สาธุ จำเริญๆ เถิด
    -------------------
    <!-- End main-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 20 สิงหาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 2:21:43 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : 81 Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336563571748 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D20-08-2011%26group%3D1%26gblog%3D217&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336563571748&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=470536199&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336563571748 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>


    </TD><TD>Add to [​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- <table width=100% border=0 cellspacing=0> <tr> <td>Counter : <script src='http://fastwebcounter.com/secure.php?s= bloggang3030235 '></script> Pageviews. </td> </tr> </table> --><FORM method=post name=reply action=http://www.bloggang.com/reply.php?id=secret-world><INPUT name=code value=u7dba50=9kiw?74h?0j-dyibfa03_?|=93ppw3_k_fb3o1cffm81nw2yx5t3kl type=hidden>
    </FORM>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  3. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    --<TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค6 --หลวงพ่อแช่มจอมทัพรบกิเลส-2


    ออกจากกาม



    เมื่อกามขาดขาดจากกามหมดความอยาก

    มันไม่ยากเท่าใดเพราะไม่ฝืน
    เพียงแต่รู้แล้วมันละสละคืน
    มีจุดยืนคือรับรู้แล้วดูมัน
    ความรู้สึกอร่อยมันถอยหนี
    ที่ยังมีรสแท้แท้ไม่แปรผัน
    ความดูดผลักไม่ยักมาน่าอัศจรรย์
    จิตตรวจการไม่ก่อกวนป่วนถึงกาย
    ยังมีคนก็ไม่พ้นกามต้องเกิด
    แล้วเตลิดถึงตัณหาพาเสียหาย
    ก็เพราะคนพาเพริศจึงเกิดตาย
    ถ้าหมดคนเสียได้ก็หมดกาม





    กตธุโร



    กามขาด



    ก่อนจะขาดจากกามต้องตามฆ่า

    มันโหยไห้อาลัยหาบ้าไม่หาย
    จิตมันคอยแต่ปรุงให้ยุ่งกาย
    ทั้งที่รู้ก็ไม่วายชอบก่อกรรม
    กายเขาหยุดไม่ก่อให้ต่อติด
    แต่จิตมันยังข้องก็ต้องถาม
    ต้องใช้จิตฆ่าจิตเลิกติดกาม
    เอาปัญญาฟันซ้ำกามขาดใจ
    ถึงฟันแล้วฟันอีกมันหลีกหลบ
    ทำสยบเล่นเอาเถิดแล้วเกิดใหม่
    ต้องใช้ดาบอนัตตาฆ่าจึงตาย
    ถ้ามันเกิดมาใหม่ฆ่าทุกที





    กตธุโร

    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๕
    --------------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ มาตอนที่แดดกำลังร้อนเปรี้ยงทีเดียว เข้ามานั่งพักให้หายเหนื่อยเสียก่อนเถอะ อ้าว... ดื่มน้ำให้หายร้อนหายกระหายกันก่อนแล้วค่อยคุยกัน
    ผู้ใหญ่มา :เขามีงานอะไรกันครับวันนี้ ผมเห็นผู้คนมากมายบนศาลาใหญ่
    หลวงพ่อแช่ม :อ๋อ... ก็งานศพน่ะซี ศพคนใหญ่คนโตชื่อนายเครื้อม เศรษฐีบ้านท่าข้าม ซึ่งถูกปล้นและถูกฆ่าตายเมื่อคืนก่อน ผู้ใหญ่ไม่ทราบเรื่องเลยหรือ?
    ผู้ใหญ่มา :อ้าว! ก็ไหนว่าลูกชายพ่อเครื้อมเป็นอ้ายเสือปล้นเขากินด้วยมิใช่หรือครับ? ทำไมปล่อยให้เสือต่างถิ่นเข้ามารังแกได้ คงจะเจ็บใจแย่ซี ยิ่งมันยิงเอาพ่อเสือตายเสียด้วย ก็น่าจะยุ่งกันใหญ่ซิครับ บ้านท่าข้ามคงจะร้อนเป็นไฟกันคราวนี้!
    หลวงพ่อแช่ม :ก็ต้องแล้วแต่กรรม ผู้ใหญ่จะตามหลวงพ่อขึ้นไปบนศาลาด้วยก็ได้ เขานิมนต์เทศน์หน้าศพ นี่ก็ได้เวลาแล้วเพราะพระตีระฆังแล้ว
    ผู้ใหญ่มา :นิมนต์หลวงพ่อเถอะครับ ผมไม่ใช่ญาติของเขา ฟังที่นี่ก็ได้ ไม่มีใครรบกวนดี
    หลวงพ่อแช่ม :ตามใจเถอะ ประเดี๋ยวก็เสร็จ หลวงพ่อจะมาคุยต่อนะ เออ... เจ้าฉุยมาพอดี ผู้ใหญ่ช่วยคุยกับมันไปก่อนก็ได้
    ผู้ใหญ่มา :ครับหลวงพ่อ
    ทิดฉุย :ลุงผู้ใหญ่ครับ เศรษฐีส่วนใหญ่มักขี้ตระหนี่ เหนียวแน่น เวลาถ่ายอุจจาระยังไม่อยากให้สุนัขกินเลย แต่พอตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว ดูแต่รายนี้ซิครับ ลูกชายอุตส่าห์ไปปล้นคนอื่นเขามามากมาย แล้วก็มาถูกพวกปล้นต่างถิ่นเหยียบจมูก เอาของไปครั้งเดียวหมดเลย มิหนำซ้ำตัวพ่อยังต้องมาตายเพราะลูกคนเก่ง เขาเรียกว่า “กรรม’’ใช่ไหมลุงผู้ใหญ่?
    ลุงเชื่อไหม เขาไม่เคยเข้าวัด ไม่เคยทำบุญ ไม่เคยให้ทาน ไม่เคยเผื่อแผ่อะไรให้ใคร แม้ที่ดินติดวัด หลวงลุงจะซื้อสร้างเมรุเผาศพ ก็ยังไม่ขายให้ เขาบอกว่าถ้าขายให้ก็ต่อเมื่อให้ราคาแพงๆ ซึ่งหลวงลุงก็ซื้อไม่ได้ คนอื่นมีแต่เขายกให้วัดเปล่าๆ กันทั้งนั้น หรือไม่ก็ขายในราคาถูก ในที่สุดคนกรุงเทพฯ เขามาซื้อถวายให้หลวงลุง จึงมีเมรุเผาศพที่นี่ได้ และไม่พ้นที่เศรษฐีใจดำจะต้องมาอาศัยเมรุนี้
    ผู้ใหญ่มา :เออน่า ทิดฉุย เขาเป็นของเขาอย่างนั้นเอง อย่าได้ไปใส่ใจเลย มันนานาจิตตัง ต่างจิตต่างใจ ไปให้เขาทำเหมือนกันย่อมไม่ได้
    ผู้ใหญ่ฟังทิดฉุยอย่างไม่ค่อยตั้งใจนัก ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เพราะแบ่งจิตไปจดจ่อฟังหลวงพ่อเทศน์มากกว่า มีอยู่ตอนหนึ่งได้ยินหลวงพ่อกล่าวถึงผู้ตายว่าเป็นคนดีอุตส่าห์เก็บเงินเก็บทอง ไม่ใช้ไม่จ่าย เรียกว่าประหยัดแม้แต่เรื่องกินก็จำกัดจำเขี่ยมาก เพื่อสะสมไว้ให้ลูกหลาน และจะเก็บไว้ถวายวัดอีกส่วนหนึ่ง เมื่อท่านเศรษฐีสิ้นไปแล้ว เรือนชาน ไร่นา เงินทองทั้งหมดนั้น ลูกหลานจะจัดแบ่งถวายวัดบ้านดาบส่วนหนึ่งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็สมกับที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งรอบคอบเห็นการณ์ไกล ขออนุโมทนาในความอุตสาหะและความฉลาดสอนลูกหลาน ทั้งความมีน้ำใจของเศรษฐีเครื้อมด้วยใจจริง สาธุ! หลวงพ่อเทศน์ต่อ พอสมควรแก่เวลาจึงยุติและเดินกลับกุฏิ
    หลวงพ่อแช่ม :เป็นยังไงผู้ใหญ่ ฟังรู้เรื่องไหม?
    ผู้ใหญ่มา :ผมรู้สึกว่ามันสวนทางกันนะครับหลวงพ่อ ฟังเจ้าฉุยมันว่าเศรษฐีคนนี้ขี้ตระหนี่ เหนียวหนึบหนับไปเลย แต่หลวงพ่อกลับชมว่าเขาดีเลอเลิศ มันยังไงกันแน่ครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเด็กๆ นั้นชอบกินขนมหวาน ส่วนปุถุชนคนโตชอบคำเยินยอสรรเสริญ คนเขายังอยู่กันแบบโลกๆ เราก็พูดแบบโลกๆ ไปบ้าง เผื่อตกบันไดพลอยโจน ลูกหลานเขารู้สำนึกขึ้นมา อาจจะคิดทำบุญบ้าง
    ผู้ใหญ่มา :แล้วใครจะเป็นผู้ได้ล่ะครับหลวงพ่อ?
    หลวงพ่อแช่ม :ไม่มีใครได้ไม่มีใครเสียหรอก ก็เรื่องมันไม่จริง ต้องแสดงตามบทที่เขาให้มา แล้วก็จบกันทุกเรื่อง
    ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ ที่ว่าให้ออกจากกาม จนไปอยู่เหนือกามได้นั้น ผมดูแล้วดูอีกไม่ให้พลาดจากจิตเลย แต่มันเหนื่อยจริงๆ
    หลวงพ่อแช่ม :อ้าว! ผู้ใหญ่ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก ถ้าทำได้อย่างนั้นจะเป็นพระอรหันต์แล้วรู้ไหม? มันก็ยากซี ไม่ต้องทุกขณะจิตหรอก ถ้าลืมก็ให้รู้ว่าลืม มันเป็นมัน ไม่ใช่เราลืม เมื่อมีสติมาทันดูมัน ก็รู้ว่าทัน แล้วก็ดับหายไปทั้งหมดเหมือนกัน ผู้ใหญ่ต้องรู้จักดูใจให้ออกจาก วัตถุกาม เสียก่อน เริ่มจากเรื่องหยาบๆ ของหยาบ เช่นบ้านช่อง วัวควาย ไร่นา ลูกเมีย ทรัพย์สมบัติ และทุกๆสิ่งที่ตนมีตนได้ ให้เห็นว่ามันเป็นของของโลกเขา ต้องวางความยึดถือให้ขาดจากใจจริงๆ เมื่อเห็นแจ้งว่ามันไม่จริง จะหน่ายจากมัน แล้วทิ้งมัน และออกจากมันได้
    รูปทั้งหลาย ต้องเห็นว่าไร้รูปเสียก่อน คือมีไม่จริง เป็นสักว่าสมมุติเรียกเอา เป็นสักว่ารูป จึงจะหมดการดูด-ผลักจากใจ หมดอุปาทานในเวทนา เพราะรู้ทันว่าสัญญาหมายรู้ที่คนตั้งเอาตามความรู้สึกที่รู้ไม่จริง และยึดถือกันส่งต่อให้เวทนา มันจึงมีไม่จริง ได้ไม่จริง
    ผู้ใหญ่มา :อ๋อ... เป็นอย่างนี้เอง ผมไปทำผิดหมดเลย มิน่าละจึงเหน็ดหนื่อย เพราะมีเราเข้าไปยุ่ง จะเอากามออก จะออกจากกาม จะอยู่เหนือกาม นั่นเอง
    หลวงพ่อแช่ม :ดีแล้ว ถ้าเข้าใจก็ขอให้ไปดูใหม่ ไปพิจารณาใหม่ มันไม่ยากหรอก บทมันจะรู้จะเห็นขึ้นมาก็จะเกิดได้ง่ายๆ อย่าไปอยากมากจนเกินไปก็แล้วกัน เพียงไม่ท้อถอยแต่ปฏิบัติไป ดูไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยโอกาสให้ล่วงเลยไปอย่างประมาท หลงว่าเรารู้แล้ว เข้าใจหมดแล้ว ต้องให้เห็นและออกจากจิตที่ยึดถือให้ได้จริงๆ เหลือแต่สภาวะหรืออาการที่เป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีดูด-ไม่มีผลักให้รู้สึก อ้อ... ได้เวลาที่หลวงพ่อต้องไปเผาศพเขาหน่อย หลวงพ่อขอตัวก่อนนะ
    ผู้ใหญ่มา :ครับ ผมว่าจะกราบลาหลวงพ่อเสียที วันหน้าจะนำการบ้านมาส่ง ขณะนี้ผมทราบว่าที่จังหวัดก็มีผู้สนใจธรรมและรู้ธรรมแบบนี้หลายคน หากผมได้พบและสนทนากับเขา จะส่งข่าวให้หลวงพ่อทราบ
    หลวงพ่อแช่ม :เจริญธรรมเถิดโยมผู้ใหญ่
    ----------------------

    เห็นถูกเรื่องกาม


    เพราะสัญญาเวทนาพาให้เกิด

    สิ่งประเสริฐไม่ประเสริฐเกิดทั้งนั้น
    เป็นอัตตาตัวตนมาปนกัน
    ตัณหาพลันเข้าร่วมงานแล้วยึดครอง
    เลยเป็นกู ของกู อยู่ตลอด
    แล้วนั่งกอดลาภผลคนยกย่อง
    หนีไม่ได้หลงเพลิดเพลินกับเงินทอง

    ที่ติดข้องอยู่มากเพราะอยากกาม


    กตธุโร


    ได้จริงหรือ?


    สัญญาเกิด-ดับสลับอยู่

    ใจไม่รู้จึงมีอยู่ตลอดสาย
    แล้วกลับยึดเป็นส่วนมากไม่อยากตาย
    คิดว่ากายเป็นของกูอยู่ทุกวัน
    ประคับประคองหนักหนาหาไม่หยุด
    ปากก็พูดว่าได้น้อยว่าพวกนั้น
    เลยวิ่งวอนทนหาว่าสำคัญ
    ผลสุดท้ายทุกท่านไม่ได้อะไร
    ก็เกิดเกิดตายตายกายไม่เหลือ
    มันน่าเบื่อพวกคนวนอยู่ได้
    เพราะมีกรรมดำมืดยึดจนตาย

    ใครจะได้อะไรเป็นไม่มี


    กตธุโร



    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๖

    --------------------
    ผู้ใหญ่มา :สวัสดีครับคุณประพันธ์
    ประพันธ์ :สวัสดีครับลุงผู้ใหญ่ อ้อ... น้าฉายก็มาด้วย นั่งก่อนซิครับ ผมเคยได้ยินน้าฉายบอกว่าลุงผู้ใหญ่สนใจธรรมมาก ผมเลยบอกกับน้าว่า ถ้ามีโอกาสขอให้ชวนลุงผู้ใหญ่มาสนทนากันบ้าง
    ผู้ใหญ่มา :นั่นน่ะซีพ่อหลานชาย ธรรมดาจะมีแต่คนแก่ๆ ที่สนใจธรรม แต่นี่ลุงมาพบคุณประพันธ์ซึ่งอายุยังน้อย ทำไมจึงชอบธรรมะได้ ช่วยเล่าให้ลุงฟังบ้างได้ไหม? ไปร่ำเรียนที่ไหนมา?
    ประพันธ์ :ที่สระบุรีครับ ผมเพิ่งไปเรียนมาไม่นานนี่เอง อาจารย์ที่ผมไปเรียนด้วยไม่ได้เป็นพระภิกษุ ท่านเป็นฆราวาส และไม่มีรูปแบบพิธีกรรมที่ยุ่งยากใดๆ ท่านพูดง่ายๆ สอนง่ายๆ ด้วยภาษาง่ายๆ ไม่เคยเรียนจากตำราธรรมะอื่นๆ มาก่อนก็ฟังท่านเข้าใจ
    ผู้ใหญ่มา :คุณพอจะบอกลุงได้ไหมว่าท่านสอนอย่างไร?
    ประพันธ์ :ได้ครับ ลุงผู้ใหญ่ ใครเรียนมาแค่ไหน ติดอะไร ยึดอะไร ท่านจะพูดให้หายติดหายยึด และไม่วกวน คือให้รู้สึกลงไป และเห็นได้เลยว่าไม่มีเราอยู่ในกองธาตุที่ประกอบเป็นร่างกายนี้
    ผู้ใหญ่มา :เออ... อย่างลุงติดกามยึดกามอยู่จะทำอย่างไร? ช่วยบอกลุงหน่อย
    ประพันธ์ :เมื่อลุงไม่ได้เกิดมาแบบมีกามมาด้วย- จะต้องเอากามออกทำไม กามเป็นของใครกัน ทำไมจะต้องมีคุณลุงไปติดกามด้วย? ไม่มีติดไม่มีออกหรอกลุงผู้ใหญ่
    ผู้ใหญ่มา :เอ! พ่อประพันธ์พูดแปลกดี รู้สึกว่าจริงแฮะ และง่ายดี ลุงชักจะมองเห็นแล้ว เออ... มันเห็นจริงๆด้วย ลุงเผลอเข้าไปอยู่ในมันนั่นเอง จึงรู้สึกว่ามีกามและอยากออกจากกาม อือ... หลวงพ่อแช่มก็ว่าสอนให้เข้าใจง่ายแล้ว แต่ที่สระบุรี อาจารย์ของพ่อประพันธ์ยังสอนให้เข้าใจง่ายกว่า เห็นชัดเจ๋งเข้าไปในจิตกันเลย น่าสนใจมาก ถ้าอย่างนั้นกิเลสก็ไม่มีน่ะซี ใช่ไหมพ่อประพันธ์?
    ประพันธ์ :ถ้าใครพูดว่ามีก็มี ถ้าพูดว่าไม่มีก็ไม่มีครับ
    ผู้ใหญ่มา :เอาอีกแล้ว แปลกแต่จริงอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดน่ะซี!
    ประพันธ์ :แล้วใครเป็นผู้พูดละครับ?
    ผู้ใหญ่มา :ลุงรู้ทันแล้ว อือ... ไม่มีใครพูด ใช่แล้ว เพราะไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา... แล้วที่พูดกันอยู่นี่มันเป็นอะไรกันล่ะ พ่อประพันธ์
    ประพันธ์ :ไม่ตอบ แต่เม้มปากมากกว่าเดิมและเฉยอยู่นานพอดู จึงพูดว่า “ที่พูดมาทุกคำเป็นขันธ์ห้าพูด และพูดโดยสมมุติ (โดยสัญญา) ทั้งสิ้น”
    ผู้ใหญ่มา :ลุงรู้แล้วๆ พ่อประพันธ์ พระอรหันต์ไม่พูด ที่พูดได้ไม่ใช่พระอรหันต์ จริงไหม? มันช่างแปลกอะไรอย่างนี้! โอ้โฮ! เพิ่งถึงพริกถึงขิงวันนี้เอง เห็นจะต้องมาคุยกับประพันธ์บ่อยๆ แล้ว เหลือกินจริงๆ! ลุงรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก มันไม่มีอะไรติดค้างอยู่ในใจแล้ว รบกวนเวลาของหลานชายมามากพอสมควร ลุงขอลากลับก่อน ไปเถอะ ฉาย กลับกันได้แล้ว ขอบคุณมากนะพ่อประพันธ์
    ฉาย :ผมก็กำลังจะเตือนผู้ใหญ่ว่าให้กลับกันเถอะ แล้วค่อยหาโอกาสมาคุยใหม่ น้ากลับก่อนนะหลาน
    ประพันธ์ :เชิญครับลุงผู้ใหญ่ ถ้ามีเวลาผมก็ชอบสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนกับผู้รู้และคุยกันฉันกัลยาณมิตรกับเพื่อนร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตายทุกคน ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ผมก็เป็นหนี้บุญคุณพระธรรม และจะทำหน้าที่ตอบแทนพระพุทธองค์ที่ตรัสรู้ธรรมมาสอนพวกเราจนถึงที่สุด อ้อ... น้าฉายครับ ผมฝากอาหารกระป๋องเหล่านี้ไปให้น้าใบด้วย (ภรรยาน้าฉาย) เพราะที่โน่นหาซื้อลำบาก
    ฉาย :อือ... ก็ดีเหมือนกัน น้ายิ่งไม่ค่อยมีเงินอยู่ ขอบใจมากหลานชายน้ากลับก่อนนะ
    ประพันธ์ :สวัสดีครับลุงผู้ใหญ่และน้าฉาย วันหน้ามาคุยกันใหม่นะครับ
    ผู้ใหญ่มา แยกทางกับฉาย แล้วก็ตรงไปวัดบ้านดาบเพื่อพบหลวงพ่อแช่มทันที เข้าไปกราบท่าน แล้วรายงานเรื่องที่ฟังมาจากคุณประพันธ์ให้ท่านทราบ
    หลวงพ่อแช่ม :ไปยังไงมายังไงล่ะผู้ใหญ่ มีอะไรจะเล่าให้ฟังหรือ?
    ผู้ใหญ่มา :นายฉายพาผมไปพบคุณประพันธ์หลานชายของเขา ซึ่งเป็นทนายความ อยู่ที่ ต.ท่าหิน จ.ลพบุรี ผมได้สนทนากับเขานานพอสมควร หลวงพ่อครับได้เรื่องเลย เด็ดจริงๆ!
    ผู้ใหญ่มาเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงพ่อแช่มฟัง
    หลวงพ่อแช่ม :อ้อ... ได้ความอย่างนี้เอง ผู้รู้ย่อมมีอยู่ไม่ว่าที่ไหนๆ เมื่อมีป่าย่อมมีช้างเผือกเกิดขึ้นคู่บ้านคู่เมืองเสมอ หลวงพ่อขออนุโมทนาด้วย ที่ผู้ใหญ่เห็นธรรมชัดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องออกกาม เห็นไหมล่ะ หลวงพ่อบอกแล้ว บทมันจะรู้จะเห็นขึ้นมา ก็รู้เห็นได้อย่างไม่ต้องคาดคิดล่วงหน้า ขอเพียงมีความเพียรสม่ำเสมอ ไม่ท้อถอย แต่อย่าหวัง อย่ามีเราเข้าไปหวัง ไปอยาก แทนกองธาตุเข้าก็แล้วกัน
    ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ อาจารย์คุณประพันธ์เขาไม่ได้เป็นพระสงฆ์อย่างหลวงพ่อหรอก แม่บ้านผม (ภรรยา) เขายังบอกให้ผมมาบวชอยู่วัดเสียเลย ถ้ารู้ธรรมชาติขนาดนี้ เขาบอกว่าจะสอนคนอื่นได้ บวชแล้วคนจะได้เลื่อมใส ศรัทธา ดีกว่าจะสอนอยู่กับบ้าน (ถ้าอยู่กับลูกเมียด้วย ดูแล้วคนเขาจะหมดศรัทธา) ใครๆ ก็พอใจจะฟังพระสอนธรรมกันทั้งนั้น ผมมาคิดดูก็จริงอย่างเขาว่า ไปพูดธรรมให้ใครฟังเขาก็ไม่เชื่อถือ บางรายนึกดูถูกดูแคลนเอาเสียด้วย ยิ่งพูดธรรมแบบไม่มีตัวตน ให้ออกจากสมมุติ คนก็หาว่าบ้า แล้วจะทำอย่างไรดีครับหลวงพ่อ จะช่วยคนอื่นให้รู้ธรรมได้อย่างไรกัน?
    หลวงพ่อแช่ม :ไม่ต้องทำอย่างไรหรอกผู้ใหญ่ ผู้รู้เขาย่อมรู้ ผู้ไม่รู้ก็ย่อมจะไม่รู้ ใครจะไปบังคับให้เชื่อหรือไม่เชื่อไม่ได้ สุดวิสัยนะผู้ใหญ่ การบวชพระไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป ถ้าดูลึกซึ้งถึงหัวใจของการบวชจริงๆ มันต้องพูดกันยาว หลวงพ่อจะพูดแต่พอเข้าใจเท่านั้น ผู้ที่ตั้งใจบวชจริงเรียนจริงเท่านั้นจึงจะรู้ว่า บวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง เพื่อศึกษาธรรมให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์แห่งกิเลส และอยู่อย่างมักน้อย สันโดษ ตามแบบอย่างและวัตถุประสงค์ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงกระทำและวางไว้เป็นหลักนานแล้ว ถ้าผิดไปจากนี้ผู้ใหญ่คิดเอาเองก็แล้วกัน
    ----ต่อไปหันมาดูผู้ที่ไม่บวชบ้าง ถ้าเขาเหล่านั้นใส่ใจในการปฎิบัติพรหมจรรย์อย่างจริงจัง และเห็นแจ้งใน อริยสัจ ๔ จนหมดโลภ โกรธ หลงได้ หมดทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยยึดถือห่วงใยจนเป็นความอยาก (ตัณหา) ทั้งปวง ก็หมดเชื้อที่จะต้องไปเกิดๆ ตายๆ อีก ที่ยังเดินเหินทำอะไรอยู่นั้นเป็นธาตุของโลกเขาย่อมรู้เอง ส่วนใครยังไม่รู้ก็คงไม่รู้ ผู้ไม่รู้จะวัดเขาไม่ได้ เพราะเป็นอนัตตาและเป็นตถตา (สิ่งที่เป็นเช่นนั้นเอง)
    ผู้ใหญ่มา :ผมเข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ วันนี้เย็นมากแล้ว ผมกราบลาก่อนนะครับ
    หลวงพ่อแช่ม :เจริญธรรมเถอะโยมผู้ใหญ่
    ----------------------

    หมดกิเลส


    ทั้งโลภโกรธหลงทรงไว้อยู่ในเขา

    อย่ามีเราไปยุ่งและฟุ้งอยู่
    เพราะความเกิดไม่ดีจึงมีกู
    โลภโกรธหลงก็พรูเป็นกูไป
    เลยยึดนั่นยึดนี่ยึดปี้ป่น
    ยึดทั้งล่างยึดทั้งบนวนขวาซ้าย
    ถ้าไม่ยึดก็ให้บอกให้ออกไป
    มันจะมีได้อย่างไร...เราไม่มี
    ต้องหมดมันหมดเราหมดเขาด้วย
    หมดทั้งรวยทั้งจนพ้นวิถี
    ต้องหมดโลภหมดหลงลงอีกที
    แล้วไม่มีอะไรเหลือให้ดู





    อันความโลภ ความโกรธ โทษไม่มาก

    คนต่างหาก ที่หลงโกรธ โทษเหลือหลาย
    ถ้าหมดคน แล้วจะโกรธ โทษอะไร
    หมดคนได้ โลภโกรธหลง ก็ลงเอย
    กตธุโร
    ผู้รู้จริง





    จะเป็นอรหันต์นั้นมันยาก

    ต้องรู้มากเรื่องอดีตอย่าคิดถึง
    อนาตคก็อย่าติดคิดคำนึง
    ปัจจุบันนั้นรำพึงแต่พอดี
    ถ้าใครอวดและใครอยากมันยากยิ่ง
    สิ่งทุกสิ่งไหลไปไม่คงที่
    ยิ่งจัดจิตยิ่งติดจิตติดเรื่องดี
    ทั้งที่มันไม่มีมาแต่เดิม
    หมดอดีต อนาคต หมดปัจจุบัน
    ก็อยู่ไปอย่างนั้นไม่ต้องเพิ่ม
    มีปัจจุบันเป็นอารมณ์ผสมเติม
    หมดการเพิ่มการขาดอยู่ปัจจุบัน





    กตธุโร



    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๗


    ------------------


    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ


    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ เป็นอย่างไรบ้าง? หมู่นี้รู้สึกว่าหายหน้าไปมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม?


    ผู้ใหญ่มา :ไม่มีครับหลวงพ่อ เพียงแต่ผมได้ไปพบอาจารย์ของคุณประพันธ์เขาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว


    หลวงพ่อแช่ม :ไหนลองเล่าสู่กันฟังบ้างซิ ไปเจออะไรมาบ้าง?


    ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ วันที่ผมไปบ้านอาจารย์คุณประพันธ์ที่สระบุรีนั้น เผอิญมีลูกศิษย์เก่าๆ เขามาสนทนากับอาจารย์เขาอยู่ก่อนแล้ว คุณประพันธ์เลยแนะนำให้ผมรู้จักด้วย ก่อนอื่นผมเห็นคุณประพันธ์เขากราบอาจารย์เขา ๓ ครั้ง ผมก็เลยทำตามบ้าง เพราะคิดว่าไม่เห็นจะเสียหายอะไร คนที่มีดีจะอวดหรือเป็นผู้รู้ถึงขนาดที่สอนธรรมให้คนอื่นรู้ตามได้จนหมดทุกข์ หรือทุกข์น้อยลงเฉพาะตน ซึ่งพิสูจน์ได้จริง ผมก็ควรจะกราบได้


    ปรากฏว่าลูกศิษย์ที่มาก่อนนั้น มีทั้งชาวบ้าน พ่อค้า ทหาร ข้าราชการครู และนายแพทย์ เขามาเยี่ยมเยียนอาจารย์ของเขาเป็นประจำ มาสนทนาธรรม มาต่อธรรม บางคนก็มีของมาเยี่ยมอาจารย์เขาบ้างเล็กๆ น้อยๆ ทั้งอาหารคาวหวาน ผลไม้บ้างตามโอกาส ชื่อเดิมของอาจารย์ท่านนี้คือ “สมทรง คำนวณศร” แต่ตอนบวชท่านใช้ฉายาว่า “กตธุโร” ถ้าลูกศิษย์จะแนะนำอาจารย์กับคนอื่นๆ ก็จะเรียกท่านว่า “อาจารย์กตธุโร” แต่ถ้าคุ้นๆ กันแล้วก็จะรู้จักในนาม “อาจารย์” เฉยๆ หรือ “อาจารย์สมทรง” เพราะเคารพท่านเป็นอาจารย์


    คุณประพันธ์บอกว่าท่านมีโรคหัวใจประจำตัวมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่ท้อถอย คงให้ธรรม สอนธรรมแก่ผู้มาขอฟังหรือมาเรียนอย่างไม่เคยปริปากบ่นเลย ไม่ว่าจะมารับฟังที่บ้านหรือโทรศัพท์มาคุยด้วย ทั้งที่อยู่ในจังหวัดสระบุรีและจังหวัดใกล้ไกล เช่นกรุงเทพฯ ชลบุรี พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ นครราชสีมา เชียงใหม่ก็มี


    ผมรู้สึกว่าท่านมีหน้าตายิ้มแย้มใจดี แต่มีแววตาที่มีพลัง ดูน่าเกรงขามและน่านับถือ ท่านนั่งประจำบนเก้าอี้โยกประจำตัว และลูกศิษย์ก็นั่งกับพื้นเรียงรายกันทั่วไปในบ้านซึ่งกระทัดรัดน่าอยู่และร่มรื่นพอสมควร พอศิษย์ทั้งหลายทราบว่าผมจะมาเรียนธรรมกับท่าน ต่างก็ขอตัวกลับก่อนก็มี นั่งฟังเฉยๆ ก็มี เพื่อเปิดโอกาสให้ผมได้รับธรรมอย่างเต็มที่


    หลวงพ่อแช่ม :แล้วเขามีวิธีสอนอย่างไรบ้างล่ะผู้ใหญ่? ดูท่าทางยากหรือง่าย ลองว่าให้ฟังหน่อยซิ


    ผู้ใหญ่มา :ท่านสอนเหมือนหลวงพ่อทีเดียวครับ ใช้ภาษาง่ายๆ คนไม่รู้หนังสือไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะมาก่อนก็มาเปิดธรรมกับท่านได้ เท่าที่ผมทราบจากคุณประพันธ์


    หลวงพ่อแช่ม :คงจะเป็นช้างเผือกหลงอยู่ในเมืองเสียละมัง เออ... อาจจะยังไม่มีใครรู้จักท่านมากนักหรอกนะ หลวงพ่อก็เพิ่งจะได้ยินข่าวจากผู้ใหญ่นี่แหละว่ามีฆราวาสที่รู้ธรรมถึงธรรมจริงๆ ขนาดสอนให้ใครๆ รู้ตามได้จริงจนพ้นทุกข์ได้ แม้ผู้มีความรู้ทางโลกสูงๆ ก็ยังมาสมัครเป็นลูกศิษย์


    ผู้ใหญ่มา :ท่านกล่าวว่าท่านเคยบวชเรียนมาเป็นพระมาแล้วถึง ๔ ครั้ง แล้วตัดสินใจมาใช้ชีวิตแบบฆราวาส เพราะไม่ต้องการให้ขันธ์ห้าอยู่ในกรอบในพิธีกรรมและวินัยของสงฆ์จนเกินไป ท่านจะได้มีอิสระในการให้ธรรมสอนธรรมแก่ศิษย์ได้ทุกเพศทุกวัยแบบจิตจ่อจิตกันเลย โดยไม่ต้องถือเคร่งในวัตรปฏิบัติแบบสมมุติสงฆ์มากนัก อันจะเป็นการเปิดทางให้คนที่มารับฟังได้ระบายความในใจและปัญหาต่างๆ ให้คลี่คลายกันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ และเปิดกระแสธรรมได้ง่ายขึ้น


    ท่านจะพูดแต่เรื่องธรรมชนิดไม่มีตัวตน พูดให้รู้เรื่องสมมุติ เข้าใจสมมุติ และหมดสมมุติที่ยึดถือจากใจ หมดความเป็นคนโดยสมมุติ เข้าไปเห็นสภาวธรรมตามที่เป็นจริง ซึ่งปราศจากความหมายแห่งสัญญาหมายรู้ทั้งหลาย เหลือแต่ธรรมชาติล้วนๆ ซึ่งว่างมาแต่เดิมและว่างอยู่เสมอ เมื่อไม่มีเราหรือคนเข้าไปเป็นอัตตาปรุงแต่งให้เกิดความยึดถือมาเป็นของตนด้วยความไม่รู้ (อวิชชา)


    ----ท่านจะสอนให้ลูกศิษย์สนใจธรรมมากกว่าสนใจประวัติของท่าน เพราะท่านเห็นว่าอะไรๆ ก็ไม่จริงทั้งหมดในโลกนี้ จึงไม่มีอะไรน่าหลงใหลและยึดถือ หรือน่าดูถูกเหยียดหยาม หรือสรรเสริญเยินยอ ซึ่งจะเป็นการปิดบังปัญญาที่จะเห็นธรรมได้ ถ้าผู้มารับธรรมมัวติดประวัติอดีตของท่าน ย่อมมิอาจจะวางจิตให้ถูกตรงและเปิดรับธรรมจากท่านได้ จึงเสียโอกาสไปได้ง่ายๆ แต่ท่านก็ไม่สนใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว ท่านกล่าวว่าใครมีบารมีก็จะมาเปิดธรรมกับท่านได้ไม่ว่าใกล้หรือไกล ท่านให้มาเรียนรู้ไม่ใช่เรียนเอา


    เรียนธรรมมาถ้าใครเรียนเอาท่านจะถามว่าเอาไปทำอะไร เช่นบางคนบอกว่าถ้าเห็นธรรมก็คงจะสบาย ท่านจะถามว่าเอาสบายไปต้มกินได้หรือ? ลูกศิษย์ก็จะนิ่งอึ้งไปเพราะไม่เข้าใจและต้องนำไปขบคิด หรือบางคนอาจจะโพล่งเห็นธรรมขึ้นมาได้ในตอนนั้นเลยก็มีด้วยคำถามลักษณะนี้


    หลวงพ่อแช่ม :อือ... ก็นับว่าท่านมีอุบายและเป็นการสอนทางตรงลัดสั้นอยู่ ที่จะให้ลูกศิษย์ใช้ปัญญาขบคิดจนเห็นสภาวะที่เป็นปกติธรรมดาของธรรมชาติ แล้วท่านสอนว่าอย่างไรอีกในการปฏิบัติธรรมเป็นขั้นเป็นตอน?


    ผู้ใหญ่มา :ท่านสอนให้ปฏิบัติดูกาย ดูจิต หรือรูปนาม ด้วยตัวรู้หรือจิตลูกเดียว โดยอาศัยทั้งสติ สัมปชัญญะ สมาธิ และปัญญา พร้อมกันในตัว แต่ไม่ใช่ให้ท่องเอาจำเอา ท่านถามผมว่า “ถ้ามาเรียนธรรม รู้ธรรมแล้วจะเอาไปทำอะไร” ผมก็ตอบท่านว่า “ก็คงจะหมดปัญหาและสบาย” ท่านก็ถามต่อว่า “ถ้าหมดปัญหาแล้วจะเอาหมดปัญหาไปทำอะไรต่อไป?” พอถึงตอนนี้ผมชักงงแล้วครับ ผมเลยถามท่านบ้างว่า “อาจารย์ครับในโลกนี้ เขาก็ต้องการความสุขสบายด้วยกันทั้งนั้น แล้วทำไมอาจารย์จึงถามว่า ผมจะเอาความหมดปัญหาหรือความสุขสบายไปทำอะไร?”


    ท่านเลยอธิบายให้ฟังว่า “ผู้ใหญ่ฟังนะ ถ้าคนแรกไม่พูดไม่ตั้งเรื่องหมดปัญหาหรือสบายไว้ จะมีคำพูดเหล่านี้ให้รู้จักและรู้สึกนึกคิด แล้วนำมาพูดกันต่อๆ ไปไหม ถ้าไม่มีคนพูดไว้ก่อน คำพูดทั้งหมดจะมีไหม และถ้าไม่มีคนไปให้ความหมายหรือคุณค่า ทุกสิ่งจะมีความหมายไหม?” ผมเลยถึงบางอ้อ ตอบท่านว่า “ก็ไม่มี”


    ท่านจึงอธิบายต่อว่า “เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครเป็นผู้หมดปัญหา หรือสบาย หรือที่ตรงข้าม คือไม่สบายก็ไม่มี เพราะคนไม่ได้เกิดมาจริงๆ ถ้าไปคิดเอา ไปรู้สึกเอาว่าเราหมดปัญหา เราสบาย ก็จะมีเราเป็นผู้หมดปัญหา เป็นผู้สบาย ถ้าไปคิดเอา ไปรู้สึกว่าเรามีปัญหา เราไม่สบาย ก็จะมีเราเป็นผู้มีปัญหา เป็นผู้ไม่สบาย” ผมเลยถามท่านว่า “ถ้าอย่างนั้นธรรมะก็ไม่มีสิอาจารย์?” ท่านตอบว่า “ก็ใครบอกว่ามีล่ะผู้ใหญ่!” เอ... หลวงพ่อครับ ถึงตอนนี้ผมงงจริงๆ ช่วยผมด้วยเถิด เพราะท่านกตธุโรทำหน้ายิ้มๆ และไม่คลี่คลายให้ผมแล้ว ท่านคงให้ผมนำไปคิดและผมก็ไม่กล้าถามท่านอีก


    หลวงพ่อแช่ม :อ๋อ... ผู้ใหญ่ยังติดใจคำพูดที่ว่าธรรมก็ไม่มีน่ะหรือ? มันช่างลึกซึ้งเสียจริงใช่ไหม? เราต้องการมาเรียนธรรม แต่ท่านกลับบอกว่าธรรมะก็ไม่มี ผู้ไม่รู้ก็ย่อมจะไม่รู้ แต่ผู้รู้จะรู้โดยไม่ลำบาก หลวงพ่อเข้าใจทั้งหมด


    ฟังนะผู้ใหญ่ สิ่งทุกๆสิ่งในโลกนี้มีอยู่(ธรรมชาติ) ธรรมะก็ดี อะไรๆ ก็ดี ล้วนแต่ถูกเรียกว่า “ธรรม” ทั้งสิ้น แต่ที่ท่าน กตธุโรว่าไม่มีนั้น ท่านพูดภาษาธรรมที่เป็น ปรมัตถ์ ว่ามันมีโดยธรรมชาติ แต่ไม่มีโดย คน หรือ ฉัน เรา หรือ ใคร ว่าเอา มันมีแบบเปล่าๆ ปลี้ๆ โดยบอกไม่ได้หรือไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร ที่บอกว่าคืออะไรๆ หรือธรรมะเป็นอะไรนั้น คนไปตั้งเอา ว่าเอา พูดเอา คิดเอาเอง เป็นสมมุติแทนสิ่งนั้นๆ (เป็นสัญญาหมายรู้ให้สิ่งนั้น) โดยที่ธรรมะหรือธรรมชาติจริงๆ เขาไม่เป็นอะไร ไม่เป็นตามที่สมมุติ แต่เขาเป็นเช่นนั้นเอง จะว่ามีก็ไม่ได้ จะว่าไม่มีก็ไม่ได้ และเพราะฉะนั้นที่บอกว่ามีว่าเป็นโดยสมมุตินั้นจึงมีไม่จริง ถ้าไม่ไปรู้สึกโดยการสัมผัสจริงๆด้วยจิต(วิญญาณ) ก็เท่ากับไม่มี ทั้งๆ ที่ทุกสิ่งก็มีอยู่ เช่นเวลาหลับสนิทจะไม่รู้เลยว่ามีอะไรบ้างในโลกนี้ ทั้งๆ ที่ธรรมทั้งหลายก็มีอยู่ เราหรือคนนี่แหละไปตั้งให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ชื่อนั้นชื่อนี้ โดยอวิชชา คือ ความไม่รู้ จึงเป็นสัญญาโมหะ หรือ สัญญาวิปลาส ที่จำกันมาผิดๆ รู้ผิดๆ เชื่อผิดๆ เรื่อยมา จนกระทั่ง โลภ โกรธ หลง ก็เห็นว่ามีจริง โดยที่ธรรมชาติเดิมๆ เขาไม่ได้เป็นอะไรมาก่อน แต่มาถูกปรุงแต่งให้เป็นนั่นเป็นนี่โดยความไม่รู้


    ผู้ใหญ่มา :ผมเข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ ช่างลึกซึ้งจริงๆ คำพูดของท่านคมและจ่อจิตจริงๆ ท่านน่าจะบวชต่อไปไม่สึกเลยนะครับ อ้อ! หลังจากที่ผมไม่กล้าถามท่านในเรื่องที่พูดว่าธรรมมะก็มีไม่จริง แต่ผมอดที่จะถามท่านไม่ได้ว่า “อาจารย์รู้ธรรมจนอย่างนี้แล้ว ทำไมจึงไม่บวชต่อละครับ?”


    หลวงพ่อแช่ม :แล้วท่านตอบว่าอย่างไร?


    ผู้ใหญ่มา :ท่านตอบว่า “ผู้ใหญ่ยังเห็นว่าพระมีจริงหรือ?” ผมตอบท่านว่า “มีซิครับ หลวงพ่อแช่มที่เป็นอาจารย์ผมท่านก็ยังเป็นพระสงฆ์บวชอยู่จนทุกวันนี้” อาจารย์กตธุโรท่านเลยถามผมว่า “เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่มี พระสงฆ์มีไหม?” ผมงงอีกแล้วหลวงพ่อ ต้องนึกอยู่นานจึงตอบท่านว่า “ไม่มีครับ” ท่านจึงเสริมว่า “ถ้าไม่มีคน จะมีพระได้อย่างไร พระก็มาจากคนและคนตั้งพระขึ้นมา” ผมจึงยอมจำนนให้ท่าน


    หลวงพ่อแช่ม :จริงของท่านกตธุโร มนุษย์คู่แรกเมื่อแรกเกิดมายังไม่รู้อะไรเลย หิวขึ้นมาก็ไปหาผลไม้มากิน พออิ่มก็รู้ว่าสบายเพราะหายหิว ถึงเวลานอนก็ไปเข้าถ้ำนอน และรู้จักสืบพันธุ์ตามธรรมชาติเหมือนกับสัตว์ทั้งหลาย และมีวิวัฒนาการเรื่อยมา จนถึงยุคที่มีฤาษี มีผู้แสวงหาความพ้นทุกข์ และถึงยุคพระผู้มีพระภาคเจ้า คือ พระสมณโคดม ซึ่งเป็น เจ้าชายสิทธัตถะ มาแต่เดิม จึงมีพระองค์แรกในโลกให้เป็นที่รู้จักกัน และพระองค์ทรงบัญญัติระเบียบวินัย พระธรรมวินัยขึ้นมาให้พระสงฆ์สาวกของท่านปฏิบัติต่อๆ กันมา โดยยังไม่มีตำราในสมัยนั้น


    เครื่องแบบของสงฆ์ก็ได้มีขึ้นนับแต่มีพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงมีเป็นสัญลักษณ์สืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าพระภิกษุองค์ใดเป็นพระแต่เพียงเครื่องแบบ โดยภายในจิตใจยังไม่หมดรูปแบบหรือติดเครื่องแบบอยู่ ก็ถือว่าเป็นเพียง สมมุติสงฆ์ ยังไม่ใช่ อริยสงฆ์ คำว่า “อริยะ” แปลว่า เจริญ หรือ ประเสริฐด้วยปัญญา บรรลุธรรมวิเศษ เห็นความจริงของสภาพธรรมตามที่เป็นจริง ไม่หลงสมมุติ ไม่ยึดติดในสมมุติ ทั้งรูปทั้งนาม หรือไม่ติดธรรมทั้งปวงนั่นเอง


    ผู้ใหญ่มา :แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าองค์ไหนเป็นพระแท้ล่ะครับ?


    หลวงพ่อแช่ม :ก็ต้องดูที่พฤติกรรมและความเป็นอยู่ของท่าน ถ้ารู้จักสังเกตและพิจารณาอย่างใกล้ชิดไปนานๆ จะทราบได้เองว่าความเป็นคน คือหลงสมมุติ ติดสมมุติ ยังมีอยู่ในจิตใจของผู้นั้นหรือไม่ ท่านยังขึ้นๆ ลงๆ กับคำสรรเสริญเยินยอหรือตำหนิติเตียนจากลูกศิษย์หรือญาติโยมหรือไม่ ถ้าใครเห็นไม้ใหญ่ซึ่งปักอยู่กลางทะเล ไม่ขึ้นไม่ลงตามน้ำทะเล คงปักนิ่งอยู่ฉันใด ก็เปรียบเสมือนใจซึ่งแน่วแน่มั่นคง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่ขึ้นไม่ลงไปตามกิเลสฉันนั้น


    ----แต่ใจใครก็ใจคนนั้น เขาจะรู้ของเขาเองว่ามีอาการดูดผลัก หรือยินดียินร้ายไปตามกิเลสด้วยหรือไม่ เอาหละ หลวงพ่อจะไม่ขอพูดมากกว่านี้ ประเดี๋ยวผู้ใหญ่จะงงกันใหญ่ คนเรามักจะชอบทำอะไรตามรูปแบบกันอยู่แล้ว ยิ่งรู้ว่าที่ไหนดีที่ไหนดัง ก็มักจะเฮโลตามกันไป


    ผู้ใหญ่มา :ผมขอเล่าอีกหน่อยนะครับ มีอยู่ตอนหนึ่ง ผมถามท่านกตธุโรว่า “ถ้าเรารู้ทุกสิ่งทุกอย่างจนไม่มีอะไรเหลือในจิตแล้ว อาจารย์จะรู้และยอมรับไหมว่าเราเป็นผู้รู้ ผู้ออกจากการยึดติด อาจารย์ตอบว่า “รับไม่ได้” ผมก็งง ต้องขอให้หลวงพ่อช่วยอธิบายอีกแล้วครับ


    หลวงพ่อแช่ม :เออ... ให้ได้อย่างนี้ซิ อุตส่าห์เก็บมาจากสระบุรี มาฝากให้หลวงพ่อตอบแทน นี่หรือศิษย์ของเรา! ฟังให้ดีนะ ผู้ใหญ่ เอาหมูไปชนกับช้างมันจะเหลืออะไรล่ะ?


    ที่ท่านกตธุโรตอบว่าไม่รับหรือรับไม่ได้ เพราะไม่มีผู้รู้หรือผู้ไม่รู้ต่างหาก ถ้าไปตั้งเอาว่ามีผู้รับหรือผู้รู้ก็เสร็จมันอีก มีเราในมันจนได้ โดยอดีตสัญญานั่นเองว่ามีผู้รู้ จึงปรุงให้เกิดเวทนาพอใจว่ามีผู้รู้จริงๆ ยุ่งทั้งนั้น แม้แต่รู้จนถึงอรูป (ไร้รูป) เหลือแต่จิตล้วนๆ ก็ไม่ใช่เรา ถ้ายิ่งปั้นจิตเล่นอยู่ก็ไปติดจิตอีก คิดว่าจิตเป็นของเรา รู้สึกว่ามีเราในจิตจนได้ เห็นไหมว่ามันละเอียดแค่ไหน?
    ---เอาหละ วันนี้พอแค่นี้ก่อน หลวงพ่อจะขอตัวไปงานสวดมนต์เย็นที่บ้านเหนือโน่น เขานิมนต์ไว้ ค่อยคุยกันใหม่วันหน้านะ


    ผู้ใหญ่มา :ผมกราบขอบพระคุณหลวงพ่อมาก ที่ให้ความกระจ่างจนถึงที่สุด ผมยังไม่เอาไหนเลยจริงๆ ต้องขยันให้มากกว่านี้


    หลวงพ่อแช่ม :จำเริญๆ เถิด


    ---------------------





    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 20 สิงหาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:35:43 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : 39 Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336563651380 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D20-08-2011%26group%3D1%26gblog%3D218&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336563651380&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=385975492&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336563651380 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>




    </TD><TD>Add to [​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <FORM method=post name=reply action=http://www.bloggang.com/reply.php?id=secret-world><INPUT name=code value=u7dba50=9kiw?74h?0j-dyibfa03_?|=93ppx3_k_fb3o1cffm81nw2yx5t3kl type=hidden>​


    </FORM>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  4. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    --ตัวอย่างจากภาค 1--เซ็นสยาม-- และภาค2
    ----------------------------------------
    บางตอน...ในเรื่องเล่าจากประสพการณ์จริง

    "ชอบเรียนลัด"

    ผมได้ทราบข่าวมาหลายปีแล้วว่าอาจารย์สอนธรรมะแบบเซ็น จึงตรงมาขอพบอาจารย์
    "ผมชื่อ สมภพ ครับ และจะขอฟังธรรมจากอาจารย์ชนิดที่ลัดสั้นที่สุดครับ"
    "เธอฟังนะ ธรรมะไม่มียาว ไม่มีสั้น ไม่มีรูปแบบใดๆทั้งสิ้น แม้ตัวธรรมยังไม่มีอีกด้วย"
    "อ้าว! อาจารย์ แล้วศิษย์จะเรียนกันอย่างไรเล่าครับ"
    "ไม่ต้องเรียนอะไรเลยจริงๆ"
    "แล้วผมจะรู้อย้างไรล่ะอาจารย์ อาจารย์บอกไม่มีรู้ เอ...ผมมาผิดที่หรือเปล่านี่"
    "ไม่ผิด และก็ไม่ถูกด้วย"
    "อย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ"
    "ใช่"
    "ขอฟังแบบสั้นที่สุด"
    "ทุกสิ่งมันว่างอยู่แล้ว ตั้งแต่เช้าจรดเย็น พอลืมตา ความว่างมันก็ทิ่มตาเธออยู่แล้ว"

    บางตอน...ในหัวข้อธรรมในคำกลอน

    ขันธ์ห้าเป็นของว่างวางไว้ก่อน
    แล้วมาย้อนคิดค้นเป็นคนหรือ
    หรือเป็นคนแค่กล่าวแบบข่าวลือ
    เลยเสียชื่อไม่พ้นว่าคนจริง
    จิตไม่มีรูปร่างแต่สร้างได้
    ไม่มีมา มีไปไร้ทุกสิ่ง
    เป็นสิ่งเดียวกับธาตุประหลาดจริง
    จิตนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆเลย

    อีกบางกลอน...ในภาคหัวข้อธรรมในคำกลอน

    ไม่มีเราในคนพ้นเด็ดขาด
    ไม่มีเราในธาตุขาดสูญหาย
    ไม่มีเราในธรรมย่ำเกิดตาย
    ไม่มีเรามาไปบนโลกเลย
    มันเป็นมันจริงๆทิ้งเราได้
    มันเป็นมันเกิดตายไปเฉยๆ
    มันเป็นมันไม่มีเราที่กล่าวเลย
    มันเป็นมันตั้งเสียเคยให้เป็นเรา
    ทั้งมันเราก็เปล่าๆและปลี้ๆ
    จึงไม่มีสิ่งใดจะให้กล่าว
    หมดทุกสิ่งทุกอันทั้งมันเรา
    จะต้องกล่าวไปใย"ไปนิพพาน"

    บางตอนของภาคธรรมะรายวัน

    ๑) คนทั้งหลายไม่กล้าที่จะทำความรู้สึกว่า ตนไม่มีจิตของตน เขากลัวว่าจะตกลงไปสู่ความว่าง ไม่มีอะไรจะเกาะยึดเหนี่ยวไว้

    ๒) คนบนโลกนี้มีแต่คนเมา เมากันหลายรูปแบบ เหล้ายา เงินทอง ความรัก แม้แต่ธรรมก็ยังเมากันเลย เมาอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับไม่รู้ว่าตัวกำลังเมาความเมาอยู่

    ๓) ท่านผู้ใดใจคดก็จะคดอยู่เป็นประจำ ท่านผู้ใดใจตรงก็จะตรงเสมอ แต่ท่านผู้ใด"ไม่มีใจ"สบายจัง

    ๔) วันนี้ฟ้าใสเดือนหงายจ้า ท่านที่มีใจขุ่นมัวมืดมนหม่นหมองอยู่ จงออกมายืนดูฟ้าสดใสแล้วทิ้งใจดวงมืดมนเสีย ท่านก็จะเห็นโลกสว่างจ้ากว่าดวงจันทร์เป็นไหนๆ

    ๕) นกที่บินไปในอากาศ ย่อมไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็นฉันใด คนทุกคนก็ไม่ควรทิ้งร่องรอยแห่งความเป็นคนไว้บนโลกอีก ฉันนั้น ยมบาลตามหาไม่พบแน่

    ๖) รถที่วิ่งได้เร็วเกินกำหนดไม่ควรนำเอามาใช้ ไฟถ้าควบคุมไม่อยู่ไม่ควรเอามาใช้ คนที่วิ่งเร็วเกินคนตัวเขาหายไปเลย ควรเอาไปบูชา

    ๗) การหนีจากกระท่อมโรงนามาอยู่คฤหาสน์หลังใหญ่ บอกมีความสุขนั้น หลายคนเข้าใจเช่นนี้ แต่ผู้ที่ไม่มีจิตของเขา อยู่ตรงไหนก็หลับสบายทั้งนั้น
    ---------------------------------------------------------------


    sumpasunya [​IMG]
    • [​IMG]
    ตอบ: <ABBR class=published title=2007-08-05T09:48:24+00:00>05/08/2007 - 16:48</ABBR>

    ผมชอบเรื่องราวเกี่ยวกับเซน เพราะว่าเซนอธิบายเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่าย ผมยังจำความรู้สึกครังแรกที่อ่านได้... รู้สึกว่าจิตใจเบาสบายขึ้นมาก(แล้วทำให้เห็นความจริงว่าในหลายๆเรื่องนั้นแท้แล้วผมก็คิดมากไปเอง เรื่องจริงๆแล้วมันง่ายกว่านั้นเยอะ) ที่ผมมีโอกาสเคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเซนก็เพราะมีคนเอาหนังสือมาให้ลองอ่าน...อ่านแล้วก็ติดใจ อยากจะอ่านอีก ขอบคุณครับ
    -----------------------------------------------
    --ได้รับหนังสือเรียบร้อยแล้วนะคะ ขอขอบพระคุณมากค่ะ ได้อ่านไปแล้วบางส่วนยังไม่จบ เห็นกระทู้ข้างบนเลยอยากช่วยพิมพ์ที่อ่านไปบ้างแล้วให้บ้างนะคะ
    ----------------------
    ผู้ที่เข้าใจผิด

    1) เข้าใจว่ากายใจเป็นคน เป็นตัวตนของตน จึงหลงในสมมติ คำว่าสมมตินั้นเป็นของสร้างขึ้นด้วยจิตกับกายที่มีชีวิตประกอบกัน จึงมีรู้ รับรู้ จึงตั้งว่ารู้คือจิตวิญญาณ แท้ที่จริงเป็นของสร้างขึ้นทั้งหมด จึงยึดไม่ได้เลยสักสิ่งเดียว

    2) ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จนเข้าใจจิตว่าจิตก็มิได้มีอยู่จริง กายก็มิได้มีอยู่จริง จึงหมดยึดสิ่งใดๆ บนโลกนี้เสียแต่ก็อยู่ด้วยกันกับสิ่งทุกสิ่ง เหมือนน้ำกับน้ำมันเช่นนั้น

    โพล่งออกมา

    ท่านอย่าเป็นผู้นึกคิดเสียเอง เป็นแต่เพียงผู้ดูก็พอแล้ว ดอกบัวจะบานกลางกองไฟ

    ธรรมชาติแท้แห่งจิต

    เพียงแต่เธอรู้จักธรรมชาติแท้แห่งจิตของเธอเองเท่านั้น ซึ่งในธรรมชาตินั้นไม่มีตนเองและผู้อื่น แล้วเธอก็จะเป็นพุทธะองค์หนึ่งจริงๆ

    เธอหยุดการปรุงเร้าความคิด และการคิดค้นในเรื่องอันว่าด้วยความมีอยู่และความไม่มีอยู่ ยาวสั้น คนอื่นหรือตัวเอง ผู้กระทำ ผู้ถูกกระทำเสียให้จบสิ้นเท่านั้น เธอจะพบว่าจิตของเธอเป็นพุทธะโดยแท้จริง จิตเป็นสิ่งที่คล้ายกับความว่าง พุทธะจึงว่างนั่นเอง
    (หน้า 15-16)

    เซ็นสอนอย่างนี้

    การทำตัวเองให้ลืมตาโดยฉับพลันต่อความจริงที่ว่า จิตของเธอนั่นแหละคือพุทธะ และว่าไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุ หรือไม่มีอะไรเลยสักสิ่งเดียวที่จะต้องปฏิบัตินี้คือวิธีชั้นยอดสุด แล้วเธอจะเป็นพุทธะโดยแท้จริง

    การสลัดสิ่งทุกสิ่งออกไปเสีย นั่นแหละคือตัวธรรม การสลัดสิ่งที่เป็นมายาทุกสิ่งออกไปเสียนั้นต้องไม่เหลือธรรมะอะไรๆ ไว้ให้ยืดถือกันจริงๆ

    เถรวาทสอนอย่างนี้

    นิพพานไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่นิพพาน ผู้ใดเข้าถึงซึ่งนิพพานได้ จิตที่ทำหน้าที่การงานทางใจก็ยังคงทำหน้าที่ไปตามปกติ จิตที่ติดดีชั่ว จะหมดไปเหลือแต่จิตรู้สึกว่ารู้อารมณ์ทางใจ มีสภาพหมดภาระ โปร่งโล่งไร้ขอบเขต มองเห็นความว่างจากตัวตนจากทุกข์ที่อยู่ในสิ่งเป็นหนึ่ง สงบเบิกบาน แล้วไม่ส่งไปส่ายมา จิตนี้มันก็เกิดดับไป แต่ไม่มีทุกข์ด้วย มันเกาะอยู่กับกายใจแล้วมันหลุดออกจากเปลือกกายใจ และไม่เกาะแม้แต่ความว่างด้วย กายใจก็ปล่อยให้เป็นของๆ โลกไปตามเหตุแต่ละเหตุ แต่จิตนี้ก็ยังต้องรักษากายใจไว้เหมือนกับไปยืมผู้อื่นเอามาใช้ จึงหมดธุระการงานทางจิตทางใจ จึงไม่ต้องทำอะไรอีกเลย

    สอนแบบเถรวาท (เนิ่นช้า) หลุดออกพ้นเหมือนเซ็นอย่างเดียวกัน (ใครชอบแบบไหนได้ทั้งนั้น)
    (หน้า 19-20)

    ไม่อยากเกิดอีก

    นักศึกษาใหม่มาพบอาจารย์ แล้วรายงานการปฏิบัติว่า

    "ผมกำลังดูรูปกับนามอยู่ประจำ ไม่มีเกิดไม่มีตาย มีแต่รูปกับนามเท่านั้น หนาวหรือร้อนก็รูปนาม มันเป็นเอง ไม่มีเราหนาวร้อนด้วยจริง แล้วผมจะต้องทำอย่างไรต่อไปครับอาจารย์"

    อาจารย์ก็ว่า "เธอนึกเอาคิดเอาทั้งหมดนั่นแหละ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพราะมันไม่มีอยู่จริง ของไม่มีเธอจะไปทำอะไรกับของไม่มีกันเล่า ธาตุทั้งหกรวมเป็นรูปนาม มันก็เป็นของไม่มี จึงไม่ต้องทำอะไรเลยจริงๆ เพราะเธอไม่ประสีประสากับมันเท่านั้น จึงหลงเกิดตายอยู่ทุกขณะจิต ไปเห็นจิตก็มี เลยเกิดจิตปรุง ก็ปรุงเกิดตายไหลไป ถ้าหยุดปรุงความคิด ก็ปิดการตายเกิดได้แล้ว จะต้องทำอะไรกับความว่างเล่า"
    (หน้า 49)
    -------------------------------------------

    สวัสดีครับ แวะมาทักทาย บ้านผมอยู่ ต.เนินพระ เหมือนกัน เริ่มศึกษาธรรมได้ 2ปีกว่าเอง ชอบ พุทธศาสนา แบบเซน , ธิเบต เรื่องจิต ถ้ามีอะไรช่วยแนะนำด้วยครับ
    chatchai@lt.co.th



    นัสรูดิน[​IMG]
    • [​IMG]
    ตอบ: <ABBR class=published title=2009-07-04T03:45:12+00:00>04/07/2009 - 10:45</ABBR>
    หนังสือในส่วนที่กระผมแจกอยู่หมดเกลี้ยงแล้วครับ

    หากมีผู้ที่สนใจอยากได้หนังสือนี้จริงๆ อาจจะมีหนังสือเหลืออยู่บ้างที่ "ชมรมเพื่อนคุณธรรม โทร.๐๒ ๔๓๕ ๖๒๕๓, www.kunnadham.com" ลองติดต่อสอบถามข้อมูลไปที่นี่ได้ครับ

    สำหรับกระทู้นี้ขอปิดไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  5. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:38:49 น.-->หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค7 --หลวงพ่อแช่มจอมทัพรบกิเลส-3

    <!-- Main -->สมมุติไม่จริง

    มันเป็นมันของมันเจ้าขันธ์ห้า
    ใครกันตั้ง เจ้ามาให้มีอยู่
    เพราะมีคนจึงบัญญัติตรัสรู้
    เพื่อให้ดูเป็นหมู่หมู่เป็นกองกอง
    จะได้แยกได้แยะแกะทุกขันธ์
    หมดตัวมันตัวกูผู้เกี่ยวข้อง
    โลกเขาปั้นขึ้นมาเป็นห้ากอง
    คนสมมุติเข้าครองเป็นตัวกู
    คนเลยติดสมมุติไม่หลุดออก
    ฉันเคยบอกอยู่บ่อยบ่อยไม่ค่อยรู้
    ว่าสมมุติมันไม่จริงยิ่งเฝ้าดู
    ที่ว่ารู้หรือไม่รู้ก็ตู่เอา

    กตธุโร
    ติดว่าง

    คนเข้าใจความว่างอย่างผิดผิด
    เลยไปติดความว่างอย่างเหลือหลาย
    ว่างอย่างสูญญากาศขาดใจตาย
    ว่างอย่างนี้ ใช้ไม่ได้ นึกเอาเอง
    ไปเหมาเอาว่าว่างกระทั่งหมด
    เหมือนน้ำท่วมเขาโขดโจษกันเขลง
    ไม่เหลืออะไรขัดขวางดูวังเวง
    นึกเอาเองโดยสัญญา ว่ามันจริง
    ว่างพุทธะนั้นสละทิ้งขันธ์ห้า
    เพราะรู้ว่าเป็นธาตุสะอาดยิ่ง
    มันเป็นธรรมเกิดดับกลับไม่จริง
    ทุกทุกสิ่งถ้าหมดเราเขาว่างเอง

    กตธุโร

    อย่าให้เหลือ

    ถ้ามีดูดมีผลักก็หนักเหลือ
    ยังมีเชื้ออะไรทำให้หลง
    ถึงยังต้านยังตามทำให้งง
    ต้องหมดหลงตามต้านกันทุกคน
    ต้องตรวจแล้วตรวจอีกอย่าหลีกหนี
    ดูให้ดีถ้ามีเชื้อเหลือให้ขน
    ถ้ามีเชื้อหรือยังเหลือเชื้อของคน
    จะติดวนเกิดตายไปตามกรรม
    ไม่ขอเกิดขอก่อพอชาตินี้
    ขอสุดสิ้นกันทีหนีสิ่งต่ำ
    เพราะทนทุกข์โถมทับรับแต่กรรม
    ขาดสะบั้นโดดข้ามเข้านิพพาน

    กตธุโร
    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๘
    --------------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ วันนี้พาเด็กน้อยลูกใครมาด้วยล่ะ หรือจะไปไหนกันต่อ?
    ผู้ใหญ่มา :เปล่าครับหลวงพ่อ มันมีอะไรแปลกๆขึ้นมา ก็เลยมาคุยให้หลวงพ่อฟังเด็กน้อยคนนี้คือลูกชายทิดวัยกับแม่หวานที่อยู่ท้ายบ้านผมนั่นแหละ มันเก่งกาจกว่าเด็กอื่นในละแวกเดียวกัน เป็นเด็กเจ้าปัญญา รู้เร็ว จำแม่น พูดจาฉะฉานไม่กลัวใครทั้งสิ้น มันรู้อะไรๆ มากจนใครๆ เรียกว่าเด็กแก่รู้ หลวงพ่อลองทดสอบแกดูซิครับ
    หลวงพ่อแช่ม :เออ หลานชายชื่ออะไรนะ? บอกหลวงปู่หน่อย
    ด.ช.วอน :ผมชื่อ “วอน” ครับ เป็นลูกชายพ่อวัยกับแม่หวานครับหลวงปู่ ผมอายุ ๑๒ ปี เรียนหนังสืออยู่ขั้น ป.๖
    หลวงพ่อแช่ม :ไหน... ได้ข่าวว่าหลานรู้อะไรๆ มากมายเหลือเกิน ช่วยเล่าให้หลวงปู่ฟังบ้างซิ
    ด.ช.วอน :ผมไม่ทราบว่ารู้มากหรือเก่งกาจเป็นอย่างไร แต่รู้ว่ามันรู้ของมันเอง ผมแปลไม่เป็นครับ คำว่า “เก่งกาจ” เช่นผมเห็นพ่อแม่ทำนา หว่านข้าว แล้วก็เก็บเกี่ยวเข้ายุ้งทุกปี แล้วก็เอาไปหว่านใหม่ เก็บเกี่ยวใหม่อีก ทำอยู่เช่นนี้ ๗ ปีแล้ว เวียนไปเวียนมาอย่างนี้ จะเรียกว่าอย่างไรล่ะครับ?
    เช่นเดียวกับผมไปโรงเรียน เห็นครูพนมท่านใช้ชอล์กเขียนบนกระดานดำ เขียนไปอธิบายไป แล้วก็ลบออก ลบแล้วก็เขียนอีก เขียนๆ ลบๆ อยู่อย่างนี้เป็นปีๆ ผมละเบื่อ ไม่รู้ว่าทำไปทำไม ทำแล้วได้อะไรกัน ไม่ทำไม่ได้หรือ? ผมถามใคร ใครก็ตอบไม่ได้ พ่อผมก็หาว่าผมจะบ้าแล้วหรือ
    แม้การที่คนกินข้าววันละ ๓ มื้อ ผมก็ถามพ่อว่าไม่เบื่อบ้างหรือ? บ้านไหนๆ ก็มีคนกินข้าวกันทั้งนั้น ทุกวันทุกเดือนทุกปี แล้วจะหยุดกินกันตอนไหน ? พ่อก็ตอบ ตอนตายน่ะซี ครับ ผมก็เห็นจริงว่าตายแล้วหยุดกิน ปู่แม้นแกหยุดกินจริงๆ เมื่อวานซืนนี้ และเขาเอาปู่แม้นไปเผาแล้ว แกเลยไม่ต้องกินข้าวอีกต่อไป แต่คนที่ยังเดินได้วิ่งได้ ต้องกินทุกวัน แล้วอย่างนี้แล้วหลวงปู่จะอธิบายให้ผมหายข้องใจได้ไหมครับ ทำไมจึงต้องทำอะไรๆ ซ้ำซากเปลี่ยนไปเปลี่ยนมากันทุกเรื่อง?
    หลวงพ่อแช่ม :เออ... พ่อหลานชายเอ๋ย เจ้าก็ช่างสังเกตดีแท้ ผู้ใหญ่บางคนอายุมากแล้วยังไม่เคยเฉลียวใจอย่างเจ้าเลย การที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เสมอ ภาษาพระเขาเรียกว่า “อนิจจัง” แปลว่า ไม่คงที่ ไม่สามารถจะทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป จึงต้องเปลี่ยนแปลงในตัวมันเอง ต่อไปถ้าเจ้าได้เรียนรู้ความจริงของโลกและทุกสิ่งในโลก เจ้าจะเข้าใจและเห็นแจ้งเร็วกว่าใครๆ แน่นอน ขอให้ตั้งใจติดตามผู้ใหญ่มา หรือคนที่เจ้าเห็นว่าเขาสอนให้เข้าใจถูกต้องก็หมั่นเงี่ยหูฟังก็แล้วกัน
    ด.ช.วอน :หลวงปู่ครับ วันก่อนเขามีงานลอยกระทง ผมเก็บเทียนไว้หลายแท่งก็เอามารวมกัน เพื่อจะปั้นควายเล่นสักตัว พอเอาไปตากแดดประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น มันละลายหมด ไม่เหลือเทียนอีกเลย ผมนั่งดูมันจึงเห็นว่า เจ้าเทียนไขนั่นมันคุมตัวเองไม่ได้ ใช่ไหมครับ? มันจึงถูกละลายไปโดยความร้อนของแสงแดด ผมนั่งคิดถึงเรื่องปู่แม้นที่ตายไป จึงบอกตัวเองว่า ปู่แม้นก็คงจะคุมตัวแกเองไม่ได้เช่นเดียวกัน แกจึงไม่มีชีวิตอีกต่อไป พอไม่ได้อาหารไม่ได้กินข้าว เพราะกินไม่ได้แกเลยตาย และถูกนำไปเผา แล้วปู่แม้นก็หายไปเลย ผมว่าหลวงปู่และผมต่อไปก็คงจะเป็นอย่างนี้ใช่ไหมครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :อือ... เข้าท่า ถูกของเจ้า จริงของเจ้าทั้งหมด เจ้าช่างคิดและมีเหตุมีผลจริงๆ มีอะไรอีกไหม?
    ด.ช.วอน :เวลาเล่นฟุตบอล ผมก็คิดว่ามันเรื่องเล่นๆ แบบเด็กเล่นของเล่น เพราะชื่อมันก็บอกว่า “เล่นฟุตบอล” หรือเล่นกีฬาอื่นๆก็น่าจะเหมือนกัน คนเขาเล่นกันทั่วโลก จะเรียกว่าเป็นเรื่องจริงได้อย่างไร แต่ครูพนมและครูคนอื่นบอกว่า เป็นเรื่องจริง เขาต้องเล่นกันจริงๆ ให้ได้ชัยชนะ ทีมโรงเรียนของเราจะแพ้ไม่ได้ มิฉะนั้นจะเสียชื่อบ้านคุ้งนามอญหมด แล้ว แพ้-ชนะมันมีจริงหรือหลวงปู่? แต่ก่อนผมไม่เห็นโรงเรียนนี้มีสนามฟุตบอลเลย ต่อมาเขาสร้างขึ้นมาใหม่ การเล่นฟุตบอลจึงมีและเพิ่งมี และมันจะเป็นเรื่องมีจริงๆ ได้อย่างไรในสิ่งใหม่ๆ เรื่องใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลัง
    หลวงพ่อแช่ม :เออ... ใช่ จริงของเจ้า คำว่า “เล่น” ก็คือเล่น แปลว่าทำไม่จริง ทำเล่นๆ แต่คนเขานึกว่าทำจริงๆ ก็เลยคิดว่าเล่นฟุตบอลจริงๆ มีแพ้-มีชนะจริงๆ ตามที่เขารู้-และเขาเข้าใจผิดๆ “สิ่งที่จริงต้องมีอยู่และไม่เปลี่ยนแปลงเลย” เจ้าช่างสำคัญนัก!
    ด.ช.วอน :โอ... หลวงปู่ ผมคงคิดว่าหลวงปู่คงจะกำลังเข้าใจผิดแล้วครับ เรื่องที่ว่าผมสำคัญนั้น มันไม่จริงหรอก หลวงปู่พูดเอาเองเดี๋ยวนี้เอง ผมยังไม่รู้เลยว่าสำคัญอย่างไร หลวงปู่ตั้งขึ้นเองใช่ไหมครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :เออ... จริงของเจ้า หลวงปู่ก็เพิ่งจะรู้ว่า เจ้าสามารถรู้ทัน และเรียนทันคนแก่ได้ ในสมัยพุทธกาลมีมาแล้วที่เด็กอายุ ๗ ปี ๑๕ ปี สามารถบรรลุธรรมได้ (เห็นความจริงของสิ่งทั้งปวงตามความเป็นจริง) แต่ปัจจุบันนี้หลวงพ่อเองก็นึกไม่ถึงว่าจะมีเด็กอายุ ๑๒ ปี เข้าใจธรรมได้ลึกซึ้งอย่างเจ้าหลงเหลืออยู่ให้พบให้เห็นได้
    นี่แหละโยมผู้ใหญ่ เราประมาทไม่ได้เลย “ในป่าย่อมมีช้างเผือกได้ฉันใด ในทะเลก็ย่อมจะมีพญามังกรได้ฉันนั้น” ไม่จำเป็นต้องเรียนจนจบพระไตรปิฎกมากมายเลย เพียงสังเกตและใคร่ครวญดูธรรมชาติให้ถี่ถ้วนด้วยปัญญาก็จะเห็นธรรมได้ แล้วแต่บารมีของใครจะมีมากพอทั้งอดีตและปัจจุบัน แต่สำคัญที่ปัจจุบันรู้จักเร่งขวนขวายอดทนและมีความเพียรที่จะเรียนรู้ ก็สามารถจะรู้ธรรมเห็นธรรมได้ไม่ยาก แต่ก็มีเด็กๆ ขนาดเจ้าน้อยมากนะที่จะรู้ได้อย่างนี้ หลานวอน
    (พอดีนายฉุยโผล่มา หลวงพ่อแช่มจึงสั่งให้ไปหยิบขนมให้ ด.ช.วอน แต่ ด.ช.วอนกลับพูดอย่างน่าคิดว่า “ขนมหวานเขามีไว้ให้เด็กเล็กๆ เท่านั้น ผมโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องกินหรอก” เท่านั้นแหละทิดฉุยก็เริ่มส่งเสียงทันที)
    ทิดฉุย :แกน่ะหรือเจ้าวอนโตแล้ว ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเลย จะเผยอพูดว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แกเป็นลูกเต้าเหล่าใครกันวะ ช่างเจรจาไม่เหมือนเด็ก แต่ออกจะแก่เกินเด็กไปแล้วนะ
    ผู้ใหญ่มา :อ้าว! ทิดฉุย เพราะช่างเจรจาเกินเด็กน่ะซี ลุงจึงได้พาเขามาพบหลวงพ่อ และหลวงพ่อยอมยกให้เขาเป็นพญามังกรไปแล้ว
    ทิดฉุย :งั้นหรือ แล้วหลวงลุงจะให้ฉุยเป็นอะไรล่ะครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :เอ็งน่ะหรือ! ต้องยกให้เป็นพญามังกือ ดีไหม?
    ทิดฉุย :หลวงลุงอย่าดูถูกผมนะ เดี๋ยวนี้ผมไม่แตะต้องมันแล้ว เหล้า บุหรี่ การพนันทุกชนิด เที่ยวเตร่ไม่เป็นเรื่องก็เลิกหมดแล้ว เหลืออย่างเดียวเท่านั้น คือ นอนตื่นสายขี้เซา เออ... เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า ว่าแต่เจ้าเด็กน้อยวอนเอ๋ย ที่เอ็งบอกว่าไม่กินขนมหวานนั้น เอ็งหมายถึงขนมหวานในจานอย่างนี้ หรือมีความหมายอย่างอื่น ข้าเห็นใครๆ ก็กินนี่หว่า แม้กระทั่งผู้ใหญ่อายุมากกว่าข้า
    ด.ช.วอน :ผมพูดออกไปอย่างนั้นเอง เพราะเห็นว่าลุงฉุยไม่รู้จักผม ไม่เคยคุยกับผมมาก่อน มาถึงก็เห็นผมเป็นเด็กน้อยแต่ข้างนอก โดยหารู้ไม่ว่าข้างในผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมไม่เล่นไม่หัวอย่างเด็กๆ แล้ว จะว่าผมเป็นเด็กได้อย่างไร?
    หลวงพ่อแช่ม :หลวงปู่ขอเสริมให้เจ้านะ หลานวอน เจ้าฉุยฟังนะ!“ ในสมัยพุทธกาลเคยมีสามเณรองค์หนึ่ง ท่านเป็นอรหันต์ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่พระซึ่งเป็นพระปุถุชน (รู้เช่นปุถุชนคนธรรมดา) อีกองค์หนึ่งไม่รู้จักท่าน ชอบไปลูบศีรษะของท่านเล่น พระพุทธเจ้าเห็นเข้าจึงทรงออกอุบายให้พระอรหันตสาวกองค์ใดองค์หนึ่งรับอาสาไปนำน้ำจากสระอโนดาษมาให้พระองค์ พระองค์จะสรงน้ำจากสระนั้น แต่พระอรหันต์ทั้งหลายที่มีฤทธิ์เดชทำเฉยเสีย คงมีสามเณรน้อยองค์นี้องค์เดียวที่รับอาสาและกระทำให้สำเร็จโดยรวมบาตร ๖๐ ใบเข้าด้วยกัน แล้วเหาะไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาพร้อมกับน้ำจากสระอโนดาษ พระปุถุชนที่ชอบลูบศรีษะสามเณรน้อยเล่นจึงรู้สึกตัว และกราบขอขมาสามเณรอรหันต์องค์นั้น พร้อมทั้งกล่าวว่าจะเลิกประพฤติเล่นหัวกับท่าน”
    นี่ก็เหมือนกัน เจ้าฉุย แกยังไม่รู้จัก ด.ช.วอนดี จึงไม่เห็นความเก่งกาจของเขา แบบเดียวกับเรื่องวรรณคดีสังข์ทองนั่นไง บรรดาหกเขยถูกตัดจมูกและใบหู เพราะต้องงอนง้อเงาะป่า ซึ่งพวกเขาดูถูกเพราะไม่รู้ว่าเจ้าเงาะมีเนื้อทองซ่อนอยู่ข้างใน และมีความสามารถช่วยกู้หน้ากู้ตาพวกเขาและพ่อตาของเขาไว้ได้ด้วย
    ทิดฉุย :ครับ ขอบคุณครับหลวงลุง ต่อไปผมจะระวังให้มากกว่านี้ จะรู้จักดูตาม้าตาเรือให้ดี ขอโทษนะ พ่อวอน ลุงไม่ทันดู ไม่ทันคิด ว่าเจ้าจะเป็นเด็กฉลาด และมีสติปัญญาดีกว่าผู้ใหญ่อย่างลุงเสียอีก ดีแล้วต่อไปลุงจะขยันเรียนธรรมให้มีปัญญามากขึ้น จะได้คุยกับเจ้าให้สนุกไปเลย
    ด.ช.วอน :โอ... ผมไม่เอาด้วยนะครับ คุยให้สนุก ถ้าคุยให้เกิดปัญญาละก็เอาแน่
    ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ ผมคิดว่าจะพา ด.ช.วอนไปสระบุรี ไปให้ท่านกตธุโรชี้แนะสั่งสอนบ้างจะดีไหม? เผื่อแกจะได้ฟังสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญญากว้างขวางกว่านี้
    หลวงพ่อแช่ม :ก็ดีเหมือนกัน ผู้ใหญ่จะลองดูก็ได้ แล้วกลับมาเล่าให้หลวงพ่อฟังบ้าง
    ผู้ใหญ่มา :กลับกันเถอะ หลานวอน เรากราบลาหลวงพ่อ (หลวงปู่) กันได้แล้ว วันหน้าค่อยมาใหม่
    ด.ช.วอน :กระผมกราบลาหลวงปู่ล่ะครับ สวัสดีลุงฉุยด้วยครับ
    ผู้ใหญ่มา :ผมกราบลาละครับ หลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :อือ... สวัสดี จำเริญๆเถอะ ทั้งสองคน
    ---------------------

    ใครตาย ?

    ใครก็ตายแน่แน่แก้ไม่ได้
    ไม่ว่าใครก็ตายกันทั้งนั้น
    เห็นว่าคนตายจริงยิ่งอัศจรรย์
    ดูดีดีคนคนนั้นตายไม่จริง
    ที่ตายตายคนไม่ใช่กลายเป็นธาตุ
    น่าประหลาดตั้งเป็นคนให้วนยิ่ง
    คนมาหลงปั้นธาตุอนาถจริง
    สิ่งทุกสิ่งเป็นธาตุขาดจากคน
    มีเกิดแก่เจ็บตายเดินไปมา
    เพราะสัญญาตั้งไว้จึงได้ผล
    ถ้าคนแรกไม่ตั้งมาว่าเป็นคน
    จะไม่วนเกิดตายในโลกเลย

    กตธุโร

    ผู้ฉลาด

    ถ้าเรื่องเล่นก็ต้องเล่นให้เป็นจริง
    อย่าทอดทิ้งธุระจะเสียหาย
    ใครไม่รู้แต่เรารู้อยู่แก่ใจ
    ที่เกิดตายไม่ใช่เราเขาเป็นเอง
    หัวเราะได้ร้องไห้ได้ว่ากายข้า
    เที่ยวร้องท้าถ้วนทั่วว่าตัวเก่ง
    ทำทั้งดีและทั้งชั่วไม่กลัวเกรง
    นรกสวรรค์จึงได้เร่งคอยรับเอา
    ทิ้งสวรรค์ทิ้งนรกอย่าตกอยู่
    ท่านผู้รู้จึงไม่อยู่กับความเขลา
    ผู้ไม่รู้จึงวิ่งอยู่สู้กับเงา
    อย่าหลงเฝ้าเรื่องไม่จริงควรทิ้งไป

    กตธุโร

    อรหันต์ย่อมรู้เอง

    ยศตำแหน่งแต่งตั้งเพื่อหวังผล
    แม้แต่คนก็ยังตั้งวางหน้าที่
    สมมุติตั้งทุกสิ่งอย่างต่างต่างมี
    เพื่อให้รู้หน้าที่และใช้งาน
    อย่าติดยศและหน้าที่ติดที่อยู่
    ติดตัวรู้ยังต้องละสละอรหันต์
    ไม่ต้องติดที่คนตั้งหวังนิพพาน
    อรหันต์หรือไม่หันย่อมรู้เอง
    ผู้ไม่รู้ก็ย่อมอยู่รวมรวมกัน
    ผู้เป็นอรหันต์ไม่อวดเก่ง
    ใครจะหันหรือไม่หันท่านรู้เอง
    อย่าอวดเก่งพวกติดกามตามไม่ทัน

    กตธุโร
    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๙
    --------------------
    หลวงพ่อแช่ม :เจ้าฉุยๆ ไปดูซิใครมา ได้ยินเสียงสุนัขมันเห่ากันใหญ่ผิดสังเกต คงไม่ใช่คนบ้านเรามาแน่
    นายฉุย :จริงของหลวงลุงครับ มีคนมาหา เขาบอกว่าชื่อ “เมือง” เป็นลูกผู้ใหญ่มา ผมเลยเชิญเขาขึ้นมาพบหลวงลุงเลย
    นายเมือง :นมัสการครับหลวงปู่ ผมเป็นลูกผู้ใหญ่มาครับ วันนี้พ่อให้นำปิ่นโตมาถวายหลวงปู่ก่อน บ่ายๆ พ่อจึงจะมาได้ พ่อบอกว่ามีธุระที่อื่นในช่วงเช้า จึงให้ผมมาแทน และผมจะกราบลาเลยนะครับ เพราะมีงานเลี้ยงควายค้างอยู่ ผมปล่อยมันไว้กลางทุ่ง กะว่ามาประเดี๋ยวเดียวคงไม่เป็นไร
    หลวงพ่อแช่ม :ถ้างั้นก็รีบไปเถอะ เจริญพรนะ
    นายเมือง :แต่เอ... ผมนึกอะไรออกอย่างหนึ่ง ก่อนมาผมฝาก เจ้าพ่อวังอ้ายด่างช่วยเฝ้าควายไว้ มันคงไม่ไปไหน ผมยังไม่ต้องรีบกลับก็ได้
    หลวงพ่อแช่ม :เอ๊ะ! เจ้าพ่อไหนจะเลี้ยงควายได้ล่ะ มันไม่ใช่คนนี่นา
    นายเมือง :เชื่อผมเถอะครับหลวงปู่ ก็คราวก่อนหลวงปู่จำไม่ได้หรือที่โค่นต้นงิ้วกัน แล้วต้นงิ้วล้มฟาดใส่ผมแทบตาย ผมเลยเชื่อมาจนบัดนี้ว่าเจ้าพ่อมีจริง และเมื่อคราวไถนาปีที่แล้วนั้นก็อีกครั้งหนึ่ง แม่เอาข้าวหาบมาส่งให้พ่อ และขณะที่ผมกำลังไถนากัน สุนัขที่บ้าน ๔-๕ ตัว มันตามแม่มากลางทุ่ง พอมันเห็นลูกควายออกใหม่ๆ มันก็วิ่งไล่กัดของคนอื่นเขาแท้ๆ แม่ผมเอาไม้ไล่ตีมัน เอาก้อนดินขว้างมัน มันก็ไม่ยอมกลับ แม่ผมจนปัญญา เลยบนบานศาลกล่าวต่อเจ้าพ่อวังอ้ายด่าง ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นสุนัขพากันกลับหมดโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรอีก เสียกัญชาไป ๕ มวนเท่านั้น ได้ความเลยครับ เพราะฉะนั้นผมจึงมาหาหลวงปู่โดยไม่มีกังวล เพราะได้ฝากควายกับเจ้าพ่อไว้แล้ว
    หลวงพ่อแช่ม :ไปกันใหญ่แล้ว เจ้าเมือง ไปหลงเชื่อเรื่องงมงายอย่างนี้ได้อย่างไรกัน อย่าประมาทไปนะ ประเดี๋ยวกลับไปเกิดควายหายหมดจะทำอย่างไร? รีบกลับได้แล้ว อย่ามัวคุยอยู่อีกเลย
    นายเมือง :ครับ หลวงปู่ ก่อนจะไปผมขอให้หลวงปู่ช่วยเล่าประวัติเจ้าพ่อวังอ้ายด่างให้ผมฟังสักหน่อยเถอะครับ ผมจะไม่โอ้เอ้อีกแน่นอน
    หลวงพ่อแช่ม :แล้วอย่าหาว่าหลวงปู่ไม่เตือนนะ ถ้าควายเกิดหายไปเจ้าจะเดือดร้อน
    คืออย่างนี้ เดิมทีในบริเวณทุ่งทั้งหมดนี้เป็นป่ารก มีต้นไม้ใหญ่สลับกันอยู่กับพงหญ้า มีน้ำเฉพาะในลำคลอง และบริเวณที่เป็นวังอ้ายด่างนั้นน้ำลึก แต่ในช่วงปีที่เกิดเหตุการณ์นั้น น้ำเกิดน้อยขึ้นมา จระเข้ในคลองพากันหนีไปอยู่ที่อื่นเหลือพญาจระเข้ตัวหนึ่งหนีไปไม่ได้ มันจึงกระเสือกกระสนไปจากวังไปทางใต้ แต่ไปติดอยู่ที่คลองอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ติดกับอำเภอบ้านแพรก คนแถวนั้นรู้ข่าวก็พากันมามุงดู พร้อมทั้งนำอาวุธมาด้วยช่วยกันทิ่มแทงจนจระเข้ตาย พอมันตายแล้วคนเหล่านั้นต่างพากันเสียใจและสำนึกผิดในบาปที่ได้กระทำ เพราะจระเข้ไม่มีความผิดอะไร จึงเกิดความสงสารขึ้นมาและต้องการจะชำระบาป จึงประชุมกันตกลงให้จัดสร้างศาลาไว้ที่วังไงล่ะ และให้ชื่อว่า “วังอ้ายด่าง” ตามสัญลักษณ์ของจระเข้ที่ตาย ซึ่งมีตัวใหญ่ยาวอายุมาก และที่หัวมีรอยด่างด้วย เรื่องมันก็มีแค่นี้ เจ้าอยากรู้ไปทำไม? และลูกหลานต่อๆ มาก็เห็นศาลเจ้าพ่อนี้มีอยู่แล้ว
    นายเมือง :เอ... หลวงปู่ครับ ทำไมศาลนี้จึงศักดิ์สิทธิ์ล่ะครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :เพราะจิตหลายจิตหรือหลายความคิดรวมกันสร้างด้วยแรงศรัทธาและสำนึกในบาปกรรม มันก็อาจจะเป็นเรื่องที่ผูกพันจิตใจกันต่อๆ มา จึงพูดกันว่าศักดิ์สิทธิ์... ในโลกนี้ยังมีอะไรๆ อีกมากที่คนเรายังค้นไม่พบ และไม่รู้ว่าเป็นอะไรอยู่ที่ไหน ทั้งๆ ที่มีคนสร้างไว้นานแล้ว พอไปพบเข้าในภายหลังจึงหลงเข้าใจว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    นายเมือง :เท่านี้แหละครับหลวงปู่ ผมพอใจแล้ว ผมขอกราบลาก่อนนะครับ จะรีบไปดูควาย
    ตอนบ่าย หลวงพ่อแช่มตื่นจากจำวัด สรงน้ำเสร็จแล้ว ออกมานั่งพิจารณากายอยู่ข้างเมรุเผาศพ เห็นว่ามันเปลี่ยนอยู่เสมอไม่หยุดนิ่ง ขณะที่กำลังพิจารณาเพลินอยู่นั้น ก็รู้สึกว่ามีเงาๆ หนึ่งทาบลงมาใกล้ๆ ท่าน พอหันไปดูก็พบผู้ใหญ่มา
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ มีธุระอะไรหรือจึงตามมาถึงที่นี่ ไปคุยกันบนกุฏิดีกว่า
    ผู้ใหญ่มา :ผมขอเลือกที่นี่ครับ รู้สึกว่าเย็นดี ต้นไม้ก็ร่มรื่น แดดอ่อนๆ ไม่ร้อนเลยครับ เมื่อเช้าผมให้ลูกชายนำปิ่นโตมาถวายหลวงพ่อแทน เพราะผมมัวไปประชุมกับพรรคพวกเรื่องจะจัดงานทำบุญที่วัดคุ้งนามอญ และมีสมาชิกรุ่นจิ๋วมาร่วมประชุมด้วยคนหนึ่ง หลวงพ่อเดาถูกไหมว่าเป็นใคร?
    หลวงพ่อแช่ม :ใครกันผู้ใหญ่
    ผู้ใหญ่มา :ก็ ด.ช. วอนไงล่ะครับ เด็กฉลาดคนนี้มาประชุมแทนทิดวัยพ่อของแก ทำเอาที่ประชุมต้องเปลี่ยนแผนไปหมด เพราะความเจ้าปัญญาและช่างคิดของแก
    เรื่องงานวัดที่ถกเถียงกันเกี่ยวกับดนตรี และหนังกลางแปลง เจ้าวอนเสนอให้ไม่ต้องเก็บเงินผู้มาเที่ยวในงาน แกบอกว่าถ้าจะจัดต้องให้คนเขาดูฟรี ไม่ต้องให้เขาต้องมาเสียเงินกับสิ่งที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ เพราะเราต้องการให้เขามาทำบุญ ถ้าทางวัดไม่มีเงินจัดดนตรีหรือหนังกลางแปลงมาเล่น ก็ให้งดเสีย เพราะเป็นเรื่องส่งเสริมกิเลสโดยใช่ที่ ผู้ใหญ่ที่โตๆ กันแล้ว ทำไมยังหลงหลอกลวงชาวบ้านให้โง่ต่อไปอีก แทนที่วัดจะได้รับเงินทำบุญเป็นกอบเป็นกำ กลับต้องเอาไปเสียค่าดนตรีซึ่งแพงและไม่ได้ประโยชน์อะไร เพียงเป็นสิ่งเรียกให้คนมาเข้าวัดกันคึกคัก แล้วมาทำขยะเช่นถุงพลาสติกรกวัดต่อไปอีก เพราะมีแม่ค้ามาขายอาหาร เครื่องดื่มในงาน เปลืองค่าไฟฟ้าและแรงงานในการเก็บกวาดขยะที่คนทำทิ้งไว้ และต้องเหน็ดเหนื่อยด้วย
    แม้เรื่องการปิดทองพระ แกก็เสนอว่าไม่ต้องปิด พวกขายแผ่นกระดาษทองเป็นฝ่ายได้เงิน แต่วัดไม่ได้อะไร นอกจากความรกที่องค์พระด้วยแผ่นทอง และขยะที่กองอยู่ข้างๆ พระพุทธรูป ดูแกช่างละเอียดละออในความคิดและมีปัญญานะครับหลวงพ่อ ทำเอาผู้ใหญ่สะอึกไปเลย แกบอกว่าถ้าคนเขามีศรัทธาจะทำบุญให้วัด ก็ให้ใส่กล่องที่ตั้งรับไว้ข้างองค์พระแทน โดยแกจะดูแลให้เอง
    นอกจากนี้แกยังดำริให้มีการประกวดควายพันธุ์ดีทั้งตัวผู้และตัวเมีย และประกวดผู้มีความประพฤติดีในหมู่บ้านคุ้งนามอญ ประกวดผู้เล่าประสพการณ์ที่เป็นความสุขของชีวิตในอดีตซึ่งน่าประทับใจให้ฟัง ตามด้วยการฟังเทศน์จากหลวงพ่อแช่มก่อนที่จะตัดสินและแจกรางวัลผู้เข้าประกวดต่างๆ ปรากฎว่ากรรมการส่วนใหญ่ต่างพากันยกมือเห็นด้วยกับเจ้าวอน และมอบหน้าที่ควบคุมการเงินให้แกด้วย
    หลวงพ่อแช่ม :ก็ดีนะ เด็กบางคนก็มีความคิดดีและถูกต้อง ซึ่งผู้ใหญ่จะประมาทเขาไม่ได้ และควรจะยอมรับในความคิดที่มีสติปัญญาของเขา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไปได้
    ผู้ใหญ่มา :ผมขอคุยธรรมะกับหลวงพ่อต่อนะครับ ผมสงสัยว่าเมื่อเวลายังเป็นอัตตาอยู่ในความรู้สึกของเรา เราจะออกจากมันโดยเห็นว่ามันเป็นมัน แล้วจะหมดดูด-ผลักหรือครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :เห็นจะยังไม่พอหรอกโยมผู้ใหญ่ จะต้องเห็นแจ้งจากใจว่าดูด-ผลักก็ไม่ใช่เรา เกิดจากขบวนการของขันธ์ห้าโดยธรรมชาติ จากผัสสะมีวิญญาณขันธ์มารับ แล้วส่งต่อให้สัญญา ปรุงเป็นเวทนาโดยสังขาร เวทนาจึงมีตามสัญญาที่เข้ามา แล้วแต่ว่าเป็นสัญญาดูดหรือสัญญาผลัก (พอใจหรือไม่พอใจหรือเฉยๆ) ถ้ามีสติรู้ทันว่ามันทำงานของมันทั้งหมด และเกิด-ดับเอง ไม่ไปให้ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นจริง ไม่เกิดความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเรา ก็เท่ากับไม่มี อัตตา (ไม่มีเรา) ไปยุ่งเกี่ยวกับมัน ไม่มีเราในมัน เวทนาที่เกิดขึ้นก็จะไม่มีอัตตาและสลายไปเอง ไม่มีความอยากและอุปาทานต่อไป ในที่สุดจะเป็นสักแต่ว่าสัญญา สักแต่ว่าเวทนาของธรรมชาติซึ่งมีวิชชาแล้ว ก็จบเรื่องกัน คือออกจากมันได้
    ผู้ใหญ่มา : ผมเข้าใจแล้วครับ วันนี้ค่ำพอดี ผมขอกราบลาก่อน
    หลวงพ่อแช่ม : สวัสดีโยมผู้ใหญ่ เจริญธรรมเถิด
    ------------------

    <!-- End main-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 20 สิงหาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:38:49 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : 27 Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336572385248 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D20-08-2011%26group%3D1%26gblog%3D219&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336572385248&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=192899552&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336572385248 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>


    </TD><TD>[SIZE=-1]Add to[/SIZE] [​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- <table width=100% border=0 cellspacing=0> <tr> <td>Counter : <script src='http://fastwebcounter.com/secure.php?s= bloggang3030426 '></script> Pageviews. </td> </tr> </table> -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><FORM method=post name=reply action=http://www.bloggang.com/reply.php?id=secret-world><INPUT name=code value=u7dba50=9kiw?74h?0j-dyibfa03_?|=93ppy3_k_fb3o1cffm81nw2yx5t3kl type=hidden>
    </FORM>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  6. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ---ในส่วนที่เป็นข้อเขียนของพี่สาวผม เป็นการบรรยายและอธิบายสาธยายความลึกซึ้ง ของแนวปฏิบัติของท่าน กตธุโร ซึ่งได้รับพลังญาณทิพย์จากท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ซึ่งเป็นดังเทพเจ้าของผม จึงไม่ควรจะอ่านแบบผ่านๆไป เพราะพี่สาวผมได้เห็น ได้พบสภาวะไร้ตัวตน หน้าตาก่อนที่เธอถือกำเนิดนั้นได้แล้ว และผมได้เน้นข้อความให้ทุกท่านแล้ว ซึ่งทุกท่านก็ทราบดี ว่า ปกติผมจะไม่ใช้สีแดงในการโพส แต่ถ้าใช้ คือต้องสำคัญจริงๆ
    --เพียงคำว่า "สรรพสิ่งรวมกันเป็นสิ่งหนึ่ง-- หนึ่งนั้นไม่ใช่หนึ่ง หนึ่งนั้นคืออะไร" นำไปคิดด้วยตนเอง ก็สามารถให้ผู้ใคร่ครวญได้สว่างโพลง(บรรลุธรรม-Enlighten--ไม่ได้ทำเท่ แต่ผู้อ่านบางท่านอยู่ต่างประเทศก็มีนะ)มาแล้ว ดังเช่นแม่ชีที่จ.เชียงราย ก่อนหน้านั้นคือเด็กมอสองที่เรียนไม่เก่ง -ไม่จบ ไม่มีความสำเร็จอะไรในชีวิตเลย

    --ทุกๆท่านที่เคยเข้ามาอ่าน บางท่านอ่านผ่านๆ หรือเพื่อความสนุกสนาน
    --แต่ลองมองดูผมสิครับ ผมโพสที่นี่ เพราะถือเป็นหน้าที่ เป็นกิจควรทำ และเป็นกุศลกรรม
    -ดังนั้นท่านที่เช้ามาอ่านควรคิดว่า เป็นโอกาสในชีวิต ที่จะได้สัมผัสพลังเทพ และอาจได้บรรลุธรรมแบบสายฟ้าฟาด ข้อหลังนี้ขอรับประกันด้วยชีวิต เพราะแม้ว่าผมได้บวชและเดินธุดงค์เข้าไปในป่า แต่ก็เหมือน "พระลู่ดง" คือไม่ได้รับรู้ข้อธรรมอันใดเลย ข้อธรรมทั้งหมด จะต้องมาจากพระพุทธองค์ทั้งสิ้น จึงจะเป็นสิ่งที่ ถูกต้อง และถูกแนวทาง
    --เหมือนว่าผมจะพูดเล่น สนุกสนานเกินเหตุไปบ้าง แต่ทุกท่านเข้ามาแล้วควรจะต้อง "ทำงาน" "งาน"ในที่นี้คือการละตัวตน จะต้องเอาจริงในการปฏิบีติเพื่อความหลุดพ้น ยิ่งเร็วยิ่งดี--ผมขอเอาใจช่วย ให้มีการเปลี่ยนแปลงในตัวของทุกท่าน อย่าให้ได้ชื่อว่าเป็นคนไทยแต่ไม่รู้รสพุทธศาสนา เหมือนทัพพีไม่รู้รสแกง อยู่ในโลกอย่าติดมายาของโลก อย่าให้เสียชาติเกิด เกิดมาได้พบพุทธศาสนา แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติในชีวิตแต่อย่างใดเลย ใครที่ชอบท้าทาย ขอให้ท่านมาปฏิบัติแข่งกันครับ
    --- ผมไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ฝึกฝนตนให้กรอบเข้มงวดของตนเองที่ตั้งไว้ จนหลวงพ่อบางองค์ท่านเห็นผมก็ยิ้มๆ(ส่วนใหญ่เลย พระเกจิด้วย) บางองค์ท่านก็คุยกับผม ถามว่า"ไปไหนมาเมื่อตะกี้นี้"ผมบอกว่า แม่ชีใช้ให้กวาดใบไม้ ท่านบอกว่าให้ไปตามแม่ชีองค์นั้นมา
    แล้วหลวงพ่อดุแม่ชีว่า "คนๆนี้เคยบวชและสึกไปแล้ว แต่ใจของเขายังเป็นพระอยู่ ในเมื่อแม่ชีใช้เขาทำงาน ก็บาปเท่ากับใช้พระองค์หนึ่ง" แม่ชีก็จึงต้องไหว้และขอโทษผม แสดงว่า คนเราคิดอะไรทำอะไร คนทั่วไปก็ไม่รู้ไม่เห็น แต่ทางพระเห็นเทพก็เห็น และรู้เห็นในใจของทุกๆคนครับ
     
  7. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    บทเพลงเซ็น ---วินาทีที่ประจักษ์แจ้งสัจจะ(ภาค5 )

    <!-- Main -->อาจารย์ กตฺธุโร
    สำนักปฏิบัติธรรมเซ็นสยาม
    เลขที่ ๑๖ หมู่ที่ ๒
    ตำบลนาโฉง อ.เมือง
    จ.สระบุรี ๑๘๐๐๐
    โทร. (๐๓๖)๓๓๓๖๙๕


    ญาติธรรมท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับธรรมะ
    หรือต้องการสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ฯ
    ขอเรียนเชิญตามสถานที่ดังกล่าว

    เมื่อวินาทีนั้นมาถึง
    นอ.กฤษณ์ บุญเอี่ยม
    ต้นปี พ.ศ. ๒๕๔๐ เช้าวันหนึ่งหลังจากวิ่งออกกำลังกายแล้วผมก็จับไม้กอล์ฟมาที่สนามไดรฟ์ของสถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูง สติอยู่กับผู้รู้เป็นปกติ ขณะที่ยกไม้กอล์ฟขึ้นจะตี ทันใดนั้นเองก็เหมือนมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงเข้ามาที่ตัวผม...ตัวชาไปทั่วตั้งแต่ศีรษะ มือ ลำตัว ขา จรดปลายเท้า เหมือนมีอะไรสักอย่างมันถูกลอกออกมา เสมือนการลอกคราบของงูแล้วสลัดทิ้ง...เปรี้ยงเดียวทิ้งลงดินประมาณนั้น แต่มันเป็นแบบเฉียบพลันเร็วยิ่งกว่าชั่วกระพริบตา ความคิดความอ่านหรือความรู้สึกบางอย่างมันพลิกไปโดยสิ้นเชิง...ตัวผมเหมือนเป็นอะไรไม่รู้ มันเบาไปหมด กายและใจของผมเหมือนไม่ใช่ของผม...มันเป็นอะไรสักอย่างที่ตั้งอยู่บนความว่าง เหมือนกับว่าเห็นทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกวางบนความว่าง ผมหมดความอยากตีกอล์ฟแบบขาดสะบั้นกันไปเลย...ตั้งแต่นั้นมากีฬาอื่นๆ ที่เล่นแล้วเอาชนะกัน ผมเลิกเล่น ปิงปองที่เคยชอบก็หมดอารมณ์ตี แรก ๆ ผมลองกลับมาตีปิงปองพบว่ามันเฉย ไม่อยากเอาชนะคู่ต่อสู้ แม้แต่ความอยากที่จะให้ลูกมันลงโต๊ะเข้าเป้าตามที่ต้องการก็ไม่มี...ปรากฏการณ์นั้นผมไม่ได้ใส่ใจมัน แล้วก็แล้วไปไม่ไปสนใจด้วยว่าเขาเรียกว่าอะไร เป็นอะไร รู้สึกเพียงว่าอะไรก็ได้ช่างหัวมัน แต่มันก็ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนมุมมอง เข้าใจกระแสโลกมากขึ้น ...เข้าใจความว่างของท่านอาจารย์พุทธทาสชัดเจน ซาบซึ้ง ผมปรับมาเล่นกีฬาที่ไม่ต้องแข่งกับใครทุกเย็นก็ไปว่ายน้ำกับเพื่อนที่สปอร์ตคลับของมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา...จากนั้นมาชีวิตมันเบาขึ้นอย่างประหลาด ความโกรธที่เคยแรงมันก็แค่แว้บเดียวแล้วหายเลย ไม่มีให้คั่งค้างอาฆาตแล้วแปรเป็นความพยาบาทเหมือนแต่ก่อน ความอยากได้ใคร่ดีอะไรต่างๆ เบาบางลงมากแทบจะไม่รู้สึก....สติสัมปชัญญะมันว่องไวรู้เท่าทันอารมณ์เร็วมาก แล้วมันก็วางของมันเองเข้าทำนองฟันฉับดับขาดในพริบตา…
    *************

    เมื่อวินาทีนั้นมาถึง
    ป้าจิ๋ม (พวงพันธ์ ทรัพย์สมบูรณ์)
    วันหนึ่งของปีพ.ศ. ๒๕๔๓ ผู้เขียนนั่งฟังคุณกฤษณ์อธิบายธรรมะแล้วน้ำตาไหลออกมาด้วยความซาบซึ้ง ร้อง “อ๋อ” อยู่ในจิตในใจ ใจเขาเริ่มแจ่มแจ้งว่าที่พวกเราฝึกจิตทุกวันนี้ มันไม่มีอะไรที่จะให้เราเป็น แรกๆที่ผู้เขียนฝึกภาวนาจะมีความอยาก อยากได้สภาวะสูงๆ แต่ตอนนี้ เปรียบเสมือนถึงจุดที่รู้แล้วว่า มันไม่มีอะไรให้เอา ให้เป็น มันเป็นสมมุติทั้งนั้น เมื่อถึงเวลานั้น จิตเขาต้องรู้ของเขาเอง จะเอาความคิดไปสั่งไม่ได้ เมื่อเห็นประจักษ์แจ้งแล้ว จิตจะทนดูอยู่ไม่ได้ เขาจึงจะวางของเขาเอง
    ผู้เขียนได้เข้าถึงสภาวะที่ตัวเห็นมันเด่นชัดขึ้น เห็นความว่างอยู่รอบตัว แม้กระทั่งขยับกาย กระพริบตา และอิริยาบถต่างๆ เป็นการเห็นโดยไม่ตั้งใจเห็น เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ความว่างมันอยู่ทุกที่ ถ้าพวกเราพร้อมที่จะก้าวเข้าไปอยู่ แต่นั่นหมายถึง เราต้องวางทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจะรู้ถึงความเป็นอิสระของจิตใจ ซึ่งทำได้ยาก เพราะยังมีกระแสโลกดึงอยู่ แต่คิดว่าคงไม่เกินความสามารถของเราถ้าได้ ฝึกจิตไปเรื่อยๆ การเข้าถึงสภาวะที่ตัวเห็นมันเด่นชัดขึ้น ทำให้รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว ไม่อยากได้ ไม่อยากมี อยากอยู่เฉยๆ โชคดีที่มีคุณกฤษณ์คอยช่วยชี้แนะ ไม่งั้นคงแย่
    จึงขอเตือนพื่อนนักปฏิบัติทุกคนว่า เมื่อถึงสภาวะนี้แล้ว ไม่ต้องตกใจ หรือท้อแท้ ให้มีสติมากๆ อย่าไหลไปตามมัน ให้มองเฉยๆ เห็นเฉยๆให้มากๆ เวลานี้ ผู้เขียนได้มามองอยู่อย่างเป็นกลางๆอย่างมีสติ ให้ท่านรู้ไว้ว่ายิ่งจิตมันก้าวไปไกลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องมีสติให้มากขึ้นเท่านั้น อย่างน้อยก็เป็นการพัฒนาจิตไปเรื่อยๆ หนทางข้างหน้านั้น ไม่มีอะไรให้เราต้องเอาเลย ไม่มีจริงๆ จากนี้ไป ขอให้ทุกคนจงก้าวเข้าสู่ อิสระของจิตใจ ซึ่งเป็นความว่างเหนือกระแสโลก
    รู้ธรรม - ละธรรม – ให้ธรรม – ลุธรรม......
    รู้ละ-รู้วาง-รู้ว่าง-รู้ศูนย์ หรือสักแต่ว่า.....รู้
    **************


    เมื่อวินาทีนั้นมาถึง
    ป้าจันทร์ (พงษ์จันทร์ จันทยศ)
    ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๔
    เมื่อวินาทีนั้นมาถึง
    ไม่มีการโพล่ง
    ไม่มีสายฟ้าฟาด
    มีแต่การเคลื่อนอย่างเงียบๆ
    จากความไม่เข้าใจ สู่ความเข้าใจ
    น่าจะร้องไห้ด้วยความปีติ แต่กายไม่มี
    น่าจะดีใจ แต่ใจไม่มี
    น่าจะป่าวร้องบอกใครๆ แต่กูไม่มี
    เหลือเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่
    จะว่ารู้ก็ใช่ จะว่าไม่รู้ก็ใช่
    จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่รู้ก็ไม่ใช่
    จะว่ามีก็ใช่ จะว่าไม่มีก็ใช่
    จะว่ามีก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่
    จะว่าว่างก็ใช่ จะว่าไม่ว่างก็ใช่
    จะว่าว่างก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ว่างก็ไม่ใช่
    นับแต่นี้เป็นต้นไป จะไม่มีการถอยหลังกลับ
    ขอยกสภาวะธรรมนี้เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชา
    ด้วยเศียรเกล้า
    *************

    เมื่อวินาทีนั้นมาถึง
    ป้าต้อย (นอ.หญิงนวลรักษา โพธิ์ศรี)
    ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๔
    วันนี้คุยกับพี่จันทร์ว่า อาการเจ็บหรือปวดเรียกว่าเวทนานั้น มันยากที่จะให้รู้สึกว่าไม่ใช่เราเจ็บ
    พี่จันทร์สอนโยคะบวกการถอดถอน “เรา” ออกจากกายนี้ใจนี้ โดยทำท่าให้นิ่งๆ แต่ละท่ามันมีการเคลื่อนไหวละเอียดให้รู้สึกได้ แต่ที่ชัดคือมันเกิดอาการขึ้นมา คือ เมื่อย (ทุกข์) แล้วก็ต้องเปลี่ยนท่า ดังนั้น ทุกข์ เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดอาการต่อไปเพื่อให้หายทุกข์
    จะเห็นได้ว่ากายนี้มันคือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เจ็บเอง ปวดเอง บังคับให้มันไม่เจ็บหรือไม่ปวดไม่ได้ (มันไม่ใช่เรา ถ้าเป็นเรามันก็ต้องบังคับบัญชาได้) ชัดเจนว่ามันเป็นเองด้วยเหตุปัจจัย ด้วยเหตุอย่างนี้จึงเกิดอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา มันอยู่ภายใต้กฏพระไตรลักษณ์ทั้งสิ้น
    ตัวเราเป็นแค่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา แล้วมาตกอยู่ภายใต้กฏพระไตรลักษณ์ มันไม่มีเรามาเลย มันไม่ใช่เรา มันเป็นสมมติของโลกเท่านั้น มันไม่เคยมีเรามาเลย ไม่เคยมี...ไม่เคยมี
    แล้วเราจะยึดอะไร ไม่มีอะไรให้ยึดได้เลย เพราะมันไม่มี ทุกสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นมา ให้มาอยู่ภายใต้กฏพระไตรลักษณ์เท่านั้น จึงเป็นสมมติไง เข้าใจไหม
    ************
    ----------ดีใจจัง เชียร์พี่สาวเราเย้ๆๆๆ--------
    ---จบบริบูรณ์----------------------

    --นอกจากเรื่องของแม่ชีที่บรรลุเซ็นที่ใกล้วัดศรีทรายมูล (ตอนเจ๊าะแจ๊ะเอ็ฟเฟคท์)ยังมีเรื่อง มินิ เอ็มบีเอ เอ๊ย มินิ-เอนไลท์เท่น ของ "ผม" เอง การะประจักษ์สัจจะแบบง่ายๆ(เคยเขียนไว้แล้ว)

    ----เมื่อไปทำไร่กันกับแม่จินต์ แม่ก็พาไปกินข้าวที่กระท่อมข้างไร่ ขณะที่มองปิ่นโตอยู่นั้น เราก็นึกถึงสิ่งที่เราอยากได้ --การระลึกชาติได้ หรือมีญาณวิเศษแบบหลวงตา ครูบาอาจารย์ที่เก่งๆ
    ---มันใดนั้น เหมือนมีแสงแวบสว่างมาจากตรงปิ่นโต---เป็นข่าวสารที่มาแว็บเดียว-- เหมือนใครไม่รู้พูดกับเราว่า
    "เพราะว่าหิว-จึงกิน เมื่อกินแล้ว ก็จะอิ่ม-หายหิว ที่หลวงตาท่านได้วิชาอะไรต่างๆ เพราะท่านสร้างเหตุ จึงได้ผล ไม่ใช่ว่าจะนึกอะไรก็ได้มาเลย เข้าใจไหม"
    --แต่มันไม่ใช่คำพูด--มันเป็นข้อมูลที่ถูกส่งมาในแค่เสี้ยววินาที สมองมันแปลออกมาเป็นถ้อยคำ--ข้อมูลข่าวสารอีกที นี่แหละการเข้าถึงสัจจะแบบเบาๆ สบายๆ
    ของผม อ่านะ
    -----------------------------------------------------------------
    <!-- End main-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2554 21:37:05 น. </TD></TR></TBODY></TABLE>
    -จริงๆแล้วเป็นเรื่องจากเซ็นสยาม หรือภาคหนึ่ง ของสามภาค ที่เสนอมานั้นคือภาคสอง แต่ที่ผมนำมาลงก่อน เพราะว่า ผู้อ่านจะได้เข้าใจว่า การบรรลุธรรมแบบสายฟ้าฟาดเป็นอย่างไร และมีคนที่ทำได้จริงๆ มีไหม บรรลุแล้วรู้สึกยังไง ได้ความรู้ข้อธรรมแบบใด คิดอย่างไรทำอย่างไร หรือว่าไร้แนวทาง

    --กิเลสมาแบบไหน มันใช้สงครามกองโจรซุ่มตีเราโดยไม่รู้ตัว เราก็ซุ่มใช้สงครามกลองโจรโจมตีมันบ้างตอนทีเผลอ หลอกให้ตายใจ แล้วฆ่ามันเสียด้วยดาบอนัตตา -ฟันฉัวะเดียวหัวหายหางขาดไปเลย ถอนรากถอนโคนอย่าให้เหลือ แล้วจะสบายๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2012
  8. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค8 --หลวงพ่อแช่มจอมทัพรบกิเลส-4


    <!-- Main -->หลอกอยู่ได้

    ปฏิบัติธรรมย่ำมานานผ่านทางนี้
    ดูดีดีไม่ยากฝากบอกท่าน
    ความพอใจไม่พอใจไม่สำคัญ
    ถ้ารู้ว่าเหตุของมันสัญญาเดิม
    สัญญาอดีตปัจจุบันนั้นไม่หาย
    เกิดดับกลับไปเป็นฝ่ายเสริม
    สังขารปรุงเพราะวิญญาณมันต่อเติม
    ก็จิตเดิมเขาว่างอย่างนิพพาน
    เพราะไม่รู้จึงไม่ดูที่ตัวจิต
    ถูกหรือผิดจิตติดต่อก่อประสาน
    จิตคือจิต, สัญญา เวทนา และวิญญาณ
    รวมสังขารไม่ใช่เราถ้าเฝ้าดู
    ทุกสิ่งอย่างเขาเป็นเช่นนั้นหนา
    ที่เกิดมาไม่ใช่เราแต่กล่าวตู่
    หลงดินน้ำไฟลมว่ากายกู
    พอท่านรู้ก็ร้องฮู้มันหลอกเรา

    กตธุโร
    อย่ามีเราในมัน
    หากทุกคนยังเวียนวนบนขันธ์ห้า
    ไม่รู้ว่ามันเป็นมันทำงานอยู่
    ให้เห็นเวทนา สัญญา อย่ามีกู
    อย่าวนอยู่กับมันทุกขันธ์ไป
    มันทำงานของมันทุกขั้นตอน
    จะนั่งนอนยืนเดินเพลินไม่ได้
    ถ้ามีเราเข้าร่วมสวมเมื่อไร
    ตกนรกหมกไหม้ได้ทั้งวัน
    วิญญาณกระทบพบสัญญาพาช่วย
    สัญญาจำว่าสวยและสุขสันติ์
    เวทนาพอใจได้ผูกพัน
    วิญญาณรับพลันเหมือนเทปและเก็บจำ
    ยามว่างนึกคิดอดีตสัญญา
    ก็ส่งมาเวทนาเกิดปรุงซ้ำ
    เวทนาพอใจในความงาม
    แล้วก็ปรุงซ้ำซ้ำกันทั้งปี
    จึงไม่มีตัวคนปนขันธ์ห้า
    ดูไปดูมาเหลือหน้าที่
    หมดตัวเราตัวมันในทันที
    ประคองขันธ์ดีดีจนหมดลม

    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๐
    --------------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการหลวงพ่อ คงเหนื่อยหน่อยนะครับนั่งเกวียนมา
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ ก็ไม่เหนื่อยมากนักหรอก อือ ผู้คนมากมายจริง เขามาในงานกันทั้งนั้นใช่ใหม?
    ผู้ใหญ่มา :ครับหลวงพ่อ คนเขาเดินชมงานกัน พากันไปไหว้พระด้วย และรอฟังผลการประกวดการเล่าถึงความสุขในชีวิตที่ผ่านมา แล้วก็จะได้ฟังหลวงพ่อเทศน์ ก่อนการตัดสินและแจกรางวัลต่อไป
    ตอนเช้าและกลางวันก็มีการประกวดผู้มีความประพฤติดีประจำหมู่บ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในตอนเช้าก็ได้รับแจกรางวัลไปแล้ว การประกวดควายพันธุ์ดีก็ผ่านไปแล้วตอนกลางวัน และแจกรางวัลไปแล้ว มีคนมาเชียร์มากมาย และสนุกสนานไปตามๆ กัน ผมจะขอเล่าเรื่องการประกวดผู้มีความสุขในชีวิตให้หลวงพ่อฟัง เพราะกรรมการคัดไว้รอบสุดท้าย 3 คนและให้ออกมาแสดงคือมาเล่าต่อหน้าคนฟัง และขอเสียงตัดสินจากผู้ฟังด้วย
    คนแรกคือคุณมานะ เล่าว่า ตัวเขาเรียนหนังสือจบชั้นมัธยมที่จังหวัดลพบุรี ตั้งใจจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ปีแรกสอบตก ไม่มีชื่อประกาศในรายชื่อผู้สอบได้ทุกแขนงวิชา เขาเสียใจมากถึงกับร้องไห้อยู่ ๒ วัน พอถึงปีที่ ๒ ก็ไปสอบใหม่อีก ผลปรากฏว่าสอบไม่ผ่านอีก แต่คราวนี้เขาไม่ร้องไห้ เขายังมีใจสู้ พอถึงปี่ที่ ๓ ก็ไปสอบอีก และเลือกวิชาเดิม แต่ในวันประกาศผลเขาไม่ยอมไปดูผลสอบ เพราะคิดว่าคงจะไม่ผ่าน ปลงตกเสียแล้วถ้าไม่ได้ก็ไม่เสียใจ แต่แล้วเพื่อนคนหนึ่งก็มาบอกว่าเขาสอบได้ เขาจึงไปกรุงเทพฯ ไปดูผลสอบให้แน่ใจด้วยตนเอง พอเห็นชื่อตัวเองแน่นอนแล้วเขาจึงร้องตะโกนออกมาว่า “ไชโย! ฉันมีความสุขที่สุดในชีวิตวันนี้เอง” ว่าแล้วก็เดินตัวปลิวออกจากสถานที่ประกาศผลสอบ กลับไปบ้านบอกให้พ่อกับแม่ทราบด้วยความดีใจ และสุขใจยิ่ง
    คนที่สอง คือ สามเณรใจสิงห์ เล่าว่า ท่านมาจากวัดท้าวอู่ทอง ต.บ้านแพรก ท่านได้เพียรปฏิบัติธรรมมาหลายปี และทำทุกรูปแบบ เพื่อหวังวิมุติธรรม ตั้งแต่การสวดมนต์ท่องบ่น สาธยายธรรม ฟังธรรม อ่านหนังสือธรรม สนทนาธรรมกับอาจารย์และพระรุ่นพี่ จนกระทั่งเดินจงกรมทำสมาธิภาวนาและวิปัสสนาภาวนา ได้อดทนปฏิบัติมาจนถึง ๑๐ ปีเต็ม จนกระทั่งวันหนึ่งท่านได้พบน้าชายแวะมาเยี่ยมเยียนท่าน และเล่าเรื่องเณรกลางห้องแบบเซ็นสอนธรรมให้ฟัง พอฟังจบท่านก็ตกกระแสธรรม บรรลุธรรมละสักกายทิฏฐิได้ทันที เป็นครั้งแรกในชีวิตน้ำตาท่านใหลออกมาโดยไม่รู้ตัว จึงรู้ว่าตนมีความสุขที่สุดในชีวิตที่ผ่านมา และจะเพียรรู้เพียรละตัวตนต่อไปจนถึงที่สุด
    คนที่สาม คือ ด.ช.วอน เล่าว่า ในขณะที่เขาเป็นเด็กนักเรียนชั้น ป.๔ ทางโรงเรียนจัดให้เป็นตัวแทนลูกเสือ ไปร่วมเดินสวนสนามวันลูกเสือร่วมกับนักเรียนโรงเรียนอื่นในจังหวัดลพบุรี
    ตอนเย็นก่อนวันที่จะไปเดิน เขารับประทานหอยกาบที่แม่ทำเข้าไปมาก เพราะนานๆได้รับประทานครั้งหนึ่งเกิดรู้สึกอร่อย เมื่อถึงตอนเช้าขณะที่เดินทางไปลพบุรี เขาเริ่มปวดท้องนิดหน่อย พอไปถึงจังหวัดได้ซื้อไอสครีมรับประทานเข้าไปอีก ต่อมาเริ่มรู้สึกปวดท้องมากขึ้น เผอิญได้เวลาจะต้องเข้าไปเดินสวนสนามแล้ว เขาจึงต้องเดินร่วมกับนักเรียนอื่นๆ ผ่านหน้าประรำที่ผู้ใหญ่นั่งอยู่ แต่ไม่ได้ใส่ใจว่าใครเป็นใคร เพราะขณะนั้นรู้แต่ว่าตัวเองปวดท้องจนแทบจะทนไม่ไหว เขาเป็นทุกข์เหลือเกิน จะวิ่งออกไปจากสนามก็ไม่ได้ จำต้องเดินในสภาพยักแย่ยักยัน จะตบเท้าแรงๆ อย่างคนอื่นก็ไม่ได้ เพราะสิ่งๆ หนึ่งในตัวเขากำลังจะไหลออกมาอยู่แล้ว เขารู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว และปลอบใจตัวเองว่า “ทนอีกหน่อยเถอะน่า อย่าพึ่งไหลออกมานะ!”
    พอดีมีสัญญาณบอกให้เลิกแถวได้ เท่านั้นแหละ ด.ช.วอน ก็วิ่งจ้ำอ้าวไปหาห้องส้วมทันที จัดการทำธุระที่ด่วนจี๋ให้เสร็จสิ้นไปอย่างรวดเร็ว แทบจะถอดกางเกงไม่ทัน พอสิ่งนั้นไหลพุ่งออกมาจนหมด เขาจึงรู้สึกตัวเบาหวิวและโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับร้องอยู่ในใจว่า “เราพึ่งรู้วันนี้เองว่า นี่คือความสุขที่สุดในชีวิตของเรา”
    คนฟังและกรรมการพากันหัวเราะชอบใจเรื่องของ ด.ช.วอน มาก และให้คะแนนตบมือกันอย่างท่วมท้น หลวงพ่อก็คงจะทราบว่าไม่แคล้วที่จะคว้ารางวัลที่หนึ่งไปครอง หลวงพ่อครับได้เวลาที่หลวงพ่อจะต้องไปแสดงธรรมแล้ว คนเขาพากันเดินทะยอยไปที่ศาลาฟังธรรมแล้ว นิมนต์หลวงพ่อเถอะครับ
    ต่อจากนั้น หลวงพ่อแช่มก็ได้แสดงธรรมให้ชาวบ้านและผู้คนที่มาในงานฟังด้วยภาษาธรรมดาๆ ไม่ใช่อ่านจากคัมภีร์ใบลาน ทำให้คนฟังตั้งใจและจดจ่อฟังกันอย่างดี มีอยู่ตอนหนึ่งหลวงพ่อแช่มเทศน์ว่า
    โลกเราทุกวันนี้กำลังลุกเป็นไฟ แต่ไม่มีผู้ใดเห็นได้ สัตว์โลกทั่วไปกำลังแตกแยก ชิงดีชิงเด่นกัน แบ่งเป็นหมู่เป็นพวก เป็นก๊กเป็นเหล่า ของใครของมัน แต่ละเหล่าก็กำลังชักคะเย่อศาสนากันเป็นการใหญ่ ต่างพากันสอนว่าของฉันทำอย่างนี้ถูกต้องที่สุด คณะอื่นผิดหมด หาวิธีดึงดูดให้คนเข้าไปลองชิมรสนิพพาน แต่กลายเป็นสอนให้มีตัวตนบังนิพพานเสียเป็นส่วนมาก กิเลสเลยไม่หมดไปจากจิตที่ยึดถือ เพราะไม่รู้ว่าคนไม่มี เราไม่มี ตัวตนไม่มีในกายใจหรือรูปนามของขันธ์ห้า
    บางแห่งก็สอนให้คนสร้างแต่วัตถุ เพื่อสะสมบุญจะได้ไปอยู่บนสวรรค์ในชาติหน้า คนจึงแข่งทำบุญกันเป็นการใหญ่ และยึดบุญเป็นของตนโดยไม่เหลียวไปมองว่าสิ่งที่สร้างกันขึ้นมาได้ใช้เป็นประโยชน์แค่ไหน เพียงไร บางแห่งก็สูญเปล่า ถูกทิ้งไว้ให้รกร้าง หลวงพ่อเห็นทำกันมานานแล้ว นี่หลวงพ่อก็มีอายุปาเข้าไป ๗๒ ปีแล้ว เห็นเขาทำกันอยู่อย่างไร สอนกันอยู่อย่างไร ก็ยังทำอย่างนั้น หลวงพ่อจึงขอนำมาเตือนญาติโยมทั้งหลาย ให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองดูในสิ่งที่ถูกที่ควร ก่อนที่จะทำอะไรลงไป
    การทำบุญให้ทานถวายปัจจัยแด่พระสงฆ์ ก็ควรจะเป็นไปเพื่อหน้าที่ที่จะต้องเกื้อกูลกันตามเหตุและปัจจัย ให้ได้รับกุศลที่ใจ อย่าไปแสวงหารูปแบบหรือติดรูปแบบของพระ อย่าไปหลงเชื่อผิดๆ ว่าพระอรหันต์ต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้โดยดูแต่ภายนอก แต่ต้องวัดที่พฤติกรรมและการแสดงออกที่บริสุทธิ์ใจไม่เห็นแก่ลาภสักการะ และต้อนรับผู้มาทำบุญไม่เลือกชั้นวรรณะ เสมอหน้ากันหมด ที่สำคัญคือท่านสอนให้ปุถุชนหมดความเป็นตัวตน หมดทุกข์ได้จริงๆ โดยชี้ทางปฏิบัติให้อย่างถูกต้องตามธรรม และสั่งสอนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแต่อย่างใด ใครติดขัดตรงไหน ขั้นตอนไหน ก็ชี้บอกให้ออกจากความยึดติดได้ นี่แหละจึงจะเป็นพระสงฆ์ที่ควรแก่การเคารพสักการบูชา ควรน้อมจิตเข้าไปรับคำสอนจากท่านมาปฏิบัติให้เกิดผล
    คนทุกวันนี้มัวเถียงกันเรื่องสำนักนั้นไม่ถูก สำนักนี้ถูก อย่าลืมว่าชาวพุทธเราควรมีสำนักเดียว คือ สำนักพระพุทธเจ้า หรือเรียกกลางๆ ว่า สำนักพุทธธรรม จริงๆ แล้วคำว่าสำนักไม่มีหรอก ถ้าไม่มีคนเรียกหรือตั้งขึ้น เพราะฉะนั้นอย่าเชื่อตามเขาว่า นอกจากจะได้ปฏิบัติตามพระธรรมที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วดับทุกข์ได้ทุกปัจจุบันขณะ และทุกข์ใหม่ก็ไม่เกิดขึ้น นั่นแหละจึงจะเรียกว่าเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า ผ่านทางพระสงฆ์ผู้เป็นตัวแทนที่แท้จริงของพระผู้มีพระภาคเจ้า” คนฟังรู้สึกว่าไม่เคยได้ยินพระองค์ไหนเทศน์อย่างนี้มาก่อน จึงพากันติดอกติดใจ และฟังอย่างตั้งใจไม่ถอยไปไหน จนกระทั่งหลวงพ่อเทศน์จบลง
    หลวงพ่อแช่มพูดให้ทุกคนได้คิดด้วยว่า ตัวเรานั้นเป็นเพียงสมมุติโลกสิ่งหนึ่ง ใช้เรียกแทนธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน จึงพูดว่า “ฉัน เธอ กู มึง” เพื่อให้สะดวกในการพูดและใช้ให้ถูกหน้าที่ ทุกคนจะต้องรู้จักตัวเองให้ถูกต้อง กายที่นั่งฟังอยู่นี้ก็ไม่ใช่เรา มันเป็นกลุ่มธาตุ ดูให้ดีๆ ว่ามันเกิดมาเอง หรือเราทำให้มันเกิดมา มันตายของมันเอง หรือเราเป็นผู้ทำให้มันตาย ถ้าไม่มีเชื้อในพ่อผสมกับไข่ในแม่ จะมีก้อนกายใจก้อนใหม่ออกมาได้หรือ? และในก้อนนี้มีเรา เป็นเรา หรือ? เมื่อโตขึ้นรู้จักรักสวย รักงาม รักกาม ก็ไม่ใช่เรา เขาโตได้ด้วยอาหารใช่ไหม? ไม่ใช่เราเลี้ยงดูเขานะ
    กามคุณทั้งหลายทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นสิ่งที่ให้คุณถ้ารู้จักใช้ให้ถูกต้องและพอดี แต่ถ้าใช้ อย่างพร่ำเพรื่อ มีจนเกินพอแล้วยังเรียกหาอยู่เรื่อย ก็เป็น กามราคะ เป็น ตัณหา (ความอยากที่ให้โทษ เกิดทุกข์) ถ้าทุกคนรู้จักตัวเองว่าความจริงข้างในเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติที่ถูกปรุงมาให้ทำหน้าที่โดยไม่อยากเกินความจำเป็น เกินความต้องการของธรรมชาติ ก็จะอยู่กันอย่างสันติสุข ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
    ส่วนภายนอกซึ่งเป็นสมมุติว่า ฉัน เรา เขา เธอ กู มึง นั้นก็ใช้ไปตามภาษาสมมุติ อย่าไปยึดถือว่ามีจริงๆ ก็จะไม่เดือดร้อน เพราะเป็นของที่ไม่มีจริง จะเปลี่ยนจากฉันเป็นเรา เป็นกู เป็นข้าพเจ้าได้เสมอ ตามกาละและเทศะ
    หลวงพ่อแช่มเทศน์พอสมควรแก่เวลาก็จบการเทศน์ ผู้คนออกันอยู่มากมายเพื่อช่วยทำบุญถวายปัจจัยติดกันฑ์เทศน์แก่หลวงพ่อ ด.ช.วอนได้รับรางวัลชนะเลิศผู้เล่าเรื่องความสุขในชีวิตที่ผ่านมาตามความคาดหมายของคนส่วนใหญ่ เพราะเล่าได้สนุกและตื่นเต้นถูกใจผู้ฟัง ส่วนสามเณรใจสิงห์ได้รางวัลที่สองเพราะคนทั่วไปยังไม่เข้าใจความสุขในการเห็นธรรมมากนัก
    เมื่อได้รับรางวัลและทำหน้าที่ของตนเรียบร้อยแล้ว ด.ช.วอนก็ประกาศยอดเงินรายรับ รายจ่ายของงานให้ทุกคนได้ทราบ และมอบให้ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลวัด นำไปทำประโยชน์ให้วัดต่อไป ส่วนเงินรางวัลที่ตนได้รับ ก็บอกว่าจะนำไปช่วยทำประโยชน์ให้กับโรงเรียนที่ตนเรียนอยู่ส่วนหนึ่ง นับว่าเขาเป็นเด็กที่หน้ายกย่องในการกระทำดี มีความคิดที่ดีถูกต้อง และทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ไม่ขาดตกบกพร่อง ควรที่ผู้ใหญ่บางคนจะได้นำไปตรวจสอบและปรับปรุงตัวเองดูบ้าง
    เป็นอันว่าการจัดงานวัดคราวนี้ ได้ผลสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และเป็นประโยชน์ทั้งฝ่ายญาติโยมและวัด ที่สำคัญคือทุกคนได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อแช่มซึ่งไม่เคยมีพระองค์ไหนเทศน์ให้ฟังแบบนี้มาก่อน ทำให้รู้จักมองตัวเองและทำสิ่งที่ถูกต้องขึ้นทั้งในส่วนตนและผู้อื่นที่มาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องของศาสนา หลายๆ คนสะดุดใจเรื่องการทำบุญที่ถูกต้องตามที่หลวงพ่อแช่มชี้แนะว่าควรจะเป็นอย่างไร นับว่าไม่เสียแรงที่หลวงพ่อแช่มได้สละเวลามาให้ธรรมในครั้งนี้------------
    --------------------
    ทำบุญให้ถูกต้อง


    อันอิฐหินปูนทราย ไม้-สี-เหล็ก
    เป็นเรื่องเล็กคนสร้างทางกุศล
    เอามาก่อมาสร้างหวังเบื้องบน
    แล้วบอกผลออกไปว่าได้บุญ
    ไปสวรรค์นิพพานกาลข้างหน้า
    เลยทำไร่ทำนาค้ากันวุ่น
    ต้องใช้เงินใช้ทองเป็นกองทุน
    จึงทำบุญแบบคนวนเกิดตาย
    จะทำบุญให้ถูกปลูกกุศล
    ต้องละคนทิ้งคนจึงพ้นได้
    พุทธองค์ไม่ทรงหวังทิ้งวังไป
    ต้องทำบุญเพื่อให้ไม่เอาคืน

    กตธุโร

    ทำบุญกุศลเพื่อหมดคน

    การทำบุญทำกุศลผลย่อมเกิด
    ที่ประเสริฐต้องเห็นเป็นกุศล
    ใช่จะใช้เงินทองมองแบบคน
    แล้วรับผลโมหะละไม่จริง
    ต้องสละละออกทั้งนอกใน
    กายใจที่เป็นคนต้องโยนทิ้ง
    ทำที่กายที่ใจแล้วได้จริง
    สิ่งทุกสิ่งของเราเขาไม่มี
    ถ้าทำเอามันไม่ได้อะไรหรอก
    ถ้าทำออกหมดเหตุกิเลสหนี
    หมดทั้งคนหมดทั้งบุญวุ่นฟรีฟรี
    ที่เหลืออยู่เวลานี้ธรรมกับธรรม
    กตธุโร
    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๑
    -----------------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    ภรรยาผู้ใหญ่มา :นมัสการเจ้าค่ะ หลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยม อ้าว! วันนี้โยมผู้หญิงมาด้วยหรือ มีอะไรพิเศษรึ?
    ภรรยาผู้ใหญ่มา :ไม่มีอะไรมากนักหรอกเจ้าค่ะ วันนี้ดิฉันทำขนมจีนน้ำยา ตั้งใจจะนำมาถวายหลวงพ่อโดยเฉพาะ เขาว่าทำบุญกับพระอริยะนั้นได้บุญมาก ดิฉันให้ลูกชายมาทำแทนหลายเที่ยวแล้ว คราวนี้ขอมารับบุญด้วยตัวเอง ขอให้หลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วยเถอะเจ้าค่ะ
    หลวงพ่อแช่ม :ตกลงๆ รับพรก่อนนะ หลวงพ่อจะให้พรตามธรรมเนียมก่อน แล้วจะอธิบายเรื่องการทำบุญให้ฟัง การทำบุญให้ได้บุญนั้นต้องทำด้วยใจ ตั้งใจให้บริสุทธิ์เบิกบานก่อนจะทำ และทำด้วยความสดชื่น ทำแล้วมีความสบายใจชื่นใจ อิ่มใจ เรียกว่าทำบุญและได้บุญที่ใจ เป็นความสบายใจ
    แต่ยังไม่พอนะโยม เพียงเท่านี้ โยมอาจจะไม่สบายใจอีกได้ เมื่อไปได้ยินได้ฟังใครเขาตำหนิติเตียน ว่าโยมเป็นอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ โยมจะต้องทำบุญให้ยิ่งไปกว่านั้น คือ ทำบุญเพื่อชำระบาปในใจ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เมื่อมีใครมายั่วยุ พูดจาถากถางให้ร้ายป้ายสี เป็นต้น จึงจะถูกต้องตามความหมายของบุญจริงๆ คือ ไม่หลง ไม่ติดบุญ ไม่ยึดบุญที่กระทำว่ามีตัวตนเป็นของตน แล้วยังหวังจะเก็บสะสมไว้ชาติหน้า เพื่อให้ตนได้ไปเสวยบุญบนสรรค์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เชื่อตามที่คนเขาพูดไว้ ไม่ควรยึดถือเป็นจริงเป็นจัง สู้ทำบุญในปัจจุบันด้วยสติปัญญาชนิดที่จะไปล้างบาป ดับกิเลสตัณหาในใจ ตัดความเห็นแก่ตัวออกไปให้หมด และช่วยกันทะนุบำรุงพระศาสนาและผู้เผยแผ่ศาสนาซึ่งนำธรรมะมาสอนคน ให้ความเป็นคนค่อยๆ หมดไป และให้ศาสนายังคงมีอยู่ในโลกเพื่อเป็นที่พึ่งของคนต่อไปอย่างถูกต้องไม่ได้ ถ้าหมดบาปหมดกรรม หมดกิเลสกันในปัจจุบันได้ จะไม่หวังอะไรและไม่คิดจะสะสมอะไรไว้ต่อชาติหน้าอีกเลย
    เพราะฉะนั้นการทำบุญจะต้องไม่เจาะจงผู้รับด้วย ไม่ว่าจะเป็นสมมุติสงฆ์หรืออริยสงฆ์ แต่ทำด้วยใจที่คิดจะให้ประโยชน์เกื้อกูลกัน ซึ่งแน่นอนพระอริยะท่านรู้ดี รู้ชั่ว ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และให้ธรรมะซึ่งเป็นประโยชน์แก่โยมได้มากกว่าสมมุติสงฆ์ธรรมดา ผู้ยังมีจิตใจเป็นคนๆ อยู่ และไม่สามารถจะให้ธรรมชั้นสูงแก่ชาวบ้านได้ การทำบุญกับพระอริยะจึงได้บุญสูงเป็นธรรมดาตามเหตุ
    ภรรยาผู้ใหญ่มา :ดิฉันพอที่จะเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปจะทำบุญให้ถูกต้อง เพื่อชำระบาปหรือกิเลสที่เกรอะกรังอยู่ในใจออกไปเรื่อยๆ จะหาโอกาสมาฟังธรรมจากหลวงพ่อด้วยตัวเองให้มากขึ้น วันนี้ดิฉันได้รับบุญอันยิ่งแล้ว มิฉะนั้นจะต้องหลงอยู่อีกนาน ดิฉันขอกราบลาหลวงพ่อก่อน ยังมีงานที่จะต้องทำต่อ
    หลวงพ่อแช่ม :เจริญพร เถอะโยม
    ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง
    คือว่าลูกชายผม “เจ้าเมือง” มันเกิดไปชอบพอกับหญิงสาวคนหนึ่ง บ้านอยู่ที่หมู่บ้านใกล้เคียงกัน วันหนึ่งเขาชวนกันมาเที่ยวที่บ้านผม ตอนขากลับเจ้าเมืองก็เดินไปส่ง ขณะเดินข้ามทุ่ง พบกับเสือทาบและกลุ่มพวกของมันจำนวน ๓ – ๔ คน พรรคพวกเสือทาบจัดแจงเข้ามาล้อมคนทั้งสอง คือลูกชายผมกับเพื่อนสาว หวังจะจี้เอาเงิน แต่เสือทาบเกิดจำหน้าลูกชายผมได้ ว่าเป็นลูกของผมมันจึงปล่อยตัวไป
    ที่มันคอยดักจี้ปล้นเขากิน เพราะยังแค้นที่พ่อมันถูกโจรปล้นแล้วฆ่าตาย ยังชำระหนี้กันไม่หมด หลวงพ่อครับ แล้วอย่างนี้จะปล่อยมันไว้ทำไมกัน? ชาวบ้านต่างก็พลอยเดือดร้อนกันมาก ผู้ใหญ่บ้านที่มันอยู่ก็ไม่มีน้ำยา ทำอะไรมันไม่ได้และไม่จัดการอะไรเลย
    หลวงพ่อแช่ม :ใจเย็นๆ ผู้ใหญ่ หลวงพ่อจัดการเรียบร้อยไปแล้ว จะเล่าให้ฟังนะ
    เมื่อวานนี้เสือทาบมันไปที่วิหาร ”ฟ้าฟื้นขุนแผน” เพื่อเข้าไปเอาอาวุธฟ้าฟื้นที่มันใช้ประจำตัว หลวงพ่อได้ยินเสียงสุนัขเห่าผิดสังเกตตอนตี ๒ จึงลุกไปดู เห็นมันกำลังแบกปืนจะเอาไปฆ่าคนที่ฆ่าพ่อของมัน หวังจะฆ่าล้างโคตรกันเลย พอมันเห็นหลวงพ่อยืนอยู่ข้างๆ ก็สะดุ้งสุดตัว แล้วก้มลงกราบหลวงพ่อพร้อมกับวางปืนไว้ข้างๆ
    หลวงพ่อถามว่า “ทาบเอ๊ย! เอ็งจะสร้างกรรมอีกแล้วหรือ? พ่อของเอ็งก็ตายไปนานแล้ว ถ้าเอ็งตามไปฆ่าคนอื่นให้ตายทั้งโคตรแล้วเอ็งจะได้อะไรล่ะ?” มันตอบว่า “ก็ได้หายแค้นไงครับหลวงพ่อ” หลวงพ่อถามต่อว่า “ถ้าเอ็งไม่ฆ่าเขา เขาทั้งหลายจะตายกันไหมในเวลาไม่เกิน ๑๐๐ ปีนี้?” “ตายขอรับ” เจ้าทาบตอบ “แล้วปืนนี้ใครสร้างขึ้นมา?”. “คนสร้างขอรับ” “คนเอาอะไรมาสร้าง?” “เอาของในโลกมาสร้างครับ”
    “เออ! เอ็งฟังให้ดีนะ คนก็เกิดมาจากโลก โลกสร้างทุกสิ่งขึ้นมาพร้อมทั้งคน แล้วคนก็ไปสร้างอะไรๆ ออกมาอีกมากมาย และยึดสิ่งที่คนสร้างว่าเป็นจริง ยึดเป็นตัวตน เป็นกู เป็นเรา เป็นเขา เป็นของเรา ทั้งๆที่ทุกสิ่งไม่พ้นไปจากความเป็นธาตุของโลกมาประชุมกัน แล้วเอ็งจะเอาธาตุไปฆ่าธาตุมันจะมีประโยชน์อะไรหือ! เอ็งดูไก่ก็ได้ ยามที่คนเอามันใส่เข่งรวมกันเพื่อไปฆ่าและขาย มันยังตีกันขณะที่อยู่ในเข่ง หวังจะเอาชนะ หวังจะเป็นใหญ่ โดยไม่รู้ว่าอีกไม่นานจะต้องตายอยู่แล้ว
    แต่นั่นมันเป็นสัตว์ประเภทนั้น มันไม่ใช่คนซึ่งพอจะมีปัญญารู้ดี-รู้ชั่วมากกว่ามัน เพราะมีโอกาสได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์บ้าง ท่านสอนว่าการฆ่ากันเป็นบาป ควรละเว้น จะเป็นกรรมให้ตกนรกหมกไหม้ต่อไปอีกนาน ข้าก็ได้แต่บอกให้เอ็งรู้และเตือนสติเอ็งไว้แค่นี้ ข้าจะขอไปทำธุระของข้า เพื่อโปรดสัตว์อื่นต่อไป ส่วนเอ็งก็ตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอย่างไรต่อไป เอ็งก็ต้องไปตามกรรมของเอ็งแหละ”
    พอหลวงพ่อเดินจากเสือทาบไปไม่กี่ก้าว เสือทาบก็วิ่งเข้ามาหา และระล่ำระลักบอกว่า “หลวงพ่อครับ ปืนนี้ผมให้หลวงพ่อเก็บไว้ และช่วยส่งให้ทางราชการเขาด้วย พร้อมกับปืนเล็กอีก ๑ กระบอก ที่ผมใช้ประจำตัว ผมตัดสินใจแล้วว่าจะขอให้หลวงพ่อบวชให้ และจะไม่สึกอีกเลยในชีวิตนี้” “เอาอย่างนั้นหรือ เอ็งแน่ใจแล้วหรือว่าจะหยุดทำบาป?” “ครับ หลวงพ่อ ผมซาบซึ้งในคำสอนของหลวงพ่อ และเริ่มจะมองเห็นความจริงแล้ว ผมจึงตัดสินใจเด็ดขาด ณ บัดนี้เลย”
    “เออ!หลวงพ่อขออนุโมทนาด้วย เสือที่วางเขี้ยวเล็บ หมดความอยาก หมดความอาฆาตพยาบาทที่จะทำร้ายใครต่อไปอีก มันน่าสรรเสริญจริงๆ แล้วหลวงพ่อจะบวชให้ ขอให้เอ็งไปเตรียมตัวบอกทางบ้านและเตรียมตัวมาที่วัด มาพบหลวงพ่อเพื่อนัดหมายกันอีกครั้ง ขอให้เอ็งปลอดภัยและเป็นสุขเถิด” แล้วเสือทาบก็จากไปทำธุระของมัน
    ผู้ใหญ่มา :ผมก็รู้สึกโล่งอกไปด้วย ขออนุโมทนากับเสือทาบจริงๆ หลวงพ่อครับ ทำไมคนเราจึงโกรธกันง่าย และทำอะไรรุนแรงจนต้องถึงกับฆ่ากันได้ลงคอล่ะครับ?”
    หลวงพ่อแช่ม :เรื่องความโกรธ มันออกจะเป็นเรื่องใหญ่ และไม่มีผลดีแก่ใครๆ เลยโทษของมันก็มีมาก เราควรจะเข้าใจ หนีโกรธ และออกจากความโกรธอย่างสิ้นเชิงให้ได้นะ
    “เมื่อโลกยังไม่มี มีความโกรธไหม?” หรือ “เมื่อคนยังไม่มีในโลกนี้จะมีโกรธไหม?” เพราะคนสอนให้จำกันต่อๆ มาให้รู้ความหมายของคำพูด คำด่า คำชม คำสบประมาท คำดูถูกเย้ยหยันทั้งหลาย ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่คนตั้งเอาเอง
    “ถ้าคนต่อๆ มาไม่รู้ความหมายเหล่านี้ จะโกรธเป็นไหม จะเกิดโกรธขึ้นมาไหม?” หรือ ”ถ้าความหมายเหล่านั้นมี แต่เราไม่รับคำสบประมาทเข้ามาสู่ใจ เราจะโกรธได้ไหม?” หรือ “ถ้าเรารู้ว่าเราไม่มีอะไรเสียหาย ไม่ได้ทำอะไรผิด เวลาถูกสบประมาท หรือถูกด่าจะโกรธไหม?” หรือ “ถ้าเรารู้ว่าคำด่า คำชมทั้งหลายมีไม่จริง เราจะยึดถือเข้ามาให้โกรธไหม?” หรือ “ถ้าไม่มีเราเสียอย่างเดียว คำด่าคำชมทั้งหลายจะมีใครเป็นผู้รับหรือโกรธได้เล่า?
    ธรรมชาติโกรธได้ ก็หายได้ และโกรธไม่จริง หายไม่จริง เพราะธรรมชาติไม่มีตัว คนต่างหากที่คิดว่ามีตัวและยึดธรรมชาติมาเป็นของตัว คนจึงโกรธจริง คนไม่เรียนรู้แต่เรียนเอา จึงโกรธเป็นและโกรธง่ายขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เกิดความแค้น ต้องการจะแก้แค้น ให้หายโกรธ จึงทำอะไรรุนแรงขึ้นๆ ให้สาสมแก่ใจที่รู้สึกโกรธแค้นไงล่ะ ผู้ใหญ่ เหมือนคำพูดในหนังจีนที่ว่า “แค้นนี้ต้องชำระ จึงจะหายแค้น” แต่หารู้ไม่ว่าแค้นก็ไม่จริง หายก็ไม่จริง
    ผู้ใหญ่มา :แล้วเรื่องวิหารฟ้าฟื้นขุนแผนละครับ เป็นมาอย่างไร?
    หลวงพ่อแช่ม :อ๋อ... ประวัติเขามีมานานแล้ว วัดที่เราอยู่นี่ เขาเรียกว่า “วัดบ้านดาบ” ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เรื่องขุนช้างขุนแผน มีอยู่ตอนหนึ่ง ที่ขุนแผนกลับมาจากปราบกบฏที่เชียงใหม่ แล้วก็เอาม้าสีหมอกฝากไว้กับเจ้าเมืองพิจิตร เดินล่องลงมาข้ามน้ำที่ท่าข้าม และฝังดาบประจำตัวไว้หลังวิหารใต้พระประธาน
    ตอนหลังขุนแผนมีเรื่องถึงติดคุกจนผมยาว เพราะถูกลืมอยู่ในคุก จนกระทั่งถึงคราวที่ จมื่นไวย (ลูกชายขุนแผน) จะต้องไปรบที่เชียงใหม่ ขุนแผนจึงมาขุดเอาดาบประจำตัวและม้าที่พิจิตรไปช่วยลูกชาย วัดนี้จึงมีชื่อว่า “วัดบ้านดาบ” ตามประวัติเก่าๆ ที่เกี่ยวข้องกับขุนแผน ส่วนท่าที่ข้ามน้ำลพบุรีตรงหัววัด ก็มีชื่อเรียกว่า “บ้านท่าข้าม” มาจนทุกวันนี้ เมื่อพูดถึงขุนแผนคนก็รู้จัก “ฟ้าฟื้น” ซึ่งเป็นชื่อดาบของเขาไปด้วย
    ผู้ใหญ่มา : แหม! ผมก็เพิ่งจะรู้เรื่องราวละเอียดของบ้านเราวันนี้เอง ต้องขอขอบพระคุณหลวงพ่อมาก และผมดีใจจริงๆที่หลวงพ่อช่วยยกจิตวิญญาณของเสือทาบได้ จนเขาเข้าใจเรื่องบาป-บุญ คุณ-โทษ และมอบกายใจบวชเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา
    หลวงพ่อแช่ม : เออ... หลวงพ่อจะมอบกลอนให้ผู้ใหญ่นำไปอ่านและพิจารณาดูเล่นๆ บ้าง เกี่ยวกับความโกรธ ที่คนหลงกันมาก ติดกันมาก

    อันความโกรธเกิดขึ้นทีละน้อย
    จะค่อยค่อยมากขึ้นฝืนไม่ไหว
    ถ้าหากปล่อยให้สุกลุกเป็นไฟ
    จะห้ามมันอย่างไรก็ไม่ทัน
    ดูให้ดีมันเป็นมันนั้นจริงหรือ
    มันมีเราเข้าชื่อร่วมสังสรรค์
    เรากับมันร่วมพิโรธเลยโกรธพลัน
    ถ้าเป็นมันโดดโดดโกรธไม่มี
    ตัดขันธ์ห้าไม่ขาดฟาดเอาเรื่อย
    จะต้องเหนื่อยหมดแรงแข่งกับผี
    สติทันปัญญาโผล่โผราวี
    ผีโกรธหนีกระเจิงไปไม่ฟาดฟัน
    รีบหยุดดูความโกรธโลดแล่นไป
    ไม่มีโลกจะมีใครมาเสกสรร
    ปั้นแต่งโกรธโทษเราเขาเป่าใส่กัน
    สัญญานั้นยันต่อมาว่าเป็นจริง
    อันความโกรธจะระงับดับไม่ยาก
    ขอเพียงพรากสัญญาที่มาสิง
    ให้ตัดขาดจากเวทนาอย่าประวิง
    ความโกรธนิ่งดับไปไม่ใช่เรา
    รู้เท่าทันความโกรธโทษเหลือหลาย
    อย่าเอามาใส่ใจให้แผดเผา
    สติทันปัญญาโผล่โถคนเรา
    หลงโง่เขลาฆ่ากันฟันธาตุเอย

    ผู้ใหญ่มา :ผมรู้สึกซาบซึ้งในคำสอนของหลวงพ่อมาก ขอกราบลาก่อนนะครับ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ ขอให้เจริญธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด
    ----------------------
    ดูความโกรธ

    อันความโกรธนั้นไม่เบานะเจ้าข้า
    มันจะมาหลายแบบแอบซ่อนเร้น
    ไม่มีเวลาไม่มีกำหนดและกฎเกณฑ์
    นึกจะเต้นมันก็เต้นขึ้นมาเลย
    ทำอย่างไรจึงจะให้หายโกรธได้
    จะต้องรู้เข้าไปอย่านิ่งเฉย
    ดูขันธ์ห้าทุกทุกขันธ์ทุกวันเลย
    ทิ้งขันธ์ห้าที่เคยยึดเป็นเรา
    ไม่มีเราในมันในขันธ์ห้า
    ความโกรธเกิดกี่คราก็ว่างเปล่า
    การเกิดดับก็จะหดเพราะหมดเรา
    ตัวโกรธก็จะเฉาตายไปเอง

    กตธุโร


    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๒
    ---------------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ อาทิตย์ก่อนผมมาไม่พบหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ อ๋อ หลวงพ่อไม่อยู่ เขาเชิญคณะสงฆ์ไปประชุมที่จังหวัดเกี่ยวกับการสอนธรรมมะให้ชาวบ้าน มีทั้งพระและฆราวาสมาร่วมประชุมมากมาย
    เขาเชิญผู้ที่สนใจธรรมจากสระบุรีมาด้วย เป็นฆราวาส ประกอบด้วยนายแพทย์และสหายธรรมอีก ๒ คน ซึ่งทำงานเผยแพร่ธรรมของชมรมอิทัปปัจจยตา การประชุมครั้งนี้มีพระเจ้าคุณจากวัดแห่งหนึ่งในเมืองลพบุรีเป็นประธาน คุณประพันธ์ได้กระซิบบอกหลวงพ่อให้พูดถึงฆราวาสที่เรียนธรรมจริง ปฏิบัติจริง ว่าสามารถจะสอนชาวบ้านให้รู้ให้เข้าใจธรรมได้ ควรจะสนับสนุนให้เป็นที่ยอมรับของชาวบ้านญาติโยม และให้ไปเรียนธรรมกัน จะได้ซักถามปัญหากันได้เต็มที่มากกว่าจะถามพระภิกษุบางองค์ก็มี จะได้มีโอกาสเห็นธรรมเร็วขึ้น
    ในตอนหนึ่งของการประชุม หลวงพ่อก็พูดว่า “หมู่นี้ได้ข่าวเสมอๆ ว่าพระเราไม่ค่อยจะเอาใจใส่ในการทำหน้าที่ของพระให้ถูกตรงตามพระธรรมวินัย กลับมาก้าวก่ายงานของประชาชนบางอย่าง ซึ่งทางราชการเขาจัดการช่วยอยู่แล้ว หรือบางองค์ก็สอนเรื่องที่ไม่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ให้แก่ชาวบ้าน กลับพาชาวบ้านหลงงมงาย หรือคล้อยตามชาวบ้านในสิ่งที่ไม่เหมาะสม เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ ทำให้ชาวบ้านได้ใจและลืมตัว ทั้งพระและชาวบ้านต่างก็ถอนตัวไม่ขึ้นตกจมอยู่ในกิเลสตัณหาด้วยกัน
    เรื่องการทำบุญ ทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิภาวนา ก็เป็นสิ่งที่จะต้องสอนชาวบ้านให้ถูกต้อง ไม่ใช่ส่งเสริมให้เขาทำเพื่อตัวตนเพื่อความสุขบนสวรรค์ในชาติหน้า ซึ่งเป็น มิจฉาทิฏฐิ แต่ควรสอนให้ทำเพื่อเสียสละตัวตนออกไป เป็นการนำความโลภ ความโกรธ ความหลงออกจากตน ไม่ใช่ทำบุญเพื่อบุญของตน
    พระสงฆ์ควรจะสนใจศึกษาพระธรรมให้แตกฉาน จนตัวเองหลุดพ้นจากภาวะแห่งความยึดถือว่ามีตัวตน และสอนชาวบ้านตลอดจนพระเณรด้วยกันให้เข้าใจเรื่อง “นิพพาน” อย่างถูกต้อง ให้เขารู้จักปฏิบัติจนประจักษ์แจ้งซึ่งนิพพาน ไปตามขั้นตอนของภูมิธรรมของแต่ละคน แล้วแต่ว่าใครจะขวนขวายด้วยความอุตสาหะมากน้อยเฉพาะตน จนกระทั่งหมด อวิชชา หมดอัตตานุทิฏฐิ (ความยึดติดว่ามีตน-ว่าของตนในความคิดเห็น) ทั้งพระและฆราวาสจึงต่างก็จะได้เชื่อว่าเป็น พุทธบริษัท ที่แท้จริง ชาวบ้านใกล้ไกลที่รู้เข้าย่อมอนุโมทนาเอง และร่วมแรงร่วมใจกันประสานงานเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกลออกไป ทำให้ลูกหลานได้เห็นแบบอย่าง และอาศัยเป็นที่พึ่งทางใจที่ถูกต้องต่อไปได้นานๆ
    แต่ปรากฏว่าในปัจจุบันนี้มีฆราวาสหันมาสนใจธรรมแบบพึ่งฆราวาสด้วยกันเองก็มีไม่น้อย รู้จักปฏิบัติธรรมจนรู้แจ้งเห็นจริงในสัจจธรรม และทำหน้าที่ชี้แนะธรรมให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันจนหมดปัญหาซึ่งน่าจะอนุโมทนาสาธุให้
    ผู้ใหญ่มา :โอ้โฮ! หลวงพ่อพูดขนาดนี้เชียวหรือครับ? ไม่มีใครฟังแล้วโต้แย้งบ้างหรือ?
    หลวงพ่อแช่ม :ก็ไม่เห็นมีนะ บางคนอาจจะแย้งอยู่ในใจ ก็เป็นเรื่องของเขา หลวงพ่อไม่สนใจหรอก ถ้าใครให้พูดหลวงพ่อก็จะพูดแบบนี้ พูดในสิ่งที่สมควรและมีเหตุมีผล เพื่อพระเราจะได้นำไปคิดไตร่ตรองดูบ้าง แม้ชาวบ้านที่มาวัดถ้าทำไม่ถูกหลวงพ่อก็จะติงเสมอว่า “โยมอย่ามัวไปเอาอกเอาใจพระให้มากนักนะ พระปุถุชนก็ยังมี ประเดี๋ยวจะพากันหลงไปด้วยกันหรอก!” ซึ่งเขาก็รู้และเข้าใจ เพราะมองเห็นอยู่ บางคนชอบยุแหย่ให้พระขัดใจกับฆราวาสซึ่งปฏิบัติดีตั้งใจดีโดยตลอดที่จะมาเรียนธรรมและช่วยงานเผยแพร่ศาสนาจริงๆ
    สำหรับหลวงพ่อมักจะคอยหาโอกาสให้ฆราวาสที่รู้ธรรมเห็นธรรม ได้ช่วยแสดงความคิดเห็นต่อจากหลวงพ่อเสมอ เพื่อให้ญาติโยมได้เห็นและเกิดศรัทธาที่จะเข้าไปรับฟังการสอน การชี้แนะ จากฆราวาสเหล่านั้นในโอกาสต่อไป สมมุติสงฆ์ที่ยังมีความเป็นคนในจิตก็จะได้ฟังและขวนขวายปรับปรุงตัวเองขึ้นมา ให้เป็นพระแท้กันให้มากขึ้นด้วย หลวงพ่อเคยไปฟังที่วัดบางแห่ง ได้ยินพระบางองค์เทศน์กระแนะกระแหนชาวบ้านไปพลาง พูดจาถากถางพระด้วยกันไปพลาง ช่างเป็นการสร้างบาปอกุศลให้แก่ตนแท้ๆ! แม้ชาวบ้านซึ่งมีปัญญาได้ยินเข้าก็หมดศรัทธาที่จะฟังต่อไป และพากันหายหน้าไปจากวัดนั้นจนไม่มีใครมาร่วมสนับสนุนส่งเสริมพระศาสนาด้วย ก็มี
    หลวงพ่อเลยสรุปว่า “จะเป็นคนหรือเป็นพระก็เพียงแต่คนตั้งเอา” เมื่อใครรู้สึกว่าทั้งคนและพระมีไม่จริง และหมดความยึดถือจากใจได้แล้วจะรู้เอง หลวงพ่อได้ฟังข้อคิดเห็นจากคนอื่น รวมทั้งคุณประพันธ์และสหายธรรมจากสระบุรี ก็ให้การสนับสนุนความเห็นของหลวงพ่อ ต่างก็ช่วยกันพูดให้ทุกฝ่ายหาทางนำวิธีปฏิบัติธรรมที่ลัดสั้น และเข้าใจง่ายมาสอนชาวบ้าน โดยหลีกเลี่ยงภาษาในพระไตรปิฏกซึ่งชาวบ้านจำไม่ได้และเข้าใจยากให้มากที่สุด ถ้าจะใช้ก็ต้องแปลและคลี่คลายให้เขาเข้าใจความหมายอย่างชัดเจนด้วย หลวงพ่อจับคำพูดของคณะผู้เข้าประชุมที่มาจากสระบุรี ที่นำแนวการสอนของอาจารย์กตธุโรมาเล่าสู่กันฟังย่อๆ ก็ดูน่าฟังมาก จะนำมาถ่ายทอดให้โยมผู้ใหญ่ด้วยจะเอาไหม?
    ผู้ใหญ่มา :ขอบคุณมากครับหลวงพ่อ นึกว่าเอาบุญเถิดครับ ผมกำลังปรารถนาจะฟังอยู่พอดี
    หลวงพ่อแช่ม :เขาพูดสั้นๆได้ใจความและมีสาระมาก เขาพูดว่า การปฏิบัติตามแนวพุทธธรรมที่แท้จริง จะต้องเห็นแจ้งว่าเราไม่ได้เกิดมา ทุกสิ่งที่ทำหน้าที่อยู่ในโลก ล้วนเป็นสิ่งปรุงแต่งของธาตุตามธรรมชาติ อาศัยธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ ซึ่งธรรมชาติปั้นขึ้นมาและเป็นของใครไม่ได้ นอกจากของโลก โลกให้มาแบบลอยๆ เปล่าๆ ไม่มีตัวตน เพราะโลกเองก็อยู่อย่างลอยๆ ไม่มีตัวตน และดึงดูดซึ่งกันและกันให้ทรงตัวอยู่ได้ ทุกสิ่งอาศัยสมมุติจึงเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา และอื่นๆขึ้นมา คนเปรียบเสมือนโรงงานโรงหนึ่ง มีกายนอก (รูปนอก) เป็นตัวโรงงาน กายในเป็นเครื่องจักรซึ่งได้รับวัตถุดิบป้อนเข้ามา คือ อาหาร อากาศ น้ำ และอารมณ์ต่างๆ เครื่องจักรรวมถึง รูปกายภายใน รวมทั้งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีใจเป็นผู้จัดการ ทั้งโรงงานและผู้จัดการล้วนเป็นธาตุของโลก ซึ่งไม่มีตัวตน เมื่อทำหน้าที่จนโรงงานและเครื่องจักรพังไป ผู้จัดการก็หมดหน้าที่ไปด้วย
    การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ก็เพื่อให้เข้าถึงความจริงอย่างนี้ ว่ากายใจไม่ใช่ของเรา เพียงอาศัยกันทำหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-สลายไปเป็นขณะๆ ทั้งการเคลื่อนไหวกายและความคิดความรู้สึก ใจย่อมรับรู้ตามที่เป็นจริงทั้งเหตุและผล แต่ไม่ยึดถืออาการทั้งเหตุและผลว่ามีตัวตนเป็นของตน ใจก็จะเป็นอิสระและว่างอยู่เสมอ เข้าสู่ภาวะนิพพาน
    การที่จะเห็นความจริงว่าไม่มีอะไรจริงในโลกนี้ ต้องถอดสมมติออกจากธรรมเสียก่อน ที่ปรากฎให้เห็นคือ สังขารธรรม ซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งรู้ได้โดยธาตุรู้จากใจ หยั่งรู้เข้าไปในสภาวธรรมทั้งปวงในรูปของ สติ สัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญา ทั่วพร้อม
    เมื่อธาตุ ต่อ ธาตุกระทบกัน รวมตัวเป็นกลุ่มธาตุ (รูป) และกลุ่มธาตุมาสัมผัสกับธาตุเบาอีกชนิดหนึ่งคือ วิญญาณธาตุ จะเกิดนามคือ ความรู้ ว่าเกิดอะไรขึ้นและรู้สึกอย่างไรหรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่า เมื่อธาตุหนักกับธาตุหนักกระทบกัน จะเกิดธาตุเบาขับเคลื่อนไป ลอยไปเป็นอาการรู้ แล้วก็สลายไปหมดทุกครั้ง เป็นความรู้เก็บไว้ให้นึกคิดใหม่ หมุนเวียนกันอยู่อยางนี้ โดยไม่มีตัวผู้กระทบ ผู้ถูกกระทบ และผู้รู้ พอจบขบวนการก็สลายไปหมด เรียกว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา สุญญตา จึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงแท้ถาวร แต่ความไม่รู้ (อวิชชา) ทำให้คนหลงว่าทุกสิ่งมีจริง ทั้งๆ ที่สมมติโดยชื่อและความหมายตั้งขึ้นทีหลังเพื่อให้รู้ความหมายของสภาวะซึ่งเป็นกลุ่มก้อนของธาตุหนักและธาตุเบา
    เมื่อธาตุเหล่านี้ต้องสลายไป คนที่ไม่รู้ความจริงและหลงยึดถือจึงพากันเป็นทุกข์ จนกว่าจะไปรู้ความจริงเห็นความจริงของธาตุที่ทำหน้าที่เกิด-ดับทุกขณะด้วยสติปัญญาจึงเลิกยึดถือ และปล่อยให้ธาตุทำหน้าที่ตามปัจจัยของมันโดยไม่มีตัวตนและไม่มีเราเข้าไปเกี่ยวข้อง, จัดการยึดครอง ก็จะหมดทุกข์ หมดปัญหา อยู่อย่างว่างๆ ทำอย่างว่างๆ คิดอย่างว่างๆได้ จนกว่าจะหมดพลังของธาตุเหล่านั้นที่จะกระทบและขับเคลื่อนต่อไป ผู้ใหญ่ฟังดูแล้วเห็นเป็นอย่างไร? พอจะเข้าใจและคิดว่าจะปฏิบัติได้ง่ายขึ้นไหม?
    ผู้ใหญ่มา :โอ้โฮ! หลวงพ่อ ผมฟังแล้วเข้าใจชัดมาก ผมจะขยันดูและพิจารณาด้วยปัญญาให้มาก หากติดขัดประการใดจะขอไปเรียนถามอาจารย์กตธุโรดูบ้าง หรืออาจจะไปพบลูกศิษย์ของท่านบางคนที่อยู่ใกล้ๆ ขอให้หลวงพ่อพักผ่อนเถอะครับ ผมรบกวนเวลาของหลวงพ่อมานาน หลวงพ่ออายุมาแล้วควรจะได้พักมากๆ ผมตั้งใจว่าถ้าเห็นธรรมจนถึงที่สุดแล้วจะมาช่วยหลวงพ่อสอนธรรมให้ชาวบ้านแถวนี้ด้วย
    หลวงพ่อแช่ม :เออดีๆๆ สาธุ ขอให้เจริญธรรมเถอะ
    -----------------------
    <!-- End main-->


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>
    Create Date : 20 สิงหาคม 2554

    </TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:41:17 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0</TD></TR><TR><TD>Counter : 44 Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336587544238 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D20-08-2011%26group%3D1%26gblog%3D220&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336587544238&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=132986415&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336587544238 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>

    </TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <!-- <table width=100% border=0 cellspacing=0> <tr> <td>Counter : <script src='http://fastwebcounter.com/secure.php?s= bloggang3030430 '></script> Pageviews. </td> </tr> </table> --><FORM method=post name=reply action=http://www.bloggang.com/reply.php?id=secret-world><INPUT name=code value=u7dba50=9kiw?74h?0j-dyibfa03_?|=93pqz3_k_fb3o1cffm81nw2yx5t3kl type=hidden>
    </FORM>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2012
  9. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค9 --หลวงพ่อแช่มจอมทัพรบกิเลส-5

    <!-- Main -->
    ผู้เห็นผิด

    ผู้เห็นผิดก็ยังติดผิดผิดอยู่
    ยังไม่รู้ความผิดติดไม่หาย
    พอรู้บ้างก็ยังติดผิดจนตาย
    พอติดรู้มากมายตายกับธรรม
    จึงไปพูดให้ถอนสอนเรื่องผิด
    ผู้สอนผิดก็ยังติดเลยผิดซ้ำ
    ผิดแต่ต้นยาวยืดเพราะยืดธรรม
    จึงไม่ข้ามตัวตนพ้นผูกพัน
    ผู้เห็นถูกสอนถูกทุกข์จึงหมด
    ทั้งโลภหลงหายหดหมดทุกด้าน
    หมดทั้งสุขหมดไม่เหลือเชื้อการงาน
    แม้นิพพานที่หวานหอมยังยอมกลัว

    กตธุโร
    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๓
    ----------------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ เป็นยังไงบ้าง เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วหรือ?
    ผู้ใหญ่มา :ยังไม่เสร็จหรอกครับ ให้เด็กๆ และแม่บ้านเขาจัดแจงกันต่อ ผมขอปลีกตัวมาพบหลวงพ่อชั่วคราว มาคุยธรรมสักเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ
    หลวงพ่อแช่ม :ไหนมีปัญหาอะไรว่ามาซิ ผู้ใหญ่
    ผู้ใหญ่มา :ก็เรื่องออกจากกามนั่นแหละครับ ถ้าเราเข้าใจและออกจากมันได้ ก็เป็นสักแต่ว่าวิญญาณรับส่งสัญญาให้สังขารปรุงเป็นเวทนา แล้วก็รู้เฉยๆ ใช่ไหมครับ? สังขารก็เป็นสักแต่ว่าปรุงไปตามเหตุ คือสัญญาที่เข้ามาแล้วมันก็เกิด-ดับของมัน จบขบวนการไปทุกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องของมันโดยตลอด จะรู้ได้ว่ามีการดูดหรือผลักในเวทนาโดยตัวรู้
    การดูดหรือผลักก็เป็นมัน ถ้ารู้แล้วจะดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ มันเป็นของมันทั้งหมด ทั้งตัวดูตัวรู้ ผมเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วจากใจ เราไม่มี มีแต่มันเหลือแต่มันจริงๆ แม้มันเองก็เป็นเพียงสิ่งที่บัญญัติเอา มันก็มีไม่จริง เพราะเกิด-ดับไปตามเหตุปัจจัย จึงรู้จบตรงนี้เอง แล้วยังมีอะไรที่จะต้องดูต่อครับหลวงพ่อ?
    หลวงพ่อแช่ม :เออ... ผู้ใหญ่ ถ้าเห็นได้อย่างนี้ก็ถูกต้องแล้วซี เห็นไหมล่ะ จะรู้ขึ้นมาเองในตัวเหมือนกัน การรู้เห็นแจ้งจนออกจากกาม ออกจากเวทนาได้หมด จนหมดตัวตนในเวทนาเรียกว่าหมดรูป ทิ้งรูปได้จนไร้รูปแล้วให้ดูจิตประคองจิตต่อไป จนเหลือจิตล้วนๆ ให้มันเดินทางไปสู่ที่พักของมันอย่างถูกต้องต่อไป จิตหยุดนิ่งไม่ได้ต้องเกิด-ดับตลอดเวลา ไม่มีใครบังคับจิตได้
    จิตเป็นจิต และไม่มีตัวตน จิตจะทำหน้าที่เมื่อมีการกระทบทางกาย (อายตนะทั้งหก) เรียกว่าจิตเกิด จึงต้องรู้ทันอาการ ของจิต รู้ทันจิตและใช้จิตให้ถูก จึงต้องมีที่ให้จิตอยู่ ให้จิตได้เล่นในที่ภายในซึ่งเป็นกุศล เมื่อไม่เล่นก็พักอยู่ใน สุญญตาวิหาร คือว่าง ว่างจากการปรุงแต่งนั่นเอง จงอย่าจัดจิต หรือเอาจิตมาจัด เขาเป็นสิ่งไม่มีตัวตนบังคับไม่ได้ จัดไม่ได้ เขาควบคุมตัวเขาเองและเป็นนายกายด้วย เมื่อธาตุรู้ในจิตไปอยู่เหนือจิต จึงเป็นนายที่ฉลาด จะใช้กายและจิตอย่างถูกต้องจนกว่ามันจะสลาย มันจะแยกกับกาย ตอนที่รู้ว่ากายจะพังเพราะหมดที่อาศัย
    ผู้ใหญ่มา :แล้วจิตสลายไปอยู่ที่ไหนเล่าครับ หลวงพ่อ?
    หลวงพ่อแช่ม :เออ... มันมาจากไหนก็ไปสู่ที่นั่นแหละ มันไปของมันเอง บังคับไว้ไม่ได้อย่าไปสงสัยมัน จงปล่อยให้จิตเป็นจิตเมื่อขันธ์ห้ายังทำหน้าที่อยู่ จิตก็จะมีอยู่ แต่เนื่องจากจิตเป็นนามธาตุ เป็นธาตุเบาธาตุละเอียดที่มองไม่เห็น มันจึงมีลักษณะเหมือนกับไฟ ยามหมดเชื้อก็ไม่ลุกโชนขึ้นมาอีก และไฟไปอยู่ที่ของไฟฉันใด จิตก็อยู่ตามที่ของมันฉันนั้น เราไม่ต้องไปคำนึงว่ามันจะไปจะมาอย่างไร แต่ให้รู้เท่านั้นว่า จิตไม่ใช่เรา เราไม่มีในจิต จิตไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่จิต จิตเป็นเพียงผู้รู้ที่ไม่มีตัวตน เข้าใจไหมโยมผู้ใหญ่?
    ผู้ใหญ่มา :เข้าใจครับ หลวงพ่อ
    ทั้งพระและฆราวาสหยุดคุยกันชั่วคราว เพราะมีชาย ๒ คน มาหาหลวงพ่อแช่ม และก้มลงกราบ พร้อมทั้งกล่าวเสียงสั่นๆ ว่า ”หลวงพ่อครับ ผม ๒ คนพี่น้องรู้สึกตัวว่าผิดไปแล้ว มาขอสารภาพผิดกับหลวงพ่อขอรับ ผมชื่อ สุดใจ น้องชื่อ จาบ
    หลวงพ่อแช่ม : อะไรกัน? หลวงพ่อยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเลย เรื่องมันเป็นอย่างไร? ค่อยๆ เล่าไปซิ
    สุดใจ :ผมกับน้องได้ทำเรื่องที่ไม่ดี ไปขโมยควายจากวัดบัวลอย ตัวที่ประกวดชนะที่หนึ่งในงานวัดคุ้งนามอญนั่นแหละขอรับ แล้วนำไปขายเมื่อ ๕-๖ วันก่อน ได้เงินมา ๒,๐๐๐ บาท ผม ๒ พี่น้องนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว มันทรมานจริงๆ เวลาจะนอนรู้สึกเหมือนกับมีคนๆ หนึ่ง แต่งตัวชุดสีแดง รูปร่างสูงใหญ่มาก มายืนสั่งให้ผมเอาเงินที่ขายควายได้ไปคืนวัดเสีย เป็นเช่นนี้ทุกคืน ผมและน้องมีความกลัว ไม่กล้าเอาเงินไปคืน เพราะเกรงว่าจะถูกจับไปเข้าคุก เลยมาหาหลวงพ่อให้ช่วยรับเงินนี้ไว้ และช่วยหาทางให้ผมพ้นจากสภาพหลอกหลอนจนนอนไม่หลับด้วยเถิดครับ
    หลวงพ่อแช่ม :เอาๆ หลวงพ่อจะจัดการให้ ผู้ใหญ่อย่าเพิ่งไปจับเขาเลยนะ ปล่อยเขาไปก่อน อ้าว! เจ้า ๒ คนกลับไปได้แล้ว แล้วค่อยมาคุยกับหลวงพ่อใหม่
    หลังจากนั้นสักครู่ ทายกวัดบัวลอยก็มาถึง ชื่อนายปลั่ง เข้ามานมัสการหลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อถามว่า “เธอจะมาเอาเงินค่าควายคืนใช่ไหม? หลวงพ่อรับเงินไว้ให้แล้ว ผู้ใหญ่มาก็เป็นพยานรู้เห็นอยู่ที่นี่ด้วย”
    นายปลั่ง :เอ! หลวงพ่อ มันชักจะยังไงๆ แล้วนะครับ หลวงพ่อทราบได้อย่างไรว่าผมจะมาเรื่องนี้? ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมพอควายที่วัดหายไป ๑ คืนเท่านั้น ก็มีคนมาขอพบผม และบอกให้เอาเงิน ๒,๐๐๐ บาท ไปไถ่ควายที่ลพบุรี บอกที่อยู่ให้เรียบร้อย ผมตื่นขึ้นก็ไปบอกอาจารย์ที่วัดบัวลอย ท่านก็ให้เอาเงินวัดไปไถ่ให้ได้ควายมา ปรากฏว่าเจ้าของควายที่ซื้อควายไว้เป็นแขก
    พอผมไปถึง เขาก็เล่าเรื่องที่น่าอัศจรรย์ให้ฟัง ว่าตั้งแต่เลี้ยงควายส่งโรงฆ่าสัตว์มานานยังไม่เคยพบเหตุการณ์อย่างนี้เลย พอเขารับควายตัวนี้ไว้ก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น เขาฝันว่ามีผีใส่เสื้อแดงทั้งชุด รูปร่างสูงใหญ่เหมือนคนโบราณมาบอกว่า อย่าฆ่าควายตัวนี้นะ มันเป็นของวัดบัวลอย จะมีคนเอาเงินมาซื้อคืน ให้ขายคืนเขาไป ถ้าไม่ขายจะต้องเจอดี ควายตัวนี้เป็นควายมีบุญมาเกิด ถ้าฆ่ามัน พรุ่งนี้ควายของแขกทั้งหมดจะถูกซื้อไปไม่เหลือเลย ไม่เชื่อคอยดูก็แล้วกัน
    พอแขกตื่นจากฝันก็ลงไปดูควายที่คอก เห็นมีแสงสว่างจ้าออกมาจากร่างควายบัวลอยสว่างไสวไปหมด เขาตกใจมาก ตกตอนสายมีคนมารับควายไปโรงฆ่าสัตว์เช่นวันก่อนๆ แต่เขานึกถึงความฝันก็เลยเปลี่ยนใจไม่กล้าขาย บอกให้คนที่มารับควายกลับไปก่อนและค่อยมาใหม่วันหน้า แต่ก็มีคนมาขอซื้อควายเรื่อยๆ ในราคาที่สูงกว่าเดิม คือตัวละ ๕,๐๐๐ บาท โดยเฉพาะควายบัวลอยเขาให้ราคาถึง ๗,๐๐๐ บาท แต่แขกก็ไม่กล้าขายมันไป จนกระทั่งมีคนมาให้ราคาถึง ๑๐,๐๐๐ บาท เขาจึงตกลงขายและให้ขึ้นรถไปทั้งหมด
    พอควายบัวลอยขึ้นไปบนรถ ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น รถได้พังลง ยางแตกหมด ผู้ซื้อต้องไปเอารถคันใหม่มาบรรทุก และให้ควายบัวลอยขึ้นไปก่อน แต่บอกว่าไม่ได้เอาไปฆ่า จะนำไปแจกชาวบ้านในรายการธนาคารควายตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน แต่รถก็ขับเคลื่อนไปไม่ได้ เพราะยางแตกอีก จึงเหลือควายบัวลอยไว้ตัวเดียว
    พอดีผมไปถึงบ้านแขกและนำเงินไปขอไถ่ควายตัวนี้ในราคา ๒,๐๐๐ บาท ซึ่งเขาก็ให้แต่โดยดี และเล่าเรื่องความฝันตลอดจนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังด้วย แล้วผมก็มาพบหลวงพ่อที่นี่ แต่กลับได้รับเงินจำนวน ๒,๐๐๐ บาท ไปคืนวัดบัวลอยโดยไม่คิดไม่ฝัน
    หลวงพ่อแช่ม :เออ... เรื่องมันก็แปลกดีนะโยมผู้ใหญ่
    นายปลั่ง :ทำไมผู้ใหญ่ไม่จับขโมยไว้ล่ะ?
    ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อบอกว่าให้ปล่อยเขาไป เพราะเขากลัวจะแย่อยู่แล้ว เขารู้สำนึกและมาสารภาพผิดกับหลวงพ่อ อีกอย่างหนึ่งทายกปลั่งก็ได้เงินคืนแล้ว อย่าได้สร้างเวรสร้างกรรมกับเขาเลย
    หลวงพ่อแช่ม :หลวงพ่อขอบิณฑบาตเถอะนะ ทายกปลั่ง ปล่อยเขาไปเถอะ
    นายปลั่ง :ครับหลวงพ่อ ผมเลยลาละครับ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยม
    ผู้ใหญ่มา :ผมก็ขอกราบลาด้วยครับ แต่ผมยังสงสัยว่า เรื่องเช่นนี้ทำไมจึงเกิดขึ้นได้ ช่างอัศจรรย์จริง!
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ แล้วค่อยมาฟังต่อนะ
    ----------------------
    จิตไม่ใช่เรา

    ดวงจิตไม่ใช่เราอย่าเฝ้าจิต
    ไม่ผูกติดปั้นอยู่ไม่รู้หาย
    ปั้นว่าจิตเป็นเรา เฝ้าจนตาย
    จิตสลายกายแตกแยกไปเอง
    เราไม่มีในจิตอย่าติดข้อง
    ไปยึดครองเกี่ยวเกาะอย่างเหมาะเหม็ง
    จิตไม่มีในเราเขามีเอง
    ใครจะเก่งไม่เก่งพังด้วยกัน

    กตธุโร

    ออกจากจิต

    เมื่อไม่ติดอะไรในโลกเลย
    สิ่งที่เคยติดอยู่ก็รู้เท่า
    จิตมันเบาทุกสิ่งยิ่งกว่าเบา
    ความเป็นเราหรือเป็นใครมันไม่มี
    ทั้งรูปหยาบรูปละเอียดเฉียดแล้วหาย
    จึงไม่ยึดสิ่งใดในโลกนี้
    แม้จิตเองก็ยังถอยปล่อยอีกที
    แล้วจะมีสิ่งใดในตัวตน
    อยากตะโกนกู่ก้องร้องลั่นโลก
    ถึงมีโชคอับโชคโศกไม่สน
    แยกขันธ์ห้าทิ้งขันธ์ห้าฆ่าตัวตน
    ใครจะพ้นหรือไม่พ้นค้นกันเอง

    กตธุโร

    ไม่ตายแล้ว

    เมื่อกายเป็นกายจิตเป็นจิตไม่ติดคน
    ก็ไม่ปนรวมกันดั่งกาลก่อน
    กายก็ปรุงอยู่บ้างเช่นนั่งนอน
    จิตก็ปรุงสั่งสอนก่อนจะตาย
    จิตเขายืนเฉยอยู่รู้ก็ดับ
    กายก็ปรับหน้าที่มีมีหายหาย
    ทั้งกายจิตไม่ติดอยู่รู้วันตาย
    จึงสบายแสนสบายตายไม่จริง
    แล้วบอกศิษย์ทุกคนอย่าวนอยู่
    ออกจากรู้ดับรู้ดูทุกสิ่ง
    ก็มีแต่ขันธ์ห้าว่าการจริง
    ทั้งเสือสิงห์กระทิงเถื่อนก็เหมือนคน

    กตธุโร
    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๔
    ---------------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ มีอะไรพิเศษหรือ วันนี้ไม่ใช่วันพระทำไมจึงมาก่อน?
    ผู้ใหญ่มา :แม่บ้านเขาไปรับขวัญแม่โพสพ จะนำข้าวเข้าบ้านเมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ก็เลยทำขนมประกริมไข่เต่าไปรับขวัญ ผมแบ่งมาถวายหลวงพ่อและจะมาขอฟังธรรมจากหลวงพ่อด้วย
    หลวงพ่อแช่ม :อ้อ... ดี เชิญเลย ขอเจริญพรเถิด
    ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ พิธีรับขวัญข้าวขวัญนาอะไรนี่ มันมีความหมายอย่างไรครับ? เขาทำกันเป็นพิธีหรือว่ามีแม่โพสพจริงๆ
    หลวงพ่อแช่ม :คนโบราณเขาฉลาด เวลาไปรับขวัญข้าว เขาให้เดินทั่วนา เพื่อจะได้ดูว่ามีข้าวอย่างอื่นเช่นข้าวลาย หรือข้าวฟ่อนหลงหูหลงตาอยู่หรือไม่ ถ้าเก็บยังไม่หมดจะได้เก็บเสียให้หมด จึงมีพิธีนี้ขึ้นและอ้างชื่อแม่โพสพมาเป็นผู้รับขวัญ หรืออย่างในเดือน ๑๒ เขาก็ต้องไปรับขวัญข้าวด้วย เพื่อไปดูว่าเวลาน้ำมากผักตบชวาจะพากันทับข้าวหรือไม่ ประเดี๋ยวข้าวจะจมน้ำเสียหายไงล่ะโยมผู้ใหญ่ ไม่มีอะไรมากหรอก
    ผู้ใหญ่มา :อ๋อ... ผมเข้าใจแล้ว เลยทำกันเป็นประเพณีต่อๆ มาจนทุกวันนี้ แต่คนรุ่นหลังไม่เข้าใจความหมาย เลยหลงทำกันจะเป็นจะตายเลย
    การสนทนาหยุดชะงักลง เพราะครูพนมเดินเข้ามา
    ครูพนม :นมัสการครับหลวงพ่อ สวัสดีครับลุงผู้ใหญ่ วันนี้เป็นวันครู ผมจึงนำอาหารเพลมาถวายหลวงพ่อ ทางราชการเขาให้หยุด ๑ วัน เผอิญวันรุ่งขึ้นก็เป็นเสาร์และต่อวันอาทิตย์ เลยได้หยุดถึง ๓ วันติดต่อกัน ผมจึงคิดว่ามาฟังธรรมกับหลวงพ่อสักวันดีกว่า ส่วนมากครูเขาสนุกสนานเฮฮากันตามระเบียบ และไม่พ้นเรื่องของกามกับอบายมุขผสมผเสอยู่ในงานวันครูที่เขาจัดกัน ผมเลยหลบหลีกไม่ไปร่วมงานกับเขาในช่วงที่ไม่ใช่พิธีกุศล
    หลวงพ่อครับ เรื่อง กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย กายไม่มีในเรา เราไม่มีในกาย บทแรกที่หลวงพ่อให้ไปปฏิบัติไปดูนั้นผมพอจะเข้าใจ แต่ยังไม่เห็นแจ้งลงไปทีเดียว จะทำอย่างไรดีครับจึงจะเห็นแจ้งได้?
    หลวงพ่อแช่ม :ก็ต้องดูบ่อยๆ สิ ครูพนม ต้องหัดวิปัสสนึกเอาก่อนว่ามันเป็นมัน มันไม่ใช่เรา มันเดิน มันนั่ง มันยืน มันนอน มันกิน มันถ่าย ไปเรื่อยๆ บ่อยๆ จนเห็นชัดขึ้นมาเป็นวิปัสสนาได้เองในขณะใดขณะหนึ่ง ทั้งอาการหยาบและละเอียด สำคัญต้องขยันหน่อยในช่วงแรก โดยการมีสติรู้ตัวอยู่เสมอไม่ว่าจะทำอะไร และเพ่งดูด้วยปัญญาหนักๆ เข้า จะเห็นได้ด้วยปัญญา โดยไม่ใช่อวิชชาเข้าไปเห็น
    ครูพนม :ผมจะพยายามครับ หลวงพ่อครับ ผมมีปัญหาอื่นมาด้วย มีคนเขาฝากมาถามเรื่อง ตายแล้วจะไปเกิดอีกไหม?
    หลวงพ่อแช่ม :เรื่องตายแล้วเกิด หรือตายแล้วสูญ นี่ มีสงสัยกันมากจริงๆ ทุกคนที่หันมาเรียนธรรม มักจะสนใจอยากรู้ปัญหานี้กันทั้งนั้น แม้พระพุทธองค์ท่านก็จะไม่ทรงตอบ หากจำเป็นท่านจะตอบว่า แล้วแต่เหตุและปัจจัย “ถ้าทำเหตุอย่างนี้ๆ ผลที่ตามมาคือกรรม” กรรมและวิบากจะนำไปเกิดใหม่ได้ ถ้าหมดเหตุ หมดปัจจัย หรือหมดกรรม ก็จะไม่เกิดอีก
    ครูพนม :หลวงพ่อกรุณาขยายต่ออีกหน่อยเถอะครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ
    หลวงพ่อแช่ม :เอา... ฟังนะ คนที่ยังไม่หมดอยาก หรืออยากจะหมด ยังมีความโลภ โกรธ หลง อยู่ ก็จะไปเกิดโดยอาศัยเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นผู้นำไป ถ้าทำดี ก็จำได้ว่าทำดี รับรู้ว่าทำดี พอใจว่าทำดี เลยเก็บดีไป ไม่หมดเชื้อจึงนำไปเกิดในที่ดี ตรงกันข้ามกับพวกที่ทำไม่ดี ก็จะนำกรรมชั่วไปเหมือนกัน ไปเกิดในที่ชั่ว
    ครูพนม :ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดอีก หรือสูญไปเลยละครับหลวงพ่อ?
    หลวงพ่อแช่ม :ก็ต้องมาเรียนรู้อย่างครูนี่แหละ อย่างที่หลวงพ่อกำลังสอนให้รู้นี่แหละ แล้วนำไปปฏิบัติจนเห็นแจ้งในความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง เรียนให้หมดอยากและอยากหมด ถ้าหมดความเป็นคน โลภ โกรธ หลงก็หมด เพราะอะไรๆ ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นแต่ธาตุของโลกปรุงขึ้นมา แล้วก็เปลี่ยนไป เกิดๆ ดับๆ เป็นของธรรมชาติเขา จึงหมดความเป็นคน เป็นของคน
    เมื่อหมดคนก็เหลือแต่ธรรมล้วนๆ เป็นของธรรม เขาเกิด-ดับของเขา เราไม่มี ก็หมดเชื้อคนที่จะสืบสันตติต่อไป ก็จบน่ะซี ครูเข้าใจไหม? เรียกว่ามีความรู้ขึ้นมาจนสลายของมันเอง สลายตัวรู้ทั้งหยาบและละเอียด ก็เหมือนกับไฟหมดเชื้อ ไฟก็สลายไปหมด ที่ยังมีหน้าที่ เดิน ยืน นั่ง นอน กิน ขับถ่าย หายใจ อยู่นี่เป็นธาตุของโลกเขา ไม่ใช่เราเสียแล้ว จะไม่เรียกว่าเป็นอะไรก็ได้
    นี่แหละถ้าใครมาเรียนรู้จนถึงที่สุด จนหมดรู้ได้ ก็จะหมดทุกข์ ผู้นั้นจะรู้เองโดยไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าหมดกิเลสแล้ว มันจะรู้เองทั้งๆ ที่ไม่มีตัวนั่นแหละ ก็มันเป็นแต่ธาตุหนักกับธาตุเบารับ-ส่งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาให้กันและกัน จริงๆ แล้วเจ้าธาตุ ๒ ชนิดนี้ก็เป็นธาตุเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีหนักไม่มีเบา เพราะเขาออกมาจากที่เดียวกันคือธรรมชาติของโลก มันจึงเป็นของใครไม่ได้ บังคับไม่ได้ แม้ตัวมันเองก็ไม่มี จึงบังคับตัวมันไม่ได้ และทนอยู่ไม่ได้ต้องเปลี่ยนไปเสมอไม่หยุดนิ่งได้
    ฉะนั้นจึงไม่มีเชื้อความมี ความเป็น ในอะไรๆ ทั้งหมด หลวงพ่อจึงพูดอยู่เสมอว่า “มันเปล่าๆ ปลี้ๆ” คือว่างมาแต่เดิม ดักลอบบนอากาศจะได้อะไร ก็ได้เปล่าๆ หรือเอาอะไรไปติดกับอากาศมันจะติดอยู่ได้หรือ มันก็ร่วงหมด. จึงสรุปว่า “เมื่อคนหมดก็หมดเชื้อ ไม่ไปเกิดไม่ไปตายอีกแล้ว ที่เกิดตายนั้นเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติที่เกิดและสลายไป”
    ครูพนม :ผมเข้าใจดีแล้วครับหลวงพ่อ มีอีกเรื่องหนึ่งครับ การเข้าเจ้าเขาทรงผีสิงอะไรนี่ละครับ มันเป็นอย่างไร?
    หลวงพ่อแช่ม :เจ้า หรือ ผี เขาก็มีภพของเขาเหมือนกัน แต่จะมาเกี่ยวข้องกับคนนั้นน้อยมาก ถ้าไม่จำเป็นพวกนี้จะไม่มายุ่งกับคนเลย เขาเหม็นคน คนไม่มีศีลเขาไม่อยากจะมาเกี่ยวข้องด้วย ที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยมากจะเกี่ยวกับจิตของคนนั้นเองทำงานเมื่อมีเหตุพอเหมาะพอควร จึงเกิดอาการอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น เช่นเต้นได้ทำอะไรๆ ได้อีกหลายอย่าง ครูลองสังเกตดูซี การจะทำอะไรสำเร็จไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรมต้องทำด้วยจิตเสมอ
    จิตนี้จะใช้ให้ทำอะไรก็ได้ พอฝึกเข้าก็จะทำได้สมใจเจ้าของ เช่นฝึกให้มีฤทธิ์มีกำลัง บางจิตสั่งให้งอเหล็กได้ เรื่องจิตเป็นเรื่องยาวเรื่องละเอียด หลวงพ่อคงจะอธิบายในเวลานี้ไม่หมดและอธิบายไม่ไหว จะปั้นจิตกันอย่างไรก็ได้ จะให้ไปเห็นสวรรค์วิมานชั้นไหนก็ทำได้ ให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ทำได้ ธาตุเบามันก็ปั้นแบบธาตุเบา แต่ต้องอาศัยอยู่ในธาตุหนัก และธาตุหนักก็ปั้นของมันเองอยู่แล้วตั้งแต่แรกโดยโลก ธาตุหนักถูกปั้นให้เป็นทุกสิ่งขึ้นมาเต็มบ้านเต็มเมือง วิจิตรพิสดารแบบไหนก็ได้ หลวงพ่อจะบอกให้รู้ว่า เมื่อเรียนรู้เองจนจบก็ไม่ต้องไปถามใครให้ป่วยการเลย เพราะหมดสงสัยในอะไรๆ ทั้งสิ้น
    ครูพนม :ผมเริ่มเห็นขึ้นมาบ้างแล้วละครับหลวงพ่อ ขออนุญาตถามหลวงพ่ออีกหน่อย เวลาโกรธ ก็รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่ทำไมมันจึงโกรธได้ครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :ก็เพราะมันไม่ใช่เราน่ะซี จึงห้ามไม่ให้มันไม่โกรธไม่ได้ มันเป็นมันและเป็นของมันอย่างนั้นเอง มันปั้นเรื่องและส่งสัญญาที่เคยโกรธให้เวทนา ส่งกันไปส่งกันมา จึงโกรธเป็น ไม่มีเราและไม่ใช่เราโกรธหรอก ธาตุหนักและธาตุเบามันปรุงกัน และทำหน้าที่รับส่งกันตามเหตุตามปัจจัยของมัน จึงรู้กันเองว่าโกรธ ถ้าจะไม่ให้โกรธก็ต้องเข้าไปรู้ว่าใครเป็นผู้โกรธ ทำไมจึงโกรธ โกรธแล้วได้อะไร? เวลาคนต่างชาติด่าไม่รู้ความหมายทำไมจึงไม่โกรธ เพราะฉะนั้นโกรธมี เพราะถูกสอนให้จำได้หมายรู้และทำตาม จึงโกรธเป็น ความจริงไม่มีเราโกรธเลย มันทำกันเอง แล้วก็หายโกรธเอง จึงโกรธไม่จริงไงล่ะ ครูพนม
    ครูพนม :ผมเข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ ผมจะพยามยามดูเวลาโกรธให้เห็นชัดๆ ว่าโกรธไม่จริง และไม่มีผมเป็นผู้โกรธ ผมขอให้หลวงพ่อพักเหนื่อยสักครู่แล้วจะขอถามต่ออีกสักหน่อยนะครับ
    หลวงพ่อแช่ม :อือ... ก็ดีเหมือนกัน ครูก็จะได้พักด้วย ลองนั่งหลับตาพักผ่อนกายและใจดูมั่งก็ได้สัก ๑๐ นาที แล้วค่อยคุยกันต่อ
    ครูพนม :ได้ความเลยครับ ผมรู้สึกว่าถ้าได้นั่งพักอย่างนี้บ้างก็ดี จิตใจสงบไม่วุ่นวาย พอดีผมมีเรื่องเกี่ยวกับการนั่งวิปัสสนาของเพื่อนซึ่งมีตำแหน่งสูงกว่าผมมาถามหลวงพ่อ เขาบอกว่านั่งสมาธิทำวิปัสสนาทุกวัน มันสบายและว่างแสนว่าง สงบใจมากจนบอกไม่ถูก เขายังแนะนำให้ผมทำอย่างเขาเลย ผมสงสัยว่าเขาคิดอย่างไรของเขาไม่ทราบ จู่ๆ ก็จะลาออกจากครูไปบวช แต่ภรรยาเขาไม่ยอมและโกรธมาก ว่ากล่าวพาดพิงไปถึงพวกที่สนใจธรรมแบบนี้อย่างเสียๆ หายๆ ถึงขนาดจะไม่ยอมหุงหาอาหารให้สามีกินถ้ายังมัวนั่งหลับหูหลับตาโดยไม่ทำงานทำการให้เป็นปกติเหมือนเดิม
    เพื่อนผมทำมาเป็นเดือนแล้ว เขาไปฝึกมาจากกรุงเทพฯ ตอนแรกก็ตามคนอื่นไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เพียงอยากจะไปลองดู แต่ตอนนี้ชักจะไปกันใหญ่ จนเกิดความขัดแย้งในครอบครัวขึ้นแล้ว ภรรยาเขาถามผมว่า “คุณพนมเรียนธรรมะและปฏิบัติแบบนี้ด้วยหรือเปล่า?” ผมตอบว่า “ไม่หรอกครับผมปฏิบัติโดยวิธีธรรมชาติตามที่หลวงพ่อแช่มสอนให้ดูกายดูจิตทุกอิริยาบถ แม้ในขณะทำงานหรือจะนอนและตื่นนอนโดยไม่ต้องหยุดทำงาน” เอ... หลวงพ่อครับ ถ้านั้นเพื่อนผมคงจะไปติดอะไรเข้าแล้วใช่ไหมครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :ติดซี ติดว่างติดสบายนั่นแหละ ติดจะทำเอา คือผลักกามโดยวิธีกดเอาห้ามเอา ไม่ยอมทำในสิ่งที่เคยทำจนภรรยาผิดสังเกต ก็ต้องอาละวาดเอาเป็นธรรมดา
    ครูพนม :อ๋อ... เขาไปทำอย่างนั้นนี้เพื่อเอาสบาย ติดสบาย แล้วที่ว่าทำให้ว่างแบบนั้น มันไม่ถูกหรือครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :อัน ความว่าง นั้นมันมีอยู่ ๓ ความหมายด้วยกัน
    ว่างโดยกดเอา คือใช้ ศีล สมาธิ อุเบกขา สัญญากดเอา
    -คนที่มีศีล ก็เอาศีลมาทำให้ว่าง ถือศีลให้ตายตัวกิเลสก็เข้ามาไม่ได้
    -คนที่นั่งสมาธิ ก็ได้สมาธิ จึงติดสงบ ติดว่างอยู่ในสมาธิขณะนั้นๆ กิเลสก็เข้าไม่ได้ แต่ไม่ถาวร พอออกจากสมาธิ กิเลสก็เข้ามาได้อีก
    -คนที่ใช้อุเบกขา (วางเฉย) กดไว้ อะไรๆ ก็เข้าไม่ได้ ความโกรธมีก็กดไว้วางเฉยเสีย แผ่เมตตาเสียอย่าไปโกรธ มีเราเข้าไปกดว่าอย่าโกรธ กิเลสก็เข้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ถาวรอีก
    -คนที่มาเรียนธรรมจนรู้จักสัญญา ก็ใช้สัญญาว่างกดไว้ หลบหนีไปอยู่ในที่ๆ สงบไม่มีอะไรรบกวน เห็นว่าที่วุ่นๆ ไม่ดี ต้องไปอยู่ที่ว่างๆ จึงจะดีเอาสัญญาไปกดเอา เลยเกิดความว่างโดยสัญญา จึงว่างไม่จริง ไม่ถาวรและเปลี่ยนเป็นวุ่นได้
    ๒. ว่างโดยภูมิธรรม มาเรียนธรรมจนเข้าใจ ทิ้งรูปได้ ไม่ยึดรูป และทิ้งอรูป (ลักษณะที่ไร้รูป) ได้ ก็จะว่างตามภูมิธรรมของจิต จิตมันว่างของมันเองไม่ปรุงอะไร ก็เข้าใจผิดว่าตนเป็นพระอรหันต์แล้ว มีเราเข้าไปยึดว่าว่างจริงๆ จิตใสสะอาดแล้วไม่มีอะไรรบกวนให้ขุ่นตลอดวันตลอดคืน ก็เลยหลงว่าว่าง ยังไม่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอน
    ๓. ว่างโดยธรรมชาติ คือ ว่างจากตัวตน – ของตน ว่างจากการยึดถือว่าขันธ์หรือสิ่งทั้งหลายมีตัวตน และไม่ยึดถือมาเป็นของตน เพราะเห็นแจ่มแจ้งแล้วว่าขันธ์ห้าไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา จิตก็ไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา ทั้งขันธ์ห้าและจิตล้วนเป็นธาตุที่อาศัยกัน เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป และเป็นของของโลก ซึ่งว่างมาแต่เดิม เมื่อไม่ยึดสิ่งเหล่านี้ก็หมดคน ออกจากคน ทิ้งคน ขาดจากความเป็นคนแล้วนั่นแหละ (หมดอัตตาสิ้นเชิง) จึงจะเรียกว่า จิตว่าง จิตปกติ เป็นสุขนิรันดร เข้าใจไหมครูพนม? นี่แหละเรียกว่า ว่างตามแบบที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติจนเข้าถึงภาวะนี้
    ผู้ใหญ่มา :ผมฟังอยู่นานแล้ว ชักมัน ขออนุญาตเสริมหลวงพ่อสักหน่อย แล้วใครจะแก้ไขหรือบอกเพื่อนครูพนมให้เข้าใจถูกต้องได้ละครับ? คนยังมีครอบครัวอยู่ ถ้าคิดจะทิ้งครอบครัวงานประจำ มันจะไม่ถูก และภรรยาเขายังไม่ได้เรียนธรรมรู้ธรรม ก็จะพากันยุ่งเหยิงแย่ซิครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :เห็นจะเป็นครูพนมนั่นแหละ ต้องหาทางพูดกับเพื่อนเมื่อมีโอกาสเหมาะๆ และชวนเขามาพบหลวงพ่อ ถ้าเขาไม่ยอมมา ก็อาจจะลองชวนภรรยาเขามา หลวงพ่อจะพูดกับเธอให้เข้าใจ มิฉะนั้นอาจจะเกิดปัญหาหย่าร้างขึ้นได้ เตลิดไปคนละทาง คนที่ปฏิบัติธรรมข้ามขั้น ยังออกกามราคะไม่ได้ แล้วไปติดว่าง ทำว่างอย่างเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกกับหน้าที่โดยสมมุติที่มีอยู่ ก็เกิดเรื่องน่ะซี พระโสดาบัน ท่านยังมีครอบครัวได้ เขายังไม่รู้ไม่เข้าใจ ถ้าเล่นไม่ยุ่งกับอะไรโดยกดเอา ก็ถูกภรรยาเล่นงานเอาน่ะซี
    ครูพนม :ผมเข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ ผมจะหาทางกระซิบบอกเพื่อนคนนี้และชวนมาคุยกับหลวงพ่อ ผมเห็นจะต้องขอลากลับก่อน กราบลาละครับหลวงพ่อ สวัสดีครับลุงผู้ใหญ่
    หลวงพ่อแช่ม :เจริญสุขเถอะครู
    ผู้ใหญ่มา :สวัสดีครูพนม ว่างๆ ก็มาคุยกันอีกนะ
    ---------------------
    กายคือกาย

    เมื่อเราไม่มีกายมันมีก็ของกาย
    กายจะเป็นจะตายกายทั้งนั้น
    ทั้งกายนอกกายในกายด้วยกัน
    กายก็อยู่ทุกวันกายก่อกาย
    เพราะโลกสร้างกายขึ้นให้ยืนอยู่
    กายจึงสู้ทุกวิถีไม่หนีหาย
    พอกายวิ่งถึงที่สุดสมมุติว่าตาย
    แท้ที่จริงมันสลายไม่ก่อตัว
    กายก็อยู่กับกายไปตลอด
    ที่ไปสอดรู้เห็นเต้นจนทั่ว
    เป็นที่จิตที่ใจใฝ่มีตัว
    จึงได้กลัวกายตายไปทุกวัน

    กตธุโร

    ฆ่าคน

    เห็นว่าธรรมเป็นคนเป็นผลเสีย
    มันละเหี่ยกายใจมือไม้สั่น
    บอกว่าไม่ใช่กูรู้ไม่ทัน
    เพราะฉะนั้นต้องฆ่าคนจะพ้นภัย
    อย่าเพิ่งฆ่าผู้อื่นมันฟื้นอีก
    มันหลบหลีกหายหน้าแล้วมาใหม่
    จะต้องฆ่าตัวเราเอาใส่ไฟ
    มันจะตายไม่ฟื้นคืนเป็นคน
    พอหมดตัวหมดตนหมดคนแล้ว
    จิตผ่องแผ้วบริสุทธิ์ดุจน้ำฝน
    หมดกลัวเกิดกลัวตายไปอย่างคน
    แล้วจะพ้นเกิดตายไปนิพพาน

    กตธุโร

    <!-- End main-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 20 สิงหาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:43:49 น. </TD><TD></TD><TD align=right> </TD></TR><TR><TD>Counter : 32 Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336588632526 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D20-08-2011%26group%3D1%26gblog%3D221&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336588632526&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=665606468&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336588632526 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>

    </TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- <table width=100% border=0 cellspacing=0> <tr> <td>Counter : <script src='http://fastwebcounter.com/secure.php?s= bloggang3030432 '></script> Pageviews. </td> </tr> </table> --><FORM method=post name=reply action=http://www.bloggang.com/reply.php?id=secret-world><INPUT name=code value=u7dba50=9kiw?74h?0j-dyibfa03_?|=93pqq3_k_fb3o1cffm81nw2yx5t3kl type=hidden>
    </FORM>
     
  10. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top align=right>[​IMG] <!--BEGIN WEB STAT CODE--><IFRAME height=17 marginHeight=0 src="http://www.bloggang.com/truehitsstat.php?pagename=jesdath" frameBorder=0 width=14 allowTransparency marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME><!-- END WEBSTAT CODE --></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 width="99%" align=center height="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%">
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:47:38 น.-->หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค10 --หลวงพ่อแช่มจอมทัพรบกิเลส-6

    <!-- Main -->หมดความตาย

    เมื่อเวทนาของขันธ์พลันดับลง
    สิ่งที่ส่งคือวิญญาณพลันเกิดใหม่
    ถ้าทำให้หมดเชื้อเชื่อว่าตาย
    ใครจะเกิดก็เกิดไปเราไม่มี
    มันเป็นมันปรุงกันเองเก่งไม่น้อย
    แล้วพลอยให้เป็นเราเปล่าเปล่าปลี้ปลี้
    ยึดกันมาแต่ไหนตายทุกที
    แม้เดี๋ยวนี้ก็ยังตายไม่หยุดเลย
    ผู้ไม่รู้จึงไม่ดูจิตเกิด-ดับ
    ไม่ยอมรับพูดเลี่ยงเถียงหน้าเฉย
    ท่านผู้รู้ก็ไม่พูดหยุดตามเคย
    ท่านจะเผยเมื่อศิษย์ถามหมดความตาย

    กตธุโร
    ว่างพุทธะ

    คนเข้าใจความว่างอย่างผิดผิด
    เลยไปติดความว่างอย่างเหลือหลาย
    ว่างอย่างสูญญากาศขาดจากกาย
    ว่างอย่างนี้ใช้ไม่ได้นึกเอาเอง
    ไปเหมาเอาว่าว่างกระทั่งหมด
    เหมือนน้ำท่วมเขาโขดดูโหรงเหรง
    ไม่เหลืออะไรกีดขวางดูวังเวง
    นึกเอาเองโดยสัญญาว่ามันจริง

    กตธุโร

    หมดทุกสิ่งในนิพพาน

    ถ้าคนไม่มีในตัวไม่กลัวทุกข์
    ถ้าคนไม่มีในสุขทุกข์จะหาย
    ถ้าคนไม่มีในทุกข์สุขจะตาย
    ถ้าคนไม่มีในกายก็หมดกู
    ถ้าคนมีในที่ไหนก็ตายเกิด
    ถ้าคนมีแล้วเตลิดเกิดเพื่อสู้
    ถ้าคนมีในคนเป็นเต้นน่าดู
    ถ้าคนมีในตัวกูดูไม่ดี
    ต้องหมดตัวหมดตนหมดพ้นทุกข์
    หมดทั้งสุขหมดทุกสิ่งหมดทุกที่
    หมดทั้งนอกหมดทั้งในหมดใจมี
    ดีไม่ดียึดไม่ได้ในนิพพาน

    กตธุโร
    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๕
    -------------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ หมู่นี้หายหน้าไป คงจะมีธุระมากมายสินะ
    ผู้ใหญ่มา :ผมขึ้นเหนือ พาลูกชายไปเยี่ยมอาเขาที่อำเภอชุมแสง จ.นครสวรรค์อาเขาเป็นผู้ใหญ่มาหลายปี เพิ่งได้เป็นกำนัน ต.หัวกระทุ่ม ปีนี้ ชื่อ กำนันมาย ลูกชายผมคือ เมือง คุยกับอาเขาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ แล้วก็วกมาคุยเรื่องธรรมะด้วย ผมก็นั่งฟังไป กำนันพูดว่า “คนเราควรจะทำดีให้ถึงที่สุด จึงจะเป็นคนดีได้ ดูอย่างอาซี ทำมาเรื่อยจนได้ดี มีคนนับหน้าถือตามากมาย เอ็งก็ต้องทำดีเข้าไว้” แล้วอากำนันของลูกชายผมก็เล่าเรื่องสมัยก่อนให้ฟังเรื่องหนึ่งว่า “คนที่ทำดีจะมีพระช่วย”
    สมัยก่อนเขาใช้เกวียนสำหรับขนของไปค้าขาย มีวัวเทียมเกวียน วัวก็มีความดี ทำหน้าที่ด้วยความอดทน กินแต่หญ้ากับน้ำเท่านั้นไม่สิ้นเปลืองอะไร แถมยังแข็งแรง ให้นมวัวใช้เลี้ยงผู้คนได้มากมาย ให้แต่ประโยชน์แก่คน พอแก่ตัวลง คนยังเอาเนื้อมาเลี้ยงชีวิตคนและสัตว์ต่อไปอีก วัวไม่เคยเรียกร้องอะไรจากคนเลย เมื่อตายลง เขา หนัง ของมันยังมีประโยชน์หมด
    มีเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาลซึ่งเกี่ยวข้องกับวัว เล่าว่า “ครั้งหนึ่ง มีกองเกวียนกองหนึ่งบรรทุกของผ่านทะเลทรายไปค้าขาย ได้เดินทางผ่านไป ๑๕ วัน โดยไม่มีเข็มทิศชี้บอกทาง แต่อาศัยผู้ชำนาญดูดวงดาวเอา และเดินทางเฉพาะกลางคืนเท่านั้น ส่วนกลางวันก็พักนอนเอาแรง พอถึงคืนวันที่ ๑๔ ผู้มีหน้าที่ดูดาวก็บอกว่าจะถึงที่หมายแล้ว อาหาร น้ำ ที่กักตุนไว้ให้นำมากินมาใช้ให้เต็มที่ กองคาราวานก็ทำตามจนเสบียงหมด ไม่เหลือแม้แต่น้ำ
    ในคืนนั้นคนดูดาวเกิดหลับสนิท เกวียนคันหน้าไม่มีใครควบคุมและบังคับวัว มันคิดถึงบ้าน จึงหันกองเกวียนไปที่เก่า พอสว่างจึงได้รู้ว่า กองเกวียนมาจอดอยู่ที่เดิมที่แวะกินอาหารกินน้ำกัน ทุกคนรู้ว่าไม่มีอะไรจะกินอีกแล้ว จะต้องออกสำรวจหาแหล่งน้ำกันก่อน เดชะบุญ ในกองคาราวานนี้มีพระโพธิสัตว์มาด้วยองค์หนึ่ง ท่านใช้ปัญญาญาณของท่านสำรวจหาแหล่งต้นไม้ก่อนอื่น เมื่อหาพบจึงสั่งให้ช่วยกันขุดลงไปใต้ดิน จนกระทั่งพบหินก้อนหนึ่งปิดทับอยู่ พระโพธิ์สัตว์ลองใช้หูฟังดูก็ได้ยินเสียงน้ำไหล เมื่อเอาฆ้อนทุบเอาเหล็กงัดและตีหินจนแตก ก็พบว่ามีน้ำพุ่งขึ้นมา ได้ใช้อาบใช้กินกันพอรอดตายไปได้”
    กำนันมายก็เลยบอกลูกชายผมว่า “การทำดีถ้าไม่ถึงที่สุดจะไม่ได้ดี จะต้องอดทนทำไปเรื่อยๆ จนถึงแก่นแท้ อย่าเพิ่งให้ดีแตกหรือล่าถอยเสียก่อน เช่นเดียวกับการเรียนธรรม ต้องอดทนและขยันให้ถึงที่สุด จึงจะเห็นผล” ผมฟังดูก็เห็นจริงไปด้วย หรือหลวงพ่อจะมีความเห็นว่าอย่างไรครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :หลวงพ่อก็เห็นด้วยว่า การทำดี-ดีแน่นอน แต่ไม่ใช่ทำดี-ได้ของดี กำนันมายแกทำแล้วรู้สึกว่าแกได้ดี แกเลยติดดี ก็เลยสอนแบบคนดี ให้ทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน
    ความจริงทำดี-ทำชั่ว เป็นเรื่องของธรรมชาติในคน ไม่ใช่คนโดยสมมุติที่เปลือกนอกทำ เพราะคนมีไม่จริง ทำแล้วจึงไม่ใช่คนได้ดี หรือคนทำดี แต่เป็นเรื่องของธาตุทั้งหลายกระทำกัน ผลจึงเป็นของใครไม่ได้นอกจากธาตุเหล่านั้นซึ่งไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้นจะยึดดีไว้ก็ไม่ได้ กอดอยู่กับความดีก็ไม่ได้ มันต้องทำให้เหนือดี เหนือชั่ว หลุดพ้นไปเลย ไปอยู่เหนือมัน จึงจะหมดปัญหา
    การติดดีของคฤหัสถ์ ก็เปรียบเสมือนพระสงฆ์ยังติดกามนั่นแหละ ไม่สามารถจะพ้น กามราคะ ไปสู่ วิมุติ และ นิพพาน ได้ ถ้ายังติดในความว่างของ ศีล สมาธิ อุเบกขา หรือ สัญญา ที่กดเอาชั่วครั้งชั่วคราว ตามที่หลวงพ่อเคยพูดให้ฟังอย่างละเอียดไว้แล้ว ก็ยังไม่ใช่ว่างถาวร กิเลสก็จะโผล่เข้ามาอีกได้เมื่อเผลอหรือไม่ได้อยู่ในศีลในสมาธิ
    ต่อให้ผู้ที่เจริญธรรมจนเห็นว่าโลกนี้ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย เป็นว่างแบบ สูญญากาศ หรืออวกาศที่ไม่มีอะไรเข้าไป (ว่างในฌาน) ก็เรียกว่าว่างแบบภูมิธรรมของจิต ไปทำเอาและปล่อยใจให้ว่าง นี่ก็ผิดอีก ต้องมีความรู้สึกว่าว่างจากตัวตน ไม่มีเราในขันธ์ห้า และขันธ์ห้าก็ว่างอยู่ก่อนแล้ว ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยมาทำให้เกิดรูปนามขึ้นมา เมื่อมีเหตุมีปัจจัย ก็ทำหน้าที่แต่ละขณะไปอย่างว่าง โดยจิตไม่สำคัญมั่นหมายว่าขันธ์ห้าเป็นตัวตน–ของตน และจิตเองก็ไม่มีตัวตน เพียงอาศัยขันธ์ห้าทำงานและรู้ขันธ์ห้าไปด้วย จึงจะเป็นความว่างแบบพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งเป็น ปัจจัตตัง รู้ได้เห็นได้เฉพาะตน โดยไม่ต้องเลียนแบบใคร
    นี่แหละโยมผู้ใหญ่ ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายมัวติดว่างแบบอื่นเสียมาก แล้วหลงว่าว่างแล้ว แท้จริงยังมีเรา (มีตัวมีตน) เข้าไปว่างจึงเข้าสู่นิพพานไม่ได้ เพราะในนิพพานนั้นว่างจากทุกสิ่ง ไม่มีแม้แต่ตัวตนเท่าเศษผงธุลีหลุดเข้าไปได้เลย
    ผู้ใหญ่มา :ผมเข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ วันนี้ผมขอกราบลาก่อน จะปฏิบัติธรรมต่อไปจนถึงที่สุด
    หลวงพ่อแช่ม :เจริญธรรมเถอะ โยมผู้ใหญ่
    -------------------------
    เพราะไม่รู้

    ไม่รู้ว่าขันธ์ห้ามาจากโลก อุปโลกน์ให้เป็นคนวนกันใหญ่
    ตั้งคนว่าประเสริฐแล้วเกิด-ตาย
    ถ้าทำชั่วลงอบายสู่โลกันต์
    ถ้าทำดี ดีตอบ คนชอบอยู่
    จิตไปสู่รับผลบนสวรรค์
    จึงทำบุญสร้างกุศลผลนิพพาน
    คิดว่าได้กันทั้งนั้นจึงทำเอา
    มันไม่เป็นเช่นนั้นทุกท่านหรอก
    มันกลับกลอกให้หลงทุกพงษ์เผ่า
    เพราะมันยึดขันธ์ห้าว่าเป็นเรา
    ดิ้นเร่าเร่ากอดขันธ์ห้าว่าของกู

    กตธุโร

    ถ้าหมดเราเขาจะว่างเอง

    ถ้าจะทำให้ว่างก็ว่างได้
    แต่ประเดี๋ยวมันก็หายไปจากว่าง
    เพราะมีเราเข้าไปคอยจะปล่อยวาง
    เลยมันว่างยิ้มเยาะ เฉพาะเรา
    ถ้ามันว่างของมันนั้นไม่หาย
    ถึงจะวุ่นอย่างไรก็ว่างเปล่า
    จึงพูดยากบอกยากหากมีเรา
    เหมือนจับเงาไม่ได้ให้ใครดู
    โอ้ความว่าง ว่างปลอดตลอดกาล
    ไม่มีอะไรเข้าไปผ่าน แม้ตัวรู้
    จึงปลอดโปร่ง โล่งเปล่า คราวจะดู
    แต่ก็รู้ว่ามันว่างอย่างนั้นเอง

    กตธุโร

    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๖
    -----------------------
    ผู้ใหญ่มา :อ้าว! ทิดฉุยมาทำไมที่นี่ มีธุระอะไรกับหลวงพ่อหรือ?
    ทิดฉุย :หลวงพ่อไปใหนครับ?
    ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อไปฉันเพลที่บ้านผู้ใหญ่ตุ้นใกล้ๆ นี่เอง อีกไม่นานก็คงจะกลับมา นั่งคุยกันก่อนซี
    ทิดฉุย :ผมอยากจะถามผู้ใหญ่เหมือนกัน ช่วยบอกเรื่อง คนเกิด ว่ามาได้อย่างไร? และคนตายแล้วจะไปไหน ให้ฟังหน่อยได้ไหม? ผมสงสัยเหลือเกิน
    ผู้ใหญ่มา :ตายหละ! ทิดฉุย จะให้ตอบอย่างไรดี แม้พระพุทธองค์ก็ยังไม่ทรงตอบในเรื่องนี้ ลุงจะพูดเพียงคร่าวๆ ให้ฟังตามที่รู้มานะ
    ขอให้รู้ว่า เมื่อโลกยังไม่มี ทุกสิ่งก็ยังไม่ปรากฏ เมื่อมีสิ่งหลายๆ สิ่งขึ้นในโลก ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นโดยอาศัยการปรุงแต่งของโลก ตามอำนาจของกฎธรรมชาติในโลก แล้วก็ดับไปเป็นประจำ ลุงก็จำคำหลวงพ่อแช่มมาเล่าให้ฟัง ท่านอธิบายว่าเมื่อมีโลก เนื้อในของโลกมีแต่ธาตุนานาชนิด แต่พระพุทธองค์ท่านรวมให้เข้าใจง่ายๆ และบัญญัติขึ้นเป็นธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งมักเรียกกันว่า ธาตุสี่ หรืออาจจะเรียกว่า ธาตุหนัก เพราะรวมกันเป็นกลุ่มก้อนได้
    ในลักษณะของธาตุดินนั้นมีทั้งธาตุ น้ำ ลม ไฟ อยู่ด้วย ทำให้ดูแข็งกินเนื้อที่ ในน้ำก็มีธาตุ ดิน ลม ไฟ อยู่ด้วย ทำให้เกาะกุมกันและมีภาวะเหลว ไหลได้ ในลม ไฟ ก็เช่นเดียวกัน มีธาตุดินและน้ำเกาะกุมกันอาศัยซึ่งกันและกันทุกๆ ธาตุ จึงทำให้เห็น เป็นรูปร่าง เป็นก้อน ดูดผลักกันอยู่ในตัว
    ส่วน ธาตุอากาศ และ วิญญาณ เป็น ธาตุเบา เมื่อมาอาศัยในธาตุหนักจะกลายเป็นสิ่งที่ เป็นที่ว่าง ให้ธาตุหนักตั้งอยู่ได้และ เคลื่อนไหวได้ รู้สึกได้ สิ่งที่มีลักษณะของแขน ขา และรู้สึกได้ ถูกบัญญัติเรียกว่า “สัตว์” คนเราก็จัดอยู่ในสัตว์ประเภท ๒ ขา แต่ยังมีสัตว์อื่น ๆ อีกหลายชนิด เป็นประเภท ๔ ขาก็มี หลายขาก็มี สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์อากาศก็มี
    เดิมบนพื้นโลกยังไม่มีใครรู้จักและยึดเป็นเจ้าของ จนกระทั่งมีมนุษย์คู่แรกเกิดขึ้น อาศัยตามถ้ำ หรือหุบเขา เพียงกันแดด กันฝนเท่านั้น และอยู่แบบสัตว์ทั้งหลาย หิวขึ้นมาก็ออกไปหาอาหารนอกถ้ำเป็นพวกผลไม้ ซึ่งดูไม่ยุ่งยากอะไร และก็กลับมาพักผ่อนหลับนอนในที่พัก และรู้จักสืบพันธุ์เยี่ยงสัตว์ทั้งหลาย
    แต่แล้ววิวัฒนาการของธรรมซาติ ทำให้สัตว์ทั้งหลายมีการเปลี่ยนแปลง สามารถทำอะไรและรู้จักอะไรมากขึ้น มีจำนวนมากขึ้น จึงเกิดความคิดสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ในโลกออกมามากขึ้น แล้วยึดเป็นของตน และสัตว์ชนิดหนึ่งได้ตั้งตัวเป็น “คน” และยึดถือเป็นเรื่องจริงมาจนทุกวันนี้
    ต่อมามีการแก่งแย่ง ฉกชิงสิ่งต่างๆ กันขึ้น จนถึงกับรบราฆ่าฟันกัน คนจึงตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาบังคับใช้ ทางโลกเรียกว่า “กฎหมาย” ทางธรรมเรียกว่า “ศีลธรรม” มีการกำหนด ดี–ชั่ว ขึ้นมา ให้ทุกคน ละชั่ว–ทำดี และปฏิบัติตามกฎหมาย
    ทิดฉุย :แล้วการทำบุญทำทานล่ะครับ ใครเป็นผู้ตั้งขึ้น ริเริ่มขึ้น?
    ผู้ใหญ่มา :ก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลนั่นแหละ ที่เมืองแขก (ประเทศอินเดีย) มีนักบวชและเจ้าลัทธิมากมาย ก่อนที่จะมี พระพุทธเจ้า อุบัติขึ้น พระพุทธองค์จึงทรงชี้แนะให้ชาวบ้านรู้จักทำบุญทำทานให้ถูกต้อง โดยการนำอาหารไปถวายกับผู้ทรงศีลจะได้บุญ แทนที่จะนำไปวางที่หลุมฝังศพของผู้ตายให้สัตว์อื่นมาเก็บกิน ประชาชนจึงหันมาทำตาม เวลาจะถวายให้พระสงฆ์ๆ ก็จะสอนและชี้บอกวิธีการปฏิบัติต่อกันด้วยดี แบบมีมิตรจิตมิตรใจ
    เช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อกันในบ้าน ในครอบครัว ถ้าบ้านไหนมีสามีชอบดื่มเหล้าหรือเล่นการพนัน เวลาภรรยานำอาหารไปถวายพระ ท่านจะสอนให้อดทน ทำหน้าที่ภรรยาไปตามปกติ ไม่ขาดตกบกพร่อง อย่าบ่นอย่าว่าให้เขาโกรธเคือง มีโอกาสก็ชวนเขามาหาพระสงฆ์บ้าง เขาจะได้เห็นความดีของภรรยา และได้รับคำสอนจากพระไปด้วย ซึ่งจะช่วยให้เขาปรับปรุงตนเอง เป็นผู้นำที่ดี และเลิกดื่มเลิกเล่นการพนันเร็วขึ้น ทั้งคู่ก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข ถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกัน ใครมีทุกข์ก็ช่วยกันแก้ไขให้เบาบางลงหรือหมดไป จะเกิดบุญจากการทำบุญตรงนี้เอง
    แต่การทำบุญแล้วยึดบุญว่ามีตัวตนเป็นของตน จะได้รับความสุขที่ไม่เป็นแก่นสาร ต้องทำกุศลคือทำบุญด้วยใจที่มีสติปัญญา ไม่ยึดบุญเป็นของตน จะเป็นสิ่งที่ส่งให้เกิดความสุขโดยแท้จริง เพราะชำระบาปได้ด้วย
    ทิดฉุย :อือ... เข้าใจแล้วครับ แล้วการทำทานล่ะครับ หมายความว่าอย่างไร?
    ผู้ใหญ่มา :ในสมัยก่อน เมืองแขกมีคนน้อย พระพุทธองค์ท่านเห็นว่าคนจนมีมากกว่า ถ้าไม่สอนให้คนรวยรู้จักทำทานเผื่อแผ่กันบ้างแล้ว คนรวยหรือเศรษฐีในสมัยนั้นจะอยู่อย่างลำบาก เพราะจะถูกคนจนเบียดเบียนถึงฆ่าได้ แล้วพากันไปยื้อแย่งข้าวของเงินทอง พระองค์จึงทรงแนะนำให้เศรษฐีสร้างโรงงานทั้ง ๔ ทิศ ไว้แจกทานแก่คนจน คนจนก็สาธุให้เศรษฐีและคอยระวังภัยให้ด้วย จึงต่างก็อยู่อาศัยด้วยความเกื้อกูลกันอย่างมีความสุข
    พอดีหลวงพ่อแช่มกลับมา ผู้ใหญ่จึงเล่าเรื่องที่คุยกันให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อจึงช่วยเสริมต่อให้
    หลวงพ่อแช่ม :เจ้าฉุย ฟังหลวงลุงตรงนี้หน่อย ถ้าเอ็งเดินไปเหยียบขวดซึ่งแตกอยู่ แล้วโดนแก้วบาดเท้าเลือดไหลโชก เอ็งจะแก้ไขอย่างไร? ควรจะทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก? เอ็งจะต้องวิ่งไปถามใครๆ ว่า ใครมาทำขวดแตกไว้ตั้งแต่เมื่อไร และขวดนี้มาจากไหน บรรจุอะไรไว้แต่เดิม หรือจะทำอย่างไรก่อน?
    เอ็งจะต้องรีบห้ามเลือดเสียก่อน จัดแจงทำความสะอาดแผลให้เรียบร้อยถ้าทำได้ แล้วรีบไปหาหมอให้ช่วยเย็บแผลให้ และฉีดยากันบาดทะยักเสียด้วย แล้วค่อยมาสืบสาวราวเรื่องหาที่มาของขวดซึ่งแตก แต่รู้ไปก็ไม่ได้อะไรใช่ไหม?
    ที่หลวงลุงพูดนี้ก็เพื่อจะให้เอ็งได้คิดว่า ที่เอ็งหาเรื่องมาถามผู้ใหญ่และคุยกันเป็นคุ้งเป็นแควนั้น ล้วนแต่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมโดยตรง เพื่อออกจากทุกข์ มันต้องสนใจเรื่องพ้นทุกข์ เรื่องหมดคนหมดตัวตนซี และปฏิบัติให้เข้าถึงความว่างความโปร่งเบาของจิตตามเดิมให้ได้
    ทิดฉุย :ขออภัยครับหลวงลุง ผมเห็นว่ามีเวลา เพราะหลวงลุงไม่อยู่ จึงชวนผู้ใหญ่คุยเรื่อยเปื่อยไป แต่ก็ได้ประโยชน์มากนะครับ ต่อไปขอให้หลวงลุงได้โปรดสอนธรรมให้ผมเถอะครับ
    ผู้ใหญ่มา :ผมขอตัวกลับก่อนนะครับหลวงพ่อ มานานแล้ว กราบลาละครับ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ ไว้ค่อยมาสนทนาธรรมกันใหม่นะ
    เออ! เจ้าฉุย เอ็งก็ต้องเรียนเรื่องขันธ์ห้า คลี่ขันธ์ห้าให้ได้ ทำความเข้าใจทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าไม่ใช่เรา เราไม่มีในขันธ์ห้า และปล่อยให้ขันธ์ห้าเป็นรูปนามซึ่งไม่มีตัวตนให้ได้ อย่ามีเราในมัน เมื่อเห็นแจ้งแล้วต้องแทงตลอดออกจากขันธ์ห้าให้เด็ดขาด จึงจะไม่เป็นทุกข์ เพราะไม่มีตัวตนจะยึดถือขันธ์ห้า แต่ไม่ใช่รู้และเข้าใจแบบท่องเอาพูดเอานะ ต้องทำความเห็นแจ้งให้เกิดขึ้นที่จิตจริงๆ เห็นสภาวะหรือขบวนการนั้นๆ ถูกต้องตามเหตุ และไม่เกิดความยึดถือว่ามีตัวตนเป็นของตน ซึ่งจะต้องรับรองตัวเองได้ว่าใจไม่ฟูไม่แฟบ หรือยินดียินร้ายไปตามอารมณ์และอาการของจิตที่เกิดขึ้น คือ ใจเป็นปกติ หรือ จิตว่าง ได้ในขณะนั้นๆ เท่ากับได้ มรรค ผล นิพพาน
    ครั้งหนึ่ง หลวงลุงเคยไปแสดงธรรมที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง หลังจากพูดจบได้ถามครูคนหนึ่งว่าเป็นอย่างไร เข้าใจไหม? เขาตอบว่าเข้าเคยฟังมามากแล้วและรู้เรื่องหมดแล้ว เข้าใจหมดแล้ว อีกเดือนหนึ่งต่อมาเขามากับเพื่อนครู ๔-๕ คน มาฟังธรรมที่วัด ก็คุยใหญ่ว่าเขารู้ธรรมหมดแล้ว เขาไม่ต้องฟังใครสอนอีกก็ได้ หลวงลุงก็เลยให้เขาอธิบายให้เพื่อนๆ ฟังแทนหลวงลุง ว่าเขาเห็นธรรมอย่างไร? ออกจากตัวตนในขันธ์ห้าได้อย่างไร? เท่านั้นแหละ! เขาอ้ำอึ้งและหน้าซีดตัวสั่นขึ้นมาทันที เพราะเอาเข้าจริงๆ เขาได้แต่รู้และเข้าใจธรรมในชั้นต้น แต่ยังไม่เห็นแจ้งจากใจ จึงอธิบายวิธีการปฏิบัติเพื่อเอาเรา (ตัวตน) ออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ เพียงแต่รู้ว่ามันไม่ใช่เรา เราไม่ใช่มัน แต่เวลามีเราอยู่ในมันหรือมันมาอยู่ในเรานั้นรู้ไม่ทัน และถอนความรู้สึกว่ามันไม่ใช่เราไม่ได้
    คุณประพันธ์เคยเล่าให้หลวงลุงฟังอีกว่า ที่สระบุรีก็มีผู้มาฟังธรรมกับอาจารย์กตธุโรมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่มาฟังเพียงหนึ่งหรือสองครั้งพอเข้าใจและรู้ตาม แล้วเหมาเอาว่าเห็นธรรมแล้วและไม่มาฟังต่อ ไม่ปฏิบัติดูที่กายที่จิตต่อ แล้วเที่ยวไปคุยกับคนอื่นว่ารู้หมดแล้ว และหายหน้าไปเลย เขารู้โดยสัญญาจำและทำความเข้าใจว่าขันธ์ห้าคือธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ ซึ่งไม่มีตัวตน มีไม่จริง ยึดถือไม่ได้ และท่องเอา แล้วนำความรู้นี้ไปกดเอาเวลามีการกระทบสัมผัสจนเกิดอุเบกขา บางครั้งหลงว่าเข้านิพพานได้แล้ว แต่จริงๆ แล้วเข้าไม่ได้ เพราะยังเอาตัวตนออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ ได้แต่รู้ ยังไม่เห็น ยังไม่แจ้ง ยังไม่แทงตลอด บางคนยังไปยึดปัญญา ยึดตัวรู้ว่าเป็นตัวตนของตนและมีจริงเสียด้วย จึงจมกับสิ่งนั้นและเข้านิพพานไม่ได้
    ผู้รู้จริงเห็นแจ้งจริงๆ จากจิตจากใจ จะคุยได้ตามที่ใจรู้ใจเห็น ถ้าใครออกจากขันธ์ห้าได้ กิเลสขาดสะบั้นลงได้ ออกจากกามราคะได้ เขาก็ย่อมอยู่รู้ขั้นตอนของเขา และพูดเรื่องรูปนามได้ถูกต้อง ว่าอะไรคือรูป อะไรคือนาม รูปมาจากไหน เกิด-ดับอย่างไร ใครทำให้เกิด-ดับ ใครเป็นเจ้าของ? นามก็เช่นเดียวกัน มันมาจากไหน เกิด-ดับอย่างไร ใครทำให้เกิด-ดับ ใครเป็นเจ้าของ? เราไม่มีในมันคืออย่างไร เกิด-ดับอย่างไร? ถ้าเรายังออกจากมันไม่ได้ จะท่องเอาไปสอนผู้อื่นจักไม่เกิดประโยชน์ และไปบังนิพพานเขาเปล่าๆ โดยใช่ที่
    คุณประพันธ์ยังเล่าว่า แม้พระสงฆ์บางองค์ก็ยังเข้าใจผิดว่า ผู้ที่ไม่ได้บวชเป็นพระ ยังเป็นไม้สดอยู่ จะเข้าสู่นิพพานได้อย่างไร? แสดงว่าท่านยังติดเครื่องแบบ เครื่องแบบจึงบังนิพพานได้ ไม่ว่าจะสมมติใดๆ ถ้ายังไม่หมดไปจากความยึดถือในใจผู้ใด ผู้นั้นจะเข้าสู่นิพพานไม่ได้เลย ผู้ที่เป็นฆราวาสแต่เปลือกส่วนภายในมีจิตใจเป็นพระ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เต็มเปี่ยมอยู่อย่างเปล่าๆ และอุทิศตนทำหน้าที่แจกธรรม สอนธรรม แก่ผู้ที่สนใจมารับฟัง จนเขาเหล่านั้นเห็นธรรมได้จริง พ้นทุกข์ได้จริง ความทุกข์เหลือน้อยลงตามกำลังและขั้นตอนของการปฏิบัติก็มี
    คุณประพันธ์กล่าวว่าเขาได้เห็นประจักษ์มาแล้ว เช่นอาจารย์กตธุโร เป็นต้น ขณะนี้ท่านก็ยังทำหน้าที่จุดเทียนพุทธะให้กับผู้สนใจธรรมต่อไป ตราบเท่าที่กำลังกายและลมหายใจยังมี ท่านบอกว่า “ธรรมะของพระพุทธองค์นั้นหอมทวนลม” คนไกลๆมักจะได้กลิ่นและชิมรสก่อนคนใกล้แทบทุกแห่ง และท่านก็เตือนอยู่เสมอว่า “อย่าได้ประมาทกันอยู่เลย วันพรุ่งนี้จะมีสำหรับเราจริงหรือ?” “ประเดี๋ยวก็ได้ข่าวว่า วันนี้มีรถชนกันโครมเดียว ๗ ศพบ้าง ๑๕ ศพบ้าง ๒๘ ศพบ้าง ใครเป็นใครก็ไปดูกันเอาเองเถอะ”
    ทิดฉุย :ขอบคุณครับหลวงลุง ผมจะจำใส่ใจไว้และนำไปปฏิบัติ ต่อไปผมจะไม่ละเลยอีกแล้ว แต่ “ไอ้ โครมเดียว ๗ ศพ ๑๕ ศพ ๒๘ ศพ” นี่ผมว่าใครๆ ก็ได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ ไม่เห็นเขาสะดุ้งกันเลย และไม่เห็นเขาจะรู้จักเตรียมใจไว้รับเหตุการณ์หรือถือเป็นอนุสติ ต่างก็ยังประมาทกัน เพราะรู้ว่าทุกคนเกิดมาต้องตาย และมักจะพูดตามกันว่า “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ทุกคนหนีความตายไปไม่พ้น”
    แล้วหลวงลุงจะว่าอย่างไร? ผมขอกราบลาก่อนละครับ
    หลวงพ่อแช่ม :ประเดี๋ยวก่อนเจ้าฉุย อย่าเพิ่งไป! ข้าเห็นว่าแกชักจะมีความคิดขึ้นแล้วนะ ขอบอกว่า “เพราะเขาไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะถึงคิวของเขาแล้วน่ะซี เขาจึงไม่รู้สึกสะดุ้ง หรือไม่ก็ไม่ได้นึกว่าจะถึงคิวของญาติเขา เขาจะสะดุ้งไปทำไมกัน? พอถึงวันนั้นของตัวเอง ก็บอกหรือเตือนใครว่าอย่างไรไม่ได้อีกแล้ว” เข้าใจไหม?
    ทิดฉุย : ขอบคุณครับหลวงลุง ผมกราบลาละครับ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีเจ้าฉุย แล้วอย่าลืมมาเรียนธรรมต่อล่ะ
    ----------------------
    ผู้ประมาท
    ผู้ประมาทในธรรมเหมือนข้ามเพชร
    ไม่เห็นความงามเด็ดของเพชรได้
    จึงหนีเพชรแล้วระเห็จกันต่อไป
    พอถึงวันสุดท้ายตายทั้งกรรม

    เกิดเป็นคนมีแต่ทุกข์
    ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้นและตั้งอยู่
    นอกจากทุกข์แล้วก็ดูไม่เห็นหน
    ทุกข์เท่านั้นดับไปไร้ตัวตน
    เกิดเป็นคนจึงทุกข์สุขไม่มี
    จริงของผู้เกิดก่อนสอนเอาไว้
    ต้องเดินตามต่อไปในแผนที่
    จึงหมดคนไปมาทุกนาที
    ที่ว่าดีหรือไม่ดีนั้นมีเรา
    ต้องแยกเราแยกมันนั้นให้ขาด
    แล้วประกาศหมดทุกข์และสุขเศร้า
    ที่ยังทุกข์ที่ยังสุขว่าของเรา
    แท้ที่จริงเป็นของเขา เขาสร้างเอง
    กตธุโร
    เมื่อมีคน มีทุกสิ่ง

    เมื่อมีคน แล้วไม่พ้น มีทุกสิ่ง
    ทั้งเรื่องปลอม เรื่องจริง ทุกสิ่งสรรพ์
    ไม่ว่าจริง หรือปลอม รวมพร้อมกัน
    ก็เพราะคน เท่านั้น สรรสร้างมา
    โลกทั้งโลก เขาเป็น เช่นนั้นอยู่
    คนไม่รู้ จึงได้สู้ แสวงหา
    ไม่แจ้งจริง แน่ชัด อนัตตา
    จึงเหมาว่า ตายเกิด เตลิดไป

    กตธุโร

    ขันธ์ห้า

    เมื่อพูดถึงขันธ์ห้าแล้วน่าขัน
    คนสำคัญว่าจริงยิ่งน่าขำ
    พระพุทธองค์ทรงบัญญัติจัดว่าธรรม
    คนตีความว่ามันเลิศแต่เกิดมา
    หลงขันธ์ห้าว่าเป็นเราเฝ้าหวงแหน
    ใครด่าขันธ์ห้าเราแค้นในคำด่า
    ก็ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหลไปมา
    เห็นขันธ์ห้าว่าเป็นคนวนจนตาย
    ท่านผู้รู้ไม่ข้องอยู่กับขันธ์ห้า
    เพราะรู้ว่าเป็นของโลกอุปโลกน์ให้
    ทิ้งขันธ์ห้าและทิ้งคนไม่สนใจ
    ที่เหลือไว้คือนิพพานนิรันดร

    กตธุโร

    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๗
    ----------------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่
    ด.ช. วอน :สวัสดีครับหลวงปู่
    หลวงพ่อแช่ม : อือ... สวัสดี พ่อหลานชาย มาด้วยหรือนี่?
    ด.ช. วอน :ครับ หลวงปู่ กระผมอยากมาฟังหลวงปู่พูดเรื่องไม่จริงบ้าง กระผมจะได้หลงน้อยหน่อย ถ้ารอโตกว่านี้มันจะฝังในกายใจมากเกินไป แล้วดึงออกยาก
    หลวงพ่อแช่ม :สำคัญจริง! พ่อหลานชายคนนี้ เออมันเรื่องไม่จริงทั้งนั้นในโลกนี้ เพราะมันถูกสมมุติเอาทั้งนั้น โดยคนซึ่งเป็นสมมุติแรกสุด ทุกเรื่อง ทุกอย่าง ทุกแบบ ทุกลักษณะ ทุกขั้น ทุกตอน ทุกสิ่ง ทุกอย่าง แม้แต่ไม่พูด เพียงยกมือ แสดงกิริยาท่าทางอะไรออกไป ก็ถูกสมมุติว่าทำนั้นทำนี่ โดยที่ตัวกระทำจริงๆ ไม่ได้พูด ไม่ได้บอกไว้เลยว่าทำอะไร เป็นอะไร ทั้งหมดจึงเป็นเรื่องไม่จริงทั้งนั้น เพราะสมมุติเอา ตั้งเอา
    ด.ช.วอน :แล้วมีอะไรเป็นเรื่องจริงบ้างครับหลวงปู่?
    หลวงพ่อแช่ม :อ้าว! ก็เจ้าพูดเมื่อสักครู่นี้ไม่ใช่หรือว่าจะมาฟังเรื่องไม่จริง? ฟังนะ เมื่อพ่อเจ้ายังอยู่ในวัยรุ่น เขาส่งแม่ซึ่งป่วยไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ พอแม่เขาหาย ก็ส่งข่าวให้ลูกชายไปรับ แต่เกิดสวนทางกัน แม่เขามาถึงลพบุรีตอนเช้า แต่เขาไปถึงกรุงเทพฯ หลังจากแม่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จึงไม่พบแม่ เลยเดินทางกลับมาลพบุรี ถึงลพบุรีก็ค่ำแล้ว เงินหมดพอดี ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กิน หิวก็หิว จะกลับบ้านดาบก็ไม่ได้ เพราะเรือข้ามฟากหมดเที่ยวแล้ว จึงตัดสินใจหาที่นอนค้างคืนที่วัดร้างแห่งหนึ่งข้างศาลพระกาฬใกล้วังพระนารายณ์นั้นเอง
    พ่อเจ้าเล่าว่า เขาเข้าไปที่วิหารเก่าแห่งหนึ่ง เอามือปัดกวาดขี้ฝุ่นหยากไย่เพื่อจะนอน แต่เหลือบไปเห็นสุนัขแม่ลูกอ่อน พร้อมลูกมัน ๓-๔ ตัว นอนอยู่ในโพรงกำแพงผุๆ สุนัขตัวแม่ชะโงกหน้ามาดูเขา และลูกๆ มันก็เข้ามาเลียมาเล่นกับเขา วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่หลายเที่ยว พ่อเจ้ารู้สึกหิวมากขึ้น ท้องก็ร้อง เขาเลยนึกถึงเจ้าพ่อพระกาฬขอให้ช่วยปกป้องคุ้มกันภัยให้เขาด้วย
    ชั่วเวลาไม่นานนักโดยไม่คาดคิด แม่สุนัขลูกอ่อนตัวนั้นก็วิ่งกลับเข้ามา พร้อมกับคาบห่อข้าวห่อหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้าเขา แล้วก็วิ่งกลับไปยังที่ๆ มันนำห่อข้าวผัดมาอีก พ่อเจ้ามองตามไปจึงได้รู้ว่าเป็นข้าวห่อที่ตกกระจายอยู่กับพื้น เพราะมีรถสามล้อกับรถจักรยานเกิดเฉี่ยวกัน เจ้าสุนัขจมูกไวได้กลิ่นอาหาร จึงจัดการคาบมาให้เขาและลูกๆ ของมัน พ่อเจ้าเลยมีลาภปากได้อิ่มท้องไปด้วย เมื่อกินเสร็จแล้วเขาก็ยกมือไหว้เจ้าพ่อพระกาฬ ด้วยสำนึกในพระคุณที่ช่วยดลบันดาลให้เขาได้พบสุนัขแม่ลูกอ่อน ทำให้เขาไม่ต้องทนทรมานกับความหิว และนอนหลับไปจนสว่าง
    เขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามืด และเตรียมตัวกลับบ้าน อาศัยเรือคนรู้จักกันข้ามฟากไปโดยไม่ต้องเสียเงิน พอถึงบ้านเขาก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พ่อกับแม่ฟัง ท่านเลยสั่งให้เขาจัดหาเครื่องเซ่นไหว้ไปถวายเจ้าพ่อศาลพระกาฬในวันรุ่งขึ้น แต่ขณะไปทำพิธีเซ่นไหว้ ไม่พบสุนัขแม่ลูกอ่อนตัวเดิมเลย เขาเที่ยวเดินหาจนทั่วก็ไม่พบ จึงไต่ถามผู้คนแถวนั้น เขาก็ยืนยันว่าไม่มีสุนัขในตึกร้างใกล้ศาลนี้ และจะไม่มีใครเข้าไปยุ่งในนั้นได้ พ่อกับแม่ของวัยจึงรู้ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ จึงพากันกราบสถานที่นั้นด้วยความสำนึกถึงบุญคุณ แล้วก็พากันกลับกลับบ้าน
    ด.ช. วอน :มันน่าอัศจรรย์จริงๆ นะ หลวงปู่ กระผมอยากจะพบด้วยตนเองบ้างมันคงจะตื่นเต้นดีแท้ แล้วตกลงเป็นเจ้าพ่อศาลพระกาฬ หรือผีเจ้าของวิหารกันแน่ขอรับหลวงปู่ที่ช่วยพ่อผม?
    หลวงพ่อแช่ม :ข้าก็ไม่รู้โว้ย! เล่นกับของไม่เห็นตัวมันก็ลำบากเหมือนกัน
    ผู้ใหญ่มา :แล้วหลวงพ่อเชื่อเรื่องที่เจ้าวัยไปพบมา และนำมาเล่าให้ฟังด้วยหรือเปล่า มันจะจริงได้อย่างไร? เจ้าวอนมาขอฟังเรื่องไม่จริงจากหลวงพ่อ หลวงพ่อทำไมเล่าเรื่องนี้ละครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :จะจริงหรือไม่จริง เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว มันเลยไม่จริงไงล่ะ! หลานวอนเข้าใจไหม? ที่เล่ามาทั้งหมดล้วนแต่ไม่จริงทั้งสิ้น
    ด.ช.วอน :แสดงว่าสิ่งที่เกิดขึ้น และดับไปแล้วจะเป็นอะไรก็ตาม ถือว่ามีไม่จริงใช่ไหมครับ? เพราะถ้ามีจริงเป็นจริง มันจะต้องไม่เปลื่ยนและคงอยู่อย่างนั้น
    หลวงพ่อแช่ม :ใช่แล้วๆ แกนี่ช่างหัวไวจริงๆ
    ผู้ใหญ่มา :ต่อไปนี้ขอโอกาสให้ผมบ้าง เอาเรื่องจริงๆกันเสียที ผมจะขอให้หลวงพ่อช่วยพูดเรื่องจริง และสอนให้ผมเห็นเรื่องจริงเสียทีเถอะครับ
    หลวงพ่อแช่ม :เรื่องจริงมันก็เรื่องนิพพานน่ะซีผู้ใหญ่
    ผู้ใหญ่มา :เอ! บางครั้งหลวงพ่อก็บอกว่านิพพานไม่มีจริง แต่บางครั้งก็บอกว่ามีจริง มันยังไงกันแน่ครับ หลวงพ่อ?
    หลวงพ่อแช่ม :ฟังนะผู้ใหญ่ ที่ว่านิพพานไม่มีจริงนั้น เพราะเป็นเรื่องที่คนส่วนมากมักจะพูดเอา นึกเอา อยากได้ โดยปฏิบัติยังไม่ถึง บางคนก็ว่านิพพานสูงเกินไป ไปไม่ถึง และไม่สนใจจะปฏิบัติให้ถึงนิพพานเพราะความเข้าใจผิด ซึ่งมันผิดทั้งสองฝ่าย เพราะนิพพานนั้นจะถึงได้ด้วยการเรียนรู้ธรรมะ และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญาญาณจากจิต จนพบภาวะจิตว่าง จึงจะพบนิพพานตัวจริง โดยมีสติปัญญาเข้าไปรู้ ไปเห็นแจ้งว่ารูปกายนี้ไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา และทิ้งรูปกายหยาบๆได้
    ต่อไปต้องเข้าไปรู้เห็นแจ้งในกายละเอียด คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย ธรรมารมณ์ที่เข้ามากระทบใจก็ไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา มันป็นอนัตตา ทุกสิ่งที่เข้ามาล้วนอาศัยวิญญาณรับรู้ ส่งต่อให้เวทนา พอใจ-ไม่พอใจหรือเฉยๆ ส่งต่อให้สัญญาจำได้หมายรู้ ส่งต่อให้สังขารคิดนึกปรุงแต่ง ส่งต่อให้มโนวิญญาณรับรู้และเก็บจำไว้ในใจเป็นทอดๆ ซึ่งรู้เห็นแจ้งว่าไม่ใช่เรา–ไม่ใช่ของเรา มันเป็นเพียงขบวนการของรูปนาม อาศัยกันเป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อกัน และเป็นอนิจจังจึงไหลไป และเกิด-ดับทุกขณะตามเหตุที่ส่งมา ไม่ใช่เราทำให้เกิดหรือดับ
    เรามีไม่จริง ไม่มีเราในขันธ์ห้าทุกๆ ขันธ์ ขันธ์ห้าแสดงตัวไปตามลำดับของ รูป วิญญาณ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และเกิด-ดับตามลำดับทุกขันธ์ในการกระทบทางอายตนะแต่ละครั้ง
    เมื่อไม่รู้สึกและยึดถือว่าเป็นเรา-เป็นของเรา ขันธ์ห้าก็จะว่างจากตัวตน เป็นสักแต่ว่ากองธาตุที่ทำหน้าที่ไปตามเหตุ ตามบทบาทของเรื่องที่จะต้องกระทำบนโลก ในลักษณะเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป จนกว่าจะหมดพลังของธาตุกาย และธาตุใจก็สลายไปด้วย ถ้ารู้จักประคองกายกับใจไปล้วนๆ ตามธรรมชาติโดยไม่ยึดถือ จะมีใครที่ไหนต้องเป็นทุกข์เล่า? เมื่อหมดเชื้อของความเป็นคน เป็นตัวตนแล้ว จะเหลือแต่ธาตุธรรมไหลไปไหลมาเท่านั้น มันเป็นความจริงอย่างนี้ โยมผู้ใหญ่
    ผู้ใหญ่มา :อ้าว! แล้วจิตละหลวงพ่อ จิตมันหายไปไหน มันเป็นอย่างไร ขอความกรุณาช่วยขยายอีกหน่อยเถอะครับ
    หลวงพ่อแช่ม :จิตก็จิตซี จิตเดิมหรือจิตปัจจุบันนั้นก็คือจิต มันเป็นมัน มันเป็นสิ่งอาศัยขันธ์ห้ามีขึ้นมา พอทิ้งขันธ์ห้า (วางขันธ์ห้า) ก็ออกจากขันธ์ห้าและทิ้งจิต(วางจิต) เสียด้วย ไม่ยึดจิต ไม่ปั้นจิต ไม่เอาจิตมาปั้น แล้วจิตจะทำงานตามหน้าที่ของจิตเอง อย่าไปทำอะไรกับจิต อย่าไปจัดจิตแต่เพียงรู้จักเขา มีสติดูจิต มีปัญญารู้เห็นจิต จิตเศร้าก็รู้ว่าเศร้า จิตปลอดโปร่งก็รู้ว่าปลอดโปร่ง จิตหลงก็รู้ว่าหลง จิตรู้จิต คือ มีสติรู้จิต จิตเปิดกว้างก็รู้ว่าเปิด จิตรวมเป็นหนึ่งก็รู้ว่ารวม จิตหมดกิเลสก็รู้ว่าหมด จิตยังมีกิเลสก็รู้ว่ามี ท่านที่รู้จริง จะมีสติรู้ในจิตขณะไปเรียกว่า ผู้รู้ ส่วนผู้ที่ไม่รู้ก็คือไม่รู้ว่าจิตเป็นอย่างไร ไม่เคยเห็นจิต เรียกว่า ปุถุชน คนธรรมดา
    ผู้ใหญ่มา :ขอบพระคุณครับหลวงพ่อ ผมพึ่งทราบความจริงวันนี้เอง
    ด.ช.วอน :กระผมฟังอยู่ตั้งนาน แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าหลวงปู่พูดเรื่องจริง เพราะหลวงปู่บอกว่า เรื่องทุกเรื่องมันไม่จริง?
    หลวงพ่อแช่ม :เออ... ใช่ ถ้ายังมีคำพูดใดๆ อยู่มันก็ยังไม่จริง แต่ต้องใช้ภาษาพูดกันเป็นสื่อให้รู้เรื่องให้เข้าใจกัน “นิพพาน” นั้นไม่พูด และพูดไม่ได้ พระอรหันต์นั้นไม่พูด ที่พูดๆ กันอยู่คือขันธ์ห้าทั้งนั้น ผู้รู้กลับมาใช้ขันธ์ห้า เพื่อประโยชน์ของสัตว์โลกที่ยังไม่รู้แจ้ง ยังติดบ่วงมาร หรือกิเลสกาม คือ โลภ โกรธ หลง อยู่ในโลกมายานี้ไงล่ะ เข้าใจไหม?
    ด.ช.วอน :เข้าใจแล้วครับหลวงปู่ กระผมค่อยๆ รู้ขึ้นมาบ้างแล้ว การเอาตัวตนออกจะว่ายากก็ไม่เชิง จะว่าง่ายก็ไม่ใช่ เพราะปุถุชนยังมีมากเหลือเกิน ล้วนเป็นคนกันมาหลายร้อยปีแล้ว ใช่ไหมครับหลวงปู่ กระผมจะเพียรเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เผื่อจะมีบารมีได้เห็นธรรมก่อนเป็นหนุ่ม จะได้คุยให้ทั่วเจ็ดย่านน้ำไปเลย! กลับกันหรือยังครับ ลุงผู้ใหญ่
    ผู้ใหญ่มา :ก็ดีนะ เจ้าวอน เรามากันนานแล้ว และเย็นมากแล้ว กราบลาละครับหลวงพ่อ
    ด.ช.วอน :กระผมด้วย การบนมัสการหลวงปู่ก่อนขอรับ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีๆๆ เจริญสุขเถิด
    -----------------------
    <!-- End main-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 20 สิงหาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:47:38 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : 34 Pageviews. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:50:49 น.-->หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค11 --หลวงพ่อแช่ม7

    <!-- Main -->ไม่รู้สมมุติ

    ธรรมชาติกับธรรมชาติสะอาดใส
    ดูมาดูไปใสกว่าแก้ว
    ช่างปรุงแต่งทุกสิ่งยิ่งเพริศแพร้ว
    แต่ไม่แคล้วจะทำลายให้หายไป
    แล้วกลับปั้นให้ฟื้นขึ้นมาอีก
    ไม่มีใครหลบหลีกไปได้ไม่
    ปั้นคนให้ประเสริฐเกิดแล้วตาย
    แล้วก็เกิดมาใหม่ให้เป็นคน
    คนก็ปั้นสิ่งทุกสิ่งว่าของกู
    เพราะไม่รู้จึงตู่อยู่สับสน
    ถ้ารู้ว่าคนคือสมมุติคงหยุดวน
    พ้นคนพ้นธรรมชาติพ้นสะอาดเลย

    กตธุโร

    อย่ารอแก่

    เวลาหนุ่มเวลาสาวกร้าวกล้าหาญ
    เวลาผ่านความแก่แน่รู้สึก
    ทั้งหนุ่มสาวเคล้าสุขสนุกคึก
    จะรู้สึกเมื่อตนแก่แย่ใกล้ตาย
    เอาไม่ได้ยึดไม่ได้มือไม้สั่น
    แม้จะยืนจะหันมันไม่ไหว
    เมื่อสาวหนุ่มอวดตัวไม่กลัวตาย
    พอเจ็ดสิบขึ้นไปนึกถึงตัว
    จะเรียนธรรมก็ไม่ทันเพราะมันสาย
    พูดอะไรลืมหลงงงจนมั่ว
    อกุศลเข้าพิชิตมันติดตัว
    พอยิ่งแก่ก็ยิ่งกลัวตัวเกิดตาย

    กตธุโร
    ดูตัวเอง

    ถ้ามองจิตตัวเองเพ่งดูจิต
    ไม่มีถูกไม่มีผิดจิตสดใส
    ไม่เศร้าหมองขึ้นลงส่งเกิดตาย
    เพราะจิตเดิมมันเพียงได้รับรู้เอา
    อยู่เฉยเฉยมันก็เคยอยู่ทุกวัน
    ไม่จัดสรรให้ขึ้นลงและตรงเป้า
    จิตเป็นจิตเป็นอนัตตาอย่ามีเรา
    ที่สุขเศร้าเป็นเขาเจตสิกธรรม
    เขาเกิดดับกลับไปได้ทุกเมื่อ
    ใครหลงเชื่อเกิดดับกลับกระหน่ำ
    พอรู้ทันมันก็หายไม่ติดตาม
    ไม่ต้องถามไม่ต้องทำอะไรเลย

    กตธุโร

    โลกราบเรียบ

    โลกทั้งโลกราบเรียบเปรียบไม่ได้
    ไม่มีอะไรเป็นที่ตั้งและหวังอยู่
    มองทางซ้ายมองทางขวาหมดน่าดู
    ทั้งของคู่ถูกผิดไม่ติดเลย
    เหมือนดักลอบบนอากาศฉลาดนัก
    เวลาดักเวลากู้ดูเฉยเฉย
    ไม่มีอะไรที่จะติดสักนิดเลย
    เปล่าเปล่าอย่างเคยที่เกิดมา
    ถ้าแยกรูปแยกนามได้ตามสั่ง
    อะไรเล่าที่จะตั้งบนขันธ์ห้า
    เหลือแต่ธาตุส่วนเกินเดินไปมา
    ทั้งขันธ์ห้าและอนิจจังตั้งขึ้นเอง

    กตธุโร



    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๘
    ----------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่
    ผู้ใหญ่มา :ผมมีเรื่องสงสัยจะถามหลวงพ่อ เกี่ยวกับปัญหาที่มีคนสงสัยกันมาก ว่า “ตายแล้วจะเกิดอีกไหม หรือตายแล้วสูญไปเลย?” หากคนเราได้ทราบความจริงคงจะขวนขวายกันทำดีมากขึ้นเป็นแน่
    หลวงพ่อแช่ม :โยมผู้ใหญ่ฟังให้ดีนะ เรื่องนี้แม้แต่พระพุทธองค์ก็ระมัดระวังมาก จะไม่ทรงตอบกับผู้ที่ไม่ควรตอบ แต่พระองค์จะทรงเลือกตอบกับผู้ที่ควรจะตอบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่เขาในการหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เข้าใจไหม?
    พระพุทธองค์ตรัสว่า “กรรมเป็นสิ่งจำแนกสัตว์ทั้งปวง” “กรรม” คือ การกระทำ “ทำดี-ดี ทำชั่ว-ชั่ว” ตามสื่อภาษา จึงมีดี มีชั่ว ซึ่งล้วนแต่คนตั้งเอาทั้งนั้น ภาษาธรรมหมายถึงว่า “ถ้าทำสิ่งใด ผลก็จะตามมาตามเหตุ เหตุดี-ผลก็จะดี เหตุชั่ว-ผลก็จะชั่ว แต่ชั่วๆ ดีๆ นั้นเกิดแก่ธรรมชาติ เพราะไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา”
    อันที่จริงสวรรค์หรือนรกนั้นมีประจำอยู่สำหรับสัตว์โลกตามการกระทำ ถ้าประพฤติดีก็ได้ไปสวรรค์ ประพฤติชั่วก็ถูกส่งไปนรก บาป-บุญ ดี-ชั่ว ย่อมติดตามสัตว์ไป โดยวิญญาณรับจากสังขาร สัญญา เวทนา ที่ก่อตัวขึ้นแล้ว ยึดถือกันเป็นตัวเป็นตน ผู้ก่อจะนำไปตามความนึกคิดหรือสังขารตามเหตุปัจจัย เรื่องนี้จึงต้องเป็นไปตามกรรมของสัตว์ที่ยึดถือ
    ผู้ใหญ่มา :ผมใคร่ขอให้หลวงพ่อได้กรุณาอธิบาย เรื่อง “วิญญาณที่มาเกิดมาตาย” ด้วยครับ
    หลวงพ่อแช่ม :เรื่องนี้ก็เหมือนกัน มีการสอนแต่เรื่อง “วิญญาณหก” ทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นส่วนมาก ถ้าจะให้หลวงพ่ออธิบายเรื่องวิญญาณหลังตายแล้ว ก็ออกจะเป็นเรื่องเพ้อฝันและเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อก็ได้ทราบมาจากพระอริยสงฆ์เก่าๆ ที่มีชื่อเสียง ซึ่งรู้เห็นจากใจด้วยปัญญาญาณ จึงนำมาพูดให้โยมฟัง ฟังแล้วเอาไปพิจารณาดูเองก็แล้วกันว่าจะเชื่อได้หรือไม่ คือ
    “เวลามีใครตายก็ตาม จะมียมฑูตมารับวิญญาณทันที บางครั้งยมฑูตจะรออยู่ขณะใกล้ตาย แล้วจะพาไปในที่แห่งหนึ่ง ไปสอบถามดูว่าอยู่บนมนุษย์โลกได้ประพฤติตนอย่างไร? แล้วจำแนกแยกแยะไปรับกรรมในที่ต่างๆ บางครั้งวิญญาณที่เก็บไม่หมด จะเที่ยวร่อนเร่พเนจรไป เป็นผีไม่มีศาล จนกว่าจะมีวิญญาณใหม่มาแทนตามกำหนดของกรรม จึงจะไปเกิดได้ แต่ต้องกระทำความดีในที่ต่างๆ วนเวียนกันในภพอื่นมากมาย จนเพียงพอที่จะมาเกิดเป็นคนได้ใหม่ ซึ่งไม่ไช่ของง่ายเลย”
    จะเห็นว่า “สัตว์ทั้งหลายล้วนแต่อยากจะมาใช้ชีวิตเป็นคนทั้งสิ้น แม้แต่เทวดา ถ้าคนได้รู้ความจริงว่าเป็นเช่นนี้ คงจะเร่งทำความดีจนหลุดพ้นไปจากกรรมดี ไม่ต้องเวียนว่ายไปสู่ภพน้อย ภพใหญ่ กันให้เหน็ดเหนื่อยและทรมานเป็นแน่” มีแต่จะมุ่งประพฤติปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความเป็นอรหันต์กันทั้งนั้น เพราะจะพ้นเกิดพ้นตายได้
    อย่างไรก็ตาม, สัตว์โลกทุกชนิดต่างต้องเดินทางไปสู่นิพพานเป็นภพสุดท้ายทั้งสิ้น ไม่ช้าก็เร็ว ตามกรรมของสัตว์นั้นๆ ผู้ที่ตายแล้วเกิดทันทีจะเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ ที่ใกล้เคียงชาติปัจจุบันนั้นได้ และเรียนรู้ธรรมได้เร็วกว่าผู้อื่น เพราะฉะนั้นกรรมเก่าที่มีอยู่บ้าง จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำกรรมในชาติปัจจุบัน สำคัญที่กรรมใหม่ บารมีใหม่ ที่ขยันสร้างในทางดี จนเป็นเหตุให้เข้าถึงนิพพาน
    สำหรับ ปฏิสนธิวิญญาณ ที่จะลงสู่ครรภ์มารดา ก็เป็นไปตามกรรมนั่นเอง ไม่ใช่ว่าจะเลือกได้ตามใจชอบ กรรมจะเป็นตัวกำหนด เรียกว่าบารมีเก่าก็ได้ ส่วนความเป็นคนนั้นระบุอยู่ที่พ่อกับแม่ ซึ่งต่างก็ให้ สเปิร์ม และ ไข่ ที่สืบทอดความเป็นคน เช่นเดียวกับเมล็ดพืช แต่ดี-ชั่ว บุญ-บาป และอุปนิสัยอื่นๆ อยู่ที่ปฏิสนธิวิญญาณซึ่งเข้ามาประชุมด้วย ก่อนที่จะคลอดออกมาเป็นคน
    ผู้ใหญ่เห็นไหมว่า “การเกิดเป็นคนนั้นแสนจะยาก” บางครั้งจะมีเหตุปัจจัยในครรภ์มารดามาทำแปรเปลี่ยน เกิดความพิการ หรือความไม่สมประกอบแก่ทารกน้อยในครรภ์ จนถึงกับตายก่อนคลอดก็มี หรือออกมาเป็นเด็กพิการต่างๆ นานาก็มี เป็นที่สลดสังเวชต่อพ่อแม่และญาติพี่น้องตั้งแต่ยังไม่โต
    ผู้ใหญ่มา :ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิด ไม่ตายในชาตินี้ได้เล่าครับหลวงพ่อ?” ผมสนใจจริงๆ บุกมาถึงขั้นนี้แล้ว หลวงพ่อช่วยบอกต่อเถอะครับ
    หลวงพ่อแช่ม :ก็มีศาสนาพุทธนี่แหละ ที่สอนให้หมดตัวหมดตน หมดบาป หมดกรรม ไปอยู่เหนือกรรม เหนือสุขเหนือทุกข์ ก็จะไม่มีเชื้อกรรมหรือกิเลสตัณหาอุปาทานไปเวียนเกิด เวียนตาย ต่อไปอีก
    ซึ่งวิธีการที่พระพุทธองค์ทรงนำมาสอนสาวกของพระองค์ท่าน มีมากมายหลายวิธี อุปมาดั่งการหาไฟใช้ จะหาโดยวิธีใดก็ได้ แล้วแต่ว่าจะเหมาะกับอุปนิสัยของใครก็เลือกเอาวิธีนั้น เพียงแต่ให้มีไฟใช้ได้ก็แล้วกัน อาจจะช้าหรือเร็วกว่ากัน ยากหรือง่ายกว่ากัน ก็แล้วแต่จะเลือกเอามาปฏิบัติดู ถ้าหมดตัวตน หมดความยึดถือ ว่ามีเรา-มีของเรา เห็นแจ้งว่า “ทุกสิ่งเป็นอนัตตา” ไม่ต้องไปยึดมั่นว่าเป็นอัตตาได้จากใจ และวางมันได้อย่างเด็ดขาด ใช้แต่ขันธ์ห้าล้วนๆ ทำหน้าที่ไปจนถึงที่สุดแบบว่างได้จริง ก็หมดปัญหา เข้าสู่นิพพานได้
    แต่ตามหลักธรรมแล้ว พระพุทธองค์ทรงชี้แนะด้วย “โพธิปักขิยธรรม ๓๗” ได้แก่ สติปัฏฐาน๔ สัมมัปปธาน๔ อิทธิบาท๔ อินทรีย์๕ พละ๕ โพชฌงค์๗ มรรคมีองค์๘ ซึ่งใครจะเรียนหัวข้อธรรมหมวดใดก็ได้ เลือกเอาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะเลือกเอาขันธ์ห้า หรืออริยสัจจ์๔ ก็ได้ แต่ต้องให้เห็นว่า เป็นพระไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องเรียนจนหมดทุกหมวด
    ถ้าใครยังหลงว่าจะต้องรู้ทั้งหมด ก็เท่ากับต้องรู้จักใบไม้ทั้งป่า ซึ่งเหนื่อยมาก และไม่ได้ประโยชน์มากไปกว่ารู้จัก ใบไม้เพียงกำมือเดียว ตามที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะ แต่ต้องเรียนรู้ให้เห็นจริงซึ่งสัจธรรมตามที่เป็นจริง
    ผู้ใหญ่มา :ที่หลวงพ่อพูดมาทั้งหมด ไม่มีตัวการปฏิบัติเลย ทำอย่างไรจึงจะรู้เห็นแจ้งลงไปว่าจะเข้าสู่นิพพานได้ ขอหลวงพ่อกรุณาอธิบายต่อเถอะครับ
    หลวงพ่อแช่ม :ตกลง หลวงพ่อจะบอกวิธีปฏิบัติอย่างลัดสั้นให้ แบบเปิดให้เห็นตัวจริงของนิพพานกันเลย ไม่จำเป็นต้องใช้รูปแบบมากมายนัก จะติดรูปแบบเสียเปล่าๆ
    การถือศีล กินอาหารมังสวิรัติมื้อเดียว ไม่สวมรองเท้า ไม่แต่งเนื้อแต่งตัวตามแฟชั่นหรือตามสมัยนิยม ปฏิบัติธุดงควัตรอย่างเคร่ง เดินจงกรมภาวนาทุกย่างก้าว เพ่งดูลูกแก้ว หรือนิมิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัติสมาธิภาวนา พร้อมทั้งบริกรรมคำภาวนาชนิดต่างๆ ใครที่เคยทำมาแล้ว จะฝึกต่อไปก็ได้ แต่ในขณะที่มาสนใจศึกษาวิธีลัดสั้นขอให้วางวิธีเก่าๆ ไว้ก่อน และไม่จำเป็นว่าจะต้องถือบวชเป็นพระภิกษุ หรือเป็นนักบวชหญิงจึงจะเข้าสู่นิพพานได้ ถ้านำสิ่งเหล่านี้มาถือเป็นกฎตายตัวด้วยความหลงผิดจะบังนิพพานได้
    อ้อ... เมื่อเร็วๆ นี้ หลวงพ่อก็ได้รับหนังสือจากคุณประพันธ์ ชื่อว่า “อะไรๆ ก็ไม่จริง” ซึ่งลูกศิษย์อาจารย์กตธุโร ช่วยกันเขียนจากประสบการณ์ของตนที่ได้ปฏิบัติมาจนสามารถเห็นธรรม หมดตัวตนหรือหมดคนในขันธ์ห้า เข้าถึงธรรมเดิมที่ว่างได้มากน้อยตามสมควรแก่ภูมิธรรม หลวงพ่ออ่านดูแล้วรู้สึกว่าลัดสั้นแบบที่หลวงพ่อปฏิบัติอยู่ แต่อาจจะมีบางแห่งที่เขาว่าของเขาลัดสั้นกว่าก็คงจะมี หลวงพ่อก็ไม่เถียงถ้าเขาทำได้
    แบบของอาจารย์กตธุโร ท่านก็ว่าไม่จำเป็นต้องออกบวช เพียง รู้จักปฏิบัติแยกรูปแยกนาม ให้เห็นรูปนามตามความเป็นจริงก็ใช้ได้ และนำจิตซึ่งไม่มีตัวตนและไม่ยึดขันธ์ห้า พ้นจากขันธ์ห้าเข้าสู่นิพพาน จิตนั้นก็จะทำหน้าที่สักแต่ว่ารู้ขันธ์ห้า แต่ต้องสลัดจิตที่ยืนรู้อยู่นี้ไปสู่ความหลุดพ้นจากนิพพานด้วย แรกๆ ก็ให้เห็นธรรม แบบทำในใจให้ระลึกรู้ด้วย ปัญญา มีสติระลึกได้ว่ากายใจไม่ใช่เราทำหน้าที่ จะเห็นรูปเห็นนามส่งต่องานซึ่งกันและกันเอง
    ต่อไปเมื่อสติมีกำลังมากขึ้น พร้อมทั้งมีสมาธิมั่นคงขึ้น จิตจะจดจ่อและเห็นแจ้งรูปนามตามความเป็นจริง เกิด วิปัสสนาญาณ (ปัญญาเห็นแจ้ง) เห็นว่ากายเป็นสิ่งซึ่งเป็น อนัตตา อนิจจัง ทุกขัง และค่อยๆ ขาดจากความยึดถือว่ากายเป็นเราไปเรื่อยๆ จนออกจากกายได้
    ต่อไปเรื่องใจหรือนามก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่มีเราในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และไม่มีเราในจิต ให้เห็นชัดลงไปด้วยการเฝ้าดูด้วยสติปัญญา เจาะ เพ่งเข้าไปจนเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของนามขันธ์และจิต ฝ่ายนามทั้งหมดจึงเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ตามธรรมชาติที่อาศัยกันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย
    ถ้าไม่มีสัญญาหมายรู้ในรูปนามแต่อดีตเข้ามาปรุงแต่ง เมื่อมีการกระทบสัมผัสของรูปนามปัจจุบัน ความพอใจ ไม่พอใจหรือเฉยๆ จะเกิดขึ้นทันทีไม่ได้ และไม่มีการยึดถือจนเป็นทุกข์ จึงต้องมีสติปัญญาเข้าไปรู้ เห็น แจ้ง แทงตลอด ขันธ์ห้าว่าไม่มีตัวตนและไม่เป็นอะไรตามเดิม ธรรมชาติเดิมเขาโกรธไม่เป็น เกลียดและโลภไม่เป็น สัญญาหมายรู้ที่สมมุติขึ้นนี่เอง เป็นตัวการให้เกิดความยึดถือผิดๆ และหลงกันว่าทุกสิ่งมีจริง
    เมื่อทุกสิ่งเป็นของโลกปั้นขึ้นมาเล่นๆ โดยไม่รู้ จะเป็นของจริงได้อย่างไร? จึงแสดงความจริงให้ปรากฏด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีมาชั่วขณะแล้วก็หายไปทุกสิ่งอย่างไม่ยกเว้นอะไร แม้ตัวรู้ที่เข้าไปรู้ว่าอะไรๆ ก็ไม่จริง ก็เป็นธาตุรู้ที่รู้ขึ้นมาตามเหตุของโลกเขา จะยึดถือหรือประคองให้ยืนรู้อย่างถาวรไม่ได้ ต้องปล่อยให้เขาทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระตามเหตุตามปัจจัยที่มี
    ในที่สุดทุกสิ่งจะเข้าสู่สภาวะที่ว่างจากตัวตนหมด จึงไม่มีอะไรจะยึดถือมาเป็นของตนได้เลย ดังคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า “สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ” แปลว่า “ธรรมทั้งปวงอันใคร ๆ ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตน เป็นของตน” คือไม่ควรรู้สึกแล้วสำคัญมั่นหมายว่าเป็นอะไรจริงนั่นเอง
    ผู้ใหญ่มา :ผมพอจะเข้าใจถึงวิธีการที่จะออกจากขันธ์ห้าและจิตให้ถึงที่สุดโดยไม่ยึดถือว่ามีอะไรได้ชัดขึ้นแล้ว เพราะ “อวิชชา” ความไม่รู้ตามที่เป็นจริง ทำให้หลงยึดถือว่าเรามีตัวตน-เป็นของตนจริง ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเราไม่ได้เกิดมาในโลกนี้ เราเป็นเพียงคนโดยสมมุติ ใช้เรียกแทนสภาวะซึ่งแตกต่างจากสิ่งอื่นโดยลักษณะภายนอกและการแสดงออก การกำหนดภาษาขึ้นมาใช้ก็เพื่อให้รู้ความหมายของสิ่งต่างๆ มีเรา มีฉัน มีเธอ มีสู กู มึง ฯลฯ ขึ้นมา
    ทำอย่างไรจึงจะให้คนทั้งหลายได้รู้ว่า คน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา นั้นมีไม่จริง? ถ้าไม่มัวหลงกันอยู่ ความทุกข์ก็จะไม่มีใช่ไหมครับ? ผมจะขยันมาฟังการปฏิบัติธรรมขั้นสูงจากหลวงพ่อใหม่ วันนี้ผมขอกราบลาก่อน
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดี โยมผู้ใหญ่ ขอให้เจริญธรรมเถิด
    โลกมายา

    โอ้เจ้าโลกมายาข้าเพิ่งเห็น
    ปรุงให้เต้นเร่าเร่าเร้าไฝ่หา
    ตั้งแต่เกิดจนตายที่ได้มา
    มีแต่ของมายาค่าไม่มี
    ใครไม่รู้ก็ตรูไปจับจอง
    เป็นเจ้าของหลงรักเพิ่มศักดิ์ศรี
    ทั้งแก้วแหวนเงินทองว่าของดี
    พอรู้ธรรมถ้วนถี่หนีเงินทอง
    มันไม่แท้ของเทียมเพราะคนทำ
    จึงเป็นกรรมให้ติด คิดเกี่ยวข้อง
    ความไม่รู้หน้ามืดเข้ายึดครอง
    พอรู้ทันก็ป่าวร้องว่ามายา

    กตธุโร

    โลกมันเป็นของมัน

    แต่เดิมทีไม่มีสิ่งทุกสิ่ง
    น่าแปลกจริงทำไมมีสิ่งนี้ได้
    คำว่าโลกที่เห็นเป็นของใคร
    แล้วคนเกิดคนตายใครกระทำ
    โอ้ปัญหาโลกแตกแยกไม่ออก
    ใครจะบอกให้รู้ดูน่าขำ
    พอฉันพูดก็ไม่เชื่อเบื่อถ้อยคำ
    กลับพูดซ้ำหาว่าบ้าไม่น่าฟัง
    ก็มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง
    ใครจะเก่งเกินมันนั้นอย่าหวัง
    มันสร้างขึ้นเต็มบ้านแล้วก็พัง
    ไม่มีใครหยุดยั้งมันได้เลย
    กกตธุโร




    ความเกิดเป็นทุกข์

    สิ่งใดเกิดก็เป็นทุกข์ไม่สุขเลย
    เกิดเสียเคยเลยไม่ทุกข์สนุกหลาย
    รู้ว่าเกิดแล้วไม่สุขทุกข์จนตาย
    คงไม่มีผู้ใดยอมเกิดมา
    จงระวังเหยื่อล่อก่อให้หลง
    ที่ตายลงเพราะเหยื่อก็เหลือหลาย
    เพราะติดรสอันประเสริฐเลยเกิดตาย
    ไม่ว่ารสใดใดต้องเลิกรา

    กตธุโร

    วิมุตติธรรม

    เพราะขันธ์ห้าพาไปได้ทุกเรื่อง
    ทั่วทั้งโลกทั่วทั้งเมืองเรื่องเหลือหลาย
    สั่งให้หยุดไม่ยั้งกระทั่งตาย
    ทุกรูปนามเกิดใหม่หยุดไม่เป็น
    ต้องเรียนธรรมรู้ธรรมกรรมจึงหยุด
    พูดไม่พูดถ้าหยุดดูจึงรู้เห็น
    เราทุกคนจงเห็นธรรมมันจำเป็น
    มิฉะนั้นจะต้องเต้นไปตามกรรม
    อย่าคิดว่าตัวตนข้าพ้นได้
    นั่งหัวร่องอหงายใจเหยียดหยาม
    ต้องรู้เห็นแจ้งหลุดวิมุติธรรม
    หมดทั้งกรรมหมดขันธ์ห้าว่าของกู

    กตธุโร
    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๑๙
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ ได้ข่าวว่าไปต่อธรรมกับคุณประพันธ์ที่ลพบุรีมาด้วยหรือ มีอะไรจะเล่าให้หลวงพ่อฟังไหม?
    ผู้ใหญ่มา :หลวงพ่อครับ ตอนนี้รู้สึกว่าทั้งคนหนุ่มและคนแก่พากันตื่นตัวในการปฏิบัติธรรมกันมาก แต่เท่าที่ผมสังเกตดูและถามหลายๆ ท่านที่มีประสบการณ์ เขาจะบอกว่า ถ้าไม่สามารถปฏิบัติลงไปที่จิต ให้จิตรู้กาย เห็นกาย และจิตเอง แล้วออกจากกาย ออกจากจิต คือไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ไม่มีตัวตนของใครเพราะเห็นแจ้งว่าไม่มีอะไรจริงแท้ถาวรจากใจเองแล้ว จะไม่เกิดผล
    การเรียนธรรมเพียงแต่รู้และเข้าใจยังไม่เพียงพอที่จะดับทุกข์ได้เด็ดขาด ต้องเห็นธรรมลงไปจริงๆ ตามสภาพธรรมที่เป็นจริง ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผู้ปฏิบัติธรรมที่บากบั่นมามาก จึงหันมาเจริญวิปัสสนาภาวนา คือเฝ้าดูจิตด้วยสติปัญญา จนมีสติปัฏฐานสี่ สมบูรณ์และใช้การได้ แล้วแต่ว่าใครจะใช้แนวปฏิบัติของอาจารย์องค์ไหน
    ผมได้คุยกับคุณประพันธ์ถึงแนวปฏิบัติของอาจารย์กตธุโร เขาบอกว่าเข้าใจง่ายและมีผลให้เห็นธรรมชัดแจ้งจนถึงที่สุดได้จริงๆ มีพระพุทธเจ้าและพระธรรมอยู่ในใจ ตลอดจนเป็นพระสงฆ์เสียเอง แต่ออกจะแปลกด้วยโวหารและคำพูด ตรงที่ท่านสอนว่า “เมื่อโลกไม่มี ทุกสิ่งจะไม่มี เมื่อมีโลก ทุกสิ่งย่อมมาจากโลกและเป็นของโลก หาใช่ของใครไม่ โลกให้มาทำหน้าที่ชั่วคราวแบบไม่จริง แล้วก็เรียกคืนไปหมดเมื่อถึงเวลาของสิ่งนั้น”
    เพราะฉะนั้นการยึดถือว่ามีอะไรจริงและเป็นของตนย่อมเป็นทุกข์ เพราะยึดได้ไม่จริง ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนไปตามสภาพ ตามกฎธรรมชาติเสมอ ถ้ารู้จักทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามเหตุ และใช้ของที่มีชั่วคราวอย่างไม่ยึดถือ ก็จะหมดทุกข์แน่นอน
    คุณประพันธ์แนะนำว่า ให้ลูกศิษย์ใหม่ๆ ที่เรียนธรรมแบบนี้ทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า
    ๑. เมื่อจะเรียนรู้ธรรมแบบนี้ ก็ต้องมีศรัทธาในคำสอน และผู้สอน เป็นเบื้องต้นแล้วตั้งใจที่จะมารับธรรมจากอาจารย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปฏิบัติให้หมดอยาก
    ๒. เวลามารับธรรมจากอาจารย์ ควรจะตอบคำถามของอาจารย์ทุกข้อจากใจ หรือส่งคำถามให้อาจารย์ตามที่สงสัยหรือเป็นปัญหาของตน ไม่ใช่ของผู้อื่น แล้วตั้งใจฟังคำตอบ อย่าไปมัวคิดเรื่องอื่นหรือหาคำตอบเองในใจ หรือคิดค้านอยู่ในใจ ตามที่ตนเคยได้รับความรู้มา ขอให้ฟังจนจบเสียก่อน อาจจะพิจารณาตามไปในขณะนั้นด้วยจิตใจที่มั่นคงมีสมาธิ แล้วจ่อหรือเพ่งดูลงไปจนเกิดเป็นปัญญาเห็นธรรมได้เลยก็มี จะรู้สึกโล่งโปร่งเบาขึ้นมาให้รู้ได้ด้วยตนเอง หรือหากยังไม่กระจ่าง จะเก็บไปพิจารณาย้อนหลังดู และเห็นธรรมเองในภายหลังก็มี
    ๓. ยอมให้อาจารย์กระหนาบได้ เพื่อความก้าวหน้าในธรรม นำตัวตนออกไปเรื่อยๆ จนหมดสงสัย หมดปัญหา
    ๔. เมื่อเปิดกระแสธรรมได้ในครั้งแรก อย่าหนีอาจารย์ไปไกลๆ เพราะคิดว่ารู้แล้ว เห็นแล้ว ต้องขยันมาเรียนต่อจนอาจารย์บอกว่าจบหลักสูตร หรือรู้ได้ด้วยตนเองแน่ชัด
    ๕. ต้องขยันทำการบ้าน ทั้งที่อาจารย์ให้และตนพบเอง แล้วก็ส่งการบ้านให้อาจารย์ตรวจยืนยันว่าถูกต้อง (รู้จริง เห็นจริง) ทำให้แน่ใจว่าเข้าถึงธรรมได้จริง
    อาจารย์กตธุโรท่านมีวิธีการเปิดกระแสธรรมให้แบบเซ็น ซึ่งเข้าถึงธรรมเดิมที่เป็นอนัตตา สุญญตากันเลย บางคนก็เปิดได้กว้างไกล แต่บางคนก็เปิดได้ไม่ชัดเจนนัก ขึ้นอยู่กับภูมิธรรมของจิตแต่ละจิต ถ้าขยันกลับไปดูไปพิจารณาบ่อยๆ ด้วยตนเอง จะเห็นธรรมชัดขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสงสัยก็ให้กลับมาถามอาจารย์
    ท่านมักจะขอร้องผู้ที่มารับธรรมใหม่ๆ ว่าอย่าเพิ่งเอาความรู้ในตำราที่เคยศึกษา เคยจำได้ มาเปรียบเทียบ จนกว่าจะได้เห็นธรรมชัดแจ้งจากใจ แล้วค่อยกลับไปอ่านตำราเพื่อศึกษาความละเอียดละออของความรู้ทั้งหลาย ซึ่งเขียนมาจากจิตแต่ละจิต จะยิ่งมีปัญญารอบรู้กว้างขึ้น และใช้เป็นประโยชน์กับผู้มาสนทนาที่มีจุดสนใจและปัญหาแตกต่างกันออกไปจนหายสงสัยได้
    คุณประพันธ์เล่าว่า เขามีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดอาจารย์มาก เพราะขยันไปคุยกับท่านบ่อยๆ ได้เห็นการสอนธรรม และโต้ตอบปัญหาธรรมกันระหว่างอาจารย์กับศิษย์ใหม่หลายคน แต่ละคนต่างก็เปิดกระแสธรรมได้ไม่เหมือนกัน ประดุจลูกไก่แตกออกมาจากฟองไข่ได้แบบแปลกๆ
    บางคนพอตกกระแสธรรมจะมีปิติน้ำตาไหล บางคนดีใจจนหน้าตาแดงก่ำ กำไม้กำมือด้วยท่าทางแปลกๆ บางคนตะโกนภาษาธรรมออกมาดังๆ ว่า “โธ่! ไม่น่าหลงอยู่จนป่านนี้ แล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ!” บางคนเคยสงบเสงี่ยมไม่ช่างพูด แต่กลับพูดออกมาแบบต่อยหอย บางคนตื่นเต้นพูดไม่ออก ผุดลุกผุดนั่งอยู่ครู่หนึ่งวางตัวไม่ถูก บางคนวางเฉยได้เป็นปกติ ดูไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร ได้แต่พยักหน้าว่า “อ๋อๆๆ อย่างนี้เอง สาธุ” บางคนก็ทรุดฮวบลงกราบอาจารย์ด้วยความรู้สึกว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ หรือรอดตายมาจากแดนทุรกันดารเฉกเช่นทะเลทราย
    ฉะนั้น อย่างไรก็ตาม คุณประพันธ์บอกว่าเล่าได้ไม่หมด เขาเองก็เพิ่งรู้ว่าการตกกระแสธรรมคืออย่างไร เป็นอย่างไร? มันพลิกจิตกันจริงๆ หลุดจากห่วงหรือสิ่งที่เคยร้อยรัดผูกพันจิตอยู่ กลายเป็นจิตที่ว่าง โปร่ง เบา ขึ้นมาทันที ซึ่งในตำราส่วนมากไม่ได้บอกกล่าวกันไว้มากนัก
    อาจารย์จะสอนว่าระหว่างที่กำลังฟังธรรมอยู่นั้น ขอให้ผู้ฟังวางจิตเฉยว่างๆ แล้วอาจารย์จะจ่อจิตให้ จะได้ไม่มีคลื่นรบกวน จิตที่ว่าจะเปิดรับธรรมที่ส่งให้โดยตรงและผ่านตลอดไม่ติดขัด ซึ่งท่านมักจะขอร้องให้ศิษย์หรือผู้มารับธรรมจากท่าน เทความรู้เก่าๆ ออกจากจิตเสียก่อน แบบน้ำชาพร่องถ้วยหรือถ้วยชาที่ว่าง จะได้ไม่มีอะไรขัดแย้ง หรือกั้นจิต บังจิต หรือเติมอะไรเข้าไปใหม่ไม่ได้
    จุดที่ท่านจะเปิดธรรมให้ คือคลี่สมมุติให้กระจ่าง และดึงคนหรือสมมุติออกมาจากธรรม เป็นการถอนความรู้สึกว่ามีเรา มีตัวตน ออกมาจากสภาวธรรมนั่นเอง พอจิตกระทบกับอารมณ์หรือธรรมารมณ์ ก็รับรู้ได้ทันทีว่าไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรที่ควรเข้าไปยึดถือ จึงเห็นจิตว่างๆ เปล่าๆ เป็นปกติอยู่ได้ ไม่มีความคิดปรุงแต่งใดๆ เกิดขึ้น หมดความสำคัญมั่นหมายที่จะเอาอะไร อยากได้อะไร รู้สึกว่าจิตเฉยแบบสงบเย็นและรู้พร้อม ผู้ฟังจะรู้สึกโล่งโปร่งเบาขึ้นมาเอง เหมือนกับมีอะไรหลุดออกไป อาจจะร้องอยู่ในใจ หรือเปล่งเสียงออกมาว่า อ๋อ... มันเป็นเช่นนี้เอง มัวหลงอยู่ได้ตั้งนาน! แสดงว่าถอนสมมุติออกจากธรรมได้ในขั้นแรก เห็นว่ากายหรือทั้งกายและใจไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และมันว่างอยู่ในขณะนั้น
    ต่อไปผู้ปฏิบัติจะต้องขยันพิจารณาดูกายให้ถี่ๆ บ่อยๆ ด้วยการมีสติตามดูตามรู้อิริยาบถทั้งหยาบและละเอียดด้วยปัญญา จนเห็นได้ชัด ว่ามันเป็นมัน และมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงเลิกยึดถือกายว่ามีตัวตน และกายไม่ใช่เรา วางกายได้
    และต่อไปจะต้องถอนความรู้สึกว่าเรามีในกาย หรือกายมีในเราให้เด็ดขาดด้วย เพราะกายเปลี่ยนของมันเองอยู่เสมอ ท่านจึงพูดว่า มันไม่ใช่เรา มันเป็นเพียง ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ เราไม่ใช่มัน ไม่มีเราในมัน ไม่มีมันในเรา และมันเองก็มีไม่จริง จึงยึดถือไม่ได้ ให้เลิกยึดถืออย่างเด็ดขาด จึงจะพ้นภัย
    ถัดจากดูกาย ออกจากกาย ทิ้งกาย ได้แล้ว ให้มีสติตามดู จิต หรือ นาม และเห็นแจ้งด้วยปัญญาเช่นเดียวกันว่า “เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ” ไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา ไม่มีเราในนามทุกขันธ์ มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือนกาย แม้จิตที่รู้กาย รู้จิตเอง ก็เป็นอนัตตา อนิจจัง ทุกขัง จึงต้องวางความยึดถือจิตมาเป็นตน-ของตนลงเสียด้วย
    ท่านใช้คำพูดว่า “อย่าปั้นจิตเล่น” เพราะจิตเพียงอาศัยกาย ทำหน้าที่ดูแลกาย รับรู้เรื่องของกาย ไปตามอำนาจของธรรมชาติและเป็นของโลกเช่นเดียวกับกาย ไม่มีสิ่งใดเป็นจริงโดยถาวร จึงแสดงให้เห็นภาวะเกิด-ดับของกายและใจทุกขณะที่มีการกระทบสัมผัส
    ถ้าปฏิบัติจนถอดสมมุติหรืออัตตาออกจากขันธ์ห้าและจิตได้หมด ไม่มีเราในขันธ์ห้าและในจิต แล้วจะมีใครต้องเป็นทุกข์เล่า? จึงรู้แจ้งชัดว่าไม่มีเรามาเกิด และไม่มีเราต้องไปตาย มัจจุราชไม่เรียกหาอีกแล้ว
    เมื่อรู้จักขันธ์ห้า เห็นแจ้งในขันธ์ห้า และออกจากขันธ์ห้าเรียบร้อยแล้ว ตัวรู้ก็ถูกสลายไปด้วย เพราะไม่ใช่เรา กลายเป็นรู้ไม่จริง เช่นเดียวกับที่รู้ว่าขันธ์ห้าก็มีไม่จริง เมื่อหมดรู้ที่เป็นเรา-ของเรา ก็หันมาใช้รู้ให้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ที่ยังหลงอยู่ ยังยึดว่ามีตัวตน-ของตนอยู่
    ท่านยังสั่งว่า เมื่องานเรียนธรรมจบแล้ว ให้ตรวจตราอยู่เสมอว่ายังมีอะไรเสียดแทงจิตให้หวั่นไหวบ้างในวันหนึ่งๆ ถ้ามี แสดงว่ายังมีเราหลงเหลืออยู่ในขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง ให้แก้ไขจนเรียบร้อยด้วย ทุกคนต้องช่วยตัวเองในขั้นตอนท้ายๆ นี้ เท่ากับมีคนมาช่วยปลูกบ้านให้เสร็จแล้ว เจ้าของบ้านต้องเก็บงานให้เรียบร้อยและจัดให้เข้าที่เอง จึงจะอยู่สบายจริงๆ
    สรุปว่า เมื่อโลกไม่มีอะไรมาแต่เดิม ที่มีในความรู้สึกว่าเป็นอะไรจริงขึ้นมาหรือเป็นตัวเป็นตนแม้เพียงเล็กน้อย แสดงว่ายังมีอวิชชาหลงเหลืออยู่ ทุกคนจึงต้องตรวจต่อไปอย่างไม่ประมาท นี่แหละครับเป็นใจความที่คุณประพันธ์ได้คุยให้ผมฟัง
    หลวงพ่อแช่ม :อือ... ก็นับว่าเป็นวิธีการเข้าถึงธรรมที่ถูกต้องแน่นอนจริง หลวงพ่อฟังดูแล้วยอมรับว่า ตรงกับในสมัยพุทธกาล ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงใช้การแสดงธรรม พูดธรรม แบบเซ็น ให้ศิษย์บางคนฟัง และเกิดการเห็นธรรมโดยฉับพลันขึ้นมาได้ เรียกว่า บรรลุธรรม ซึ่งบางครั้งไม่ต้องใช้เวลาพูดกันมาก หรืออธิบายกันยืดยาว
    และหลวงพ่อเข้าใจว่า อาจารย์กตธุโรก็ใช้วิธีการ ของ ศีล สมาธิ ปัญญา ผสมเข้ากับแนวเซ็น แต่มีปัญญานำเจาะทะลวงเข้าไปจนเห็นแจ้งในสมมุติและธรรม จนเข้าถึงธรรมเดิมที่ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร ท่านเดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต” ไม่ใช่สอนว่า “ผู้ใดรู้ธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า” จะต้องเห็นธรรมชนิดที่เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในกายใจ จนเคารพตัวเองได้ นั่นแหละจึงจะคุยได้ ว่ารู้ธรรมเห็นธรรมจริง และมีดี แต่ไม่ใช่ดีชนิดมีตัวมีตน-ของตน
    ผู้ใหญ่มา :เอ... เรื่องนี้ผมได้ยินคุณประพันธ์เขาเล่าว่า อาจารย์กตธุโรย้ำศิษย์ทุกท่านให้พูดเท่าที่รู้ที่เห็นจากใจ อย่าเอาสัญญาปัญญามาคุยให้ผู้อื่นฟัง อย่าอวดว่าตัวเองรู้มากกว่าผู้อื่น ก่อนจะคุยกับใครก็ต้องตรวจตัวเองก่อนเสมอ อย่าให้มีมานะในใจ เท่าที่ฟังดูผมคิดว่าท่านคงจะสบายของท่านแล้ว
    หลวงพ่อแช่ม :หลวงพ่อเห็นด้วย โยมทำถูกแล้วที่รู้จักสนใจธรรมแบบเปิดใจกว้าง ไม่ยึดถือว่าเรามีอาจารย์ของเราอยู่แล้ว เราจะเรียนกับอาจารย์อื่นอีกไม่ได้
    คนที่เราเคยคบเป็นสหายธรรมมา ถ้าเขาเกิดไปสนใจปฏิบัติธรรมแนวอื่นซึ่งถูกกับจริตของเขา และทำให้เขาเห็นธรรมได้จริง ก็ควรจะอนุโมทนาให้เขา อย่าไปถือตน โกรธเขา รังเกียจเขา หรืออิจฉาริษยาเขา แต่ควรย้อนกลับมามองตัวเองว่าทำอะไรไม่ถูก หรือมีสิ่งใดปิดบังตาใจอยู่ จึงยังเห็นความจริงจนถึงที่สุดไม่ได้
    หลวงพ่อดีใจที่ผู้ใหญ่ปฏิบัติตนถูกต้อง หากจะไปเรียนธรรมและเห็นธรรมขั้นสูงสุดกับอาจารย์องค์ไหนได้ ก็จงไปเถิด หลวงพ่อจะไม่ว่าและไม่ห้ามเลย หลวงพ่อยินดีรับฟังผลของการปฏิบัติธรรม ถ้าประจักษ์ซึ่งนิพพานได้ก็จะสาธุให้ หลวงพ่อฟังมาทั้งหมดก็คิดว่าท่านกตธุโร คงจะเห็นที่พึ่งแก่ผู้ที่สนใจเรียนธรรมจริงปฏิบัติจริงได้มากขึ้นในยุคนี้ หากลูกศิษย์ของท่านได้ช่วยกันบอกปากต่อปากไปยังเพื่อนทุกข์ทั้งหลายที่พอจะเปิดตาใจมารับธรรมจากท่าน
    ฟังดูแล้วลูกศิษย์ของท่านก็พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่ารู้ธรรม เห็นธรรม แบบที่ท่านสอนได้จริง ก็น่าสรรเสริญในสติปัญญาและความเพียร ตลอดจนเมตตาที่ผู้ถึงธรรมได้ให้ต่อผู้ที่ยังลำบาก หลงเวียนว่ายอยู่ในความเป็นคน จนพ้นจากความเป็นคนขึ้นมาเรื่อยๆ เออ... ว่าแต่ว่าลูกศิษย์เขานัดพบกันที่บ้านอาจารย์กตธุโรวันไหนบ้างนะ?
    ผู้ใหญ่มา :คุณประพันธ์บอกว่าเป็นวันอาทิตย์ต้นเดือน ใครว่างก็มาพบปะสังสรรค์กันในทางธรรม มาต่อธรรมกัน มาร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเพื่อนรุ่นน้องให้มีความก้าวหน้าในธรรม เพื่อแบ่งเบาภาระของอาจารย์ไปบ้าง มิฉะนั้นท่านจะเหนื่อยมาก เพราะท่านป่ายเป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย และในวันอื่นๆ ก็มีผู้สนใจไปรับธรรมจากท่านเสมอ ทั้งกลางวันและกลางคืน บางครั้งก็หลายคน โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์จะมากันมาก
    บางครั้งมีโทรศัพท์มาจากที่ต่างๆ ทั้งใกล้และไกล มาถามปัญหาธรรมกับท่าน ซึ่งท่านก็อดทนและมีเมตตาธรรมให้อย่างบริสุทธิ์ใจ ศิษย์เก่าๆ มักจะมาเยี่ยมเยียนท่าน พร้อมทั้งนำอาหารคาวหวานติดมือมาฝากท่านบ้างเล็กๆ น้อยๆ บางครั้งก็ร่วมรับประทานอาหารกับท่าน บางคนก็พักที่บ้านท่านเพื่อต่อธรรมกับท่านอย่างเป็นกันเอง เพราะการฟังธรรมไม่ว่าจากอาจารย์คนไหนเพียงครั้งเดียว จะเปิดธรรมจนถึงที่สุดโดยไม่ต้องมาเรียนรู้อะไรอีกย่อมเป็นไปไม่ได้ ทุกคนจะต้องช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง อย่างมากด้วย
    หลวงพ่อแช่ม :เออ... ว่างๆ หลวงพ่อจะหาโอกาสแวะไปสนทนาฉันกัลยาณมิตรกับท่านกตธุโรบ้าง เผื่อมีอะไรที่จะแลกเปลี่ยนกันได้บ้างในทางปฏิบัติ เพื่อสอนให้ลูกศิษย์ได้เห็นธรรมง่ายขึ้น
    ผู้ใหญ่มา :ผมทราบจากคุณประพันธ์ว่า มีลูกศิษย์จากที่อื่นไปขอฟังธรรมจากท่านกตธุโรเหมือนกัน เป็นทำนองมาขอดูหน้าไพ่ มาดูว่าท่านสอนอย่างไร? ผิดแผกไปจากอาจารย์ของตนอย่างไร? เป็นธรรมะของพระพุทธองค์จริงหรือเปล่า? หรืออยากจะเทียบเคียงกันดูว่าวิธีไหนจะดีกว่ากันก็มี บางคนมาแบบไม่ได้ตั้งใจจะเรียนธรรมรู้เห็นธรรม เมื่อฟังดูแล้วเอาไปแปลผิดๆ ว่าท่านสอนให้ยึดสัญญาปัญญา, บ้างก็ว่ายอมรับไม่ได้เพราะท่านสอนว่า ปัญญาก็ไม่มีจริง จึงเหมาเอาว่าพูดเอาเองทั้งอาจารย์และศิษย์โดยไม่ได้เห็นธรรมจริง ซึ่งใครๆ ก็พูดได้ จึงไม่ได้ธรรมกลับไป คงได้แต่การมาดูบ้านอาจารย์ ดูหน้าอาจารย์และรู้จักศิษย์บางคนเท่านั้น
    คุณประพันธ์เล่าอีกว่า ผู้ที่เปิดธรรมในเบื้องต้นยังไม่ได้ แต่ถ้าใส่ใจมาฟังซ้ำ หรือบางคนมีศรัทธาและตั้งใจอัดเทปของตัวเองไปฟังต่อที่บ้าน ไปใคร่ครวญต่อด้วยปัญญา และลองปฏิบัติดูก็จะเห็นธรรมขึ้นมาได้ ถ้าได้ปฏิบัติต่อไปพร้อมทั้งขยันมารับฟังหรือโทรศัพท์มาถามอาจารย์ ท่านก็จะชี้แนะให้หลุดพ้นจากการยึดถือตัวตนเป็นลำดับไปตามขั้นตอนของการละสังโยชญ์ ๑๐ ประการ เพราะท่านสอนให้ทิ้งหมด ไม่ติดแม้กระทั่งตัวรู้หรือปัญญา เพราะรู้นั้นไม่ใช่เรา ถ้ายังติดรู้ก็จะมีเราไปเกิด ไปตายอยู่ร่ำไป
    หลวงพ่อแขม :อือๆ... หลวงพ่อเข้าใจทั้งสองฝ่าย ความจริงบัณฑิตทั้งหลายน่าจะปรองดองกันและช่วยกัน ร่วมมือกันทำสิ่งที่ยากให้ง่ายเข้า เปิดของที่ปิด หงายของที่คว่ำให้เห็นจริงอย่างที่พระพุทธองค์ทรงกระทำมาแล้ว เพื่อให้คนที่ยังไม่รู้ความจริงได้รู้ง่ายๆ และเห็นความจริงเร็วขึ้น
    ถ้าหลวงพ่อจำไม่ผิด เคยได้ยินคุณประพันธ์เล่าว่ามีอริยสงฆ์องค์หนึ่งไปสนทนากับท่านกตธุโรที่บ้าน และสนับสนุนวิธีการสอนของท่านกตธุโรที่สามารถเจาะลูกไก่ออกมาจากฟองไข่ออกจากเปลือกไข่ได้แบบลัดสั้น ท่านยังพูดว่าขออนุโมทนาในเทคนิคของท่านกตธุโรจริงๆ ที่ทำให้ผู้ปฏิบัติละสักกายทิฏฐิได้เร็วขึ้นแบบจิตจ่อจิตกันเลย โดยอาศัยนิทานแบบเซ็นและโวหารเด็ดๆ มาตะล่อมจนจิตผู้ฟังยอมจำนนด้วยปัญญา ออกมาจากการยึดติดในสมมติ และเกิดปัญญาเห็นธรรมแบบฉับพลันตามที่เป็นจริงได้ และในโอกาสต่อมาพระอริยสงฆ์ท่านนั้นยังพาพระลูกศิษย์ของท่านมาเปิดกระแสธรรมกับท่านกตธุโรอีก ๒-๓ องค์ นับว่าน่าสนใจจริงๆ หลวงพ่อจะหาโอกาสไปคุยกับท่านกตธุโรในเร็วๆนี้แหละ ผู้ใหญ่ช่วยนำทางไปก็แล้วกัน
    ผู้ใหญ่มา :ตกลงครับหลวงพ่อ เมื่อไรหลวงพ่อพร้อมก็บอกผมเถอะครับ ผมจะพาไป วันนี้ผมกราบลาก่อน
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ เจริญธรรมเถิด
    -------------------------
    <!-- End main-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 20 สิงหาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:50:49 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : 37 Pageviews. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:53:54 น.-->หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค12 --หลวงพ่อแช่ม-8

    <!-- Main -->ยิ่งมียิ่งติด

    ยิ่งคิดผิด ยิ่งพูดผิด ติดขันธ์ห้า
    ยิ่งใฝ่หา ทางออก หลอกให้หลง
    ยิ่งเรียนมาก ยิ่งถลำ ทำให้งง
    ยิ่งพูดมาก ก็ยิ่งส่ง ลงอุบาย
    ยิ่งนั่งเงียบ เหมือนเหยียบ โมหะอยู่
    ยิ่งอยากรู้ ยิ่งติดรู้ อยู่เหลือหลาย
    ยิ่งพากเพียร ยิ่งติดเรียน จนแก่ตาย
    ยิ่งเกิดใหม่ ก็ยิ่งตาย ตามตามกัน
    หมดยิ่งยิ่ง ทุกสิ่งสรรพ ดับไม่เหลือ
    หมดชาติเชื้อ หมดทุกอย่าง หมดสร้างสรรค์
    แม้แต่หมด ก็หมดจด หมดนิพพาน
    หมดกล่าวขาน หมดคำพูด หมดหยุดเลย

    กตธุโร

    ข้ามโคตร

    เมื่อเอาจิตดูจิตไม่ติดอื่น
    จิตจะชื่นสดใสได้ความว่าง
    ที่วุ่นวายเพราะมีเราเข้าไปบัง
    จิตไม่ว่างทั้งวันดูวุ่นวาย
    ต้องขจัดความเป็นเรานั้นเอาออก
    ใครจะบอกหรือไม่บอกออกไม่ได้
    ต้องหมดเราจริงๆ ทิ้งกายใจ
    จึงจะหมดวุ่นวายเพราะจิตเบา
    ใครประสบพบเห็นจะเต้นผาง
    พบความว่างไม่วุ่นหมุนเหมือนเก่า
    หลุดแล้วโว้ยหยุดแล้วหวาข้าฆ่าเรา
    เหลือเปล่าเปล่าดังประกาศประหลาดจริง

    กตธุโร
    คนละฟาก

    ฝั่งฟากนี้มีอยู่คู่กับโลก
    มีสุขโศกปนเศร้าไม่เหงาหงอย
    พอยามสุขก็เพริศพริ้งยิ่งเลิศลอย
    ถึงยามเศร้าก็เหงาหงอยไม่งดงาม
    ฝั่งฟากโน้นโพ้นไกลไปจากโลก
    ไม่สุขโศกเศร้าสร้อยตอบถ้อยถาม
    ไม่มีงามไม่มีงด เพราะหมดงาม
    ผู้เดินตามก็ยังงดหมดแม้เงา
    ใครไปถึงทะลึ่งพรวดความอวดหมด
    มันหายหดหมดไปได้เปล่าเปล่า
    ไม่มีอะไรจะให้เห็นหรือเป็นเงา
    มันเปล่าเปล่าว่างว่างอย่างนั้นเอง

    กตธุโร

    ตรวจดูกายใจ

    ให้ตรวจดูกายใจในทุกคน
    จะได้ผลไม่ได้ผลตนย่อมรู้
    รู้สึกตัวทั่วพร้อมน้อมเป็นครู
    ถ้าหมดกูหมดหลอกเขาบอกเอง
    กายมันบอกให้รู้หรือตู่เอา
    หรือว่าใจตู่เอาว่าเราเก่ง
    หรือว่าใจตู่ใจไม่กลัวเกรง
    หรือว่าตู่เอาเองทั้งกายใจ

    กตธุโร

    อย่าหยุดจิต

    อย่าหยุดจิตหรือคิดให้จิตหยุด
    คนที่พูดคนที่ทำตามวิสัย
    ได้แต่พูดได้แต่ทำตามกันไป
    ผลสุดท้ายหยุดได้ประเดี๋ยวเดียว
    จิตเกิดทุกข์ทุกทีที่ขันธ์ห้า
    จิตก็เป็นอนัตตาข้าไม่เกี่ยว
    จิตก็จิตกายก็กายตายทีเดียว
    ถ้าใครเกี่ยวใครข้องต้องเกิดตาย
    จิตจะนิ่งหรือไม่นิ่งทิ้งมันก่อน
    อาจารย์สอนลูกศิษย์ติดไม่ได้
    จิตไม่มีเราไม่มีจะมีใคร
    อ้ายที่เกิดที่ตายโลกสร้างเอง

    กตธุโร

    ที่พักใจ

    อันกายใจจะต้องมีที่ให้พัก
    ใครจะรักหรือไม่รักพักถูกที่
    ถ้าปล่อยไปผิดผิดไปติดดี
    ไหลไปชั่วก็มีอยู่มากมาย
    ใจมันหลงพากายไปทุกเมื่อ
    ไม่ยอมเบื่อสุขทุกข์สนุกหลาย
    ไปหลงเรื่องเล่นเล่นเต้นจนตาย
    กว่าจะรู้ก็สายตายตามกัน
    จะต้องหาที่พักให้ถูกที่
    ละทั้งชั่วทั้งดีที่กล่าวขาน
    อยู่กับว่างใสสดเพราะหมดงาน
    เพราะกายใจเป็นมัน ไม่มีเรา

    กตธุโร
    บทสนทนาธรรม ตอนที่ ๒๐
    ---------------------
    ผู้ใหญ่มา :นมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อแช่ม :สวัสดีโยมผู้ใหญ่ วันนี้ทำไมมาแต่เช้าได้ มีธุระอะไรหรือ?
    ผู้ใหญ่มา :ผมกะว่าจะส่งลูกชายไปนครสวรรค์ตอนบ่าย เพื่อไปพบอาเขา แต่เขาฝากมาถามปัญหากับหลวงพ่อบางเรื่อง เช่น “ทำไมอาจารย์แต่ละองค์จึงสอนธรรมไม่เหมือนกัน?” และเรื่อง “พรหมวิหาร ๔” เป็นอย่างไร?”
    หลวงพ่อแช่ม :อ้าว... ฟังนะ ก็พระสงฆ์แต่ละองค์ท่านศึกษาและปฏิบัติธรรมมาไม่เหมือนกัน บางองค์เรียนปริยัติมามาก แล้วจึงปฏิบัติจนเห็นธรรมชัดแจ้งจากใจโดยใช้หลัก “ศีล สมาธิ ปัญญา” ไปตามลำดับเป็นบาทฐานต่อกันไปเรื่อยๆ บางองค์ก็ถนัด เดินธุดงค์ จาริกไป แสวงธรรมไปตามป่า เขา ถ้ำ ที่ทุรกันดาร เพื่อฝึกความอดทนและความเพียรที่จะละกิเลสออกจากใจ บางองค์ก็ถนัดทำ สมาธิภาวนา อย่างเคร่งครัดและอดทน แล้วนำมาพิจารณาดูจิตเข้าสู่พระไตรลักษณ์เป็น วิปัสสนาภาวนา ในภายหลัง แต่ก็เห็นธรรมและเข้าถึงธรรมในที่สุดได้เช่นเดียวกัน ซึ่งอาจจะช้าหรือเร็วก็ได้ แล้วแต่ว่าผู้ปฏิบัติจะใช้อะไรนำ ฝ่ายที่มีจริตทางปัญญาก็ใช้ปัญญานำ ฝ่ายที่ชอบทำสมาธิก็ใช้สมาธินำปัญญา ฝ่ายที่ชอบสมาทานศีล เคร่งในศีล ก็ใช้ศีลนำสมาธิและปัญญา แต่ทั้ง ๓ แบบล้วนต้องอาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา ครบองค์และรวมเป็นหนึ่งเดียว จึงจะเกิด ปัญญาญาณ เห็นแจ้งสภาวธรรมตามที่เป็นจริงว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา (สัพเพ ธัมมา อนัตตา) จึงแสดงอนิจจัง ทุกขัง ให้เห็นควบคู่กันไป และยึดถือเป็นของใครไม่ได้ จึงไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น จะเป็นทุกข์ (สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ)
    เมื่อรู้อย่างไร เห็นอย่างไร อาจารย์เหล่านั้นก็สอนศิษย์ไปตามที่ท่านเรียนรู้มา เห็นมา จึงอาจจะมีวิธีการและโวหารไม่เหมือนกัน ขอแต่เพียงให้ดับทุกข์ได้จริงเท่านั้น เมื่อนำไปปฏิบัติ และหมดความยึดถือว่ามีตัวตน-ของตนเด็ดขาด ซึ่งผู้เรียนผู้ปฏิบัติจะรู้ได้เห็นได้เฉพาะตน (เป็นปัจจัตตัง) จริงๆ และเชื่อถือได้ว่าเป็นธรรมแท้ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ แต่มีพระบางองค์สอนจากความรู้และความเข้าใจของท่านโดยปริยัติเท่านั้น ก็นับว่ายังเป็นประโยชน์ที่จะช่วยปูพื้นฐานให้กับผู้ที่เริ่มสนใจธรรมะ เพียงแต่ต้องเน้นให้เข้าถึงการปฏิบัติจริงๆด้วย
    สำหรับเรื่อง “พรหมวิหาร ๔” ก็ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ว่ามีทั้งขั้นโลกียะและโลกุตตระ หากจะให้หลุดพ้นสิ้นเชิง ก็ต้องใช้ให้ถูกต้องและให้เข้าถึงขั้นโลกุตตระ คือไม่ยึดว่ามีตัวตน เป็นของตน หลวงพ่อจะอธิบายเป็นข้อๆ ไปดังนี้
    เมตตา หมายถึงความรัก ความปรารถนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุข คิดทำประโยชน์ต่อกัน แบ่งปันสิ่งของความสุขให้แก่กันมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน เห็นอกเห็นใจกันแต่ต้องไม่หลงว่ามีเราเข้าไปอยู่ในเมตตานั้นๆ เพราะเมตตาแบบโลกๆ นั้นทำเพื่อเอาหน้า เพื่อเพิ่มอัตตาให้ตนและเอาบุญคุณต่อกัน ยังไม่ใช่เมตตาแท้ที่บริสุทธิ์
    ลองย้อนกลับไปมองพระพุทธองค์เป็นตัวอย่างสิ พระองค์มีพระเมตตาอันบริสุทธิ์สูงสุดอย่างหาที่เปรียบมิได้ แม้พระองค์ท่านจะตรัสรู้ธรรมอันยอด และพบบรมสุขอันยิ่งแล้ว พระองค์ยังเสียสละแม้พระราชวัง และลาภยศทั้งปวง ไม่ทรงคิดหวลกลับไปอยู่ในวัง ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่ทรงยึดติดอะไรๆ แล้วและพระราชบิดาทรงยินดีต้อนรับพระองค์เข้าสู่วังเสมอ แต่พระองค์ทรงเลือกที่จะจาริกไปตามป่าเขา เพื่อนำธรรมะไปโปรดสอนสัตว์โลกทั้งปวงให้ถึงความดับแห่งทุกข์จนหมดคน หมดตัวตน หมดโลภ-โกรธ-หลง พบความสุขนิรันดรได้เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต อย่างไม่ทรงเห็นแก่พระองค์เลย นี่แหละเมตตาแบบโลกตุตระ เป็นเมตตาที่กว้างใหญ่ไพศาล ให้เท่าไรก็ไม่หมด ไม่เหมือนกับการให้อย่างอื่นเป็นทาน ซึ่งให้เท่าไรก็ไม่พอไม่จบไม่สิ้น เมื่อฝ่ายที่ได้รับมากพอแล้วแทนที่จะคิดรักษาและทำประโยชน์ให้งอกเงยขึ้น กลับนำไปแสวงหา กิน กาม เกียรติ ต่อไป จนหลง จนลืมตัว และเห็นแก่ตัว โดยลืมไปว่าทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องคืนให้โลกในที่สุด
    แบบเดียวกับการก่อพระเจดีย์ทรายที่ชายทะเล จะก่ออย่างวิจิตรพิสดารอย่างไรก็ตาม พอมีคลื่นชัดมาลูกเดียวเจดีย์ก็หายไปหมด เพราะฉะนั้นเมตตาแบบโลกๆ ยังเป็นการทำเพื่อตัว เพื่อหวังผลอยู่ จึงไม่เป็นแก่นสารและไม่พ้นทุกข์ จนกว่าจะก่อเป็นเมตตาขึ้นในจิต เช่นพระพุทธเจ้าและสาวกของพระองค์ท่าน ตลอดจนพระอริยสงฆ์ที่หมดตัวตนจากจิต ซึ่งจะมีเมตตาธรรมค้ำจุนเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ให้เลิกยึดถือว่ามีตัวตนเป็นของคนจริงๆ และเข้าสู่สภาวะสันติสุขที่แท้จริงได้
    กรุณา หมายถึงความสงสาร,คิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ โดยตัวเองต้องพ้นทุกข์ได้ด้วยจึงจะถูกต้อง ถ้าจิตยังหวั่นไหวเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ ก็ยังเป็นกรุณาที่ประกอบด้วยอวิชชาหรือโมหะ ถึงแม้จะช่วยผู้อื่นได้แต่ตัวเองก็ยังเดือดร้อนไปด้วย จึงต้องเป็นกรุณาที่จะปลดเปลื้องทุกข์ของผู้อื่นโดยบริสุทธิ์ใจ เท่าที่มีเหตุปัจจัยพอจะช่วยได้ โดยหมดความรู้สึกว่ามีตัวตน-ของตน
    มุทิตา คือความชื่นบาน ยินดีไปกับผู้อื่นที่เขาได้ดีมีสุข แต่ต้องไม่เลือกยินดีเฉพาะผู้ที่ตนพอใจหรือมีส่วนได้ส่วนเสียด้วยกันเท่านั้น ต้องเป็นดวามยินดีที่ปราศจากตัวตน เรา–เขา จึงจะไม่เกิดทุกข์เกิดโทษ ทั้งตนเองและผู้อื่น
    อุเบกขา คือความวางใจเป็นกลางด้วยปัญญา ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง ไม่ดีใจเสียใจ เมื่อเห็นผู้อื่นประสบกับความวิบัติ รู้จักวางใจเฉยเป็นปกติได้ เมื่อมีโอกาสหรือจังหวะที่จะช่วยใครตรงไหนได้ ก็ช่วยทันที แต่ช่วยด้วยสติปัญญาและปราศจากความรู้สึกว่ามีเขามีเราเป็นตัวเป็นตนเช่นเดียวกัน ไม่ใช่อุเบกขาแบบโมหะ คือช่วยได้ก็ไม่ช่วยกลับเมินเฉยเสีย หรือในขณะที่ยังไม่สมควรจะช่วยก็ตัดสินใจเข้าไปช่วยจนตัวเองต้องเดือดร้อนไปด้วยก็ยังใช้ไม่ได้ จึงต้องพิจารณาเรื่องพรหมวิหาร ๔ ให้เป็นเครื่องอาศัยอย่างถูกต้องด้วยสติปัญญาเสมอ
    ผู้ใหญ่มา :แหม... หลวงพ่อช่างอธิบายได้แจ่มแจ้งจริงๆ ผมเองเคยฟังคุณประพันธ์เล่าถึงเมตตาแบบนี้เหมือนกัน เพระอาจารย์กตธุโรสอนว่าไม่ให้หลงเมตตา ให้รู้จักใช้เมตตาที่เป็นความบริสุทธิ์จากใจ ซึ่งไม่ยึดถือว่ามีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาในใจ เป็นโลกุตตรเมตตาและมหาเมตตา อย่างที่หลวงพ่อแยกแยะให้ฟังนั่นแหละครับ
    ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมจนเห็นธรรม นำไปใช้พร่ำเพรื่อไม่ถูกกาละเทศะหรือเรียกว่าขาด สัปปุริสธรรม ๗ (ธรรมของผู้รู้ผู้ดีหรือสัตบุรุษ ๗ อย่าง ได้แก่ รู้จักเหตุ ผล ตน ประมาณ กาล ชุมชน (บริษัท) บุคคล ) จะถูกหาว่าเป็นบ้าได้ ผู้รับก็จะปฎิเสธ พร้อมทั้งหมดโอกาสที่จะรู้ธรรมเห็นธรรม มิหนำซ้ำจะไปบังนิพพานเขาเสียอีก อาจารย์กตธุโรจึงเน้นกับลูกศิษย์เสมอว่า อย่าได้นำธรรมะไปแจกแก่ผู้ที่ไม่เห็นคุณค่า ไม่ต้องการ เพราะเขายังไม่เห็นทุกข์ ไม่ต้องการดับทุกข์ทั้งๆ ที่มีความทุกข์ ผู้ที่ยังเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ยังไม่ต้องการให้ใครช่วยดึงกงจักรออกก็ต้องปล่อยเขาไว้ก่อน แต่จงให้แก่ผู้ที่เห็นทุกข์และต้องการออกจากทุกข์แล้วน้อมจิตเข้ามารับ จึงจะเกิดบารมีเห็นธรรมได้ง่าย ทั้งผู้ให้ก็ไม่เหนื่อยเปล่า ส่วนผู้รับก็ได้รับประโยชน์ตามอานิสงส์แห่งศรัทธาและความเพียรตลอดจนสติ สมาธิ ปัญญาเฉพาะตน
    หลวงพ่อแช่ม :หลวงพ่อก็เห็นด้วย เพราะคนสมัยนี้มีความหลงมากกว่าสมัยปู่ ย่า ตา ยาย ของเรามาก คนสมัยก่อนมีอุปนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตนและเชื่อฟังผู้ใหญ่อยู่แล้ว อีกทั้งสิ่งยั่วยุให้เกิดความโลภ โกรธ หลง ก็มีน้อย จึงสามารถเรียนรู้ที่จะไม่ยึดถือกิเลสมาเป็นของตนได้ง่ายกว่าคนสมัยนี้ ว่าแต่ว่าผู้ใหญ่เคยถามคุณประพันธ์ไหมว่า เขาตรวจได้อย่างไรว่าออกจากขันธ์ใดขันธ์หนึ่งหรือทั้งหมดได้แล้ว?
    ผู้ใหญ่มา :ผมเคยถามครับ เขาบอกว่าเมื่อไม่ยึดขันธ์ใดแล้ว เวทนานั้นจะอยู่ตามธรรมชาติ เช่นเวทนากายก็รู้ว่าเป็นเรื่องของกาย แต่เวทนาพอใจ ไม่พอใจ หรือเฉยๆ มันจะหมดหรือมีบ้างแบบนันทิ (เผลอเพลิน) ก็ต้องตรวจกันอีก จนมันไม่โผล่ให้เห็นหรือรู้สึก เรื่องนันทินั้นจัดเป็นธรรมฝ่ายที่เผลอเพลินโดยไม่เจตนา จึงไม่ถือว่าเป็นกิเลส แต่ก็ต้องไม่ยึดติดและปล่อยวางให้หมด
    ถ้าสัญญาขันธ์ยังทำงานจำได้หมายรู้ในสิ่งผิดหรือถูกอยู่ ก็ยังมีเราหลงอยู่ในสัญญาขันธ์นั้นๆ ยังก่อให้เกิดสังขารขันธ์และยึดถือในเรื่องกุศล อกุศลได้
    ส่วนวิญญาณขันธ์ก็จะทำงานอย่างติดรู้ มีมานะในจิตวิญญาณได้อีก แม้จะเป็นเรื่องที่บางเบาเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม
    เพราะฉะนั้นอาจารย์จะกระหนาบลูกศิษย์ที่ไม่ต่อธรรมสม่ำเสมอ และเตือนให้ตรวจดูใจ จนหมดมานะหมดอวิชชา กันจริงๆ เหลือแต่ขันธ์ห้าล้วนๆ ทำงานกัน โดยไม่มีอุปาทานเลย จีงจะหมดความเป็นคน ข้ามพ้นโลก หมดโลภ โกรธ หลง กันเด็ดขาด ซึ่งรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น จึงต้องเรียนรู้ที่จิตที่ใจตนนี่เอง ไม่ให้ไปเที่ยววัดใจคนอื่นว่าหมดหรือยัง บางครั้งการแสดงออกตามบทของขันธ์ห้า อาจจะไม่ถูกใจผู้ฟัง แต่ผู้ฟังจะไปวัดว่าผู้พูดยังมีกิเลสอยู่ย่อมกล่าวเช่นนี้ไม่ได้
    หลวงพ่อแช่ม :อือ... ก็นับว่าละเอียดลออดี หลวงพ่อเองยอมรับว่าไม่ถนัดที่จะสอนธรรมชนิดจี้ลูกศิษย์ แบบนิ้วจิ้มตาหรือตัวต่อตัว จิตต่อจิต ให้เห็นธรรมถึงตัวจริงตัวแท้ หรือเจาะเปลือกไข่ให้ลูกไก่ฟักออกมาได้เร็วๆ แบบเซ็นผสมสมถะ-วิปัสนา เช่นอาจารย์กตธุโร แต่ก็เข้าใจวิธีการของท่าน และให้การสนับสนุนเต็มที่ จะได้มีพุทธบริษัทที่เห็นธรรมจนพ้นทุกข์หรือวางทุกข์ได้จริงมากขึ้น
    ผู้ใหญ่มา :ครับ ผมก็จะหาโอกาสไปเรียนเพิ่มเติมจากอาจารย์กตธุโรบ้าง มารับจากหลวงพ่อบ้าง หรืออาจจะไปคุยกับคุณประพันธ์และลูกศิษย์อาจารย์กตธุโรคนอื่นๆ บ้าง ตามแต่โอกาสจะอำนวยให้ ผมได้ฟังหลวงพ่อพูดวันนี้ก็รู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ ที่หลวงพ่อเป็นพระแท้ มีใจกว้าง และยอมรับฆราวาสซึ่งรู้ธรรมเห็นธรรมจริงเป็นกัลยาณมิตร จะได้มีผู้รู้ช่วยกันเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธองค์และเผยแพร่ให้กว้างขวางออกไป จนเกิดผลพ้นทุกข์กันได้จริง ไม่ใช่มีแต่คนรู้ธรรม แต่ต้องเห็นธรรม ถึงธรรม ชนิดไม่ยึดติดธรรมทั้งปวงด้วย เพราะมันเป็นอนัตตาและสุญญตา ใช่ไหมครับ?
    หลวงพ่อแช่ม :เอาหละ โยมผู้ใหญ่ก็ปฎิบัติถูกต้องแล้วและเห็นธรรมขึ้นมาในระดับสูงแล้ว ว่าแต่ว่า คุณประพัน์เขาบอกเรื่องความเป็นอยู่ของกายกับใจในขั้นสุดท้ายว่าอาจารย์เขาสอนให้อยู่อย่างไรหรือเปล่า?
    ผู้ใหญ่มา :ครับ เขาบอกว่า ไม่ต้องไปจัดกายกับใจ หรือเอากายกับใจมาจัดให้มันหยุด ให้มันขาวให้มันว่าง หรือเล่นไม่พูด ไม่คิด ไม่ทำอะไร ไม่ใช่เช่นนั้น ขันธ์ห้าเขาต้องทำหน้าที่ไปตามปกติ จะไปหยุดเขาไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ กายและใจยังต้องบริหารควบคู่กันไปตามเหตุตามปัจจัยที่เข้ามา เวลาจะหยุดก็หยุดของเขาเอง เวลาจะใช้เขาก็ใช้อย่างปกติธรรมดา เหมือนกับที่เคยเป็นคนโดยสมมุติ แต่เขารู้แจ้งขึ้นมาจากใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร มันเป็นสักแต่ว่าสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย ความยึดถือในสิ่งทั้งปวงก็จะหายไป ธรรมชาติเขาเปลี่ยนของเขาเอง บังคับไม่ได้ ปล่อยให้เขาทำหน้าที่ในโลกสมมุติอย่างถูกต้องตามสมมุติโดยใจไม่ยึดถือว่าเป็นจริง เพราะสมมุติทุกชนิดมีไม่จริง แต่ต้องทำไปตามเหตุที่ถูกต้องเสมอ
    เมื่อเขาได้เรียนรู้แล้ว สัญชาตญาณได้ถูกพัฒนาแล้ว มีธาตุรู้ที่รู้แล้วด้วยสติปัญญา และเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งปวงแล้ว เท่ากับได้รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ ที่เคยหลงยึดถือว่าเป็นจริง และวางความรู้ทั้งหมดลงได้ เพราะรู้นั้นไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา ไม่มีทั้งผู้รู้และผู้ไม่รู้ ไม่มีทั้งผู้บรรลุและไม่บรรลุธรรม ไม่มีผู้มาและผู้ไป จึงเป็นอิสระ ว่าง และหมดปัญหาจริงๆ สิ่งที่มิใช่ตัวตนและเป็นสิ่งปรุงของธรรมชาติ จึงสลายไปสู่ธรรมชาติตามเรื่องของธรรมชาติ โดยกฎ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บังคับอยู่
    สิ่งที่ยังรู้ไม่ได้ก็ย่อมจะมี แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะไปสงสัยอะไรอีก ก็เป็นอันว่าจบสิ้นการเรียนรู้ เพราะสิ่งที่รู้และถูกรู้ต่างก็เป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ หาใช่ตัวตนของอะไรไม่ มันจะเป็นอยู่อย่างนั้นๆ จนกว่าเหตุปัจจัยจะดับไป แม้ไม่มีการรู้เขาก็เป็นเช่นนั้น เมื่อถูกรู้แล้วเขาก็เป็นเช่นนั้น
    “การที่จิตเข้าไปรู้ว่าอะไรๆ ก็มีไม่จริงในสังขารธรรม ไม่มีตัวตนที่คงที่อยู่เที่ยงแท้ถาวรเป็นอะไรๆ ให้ยึดถือได้จริงๆ มีแต่สภาวะที่เป็นอยู่ชั่วคราวในปัจจุบันขณะเท่านั้น โดยไม่บอกว่ามีอะไรเป็นอะไร ซึ่งรู้ได้เฉพาะเหตุปัจจัยของธาตุนั้นๆ แล้วสลายไปหมดตามกฎพระไตรลักษณ์ นี่แหละคือการเห็นความจริง
    สังขารธรรมเดิมนั้นเป็น สังขาร ใน วิสังขาร อยู่แล้ว เพราะบอกไม่ได้ว่าเป็นอะไรมาแต่เดิม และยังไม่มีความหมายใดๆ จนกว่าจะมีสมมุติบัญญัติตั้งให้เป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมาด้วย อวิชชา เพราะฉะนั้น ถ้าใครยังยึดถือว่ามีอะไร เป็นอะไรจริงในสังขารธรรม แม้แต่ความไม่จริงที่เข้าไปเห็น ก็จะยังไม่พบกับความจริงแท้ที่เป็น โลกุตตรธรรม
    ผมกราบลาก่อนละครับ จะรีบไปบอกลูกชายถึงเรื่องที่เขาฝากให้มาถามหลวงพ่อ และส่งเขาขึ้นนครสวรรค์ในตอนบ่าย
    หลวงพ่อแช่ม :เจริญสุขๆ เถอะโยมผู้ใหญ่ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ให้สมกับที่ได้มาพบพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และเรียนรู้จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

    “อยู่อย่างไม่จริง (ไม่มีตัวตน-ของตน) นั่นแหละเป็นสุขจริง ของจริงย่อมไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงย่อมไม่จริงแท้ ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) แน่ยิ่งกว่าแน่ คือการเห็นสังขารธรรมด้วยสติปัญญาว่าเป็นมายาของความจริงแท้ จึงหมดการปรุงแต่งและหมดอยาก ก็จะถึงที่สุดแห่งการเรียนรู้และเห็นแจ้งสภาวธรรมตามที่ป็นจริง อยู่กับความว่างที่แท้จริงและเป็นจริงตลอดกาล คือ “นิพพาน”

    ถ้าหมดยึดสิ่งใดใจก็ว่าง
    อย่าได้ตั้งสิ่งใดให้ใจหลง
    เพราะมันว่างมาแต่เดิมเติมไม่ลง
    อย่าแบกหลงไปล้างหลงกันอีกเลย

    กตธุโร
    --------------------------
    อย่าหยุดจิต

    อย่าหยุดจิตหรือคิดให้จิตหยุด
    คนที่พูดคนที่ทำตามวิสัย
    ได้แต่พูดได้แต่ทำตามกันไป
    ผลสุดท้ายหยุดได้ประเดี๋ยวเดียว
    จิตเกิดทุกข์ทุกทีที่ขันธ์ห้า
    จิตก็เป็นอนัตตาข้าไม่เกี่ยว
    จิตก็จิตกายก็กายตายทีเดียว
    ถ้าใครเกี่ยวใครข้องต้องเกิดตาย
    จิตจะนิ่งหรือไม่นิ่งทิ้งมันก่อน
    อาจารย์สอนลูกศิษย์ติดไม่ได้
    จิตไม่มีเราไม่มีจะมีใคร
    อ้ายที่เกิดที่ตายโลกสร้างเอง

    กตธุโร

    อะไรอะไรก็หมด

    มันไม่มีอะไรในอะไรไร้สำนึก
    จะต้องฝึกจะต้องฝันกันอีกหรือ
    ปั้นทั้งจิตจัดทั้งกายให้ร่ำลือ
    ประกาศชื่อออกชัดวิปัสสนา
    ทำอะไรได้อะไรได้อีกเล่า
    ไม่มีเราผู้เสวยเลยนี่หนา
    มีแต่กายกับใจไร้เวทนา
    ก็รู้ว่าเขาเป็นเช่นนั้นเอง

    กตธุโร



    ต้องเลี้ยงกาย

    กายใจไม่ใช่เราต้องเฝ้าเลี้ยง
    เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเขา
    เล่นสมมุติบัญญัติแล้วขัดเกลา
    ทิ้งของเก่าของใหม่ไม่ต่อเติม
    เราไม่ได้เกิดมาน่าจะรู้
    ที่มีอยู่ไม่ใช่เราอย่ากล่าวเสริม
    เพราะมีโลกจึงมีคนปนของเดิม
    ถึงต่อเติมเขาก็เป็นเช่นนั้นเอง

    กตธุโร

    ข. อาจารย์กตธุโรตอบปัญหาธรรมแก่ศิษย์
    ปัญหาที่ ๑
    ศิษย์ :อาจารย์ครับผมมีปัญหาจะถามอาจารย์อย่างนี้ครับ คือผมเห็นแล้วว่าอะไรก็ยึดไม่ได้แม้แต่ความว่างที่อาจารย์เคยสอนไว้ ผมเห็นสัญญามันเข้าไปยึดครับ ต่อไปผมจะไม่เอาอะไรทั้งหมด เพราะยึดไม่ได้แม้สัญญา ถูกไหมครับอาจารย์?
    อาจารย์ :มันก็ถูกตามที่เธอว่า ถูกตามสัญญา แต่มันยังมียึดที่จะไม่ยึดที่จะอยู่อีกนะ เลยกลายเป็น สัญญาไม่ยึด ติดอยู่อีก
    ศิษย์ :แสดงว่าแม้ไม่มีอะไรแล้ว ก็ไม่ให้ยึดว่าไม่มีอะไร ใช่ไหมครับ?
    อาจารย์ :ใช่
    ศิษย์ :ก็ต้องปล่อยอีกซิคร้บ?
    อาจารย์ :ถ้ายังมีปล่อยก็มีการยึดติดสัญญาปล่อยอีกนะ
    ศิษย์ :อ้าว... อาจารย์จะให้ทำอย่างไรล่ะครับ?
    อาจารย์ :เพียงแต่รู้ตามสัญญาเท่านั้น ให้เห็นว่าเป็นสักแต่สัญญาเท่านั้น
    ศิษย์ :โอ้โฮ... ผมกระจ่างแจ้งจากใจแล้วครับ เจ้าสัญญานี่เองเป็นตัวทำให้ยึดทั้งขึ้นทั้งล่องเลย กระผมขอลาก่อนนะครับ
    อาจารย์ :สวัสดี สาธุ
    -----------------
    ปัญหาที่ ๒
    ศิษย์ :สวัสดีค่ะอาจารย์ ดิฉันโทรศัพท์ทางไกลมาจากชลบุรีค่ะ
    อาจารย์ :สวัสดี มีอะไรว่าไป
    ศิษย์ :คือดิฉันทำตามที่อาจารย์สอน ว่ามันเป็นมันนั้นพอจะเข้าใจและมองเห็น แต่มันคอยจะเผลอค่ะ
    อาจารย์ :ก็ใครเผลอล่ะ?
    ศิษย์ :มันแหละค่ะ ทำอย่างไรจึงจะไม่เผลอคะ?
    อาจารย์ :มันเผลอจริงหรือ?
    ศิษย์ :ไม่จริงค่ะ
    อาจารย์ :เมื่อไม่จริงจะมัวไปตั้งให้มันเผลอ-ไม่เผลอทำไมอีก? ถ้าไม่เผลอก็ไม่ได้อะไรจริง เผลอก็ไม่ได้อะไรจริง มันมีค่าเท่ากันจึงต้องปล่อยมัน ได้แต่รู้ตามเท่านั้น
    ศิษย์ :อ๋อ ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะอาจารย์ ขอบพระคุณค่ะ กราบลาค่ะ
    อาจารย์ :สวัสดี
    ----------------------
    ปัญหาที่ ๓
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์ ผมเป็นศิษย์ใหม่ ขอกราบอาจารย์และฝากตัวเป็นศิษย์ด้วย
    อาจารย์ :สวัสดี เธอมีปัญหาอะไรค่อยๆ คุยกับอาจารย์และยกปัญหาของเธอมาคุยกันนะ
    ศิษย์ :ครับ อาจารย์ ผมได้เรียนรู้ธรรมมาพอสมควร ได้อ่านหนังสือ “อะไร ๆ ก็ไม่จริง” ก็รู้ว่ากายไม่ใช่ของเรา และมีไม่จริง แต่ผมอยากทราบว่า ทำไมยังไม่ออกจากความอึดอัด? มันไม่แจ้ง อยากจะเห็นลงไปเลยให้กระจ่างจากใจ
    อาจารย์ :เธอฟังอาจารย์นะ ที่ไม่ออกเพราะมีเธอตั้งเอาว่าไม่ออก มันไม่แจ้งเธอก็ตั้งเอาอีก มีเธออยากเห็นอยากแจ้งอยากออก ตั้งเอาทั้งหมด แล้วทำไมไม่ยกเอาความอยากเห็น อยากแจ้ง อยากออกจากความอึดอัดนั้น ออกจากความรู้สึกเสียเลยล่ะ? ถ้ายกออกไปเสียแล้ว จะมีอะไรให้เป็นของเธอตกค้างอยู่อีกเล่า?
    ศิษย์ :อ๋อ... ผมมาตั้งเอา ยึดเอา เป็นความเห็นความรู้สึกยึดเอาเท่านั้น ไม่ใช่ของจริง
    อาจารย์ :อือ... ใช่แล้ว หมดความเห็นก็ไม่มีอะไรเหลือ
    ศิษย์ :ก็เปล่าๆ น่ะซีครับอาจารย์
    อาจารย์ :เออ! ใช่ ก็เปล่าๆ ปลี้ๆ จะมีอะไร เหมือนเอาเพชรกับกาวอย่างดีไปติดกับอากาศ มันจะติดได้ไหมเล่า?
    ศิษย์ :ไม่ได้ครับ
    อาจารย์ :ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรเหลืออีกเลย มันเป็นมัน เป็นของมันจริงๆ อย่างเปล่าๆ
    ศิษย์ :โอ้โฮ! อาจารย์ครับผมหลงติดอยู่นานจนอายุ ๓๘ ปี เพิ่งจะรู้ได้วันนี้เอง ว่าคนเราเกิดมาเปล่าๆ ปลี้ๆ ผมขอกราบคารวะอาจารย์อีกครั้งครับ ผมไม่สงสัยและไม่อึดอัดอะไรอีกแล้ว
    อาจารย์ :สาธุ... เธอใช้เวลาไม่ถึง ๑๐ นาทีก็เปิดกระแสธรรมได้ อนุโมทนาด้วย
    ศิษย์ :ผมกราบลาไปทำงานก่อนละครับ
    อาจารย์ :สวัสดี
    ------------------
    ปัญหาที่ ๔
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์
    อาจารย์ :สวัสดี เธอมีปัญหาอะไรหรือ?
    ศิษย์ :ผมรู้เรื่องกายกับใจดีแล้ว ไม่ติดใจอะไรทั้งหมด ทั้งรู้ทั้งเห็นว่ามันเป็นมัน เป็นของมัน และมันทำงานกันเป็นขบวนการ ทั้งข้างนอกข้างใน แต่ทำไมความคิดปรุงแต่งจึงไม่หมดไปได้? ทั้งๆที่รู้ว่ามันก็ปรุงของมัน แล้วมันก็ดับของมัน ไม่มีเราเข้าไปสนใจมัน
    อาจารย์ :เอ้า... เธอฟังให้ดีนะ เพราะมันมีเหตุมันจึงคิดปรุงแต่ง เธอก็ได้แต่รู้-เห็นมัน แต่ยังไม่แจ้งในเหตุและไม่หมดการยึดมันจากใจ ก็เลยออกจากมันยังไม่ได้ ถ้าเห็นแจ้งในเหตุและหมดการยึด เหตุก็จะหมด แล้วมันจะคิดเอาอะไร? เพราะไม่ได้อะไรจริง ก็จะเหลือแต่ปรุงเปล่าๆ คิดเปล่าๆ ไม่มีเราในมัน จะเหลือแต่ความคิดเกิด-ดับ เป็นสักแต่เวทนา สังขาร วิญญาณเท่านั้น เข้าใจไหม?
    ศิษย์ :ผมเข้าใจแล้วครับอาจารย์ กราบลาละครับ
    อาจารย์ :สาธุ...
    --------------------
    ปัญหาที่ ๕
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์ ผมมีปัญหามาไม่ได้จึงได้โทรศัพท์ถึงอาจารย์
    อาจารย์ :สวัสดี มีปัญหาอะไรว่ามาเลย
    ศิษย์ :ผมอยากถามว่า พระอริยเจ้าชั้นสูงนั้น ท่านอยู่อย่างไร? การวางจิตของท่านเป็นอย่างไร? ท่านไม่คิดนึกอะไรเลยหรือ?
    อาจารย์ :เออ... ก็แปลกดีนะ ไม่รู้ว่าจะถามไปทำไม? ถึงเธอจะรู้ไปก็ทำตามลำบากมากนะ อาจารย์จะบอกให้ก็ได้ เป็นปริศนาธรรมให้เธอเข้าใจเอาเอง
    เหมือนกับมีถนนอยู่สายหนึ่ง มีผู้คนมากมายเดินอยู่ ข้างถนนมีอะไรวางอยู่หลายอย่างเป็นระยะๆไป หรืออาจจะมีบางสิ่งตกเรี่ยราดอยู่ คนส่วนมากเมื่อพบของเล่นที่เคยชอบ ก็ชอบจะเล่นอยู่เสมอในจิตไม่มากก็น้อย ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ได้อะไรจากการเล่น แต่อดที่จะแวะดูหรือที่จะหยิบมาเล่นไม่ได้
    ส่วนพระอริยะนั้นท่านเดินผ่านไปเฉยๆไม่ใยดีเลย ไม่ใส่ใจเลยจริงๆ ซึ่งผิดกันมาก ความคิดของท่านไม่มีแบบคนๆ ไม่คิดเรื่องเหลวไหลใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่รู้เท่านั้น ทั้งเรื่องดี เรื่องชั่ว หรือไม่ดีไม่ชั่ว ท่านพ้นภาวะเหล่านั้นมาแล้ว ท่านเลยอยู่อย่างปกติ หากท่านจะคิดก็คิดแบบเปล่าๆ ไม่ติดในความคิดนั้นๆ คิดเพื่อจะใช้เป็นประโยชน์กับศิษย์เป็นต้น เลยเหมือนกับท่านไม่ได้คิดอะไรทั้งเดือน ทั้งปี แค่นี้พอไหม?
    ศิษย์ :ขอบคุณมากครับอาจารย์ สวัสดี
    อาจารย์ :สวัสดี
    --------------------
    ปัญหาที่ ๖
    ศิษย์ :สวัสดีค่ะ การเรียนธรรมแบบที่อาจารย์สอน รู้สึกว่ามันยังใหม่ต่อการรับฟัง จะต้องค่อยเป็นค่อยไป ดิฉันฟังและรับจากที่อื่นมาก็มาก มันยังตัดไม่ค่อยออก จึงเรียนช้ากว่าสามีและเพื่อนๆ
    อาจารย์ :ไม่เป็นไร ตามสบาย เมื่อไรก็ได้ เธอคิดว่ามีเร็วมีช้าด้วยหรือ? ช้าหรือเร็วเธอตั้งเอาใช่ไหม? เธอตั้งให้มันเดี๋ยวนี้เอง
    ศิษย์ :ก็มันยังติดอยู่นี่อาจารย์
    อาจารย์ :เออ... ใช่ เธอก็ตั้งเอาอีกว่ามีติดหรือออก เธอตั้งให้มันอยู่เรื่อย มันจะเปิดได้อย่างไรเล่า?
    ศิษย์ :ถ้าดิฉันไม่ยึดติดใดๆ มันก็ไม่มีอะไรน่ะซีคะ แล้วจะอยู่อย่างไรล่ะคะ?
    อาจารย์ :ก็อยู่อย่างไม่มีอะไรน่ะซี ก็เปล่าๆ ไงล่ะ
    ศิษย์ :อ้อ! รู้แล้ว ก็เราไม่ใช่คนไม่ใช่ขันธ์ห้า ก็เหลือแต่ขันธ์ห้าเปล่าๆเท่านั้นเอง เมื่อเราหมดไป คนไม่มี อะไรๆก็ไม่จริงทั้งหมด
    อาจารย์ :ใช่แล้ว เธอเข้าใจธรรมแล้วนี่ อย่างนี้แหละเรียกว่าเปิดกระแสแห่งธรรม จบขั้นตอนแรกแล้ว
    ศิษย์ :ขอบพระคุณค่ะอาจารย์
    อาจารย์ :สาธุ...
    <!-- End main-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 20 สิงหาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:53:54 น. </TD><TD></TD><TD align=right>1 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336589086435 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D20-08-2011%26group%3D1%26gblog%3D224&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336589086435&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=306610829&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336589086435 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>

    </TD><TD>Add to [​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- <table width=100% border=0 cellspacing=0> <tr> <td>Counter : <script src='http://fastwebcounter.com/secure.php?s= bloggang3030441 '></script> Pageviews. </td> </tr> </table> --></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%">
    <TBODY><TR><TD id=1><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%"></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- Comment 1-->คืนนี้มีเพื่อนโพสคำสอนของพระรูปหนึ่งใน fb. เราอ่านแล้ว
    เห็นว่าเป็นคำสอนแนวเซน เช่นเดียวกับคำสอนของอาจารย์
    ทำให้รู้สึกคิดถึงอาจารย์ขึ้นมาแบบฉับพลัน นึกสนุกลองโพสชื่อ
    อาจารย์ลงไป ไม่คิดว่าจะได้เจอกับกลอนคำสอนของอาจารย์
    อีกครั้ง..ต้องขอบคุณเพื่อนคนนั้นและขอขอบคุณเจ้าของ blog นี้
    ด้วยเช่นกัน

    <!-- End Comment 1-->

    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%">โดย: มด IP: 103.1.167.35 วันที่: 24 มกราคม 2555 เวลา:23:58:47 น. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    [​IMG] <!--BEGIN WEB STAT CODE--><IFRAME height=17 marginHeight=0 src="http://www.bloggang.com/truehitsstat.php?pagename=jesdath" frameBorder=0 width=14 allowTransparency marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME><!-- END WEBSTAT CODE --><TABLE border=0 width="99%" align=center height="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%">
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:55:58 น.-->หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค13--หลวงพ่อแช่มจอมทัพรบกิเลส-9

    <!-- Main -->ปัญหาที่ ๗
    ศิษย์ :สวัสดีค่ะ ดิฉันมาจากกรุงเทพฯ มาขอฟังธรรมจากอาจารย์ค่ะ
    อาจารย์ :สวัสดี มีอะไรจะถามอาจารย์ไหม?
    ศิษย์ :ดิฉันเรียนธรรมมาหลายสำนักแล้ว ทำไมไม่เคยได้ยินอาจารย์ท่านอื่นสอนหรือพูดแบบอาจารย์กตธุโรเลย
    อาจารย์ :ก็เขาพูดตามแบบของเขา ตามวิธีที่เขาเรียนรู้มา ตามภูมิธรรมของจิต
    ศิษย์ :ส่วนของอาจารย์ ที่สอนว่าอะไรๆ ก็ไม่จริง ถ้าเห็นว่าไม่จริงจะทำให้หมดตัวตน แต่ทำไมมันยังไม่หลุดไม่ออกเล่าคะ
    อาจารย์ :ก็มีเราเข้าไปทำอยู่ตลอดน่ะซี จึงออกจากเราไม่ได้
    ศิษย์ :อ๋อ... ต้องเอาเราออกเสียก่อนใช่ไหมคะ?
    อาจารย์ :ใช่ เอาเราออกหรือออกจากเราเสียก่อน ไม่มีเราไปทำ
    ศิษย์ :อ้าว! อาจารย์ เมื่อหมดเราแล้ว เป็นใครล่ะคะ?
    อาจารย์ :ก็เป็นมันไงล่ะ เป็นมันของ ดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งเป็นธาตุตามธรรมชาติ อาจารย์ตั้งให้เป็นมัน เพื่อให้เราออกเสียก่อน มันหรือธาตุก็เป็นชื่อสมมุติที่ตั้งขึ้นใหม่ ถ้าไล่ไปๆจนหมดสมมุติ ก็ไม่มีอะไร
    ศิษย์ :แล้วจะมีอะไรเหลือคะอาจารย์?
    อาจารย์ :ก็เป็นวิมุติไงล่ะ
    ศิษย์ :อ๋อ... คน สัตว์ เลยไม่มี ไม่มีอะไรเลย ที่มีอยู่ก็ใช้ไป ทำไปตามหน้าที่ของรูป นาม ใช่ไหมคะ?
    อาจารย์ :ใช่ เธอเข้าใจแล้ว สาธุ! หมดคนในขั้นแรกแล้ว
    ศิษย์ :โธ่... อาจารย์ แล้วทำไมที่อื่นเขาไม่สอนอย่างอาจารย์บ้างล่ะคะ?
    อาจารย์ :ก็บอกแล้วว่าท่านรู้แบบของท่าน ท่านก็สอนแบบนั้นๆ
    ศิษย์ :แหม... ดิฉันหลงติด หลงทำ หลงเรียน หลงอยากรู้ หลงนิพพานแบบที่เขาหลงกันอยู่เสียนาน ถ้าไม่พบอาจารย์ คงจะหลงต่อไปอีกนาน ดิฉันขอกราบฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์กตธุโรด้วยผู้หนึ่ง ขอกราบลาล่ะค่ะ
    อาจารย์ :สวัสดี
    ----------------------
    ปัญหาที่ ๘
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์ ผมโทรศัพท์มาถามทุกข์-สุขและปัญหา อาจารย์สบายดีหรือครับ?
    อาจารย์ :สวัสดี สบายดี มีปัญหาอะไรหรือ?
    ศิษย์ :คืออย่างนี้ครับ ผมคอยจะไปทำและจัดมัน หรือไม่ก็กดเอาไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะผมต้องการให้มันว่าง
    อาจารย์ :ไม่ได้ๆ เธอทำไม่ถูกแล้ว
    ศิษย์ :ใช่ครับอาจารย์ มันยิ่งยุ่งกันใหญ่เลย ทั้งยุ่ง ทั้งทุกข์ ไม่สบายเลย พอผมเอาธรรมของอาจารย์มาดูว่า ให้ปล่อยมัน อย่าไปจัดมัน มันว่างของมันเอง และวุ่นของมันเอง ดูมันปล่อยมัน ให้มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง ผมจึงสบายขึ้นมาก อย่างนี้ถูกไหมครับ?
    อาจารย์ :เอ้า! เธอฟังให้ดีนะ กายกับใจนั้นเป็นมันอยู่แล้ว ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ที่เธอว่าปล่อยมันแล้วสบายนั้นก็สบายไม่จริง ประเดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นไม่สบายได้อีก เปลี่ยนเป็นยึดได้อีก เพราะมีเธอไปปล่อย ไปยึด จึงไม่ต้องไปยึดไปปล่อยมัน เพียงดูมันทำไปตามเหตุ แม้เหตุดีก็ต้องไม่ยึด แต่ต้องทำเหตุดีไว้เสมอ กายใจจะเป็นมัน ของมัน หมดยึดถือใดๆ เป็นแต่คอยควบคุมไปตามเหตุเท่านั้นเป็นพอ
    ศิษย์ :ครับอาจารย์ ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบพระคุณมาก สวัสดีครับ
    อาจารย์ :สวัสดี
    ------------------
    ปัญหาที่ ๙
    ศิษย์ :ผมอายุมากแล้ว ๗๓ ปี ผมคิดถึงอาจารย์มาก และติดใจคำพูดของอาจารย์ที่ว่ามันเป็นมัน ผมคอยจะรู้สึกและพูดว่า “ ผมชอบเผลอ” เพราะอดีตเคยไปฆ่าคนตายมาแล้ว ๒ ครั้ง จึงมัวคิดแต่เรื่องอดีต ไม่หายจากใจไปได้
    อาจารย์ :ก็กายอันนี้เป็นมัน ไม่ใช่เรา ที่คิดได้ก็คือมันที่อาศัยกายเป็นเครื่องคิด เมื่อเหลือแต่มัน ไม่ใช่เรา มันจะหมดหรือไม่หมดก็เป็นมันใช่ไหม?
    ศิษย์ :อือ... จริงซีหนอ ถ้ามันเป็นมันแล้วใครจะบาป มันก็ต้องรับของมัน
    อาจารย์ :แต่มันก็มีไม่จริง เพราะเดิมไม่มี เป็นของของโลกเขา แล้วมันก็มาเรียนรู้เรื่องบุญ-บาปไงล่ะ พอรู้แล้วก็ทิ้งรู้เสียด้วย เพราะรู้ก็ไม่จริง จึงสลายตัวรู้เสียให้หมด ไม่ยึดว่าเป็นเรารู้ ก็จะอยู่แบบเปล่าๆ
    ศิษย์ :ผมเพิ่งเข้าใจวันนี้เอง จึงคิดว่าต้องมาประชุมทุกครั้งในวันอาทิตย์ต้นเดือนร่วมกับศิษย์ทั้งหลาย เพราะมีความรู้ที่จะต้องเก็บต้องรู้ แล้วค่อยเอาไปทิ้งทีหลัง ต้องขอบคุณทั้งอาจารย์และศิษย์ที่ช่วยกันสอนผู้ที่ยังไม่รู้ ผมขอลาก่อน
    อาจารย์ :สวัสดี
    ปัญหาที่ ๑๐
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์ ผมมีปัญหาอยากให้อาจารย์ช่วยชี้แนะ คือว่า คนที่เราไม่ชอบหน้าเขา ทำไมจึงญาติดีกับเขาได้ยากและไม่ยอมง้อเขาเสียด้วย พบกันทีไร ความไม่ชอบหน้าไม่พอใจก็เกิดขึ้นทั้งๆ ที่รู้แล้วว่าไม่จริง แต่มันก็ไม่ขาดไปจากใจ
    อาจารย์ :เธอฟังดีๆ นะ ที่ชอบหรือไม่ชอบเป็นมันทั้งนั้น ชอบก็มัน ไม่ชอบก็มัน เพราะสัญญาตัวเดียวไปตั้งเข้าไว้ และจำไม่ยอมลืม ไม่ยอมเลิกยึดนั่นเอง ไม่ปล่อยให้มันเป็นมัน เพียงรู้มันเฉยๆ มันไม่ชอบก็รู้ มันพอใจมันชอบก็รู้ มันเป็นมันทั้งนั้น มันคิด มันพอใจไม่พอใจตามขบวนการของขันธ์ห้า มีการกระทบสัมผัสแล้วเกิด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ครบองค์ แล้วก็ดับไปแล้วก็ปรุงใหม่ เมื่อกระทบใหม่แล้วก็ดับ เป็นอยู่เช่นนี้ไงล่ะ
    ศิษย์ :จะให้มันหายไปเลยไม่ได้หรือครับ?
    อาจารย์ :จะให้หายก็ได้ คือ (๑) ต้องไม่พบกับเขา (๒) เมื่อพบกันแล้วเกิดอาการก็รู้ แต่ไม่ใส่ใจมันก็ดับไปเอง เกิดเหมือนไม่เกิด แต่ถ้าใส่ใจจะมีอาการไม่พอใจ ถ้าตามดูและเห็นว่ามันพอใจก็ไม่จริง จะคลายความยึดถือไปได้เอง (๓) ต้องหมดทั้งมันทั้งเราจากใจคือเวทนาไม่ทำงาน กระทบแล้วก็ดับสลายไปเลย เป็นสักแต่ว่ากระทบ
    ศิษย์ :โอ้... อาจารย์ คงต้องดูมันไปอีกนานใช่ไหมครับ?
    อาจารย์ :ก็ใช่
    ศิษย์ :ครับ ขอบพระคุณครับ ผมจะไปดูบ่อยๆ เนืองๆ จนขาดจากมัน
    อาจารย์ :สาธุ...
    -------------------
    ปัญหาที่ ๑๑
    ศิษย์ :สวัสดีค่ะอาจารย์
    อาจารย์ :สวัสดี ไหนวันนี้มีอะไรจะมารายงานอาจารย์บ้าง? ได้ข่าวว่ารู้อะไรๆ มากแล้ว
    ศิษย์ :คืออย่างนี้ค่ะ หนูก็รู้ว่ากายและใจไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา มันเป็นมัน จะทำอะไรก็มันทั้งนั้น
    อาจารย์ :เออ... เวลาสอนเด็กที่โรงเรียน ยังมีโกรธและพอใจอยู่ไหม?
    ศิษย์ :มีค่ะ ไม่พอใจก็มี แต่น้อยครั้งแล้ว บางครั้งก็ดีใจที่เด็กทำงานเรียบร้อย เรียนเข้าใจ
    อาจารย์ :แล้วเธอเคยสังเกตหรือเปล่าว่ามันหรือเธอดีใจ?
    ศิษย์ :ไม่ได้สังเกตค่ะ
    อาจารย์ :ต้องคอยสังเกตให้ดี เธอยังออกจากตัวตนของตนไม่หมดหรอก เธอต้องทำการบ้านมาส่งอาจารย์ คือต้องไปดูวิญญาณรับผัสสะแล้วปรุงสัญญาจำได้หมายรู้ขึ้นมาส่งให้เวทนา จึงเกิดพอใจไม่พอใจขึ้นมา มันเป็นขบวนการของขันธ์ห้าทั้งหมดไม่ใช่เรา มันเป็นมัน ดูมันเกิดๆ ดับๆ ส่งกันไปส่งกันมาตลอดทั้งกลางวันกลางคืน แม้แต่นอนหลับ มันยังเก็บเอาไปฝันอีก นั่นมันก็ทำงานของมัน เข้าใจไหม?
    ศิษย์ :เข้าใจค่ะ อ้อ... หนูได้แต่รู้-เห็นกายไม่ใช่เรา แต่ไม่เห็นฝ่ายนาม จึงมีหนูพอใจ-ไม่พอใจอยู่ ยังหลงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่หรือคะอาจารย์?
    อาจารย์ :ใช่ เธอต้องไปดูต่อนะ
    ศิษย์ :ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ หนูขอลาก่อน
    อาจารย์ :สวัสดี
    -------------------
    ปัญหาที่ ๑๒
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์
    อาจารย์ :เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เห็นมาพบอาจารย์นานแล้ว ธรรมะไปถึงไหน?
    ศิษย์ :คือผมเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วทั้งหมด เมื่อโลกก็ไม่มี คือมีไม่จริง แล้วจะมีอะไรจริงอีกเล่าอาจารย์ มันหายหมดไม่มีอะไรทั้งหมด ผมเห็นอย่างนี้ครับ
    อาจารย์ :เธอฟังอาจารย์นะ อาจารย์เห็นว่า เธอติดมานานแล้ว วันนี้จะแคะอะไรเสียที...
    ที่เธอเห็นว่าไม่มีๆ นั้น แม้โลกเธอก็เห็นว่าไม่มี แล้วจะมีอะไรได้ ก็เธอกำลังไปคิดว่าไม่มี อะไรๆ มันก็เลยหายไปหมด เธอนึกเอาว่า “ไม่มี” นี้เป็นเรื่องจริง “ที่ไม่มีหรือมี” เธอก็ตั้งเอา
    มันจะมีก็รู้ว่ามี มันจะไม่มีก็รู้ว่าไม่มีซิ มีหรือไม่มีก็ไม่จริงทั้งนั้น แต่ไม่ใช่เหมาเอาว่าไม่มีทั้งหมด ที่ “ไม่จริง” นั้นก็ตั้งเอานะ ฉะนั้นจึงไม่ควรยึดทั้งมีหรือไม่มี จริงหรือไม่จริง ควรจะรู้ตามไปทุกๆ เรื่อง เมื่อเห็นว่ามันเป็นของมันอย่างนั้น ก็ปล่อยมัน ไม่มีเรา-ไม่ใช่เรา เท่านั้นเป็นพอ เข้าใจไหม?
    ศิษย์ :โธ่เอ๋ย... ผมติด “ไม่มี ไม่จริง ไม่มีอะไร” มาเสีย ๒ เดือน เสียเวลาจริงๆ ไม่น่าเลย
    อาจารย์ :นั่นแหละ เพราะเธอไม่มาติดต่อกับกัลยาณมิตรและอาจารย์ จึงเรียนรู้ช้าไป แต่ก็ยังดี ยังไม่สายเกินไป
    ศิษย์ :ครับอาจารย์ ขอบพระคุณครับ ผมกราบลาก่อน
    อาจารย์ :สวัสดี
    ปัญหาที่ ๑๓
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์ ผมมีคำถามมาถามอาจารย์เลยนะครับ การปฏิบัติธรรมพอมาถึงตอนที่จะทิ้งเวทนา ออกจากเวทนา หมดพอใจ-ไม่พอใจนั้น อาการทางกายมันจะแสดงอย่างไรบ้างครับ?
    อาจารย์ :เออ... ดีมากที่เธอถามเรื่องนี้ เพราะไม่เห็นมีลูกศิษย์คนไหนเขาถาม คืออย่างนี้ เวลาจะหมดผูกพันในเวทนากาย จะมีอาการทางกายบอกเหมือนกัน ถ้าคอยสังเกตให้ดีๆ เช่น เวลากินอาหาร ลิ้นที่ลิ้มรสอาหารจะรู้ว่ารสมันจืดชืดไปบ้าง เมื่อก่อนเคยอร่อย แซ่บ รู้สึกได้ชัด แต่พอเวทนาที่เคยยึดหมด มันจะรู้ได้แต่รส ความอร่อยมันหมด ความพอใจในรสก็หมด เหลือแต่รส และรสนั้นก็ดูชืดๆ ไป ไม่เหมือนเดิม มันเฉยอยู่ รู้อยู่เท่านั้น
    หูก็เพียงได้ยิน หมดความหมายไพเราะไปเอง เรียกว่า หูตก ตาตาย กลิ่นก็เหมือนกัน จมูกเป็นสักแต่ว่ารับกลิ่น รู้แล้วไม่มียินดียินร้าย ส่วนการถูกต้องสัมผัสกายก็หมดความหมายที่เคยยึดติด เพียงรู้สึกเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตามธรรมดถ้าไม่สังเกตตัวเราเองก็จะไม่ค่อยรู้หรอก ที่เห็นชัดก็คือรสอาหารนั่นแหละ มันแสดงชัดดีว่าจืดชืดไม่อร่อย แต่ก็กินไปอย่างนั้นเอง ไม่ต้องไปผลัก ไปดูดมัน เพียงแต่ดูมันแสดงอาการที่รับรู้ตามที่เป็นจริงเท่านั้น ปล่อยให้มันเป็นปกติของมัน ถ้าวิญญาณส่งไปสังขาร สัญญา เป็นสักแต่ว่าสัญญาแล้วดับ ไม่ต่อเวทนา เวทนาก็หมดงาน ไม่ดูด-ผลัก
    ศิษย์ :อาจารย์ปฏิบัติอยู่นานไหมครับ
    อาจารย์ :ไม่นานเท่าไรหรอก แต่ก็ต้องให้ขาดของเขาจริงๆ ราวๆ ๒เดือนเต็มเห็นจะได้ อาการทางกายจึงแสดงตัวว่ามันเฉยมากขึ้น เวทนาใจไม่เกิดเลย ได้แต่รู้แล้วก็ดับไป จิตก็รับรู้ว่าพ้นเวทนาแล้ว จิตจะมีอาการตื่น ตื่นน้อยๆ ตื่นแบบรับรู้ว่าพ้นแล้ว ไม่ฟูเหมือนเมื่อทิ้งกายหรือออกจากกายได้
    ศิษย์ :แล้วอาจารย์เคยคุยให้ใครฟังเป็นคนแรกไหมครับ?
    อาจารย์ :เปล่า ได้แต่รับรู้แล้วเฉยเท่านั้น จะคุยให้ใครฟังทำไมเล่า? สอบได้สอบตกมันรู้ที่จิตเอง
    ศิษย์ :ครับ อาจารย์ ขอขอบพระคุณมากครับ กราบลาละครับ
    อาจารย์ :สวัสดี
    -------------------
    ปัญหาที่ ๑๔
    ศิษย์ :สวัสดีค่ะอาจารย์
    อาจารย์ :สวัสดี มีอะไรหรือ?
    ศิษย์ :วันนี้อยากจะคุยกับอาจารย์ เพราะว่ามันว่างค่ะ
    อาจารย์ :ก็ได้ ว่ามา อาจารย์จะฟัง
    ศิษย์ :พูดถึงทางธรรมก็เข้าใจแล้ว ไม่ทราบจะถามอะไร
    อาจารย์ :ถ้าอย่างนั้นฟังอาจารย์พูดก็แล้วกัน เมื่อก่อนอาจารย์สอนให้เธอทิ้งตัวตนคือเรา เอาเราออกจากาย เราไม่มีในกาย เหลือแต่กาย ก็สบายไปชั้นหนึ่งแล้ว
    แต่ตอนนี้เธอจงทิ้งกายเสียด้วย เพราะกายนี้ไม่ได้มีมาแต่เดิม มันมีเพราะเชื้อผสมในพ่อกับแม่ และที่มีนี้จะเป็นกายจริงได้อย่างไร มีตัวตนก็ไม่ได้ ถ้าไม่เรียกกาย หรือไม่ทำหน้าที่กาย ก็ไม่มีกาย เรียกว่า กายหาย รูปหาย ไร้รูป ไม่มีรูป ก็ไม่ยึดว่ามีกายมีรูป ทั้งๆ ที่เห็นอยู่นี่แหละ กายมีไม่จริงนะ
    ศิษย์ :เข้าใจค่ะ
    อาจารย์ :ต่อไปก็จะมีแต่ใจ ใจนึกคิดปรุงแต่งหรือสังขารในเท่านั้น แต่ไม่ใช่เราปรุง มันปรุงของมันด้วยเหตุ มีเหตุจึงนึกคิดปรุงขึ้นมา
    ถ้าจะให้หยุดนึกคิดปรุงแต่งก็ต้องทำลายเหตุ คือวิญญาณที่รับ สัญญา เวทนา ในอารมณ์อดีตเสียไม่ให้ติดต่อเป็นเวทนาที่ยึดติดอารมณ์ เวทนาก็จะเป็นสักแต่ว่าเกิดแล้วดับ ไม่มีเราในเวทนา ในสัญญา เลยเฉยอยู่ไม่ปรุงต่อเป็นเรามีตัณหา เรียกว่ารู้จักหน้าของสัญญา เวทนา ในอดีต ก่อนที่ก่อเหตุให้คิดปรุงเป็นตัณหา จับตัวนายช่างผู้สร้างบ้านได้ บ้านก็เลยไม่ถูกสร้างขึ้นมา เพราะฉะนั้นจะทำบ้านให้ใครได้อีกเล่า ในเมื่อกายก็หมดความหมายมั่น ใจก็รู้ทันเหตุก่อนที่จะปรุง เห็นแจ้งทั้งกายและใจ มันก็จบ สู้สติปัญญาไม่ได้ ก็เท่านั้น
    ศิษย์ :ขอบพระคุณค่ะ สวัสดี
    อาจารย์ :สวัสดี
    ----------------
    ปัญหาที่ ๑๕
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์ ผมมีปัญหามาถาม
    อาจารย์ :ว่ามาเลย
    ศิษย์ :เมื่อก่อนผมติดการตั้งท่า ตั้งเอาโดยสัญญา แต่ตอนนี้ไม่ตั้งเอาแล้ว แต่ก็ยังคอยจะคิดว่าเราไม่ตั้งท่าอีกแล้ว เลยเหมือนกับไปคอยระวังไม่ให้มันมีท่าหรือมีสัญญาใหม่ให้ยึดติดอีก แก้ไม่ได้ติดตรงนี้เอง ทำอย่างไรครับอาจารย์?
    อาจารย์ :อ้าว! เธอฟังนะ ตั้งท่าก็เป็นสัญญา ไม่ตั้งท่าก็เป็นสัญญา จะตั้งหรือไม่ตั้งมันก็เป็นของมันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องไประวังหรือไม่ระวัง ต้องปล่อยมันตามสบายๆ ดูมันเฉยๆ อะไรจะเกิดให้มันเกิด แล้วมันก็จะดับของมันทั้งหมดทั้งสิ้น เธอเพียงดูตามมันไปเท่านั้น เพราะเราไม่มีในกาย และกายก็มีไม่จริงและไม่ใช่ของใคร มันมีมา โดยไม่มีตัวตนและไม่เป็นอะไรตั้งแต่ต้น จึงไม่ควรไปตั้ง หรือ ไม่ตั้งมัน คือ ไม่ต้องไปจัดมัน ปล่อยให้มันเป็นของมัน เข้าใจไหม?
    ศิษย์ :ครับ เข้าใจครับ จงเป็นแต่ผู้ดู ตามดู ตามรู้ เหตุของกายกับใจ และคุมใจประคองใจไปในสมมุติโลกให้รู้ว่าเป็นสักแต่ว่าสมมุติเท่านั้น ไม่มีผู้ดูจริงๆ
    อาจารย์ :ใช่แล้ว กลับไปดูใหม่เถอะ
    ศิษย์ :ขอบพระคุณครับอาจารย์ สวัสดีครับ ผมกราบลาก่อน
    อาจารย์ :สวัสดี
    ----------------
    ปัญหาที่ ๑๖
    ศิษย์ :ผมเป็นผู้ฟังรายใหม่ ขอถามปัญหาท่านเลยนะครับ
    อาจารย์ :เชิญเลย
    ศิษย์ :ผมปฏิบัติและสนใจเรียนธรรมมานานแล้ว ทั้งอ่านและฟังอาจารย์ทั้งหลายมาก็มาก แต่ผมยังติดตัวตนอยู่ ไม่รู้จะเอาออกได้อย่างไร
    อาจารย์ :เธอฟังนะ ถ้าใครๆเขาไม่พูดหรือตั้งว่าติด เธอจะเอาติดมาจากไหน? แล้วเธอจะต้องมาปฏิบัติเพื่อเอาออกทำไม?
    ศิษย์ :อ้อ... ผมเข้าใจแล้วครับ ไม่มีติด ไม่มีออก เพราะตั้งขึ้นจึงมีติด มีออก
    อาจารย์ :เอาหละ เธอหมดปัญหาไปหนึ่งข้อ
    ศิษย์ :ยังมีอีกครับ มันยังมีเผลออยู่ซิครับ
    อาจารย์ :เธอหรือมันกันแน่ที่เผลอ?
    ศิษย์ :มันครับ
    อาจารย์ :มันเผลอก็ไม่จริง ไม่เผลอก็ไม่จริง ถ้าเธอยึดว่าเผลอก็ได้เผลอ ถ้ายึดว่าไม่เผลอก็ได้ไม่เผลอ ไปตั้งเอาอีกใช่ไหม?
    ศิษย์ :ครับ ใช่จริงๆ เสียด้วย อือ... ทำไมเมื่อก่อนไม่เข้าใจก็ไม่รู้ ผมขอถามอีกหน่อยนะครับ เมื่อกายพังจิตเรามันไปอยู่ที่ไหนเล่าครับ?
    อาจารย์ :จิตเราหรือใครกัน?
    ศิษย์ :ไม่ใช่จิตเราหรือครับ? ก็เราคิดได้นึกได้
    อาจารย์ :แล้วเธอบังคับมันได้หรือ? ไหนลองบังคับให้มันไม่คิดสัก ๑ ชั่วโมงซิ มันเชื่อฟังเธอไหม?
    ศิษย์ :ไม่ได้ครับอาจารย์ จิตก็เป็นจิต เป็นของมันกันเองใช่ไหมครับ?
    อาจารย์ :ใช่แล้ว อาจารย์ตั้งใจให้มันเป็นมัน เป็นของมันไว้ก่อน กันหลงว่าเป็นเราเป็นของเราไงล่ะ
    ศิษย์ :ถ้าอย่างนั้นมันก็มีไม่จริงอีกซิครับ เพราะตั้งเอา
    อาจารย์ :ใช่ อาจารย์จึงให้ดูให้รู้ว่า อะไรๆ ก็ไม่จริง จะได้ไม่เข้าไปยึดถือว่าเป็นจริง
    ศิษย์ :เข้าใจแล้วครับ เมื่อจิตไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา เวลากายพังมันไปอยู่ที่ไหนครับอาจารย์?
    อาจารย์ :เธอฟังนะ หากข้างหน้าเธอมีไฟไหม้ขึ้นมากองหนึ่ง โดยเอาไม้ขีดไฟมาขีดกับกล่องไม้ขีดด้านข้าง แล้วจุดเผากระดาษกองหนึ่งเข้า จะมีควันขึ้นมา จนกระทั่งไฟมอดลงควันจึงหายไปหมด เมื่อหมดเชื้อ ไฟไปอยู่ที่ไหนเล่า? จิตก็เช่นเดียวกัน มันก็มีที่อยู่ของมัน เราไม่จำเป็นต้องไปตามดูตามรู้มันก็ได้ใช่ไหม?
    ศิษย์ :ผมเข้าใจแล้วครับ มันมาจากไหนก็ไปสู่ที่นั่น มันไม่ใช่เราทั้งกายและจิต จึงไม่ต้องไปสนใจมันต่อไป
    อาจารย์ :ใช่แล้ว รู้แค่นี้ก็พอแล้ว เธอจงไปดูกายดูจิตให้เห็นแจ้งก็แล้วกัน ในปัจจุบันขณะทุกขณะที่ดูทัน
    ศิษย์ :ครับ ขอบพระคุณครับ ผมเข้าใจจนแจ่มแจ้งจนหมดสงสัยแล้วครับ ผมข้องใจมา ๔๐ กว่าปีแล้ว เพิ่งมาเจออาจารย์ที่ให้ความกระจ่างได้จริงๆ วันนี้ ผมเบาและว่างจริงๆ หมดตายหมดเกิดกันที เหลือแต่ธรรมชาติกายกับใจเปล่าๆ ที่ทำไปตามธรรมชาติเท่านั้น ผมขอกราบขอบพระคุณอาจารย์จากใจจริง ผมขอลาก่อน สวัสดีครับ
    อาจารย์ :สาธุ...
    -----------------
    ปัญหาที่ ๑๗
    ศิษย์ :สวัสดีค่ะอาจารย์ ดิฉันโทรศัพท์ทางไกลมาจากกรุงเทพฯ ค่ะ
    อาจารย์ :สวัสดี มีปัญหาอะไรหรือ?
    ศิษย์ :คืออย่างนี้ค่ะ มันอดห่วงลูกไม่ได้ ทำอย่างไรจึงจะไม่ห่วงคะ?
    อาจารย์ :ถ้าเธอห่วงก็ได้ห่วงใช่ไหม? จะได้อะไร? ถ้าเธอไม่ได้แต่งงานจะมีลูกไหม? ลูกมีมาตั้งแต่ต้นหรือ?
    เมื่อมีเธอ มีสามี มีเหตุในเธอและสามี จึงทำให้มีลูกขึ้นมา ลูกเป็นสิ่งที่เกิดจากเหตุในเธอส่วนหนึ่ง สามีส่วนหนึ่ง จะเป็นของเธอจริงๆ ได้อย่างไร? เธอมีจริงไหม สามีเธอมีจริงไหม? ถ้าไม่จริง ลูกจะมีจริงได้อย่างไร?
    ดูให้ดีซิ ขณะนี้เธอก็ไม่มี ลูกก็ไม่มี ของที่ไม่มีจริงๆ ถ้าเกิดห่วงขึ้นมาก็ได้ห่วงที่ไม่จริง ห่วงเปล่าๆ ได้เปล่าๆ เหนื่อยเปล่าๆ ถ้าเธอคิดว่ามีลูกจริง เลยห่วงลูกจนเป็นทุกข์ ก็ได้ทุกข์จริงไงล่ะ
    ศิษย์ :ค่ะๆ เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นกายเรา กายสามี กายลูก กายไหนๆก็ตาม มันเป็นของโลกเขา ต้องคืนให้โลกไปก็จะหมดปัญหาใช่ไหมคะ?
    อาจารย์ :ใช่แล้ว เหลือแต่มัน ไม่มีเรา ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา และเป็นของโลกเขา
    ศิษย์ :เข้าใจแล้วค่ะ ขอกราบอาจารย์ด้วยความเคารพ
    อาจารย์ :สวัสดี
    ------------------
    <!-- End main-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 20 สิงหาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:55:58 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : Pageviews. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top align=right>[​IMG] <!--BEGIN WEB STAT CODE--><IFRAME height=17 marginHeight=0 src="http://www.bloggang.com/truehitsstat.php?pagename=jesdath" frameBorder=0 width=14 allowTransparency marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME><!-- END WEBSTAT CODE --></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 width="99%" align=center height="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%">
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:58:03 น.-->หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค14--หลวงพ่อแช่ม-10

    <!-- Main -->ปัญหาที่ ๑๘
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์ ผมมีคำถามอีกแล้วเที่ยวนี้
    อาจารย์ :สวัสดี ว่ามาเลย
    ศิษย์ :ผมนำคำสอนของอาจารย์ไปพิจารณาจนละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็เห็นว่ามีไม่มาก แต่ทำไมจึงปฏิบัติไม่ได้กันละครับ?
    อาจารย์ :ก็นั่นน่ะซี คงจะเอาจริงมากไป หรือไม่น้อยไปไม่พอดี
    ศิษย์ :ผมคงคิดมากไปเองก็ได้
    อาจารย์ :แล้วความคิดเป็นของใครกัน?
    ศิษย์ :ของมันครับ
    อาจารย์ :แล้วมันมีจริงไหม?
    ศิษย์ :ไม่จริง
    อาจารย์ :ไม่จริงแล้วคิดมากได้อะไร คิดไปทำไม?
    ศิษย์ :อ๋อ... คิดก็ไม่จริง ได้ก็ไม่จริง แต่มันคิดของมัน ต้องปล่อยมันใช่ไหม?
    อาจารย์ :ใช่แล้ว เธอฟังอาจารย์ต่อนะ เมื่อก่อนนี้มีเราอยู่กับกาย พอรู้ว่าเราไม่มีในกาย ก็เหลือแต่กาย แต่ใจยังยึดกายว่ากายมีอยู่ แม้กายไม่ใช่เรา เราแยกกันกับกาย แต่ใครล่ะที่รู้ว่ากายยังมี
    เดิมกายไม่มีนะ ถ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ กายยังไม่เกิด กายก็ยังไม่มี พอพ่อกับแม่ให้สิ่งที่เป็นลูกออกมาก็มีกายลูก แต่มีไม่จริงใช่ไหม? มีก็เหมือนไม่มี เมื่อกายไม่มี (มีไม่จริง) สิ่งมี่รู้ว่ากายมีคือจิต จะมีจริงหรือ ใช่เราหรือ? อยู่ได้ในกายจริงหรือ?
    ศิษย์ :จิตอยู่ไม่ได้ครับอาจารย์
    อาจารย์ :เมื่อจิตอยู่ไม่ได้ ไม่มีที่ตั้งให้จิต แล้วที่นึกที่คิดมันจะมาจากที่ไหนล่ะ?
    ศิษย์ :จริงของอาจารย์ กายมีไม่จริง จิตก็มีไม่จริง ความคิดก็มีไม่จริงไปด้วย
    อาจารย์ :เพราะฉะนั้นเมื่อกายกับใจไปอยู่ในที่ใด ก็ให้ใจรู้ว่ากายและใจก็เป็นสิ่งนั้นด้วย อยู่กับภูเขาก็เป็นภูเขา อยู่กับต้นไม้ก็เป็นเสมือนต้นไม้ อยู่กับคน กับน้ำ กับลม หรือทุกๆ สิ่ง ก็ค่อยๆ กลืนกันไปให้เป็นสิ่งนั้น โดยไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา และอนุสัยของความเป็นคน จึงจะเป็นพระอริยะชั้นสูง โดยเหลือแต่ธรรมชาติทุกๆส่วนของกายและใจ เพราะกายและใจคือธรรมชาตินั่นเอง
    ศิษย์ :ผมเข้าใจแล้วครับ แต่จะต้องไปดูให้เห็นจากใจอีกครั้ง ผมกราบลาก่อนละครับ
    อาจารย์ :สวัสดี
    ------------------
    ปัญหาที่ ๑๙
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์ ผมได้ฟังนักปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งพูดว่า การปฏิบัติธรรมไม่ต้องทำอะไร เพียงทำความเข้าใจในข้อเท็จจริง แล้วไม่ต้องเอาใครออกใครเข้า เพราะทำแล้วไม่ได้อะไร ไม่ทำก็ไม่ได้อะไร
    แต่ของอาจารย์สอนให้เอาคนออก กิเลสก็จะออกไปด้วย ถ้ายังมีคนติดอยู่ที่กายใจ จะยังมีกิเลสแน่นอน เพราะฉะนั้นต้องทำต้องดู ต้องต่อสู้กับกิเลส ต้องรู้ที่มาของทุกๆ สิ่ง จนกิเลสหมดจากใจ แล้วจึงจะบอกว่า ไม่ต้องทำอะไรได้แต่ดูมัน จะดูมันก็ได้ไม่ดูก็ได้เพราะรู้หมดแล้ว ถ้าใครไปหลงเชื่ออย่างที่ท่านผู้นั้นพูดและสอนเช่นนั้นจะมิติดกันแย่หรือ? และการปฏิบัติคงเป็นไปได้ช้านะครับ
    อาจารย์ :เธอฟังให้ดีนะ เมื่อเด็กวิ่งมาขอเงินพ่อแม่ แต่พ่อแม่ไม่ให้ เด็กก็ต้องออกไป พอเด็กไปเห็นเพื่อนกินขนมกันก็อยากจะกินบ้าง แต่แกไม่มีเงิน จะไปเอาที่ไหนก็ไม่ได้ ก็ต้องวิ่งมาขอพ่อแม่อีก เพราะเคยขอได้เป็นประจำ ต้องมากวนใจพ่อแม่อยู่นั่นแหละ
    ถ้าพ่อแม่วางมาตรการเด็ดขาดกับแก คือไม่ให้หรือตีให้เข็ดแต่สอนเขาก่อน เด็กก็จะไม่มาขออีก อุปมาดังการตัด สัญญา เวทนา จากความเป็นคนให้เด็ดขาด ถ้ามีสัญญา เวทนาส่งมาให้คิดอยู่เรื่อย คือมีเหตุรบเร้าอยู่เป็นประจำแบบเด็กขอเงินพ่อแม่ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดปรุงแต่งไปตามเหตุ เพราะฉะนั้นต้องตัดขาดจากเหตุ ตัดที่เหตุให้ขาดสะบั้นลง จึงจะหมดธุระ ความคิดจึงมากวนใจอีกไม่ได้ เข้าใจไหม?
    ศิษย์ :ครับอาจารย์ ขอบคุณครับ ขอกราบลาก่อน
    อาจารย์ :สวัสดี
    -----------------
    ปัญหาที่ ๒๐
    ศิษย์ :สวัสดีค่ะอาจารย์ หนูมีปัญหามาเล่าให้อาจารย์ฟัง คือหนูเรียนธรรมรู้ธรรมขึ้นมา วันหนึ่งหนูกลับไปเยี่ยมบ้านได้สอนธรรมให้แม่ แต่แม่เกิดน้อยใจร้องไห้หาว่าหนูเป็นลูก ไม่น่าจะมาสอนท่าน หนูก็เลยหยุดสอนและเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา เพราะเข้าใจว่าทำให้แม่น้ำตาไหล จะต้องมีบาปและตกนรกตามโบราณเขาว่า หนูคงจะตกนรกแย่เสียละมังอาจารย์?
    อาจารย์ :เธอฟังอาจารย์นะ ที่คนโบราณเขาว่าไว้นั้น เขามีจุดมุ่งหมายไม่ให้ลูกๆ กระทำสิ่งเหลวไหลต่างหาก มันเป็นแต่สัญญาเท่านั้น
    ทำดีก็มีสัญญาว่าดีตั้งไว้ ทำชั่วก็มีสัญญาว่าชั่วตั้งไว้ ที่เธอไปสอนธรรมให้แม่นั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่แม่เขาไม่เข้าใจ และเข้าใจผิดต่างหาก เป็นเรื่องของแม่ ส่วนเธอยังไม่เก่งพอที่จะพูดให้แม่เข้าใจ ให้แม่หายข้องใจ จึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถ้าเธอไม่ไปสอนแม่ แม่จะร้องไห้ไหม
    ศิษย์ :ไม่ร้องค่ะ
    อาจารย์ :แล้วตอนนี้แม่หยุดร้องไห้หรือยัง?
    ศิษย์ :หยุดแล้วค่ะ
    อาจารย์ :เห็นไหมว่าเรื่องไม่จริงทั้งหมด เธอและแม่ต่างก็ถูกปรุงและปั้นขึ้น การสอนธรรมก็ไม่จริง ร้องไห้ก็ไม่จริง หยุดร้องไห้ก็ไม่จริง เป็นทุกข์ก็ไม่จริง แต่เธอยึดว่าเป็นจริง จึงรู้สึกเป็นทุกข์จริงๆ เธอรู้ไม่ทันเหตุที่เธอสร้างขึ้น (ว่าไม่จริง) เลยยึดว่าจริงทั้งหมด ตลอดจนกลัวตกนรก เห็นไหมว่ารูปเรื่องทั้งหมดมาจากความไม่มี แล้วปั้นให้มีขึ้นมา มันจะจริงได้อย่างไร?
    ศิษย์ :หนูเข้าใจแล้วค่ะอาจารย์ หนูหมดทุกข์ไปเลย ขอบพระคุณมากค่ะ หนูรู้ไม่ทันจริงๆ ว่าเราสร้างเรื่องขึ้นแล้วเราก็ทุกข์เอง เพราะยึดว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ทั้งๆ ที่มันก็สร้างของมันและทุกข์ของมัน ตอนนี้หนูเข้าใจทั้งหมดแล้ว
    อาจารย์ :ก็ดีแล้ว ต่อไปคงจะไม่แบกทุกข์มาฝากอาจารย์ให้ช่วยแก้ไขอีกนะ ต้องดูเองมากๆ และหาเหตุให้เจอ แล้วตัดที่เหตุทันที
    ศิษย์ :หนูกราบลาค่ะ
    อาจารย์ :สวัสดี
    ----------------
    ปัญหาที่ ๒๑
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์
    อาจารย์ :สวัสดี
    ศิษย์ :วันนี้ผมโชคดี เผอิญมาฟังเรื่องที่อาจารย์สอนศิษย์ ซึ่งเป็นครูผู้หญิงไปสอนธรรมให้แม่เขา แล้วเกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา และยังจำคำที่อาจารย์พูดว่า “สิ่งไม่มีสร้างให้มีขึ้นมา แล้วยึดในสิ่งที่สร้างได้ไม่จริง เลยเป็นทุกข์เปล่าๆ’’ ผมขอคำอธิบายอีกครั้งเถอะครับ
    อาจารย์ :เธอฟังนะ เดิมเมื่อเธอยังไม่ได้เกิดมา อยู่ในท้องแม่ยังไม่มีอายตนะเลย หู ตา จมูก ลิ้น กาย ยังไม่ปรากฏ จะมี เวทนา สัญญา สังขารไหม?
    ศิษย์ :ยังไม่มีครับ
    อาจารย์ :แต่พอครบองค์ของส่วนผสมต่างๆ ของธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ วิญญาณและครบกำหนดคลอดออกมา ก็จะมีทุกสิ่ง แต่ที่มีนั้นจะมีจริงได้อย่างไร? ในเมื่อมันเป็นของที่ค่อยๆ ถูกปั้นโดยอาศัยเหตุปัจจัยที่เป็นธาตุและเปลี่ยนมาเรื่อยๆ
    ศิษย์ :ผมเข้าใจแล้วครับ เมื่อสิ่งที่มีมามีไม่จริง ความรู้สึกจดจำนึกคิด (เวทนา สัญญา สังขาร) ก็มีไม่จริงด้วยใช่ไหมครับ? ถ้าอย่างนั้นกามราคะ พอใจ-ไม่พอใจในรสของกาม มันก็คงจะไม่จริงอีก
    อาจารย์ :ใช่ มีแต่อาการปรุงและรู้สึกไปเปล่าๆ ไม่ได้อะไรจริง เกิดขึ้นแล้วก็หายไปทั้งหมด ไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นมัน-ของมันตามเวทนา สัญญา สังขาร เท่านั้น
    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็มีไม่จริคนมีไม่จริง ทุกๆสิ่งจึงเป็นเพียงแต่สิ่งที่ถูกปั้นขึ้น แล้วก็ดับไปทุกครั้ง เลยยึดรสอร่อยของกามไว้ไม่ได้ พอถึงเวลาของมัน มันจะปรุงให้เกิดใหม่ด้วยอำนาจของธรรมชาติเดิมเท่านั้น แต่เราไม่รู้ทันมัน ยึดว่ามันเป็นเรา มีเราอร่อยในรสของสิ่งที่มีไม่จริง รวมเก็บไว้ในวิญญาณ เป็นอดีตสัญญา ซึ่งจะแสดงตัวขึ้นใหม่ เมื่อมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งใหม่ เข้าใจไหม?
    ศิษย์ :เข้าใจครับ มันเป็นแต่ธาตุเท่านั้นใช่ไหมครับ?
    อาจารย์ :ใช่แล้ว ธาตุต่อธาตุก็เปลี่ยนแปลงไม่หยุด ได้แต่ดูและรู้ในความเป็นไปของธาตุเท่านั้น มันไม่ใช่เราทั้งหมด ก็ไม่มีดูดไม่มีผลักไปกับมัน ก็จบกัน
    ศิษย์ :ครับ วันนี้ผมได้ความรู้ความเข้าใจมาก โดยยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะได้รับ แต่มีเหตุให้มารู้มาเข้าใจขึ้นได้ ก็ดีเหมือนกัน อาจารย์จะได้ไม่ต้องเหนื่อย ๒ ต่อ ผมขอขอบพระคุณมากครับและขอลาก่อน
    อาจารย์ :สวัสดี
    ----------------
    ปัญหาที่ ๒๒
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์ ผมมีปัญหามาอีกแล้ว
    อาจารย์ :สวัสดี ไหนปัญหาว่าอย่างไร?
    ศิษย์ :ผมไปลองปฏิบัติตามตำราที่เขียนไว้แล้วไม่ได้ผล คือการปฏิบัติในอิริยาบถสี่ - ยืน เดิน นั่ง นอน อย่างสม่ำเสมอ อย่างละ ๒ ชั่วโมง โอ้โฮ! ไม่ไหวเลยครับ อิริยาบถยืนยิ่งแย่มาก มันทนไม่ได้เลย ผมจึงหยุดและมาถามอาจารย์
    อาจารย์ :ใครบอกให้เธอทำอย่างนั้น เธอตีความไม่ถูกเอง เลยจับฉวยผิดๆ เอาไปทำเสียเหนื่อย ฟังให้ดี เขาให้ทำที่จิตอย่างสม่ำเสมอ ในทุกอิริยาบถ คือให้จิตปกติ ไม่ขึ้นไม่ลงไปกับอิริยาบถนั้นๆ จิตตั้งมั่น ปกติเฉยอยู่ รู้อยู่ ไม่กวัด ไม่แกว่ง ไม่เบื่อไม่เซ็ง เข้าใจไหม? ไม่ใช่ให้ทำวันละ ครั้งละ เท่าๆ กันในอิริยาบถต่างๆ
    ศิษย์ :อ๋อ... อย่างนี้เอง ผมมัวไปเข้าใจผิดและทำเสียเหนื่อยเลย ศิษย์ที่ห่างอาจารย์ก็คงจะเป็นอย่างนี้กันนะครับ แล้วไปคุยว่ารู้หมดแล้ว เข้าใจหมดแล้ว ขอบพระคุณครับ ผมกราบลาก่อน
    อาจารย์ :สวัสดี
    ---------------
    ปัญหาที่ ๒๓
    ศิษย์ :สวัสดีค่ะอาจารย์ ดิฉันโทรศัพท์มาจากกรุงเทพฯ ค่ะ ดิฉันไม่เคยพบอาจารย์มาก่อน แต่ได้ยินกิตติศัพท์จึงโทรศัพท์มา
    อาจารย์ :มีปัญหาอะไรหรือ?
    ศิษย์ :ดิฉันขอให้อาจารย์ช่วยตอบคำถามเป็นตอนๆ ไปเลยนะคะ คือ ทำไมดิฉันจึงมีกิเลสมากนักละคะ?
    อาจารย์ :เพราะเธอป็นคนน่ะซี
    ศิษย์ :แล้วทำอย่างไรจึงจะให้กิเลสหมดไปได้ละคะ?
    อาจารย์ :ก็ต้องรู้ลงไปว่าเธอไม่มี คนไม่มีซี จนหมดคนนั่นแหละ กิเลสก็จะหมดไปด้วย
    ศิษย์ :รู้อย่างไร ทำอย่างไรคะ?
    อาจารย์ :เธอจงดูที่กายของเธอซี ว่ามันเป็นคนจริงๆหรือ? เขาสมมุติชื่อให้ใช่ไหม? เขาตั้งให้เป็นคนขึ้นมา จึงมีคนเกิดขึ้น
    ศิษย์ :อ๋อ... เขาตั้งและสมมุติให้เป็นคน มีชื่อนั้นชื่อนี้ ถ้ารู้ว่ากายไม่ใช่คนไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา แต่ความรู้สึกนึกคิดมันยังเข้าใจว่าเรายังมีกิเลสอยู่อีกนี่อาจารย์ จะทำอย่างไร?
    อาจารย์ :ที่รู้ว่ามีกิเลสนั้น เพราะใจรู้จาก เวทนา สัญญา สังขาร ที่ทำงานกันอยู่ในกายส่งมาให้วิญญาณและเกิดความยึดมาแต่ต้น จึงรู้สึกได้อย่างนั้น และยึดว่าเป็นใจของเราเสียด้วย จิตหรือใจจริงๆไม่มีกิเลสเลย เป็นเพราะ เวทนา สัญญา สังขารปรุงกันจึงเป็นกิเลสไงล่ะ
    ศิษย์ :อ๋อ... เข้าใจแล้วค่ะอาจารย์ ดิฉันจับตัวการได้แล้ว! เราเป็นเพียงสัญญาสมมุติ เจ้าสัญญาตัวนี้จริงๆ อะไรๆก็ต้องใช้สัญญาทั้งนั้น จึงจะรู้ความหมายกัน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา! ไม่ใช่คน คนมีไม่จริง กิเลสก็มีไม่จริง!
    อาจารย์ :ใช่แล้ว เธอรู้แล้ว สาธุ...
    ศิษย์ :ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง วันหน้าจะมากราบลาด้วยตนเองค่ะ สวัสดีค่ะ
    อาจารย์ :สวัสดี
    ปัญหาที่ ๒๔
    ศิษย์นอกสำนัก :สวัสดีครับท่าน
    อาจารย์ :สวัสดี
    ศิษย์นอกฯ :ผมสงสัยว่าลูกศิษย์ในสำนักของท่านอยู่กันอย่างไร ท่านควบคุมเขาอย่างไรให้อยู่ในกรอบได้?
    อาจารย์ :เธอน่าจะถามปัญหาของเธอมากกว่านะ
    ศิษย์นอกฯ :ผมยังไม่เรียบร้อยในธรรม จึงอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ เกรงว่าลูกศิษย์ของท่านจะใช้สมมุติไม่ถูกต้อง ไปเล่นสมมุติผิดกติกาเข้า
    อาจารย์ :ความจริงอาจารย์ไม่ได้วางกฏเกณฑ์อะไรไว้ แต่ก็เหมือนกับมีกฎอยู่ในตัว เธอจะจำไปพิจารณาดูก็ได้
    ผู้ที่เรียนธรรมจนรู้แล้ว ไม่ว่าระดับไหน ไม่ควรเอาธรรมไปคุยโอ้อวดกับผู้ที่เขารู้น้อยกว่า หรือไม่สนใจ
    ผู้ที่เห็นธรรมแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปวิจารณ์สำนักอื่นหรือเอาธรรมไปเทียบเคียงกับผู้อื่น
    ผู้แจ้งธรรมแล้ว ไม่ควรโต้ตอบผู้อื่น เมื่อถูกตำหนิหรือถูกเข้าใจผิด หรือสำนักอื่นไม่เป็นด้วยกับธรรมะของตน
    ผู้หลุดพ้นแล้ว ก็จะรู้เองว่าควรไม่ควรจะโปรดใครอย่างไร จะอยู่อย่างไร เพราะจิตที่หมดภาระใดๆ แล้ว ก็ได้แต่รับรู้ของผู้อื่นเท่านั้น
    อาจารย์ก็ได้แต่สอนอย่างนี้ แต่ไม่ได้ตั้งเป็นกฎระเบียบไว้ เมื่อเธอต้องการรู้ อาจารย์ก็บอกให้
    ศิษย์นอกฯ :ขอบคุณมากครับท่าน เพราะแต่ละสำนักเขาก็มีกฎข้อบังคับเฉพาะสำนัก หมดปัญหาของผมแล้วครับ สวัสดี
    อาจารย์ :สวัสดี
    --------------
    ปัญหาที่ ๒๕
    ศิษย์ :สวัสดีค่ะอาจารย์ นานๆหนูจะได้คุยกับอาจารย์สักครั้ง
    อาจารย์ :สวัสดี เธอมีปัญหาอะไร ลองเล่ามาซิ
    ศิษย์ :คืออย่างนี้ค่ะ ภายหลังจากที่หนูไปงานศพคุณยายที่กรุงเทพฯ หนูนอนค้างที่บ้านคุณยายแล้วนอนไม่หลับ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด? ตอนกลางวันไปดูการเก็บกระดูกมา ตอนเผาก็จำได้ติดตา จะเป็นเพราะกลัวผีคุณยายหรือเปล่าคะ เพราะหนูเคยนอนกับคุณยาย และบัดนี้ก็มานอนที่ๆ เคยนอนเสียด้วย ได้พิจารณาดูเองเหมือนกันว่าไม่มีอะไร แต่ก็นอนไม่หลับ อาจารย์ช่วยบอกหนูหน่อยว่าเป็นเพราะเหตุใด?
    อาจารย์ :เธอฟังให้ดีนะ สัญญาเก็บจำจากซากของยายตั้งแต่กลางวันมาบันทึกอยู่ในจิตลึกๆ ลึกมาก เลยแสดงตัวออกมาเมื่อถึงเวลาโดยเธอเองไม่รู้ตัว แต่บอกว่าไม่กลัว บอกว่าไม่เป็นอะไร เธอปลอบใจไว้ เพราะบอกให้ใครฟังไม่ได้ ทั้งๆที่จิตมันปั้นเอาและรู้สึกกลัว ก็มันนึกคิดเอาเองทั้งนั้นแหละ จะเป็นเธอได้อย่างไร
    ศิษย์ :แล้วความคิดมันมาจากไหนล่ะ อาจารย์?
    อาจารย์ :เมื่อมีกาย ความคิดนึกจึงมี โดยกายกับใจทำงานขึ้นมา คือต้องกระทบกันก่อนระหว่างอารมณ์กับใจ แล้วจิตจึงเกิดความนึกคิดถึงสัญญาในอดีตและนำมาต่อเป็นรูปเรื่องขึ้น เกิดเป็นเวทนา ตัณหา ฯ แล้วก็ดับไป เป็นอยู่อย่างนี้เป็นประจำ
    ศิษย์ :อ้อ... หนูรู้แล้ว เมื่อก่อนได้แต่ดูมันเฉยๆ แล้วก็ดับไป ไม่รู้ว่ามันเกิดได้อย่างไร ดับไปเพราะอะไร
    อาจารย์ :ใช่ ทุกสิ่งต้องมีเหตุจึงจะเกิดขึ้นมาได้ แล้วมันก็ดับของมัน เมื่อมีเหตุเก็บจำไว้ก็นึกคิดขึ้นใหม่ได้ ต้องดูแล้วตามฆ่ามันให้หมด ถ้าฆ่าที่เหตุได้ยิ่งดี จะได้ไม่คิดและเลิกคิดเรื่องเก่าที่ไม่ควรคิด
    เรื่องทุกเรื่องมันสร้างของมันโดยนึกคิดปั้นกันเอาเองตามสัญญาเดิม แล้วมันก็ยึดว่าเป็นจริงตามสัญญา ไม่รู้ว่าสัญญาเป็นมัน ไม่ใช่เรา เมื่อเป็นสัญญาเฉยๆ ไม่มีเราในสัญญาเฉยๆ นั้น มันก็ดับไปเปล่าๆ
    สัญญาไม่ใช่ของเรา ไม่มีเราในสัญญา ปล่อยมันเสีย ให้เป็นสักแต่ว่าสัญญาก็จบเรื่อง เข้าใจไหม?
    ศิษย์ :เข้าใจค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
    อาจารย์ :สวัสดี
    -----------------
    ปัญหาที่ ๒๖
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์
    อาจารย์ :สวัสดี วันนี้มีอะไรสงสัยไหม?
    ศิษย์ :มีครับ โปรดฟังดูว่าผิดถูกอย่างไร และช่วยชี้แนะผมด้วยครับ
    คืออย่างนี้ครับ เรื่องกามทางกายนั้นมันเฉยได้แล้ว แต่ใจซิยังไม่หมด ยังโหยไห้อาลัยหาอยู่ ยังต้องการทางใจ เมื่อกายเฉยใจมันก็หมดท่าไปเหมือนกัน พอปฏิบัติเร่งมากเข้า ดูที่ใจซึ่งปั้นเอาๆ เสมอๆ มันก็ไม่เอาจริง และไม่ได้อะไร ใจชักยอมถอยลง พอดูต่อไปมากเข้าๆ ทุกวัน เพียง ๗ วันเท่านั้น ใจมันก็ขาดจากกาม กามไม่ขึ้นมากวนใจอีกเลย
    เมื่อรู้ว่ากามขาดไปจากใจแล้วก็เปลี่ยนเป็นปีติฟูขึ้นมาแต่ไม่มาก มันรู้อยู่เสมอว่าประเดี๋ยวก็จะหายไปเอง แต่รู้สึกว่าในปากมีรสเค็มตามไรฟัน เค็มหมดทั้งปากเป็นอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง จึงเข้าที่ปกติทุกอย่าง
    จากนั้นก็ดูอยู่เสมอและเห็นว่ายังปกติอยู่ ต่อไปผมหันไปตรวจดูกามคุณอย่างอื่น เช่นเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้ทุกๆ อย่าง ซึ่งตัดขาดมาก่อนแล้วก็เห็นว่าเงียบดี ไม่มีความอยากอะไรเลย แต่ผมสงสัยอยู่นิดเดียว ทำไมกายจึงเงียบไปก่อนใจละครับอาจารย์
    อาจารย์ :ฟังให้ดีนะ พอเธอจะฆ่ากาม ใจฝ่ายสัญญามันทำงานแล้ว มันเลยเข้าไปกดกายไว้จนกายเงียบไป แล้วเธอก็ดีใจว่าไม่แสดงอาการ เลยบุกให้ใจขาดจากกามทางใจ ใจที่มีเยื่อใยในกามมันทนสัญญาฝ่ายปัญญาไม่ไหว ถูกทะลุทะลวงทุกวี่ทุกวันเลยเกิดผลตามที่เธอตั้งใจไว้ ถูกทั้งหมดที่ทำมา ดีมาก แต่อย่าประมาทนะ กิเลสมันไม่ยอมใครง่ายๆหรอก ไม่มาทางนี้แต่โผล่ไปทางโน้นได้ มีตั้ง ๕-๖ ทางด้วยกัน เจ้าของเผลอเมื่อไหร่เป็นถูกพวกมันขี่คอแน่ ดีแล้วบุกต่อไปเถอะ อาจารย์เอาใจช่วย มันสู้ลูกพุทธะไม่ได้หรอก
    ศิษย์ :ครับ ขอบพระคุณครับอาจารย์ ผมกราบลาก่อน
    อาจารย์ :สวัสดี
    ปัญหาที่ ๒๗
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์
    อาจารย์ :สวัสดี มีอะไรวันนี้?
    ศิษย์ :อาจารย์ครับ คนที่รู้เห็นแจ้งออกจากกามคุณห้า หรือกามราคะได้แล้วนี้ มันไม่เหมือนกับผู้ที่ออกโดยกดเอานะครับ
    ยกตัวอย่างนักบวชหรือคฤหัสถ์ก็ตาม ถ้าไปทำแบบกดเอา จะออกได้เพียงกายเท่านั้น ส่วนใจยังไม่ออก ยังอาลัยอาวรณ์กามทั้งนั้น แต่ต้องจำยอมอยู่ในกฎข้อบังคับของรูปแบบ แม้คฤหัสถ์ก็หวังจะได้ชื่อว่าหมดกาม เพื่อประกาศให้คนทั้งหลายรู้ว่าฉันก็เป็นหนึ่งออกจากกามได้ แท้ที่จริงใจยังปั่นป่วนรัญจวนอยู่ แต่พูดบอกใครไม่ได้ ต้องเก็บกดไว้ หลอกใจตนไว้ แบบตกบันไดพลอยโจนนั่นเอง
    ผมเพิ่งรู้เพิ่งเห็นจากกายและใจว่าจิตที่หมดจากกามจริงๆ กับไปทำให้หมดโดยกดเอามันคนละเรื่อง คนละแบบ เห็นได้ชัดว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน พอมันพ้นได้จริง มันบอกเองว่าสดใสเบิกบานใจเพียงไร ไม่ต้องไประมัดระวัง หรือประคองมันไม่ให้ออกนอกลู่ มันจะเห็นสักแต่ว่า ดูผู้หญิงสวยก็รู้สึกเหมือนดูตุ๊กตา อย่างไรก็อย่างนั้น มันได้แต่รู้ได้แต่เห็นเฉยๆไม่ปรุงอะไรเหมือนเมื่อก่อน เด็ดขาดไปเลยครับอาจารย์
    อาจารย์ :ทำไมเป็นเช่นนั้นล่ะเธอ?
    ศิษย์ :ผมยังไม่ชำนาญครับ ขอให้อาจารย์ช่วยอธิบายดีกว่า
    อาจารย์ :ฟังให้ดีนะ เพราะเธอมีปัญญาญาณเข้าไปแทงทะลุสัญญาใจ จนมันยอมและเปลี่ยนเป็นสักแต่ว่าสัญญารู้แล้วดับ ไม่ปรุงต่อเป็นรสอร่อย พออกพอใจอารมณ์นั้นๆ ก็เลยไม่รู้สึกแบบเก่าๆ ไงล่ะ เลยได้สัญญาเฉยๆ กามจึงไม่เกิดเธอจึงชื่นใจ และคุยได้ว่าฉันออกจากกามได้เก่งกว่าคนอื่น กามไม่ขึ้นมาเลย ถ้าผู้อื่นเขาทำได้อย่างเธอ เธอก็จะรู้ว่าเป็นธรรมดาไป
    มันมีน้อยคนนักที่จะทำได้จนข้ามพ้นจากกามราคะ ดูอย่างเธอสิ พอรู้ว่าทำได้ จิตพ้นกาม ยังมีอาการฟูขึ้นคือดีใจทั้งๆ ที่เป็นเรื่องไม่จริง มีกามก็ไม่จริง เพียงไม่ต้องรับกรรมในเรื่องของกามเท่านั้น ไม่วิเศษวิโสอะไรเลย เธอยังมีเรื่องต้องดูต่อไปให้หมดโกรธอีกชั้นหนึ่ง เหลือแต่รู้ของรู้เท่านั้นจึงจะอยู่เป็นสุขกว่านี้ เข้าใจไหม?
    ศิษย์ :เข้าใจครับ ขอบพระคุณอาจารย์มาก ผมกราบลาก่อน
    อาจารย์ :สวัสดี
    <!-- End main-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 20 สิงหาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 4:58:03 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336589390232 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D20-08-2011%26group%3D1%26gblog%3D226&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336589390232&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=33374204&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336589390232 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>

    </TD><TD>Add to [​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- <table width=100% border=0 cellspacing=0> <tr> <td>Counter : <script src='http://fastwebcounter.com/secure.php?s= bloggang3030443 '></script> Pageviews. </td> </tr> </table> --></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><FORM method=post name=reply action=http://www.bloggang.com/reply.php?id=secret-world><INPUT name=code value=u7dba50=9kiw?74h?0j-dyibfa03_?|=93pqv3_k_fb3o1cffm81nw2yx5t3kl type=hidden>
    </FORM></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    [​IMG] <!--BEGIN WEB STAT CODE--><IFRAME height=17 marginHeight=0 src="http://www.bloggang.com/truehitsstat.php?pagename=jesdath" frameBorder=0 width=14 allowTransparency marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME><!-- END WEBSTAT CODE --><TABLE border=0 width="99%" align=center height="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%">
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 20 สิงหาคม 2554 5:01:22 น.-->หลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค15 --หลวงพ่อแช่ม-10(ตอนจบ)

    <!-- Main -->ปัญหาที่ ๒๘
    ศิษย์ :สวัสดีครับอาจารย์ ผมโทรศัพท์มาจากแก่งคอย
    อาจารย์ :สวัสดี มีปัญหาอะไรหรือ?
    ศิษย์ :อาจารย์ครับ ผมเห็นว่ามันเป็นมันหมดแล้ว ต่อไปจะทำอย่างไรกับมันครับ
    อาจารย์ :ที่เห็นว่ามันเป็นมันน่ะ ใช่เธอหรือมัน?
    ศิษย์ :อ้อ! เราไม่มี ก็เป็นมันอีกใช่ไหม?
    อาจารย์ :แล้วเธอว่าใครล่ะ?
    ศิษย์ :อ้อ! ตกลงมันดูมัน มันเห็นมัน ถ้าอย่างนั้นมันก็ปั้นกันเองใช่ไหมครับ?
    อาจารย์ :ใช่ ทำไมไม่ฆ่ามันที่ดูที่เห็นเสียด้วยล่ะ มันที่ดูที่เห็นก็มีไม่จริง และสิ่งที่ถูกดูก็ไม่มีจริง ก็เลิกเฝ้าเลิกดูเสียซี
    ศิษย์ :อ๋อ... ผมเข้าใจแล้วครับ มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นมันก็ไม่จริง สิ่งที่ไม่มีปั้นให้มีขึ้นมา แล้วมายึดกันเอง น่าขันจริง! ผมกราบลาและขอบพระคุณมากครับ
    อาจารย์ :สวัสดี
    ----------------
    ปัญหาที่ ๒๙
    อาจารย์ :สวัสดี ไหนเธอลองรายงานอาจารย์ซิว่า ไปทำอะไรมาบ้าง ดูจิตดูใจอย่างไร?
    ศิษย์ :คืออย่างนี้ครับ ผมไปติดดีอยู่นานทีเดียว ชอบไปสอนคนอื่นเขา เพราะสงสารสัตว์โลกที่ยังยึดยังติดอยู่ แต่แล้วในวันหนึ่งก็ต้องสะดุ้ง รู้สึกตัวขึ้นมาว่า “โอ้... เรานี่ไปหลงติดดีมากเกินไป มีเมตตาแบบคนๆ มากเกินไป คนที่ฟังเรารู้เรื่องเขาก็ชอบ คนที่ฟังไม่รู้เรื่องก็หาว่าเราบ้า”
    เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว ก็รู้ว่ามันทั้งนั้น ไม่ใช่เราหรือใครๆ สอนเขาได้ก็เท่านั้น สอนไม่ได้ก็เท่านั้น ถ้ายังมีเราจะไปสอนเขาให้รู้ตามเราให้ได้ มันก็ไม่ถูก เลยคิดได้ และพิจารณาจนเกิดปัญญารู้เห็นตามที่อาจารย์สอน และโล่งไปว่ามันไม่มีอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น จะสอนก็ไปสอนโดยไม่มีเรา เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่เกี่ยวกับการสอน ใครไม่รู้ก็เอาไว้ก่อน เลยเลือกสอนเป็นขึ้นมา เมื่อเข้าใจหมดทุกแง่ทุกมุมแล้ว มันจึงเฉยได้ เหมือนกับไม่รู้อะไร เหมือนไม่ได้เรียนรู้อะไร มันเฉยจริงๆ อาจารย์ ผมยังงงอยู่เลย
    อาจารย์ :ก็ดีแล้ว ถูกต้องตามขั้นตอนแล้ว อาจารย์ก็สาธุให้ เรียกว่าไม่ติดดี ออกจากเมตตาแบบคนๆ ได้ จะเป็นมหาเมตตาต่อไป
    ศิษย์ :ขอบคุณครับอาจารย์ ผมลาก่อน
    อาจารย์ :สวัสดี
    ---------------------
    สุญญัง

    ไม่มีเราในคนพ้นเด็ดขาด
    ไม่มีเราในธาตุขาดสูญหาย
    ไม่มีเราในธรรมย่ำเกิดตาย
    ไม่มีเรามาไปในโลกเลย
    มันเป็นมันจริงจริงทิ้งเราได้
    มันเป็นมันเกิดตายไปเฉยเฉย
    มันเป็นมันไม่มีเราที่กล่าวเลย
    มันเป็นมันตั้งเสียเคยว่าเป็นเรา
    ทั้งมันเราก็เปล่าเปล่าและปลี้ปลี้
    จึงไม่มีสิ่งใดจะให้กล่าว
    หมดทุกสิ่งหมดทุกอันทั้งมันเรา
    จะต้องกล่าวไปไยไปนิพพาน

    กตธุโร

    ดับไม่เหลือ

    เมื่อเหตุหมด หมดเหตุ เทศน์ไม่ได้
    จะเทศน์ไป ก็ได้เทศน์ เหตุไม่เหลือ
    เหมือนเอาเกลือ แช่น้ำ แล้วตามเกลือ
    เกลือไม่เหลือ ให้เห็น เช่นเม็ดทราย
    ตัวนึกคิด ผลิตอยู่ ไม่รู้เหตุ
    หมั่นสังเกต ก็จะเห็น เป็นสายสาย
    เพราะนึกคิด ผลิตแต่เหตุ สังเกตไป
    ตั้งแต่เกิด จนตาย ไม่หยุดเลย

    กตธุโร




    <!-- End main-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 20 สิงหาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 5:01:22 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : 83 Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336589502873 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D20-08-2011%26group%3D1%26gblog%3D227&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336589502873&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=744597189&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336589502873 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>

    </TD><TD>Add to [​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- <table width=100% border=0 cellspacing=0> <tr> <td>Counter : <script src='http://fastwebcounter.com/secure.php?s= bloggang3030444 '></script> Pageviews. </td> </tr> </table> --></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><FORM method=post name=reply action=http://www.bloggang.com/reply.php?id=secret-world><INPUT name=code value=u7dba50=9kiw?74h?0j-dyibfa03_?|=93pqw3_k_fb3o1cffm81nw2yx5t3kl type=hidden>
    </FORM></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    [​IMG] <!--BEGIN WEB STAT CODE--><IFRAME height=17 marginHeight=0 src="http://www.bloggang.com/truehitsstat.php?pagename=jesdath" frameBorder=0 width=14 allowTransparency marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME><!-- END WEBSTAT CODE --><TABLE border=0 width="99%" align=center height="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%">
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2554 16:22:32 น.-->พุ่งตรงสู่จิต ทางลัดสู่ความหลุดพ้น(ทุกข์)-เซ็นสยาม-เอ็พพิโสด2




    <!-- Main -->กระจกสอนธรรม


    วันหนึ่ง ผมนั่งดูตัวเองอยู่หน้ากระจกที่บ้าน นึกถึงอาจารย์สอนธรรมะว่าตัวตนคนสัตว์มันไม่มี ความคิดมันก็ไม่มี ดูมาดูไป คิดไป เงาในกระจกมันก็เป็นของกูนี่หว่า อาจารย์บอกว่ามันไม่มี ไม่มียังไง ก็เห็นๆ อยู่นี่ ก็ตัวกูเงาอยู่แหงๆ เอ...หรือเราเข้าใจผิดไป เห็นผิดไป ไม่ได้...เอายังงี้ดีกว่า ว่าแล้วก็เอากระจกบานเล็กติดรถไปหาอาจารย์ เอาให้มันแน่ๆไปเลย เมื่อถึงบ้านอาจารย์


    “อาจารย์ครับ นี่ๆ มันเป็นเงาของผมจริงๆ เห็นๆ อยู่นี่ จะไม่มีตัวผมยังไง”


    ศิษย์ก็ยกกระจกส่องให้อาจารย์ดู อาจารย์ถือไม้เกาหลังอยู่พอดี ก็ด้วยไม้เกาหลังนั่นแหละ...เปรี้ยง! เพล้ง! แตกกระจายลงสู่พื้น เหลือแต่กรอบกระจกลูกศิษย์ตกใจ ไม่เห็นเงากูในกระจก ก็ร้องโวยวายเสียงหลง


    “อาจารย์ผมหาย ตัวผมหาย เงาก็หาย หายไปแล้วจริงๆ”


    โดดเข้ากอดอาจารย์ด้วยลืมตัว คน-สอนไม่ได้ ต้องกระจกสอน ไชโยแทบตาย


    กระจกสอนธรรมหาตัวกูไม่เจออย่างนี้นี่เอง”



    ปล่อยสัตว์ที่ใจ


    เย็นวันหนึ่ง เด็กในโรงงานทอกระสอบมาพบอาจารย์


    “อาจารย์ขา ศิษย์อาจารย์ที่ทำงานด้วยกัน แนะนำให้มาพบอาจารย์”


    “มีอะไรหรือหนู”


    “หนูไปดูหมอ หมอดูทายว่าหนูมีเคราะห์มาก ต้องแก้เคราะห์เสีย ปล่อยสัตว์ นก ปลา ปลาไหล เต่า จึงจะช่วยได้”


    “แล้วเธอทำตามไหม”


    “ทำแล้วค่ะ”


    “อ้าว ทำแล้วก็แล้วกันสิ”


    “ไม่ใช่ ไม่ใช่เช่นนั้น ก็หนูยังทุกข์อยู่ ใจไม่สบายเลย”


    “แล้วไง”


    “ก็หนูจะให้อาจารย์ช่วยไงล่ะ อาจารย์จะช่วยยังไงล่ะ”


    คงช่วยไม่ได้หรอก”


    “อาจารย์ไม่ช่วยแล้วใครจะช่วยได้ล่ะ”


    “เออซินะ เอายังงี้ ลองไปทำดูเผื่อฟลุ๊ก ทำสัก ๓ วัน ก็พอ กลับไปแล้วทำเลย” ให้ท่องว่า “คนไม่มี สัตว์ไม่มี กูไม่มี” แค่นี้ก็พอ คนไม่มีดูลงไปที่กาย ที่ใจ สัตว์ไม่มี ก็ดูไปด้วย กูไม่มีก็หากูไปด้วย เวลานอนก็ท่องไปจนหลับไปเลย รู้สึกตื่นก็ท่องไปด้วยดูไป แล้วมาหาอาจารย์ใหม่ ถ้ายังทุกข์อยู่ ยังไม่ครบที่อาจารย์สั่ง ให้กลับมาหาอาจารย์”


    ในที่สุด เด็กโรงงานก็กลับมาหาอาจารย์ กราบอาจารย์และว่า


    “ทุกข์มันหายไปทั้งหมดโดยไม่ต้องทำอะไรมันเลย ปล่อยสัตว์ที่ใจของอาจารย์นี่แน่จริงๆ”



    จิตกับวัตถุเป็นสิ่งเดียวกัน


    มีแม่ลูกอ่อนเขาเอาเปลมาฝากไว้ที่บ้านอาจารย์ อาจารย์ก็เอามาสอนธรรมเสียเลย หาก้อนหินที่พอเหมาะอย่างดี แล้วเอามาใส่เปลไว้แทนเด็กอ่อน แกว่งเล่นอยู่ พอดีผู้ฟังธรรมทั้งหลายมาหาอาจารย์เห็นอาจารย์แกว่งเปลอยู่ก็พูดว่า


    “วันนี้อาจารย์เลี้ยงเด็กด้วย อาจารย์...ลูกใคร ได้กี่เดือนแล้ว”


    “จำไม่ได้ มันเกิดมานานแล้ว” อาจารย์ตอบ


    “เลี้ยงยากไหม”


    เลี้ยงง่ายตายยาก ไม่อ้อนเลย ไม่ร้องอีกด้วย เธอลองเปิดดูซี”


    เฮโลทั้งสี่คนเข้ามาล้อมดูกันใหญ่ พอเปิดผ้าออกก็ร้องออกมาว่า “ก้อนหิน” พร้อมกัน


    “ถึงว่า เกิดมานานแล้วจำไม่ได้ เลี้ยงง่ายตายยากแถมไม่ร้องอีกต่างหาก อาจารย์ต้องสอนพวกเราแน่ๆ ลงมติกัน พวกผมขอทราบว่า อาจารย์ทำแบบนี้ทำไมครับ


    “จิตกับวัตถุมันเป็นอันเดียวกัน ธรรมะไม่พูด จิตก็ไม่พูด ก้อนหินมันก็ไม่พูด แล้วที่พูดอยู่นี้คืออะไร สิ่งที่ปรุงเป็นความคิด ถ้าพวกเธอหยุดปรุงแต่งในความคิดเสียเท่านั้น ปิดนรกทันที หมดตายเกิดตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลยทีเดียว เป็นลูกพุทธะทันที”



    นักล่าพระอรหันต์


    ในวันหนึ่ง อาจารย์ได้ไปนั่งรอญาติที่สถานีรถไฟได้มีชายสูงวัยเข้ามาหา ยกมือไหว้


    “สวัสดีครับท่านนักพรต”


    อาจารย์รับไหว้


    “ผมขอสนทนาธรรมสักหน่อยจะได้ไหม”


    “ได้ซิ เชิญนั่ง”


    “ผมไปทั่วเมืองไทยมาแล้วไม่ว่าสำนักไหน ต้องการพบพระอรหันต์สักครั้ง ตายก็ไม่เสียทีที่เกิดมาได้บูชาพระผู้บริสุทธิ์”


    “แล้วพบบ้างไหมล่ะ” อาจารย์ถาม


    “ยังครับ”


    “เธอตั้งพระอรหันต์ของเธอไว้แบบไหนล่ะ”


    พระอรหันต์มีแบบด้วยหรือท่านนักพรต”


    “ไม่หรอก ถามดูเฉยๆ น่า ฉันคิดว่าเธอจะพอใจแบบไหนเท่านั้น”


    “แล้วท่านนักพรตว่าพระอรหันต์ของท่านเป็นอย่างไรล่ะ”


    เอ...ฉันก็ไม่เคยเป็นเสียด้วยจึงบอกไม่ได้ไง”


    “แล้วนักพรตปฏิบัติอย่างไรบ้าง”


    “เปล่าเลย ธรรมะไม่ต้องปฏิบัติอะไรทั้งนั้น”


    แล้วนักพรตแต่งชุดขาวทำไม”


    “ก็ทำตามสมมติโลก รักษาศีลตามพ่อพระพุทธองค์เท่านั้น”


    ถ้าเช่นนั้นท่านช่วยชี้แนะให้ผมออกจากทะเลวนของทุกข์ด้วยเถิด มันพาวนจนจะหมดอายุขัยอยู่แล้ว ยังออกจากวังวนไม่ได้เลย”


    เธอจงฟังดีๆนะ หยุดล่าพระอรหันต์เสีย จงเป็นกะลามะพร้าวไหลตามน้ำของวังวนนั้นโดยไม่ออกแรงอะไรเลย เมื่อใดน้ำหยุดวน กะลามะพร้าวก็จะออกมาเองจากวังวนนั้น เข้าใจไหม”


    “โอ้โฮ ใช่แล้ว ใช่แน่ๆ ไม่ผิดเลยสักนิดเดียว ผมขอกราบท่านและจะถือว่าได้พบธรรมตัวจริง จากลูกพุทธะผู้ปฏิบัติชอบ”



    ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำอย่างไร


    อาจารย์กลับจากอยุธยาไปเยี่ยมลูกศิษย์มา เกิดฝนตกต้องตากฝนกว่าจะถึงศาลาที่พักผู้โดยสารรถ เปียกไปหมดทั้งตัว มีหญิงสาวผู้หนึ่งยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ให้และพูดว่า


    “ผู้ทรงศีล หนูขอมอบให้เลยเจ้าค่ะ”


    อาจารย์รับมาแล้วก็เช็ดตัวที่เปียก หญิงสาวถามว่า


    “ท่านจะไปไหนค่ะ”


    “ไปสระบุรีจ้า”


    ฝนซาลงแล้ว แต่ยังไม่มีใครมาในศาลา


    “หนูขอถามปัญหาสักหน่อยจะได้ไหมค่ะ”


    “เชิญตามสบาย ถามมาเลย”


    คำว่าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนั้น ทำอย่างไรค่ะ”


    “หนูสนใจในธรรมก็ดีแล้ว ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด หนูจงเป็นแต่ผู้ดูก็พอแล้ว อย่าเป็นผู้นึกคิดเสียเอง แล้วดอกบัวจะบานกลางกองไฟ”


    หญิงสาวทวนคำของอาจารย์


    “ท่านอย่าเป็นผู้นึกคิดเสียเอง เป็นแต่เพียงผู้ดูก็พอ แล้วดอกบัวจะบานกลางกองไฟ”


    พอดีรถมาจอด อาจารย์ก็จากไป หญิงสาวยกมือไหว้สาธุ มองจนรถลับตา



    จะเลิกเหล้าได้ไง


    ในซอยบ้านอาจารย์ เป็นซอยตัน รถต้องมากลับทุกๆ คัน สุดซอยจะมีกระท่อมบัวตองอยู่หลังหนึ่ง เจ้าของชื่อบัวตอง สามีเป็นขี้เหล้า วันนี้กำลังเมาได้ที่ ก็ออกมายืนดักรอพบอาจารย์ในตอนใกล้ค่ำ อาจารย์ออกเดินเล่นพอดี ขี้เหล้าทักทายอาจารย์ว่า


    “อาจารย์ ช่วยผมด้วย ช่วยผมที”


    “จะให้ช่วยอะไรหรือ”


    “ผมอยากจะเลิกเหล้าครับ เหล้ามันไม่ยอมหนีจากผมไปเลย พยายามอยู่หลายหนแล้ว เป็นสิบๆ ปีมานี่ แย่เลยครับ”


    “ได้ๆ ได้เลย อาจารย์จะช่วยเธอให้เลิกเหล้าเสียที”


    “แล้วอาจารย์จะช่วยตอนไหนครับ”


    “ก็ตอนที่เธอไม่มีลมหายใจแล้วนะซิ”


    “โอ้โฮ อาจารย์นี่เก่งชะมัดเลย ให้ตายซี ตอนหมดลมแล้ว”



    อุดรอยรั่ว


    ย่างเข้าเดือน ๖ ฝนก็ตกตามเกณฑ์ของธรรมชาติ และตกมา ๒-๓ วันแล้ว วันไหนฝนตกก็ต้องช่วยกันอุดรูรั่วของตับแฝก เพราะมุงด้วยแฝก ต้องช่วยกันเป็นโกลาหลทีเดียว เหนื่อยทุกครั้ง วันนี้ก็เหมือนวันก่อนเพราะฝนตกหนักมาก ศิษย์ทั้งสองก็บ่นว่า


    “ก็อยากรื้อเสียเลยให้มันสะใจ จะได้ไม่ต้องมาคอยอุดรอยรั่วเช็ดน้ำให้มันเหนื่อยอีกต่อไปถ้าเป็นไปได้ เอามันพรุ่งนี้เลยดีไหม”


    อาจารย์ได้ยินก็ว่า


    “อย่าเลย วันนี้ก็เหนื่อย อุดปะรูรั่วกันพอแล้วยังจะมาเหนื่อยรื้อทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รื้อกันอีก”



    ของจริงมันนิ่งเงียบ


    “กริ๊งๆๆๆ...ฮัลโหล”


    “สวัสดีครับอาจารย์”


    “เออสวัสดี”


    “ผมพรชัยครับอาจารย์”


    “มีอะไรหรือ เอาว่าไป”


    ผมเพิ่งเข้าใจที่อาจารย์สอนผมเมื่อวานนี้ ที่ว่าไม่ต้องทำอะไรเลยในการปฏิบัติธรรม เพราะมันว่างของมันอยู่แล้ว ต่อไปผมจะทำอย่างไรอีกล่ะอาจารย์


    “อ้าว ก็เข้าใจแล้ว แล้วจะต้องทำอะไรอีกล่ะ ที่เธอรายงานมานั้น มันไม่ใช่ตัวจริงนี่นา”


    “แล้วตัวจริงของอาจารย์มันว่าอย่างไรล่ะ”


    มันจะว่าอะไรได้ มันก็นิ่งเงียบจนไม่มีแม้แต่เสียงออกมาเลยน่ะซิ”


    คุณพรชัย: “โอ้โฮ อาจารย์...”


    ชอบเรียนลัด


    ผมได้ทราบข่าวมาหลายปีแล้วว่าอาจารย์สอนธรรมะแบบเซ็น จึงตรงมาขอพบอาจารย์


    “ผมชื่อสมภพครับ และจะขอฟังธรรมจากอาจารย์ชนิดที่ลัดสั้นที่สุดครับ”


    “เธอฟังนะ ธรรมะไม่มียาว ไม่มีสั้น ไม่มีรูปแบบใดๆทั้งสิ้น แม้ตัวธรรมยังไม่มีอีกด้วย”


    “อ้าวอาจารย์ แล้วศิษย์จะเรียนกันอย่างไรเล่าครับ”


    “ไม่ต้องเรียนอะไรเลยจริงๆ”


    “แล้วผมจะรู้อย่างไรล่ะอาจารย์ อาจารย์บอกไม่มีรู้ เอ...ผมมาผิดที่หรือเปล่านี่”


    “ไม่ผิด และก็ไม่ถูกด้วย”


    “อย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ”


    “ใช่”


    “ขอฟังสั้นที่สุด”


    “ทุกวิ่งมันว่างอยู่แล้ว ตั้งแต่เช้าจรดเย็น พอลืมตาความว่างมันก็ทิ่มตาเธออยู่แล้ว”



    จะปลดทุกข์ได้อย่างไร


    ในวันหนึ่ง มีคุณครูจากนครนายก ขับรถมาหาอาจารย์ และได้บอกอาจารย์ว่า


    “ลูกศิษย์ของอาจารย์แนะนำให้มาพบ อาจารย์จะแก้ปัญหาทุกข์ของดิฉันได้ จึงมาพบอาจารย์ค่ะ”


    “เออ...เธอมีปัญหาอย่างไร”


    ครูก็ร่ายยาว


    “หนี้สินมากเลี้ยงหลานทั้งๆ ที่ตัวเองยังสาวอยู่ ต้องรับภาระมาก ออกจากราชการ แล้วเงินบำนาญก็ไม่พอ โอ๊ย จิปาถะ ทุกข์มากๆ เครียดจนสุดจะทนแล้ว ดิฉันจะทำอย่างไรค่ะอาจารย์


    อาจารย์ว่า


    ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้มันถึงที่สุดของมันเองอย่างนั้นแหละ แล้วมันจะหายของมันเอง”


    “มันจะเป็นไปได้หรืออาจารย์”


    “เออ...แล้วเธอคอยดู”


    จากนั้นครูก็ลากลับ ทำตามผู้รู้บอก จนอาจารย์ลืมไปแล้ว อยู่ๆ ก็มีแม่ชีโผล่มาพบอาจารย์ และกล่าวขอบคุณอาจารย์ว่า


    ท่านอาจารย์พูดไม่ผิดสักนิดเดียว พอทุกข์มันถึงที่สุดแล้วมันจะหยุดของมันเอง ดิฉันหมดทุกข์แล้ว เขายึดไปทั้งหมด ไม่เหลืออะไรเลยสักนิดเดียว แล้วทุกข์มันก็หายไปด้วยอาจารย์


    ถ้าแม่ชีทิ้งกายใจของแม่ชี และทิ้งผู้อื่นที่มีอยู่บนโลกด้วย จะเป็นพุทธะทันที”



    ความคิดทำให้เกิดตาย


    ในเย็นวันหนึ่งอาจารย์ได้ไปนั่งตากลมอยู่หน้าบ้านโดยมีทั้งหมาและแมวกำลังล้อมหน้าล้อมหลังอาจารย์วิ่งเล่นกันหยอกล้อกันอย่างสนุก ศิษย์ผู้ใกล้ชิดอาจารย์ก็นั่งอยู่ด้วย เอ่ยขึ้นว่า


    อาจารย์ขา ดูแมวและหมามันเล่นกันอย่างมีความสุข มันคงไม่มีทุกข์นะอาจารย์


    อาจารย์ก็ถามว่า


    เธอรู้ภาษาหมาด้วยหรือ”


    เปล่าค่ะอาจารย์ คิดเอาเองว่าคงไม่ทุกข์น่า”


    ถ้าเช่นนั้นเธอก็ต้องไปเกิดเป็นหมาเป็นแมว น่ะซิ”


    “เช่นนั้นเลยหรืออาจารย์ แค่คิดก็ไปเกิดแล้ว แต่ถ้าหยุดคิดได้ล่ะ”


    “ก็เป็นพระน่ะซี”


    โอ้ เจ้าความคิด ทำให้เกิด-ตายได้”



    อยากเรียนเซ็น


    วันนี้อาจารย์กำลังนั่งสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้โยกตัวโปรด พอดีมีรถมาจอดหน้าบ้าน และชายผู้หนึ่งก็เข้ามา


    “ผมอยากมาสนทนาธรรมะกับอาจารย์ขอรับ”


    “ได้ซิ” อาจารย์ตอบ “เชิญนั่งก่อน”


    ธรรมะรูปแบบมันยาวไป ผมอยากเรียนเซ็นมันสั้นดี อาจารย์ช่วยชี้แนะผมหน่อยซิครับ”


    อาจารย์รับปากแล้วบอก


    “เธอรอฉันประเดี๋ยวก่อนนะ”


    “ได้ครับ”


    อาจารย์ก็ลุกเดินออกไปข้างนอก แล้วหยิบเอาก้อนหินมาหนึ่งก้อน แล้วส่งให้ชายที่มาหา และสั่งว่า


    “เอ้า เอาไปไว้ทีบ้าน จงรดน้ำทั้งเช้าและเย็นนะ ถ้ามันงอกขึ้นมาเมื่อไหร่ เธอก็มาบอกอาจารย์นะ”


    “ครับ” ผู้มาพบอาจารย์รับก้อนหินอย่างงงๆ แล้วลากลับ และทำตามคำสั่งของอาจารย์ทุกๆ วัน แล้วคอยเฝ้าดูตามสั่ง หลายวันต่อมาหินก็ไม่งอก เป็นเดือนก็ไม่งอก ขัดใจเอาก้อนหินใส่รถมาหาอาจารย์ แล้วรายงานอาจารย์


    “มันไม่งอกหรอกอาจารย์ หินมันจะงอกได้อย่างไรเล่า”


    อาจารย์ถามว่า “หินไม่งอกแล้วอะไรมันงอกล่ะ”


    ชายผู้มาหานั่งนิ่งเงียบอยู่นาน อาจารย์ก็พูดซ้ำๆ อยู่


    หินไม่งอกแล้วอะไรมันงอก”


    มันโพล่งออกมา โอ้โฮ แจ่มแจ้งจากใจจริงๆ ชายผู้นั้นหุบปากเงียบสนิทและเข้ามากราบอาจารย์จนน้ำตาซึมออกมา และลาอาจารย์กลับ เอาก้อนหินไปเป็นอาจารย์ตัวจริงของตัวเอง ขับรถกลับด้วยความสดชื่นอย่างไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต พอออกรถได้ก็ฮัมเพลง


    “ใครจะไปรู้ล่ะ ใครจะไปรู้ล่ะ...คนไม่มีใจ



    การปฏิบัติเป็นแค่อุบาย


    วันนี้มีสามเณรมาจากอีสานรายงานตัวว่า


    “เณรเป็นผู้ที่แม่ด่าว่าไม่ใช่คน ใช้แต่เงินไปเที่ยวกับเพื่อน จึงหนีแม่ไปบวชเณรอยู่กับอาที่อีสานและปฏิบัติธรรมสายพุทโธ ให้ใจอยู่กับพุทโธเสมอ ถูกผิดประการใด อาจารย์ช่วยชี้แนะให้ด้วย”


    ไม่มีถูกไม่มีผิดเป็นแค่อุบายเท่านั้นแล้วปัญญาก็จะเกิดเอง”


    “แล้วของอาจารย์ปฏิบัติอย่างไร”


    เปล่าเลยเณร อาจารย์เพียงแต่บอกให้--ใช้เห็น เห็นสิ่งทุกสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นสิ่งเดียวกัน ถึงจะเห็นเต็มโลกก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกันโดยไม่แยกจากกันได้เลย


    “เมื่อเห็นเช่นนี้ จะต้องทำอะไรอีก”


    อาจารย์ว่า “เปล่าเลย เพราะตัวของเณรก็เป็นสิ่งหนึ่งอยู่แล้ว จะต้องทำอะไร มันว่างอยู่ก่อนแล้ว จริงๆ แล้วชีวิตประจำวันทุกขณะ เป็นสมมติบัญญัติเท่านั้น เป็นของปลอม ของจริงไม่เป็นอะไรๆ ด้วย”


    ถ้าเช่นนั้นก็อยู่เฉยๆ ใช่ไหม”


    ไม่ใช่”


    “แล้วอย่างไร”


    “มันไม่บอก...เฉยก็ไม่ใช่ วิ่งก็ไม่ใช่ วุ่นก็ไม่ใช่...มันไม่บอก ไม่มีภาษาที่จะรับรู้ได้เลย แค่จิตหนึ่งเท่านั้น จะรู้เอง ไม่เป็นอะไรให้ใครทั้งนั้น ลูกพุทธะจะรู้เอง มันว่างมาแต่เดิม”



    ไม่อยากเกิดอีก


    นักศึกษาใหม่มาพบอาจารย์ แล้วรายงานการปฏิบัติว่า


    ผมกำลังดูรูปกับนามอยู่ประจำ ไม่มีเกิดไม่มีตาย มีแต่รูปกับนามเท่านั้น หนาวหรือร้อนก็รูปนามมันเป็นเองไม่มีเราหนาวร้อนด้วยจริงๆ แล้วผมจะต้องทำอย่างไรต่อไปครับอาจารย์”


    อาจารย์ก็ว่า “เธอนึกเอาคิดเอาทั้งหมดนั่นแหละ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพราะมันไม่มีอยู่จริง ของไม่มีเธอจะไปทำอะไรกับของไม่มีกันเล่า ธาตุทั้งหกรวมเป็นรูปนามมันก็เป็นของไม่มี จึงไม่ต้องทำอะไรเลยจริงๆ เพราะเธอไม่ประสีประสากับมันเท่านั้น จึงหลงเกิดตายอยู่ทุกขณะจิต ไปเห็นจิตมี เลยเกิดจิตปรุง ก็ปรุงเกิดตายไหลไป ถ้าหยุดปรุงหยุดคิด ก็ปิดการตายเกิดได้แล้วจะต้องทำอะไรกับความว่างเล่า”



    อาจารย์ไม่กลัวเอดส์


    ในครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เวลาใกล้ค่ำ ได้มีชายผู้หนึ่งรูปร่างหน้าตาเหมือนผี ผอมซีดเหมือนกระดูกเดินได้ ในมือถือนมกระป๋องเล็กสองโหล มากราบอาจารย์แล้วส่งนมให้อาจารย์


    ผมมาจากวัดป่าหนองป่าพงครับ ผมชอบปฏิบัติธรรมและเรียนธรรมครับ”


    “ก็ดีซิ” อาจารย์ว่า และรับนมที่ชายส่งให้


    ได้ทราบว่าอาจารย์สอนธรรมะแบบเซ็นเลยขอทราบว่าอาจารย์สอนอย่างไรครับ


    “เซ็นไม่ได้สอน เพราะเซ็นสอนไม่ได้”


    “อ้าว แล้วใครสอนล่ะถ้าอาจารย์ไม่สอน”


    “มันก็ไม่บอกเสียด้วย” อาจารย์ตอบ


    “ถ้าเช่นนั้นผมก็จะฟังมัน” ชายผู้ที่มาเสริม


    ธรรมะไม่มี อะไรๆ ก็ไม่มี”


    “แล้วอะไรมีล่ะครับ”


    ที่ว่ามี-ไม่มีก็ไม่มีด้วย มันมีโดยไม่ต้องมีความมี


    ชายผู้มาด้วยตามไม่ไหวก็หักเหเรื่องเสีย


    “อาจารย์ ผมเป็นเอดส์น่ะ อาจารย์ไม่กลัวหรือ”


    อาจารย์ตอบ


    “ฉันไม่กลัวเอดส์ เพราะเอดส์มันอยู่ที่เธอ”


    “ไม่แน่มันอาจจะติดถึงอาจารย์ก็ได้นะ”


    มันแน่เสียยิ่งกว่าแน่อีกเธอ เพราะฉันเป็นนักฆ่า ฆ่าทั้งคนและเอดส์ ถ้ากายใจเธอยังไม่เกิด เอดส์จะเกิดได้ไหม”


    “ไม่ได้อาจารย์”


    “นี่แหละ ฉันฆ่ามันแล้ว แล้วกำลังฆ่าเธออีก”


    “โอ้โฮ อาจารย์...”



    ไม่ใช่ทั้งจีนและญี่ปุ่น


    ในวันหนึ่ง ลูกศิษย์แวะเวียนมาเยี่ยมและสนทนาธรรมกับอาจารย์ ลูกศิษย์เอ่ยขึ้นมาว่า


    “นี่มันเมืองไทยนะอาจารย์ ไม่ใช่จีนและญี่ปุ่น”


    “ทำไมล่ะ”


    “ก็อาจารย์สอนธรรมะแบบเซ็น ใครเขาจะรู้เรื่อง”


    เออ...อาจารย์ก็ไม่ได้สอนให้รู้เรื่องนี่นา”


    “อ้าว แล้วผลมันจะเกิดได้หรือ”


    อาจารย์ก็ไม่ได้เอาผลอะไรๆ นี่นา”


    “แล้วมันจะไม่เสียเวลาหรือ”


    “อาจารย์ก็ไม่มีเวลานี่นา”


    “โอ่ พูดไปพูดมาเป็นญวนไปแล้ว”


    “เป็นญวนแต่ชาติก่อนมาแล้ว”


    “โอ้โฮ ไล่อาจารย์ไม่จน”


    “อ้าว ก็อาจารย์รวยมากจนใครๆ สู้ไม่ได้ เลยไม่ต้องแบกอะไรเลยไงล่ะ”


    “ตอบดีๆ สิอาจารย์”


    “เอาน่า ก็ไม่เห็นมันเสียหายตรงไหน ใครเขารู้ก็รู้ ใครไม่รู้ก็เอาไว้ก่อน ต่อไปพออาจารย์ตาย เรื่องเซ็นก็จะดังขึ้นมาเอง”


    ไหนอาจารย์ลองสอนเซ็นให้ผมสักบทหนึ่งสิ”


    “เธอจงหุบปากให้สนิทเงียบ โดยไม่คิดปรุงอะไรๆออกมาเลย แล้วเธอจะรู้จักเซ็น”


    ลูกศิษย์ร้องอือในลำคอ แล้วกราบอาจารย์ ลากลับโดยไม่พูดอะไรออกมาจริงๆ เลย



    ให้ทุกข์ไปเที่ยวเสีย


    กริ๊งๆๆ “ฮัลโหล อาจารย์กตฺธุโร ใช่ไหมคะ หนูน้องสาวโกยี...คุณสาธิตเชียงรายค่ะ”


    “ว่าไง”


    “เขาแนะนำหนูให้มาปรึกษาอาจารย์ค่ะ”


    “อะไรหรือ”


    แฟนหนูเครียดจัด ต้องทานยาประสาทเป็นประจำ หาจิตแพทย์ก็ไม่หายขาด พลอยมาถึงหนูด้วย เครียดตามแฟนอีก ตอนนี้หนูควรทำอย่างไรก่อนที่จะพาเขามาหาอาจารย์คะ”



    “เอาอย่างนี้นะ ฟังดีๆ เมื่อเธอทุกข์ เธอเครียด จงปล่อยทุกข์ ให้ทุกข์มันไปเที่ยวตามทุ่งนาป่าเขาทะเลเสียบ้าง แล้วทิ้งมันไว้ที่ทุ่งนาป่าเขาทะเลนั่นแหละ อย่าพามันกลับมาอีกเลย เหมือนแบกกระสอบข้าวสารไว้ทั้งลูก ควักมันออกทีละเม็ดสองเม็ดหรือเป็นกำมือ ก็ยังหนักอยู่ไม่ทันใจ ต้องยกกระสอบทิ้งไปเลย มันเบาไม่ต้องแบกอะไรทั้งนั้น”


    คะ เข้าใจแล้วคะ เพราะใจไปแบก ทิ้งที่ใจ ใจจึงเบา”



    เพิ่งเห็นว่าไม่ต้องทำอะไร


    บังอรเป็นแม่ครัวประจำอาจารย์ เรียนธรรมปฏิบัติธรรมมาหลายปี ฟังแล้วฟังอีก ไม่มีนั่น นี่ โน่น สารพัดที่อาจารย์พร่ำสอน วันหนึ่ง บังอรเข้ามาพูดกับอาจารย์


    “อาจารย์คะ หนูเพิ่งจะเห็นจริงๆ วันนี้เอง คำว่าเรียนธรรมะ ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องทำจริงๆ หลงทำหลงปฏิบัติเอาเป็นเอาตายมาสิบปีเห็นจะได้ มันจบแค่ไม่ต้องทำอะไรเลย ใครยังจะเอา ยังจะทำก็ไม่ได้อะไรจริงๆ พอแบมือปล่อยทั้งสองข้างเท่านั้น เหมือนคนกำลังจะตาย งานก็จบ ธรรมแห่งพุทธะก็เกิดแจ้งจ้าขึ้น อะไรก็ไม่มีเหลือเป็นเชื้อแห่งชีวิตให้เห็นอีกเลย”



    เลิกเหล้าง่ายนิดเดียว


    ค่ำลงหน่อย อาจารย์ก็ออกไปเดินเล่นตามเคยทุกวันจนสุดซอยซึ่งเป็นซอยตันและพบขี้เมาตามเคย ซึ่งคอยอยู่ก่อนแล้ว


    “ตาๆ หยุดก่อน”


    “มีอะไรหรือ”


    “ผมอยากทราบ”


    “เอ้า ว่าไป”


    “กรรมดีกรรมชั่วมันเป็นอย่างไร”


    “ดีๆ ชั่วๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเลย”


    “แล้วท่านสอนอย่างไรครับตา”


    อาจารย์ตอบว่า


    “ผู้ใดทำเหตุเช่นนี้ ต้องรับกรรมอย่างนี้”


    แล้วอย่างผมนี่ เขาเรียกกรรมอะไร”


    “เมาตลอดวัน งานการเสียหาย คนไม่คบ แรงหมด ตับแข็ง แล้วตายตามกรรมของตัวที่ทำไว้


    “ถ้าผมเลิกได้ล่ะตา”


    “ก็ดีสิ มีหน้ามีตา ผู้คนหันมาคบอีก งานการได้ผล เงินทองของใช้ไม่ขาด กรรมนี้ดีมาก”


    ผมจะเลิกได้ไหมตา”


    “ได้สิ”


    “มันยากนะตา”


    “ไม่ยากหรอก เธอหยุด...ไม่ซื้อเหล้ามากิน มันก็เลิกได้แล้ว”



    ถ้าโลกเป็นสีดำ


    ค่ำลงประมาณหนึ่งทุ่ม ลูกศิษย์อาจารย์ไปงานศพวัดถนนเหล็ก พอกลับมาก็รายงานว่า


    “คนเขานิยมแต่งตัวชุดสีดำกันทั้งนั้นเลย ถ้าโลกนี้มีแต่สีดำทั้งหมด อะไรๆ ก็ดำทั้งนั้น อาจารย์ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหรือ”


    ก็เกิดสีดำน่าสิ”


    “เพราะอะไร”


    “เพราะเธอคิดให้มันเกิด มันจึงเกิดขึ้นไงล่ะ”


    อ้าว ถ้าหนูไม่คิดเลยมันจะเกิดอะไรคะ”


    “มันก็เกิดไม่คิดไงล่ะ”


    ถ้าหุบปากเงียบไม่นึกไม่คิดไม่ปรุงอะไรๆ เลยล่ะ” “ก็เงียบไปด้วยน่ะสิ เรียกว่าเขียนเป็นลบเป็น มันเลยว่างไงล่ะ พุทธะก็เกิดขึ้นโดยไม่ต้องทำอะไรๆ ให้มันเหนื่อยน่ะซี”



    อย่างไหนไม่ธรรมดา


    วันนี้มาแปลกใครๆ เขามารถ แต่ท่านผู้นี้เดินมา กดกริ่งหน้าบ้าน เด็กๆ ก็ไปเปิดให้ ถือกระเป๋าเจมส์บอนด์ทีเดียว พอทักทายกันก็รายงานตัวว่า


    “ผมเป็นหมอดู ชอบดูดวงคนทั่วๆ ไป ได้เงินบ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร เพราะชอบหาความรู้ใส่ตัว ทราบว่า อาจารย์สอนธรรมะ ผมก็ชอบ จึงขอดูดวงให้โดยไม่คิดเงินและขอฟังธรรมด้วยครับ”


    “ได้สิ ตกลง” อาจารย์ตอบ


    พอได้วันเดือนปีแล้วก็รอฟัง หมอนั่งบวกลบคูณหารอยู่นาน เงยหน้าขึ้นดูอาจารย์


    อาจารย์ครับ ดวงอาจารย์นี้แปลกจังเลย ทายไม่ออกครับ มันไม่บอกเลย สงสัยจริงๆ อาจารย์ช่วยดูให้ผมบ้างสิ


    อาจารย์ก็เอาไม้เกาหลังประจำตัว แล้ววนๆ อยู่สองสามรอบ แล้วหยุด พูดขึ้นว่า


    “เอ...อาจารย์ก็ทายไม่ออกเหมือนกัน มันไม่บอก”


    “อ้าว แล้วอย่างนี้จะว่าอะไรครับ”


    “ธรรมดา”


    “แล้วอย่างนักการเมืองซักฟอกรัฐบาลล่ะ”


    “ก็ธรรมดา”


    “ฆ่ากันตายทางภาคใต้ล่ะ”


    ธรรมดา”


    “สงครามต่างประเทศล่ะ”


    “ธรรมดา”


    “ชักสงสัยอาจารย์เสียแล้ว อะไรก็ธรรมดาทั้งนั้น ไอ้ไม่ธรรมดามีบ้างไหม”


    “มี” อาจารย์ตอบ


    “อย่างไหนล่ะ ที่ไม่ธรรมดา”


    “ใครผู้นั้นนั่งหันหน้าเข้าข้างฝา หุบปากเงียบ ไม่มีเสียงเลยเหมือนท่อนไม้และก้อนหินเป็นเวลา ๙ ปี นั่นแหละ ไม่ธรรมดาล่ะ”


    รถติดจะทำอย่างไร


    วันนี้ยังไม่มีใครมาหาอาจารย์ ผู้ใกล้ชิดอาจารย์ก็ถามว่า


    “หนูฟังรายการวิทยุ เขาถามปัญหาให้พระตอบทางวิทยุว่า รถติดจะทำอย่างไร”


    พระท่านตอบว่า


    รถติดก็ทำใจสิโยม”


    “ถ้าเขาถามอาจารย์ อาจารย์จะตอบอย่างไรคะ”


    ตอบว่ารถติดก็แกะสิ” อาจารย์ตอบ


    “ไม่ใช่ คนละเรื่องกันแล้ว”


    “อ้าว ก็พระท่านตอบนั้นก็คนละเรื่องเหมือนกันนี่”


    รถติดให้ทำใจ ทำใจทำไม เอาจริงๆ อาจารย์จะตอบว่าอย่างไร”


    รถติดไม่ต้องทำอะไรมันเลย อยู่เฉยๆก็เท่านี้”


    “ถ้ารถไม่ติดล่ะอาจารย์”


    ก็ไปน่ะสิ ไม่ต้องทำใจ”


    “มันคนละเรื่องกันแล้ว”


    ก็ใจมันไม่มี คนก็ไม่มี จะต้องไปทำมันทำไม ที่มีๆ อยู่นี่ มันขันธ์ทั้งห้า เกิดจากธาตุ ๖ เท่านั้น แล้วถ้าไม่ประชุมกันขึ้น มันก็ไม่มีอยู่แล้ว ของไม่มีอยู่จริงจะต้องไปทำอะไรกับของไม่มีอีกล่ะ เข้าใจไหม”


    “อือ...” อยู่ในลำคอ



    บัวพุทธะเริ่มบาน


    วันนี้แขกใกล้ๆ มาหาอาจารย์


    “ฉันอยู่โรงงานทอกระสอบติดบ้านอาจารย์นี่เองค่ะ เคยลักฟังธรรมของลูกศิษย์อาจารย์อยู่บ่อยๆ เมื่อเขาสนทนาธรรมกัน แต่ฟังไม่รู้เรื่อง ฉันคงจะโง่มากเพราะไม่ได้เรียนหนังสือ เขียนได้แต่ชื่อตัวเดียวเท่านั้น อาจารย์ว่างั้นไหม”


    “มันก็ไม่แน่นะเธอ” อาจารย์หัวเราะหึๆ อยู่ในลำคอ “แต่ว่าเธอโชคดีมากทีเดียวที่ไม่รู้อะไร”


    ถ้าไม่ต้องมีความรู้อย่างผู้ที่รู้มากๆ ฉันจะฟังธรรมของอาจารย์รู้เรื่องบ้างไหมนี่


    “รู้สิ หิวกิน ง่วงนอน ร้อนอาบน้ำ หนาวเอาผ้าห่ม ปวดฉี่ ฉี่ ปวดอึ อึ ฟังรู้ไหม”


    “ฟังรู้ค่ะ”


    “เท่านี้ก็พอแล้ว ผู้ที่รู้มากเป็นถึงบัณฑิตยังต้องทิ้งความรู้ทั้งหมดจึงมาฟังธรรมอาจารย์ได้”


    แล้วฉันไม่รู้อะไรเลย จะต้องทิ้งอะไรอีกล่ะอาจารย์”


    “เธอก็จะต้องทิ้งเหมือนกัน”


    “ทิ้งอะไรล่ะอาจารย์”


    ทิ้งความไม่รู้เสียให้หมดน่ะสิ”


    เออ...แปลกแต่จริง ไม่รู้ก็ทิ้งความไม่รู้ ผู้รู้ก็จะต้องทิ้งความรู้”


    ของที่ระลึก


    วันหนึ่งสองผัวเมียขับรถมาจากต่างจังหวัด เพราะได้ข่าวว่าอาจารย์ที่นี่สอนธรรมแบบเซ็น อยากมาฟังและเรียนดูบ้าง ทั้งคู่ชอบปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว พอมาถึงก็กราบอาจารย์ ขณะนั้นอาจารย์กำลังพับนกกระดาษให้เด็กๆ เล่นอยู่ ผู้ผัวเอ่ยขึ้นก่อนว่า


    “ผมอยากได้นกไว้เป็นที่ระลึกสักตัวหนึ่ง อาจารย์ช่วยพับให้สักตัวสิครับ”


    “ได้สิ” อาจารย์รับปาก “ต้องรอหน่อยนะ”


    “ครับ ไม่เป็นไร”


    อาจารย์ก็พาเด็กๆ ออกไปและเก็บเอาก้อนหินมาหนึ่งก้อน คลำๆ อยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก็ส่งให้ผู้ผัว พร้อมกับบอกว่า


    เอ้า นี่นกของเธอ”


    ผู้ผัวก็รับก้อนหินด้วยอาการงงๆ และก็ถามอาจารย์ว่า


    “นี่หรือ นกของอาจารย์”


    “ใช่ ที่ระลึกไงเล่า”


    ชายผู้ผัวงงมาก นึกในใจ ก็ก้อนหินเห็นๆ ไหนอาจารย์บอกว่านก ชายผู้นั้นนั่งคิดอยู่นาน ในที่สุดทนไม่ได้จึงพูดออกมาว่า


    “เมื่อกี้นี้อาจารย์ใช้กระดาษพับเป็นนกให้เด็กๆ ไปมันเป็นนกกระดาษนี่นา แล้วตอนนี้อาจารย์เก็บก้อนหินให้แท้ๆ มันจะเป็นนกได้อย่างไร”


    ทีเธอเห็นกระดาษเป็นนกได้ อาจารย์จะเห็นก้อนหินเป็นนกไม่ได้เชียวหรือ


    ผู้เป็นเมียฟังอยู่นาน อยู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาว่า


    ใช่แล้วอาจารย์ ใช่ทั้งหมดเลย แค่สมมติเท่านั้น ถ้าไม่สมมติขึ้น มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ”ผัวโพล่งขึ้น! “เป็นก้อนหินเสียก็จบ” เลยขอก้อนหินอาจารย์ไปเป็นที่ระลึก



    นิพพานไม่มี


    “ฮัลโหล อาจารย์ใช่ไหม”


    “ใช่ มีอะไรหรือ”


    “มีปัญหาจะถามอาจารย์ครับ”


    “ถามได้เลย”


    ในตัวผมนี้มีนิพพานไหมครับ”


    ไม่มี” อาจารย์ตอบ


    “อ้าว ไม่มีแล้วเรียนเพื่ออะไรกันเล่า”


    “ก็เรียนเพื่อนิพพานน่ะสิ”


    ก็ไหนว่านิพพานในตัวคนไม่มี แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะอาจารย์”


    “เธอฟังดีๆนะ หาก็ไม่พบ มีก็ไม่มี ที่มันไม่มีๆ นั้นแหละคือนิพพานล่ะ”


    “อ๋อ เข้าใจแล้วอาจารย์”


    เข้าใจแล้วก็ไม่พอ ทิ้งความเข้าใจเสียด้วย ทิ้งรู้อีกด้วย ตัวมีตัวหมดก็ทิ้งมันไปด้วย มีแต่ว่างโดยไม่ต้องไปทำให้มันว่างนะ นิพพานมีโดยไม่ต้องมีนิพพานเลย นิพพานไม่มีคืออย่างนี้”




    ตกเบ็ดโดยไม่มีเบ็ด


    อาจารย์ไปตกเบ็ดอยู่สามวัน มีพระธุดงค์หนุ่มองค์หนึ่งมาคอยยืนดูประจำทุกวัน วันนี้อดรนทนไม่ไหวตรงเข้ามาถามว่า


    “ท่านผู้เฒ่าทำอะไร”


    “ตกปลา”


    “เห็นมาตกอยู่สามวันแล้ว ปลากินเบ็ดบ้างไหม”


    “สองวันยังไม่กิน แต่วันนี้กำลังจะกินและติดเบ็ดเสียด้วย”


    พระหนุ่มว่า


    มีแต่คันเบ็ด สายเบ็ดก็ไม่มี เหยื่อก็ไม่มีตัวเบ็ดก็ไม่มี แล้วปลาหน้าไหนจะติดเบ็ดผู้เฒ่าล่ะ”


    ผู้เฒ่าตอบว่า


    “ปลาตัวที่หิวเหยื่อนั่นแหละจะติดเบ็ดของฉันล่ะ”


    พระหนุ่มได้ฟังคำนี้เข้า ตะลึงอยู่นิดหนึ่ง แล้วเกิดโพล่งจากใจขึ้นทันที ตรงเข้ากอดผู้เฒ่า แล้วจับคันเบ็ดโยนทิ้งไป เรียกผู้เฒ่าว่าอาจารย์ ประคองอาจารย์ไปที่พักและขอฝากตัวเป็นศิษย์ทันที


    ทุกข์เพราะปัญญา


    วันนี้ศิษย์พาเพื่อนมาจากกรุงเทพ มาขอพบอาจารย์ ปฏิสันถารกันแล้วก็แนะนำว่า


    “เพื่อนผมคนนี้ชอบหาความรู้ใส่ตัวมากๆ เพิ่งเป็นบัณฑิตมาจากอเมริกา อยากฟังธรรมของอาจารย์บ้าง”


    เพื่อนก็เอ่ยขึ้นว่า


    “ผมต้องสร้างปัญญาไว้มากๆ ครับอาจารย์ ธรรมะของอาจารย์มันง่ายหรือยากครับ”


    “ไม่เชิงง่ายและก็ไม่ยาก เพียงแต่เธอเก็บปัญญาไว้ให้สนิทเท่านั้น ไม่ต้องเรียนอะไรจริงๆ เธอก็จะเป็นพุทธะทันที”



    ผู้ถืออาชีพบริสุทธิ์


    ผู้เก็บขยะขาย พอมีเวลาว่างก็มาพบอาจารย์และกล่าวว่า


    “ใครๆ ก็รังเกียจไม่อยากมอง แต่ผมว่ามันเป็นอาชีพบริสุทธิ์นะอาจารย์”


    อาจารย์เอ่ยขึ้นว่า


    “ใครหนอมันช่างพูดเรื่องบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์ให้เธอฟังจนเธอหลงว่ามันเป็นเรื่องจริง แล้วเธอก็ติดมาเอามาฝากอาจารย์จนได้ ยามใดเธอเพิกถอนความบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์ได้ เธอจะเป็นพระทีเดียว โดยไม่มีใครไปตั้งให้เป็นเสียด้วย”


    “โอ้ ผมเพิ่งเข้าใจ สมมติของคนนี่เองถ้าหมดสมมติก็จบ”


    เซ็นผ่าเซ็น


    พอมาถึงวัดหลวงพ่อฝั้น อาจาโร ก็ค่ำพอดี เข้าไปกราบหลวงพ่อฝั้น แล้วขอฟังธรรมะกับหลวงพ่อทันที หลวงพ่อเห็นคณะเรา ท่านก็ทราบแล้วว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม ท่านยกมือให้ดูระหว่างหลอดไฟและถามว่า


    “เห็นไหม”


    “เห็นขอรับ”


    “เห็นอะไร”


    “เห็นเงาครับ”


    พวกเธออย่าไล่ตามเงานะ”


    เท่านี้จริงๆ แล้วท่านบอกว่า


    “กลับกันได้แล้ว”


    งงเป็นไก่ตาแตกกันเลย


    “อาจารย์ครับ ผมเก็บปัญหานี้มาเป็นเวลานานมาก ตีไม่แตก อาจารย์ชี้ตรงๆ ลงไปเลย ช่วยทีเถอะครับ”


    อาจารย์ว่า


    “หลวงพ่อท่านสอนแบบเซ็นไม่ต้องพูดมากไงเล่า”


    “อาจารย์ช่วยผ่าเซ็นทีสิ”


    “พวกเธออย่าไล่ตามเงากันนะ เงาคือเพียง สิ่งๆ หนึ่ง จับไม่ได้ มองไม่เห็น เป็นของว่างอยู่ ตัวเธอก็เป็นของว่างอยู่ เอาว่างไปจับว่างจะได้อะไรกันเล่า ก็ได้ว่างๆ เพราะตัวตนคนสัตว์ไม่มี เป็นของว่างทั้งนั้นไงเล่า”


    โอ้โฮ อาจารย์ เซ็นผ่าเซ็น แล้วยังผ่าพวกผมอีก เงาก็ว่าง คนก็ว่าง ไม่เหลืออะไรๆ เลย เหลือแต่ว่างอย่างเดียวไงล่ะ กราบอาจารย์ครับ”



    อย่างนี้ก็มี


    มีพระธุดงค์สองรูป จากภาคอีสานทั้งคู่แต่ต่างจังหวัดกัน ลงมาภาคกลางเป็นเดือนแล้ว วันนี้มาพบกันที่ศาลากลางทุ่ง ใกล้ค่ำพอดี ต้องพักค้างคืนที่ศาลาพักคนเดินทาง กระทำกิจส่วนตัวกันแล้วสนทนากันถึงที่มาที่ไป องค์มาก่อนก็เอ่ยขึ้นว่า


    “ท่านกับผมก็เป็นผู้ปฏิบัติ ควรสนทนาธรรมกันจะดีไหม”


    “ดีสิครับ” องค์ที่สองตอบ


    องค์แรกว่า


    “ผมทั้งเรียนและปฏิบัติมามาก คงไม่ไปเกิดใหม่อีกแล้วล่ะครับ”


    “โอ สาธุ”


    “และระยะนี้ผมก็ตรวจดูจิตดูใจอยู่เป็นประจำ กิเลสมันทำอะไรผมไม่ได้เลยครับ”


    “สาธุ”


    “อีกไม่ช้า ผมคงไม่ต้องทำการปฏิบัติธรรมอีกเป็นแน่เลย เพราะกิเลสมันคงหมดจากใจผมเป็นแน่”


    “ครับผม ขออนุโมทนาสาธุให้ครับ”


    “ผมอยากทราบของท่านบ้าง”


    “ผมไม่ได้เรียนไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลยจนนิดเดียว ผมสาบาน”


    “อ้าว อย่างนั้นไม่เสียเวลาเปล่าหรอกหรือ”


    “ผมไม่มีเวลาที่จะเสียเลยครับ”


    “แล้วท่านทำใจอย่างไร”


    “ผมไม่มีใจครับ”


    “แล้วอยู่อย่างไง”


    “เปล่า ผมไม่ได้อยู่”


    “โอ้ ยังงั้นหยุดสนทนากันได้แล้ว”


    “ดีครับ”


    พระองค์หลังลงกลดแล้วนั่งทั้งคืน องค์แรกคอยนอนดูหลับๆ ตื่นๆ รุ่งเช้า องค์หลังเก็บกลดแล้วเดินหายไปเลย องค์แรกตามไม่ทันเสียแล้ว



    ตอไม้ผุรดน้ำไม่งอก


    แม่ของศิษย์อาจารย์ป่วย อายุ ๗๕ ปีแล้ว ศิษย์ถามอาจารย์ว่า


    “แม่หนูจะมีหวังหายไหมอาจารย์”


    อาจารย์ก็ตอบว่า


    “ตอไม้ที่ผุแล้ว รดน้ำเท่าไรมันก็ไม่งอกได้หรอกอย่าไปหวังเช่นนั้นเลย”


    ศิษย์ว่าต่อ


    “อะไรที่มันจะมีความคงคงทนถาวร กล้าเผชิญกับกฎอนิจจังได้มีบ้างไหมอาจารย์”


    “มีสิ”


    “อะไรหรือ”


    “ก็ความว่างไงล่ะ”


    “มีอย่างเดียวหรือ”


    “นิพพานก็ว่างนั่นเอง จึงมีอย่างเดียวจริงๆ หนึ่งเดียว เข้านิพพานก็ว่าง ข้างในเป็นก้อนดินก้อนหิน ข้างนอกก็ว่าง ทิ้งทั้งหมดก็ว่าง”


    “หนูจะถึงว่างได้ไหมอาจารย์”


    “ได้ เพราะเธอก็ว่างอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำอะไรเลย”



    ธรรมมะนอกรูปแบบ


    มีพระองค์หนึ่งอยู่นครราชสีมา ไปเยี่ยมญาติที่ปราจีนบุรี ขากลับมาพบอาจารย์ก็ค่ำพอดีค้างคืน สนทนาธรรมกับอาจารย์


    พระนิพพานมีลักษณะอย่างไร”


    ถ้าพูดภาษาคนก็ว่าเย็น-สว่าง สงบสุขมากๆ ภาษาธรรมตอบไม่ได้ ต้องรู้เองเห็นเอง แจ้งแทงตลอดจากญาณปัญญา” อาจารย์ตอบ


    “มีอะไรเทียบเคียงบ้างไหม”


    “มี เหมือนนายช่างตีเหล็กเอาเหล็กใส่เตาหลอมจนเหล็กเกิดความร้อนจนละลายเป็นน้ำ ลูกไฟแดงฉานอยู่ในเตาเบ้าหลอม และตรงกลางเบ้าหลอมนั้นแหละจะเย็นเฉียบจนความร้อนทำอะไรไม่ได้เลย นั่นคือนิพพานไงเล่า”


    “อือ...” ครางในลำคอ “ไม่ง่ายเลยหนอ แล้วอาจารย์ปฏิบัติอย่างไร จึงถึงความเย็นความว่างได้”


    “เปล่าเลย ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น ธรรมชาติเขาว่างอยู่แล้ว”


    “ว่างอะไร โยมอาจารย์”


    เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี เพราะมีความว่างขึ้นก่อนจึงเกิดสิ่งทุกสิ่งเต็มโลก และสิ่งทุกสิ่งนั่นแหละว่าง”


    “ไม่มีสัตว์ ไม่มีคนอยู่หรือ”


    “เปล่าเลยว่างหนึ่งเดียวเท่านั้น แล้วจึงประกอบกันเต็มโลกไงเล่า”


    “แล้วจะทำอย่างไรให้รูปนามนี้ว่างอย่างอาจารย์ได้เล่า”


    “ไม่ต้องทำอะไร เพราะมันว่างอยู่แล้ว ของไม่มีจะทำอะไรกับของว่างๆ ขับหนีตีไล่ความว่าง มันก็ว่างอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ จับไม่ได้มองไม่เห็น จึงไม่ต้องทำอะไรเลยจริงๆ”



    อยากหายตัวได้


    ศิษย์อาจารย์สายแก่งคอยพาเพื่อนมาด้วย รายงานว่า


    “เพื่อนผมเป็นนักธุรกิจสมัย IMF เจ๊งไปหมดแล้วเพิ่งฟื้นตัว กำลังเห็นโลกนี้ยุ่งมากๆ ไม่อยากอยู่กับโลกเสียแล้ว อยากจะหายทุกข์ทั้งกายและใจ หรือทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเพื่อนผมนี้หายไปจากโลกเสียเลย ท่านอาจารย์ช่วยเขาทีสิ”


    อาจารย์ก็ถามเพื่อนของศิษย์ว่า


    “เธอมีความประสงค์เช่นนั้นหรือ”


    “จริงครับอาจารย์” เขารับปาก


    อาจารย์ก็ว่า


    “ไม่ยากเลย เธอจงขับเครื่องบิน แล้วบินตรงไปสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ไปที่นั่น แล้วเธอจะรู้เองนะ คงไม่ได้กลับมารายงานอาจารย์เป็นแน่เลย”


    “อือ...”



    ชนะโดยไม่แพ้


    วันนี้ก็เหมือนๆ กับทุกวัน มีผู้มาพบอาจารย์ แสดงตัวว่า


    “ผมเป็นนักมวย และอยากชกชนะโดยไม่แพ้ใครๆ เลย ไปเชียงรายมา ลูกศิษย์อาจารย์เขาแนะนำมาว่าต้องมาหาอาจารย์ อาจารย์เคยเป็นนักมวยเก่ารุ่นสมพงศ์ เวชสิทธิ์ สมาน ดิลกวิลาศ ไม่เคยแพ้ ผมจะขอถ่ายทอดวิชามวยจากอาจารย์ครับ”


    อาจารย์ว่า


    “เคยชกลมบ้างไหม”


    “เคยครับ”


    “เธอต้องดูว่าลมมันเจ็บไหม”


    “ไม่เจ็บครับ”


    “ลมมันเหนื่อยไหม”


    “ไม่ครับ”


    “เธอจงเป็นลม หรือเป็นความว่างเสียเอง แล้วเธอจะไม่แพ้ใครเลยจริงๆ”


    “โอ้ อาจารย์ วิชานี้สุดประเสริฐเลยครับ เป็นลม เป็นว่างเสียเอง ชนะทั้งหมดกิเลสหาย”



    --------------------------------เกิน 45,000 ตัวอักษร จะโพสไม่ได้ครับ------


    ผู้จะนำไปเผยแพร่ หรือตีพิมพ์ ขอให้เมล์บอก หรือหลังไมค์----------------


    --เพื่อจะได้บอกท่านเจ้าของบทความ เพื่อจะได้อนุโมทนาบุญกันครับ------


    --โปรดรักษามารยาท--จงมีความเคารพในข้อมูลตัวอักษรด้วย-------chandayot@yahoo.com--<!-- End main-->


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2554 16:22:32 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : 124 Pageviews. </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2012
  17. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top align=right>[​IMG] <!--BEGIN WEB STAT CODE--><IFRAME height=17 marginHeight=0 src="http://www.bloggang.com/truehitsstat.php?pagename=jesdath" frameBorder=0 width=14 allowTransparency marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME><!-- END WEBSTAT CODE --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE border=0 width="99%" align=center height="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%"><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2554 16:25:53 น.-->พุ่งตรงสู่จิต ทางลัดสู่ความหลุดพ้น(ทุกข์)-เซ็นสยาม-ธรรมมะรายวัน3



    <!-- Main -->เสียงเพลงมีอำนาจ


    พระหนุ่มองค์หนึ่งเดินธุดงค์จากอุบลราชธานีลงสู่ภาคกลาง ผ่านมาหลายจังหวัด ไปทางสระบุรีเพราะได้อ่านหนังสือ “เห็นความจริง” ของอาจารย์ จึงตามมาพบ เดินทางมาหลายวัน และวันนี้ก็เข้าสู่ปากช่อง ผ่านสวนน้อยหน่ามีสองสาวชาวสวนกำลังเก็บน้อยหน่ากันอยู่ มีวิทยุหนึ่งเครื่องเปิดเพลงฟังกัน พอดีพระหนุ่มผ่านมาได้จังหวะ เพลงมันร้องว่า


    “อยากจะบอกกับเธอสักคำว่ารัก แต่หวั่นใจนักและแล้วไม่กล้า”


    พระหนุ่มชะงักนิดหนึ่ง สองสาวเห็นพระหนุ่มเลยแซวพระเสียเลย


    “นี่เธอ ท่านเป็นพระจะกล้าฝากรักสาวๆ ได้หรือ”


    สาวร้องเพลงซ้ำๆ อยู่


    พระหนุ่มรู้ตัวว่าสาวแซว ก็เดินเร็วก้าวกระชั้นถี่ขึ้นต้องการให้ผ่านๆ ไป แต่ใจจริงอยากฟังเสียงสาวอยู่เหมือนกัน ครั้งเดียวแท้ๆ มันก้องอยู่ในหูเสมอเลยทีเดียวและจำแม่นขึ้นใจอยู่ในใจเสียอีก นึกขึ้นว่าจะแก้อย่างไรหนอ ตัดสินใจโบกรถขึ้นไปหาอาจารย์เลยดีกว่าและเล่าบอกอาจารย์ให้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเสียงเพลงก่อนเรื่องอื่นๆ ทั้งสิ้น


    “เสียงเพลงมีอำนาจมากเหลือเกิน ท่านอาจารย์...อยากจะบอกกับเธอสักคำว่ารัก แต่หวั่นใจนักและแล้วไม่กล้า”


    อาจารย์ว่า


    “ต้องร้องเพลงนี้แก้กัน”


    “เพลงอะไร โยมอาจารย์”


    “ไม่มีเธอในดวงจิต ฉันจะไม่คิดรัก รักเธอ”


    “โอ้โฮ เด็ดจริงๆ เพลงเก่าหายไปเลย”


    คนเห็นโลกไม่สงบ


    ซอยนี้เป็นซอยตัน ๓๐๐ เมตร อาจารย์ออกกำลังทุกเช้าช่วงเวลาประมาณตีสี่ถึงตีห้า มีห้องแถวให้เช่าอยู่ ๓ แถว แถวละ ๑๓ห้อง และยังมีบ้านอีกหลายหลัง มีหมาอย่างน้อย ๑๕ ตัวขึ้นไป ผัวเมียทะเลาะกันเป็นประจำของคนแถวนี้ ตีกันบ้าง กินเหล้า เล่นหวย ความเป็นอยู่แย่มากๆ ถนนรก อาจารย์ก็กวาดเป็นประจำ เจ้าของหมาปล่อยหมาออกมาถ่ายตอนเช้าบ่อยๆ และหมาเจอหมาก็กัดกัน ผู้ชนะก็ไล่ผู้แพ้หนี หนีไม่ทันก็ถูกกัดแผลเหวอะหวะ ไปเลียแผลตัวเอง หายแล้วก็ออกมากัดกันใหม่ คนมีความเห็นว่าโลกนี้วุ่นวายไม่สงบไม่น่าอยู่ คนในซอยเขารู้จักอาจารย์แค่เป็นตาแก่คนหนึ่งเท่านั้น รู้แต่คนไกลๆ มาฟังธรรมเอาไปกินกันหมด เมื่อหมากัดกัน คนก็ดูหมา ตาก็ดูอยู่ด้วย พอเลิกวงแตก อาจารย์ก็ยืนยิ้ม ที่ร้านค้ามีคนหลายคนเห็นตายิ้มอยู่ก็ถามว่า


    “หมากัดกันตายิ้มทำไม”


    “ตานึกขำเลยยิ้ม”


    “ขำอะไร”


    “เมื่อเที่ยงคืน คนแถวโน้นก็กัดกัน เหมือนหมานี่แหละ”


    “แล้วไงล่ะตา”


    “ก็โลกนี้ไม่สงบ ไม่น่าอยู่เลย ร้อนเหมือนนรกจริงๆ


    “แล้วตาคิดจะไปอยู่ที่ไหน”


    “ถ้าเลือกได้ ตาจะไปอยู่ในดวงอาทิตย์”


    “ก็ยิ่งร้อนใหญ่เลยสิตา”


    “ไม่ร้อนหรอก มันละลายตาจนตาเป็นความว่างไปแล้ว


    และตาก็แบกไม้กวาดเดินหนีจากไปปนกับความว่างเสียเลย



    งานศพทำไมร้องไห้


    วันนี้ไปงานเผาศพ คนแต่งชุดดำกันหมด และมีการร้องไห้


    อาจารย์ขา หนูสงสัยว่าทำไมงานศพคนจึงร้องไห้คะ”


    “เขาเสียดายญาติที่สูญเสียไปน่ะสิ”


    หนูทำไมไม่ร้องไห้กับเขาล่ะ”


    “เธอไม่ได้สูญเสียอะไรนี่นา”


    เมื่อปีก่อนแม่หนูตาย หนูก็ไม่ร้องไห้นี่นา”


    “เธอเรียนรู้ว่าไม่มีใครเกิดใครตายเลยไม่ร้องไห้ไงล่ะ แล้วเธอคิดอย่างไรกับเขาล่ะ”


    “เปล่า คิดสงสาร เพราะเขารับรู้ไม่ได้คะ”


    “เขายังเป็นเด็กกันอยู่ จะเยี่ยวรดขี้รดเธอจะตีเด็กได้หรือ” อาจารย์กล่าว


    “ไม่ค่ะ เราไม่รู้จะช่วยเขาได้อย่างไรคะอาจารย์”


    อาจารย์ช่วยเธออย่างไร เธอก็ต้องหว่านพืชพันธุ์พุทธะตามหน้าที่เมื่อมีโอกาส


    “ลัดสั้นฉับพลันแว้บเดียวอย่างอาจารย์นี้ยากมาก นานๆ จะพบสักท่านหนึ่ง ถ้าแบบเนิ่นช้าไปก่อนนี้ หนูว่าพอหาได้คะ”


    “ช้าเร็วก็ต้องไปที่เดียวของพระอริยะเจ้าทั้งนั้น”


    “ธรรมะแบบเซ็นนี่มันแน่จริงๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย


    “ใครว่าล่ะ” อาจารย์ถาม


    “ก็หนูว่าอยู่นี่ไง”


    “ถ้าหนูว่าล่ะก็ มันไม่แน่หรอก แต่ถ้าหนูไม่ว่าอาจารย์ก็ไม่ว่านี่สิ มันนิ่ง มันนิ่งมันจึงจะแน่”


    ทำอย่างอาจารย์ไม่ได้


    วันนี้ศิษย์ผู้ใกล้ชิดอาจารย์เล่าว่า อาหารเย็นวันนี้กลืนไม่ลงคอเลย เพราะคนเก็บขยะมาร่วมวงอาหารด้วยเหม็นขยะติดตัวพร้อมกลิ่นเหล้า เหมือนเรื่องที่อาจารย์เคยเล่าให้ฟัง


    อาจารย์เซ็นองค์หนึ่งชอบออกจากวัดไปเที่ยวขอทานโดยปลอมตัวเสียไม่ให้ใครรู้ ปนเป็นพวกขอทานอยู่ตามใต้สะพาน ลูกศิษย์ตามหากันเป็นเวลา ๒ ปีจึงพบและได้ขออยู่ด้วย


    “เอ็งอยู่กับอาจารย์ไม่ได้หรอก” อาจารย์ว่า ศิษย์ก็อ้อนวอนว่า


    “ผมอยู่ได้ ไม่กลัวความลำบากใดๆ ทั้งสิ้น”


    อาจารย์เลยตกลง ศิษย์จึงไปขอทานกับอาจารย์ สามวันผ่านไป ขอทานอีกคนหนึ่งเกิดตาย และศพได้ถูกเอาไปฝัง เช้าวันใหม่ ศิษย์เห็นสายแล้ว ก็เตือนอาจารย์


    “ไปกันเถอะอาจารย์ สายแล้ว”


    อาจารย์จึงว่า


    “วันนี้ไม่ต้องไป อาหารที่เพื่อนขอทานตายยังเหลืออยู่”


    ว่าแล้วอาจารย์ก็ไปเอามานั่งกินหน้าตาเฉย ศิษย์กินไม่ลงคอแข็ง กลืนไม่เข้า นั่งน้ำตาร่วง อาจารย์จึงว่า


    “บอกแล้ว เธออยู่กับอาจารย์ไม่ได้หรอก”


    ศิษย์ก็เข้ามากราบอาจารย์ ขอลาจากไป


    “หนูก็เจอบทเดียวกับศิษย์อาจารย์เซ็นผู้จากไปนั่นแหละ แต่หนูก็ไม่ได้แสดงอะไรๆ ออกมาให้เขาเห็นเลย ทำไมอาจารย์ไม่เป็นอย่างหนูล่ะ” ศิษย์ผู้เล่าเรื่องถามอาจารย์


    “ธรรมะยังไม่เข้าสิงถึงจิต จนจิตไม่มี คนไม่มี จึงจะลอยตัวว่างได้ รออีกหน่อย ลูกเซ็นจึงจะเกิด”


    ห้ามความโกรธชนิดตาใสๆ


    ในวันหนึ่งอาจารย์ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปตลาด เวลาขากลับก็ผ่านห้องแถว มีชายผู้หนึ่งกำลังไล่ตีลูกสาวลูกชายอยู่ อายุประมาณ ๖-๗ ขวบเห็นจะได้ เด็กวิ่งหนีเข้าไปหาแม่ให้แม่ช่วย พ่อไม่ยอมเข้าไปดึงเด็กจากแม่ออกมา กำลังจะตีด้วยไม้ซีก อาจารย์สั่งจอดรถแล้วเข้าไปห้ามใช้เสียงอันดังฟังชัด


    หยุดนะ! คุณหยุดนะ ถ้าไม่หยุดมีเรื่องเดี๋ยวนี้”


    ลูกผมนะ”


    ไม่จำเป็น พูดเอาเองนี่” อาจารย์ว่า


    “นี่มันลูกผมนะ”


    แล้วใครบอกล่ะว่าลูกของคุณ” อาจารย์ถาม


    “ก็ผมบอกอยู่นี่ไงล่ะว่าลูกผม ลูกผม”


    คุณก็พูดเอาเองว่าลูกคุณ ชื่อคุณก็ตั้งเอาเอง จงหยุดตีเสีย แล้วคิดดูดีดี มันบอกว่าเป็นลูกคุณจริงๆ หรือ หรือคุณพูดเอาเองทั้งนั้น ฉันไปล่ะ พรุ่งนี้พบกันใหม่”


    พ่อเด็กยืนงง มองจนรถลับตา...พรุ่งนี้พบกันใหม่


    โกรธหาย


    วันรุ่งขึ้นอาจารย์ก็ไปบ้านที่พ่อตีเด็กสองคนใหม่ พอไปถึง ชายเจ้าของห้องก็ออกมาต้อนรับ


    “สวัสดีครับผู้เฒ่า”


    “เออ สวัสดี เป็นไง เมื่อวานนี้ฉันต้องขอโทษเธอด้วย”


    “ไม่เป็นไร ผมสิที่จะขอโทษ พอท่านกลับไปแล้วผมเป็นงงๆ อยู่นาน ได้สติก็คิด ท่านเป็นใคร ไม่รู้จักกันสักหน่อย ธุระอะไรเข้ามายุ่งกับครอบครัวผู้อื่น เมื่อคืนผมนอนคิดจนหลับไปตื่นขึ้นมันก็ยังก้องอยู่ในหูของผม เสียง ก็มีอำนาจมากจนผมเถียงไม่ขึ้นเลย ตอนลูกออกจากท้องแม่ เสียงร้องอุแว้ๆๆ มันไม่ได้บอกว่าเป็นลูกของผม พูดเอาเอง โอ้โฮ ผมพูดเอาเองจริงๆ แล้วผู้เฒ่าคือใคร อยู่ที่ไหนครับ”


    “ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก คนแถวๆ นั้นเขาเรียกว่าตา อยู่ตำบลนาโฉง หมู่ ๒ คนไกลๆ ที่เขาขับรถเก๋งมาหาเขาเรียกกันว่าอาจารย์ ว่างๆ ก็ไปสนทนากันบ้างก็ได้”


    “ผมขอถามหน่อยเถอะครับ ความโกรธที่ผมโกรธมันหายไปไหนครับ” ชายหนุ่มสงสัย


    มันไม่หายไปไหนเพียงแต่มันหลบแอบอยู่เพราะเหตุมันเปลี่ยน พอมีเหตุให้โกรธ มันก็โกรธขึ้นอีกก็ได้”


    “แล้วจะทำอย่างไรจึงจะหายไปเลยครับ”


    “ถ้าคนหมด โกรธก็หมด เพราะคนไม่มี โกรธก็ไม่มีจริงๆ”



    เข้าสนามรบแล้วแพ้


    เมื่อวันก่อน ลูกศิษย์นอกสำนักมาพบ ได้คุยกันถึงเรื่องการปฏิบัติธรรมะว่า


    อาจารย์ พอผมลงสนามรบยังไม่ทันชักดาบเลย สู้ไม่ได้แพ้เสียแล้ว (กิเลส) เมียมันว่าเอาๆ หลายเรื่อง ความโกรธมันขึ้นหน้าร้อนผ่าวทันที ที่เรียนมารู้มามันหนีไปไหนไม่รู้อุตส่าห์มีสติตั้งมั่นดูจิต จิตมันไม่ยอมจะออกไปรบกับเขา จะทำอย่างไรดีครับอาจารย์


    ฟังดีๆ นะ เธอมัวไปปฏิบัติที่จิตที่สติ เห็นว่าสติมีจิตมี และเข้าใจว่าจิตใจมีอยู่จริง เลยมีกูโดยไม่รู้ตัว จิตไม่มี ใจไม่มี สติไม่มี เพราะทั้งหมดนั้นมันว่างอยู่ ถ้าเข้าใจจิตว่ามันไม่มี หรือเห็นลงไปว่าที่เห็นทั้งหมดมันว่างอยู่เท่านั้น เมียก็ว่าง คำพูดเมียที่ด่าที่ชม-มันว่างและยิ่งเห็นโลกนี้เป็นของว่างอยู่ ตัวเธอนั้นแหละมันว่างอยู่จึงไม่ต้องเรียนอะไร ไม่ต้องปฏิบัติอะไรทั้งสิ้น” อาจารย์ตอบ


    “ผมยังเห็นเมียด่าอยู่นะอาจารย์”


    “ถ้าเช่นนั้น ถ้าเมียเธอตาย ให้เขายัดใส่เตาเผาศพสัก ๕-๖ ชั่วโมง ไปเปิดดู จะเหลืออะไรไหม" "ไม่เหลือแม้แต่กระดูก หายไปหมด’’


    โอ้โฮ มันพึ่งเห็นว่าเมียผมไม่มีอยู่จริงๆ มันว่างๆ แต่ก่อนเกิดเสียอีก เห็นแล้วท่านอาจารย์ ผมก็ว่าง”


    “อะพิโธ่ อาจารย์สอนมานานแล้ว”



    ปฏิบัติธรรมกิเลสไม่หมด


    ที่บ้านอาจารย์มีหมาอยู่สองตัวมันแสนรู้พอสมควร ทุกครั้งเมื่อผู้นี้มาจะต้องมีกระดูกหมูมาให้หมาๆ หมามันจำได้อย่างดี และดีใจเมื่อได้ของโปรด คำถามของท่านผู้นี้ก็ถามว่า


    “อาจารย์ ปฏิบัติแล้วกิเลสไม่หมดเพราะอะไร


    คน หรือตัวกูยังไม่หมดเพราะว่าเลี้ยงหมาไว้ หมาออกไปข้างนอกกัดกับหมาอื่น เจ้าของต้องช่วยตีหมาอื่นๆ ให้หนีไป มันกัดหมากู พอเข้าบ้านหมาไปกัดแมวในบ้าน ต้องตีหมา เพราะมันกัดแมวกู พอแมวไปกัดลูกเข้าก็ต้องตีแมว แมวมันกัดลูกกู พอลูกไปตีแม่ ก็ต้องตีลูก เพราะลูกไปตีเมียกู พอเมียมาตีกู กูก็ต้องตีเมียเพราะเมียมาตีตัวกู มันมีกูตัวกูต่อเนื่องจึงไม่จบ” อาจารย์ตอบ


    “แล้วทำอย่างไรจึงจะจบล่ะ อาจารย์”


    “ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่เธอเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมตัวเธอด้วยเป็นสิ่งเดียวกันเท่านั้น เธอก็จะได้ขี่ช้างเผือกในฝันของเธอทันที”


    ทำบุญแล้วยังทุกข์


    รุ่งอรุณวันใหม่ ภายในซอยบ้านอาจารย์จะมีพระมาบิณฑบาตทุกๆ วัน เว้นวันพระ มีผู้ใจบุญใส่บาตรทุกวันอยู่บ้านเดียวจริงๆ ถ้าอาจารย์สายหน่อยก็จะพบนักบุญหญิง ดูอายุก็ประมาณ ๖๐ ปีน่าจะได้ ใส่บาตรพระแล้วก็ยืนคุยกับอาจารย์ เขาเรียกอาจารย์ว่าตาทุกคน


    “ขออนุโมทนาบุญด้วยนะ” อาจารย์ทัก


    “ฉันก็ขอแผ่ส่วนบุญให้ตาด้วยเหมือนกันตา จำเริญๆ เถอะจ้า”


    “หนักไหมบุญที่ทำ” อาจารย์ถาม


    วันนี้ไม่หนักหรอกตา สบายใจดี แต่เวลาไม่ได้ทำ ทำไมมันทุกข์ล่ะตา”


    “สัญญามันเคยจำไว้จึงเป็นเช่นนี้” อาจารย์ตอบ


    แล้วทำไมมันยังทุกข์เรื่องอื่นๆ ร้อยแปดจิปาถะอยู่ล่ะตา”


    มันไม่รู้ ไม่รู้เรื่องหมดทุกข์ไงล่ะ”


    “แล้วฉันจะต้องแก้ยังไงล่ะตา”


    “ต้องเข้าไปรู้ว่าทุกข์นั้นไม่มีอยู่จริงหรอก


    “เมื่อทุกข์ไม่มีอยู่จริง ทำไมฉันจึงทุกข์ล่ะตา” นักบุญหญิงสงสัย


    ก็เพราะมันไม่รู้ไงล่ะ”


    “แล้วมันต้องวนอยู่อย่างนี้หรือตา”


    ตายแล้วเกิดใหม่ก็ทุกข์อย่างนี้”


    “แหม อยากหมดทุกข์จริงๆ เลยตา”


    “บ้าน รถ ตู้เย็น ไฟฟ้า โทรทัศน์ มันทุกข์ไหม”


    “ไม่ทุกข์หรอกตา”


    “เพียงแต่เธอเป็นสิ่งทุกสิ่งที่กล่าวมานั้น แล้วเธอก็ไม่มีทุกข์อีกแล้วจริงๆด้วย”


    ยังไม่ชัดในธาตุสี่


    อาจารย์รับโทรศัพท์ใกล้ค่ำของวันที่ ๒๔ พ.ค. ๒๕๔๗ คุณพยาบาลที่กรุงเทพฯ โทรมา


    “อาจารย์ขา หนูมีปัญหาอยากถามอาจารย์คะ เวลาอยู่คนเดียวและทำงาน ทำไมมันไม่ว่าง แต่พอฟังอาจารย์คุยให้ฟัง มันเกิดว่างตามเห็นได้ทุกๆ อย่างที่อาจารย์คุยทั้งหมดเลยค่ะ”


    ที่เธออยู่คนเดียวและทำงานนั้น เธอเอาตัวตนมาดู เอาขันธ์ห้ามาใช้ โดยไม่ทิ้งขันธ์ห้า ต้องเห็นลงไปว่าขันธ์ว่าธาตุทั้งสี่ไม่มีอยู่จริงอีกด้วย แต่เวลาดูเธอไม่เห็นว่า ตัวดูตัวรู้นั่นแหละมันไม่มีอยู่จริงด้วย เป็นเพียงมายาเท่านั้นเอง”



    ยังว่างเองไม่ได้


    ลูกศิษย์กับอาจารย์กำลังออกกำลังกายในตอนตี ๔ ครึ่ง เมื่อพอแล้ว ก็หยุดพัก ลูกศิษย์ได้จังหวะก็ถามอาจารย์ขึ้นว่า


    “อาจารย์ จริงๆ แล้วผมก็ดูจนรู้จนเห็นว่าขันธ์ห้าตัวตนไม่มีอยู่จริงแล้ว แล้วมันว่างจากจะเป็นอะไรได้ตามที่อาจารย์ชี้แนะทั้งหมดแล้ว ทำไมมันไม่ว่างตลอดแบบที่อาจารย์ว่างล่ะครับ”


    “เธอไปดูไปเห็นไปทำให้มันว่าง แล้วยังมีความประสงค์ต้องการว่างขึ้นอีก มันเลยไม่ว่างจริงๆ ไงล่ะ"


    “แล้วว่างจริง มันอย่างไรล่ะครับ”


    อาจารย์บอกพวกเธอเสมอว่าโลกนี้เป็นของว่าง เมื่อเดิมยังไม่มีอะไรเลยสักสิ่งเดียว ก่อนจะมีอะไรๆ นั่นแหละ


    “จิตหนึ่งล่ะครับ”


    จิตหนึ่งคือความว่าง เมื่อมีสิ่งทุกๆ สิ่งขึ้นบนโลก เป็นเพียงส่วนประกอบของจิตหนึ่งเท่านั้น และทุกสิ่งนั้นก็เป็นแต่เพียงมายาของโลกอีกทีหนึ่ง จึงเข้าไปยึดอะไรๆ ไม่ได้เลย ที่เธอลงว่างไม่ได้ ก็มัวไปเล่นกับมายาแบกหลงไปล้างหลงอยู่ตลอดจึงเปล่าประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น จงฟังอาจารย์นะ เมื่อโลกเขาว่างอยู่แล้ว เธอคือธาตุขันธ์ทั้งหมด มันก็ว่างมาแต่เดิมแล้ว แล้วเธอจะต้องทำอะไร ปล่อยมัน แบมือทั้งสองออกให้หมด เขาว่างของเขาเอง มันว่างอยู่แล้วไงล่ะ”


    อยากว่างถาวร


    มีลูกศิษย์โทรทางไกลมารายงานธรรมะให้อาจารย์ฟังว่า


    อาจารย์ ผมปฏิบัติธรรม มันยังไม่ว่างถาวรแบบอาจารย์เลย ช่วยชี้แนะหน่อยสิ”


    “เธอจงทิ้งคำว่าถาวรและไม่ถาวรเสีย แล้วเธอจะว่างอยู่ตลอดกาล”


    โรคอวด


    ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยพุทธกาล มีเศรษฐีคนหนึ่ง รวยมากๆ มีเพื่อนอยู่หนึ่งคน จึงเชิญเพื่อนมาในงานบุญที่บ้าน เพื่อจะอวดเตียงนอนของตัวเอง เพราะเตียงนอนนั้นฝังเพชรทั้งเตียง มันอยู่ในห้องคนไม่เห็น ถ้าจัดงานบุญคนจะได้มาเห็น เตียงเป็นเพชรทั้งหมด เพื่อนได้รับเชิญก็ไป แต่ใส่ถุงเท้าคู่ใหม่ที่พึ่งซื้อมาเพื่ออวดเพื่อนสักหน่อย นิมนต์พระ พระติดงานบุญที่อื่นหมด จึงไปเอาพระธุดงค์ที่ปักกลดอยู่ไม่ห่างบ้านเศรษฐีเท่าใดนักมาองค์เดียว งานบุญนี้ไม่ได้บอกใครมากนัก ถวายสังฆทานเท่านั้น แก้เคล็ด เศรษฐีป่วยนอนแซ่วอยู่บนเตียงเพชร แขก พระ เพื่อน มาพร้อมกันเข้าไปหาเศรษฐีถึงในห้อง ก็ตะลึงเตียงเพชรทั้งหลังทีเดียว ระหว่างเพื่อนเศรษฐีนั่งอยู่นั่นก็ดึงขากางเกงขึ้นให้สูงๆไว้เพื่อโชว์อวดถุงเท้าคู่ใหม่ เศรษฐีก็เห็นเพื่อนทำเพื่ออวดเรา ส่วนเศรษฐีก็อวดเตียงเพชร เพื่อนเอ่ยขึ้นก่อนว่า “เพื่อนเราป่วยเป็นโรคอะไรหรือ ถึงทำบุญถวายสังฆทาน”


    เศรษฐีก็ตอบ “เป็นโรคเดียวกับเพื่อนนั่นแหละ”


    เอนึกไม่ออกว่าตัวเองเป็นโรคอะไร หันไปถามพระธุดงค์ว่า “พวกผมเป็นโรคอะไรกัน”


    พระร้องอ๋อ “เป็นโรคที่รักษายากมากทีเดียว”


    “โรคอะไรขอรับ”


    “โรคอวด” พระบอก เพื่อนเศรษฐี สะดุ้ง “เออหนอ คงรักษายากจริงๆ ด้วย”


    หนึ่งปีผ่านไป เพื่อนเศรษฐีก็มาพบเศรษฐีในชุดพระธุดงค์เสียแล้ว และได้สนทนากันใหม่ ถามว่า “เพื่อนเราไปได้ยาวิเศษอย่างไร จึงรักษาโรคอวดได้หายขาดเด็ดขาดไปเลย”


    พระเศรษฐีตอบว่า “ก็ไม่ยากอะไรเลย เรายกทรัพย์สมบัติทั้งหมด และแจกให้ผู้ที่ควรจะได้รับเอาไปกันทั้งหมด รวมไอ้เจ้าเตียงเพชรตัวโปรดเสียด้วย และแม้แต่กายกับใจอันนี้ก็คืนโลกเขาไป โรคอวดที่เคยรุมเร้าใจเราก็หายไปสิ้น เพราะพระธุดงค์องค์นั้นนั่นแหละ ถ้าเพื่อนเราจะรักษาบ้างก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลยทีเดียว”


    พอกลับมาถึงบ้านคืนนั้นทั้งคืนก็เอาถุงเท้าคู่เดิมออกมาดู ดูมาดูไป มันหมดสภาพใหม่ ไม่เหลือเลย ส้นเท้าก็ขาด ทางหัวก็หัวแม่เท้าโผล่ ใช้การไม่ได้อีกแล้ว คิดไปคิดมา ก็ผุดขึ้นในใจว่า มันจะไปอวดใครเขาได้อีกเล่า กายใจอันนี้ก็แก่เฒ่าลงทุกวัน พึ่งไม่ได้เลย โอ้หนอปรากฏว่าเกิดพระธุดงค์ขึ้นอีกหนึ่งองค์ตามเพื่อนพระเศรษฐีไป ก่อนจะไปได้พูดว่า “โรคอวดนี้เราไม่เอาไปด้วยอีกแล้ว ต้องทิ้งไว้ให้ผู้อยู่ข้างหลังก็แล้วกัน”


    ชีวิต


    พูดถึงชีวิต ชีวิตของความเป็นคนทั้งๆ ที่เป็นคนโดยสมมติแท้ไม่รู้กันเลยว่าไม่ใช่คนเลย ตามความเป็นจริง วันนี้ยามใกล้ค่ำยกอาหารมารับประทานกันเกิดมีอาการที่แปลกๆ ขึ้นในครอบครัวสามชีวิตเท่านั้น ผู้ใกล้ชิดอาจารย์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อใกล้อิ่มว่า


    “เธอกินให้หมดไปเลยสิ ขนุนนั่นน่ะ”


    “อ้าวแล้วเธอล่ะ ทำไมไม่กินช่วยล่ะ”


    “ฉันกินแล้ว กินตั้งแต่ผ่าและแจกชาวบ้านที่ใกล้ๆ จนหลายบ้านแล้ว”


    “ฉันก็กินจนอิ่มแล้ว แต่เธอนั่นแหละไม่ช่วยกินให้หมด สองสามวันมาแล้วนะ”


    “นี่เธอ ฉันก็มีท้องแค่นี้เอง แล้วจะบังคับกันทำไมล่ะ”


    “เปล่า ฉันเพียงแต่บอกเธอว่าเธอไม่ช่วยเท่านั้น”


    ทั้งสองคนก็ยังเถียงกันเรื่องกินน้อยกันอยู่ อาจารย์ฟังอยู่นานแล้วก็พูดขึ้นว่า


    “ก็ไม่เคยได้ยินเรื่องอย่างนี้คือเกี่ยงกันกิน มีแต่เขาแย่งกันกิน กินเท่าไรไม่พอ สมัยอาจารย์เป็นเด็กวัดอยู่ แย่งกันกินทุกวัน สามวันกินแต่ข้าวคลุกน้ำปลากับไม่มีเลย แย่งกันหมดเลย วันนี้สิจึงแย่งกับเขาได้ แต่เกิดเรื่องใหญ่แทงกันด้วยส้อมเลือดสาด พระอาจารย์ในวัดจึงจัดใหม่ให้กินกันอย่างมีระเบียบวินัย แต่นั้นมาจะไปอยู่ที่ไหนๆ ก็แย่งกันทั้งนั้น แต่ที่ครัวนี้แปลก ดูแล้วครัวอาจารย์เป็นแต่ผู้ให้จึงอุดมสมบูรณ์ ไม่เคยขาดเลย ทุกๆ สิ่งต้องการอะไรก็ได้สิ่งนั้นๆ จนเป็นธรรมดาไปแล้ว”


    พายเรือบนบก


    เช้าวันหนึ่ง พระลูกศิษย์กลับจากบิณฑบาตทางเรือ เอาของออกจากเรือแล้ว ลูกศิษย์วัดก็ช่วยกันยกเรือขึ้นจากน้ำเอามาวางไว้บนตลิ่ง พอเด็กกลับไปแล้ว อาจารย์ใหญ่ก็ลงมา และลงไปนั่งในเรือ เอาพายๆ เรือเป็นการใหญ่


    “เกิดอะไรขึ้นหรือ จึงทำอะไรแปลกๆ อย่างนั้นท่านอาจารย์”


    ทีท่านยังพายเรือในน้ำได้ ผมพายเรือบนบกจะเป็นไรไปเล่า”


    “แล้วจะได้อะไรล่ะอาจารย์” ลูกศิษย์ถาม


    “อาจารย์จะถามบ้างนะ แล้วทีท่านพายทุกวันๆ ท่านได้อะไรบ้างล่ะ”


    พระลูกศิษย์ยืนนิ่งอยู่นานพอสมควร ไม่มีเสียงใดๆ ออกจากปากพระลูกศิษย์อีกเลยได้แต่อุ้มอาจารย์ใหญ่ไปบนกุฏิ แล้วกราบอาจารย์เป็นหลายหน ก่อนจะแยกไปกุฏิของท่าน


    “อาจารย์ครับ ผมไม่ได้พายเรือจริงๆ ด้วย”


    อาจารย์ยิ้มให้นิดเดียว



    ภาคที่ ๓ ธรรมะรายวัน


    ธรรมะรายวัน (๑)


    ๑) คนทั้งหลายไม่กล้าที่จะทำความรู้สึกว่า ตนไม่มีจิตของตน เขากลัวว่าจะตกลงไปสู่ความว่าง ไม่มีอะไรจะเกาะยึดเหนี่ยวไว้


    ๒) คนบนโลกนี้มีแต่คนเมา เมากันหลายรูปแบบ เหล้ายา เงินทอง ความรัก แม้แต่ธรรมก็ยังเมากันเลย เมาอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับไม่รู้ว่าตัวกำลังเมาความเมาอยู่


    ๓) ท่านผู้ใดใจคด ก็จะคดอยู่เป็นประจำ ท่านผู้ใดใจตรง ก็จะตรงเสมอ แต่ท่านผู้ใด “ไม่มีใจ” สบายจัง


    ๔) ในแต่ละวันที่ผ่านไป ทุกคนควรปฏิบัติไม่เห็นแก่ตัวตลอดเวลา


    ๕) วันนี้ฟ้าใส เดือนหงายจ้า ท่านที่มีใจขุ่นมัวมืดมนหม่นหมองอยู่ จงออกมายืนดูฟ้าสดใสแล้วทิ้งใจดวงมืดมนเสียท่านก็จะเห็นโลกสว่างจ้ากว่าดวงจันทร์เป็นไหนๆ


    ๖) ไม่มีอะไรเลยสักสิ่งเดียวที่มีอยู่ ดังนั้นฝุ่นสกปรกจะจับได้ตรงไหน ถ้าใครเข้าใจความจริงหัวใจของความจริงเรื่องนี้ คงไม่ต้องพร่ำถึงความสุขชั้นเลิศอีกต่อไป


    ๗) นกที่บินไปในอากาศ ย่อมไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็น ฉันใด คนทุกคนก็ไม่ควรทิ้งร่องรอยแห่งความเป็นคนไว้บนโลกอีก ฉันนั้น ยมบาลตามหาไม่พบแน่


    --------------โปรดติดตามต่อไปอีก-----------------------------<!-- End main-->



    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2554 16:25:53 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : 87 Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336589717408 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D05-02-2011%26group%3D1%26gblog%3D114&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336589717408&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=534509548&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336589717408 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>




    </TD><TD>Add to [​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <!-- <table width=100% border=0 cellspacing=0> <tr> <td>Counter : <script src='http://fastwebcounter.com/secure.php?s= bloggang2679285 '></script> Pageviews. </td> </tr> </table> -->​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <FORM method=post name=reply action=http://www.bloggang.com/reply.php?id=secret-world><INPUT name=code value=u7dba50=9kiw?74h?0j-dyibfa03_?|=93opt3_k_fb3o1cffm81vr2yr5t3kl type=hidden>​

    </FORM>​



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2012
  18. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2554 20:55:29 น.-->ธรรมมะรายวัน จากปรมาจารย์เซ็นเดิม(ภาค 4)

    <!-- Main -->๘) รถที่วิ่งได้เร็วเกินกำหนด-ไม่ควรนำเอามาใช้ ไฟถ้าควบคุมไม่อยู่-ไม่ควรเอามาใช้ คนที่วิ่งเร็วเกินคน-ตัวเขาหายไปเลย -ควรเอาไปบูชา
    ๙) การหนีจากกระท่อมโรงนามาอยู่คฤหาสน์หลังใหญ่ บอกมีความสุขนั้น หลายคนเข้าใจเช่นนี้ แต่ผู้ที่ไม่มีจิตของเขา อยู่ตรงไหนก็หลับสบายทั้งนั้น

    ธรรมะรายวัน (๒)
    แผนที่คือทางไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ การเรียนและปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน เพื่อไปให้ถึงนิพพาน ในนิพพาน ไม่มีคิด นึก รู้สึก สติ พูดเอาไม่ได้ เมื่อถึงจุดหมายแล้วควรทิ้งทางเสีย ทั้งๆ ที่ไม่มีทางที่จะทิ้ง เป็นแต่มายาเท่านั้น

    ธรรมะรายวัน (๓)
    เมื่อรถออกวิ่ง ล้อจะหมุนไปตามแรงของเครื่องยนต์ยางรถก็จะสึกไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เปลี่ยนก็ต้องพัง ฉันใด คนก็ฉันนั้น แก่ลงๆ แล้วก็พังไปเกิดใหม่ตามกรรมที่ทำดีทำชั่วเป็นวัฎฏะ เพราะเป็นธรรมเท่านั้น
    คนส่วนมากย่อมไม่รู้ เหตุธรรมทั้งหลาย ย่อมไหลมาจากเหตุ เหตุดีเหตุชั่ว ควรดูอยู่เฉยๆ แล้วเหตุจะหมดไปเอง ไม่ไปยึดเสียเท่านั้น เหตุจะไหลไปกับความว่างเพราะเราคือผู้ว่างอยู่แล้ว

    ธรรมะรายวัน (๔)
    ผู้ที่กลัวผียังดีกว่ากลัวธรรม สาเหตุที่กลัวเพราะไม่รู้ ถ้ารู้เรื่องผีจริงๆ ไม่น่ากลัว เหมือนธรรมะก็อย่างนั้น ถ้าเห็นแจ้งจากใจปัญญาเกิดก็จะไม่มีใครกลัวธรรมกันเลย พ้นทุกข์ได้อีกไม่ไปตายเกิดอีก เพราะหมดภพชาติความเป็นคน มีแต่ความว่างของจิตที่ว่างอยู่เดิม เป็นจิตเดิมจิตหนึ่งนั่นเอง

    ธรรมะรายวัน(๕)
    เงินทองเป็นของชื่นใจ มนุษย์จึงหลงอยากได้ มากเท่าใดยิ่งชอบ เหมือนเด็กๆ ที่ขายของเล่นๆ แล้วทะเลาะกัน เพราะไม่รู้ว่าที่ได้ๆ นั้นเป็นของมายาเปล่าๆ ต้องกองไว้บนโลก เพราะของๆ โลกเขา ผู้รู้ไม่ข้องอยู่ ไม่ติดทุกๆ สิ่งบนโลก จึงไม่เวียนตายเวียนเกิดอีกต่อไป เพราะรู้อยู่ว่าว่างอยู่แต่เดิมแล้ว
    ธรรมะรายวัน (๖)
    ความคิดของคนไม่เหมือนกัน ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดอาจารย์คนหนึ่งคิดว่าเราอายุก็มากขึ้นทุกๆ วัน แม่พ่อก็ตายหมดแล้ว จะพึ่งพี่พึ่งน้องคงไม่ได้ ต้องเก็บเงินสักก้อนหนึ่งมาสร้างห้องแถวไว้ให้เขาเช่าบ้าน มีแล้วเก็บกินบั้นปลายชีวิต
    อีกคนหนึ่งคิดว่าเรามีธรรมะจนพึ่งตัวเองได้แล้ว ควรแจกธรรมะให้ผู้ที่ยังไม่รู้อีกมาก เป็นที่พึ่งชีวิต ถึงยังไม่บรรลุก็ยังติดจิตวิญญาณไปภพหน้า ยังดีกว่าไม่ได้อะไรไปเลย จึงอุทิศตัวตนที่หมดตนของตน ให้ผู้อื่นได้รสพระธรรมจึงจะดี
    ธรรมะรายวัน(๗)
    ความเกรงใจเป็นบ่อเกิดแห่งมนุษย์ คนดีย่อมมีระเบียบ
    ธรรมะรายวัน(๘)
    ก่อพระทรายชายทะเลจะให้เป็นรูปอะไรก็ได้ แต่พอน้ำทะเลขึ้นมาท่วม รูปพระทรายก็หายไปหมดกลับเป็นหาดทรายอย่างเดิม ฉันใด สิ่งทุกสิ่งบนโลกนี้ก็เปลี่ยนไป ฉันนั้น เรียกว่าเป็นธรรมดา แม้แต่อารมณ์ในความคิดที่คิดดีไม่ดี เปลี่ยนเป็นคิดว่างๆ เสียก็เท่านั้น
    กินมากก็ตายกินน้อยก็ตาย เขาเรียกว่าตายเพราะกินและไม่กิน ผู้ไม่กินไม่ตายเพราะไม่มีผู้กิน
    ธรรมะรายวัน(๙)
    ไม่ทำบุญเลยก็ได้ แต่อย่ากระทำความชั่วใดๆ เลย ไม่ทำบาปทั้งปวง
    คิดดีทำดียังไม่พอ ต้องหยุดคิดทั้งดีและไม่ดีเสีย แล้วความคิดจะว่างโดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะดีไม่ดีหมดไป มีแต่คิดว่างๆ หรือว่างจากคิด
    ภาคที่ ๔ หัวข้อธรรมในคำกลอน
    หัวข้อธรรมในคำกลอน
    ของท่านอาจารย์ กตฺธุโร

    เขียนผิดบ้างถูกบ้างก็ยังดี
    เพราะเรียนแค่ ป.๔ เท่านั้นหนา
    ขอผู้รู้โปรดเสริมเติมศรัทธา
    หากแม้นว่าถูกผิดให้ติชม

    จะต้องละขันธ์ห้าว่าของกู
    เอาขันธ์ห้าเรียนรู้กูอยู่ไหน
    เห็นขันธ์ห้าจริงๆแล้วทิ้งไป
    กูหรือใครก็ตั้งสร้างขึ้นเอง
    อยากจะบอกจริงๆทิ้งกายใจ
    มันไม่เป็นของใครจริงๆหนา
    เกิดเพราะกรรมนำชี้จึงมีมา
    อย่าหลงบ้ากอดประคองว่าของกู

    ปฏิบัติลึกซึ้งถึงจะเห็น
    ปฏิบัติเล่นๆเห็นไม่ได้
    กว่าจะทิ้งสละละกายใจ
    ถึงสิบปีไม่ได้ก็เคยมี

    ผู้ที่มีวาสนาบารมี
    สละหนีขันธ์ห้าออกมาได้
    ไม่กี่ปีท่านสละละกายใจ
    เหลือแต่ธรรมเป็นไปสู่ธาตุเดิม

    ช่วยกันหน่อยช่วยกันหน่อยค่อยๆดู
    ว่าตัวกูกายกูอยู่ตรงไหน
    ถ้าไม่มีไม่เห็นไม่เป็นไร
    ถึงดูไปก็จะรู้กูไม่มี

    จะนึกคิดสิ่งใดได้ทั้งนั้น
    แต่ที่คิดที่ฝันมันไม่สม
    ยิ่งคิดไปฝันไปได้แต่ลม
    ที่ได้สมตามฝันมันไม่จริง

    ผู้มาใหม่มาเก่าก็เท่านั้น
    ขอให้ดูนานๆจะเห็นชัด
    ที่ไม่เหมือนแตกต่างใจช่างจัด
    แท้ที่จริงคือธาตุอย่างเดียวกัน

    อยู่ที่ไหนก็ได้ไม่มีเรา
    จะอยู่ป่าอยู่เขาเมื่อเราหาย
    จะอยู่เมืองอยู่วังนั่งสบาย
    ถ้าหมดเราเมื่อไรไปนิพพาน


    ถ้าจิตเป็นอนัตตาดังว่าไว้
    จะยึดจิตทำไมให้สับสน
    จิตจะมีไม่มีอยู่ที่คน
    ถ้าใครพ้นจิตได้ไม่ไปมา

    ถ้าใครยุ่งกับโลกจะโศกเศร้า
    เพราะโลกเขายุ่งอยู่ไม่รู้หาย
    จะต้องออกจากโลกโศกจึงคลาย
    จะต้องรู้ลงไปโลกคือเรา

    ถ้าไม่มีตัวเราเขาก็ว่าง
    เพราะว่าเราเข้าไปขวางว่างไม่ได้
    ก็เพราะเราสร้างเราไม่เข้าใจ
    จิตจึงได้หลงใหลว่ามีเรา

    เราไม่ได้เกิดมาน่าจะรู้
    เรามาตู่โลกเขาเป็นเราได้
    ถ้าใครรู้อย่าฝืนคืนเขาไป
    แล้วจะอยู่สบายไม่มีเรา

    ก่อนจะจัดพวกเขาจัดเราก่อน
    จะไม่ร้อนไม่รุ่มกลุ้มสมอง
    ใครแบกรับเอามาน้ำตานอง
    จึงจะต้องไม่ขัดไปจัดใคร

    เมื่อยามใดจิตฟุ้งและปรุงแต่ง
    จะแอบแฝงความทุกข์ไม่สุขสันต์
    ให้หลบหลีกปรุงแต่งแล้วแช่งมัน
    อย่าให้ปรุงเป็นฉันขึ้นมาเลย

    โปรดรักษากายใจให้สะอาด
    อย่าให้ขาดจากศีลจะสิ้นสวย
    ถึงไม่รวยเงินทองก็ต้องรวย
    เพราะศีลช่วยรวยเกินกว่าเงินทอง

    ต้องว่างจากตัวตนจึงพ้นทุกข์
    ต้องว่างจากความสุขสนุกสนาน
    ต้องว่างจากรู้จากเห็นเป็นนิพพาน
    ต้องว่างจากว่างทุกด้านสู่ธาตุเดิม

    อยู่กับความไม่มีนี้ดูบ้าง
    จะได้ว่างได้วางทุกอย่างได้
    ไม่มีมาแต่เดิมเพิ่มทำไม
    ไม่มีเกิดมีตายและไปมา

    มันไม่มีอะไรอยู่ในว่าง
    แต่มันมีอยู่อย่างคือตัวเห็น
    ใครที่เห็น เห็นรู้ก็ดูเป็น
    ใครหมดเห็นหมดรู้อยู่สบาย

    จิตที่เป็นอิสระพุทธะเกิด
    จิตประเสริฐไม่ข้องของสิ่งไหน
    จิตปกติเหนือสุขทุกข์ห่างไกล
    จิตไม่ขึ้นลงส่งให้ไปนิพพาน

    มีนิพพานเป็นอารมณ์ก็สมแล้ว
    จิตผ่องแผ้วไร้ทุกข์สุขสดใส
    ไม่ขึ้นลงจริงไม่จริงกับสิ่งใด
    จึงพ้นภัยเรื่องกามจะตามกวน

    เงินของกูไม่มีแล้วนี่หว่า
    แล้วจะว่าเงินกูอยู่ตรงไหน
    ของๆโลกทั้งนั้นนั่นปะไร
    ยึดทำไมจับจองว่าของกู

    ให้มันว่างเสียบ้างจากตัวกู
    ให้มันรู้เสียบ้างจากตัวฉัน
    ให้มันเห็นเสียบ้างว่างทุกวัน
    ให้มันหลุดจากการจะก่อกาม

    ไม่มีกายมีใจสบายนัก
    เพาะหมดรักหมดชังมาขวางกั้น
    มีชีวิตเหมือนไม่มีนี้สำคัญ
    จะตายเป็นไม่หวั่นเพื่อไหว้วอน

    ขอให้ดูตัวกูอยู่บ่อยๆ
    มากหรือน้อยให้เห็นเป็นนิสัย
    ถ้าตัวกูยังมีในที่ใด
    จะสร้างทุกข์มากมายให้ทุกคน

    ถ้าใครดับสังขารนิพพานเกิด
    จิตประเสริฐไร้สุขทุกข์เหือดหาย
    เพราะหมดเห็นเหนือรู้ตัวกูตาย
    อยู่สบายเหมือนไม่อยู่จะรู้เอง

    ต้องฟอกจิตให้สะอาดขาดจากจิต
    อย่าให้ติดอะไรในโลกนี้
    จิตต้องทิ้งทุกสิ่งได้ใดๆมี
    แม้แต่จิตอันนี้ก็ละวาง

    มันไม่ได้อะไรใครก็รู้
    แต่อยากอยู่ข้างได้สบายกว่า
    เพราะชื่นชอบขอบใจที่ได้มา
    จะมากน้อยไม่ว่าได้เป็นดี

    ชะตาคนที่เห็นเล่นกลับกลอก
    มันลวงหลอกมาไปได้ทุกที่
    ยามไขว่คว้าหาแทบตายก็ไม่มี
    พอถึงคราวเราหนีมีมาเอง

    โลกไม่วุ่นไม่วนดังคนว่า
    คนนั่นแหละเกิดมาน่าสับสน
    ไปยึดโลกเป็นเราเอามาวน
    เลยรับผลแต่แรกแบกโลกไป

    คนไม่รู้ถึงดูก็ไม่ออก
    ถึงจะบอกอย่างไรก็ไม่เห็น
    มันเป็นเพราะความรู้ดูไม่เป็น
    แต่เที่ยวเต้นเที่ยวขู่คนรู้จริง

    เรื่องของกรรมใครก่อต้องรอรับ
    จะบังคับไม่ได้ให้หายสูญ
    นอกเสียจากหมดกูอยู่เหนือบุญ
    กรรมจึงสูญสิ้นกรรมตามไม่ทัน

    ดับสังขารเสียได้สบายมาก
    มันไม่ลากไม่ฟุ้งปรุงไปไหน
    เพราะสังขารตัวปรุงให้ยุ่งใจ
    ดับสังขารเมื่อไรก็ไม่ปรุง

    ถ้าตามใจตามกายให้มันติด
    ก็มีสิทธิ์เกิดตายลงฝ่ายต่ำ
    ใครจะติดๆไปไม่น่าตาม
    แต่ฉันห้ามฉันปลงอย่าหลงไป

    จะขอพึ่งสิ่งใดไม่ได้แน่
    มีเปลี่ยนแปลงปรวนแปรให้แลเห็น
    เพราะอนิจจังรุมเร้าทุกเช้าเย็น
    เลยหมดความจำเป็นจะพึ่งใคร

    จะทำอย่างไรก็ได้ให้หมดเรา
    หรือสติรู้เขาจนเราหาย
    หรือไม่ยึดเราเขาจนเราตาย
    หรือไม่ยึดสิ่งใดก็หมดเรา

    สิ่งไม่ถูกปรุงแต่งแสดงอยู่
    ผู้ไม่รู้มีมากยากจะเห็น
    อารมณ์คนยังไม่หมดเหนือกฎเกณฑ์
    จึงยังเล่นกับสมมุติไม่หยุดลง

    ใครปิดทองหลังพระชนะใจ
    จะไม่มีผู้ใดใครมองเห็น
    ไม่โอ้อวดอ้างเอ่ยดังเคยเป็น
    ตัวจะเห็นผู้เดียวไม่เกี่ยวใคร

    ใครจะกินอะไรก็ไม่ห้าม
    แต่จะให้ดูธรรมโดยต่อเนื่อง
    มิฉะนั้นผิดศีลแล้วสิ้นเปลือง
    กินต่อเนื่องเพื่อกูไม่ดูธรรม

    ภาษาโลกภาษาธรรมต้องกล้ำกัน
    ต้องแบ่งสันเวลาเอามาใช้
    รู้ทุกอย่างจนหมดรู้อยู่ที่ใจ
    โลกและธรรมสมมุติไว้ให้ใช้กัน

    รู้สึกเป็นกูขึ้นมาเวลาใด
    พิจารณาลงไปใช่กูหรือ
    หรือเป็นกูชั่วคราวเหมือนข่าวลือ
    เลยเสียชื่อเพราะรู้สึกนึกเป็นกู

    จิตที่พ้นภาวะสละออก
    สุดจะบอกอธิบายให้ใครรู้
    ไม่เหมือนลิเกละครฟ้อนให้ดู
    สบายอยู่ว่างอยู่รู้ตนเอง

    จะต้องพ้นดูดผลักทั้งรักชัง
    จึงถอยห่างหลบหนีทั้งดีชั่ว
    จึงจะพ้นจากกามตามพันพัว
    ต้องดับตัวไม่เหลือหมดเยื่อใย

    อยู่นอกเหตุเหนือผลหมดคนแล้ว
    มีดวงจิตใสแจ๋วไร้ไฝฝ้า
    หมดกิเลสใดๆจะไปมา
    เหลืออยู่เพียงเมตตาขนสัตว์ไป

    ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ทุกทีได้
    เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวร่อบ้าบออยู่
    เพราะไม่รู้ไม่เห็นเลยเป็นกู
    จึงข่มขู่ตัวเองเร่งให้ตาย

    วันนี้มันไม่ได้ไม่เป็นไร
    พอรุ่งขึ้นวันใหม่คงได้แน่
    ถ้าเรามีความเพียรไม่เปลี่ยนแปร
    คงจะได้แน่ๆแพ้ความเพียร

    โลกมันเป็นอนิจจังหวังไม่ได้
    มันเปลี่ยนแปลงเร็วไวไปทุกอย่าง
    ถึงจะยึดแค่ไหนไม่มีทาง
    เพราะเป็นกฎอนิจจังเปลี่ยนจริงๆ

    ทำบุญด้วยขนมก็สมแล้ว
    ไปสวรรค์คงไม่แคล้วได้ของหวาน
    อยู่ที่ใดก็ดีมีบริวาร
    เพราะของหวานที่ทำบุญค้ำจุนเธอ

    ขอสิ้นสุดกันทีเรื่องดีชั่ว
    อยู่กับคนมันมั่วเรื่องหมองหมาง
    จะต้องหนีไม่รวมและร่วมทาง
    ใจต้องห่างหลายโยชน์ไม่โปรดเลย

    ฝันได้แหวนหนึ่งวงบรรจงเช็ด
    มีเพชรอยู่สามเม็ดที่เช็ดถู
    เพชรสองเม็ดนั้นไม่งามตามที่ดู
    มีเม็ดเดียวสวยหรูน่าดูชม

    จะขอหยุดสร้างกรรมทำไว้มาก
    กรรมมันลากให้ทุกข์ไม่สุขสันต์
    ทั้งกรรมดีกรรมชั่วต้องกลัวกัน
    ที่สำคัญไม่พ้นทนรับกรรม

    ถ้าดูใจติดต่อยังพอเห็น
    ตามกฎเกณฑ์ที่เสนอเผลอไม่ได้
    เมื่อใดเผลอเป็นอัตตาจะพาไป
    จึงดูใจไม่ไช่กูอยู่ประจำ

    มาพิศดูรู้จุดหยุดสังขาร
    จะส่งผ่านครั้งใดก็ให้รู้
    ถ้าไม่รู้เวลาผ่านสังขารกู
    ถ้าใครรู้เท่าทันสังขารธรรม

    ไม่มีอะไรย้อมจิตให้ติดได้
    เพราะล้างจิตจนใสไร้ไฝฝ้า
    กิเลสดับตัณหาตายไร้กามา
    เหลือขันธ์ห้าสมมุติรอหยุดลง

    ต้องทำตัวทำตนให้พ้นค่า
    ไม่มีใครไปมาเพราะค่าหาย
    พอไร้ค่าจากคนพ้นอบาย
    จะมีค่ามากมายเมื่อไร้คน

    พระนิพพานรู้ชัดสัมผัสใน
    สิ่งอื่นรู้ไม่ได้เป็นแน่แท้
    ต้องมีธรรมเป็นที่เชื่อเหมือนเรือแพ
    เข้ากระแสนิพพานต้องผ่านใจ

    อย่าเป็นคนใจอ่อนเสียก่อนการ
    จะเสียงานจริงๆอันยิ่งใหญ่
    กระทำสิ่งที่ดีไม่มีภัย
    ความชั่วก็จะไม่ก่อเป็นกรรม

    ภัยอะไรก็ไม่ร้ายเท่าภัยกู
    มันอวดรู้อวดเห็นเต้นไม่หาย
    เต้นทั้งเอาไม่เอาเร้ากายใจ
    ทั้งชาตินี้ชาติใหม่ตายกับกู

    ฟังเสียงปี่เสียงกลองฆ้องระฆัง
    มันก็ฟังไม่ไพเราะเสนาะหู
    ไม่เหมือนเสียงออเซาะฉอเลาะกู
    มันชื่นหูชื่นใจตายก็ยอม

    จงระวังตาหูจะดูไหน
    ฟังอะไรจงฟังอย่าพลั้งเผลอ
    เพราะว่ากามมีมากจะลากเธอ
    พอรู้ทันมันจะเก้อไม่มากวน

    สุขเหนือสุขจะต้องว่างอย่างไม่มี
    ผู้ใดรู้อย่างนี้มีแต่ว่าง
    ใครไม่รู้ก็จะยึดยืดเป็นยาง
    ออกไม่ได้เหนียวจังยางมันยำ

    จะสอบได้สอบตกอกก็เต้น
    เพราะกูเป็นผู้เรียนยังเพียรอยู่
    จะต้องสอบต่อไปจนไร้กู
    หมดทั้งครูหมดกูหมดผู้เรียน

    ใครมีกายมีใจไหลตายเกิด
    ผู้ประเสริฐไม่ไหลให้ขายหน้า
    ไม่มีกายไม่มีใจจะไปมา
    หมดเวลาตายเกิดประเสริฐจริง

    ไม่มีกูไม่มีคนอยู่บนโลก
    จะทุกข์โศกตรงไหนให้ไปหา
    มีแต่ธาตุมีแต่ธรรมตามตำรา
    หมดสมมุติที่จะว่าอะไรมี

    จะต้องคืนโทรทัศน์ประหยัดไฟ
    และประหยัดอะไรได้หลายอย่าง
    ประหยัดกายประหยัดใจได้หลายทาง
    มันจะว่างการเรียนเพียรดูธรรม

    ไก่พอเริ่มมีหงอนก็สอนขัน
    มันไม่รู้ตัวมันว่าขันได้
    เหมือนกับคนไม่รู้กูคือใคร
    ขันจนตายไม่ปลงหลงว่าคน

    เล่นการเมืองเรื่องยุ่งมุ่งอำนาจ
    จึงประกาศตัวตนเป็นคนใหญ่
    เห็นผู้ใดใหญ่กว่าฆ่าให้ตาย
    น่าเสียดายเวลาไม่ฆ่ากู

    คนบนโลกชักด้อยพัฒนา
    อะไรๆก็ฆ่าเป็นว่าเล่น
    ช่างไม่กลัวบาปกรรมตามกฎเกณฑ์
    เพราะไม่เห็นอนัตตาจึงฆ่ากัน

    ต้องเห็นจิตใต้สำนึกอยู่ลึกมาก
    มันฝังรากหยั่งลงให้หลงใหล
    ทำให้เกิดอัตตาแล้วพาไป
    ที่กามโกรธไม่หายตรงนี้เอง

    กิเลสหมดมันหยุดและพูดน้อย
    มันจะคอยแต่ฟังนั่งเฉยๆ
    ถึงจะพูดเพื่อก่อแล้วพอเลย
    แล้วก็เฉยรับรู้กูไม่มี

    ถ้าตัวตนไม่มีดีทุกอย่าง
    มันจะว่างจากตนพ้นปัญหา
    มี ไม่มีหมดไปไร้อัตตา
    เป็นนักดาบไร้ท่าเหนือกว่าคน

    อย่าตำหนิติใครให้เขาโกรธ
    จะเกิดโทษกับเขาและเราได้
    ถ้าเกิดโกรธอย่างยิ่งยิงกันตาย
    ควรจะติตำหนิใจของเราเอง

    มีแต่ว่างกับว่างเพียงอย่างเดียว
    อย่างอื่นคงไม่เกี่ยวกับว่างได้
    เพราะมันว่างทุกสิ่งทิ้งกายใจ
    ไม่เหลือไว้ทุกอย่างว่างจริงๆ

    วันนี้ถือศีลไม่กินเย็น
    เพื่อให้เป็นกองบุญเพิ่มพูนผล
    เพราะเป็นวันมาฆะสละคน
    จะเห็นผลที่พึ่งถึงนิพพาน

    ให้หากูดีๆยังมีไหม
    กูที่ใจจู้จี้มีหรือเปล่า
    กูไม่มีตรงไหนใจมันเบา
    เหลือแต่ใจเปล่าๆเบาสบาย

    ที่คนมีคนมีมีที่ไหน
    ทำอย่างไรให้พ้นให้คนหนี
    ไม่ล้างใจให้พ้นคนยังมี
    ดูทุกทีล้างใจคนหายเลย

    โอ้เจ้าไก่อยู่ในเข่ง
    มันอวดเบ่งอวดดีตีกันใหญ่
    มันไม่รู้พรุ่งนี้ถึงทีตาย
    ดูคนก็เหมือนไก่น่าอายจริง

    ควรจะอยู่ว่างๆห่างจากคน
    ถ้าอยู่ปนแล้วทุกข์สุขเหือดหาย
    ช่วยสร้างกรรมตลอดไม่ปลอดภัย
    ไม่ทันตายก็ยังบังนิพพาน

    ตัวไม่มีใจไม่มีดีเหลือหลาย
    จะไปยุ่งกับใครที่ไหนเล่า
    เลยหมดตัวหมดกูอยู่ไร้เงา
    จึงว่างเปล่าแบบเปล่าเงาไม่มี

    ไม่เบื่อใจบ้างหรือยึดถือใจ
    ตั้งแต่เกิดจนตายใจทั้งนั้น
    รู้ก็รู้เรื่องใจแล้วตายกัน
    แต่ไม่เห็นใจนั้นมันไม่มี
    จะต้องทำอะไรกับใจเล่า
    ถึงจะเฝ้าจะดูอยู่อย่างนี้
    ประเดี่ยวมีประเดี๋ยวหายไปไม่มี
    เพราะว่าสิ่งๆนี้มีไม่จริง

    เอาความทุกข์ปีเก่านั้นเผาทิ้ง
    เอาความจริงปีใหม่ใส่ไฟด้วย
    เลิกความคิดแบบคนทั้งจนรวย
    แล้วนิพพานจะช่วยรวยว่างเอง

    ไม่ต้องเป็นลูกหนี้ดีที่สุด
    เพราะความทุกข์มันหลุดหยุดลงได้
    กลับมาเป็นเจ้าหนี้ยิ่งดีใจ
    แต่ยังทุกข์ว่าได้เป็นเรื่องจริง

    ย้ายที่นอนที่นั่งตั้งเสียใหม่
    เพราะลูกศิษย์เขาก็ย้ายไปอยู่หอ
    อยู่คนเดียวต่อไปใจมันพอ
    อิสระแล้วหนอรอวันพัง

    ขอหยุดสร้างทำเรื่องกรรมดี
    ใครมาหาที่นี่จึงทำให้
    แม้กรรมชั่วกรรมดีก็มีภัย
    หยุดสร้างกรรมเมื่อไรจึงหมดกรรม

    หนวดเต่าเขากระต่ายมันไม่มี
    ลองไปหาดูทีมีที่ไหน
    ถ้าไม่มีแล้วจะเพียรเรียนอะไร
    อยู่หรือตายก็อย่าฟุ้งยุ่งกับมัน

    ให้เข้าลึกซึ้งถึงใจคน
    แล้วฝึกฝนปัญญารักษาศีล
    สอนให้รู้เหนือคนพ้นมลทิน
    และใช้ศีลนำทางให้ห่างคน

    พอกายใจบริสุทธิ์พูดแต่น้อย
    มันไม่ค่อยจะพูดหยุดอยู่เฉย
    เข้านิพพานถึงที่สุดไม่พูดเลย
    มีแต่เฉยกับเฉยเหมือนก้อนดิน

    ต้องทำบุญด้วยใจจึงได้บุญ
    มันเพิ่มพูนบุญใหญ่เพื่อให้ผล
    เกิดเป็นเทพรุ่งเรืองอยู่เบื้องบน
    ทำที่ใจจึงพ้นรับผลบุญ
    อย่าใช้เงินใช้ทองเอาของทำ
    จะสร้างกรรมมากเกินเพราะเงินสูญ
    เสียดายเงินไม่ปลงแต่หลงบุญ
    ขอบอกคุณพ้นทุกข์สุขที่ใจ

    พวกที่เล่นการพนันนั้นก็ดี
    เวลาเสียแต่ละทีนี้ใจหาย
    เวลาได้แต่ละครั้งนั่งดีใจ
    ทำอย่างไรถึงจะเห็นเรื่องเล่นกัน

    ดินอยู่เฉยไม่เคยจะมีเรื่อง
    น้ำไม่เคืองผู้ใดและใฝ่หา
    ลมไม่เคยทุกข์ร้อนตอนพัดพา
    ไฟไม่เคยเป็นบ้าฆ่าตัวเอง
    พอดินน้ำไฟลมผสมขึ้น
    ก็ลุกยืนต่อสู้ว่ากูเก่ง
    สู้ไม่ได้หมดท่าฆ่าตัวเอง
    ที่อวดเก่งนั้นใครให้ไปดู

    โอเจ้าโรคความโกรธมีโทษมาก
    มันมาลากให้หลงน่าสงสาร
    ติดตะรางตีฆ่าด่าประจาน
    จะลดมันอย่างไรถ้าไม่เรียน
    จิตที่ว่างพอเหมาะไม่เกาะเกี่ยว
    จิตที่ว่างเด็ดเดี่ยวไม่เกี่ยวเกาะ
    จิตที่ว่างอย่างนี้มีพอเหมาะ
    จิตไม่เกาะไม่ทิ้งสิ่งใดๆ

    ขันธ์ห้าเป็นของว่างวางไว้ก่อน
    แล้วมาย้อนคิดค้นเป็นคนหรือ
    หรือเป็นคนแค่กล่าวแบบข่าวลือ
    เลยเสียชื่อไม่พ้นว่าคนจริง
    จิตไม่มีรูปร่างแต่สร้างได้
    ไม่มีมามีไปไร้ทุกสิ่ง
    เป็นสิ่งเดียวกับธาตุประหลาดจริง
    จิตนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆเลย

    อย่าตอบโต้กับใครให้อายเขา
    เพราะตัวเราไม่ดีที่เขาด่า
    ต้องทำตัวให้ดีมีราคา
    ใครจะด่าเมื่อมีดีจริงๆ

    จิตนั่นแหละคือธรรมจำเอาไว้
    ถ้าเห็นจิตเห็นใจอะไรเหลือ
    เหมือนเอาเกลือแช่น้ำแล้วตามเกลือ
    สิ่งที่เหลือให้เห็นเป็นมายา
    จิตนั่นแหละคือธรรมและความว่าง
    อย่ามัวสร้างมัวคิดให้จิตบ้า
    ไม่ต้องหลบปรากฏการณ์ให้มันมา
    ไอ้ตัวคิดตัวบ้าจะหนีไป
    มันไม่มีอะไรในใจจิต
    แม้แต่คิดยังหายไปไม่เห็น
    คิดถึงใหม่ขึ้นมาคราจำเป็น
    ก็ไม่เห็นอยู่ดีมีไม่จริง
    มันไม่ใช่ของใครทั้งใจจิต
    ไม่ยึดติดมันก็เหมือนผีสิง
    ของไม่มีสร้างให้มีดีไม่จริง
    ถึงจุดนิ่งแล้วดูจะรู้เอง

    ให้หยุดคิดจิตว่างวางไม่หยุด
    มันจะชืดเหมือนขี้เถ้าที่เขาทิ้ง
    ดับเชื้อที่วกวนว่าคนจริง
    ชั่วดีไม่มีสิงในสันดาน

    จิตของอริยะที่ละแล้ว
    จะผ่องแผ้วบริสุทธิ์ดูผุดผ่อง
    กิเลสไม่ฟูมฟักแลหมักดอง
    แต่คนมองไม่รู้ดูเหมือนคน
    อันใจคนวนวกนรกชอบ
    เพราะประกอบความโกรธมันโปรดหลาย
    ขาดสติไหลหลงลงอบาย
    สติมาเมื่อไรสวรรค์เชิญ

    กายใจไม่ใช่ตนถ้าพ้นได้
    กายใจไม่มีอยู่รู้ไว้ด้วย
    กายจิตคิดว่ามีนี้แหละซวย
    รู้ไว้ด้วยมันว่างอย่างไม่มี

    อันรอยยิ้มของคนพ้นความเครียด
    ไม่รังเกียจยิ้มเยาะหัวเราะบ้าง
    รักษาโรคซึมเศร้าให้เบาบาง
    ใครไม่เชื่อลองบ้างจะรู้เอง
    ดีเหมือนออกกำลังบางครั้งด้วย
    จะได้ช่วยกายใจคลายคร่ำเคร่ง
    หัวเราะไว้ยิ้มไว้ไม่ต้องเกรง
    โรคภัยจะหายเองไม่เสียตังค์

    ใครหัวเราะและยิ้มจะอิ่มใจ
    ถึงมีเรื่องใกล้ตายยิ้มไว้ก่อน
    เมื่อจิตใจไม่ทุกข์สุขแน่นอน
    จึงต้องสอนให้ยิ้มด้วยอิ่มบุญ

    การเรียนธรรมหากประมาทขาดสติ
    จะดำริบทไหนก็ไม่เจ๋ง
    ถ้าเรามีความเพียรเร่งเรียนเอง
    เก่งไม่เก่งถ้าเรามุบรรลุธรรม

    ให้มองจิตปัจจุบันนั้นดีดี
    มันก็ว่างทุกทีมีที่ไหน
    มันว่างมาแต่แรกไม่แปลกใจ
    แต่ทำไมหลงคิดว่าจิตมี
    ให้มองกายธาตุสี่นี้ดูบ้าง
    ที่มันสร้างขึ้นนี้หามีไม่
    มันก็ว่างเหมือนจิตถ้าคิดไป
    ที่เหลือไว้แต่ว่างอยู่อย่างเดียว

    มันไม่มีอะไรให้ใครเห็น
    เรื่องที่มีที่เป็นเห็นแต่ว่าง
    จะมีมากมีน้อยต้องปล่อยวาง
    เพราะมันว่างแต่เดิมอย่าเพิ่มกัน

    ไม่มีตนและผู้อื่นที่ยืนอยู่
    ไม่มีรู้มีเห็นเป็นแต่ว่าง
    ถ้าไปยึดไปติดมันผิดทาง
    เห็นแต่ว่างรอบตัวอยู่ทั่วไป

    อันความว่างกับว่างไม่ต่างกัน
    มองทุกวันมันว่างอย่างนั้นหนอ
    กายก็ว่างจิตก็ว่างต่างเพียงพอ
    ว่างจริงหนอหนอว่างไม่ต่างกัน

    มีแต่ว่างกับว่างอยู่อย่างเดียว
    อย่างอื่นคงไม่เกี่ยวกับว่างได้
    อย่างอื่นมันก็ว่างต่างเข้าใจ
    พอลืมตาทีไรว่างทิ่มตา

    ดูความว่างดีๆมีสี่อย่าง
    คือความว่างกายใจให้มองเห็น
    แล้วก็ว่างจากกูดูให้เป็น
    ว่างจากเห็นจากว่างสี่อย่างเลย

    ให้ฟังเสียงระฆังยังไม่ตี
    เสียงมันมีไม่มีไม่ต้องถาม
    ถ้าจิตหยุดดับลงทุกโมงยาม
    มันหยุดถามหยุดปรุงยุ่งหมดไป
    ให้ฟังเสียงระฆังยังไม่ตี
    มันเงียบฉี่สนิทจิตก็หาย
    ทั้งตัวตนคนสัตว์สลัดไกล
    ที่เหลือไว้คือว่างอย่างนิพพาน

    อันเนื้อหนังมังสาว่าสดใส
    พอถูกไฟไหม้มอดวอดเป็นผง
    ไม่ว่าคนหรือสัตว์ตัดใจปลง
    อย่าได้หลงรักชังนั่งรำพัน
    ไปไม่กลับหลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี
    ตายเป็นผีแน่ๆไม่แปรผัน
    ใครจะช่วยใครได้ตายด้วยกัน
    เข้านิพพานเท่านั้นไม่เกิดตาย

    เอาดินน้ำลมไฟนั้นใส่โลง
    เราขี้โกงคิดมั่วว่าตัวฉัน
    แค่สมมติว่าตายให้รู้กัน
    แท้ที่จริงตัวฉันไม่ได้ตาย

    ไม่น่าห่วงพี่ชายที่ตายจาก
    การพลัดพรากต้องมีอย่างนี้แน่
    ใครก็ตายเหมือนกันความผันแปร
    ไม่ทันแก่กรรมดึงถึงพี่เรา
    ไม่น่าห่วงพี่ชายที่ตายก่อน
    เป็นการสอนให้ซึ้งถึงความเศร้า
    อย่าไปมัวกังวลไม่พ้นเรา
    เรื่องตายเอาไปเผามีทุกวัน
    น่าจะมาคิดค้นคนไม่ตาย
    ที่เผาไปหมดไปใครกันนั่น
    เป็นดินน้ำลมไฟสลายกัน
    ให้น้องนั้นนั่งดูจะรู้เอง
    ไม่มีอะไรเหลือไว้ในชีวิต
    หมดสิทธิ์ที่ไปข้องของคนอื่น
    แม้กายใจที่เคยหลงต้องส่งคืน
    ยังต้องฝืนทนรอขอเขากิน

    เมื่อคนหมดหมดคนพ้นโลกได้
    ไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ใครเห็น
    ไม่หมุนซ้ายหมุนขวากลับมาเป็น
    แม้แต่เห็นยังหายอะไรมี

    มีสติดูจิตคิดอะไร
    จิตจะมาจะไปก็ให้เห็น
    จิตจะขึ้นจะลงปลงให้เป็น
    ให้ตามเห็นตามดูอยู่ทุกวัน
    แล้วมาดูสติซิของใคร
    ประเดี๋ยวมีประเดี๋ยวหายใครจัดสรร
    ดูกันมาดูกันไปของใครกัน
    ไม่ใช่ของใครทั้งนั้นก็หยุดดู

    ดูอะไรๆก็ไม่มี
    ที่มีอยู่เดี๋ยวนี้มีแต่รู้
    ถ้าปล่อยให้มันว่างต่างไม่ดู
    ทั้งตัวรู้ตัวดูก็หายไป

    ไม่มีเราในคน--พ้นเด็ดขาด
    ไม่มีเราในธาตุ-ขาดสูญหาย
    ไม่มีเราในธรรมย่ำเกิดตาย
    ไม่มีเรามา-ไปบนโลกเลย
    มันเป็นมันจริงๆ-ทิ้งเราได้
    มันเป็นมันเกิด-ตายไปเฉยๆ
    มันเป็นมัน-ไม่มีเรา-ที่กล่าวเลย
    มันเป็นมันให้เสียเคยให้เป็นเรา
    ทั้งมันเรา-ก็เปล่าๆและปลี้ๆ
    จึงไม่มีสิ่งใดจะให้กล่าว
    หมดทุกสิ่งทุกอันทั้งมัน-เรา
    จะต้องกล่าวไปใยไปนิพพาน
    มันไม่มีอะไรจะให้กล่าว
    มีแต่เรื่องเปล่าๆในโลกนี้
    ถ้าใครติดใครงงหลงว่ามี
    ก็เป็นเรื่องที่มีไปเกิดตาย
    แม้แต่เรื่อง"ไม่มี"ก็ติด
    หมดสิทธิ์ที่จะไปนิพพานได้
    จะต้องทิ้งให้หลุด-หยุดที่ใจ
    แล้วก็ทิ้งสุดท้าย"ใจไม่มี"

    ***********


    บรรณานุกรม
    สูตร เว่ยหล่าง พุทธทาสภิกขุ (ผู้แปล)
    คำสอน ฮวงโป พุทธทาสภิกขุ (ผู้แปล)
    เริงร่ำฉ่ำเดือนฉาย เขมานันทะ (ผู้แต่ง)


    **********
    <!-- End main-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2554 20:55:29 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336590024235 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D05-02-2011%26group%3D1%26gblog%3D115&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336590024235&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=77475764&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336590024235 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>


    </TD><TD>Add to [​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- <table width=100% border=0 cellspacing=0> <tr> <td>Counter : <script src='http://fastwebcounter.com/secure.php?s= bloggang2679541 '></script> Pageviews. </td> </tr> </table> -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><FORM method=post name=reply action=http://www.bloggang.com/reply.php?id=secret-world>
    <TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TR><TD align=right>:</TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></FORM>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2012
  19. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    บันทึกของความรัก-ส่วนตัวครับ--ไม่ได้เกี่ยวกับธรรมมะ มีแต่ตรงที่รักแล้วเป็นทุกข์ครับ

    <!-- Main -->เมื่อคืนฝันว่าได้กราบบังคมทูลในหลวงกับพระราชินีทั้งคืนเลย แม้จะลุกมาทำธุระ ก็ยังไปฝันต่อในเรื่องเดิม ท่านนมีดำรัสเกี่ยวกับโคลง กลอน ยังมีหญิงสาวสองคน คนหนึ่งอยู่ห่างๆ อีกคนยื่นหน้ามาคุยจมูกจะชนกันอยู่แล้ว ความสวยและหน้าตา ให้ดูได้ที่ละคร สุุภาพบุรุษสะลึมสะลือ คนที่ี่แสดงเป็นนางรอง-ลูกเจ้าพ่อ ชื่อ มิ้ม --อัมราภัสร์ จุุนกะเศียน เคยเป็นนางงามหลายเวที--ความสวยพอๆกัน แค่ผู้หญิงคนนี้จะคางแหลมกว่า ใบหน้ารูปไข่สวยมาก ใส่ฃุดนี่มองไม่เห็นชัด น่าจะเป็นชุดแซค สั้นเสมอเข่า--บรรยายซะชัดเลย

    --ภรรยาบอกว่า ฝันเห็นท่าน แล้วจะได้ลาภ ไม่ขัดสนเรื่องเงินทอง ก็น่าแปลกเพราะเป็น10 ปีก็ยังไม่เคยฝันเห็นท่าน

    -----เอาเรื่องเบาๆนะครับ-----
    ตอนนั้นผมอายุ 17 อยู่ว่างๆ จึงไปหาเล่นปิงปองที่หอหญิง1 ดินแดนลูกช้าง พบเด็กสาวสองสามคน ก็ไปขอเล่นปิงปองด้วย มีคนนึงชื่อส้ม เป็นคนสวยบ หน้ากลมๆ ผิวสวยออกสีชมพู ตาเจ้าฃู้ ตากลมโต เมื่อถามว่าข้าพเจ้าจบจาก รร.อะไร ข้าพเจ้าตอบว่าพระโขนงพิทยาลัย เธอก็บอกว่า "สอนกีต้าร์ให้ส้มหน่อยสิ" ข้าพเจ้าก็งง เพราะเพิ่งพบกันครั้งแรก เธอบอกว่า สนิทกับเพื่อนข้าพเจ้า เพราะอยู่หอพักเดียวกัน สวย--เปรี้ยว-- เก่งครบสูตร เพราะเธอก็สอบติดคณะวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนรู้จักสนิทสนมกันมานาน เพราะว่า.....
    ---เพราะว่าผู้หญิงคนนี้เคยเป็นภรรยาของผมในอดีตชาติ พรหมลิขิตหักเหให้มาพบกัน
    จนแม้เพื่อนๆทั้งชาย-หญิงที่มาเล่นปิงปอง ก็สังเกตออก เลยพาลจับคู่ให้เราเองเลย
    --ซึ่งต่อไปในการเรียนเล็คเชอร์ห้องรวม เช่นเคมี พวกเขาก็จะจองที่ให้เรานั่งติดกัน ผลก็คือ เรียนไม่รู้เรื่องทั้งคู่ เพราะประหม่าขัดเขิน ได้แต่ขีดๆเขียนๆ มีครั้งหนึ่งเดินไปเจอเธอบนชั้นลอยห้องสมุดภาคเคมี เธอตกใจมาก ผมก็เช่นเดียวกัน ได้แต่เปิดหนังสือไปมา--รุ่นผมเป็นรุ่นที่เรียนเน้นทางการเรียน ไม่่นิยมค่านิยมมีแฟนกันครับ แต่หลังนี้รุ่นนึง จะนิยมมี เพราะการสอนเต้นรำในสถานศึกษาทำให้เด็กชินกับการสัมผัสเพศตรงข้าม ไฟกะน้ำมัน หรือขั้วบวกกับลบก็ชอร์ตกันได้ เป็นเพราะผู้กำหนดการศึกษาไม่รู้ซึ้งถึงธรรมชาติธรรมดาของมนุษย์(หรือจะสรุปว่าโง่ก็ได้--ไม่ว่ากัน)
    ----ความสัมพันธ์ดำเนินไปช้าๆ แต่หนักแน่น บางครั้งเพื่อนก็ให้เอา จม.เธอที่คณะ ไปส่งให้ที่หอ แต่ต่ฃ้องให้พนักงานส่งเสียงตามสายเรียก เรียกว่า การ "คอลล์" ไปบ่อยๆจนพนักงานจำได้เลย---เราทั้งสองคนต่างก็ไร้เดียงสาเรื่องความรัก กว่าจะรู้ตัวก็หลงรักเธออย่างถอนตัวไม่ขึ้น เธอเองก็คงสงสัยตัวเองเหมือนกัน ความรักของหนุ่มสาวช่างดุสดใสเหมือนอยู่กลางสวนดอกไม้ที่แย้มบาน หรือธรรมชาติอันงดงามน่าหลงไหล ทุกอย่างสดใส สว่างงดงาม สวยบรรเจิด
    --ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี ก้แบบนั้นหละครับ เห็นหลังคาหอ หรือไปดักดูเธอตอน
    มาซื้อขนมที่ตลาดฝายหิน(ในมหาลัย) ก็ยังโอเค--สิ่งที่เรียกว่าความรัก เราไม่รู้-- มองไม่เห็นหรอกครับ จะรู้ว่ามี เพราะสังเกตดูความหึงหวงเมื่อเธอเดินกับคนอื่น และเธอเป็นคนที่ชอบบริหารสเน่ห์
    ---เพื่อนบอกว่าเธอเป็นดาว ที่ รร.เดิม เพราะไม่มีใครที่ไม่รู้จักเธอ และไม่พยายามจีบเธอ
    เธอเองเคยตอบจดหมายผมมาว่า "มีคนมารัก ก็ดีกว่าไม่มี"
    -สิ้นปีเธอเอนทรานซ์ใหม่ ติดบัญชีจุฬา เราก็เลยห่างๆกันไป ผมยังเคยตามเธอไปที่ที่ทำงานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต แต่ไม่พบตัวเธอ
    ----------------------------------------------------
    "อ่านไปแล้ว ความทรงจำเดิมๆกลับมา มช.รหัส 34 เจ้า"---ประไพพรรณ--
    ----------------------------------------------------

    --ความเป็นบุพเพสันนิวาส อยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ยากที่จะตัดได้ ถ้าท่านคิดว่าจะบวชจนบรรลุธรรมในชาตินั้นๆ ก็อย่าให้เนื้อคู่ของท่านมาเกิดพร้อมกัน จะต้องมีวันหนึ่งที่ต้องพบกัน และจะรักกันในทันทีครับ(..ปิ๊ง) สิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์ ..เป็นกรรมที่จะมาพัวพันทั้งสิ้น ข้าพเจ้าเองเคยคิดจะบวชตลอดชีวิตตั้งแต่อายุ 17... นั่งสมาธิในป่าช้าคนเดียวก็เคยทำมาแล้ว แต่ยังกลัวที่สุดคือความรักนี่แหละครับ มนุษย์เราไม่มีทางจะสู้อำนาจจนี้ได้เลย เพราะตอนนั้นตนเองก็เหมือนโดน-มนสต์สะกดอยู่แล้ว ช่วยตัวเองไม่ได้เลย ต้องเดินตามเกมของความรัก ความหลง ความหึงหวงที่มันบัญชาการอย่างเดียว พระที่เก่งๆเคร่งวินัยท่านเดินสวนกับหญิงคนหนึ่ง แค่นั้นแหละครับ ทั้งหลับทั้งตื่นก็เห็นแต่-หน้าผู้หญิงคนนั้น ต้องใช้วิปัสสนาอย่างเข้มข้นถึง7 วัน-- กิเลสกามก็ไม่ใช้น้อยไปกว่ากัน เพราะทุกๆชาติเราได้เคยเสพสุขด้วยกามตัณหา แตกลูกแตกหลาน จดจำเป็นอนุสัยว่ามีความสุขมากในเรื่องนี้ เรียกว่า ตัณหาดุจเลือดในอก เราก็เลยไม่ยอมแยกทางกับเจ้ากามกิเลสตัวนี้สักที

    ---มีครั้งหนึ่งพิสูจน์ได้ว่า ความรักของผมกับส้ม คงไม่ใช่เรื่องคิดไปเอง--รับน้องขึ้นดอยของคณะวิทย์ พวกเขาพาเราไปยังน้ำตกเล็กๆ รุ่นพี่มีการสำรวจ และสร้างด่านต่างๆไว้หมดแล้ว มีสาวหนึ่งก็มาจองเป็นคู่ผมไว้แล้ว พอดีมองไปเห็นส้ม ส้มไม่มีคู่ครับ เธออยู่ห่างประมาณ 50 เมตร เธอส่งสายตามา และความรู้สึกในประกายตายนั้น บอกถึงความเหงา โดดเดี่ยวอ้างว้าง วิงวอน น่าสงสาร เรียกว่าเธอส่งกระแสจิตมาเต็มๆ และผมก็รับรู้ได้เต็มๆ ผมเลยต้องเสียสัจจะเดินไปหาเธอ เพื่อนก็เลยจับคู่ผมให้เธอทันที เหมือนเธอใช้มนต์สะกด สะกดจิตผมได้ ผมเองก็ยอมเพราะผมแคร์เธอมากครับ--ระหว่างทาง ด่านตามน้ำตกบ้าง ก็ไปกันตลอด คราวนี้เขาให้ป้อนสาคูเปล่า เธอก็แทบจะแหวะออกมา แต่ผมก็บังคับเธอ เธอโกรธมาก จนห่างๆจากผม (ปลายๆปีเธอบ่นกับเพื่อนผมว่า หนุ่มคณะวิทย์ ไม่มีใครกล้าจีบเธอ เหมือนเกลียดๆกลัวๆเธองั้นแหละ เพื่อนบอกว่า เธอนะเจ้าเล่ห์ ใครก็ไม่กล้ามาจีบให้ปวดหัวใจเล่นหรอก)
    ---ในช่วงน้น พี่โย --โยธิน ชีรานนท์--ก็คุมวงดนตรี สมช.อยู่ เรียนนานหลายปี ปัจุบันเป็นบอสใหญ่แกรมมี่ พี่แดงมือคีย์บอร์ดสาวสวย ก็เป็นภรรยาใครไม่รู้ คงเป็นรุ่นเดียวกัน บุคคลเหล่านี้มีตัวตน และมีบัรทึกในหนังสือนิยายรักนักศึกษาของ ศุภักษร ครับ ผมเคยพบหญิงคนนึง เข้ามาปีหนึ่งเหมือนกัน ที่วงดนตรี เธอสวยใช้ได้ เล่นเปียนโนเก่ง และเรียนคณะแพทย์ คงไม่มีใครกล้าจีบเธอหรอก เก่งเกินไป ผู้ชายก็ไม่กล้าเหมือนกัน
    -----ปลายปีนั้น พี่ รร.เก่า ก็จัดรับน้องโรงเรียนพระโขนง พบเพื่อนชื่อสุ เป็นสาวตัวเล็ก สวยเหมือนกัน มีทีท่าว่าจะชอบผม พอดีผมก็ได้ทักเพื่อนสาวที่มาจากเชียงรายให้เธอเห็น เธอก็ไปต่อว่าสาวคนนั้นว่า "เจษเป็นแฟนของชั้นนะ" ผมก็เขียน จม.ต่อว่าเธอไว้ที่หอ เธอก็เอนท์ใหม่ ติดพยาบาล ม.ขอนแก่น ยังได้พบกันตอนปีสอง เธอบอกไม่อยากเห็นหน้าผมอีกเลย
    --ตอนปีสอง รับน้องใหม่ ก็เจอสามสาว ที่เพื่อน อ๋อม พยายามจัดกลุ่มมา มี จี๋ ตัวเล็กๆสวยมาก-- อัง ตัวเล็ก หุ่นกลมๆ ดา--ตัวสูงโย่ง พวกเค้าเป็นเด็กน่ารัก ดูตลกๆดี ก็ไปกินข้าวด้วยกันทุกวัน ผมก็หลงรักน้องจี๋เข้าเต็มเปา แต่ไม่เคยแสดงออกอะไร เพราะกลัวอ๋อมจะว่า และพวกสามแยกปากหมา ก็คอยว่าพวกที่ทำตัวเป็นเฒ่าหัวงู หรือขี้หลีอะไรประมาณนั้น หลังจากนั้นก็มีไปเที่ยวดอยขุนตาน ก็เจออีกกลุ่ม แต่คราวนี้เป็นเพื่อนผมที่ไปหลงรักน้องเขา เขามาถามว่าจีบสาวยังไง ผมก็บอกไปว่า ขยันเจอบ่อยๆ เค้าซูฮกเลย บอกเป็นปรมาจารย์ แต่ปรมาจารย์ ยยังไม่เคยสมใจในเรื่องความรักเลย อีกอย่างหนึ่งก้เป็นลูกครูจนๆ ไม่ค่อยกล้าไปรักสาว กทม.หรอก เรามันขัดสนไปทุกอย่าง เรียนระดับนี้ได้ก้ดีแล้ว ----ปี2-3 มีเพื่อนมาจีบจี๋ ชื่ออนันต์ เป็นคนในเชียงใหม่ มีรถเก๋ง อนันต์ดูจริงใจ แต่อ๋อมพยายามกันออกไป แล้วจี๋ก็ถูกชิงตัวไปจนได้ เป็นพี่ที่เรียนประมาณ ปี 8- รุ่นเก๋าประจำคณะ พวกเขามีสาวควงที่เป็นแบบเปรี้ยวๆ หุ่นดีๆ เหมือนในมิวสิคต่างประเทศ แต่ไม่ถึงกับมั่วสุมทางเพศนะครับ ยุคนั้นไม่มีนะครับ--ตอนหลังนี่ไม่รับรอง---
    --พึงทราบว่า เราเรียนทุกวัน อังคารกับพฤหัสทำแล็ป เสาร์อาทิตย์ก็ทำรายงาน ส่วนทางตณะมนุษย์ สังคม เรียนแค่ 3 วัน ดังนั้นพวกนี้จะชำนาญเรื่อง ที่กิน ที่เที่ยวมากกว่าทางสายวิทย์นะครับ

    -----พวกเรามองหญิงต่างคณะมั้ย ก็มองครับ แต่การใกล้ชิดไม่ค่อยมี เลยหายากหน่อยที่จะไปจีบข้ามคณะ แต่ก็มีเพือนสาวเอกภาษาไทยสองคนที่สนิทกันมาก เธอพูดจาตรงๆดี สวยๆตาคมๆ แต่คบแบบเพื่อน ไม่มีนอกกติกา
    --ปี4 พบน้องสองคน คนนึงหุ่นอวบๆ ตัวใหญ่ ชอบหยอกเล่น อีกคนตัวเล็กกว่า ก็ไปเที่ยวดูหนังกัน มีหลายครั้งเจอหญิงลึกลับนั่งรถไปกับเรา เธอสวยมากๆ ขนาดเป็นดาราได้เลย(คณะมนุษย์ศาสตร์)อ๋อมก็พยายามจะจีบอยู่ (อ๋อม-ปัจจุบัน เป็นเจ้ากรมหนึ่งในกองทัพเรือ --ดำเนินตามรอยพ่อเค้า)
    --เพื่อนเรียน คนนึงเป็นสาวเปรี้ยว ชื่อแอน ตอนร้องเพลงเธอชอบเอียงมาซบไหล่ผมอยู่เรื่อย ปัจจุบันแอนทำงานที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ อีกคนชื่อปุ๊ก เป็นเจ้าของโรงพิมพ์ที่ใหญ่ระดับชาติตอนนี้--ผู้หญิงภาควิชานี้---รุ่นนี้มีแค่สามคน รุ่นหลังมีน้องใหม่ประมาณ 10-20 คน ต้องทำการโปรโมทภาควิชาบ้าง--

    ---ภาควิชาเคมี--เป็นภาควิชาที่ผู้หญิงนิยมเรียน อาจเป็นเพราะผู้หญิงท่องเก่งกว่า--
    --มีหลายครั้งที่เห็นผู้หญิงแต่งตัวชุดราตรีเดินขึ้นหอพักชายหน้าตาเฉยในตอนดึกๆ ที่แท้ก็เป็นสาวประเภทสอง เช่นคุณ เจินเจิน บุญสูงเนิน และเธอก็จบวิชาพวกคณิตศาสตร์ -สถิติ (แหม็ท-สแตท-Math-Stat)ซึ่งยากมากๆ ยิ่งแคลคูลัสนะ ยากสุดๆ---เพื่อนกลุ่มผมทุกๆคนใน5 คน พบเนื้อคู่ที่นี่ทั้งหมดเพราะเทพท่านจัดการเรื่องนี้ คนที่้เป็นแขกไปจีบ --สาวเชียงราย อีกคนนึงที่เพื่อนไปจีบ มีอะไรแปลกๆ คือเธอเป็นทายาทของผีปอบโดยย่าเธอเป็นคนให้แหวนเธอมา เธอไม่สามารถถอดแหวนได้ เพราะจะใจสั่น และเธอชอบแลบลิ้นออกมาโดยไม่รู้ตัว เทพชั้นสูงได้ขับไล่ผีออกไปครับ จากคนหน้าขาวซีดออกคล้ำ แก้มมีสีชมพูเห็นๆเลยครับ เป็นสาวใต้ที่น่ารักมากทีเดียว

    -----คนสุดท้ายในชีวิตรั้วมหาลัย- หลังจากที่เคยไปสร้างฝายให้ชาวบ้านที่อ.เทิง ก็ได้ไปเยี่ยมชาวบ้านอีก ก็เจอคณะนศ.ชุดใหม่ พอดีก็มีคนพยายามให้ไปคุยกับเธอ สมมุติว่าชื่อรัชดา รัชดาพยายามแกล้งผม เช่นผมชวนไปดูดนตรีแล้วเธอบอกไม่ไป แต่ชวนคนอื่นไปให้เราเห็น ผมโกรธมากเหมือนกัน พยายามตาม เธอก็หลบๆ ...หลังๆเธอบอกว่าหนุ่มคนนั้นกลัวผมจะต่อยเอา--ช่วงนี้เริ่่มรู้จักพิษของความรัก ไม่กล้าเดินหน้า ไม่กล้าถอยหลัง เพราะมันก็เจ็บทั้งคสองแบบ หลังจากนั้น ผมไปเป็นครู เธอก็มาเป็นครูที่ตัวเมือง ก็ได้เจอกันบ้าง ครูอาวุโสบอกว่า บ้านผมรวยแบบว่าเศรษฐี เธอก็จึงกระตือรือล้นที่จะเจอผมอีก--- ผมรู้อย่างนั้นก็เลยห่างๆไป

    -ผมเอง-ขนาดว่าจบออกมายังยากจน(ไปเป็นครูบ้านนอกมาแล้ว) ไปเดินขายเครื่องตัดไฟ ยังดันไปมีความรักกับน้องสาวเจ้าของบริษัทอีก และเธอก็ลงมาเล่นเกมความรักด้วย เป็นคนสวย ตาคม แต่หน้ามีรอยสิวบ้าง เป็นคนฉลาด น่ารักมากทีเดียว พอดีมีคนที่ทำงานมักเรียกผมว่า อาจารย์ เธอทราบว่าผมสามรถซ่อม สร้างเครื่องตัดไฟได้ เธอยิ่งให้ความสนใจมาก บางทีเรายืนสบตากันหลายนาที จนพนักงานสาวๆเริ่มซุบซิบ สงสัยในความสัมพันธ์--ต่อมาเธอก็แต่งงานไปตามวิสัยของคนจีน
    ก็เป็นช่วงที่ผมออกจากงานไป ทำงานออกภาคสนามยังพบรักกับพี่ยุ เธอแต่งงานแล้ว มีลูกด้วย ผิวคล้ำยิ้มเก่งสวย เธอบอกว่า สามีเป็นเกย์แบบแอบแฝง แทบไม่เคยมีความสุขด้วยกันเลย ที่อยู่เพราะสงสารลูก---เธอบอกว่า ก็มีคนมายื่นข้อเสนอแบบนี้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่มี
    --เพื่อนเคยถอดไพ่ทาโร่ให้ แล้วบอกว่าศัตรูผมเป็นผู้หญิง คนสนับสนุนเรา--รักเราก็ผู้หญิง เรียกว่าไพ่ผู้หญิงอยู่รอบตัวเราเลย เค้าบอกเกิดมาเค้ายังไม่เคยเจอดวงแบบเหมือนกัน -ดวงนารีอุปถัมภ์นี่ครับ อิอิ

    ---ก่อนหน้าที่จะพบภรรยา ความจริงก็เจอพร้อมกับเธอคนนี้ แต่ผมกะภรรยามัวแต่เขม่นกันอยู่ ไม่ชอบขี้หน้ากัน ออกเกลียดกันด้วยซ้ำ พอดีเจอพระรุ่นพี่่ที่เคยบวชพร้อมๆกัน แต่พระไม่ได้สึก ยังเป็นพระอยู่ บอกให้ช่วยจีบสาวคนนี้หน่อย เพราะทำนายว่าเธอจะพบเนื้อคู่ ผมบอกไม่ชอบหรอก ท่านบอกว่า "ถ้ามรึงไม่เอา กรูจะเอาเอง" ด้วยความเกรงใจ และกลัวศาสนาเสื่อม ก็ลองคบกับเธอดู พี่สาวเธอบอกว่ามานอนที่บ้านนี้ก็ได้ เพราะนอนที่ทำงานดูไม่เหมาะ ก็เลยใกล้ชิดกัน ขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน(ทั้งคณะ) ในที่สุดก็กลายเป็นความรักจนได้ เธอไม่ใช่คนสวยเลย สูงโปร่ง คล้ายคนอินเดีย ผิวดำๆ และเธอก็มีพลังจิต สารถมองเห็นอะไรที่ซ่อนอยู่ได้ รู้วาระจิตคนก็ได้ เพราะเธอฝึกของเธอเอง---มีหลายครั้งที่ผมสามารถทำลายความสาวของเธอได้ เช่นพี่สาวไป ตจว. ทิ้งเราอยู่บ้านสองคนอยู่หลายวัน --แต่ผมก็ไม่เคยทำครับ จะว่าหวงตัว ก็มีบ้าง -เลือกมาก --ไม่ชอบมีพันธะ อะไรก็ตาม ก็ดีแล้วที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง(ทำบาป-มีเวรกรรมต่อกัน) ในที่สุดเราก็แยกกัน เพราะเธอเชื่อพี่สาวมาก พี่สาววางเกมให้เรามาใกล้ชิดกัน เพราะเห็นว่าผมมีรถปิ๊คอัพ--คงเป็นพวกคนรวย --พอพระสึกออกมา พี่สาวเธอก็บอกว่า เพราะว่าผมไปช่วยเหลือครอบครัวของยายอรปวีณาที่เธอไม่ชอบ ให้แยกตัวออกมาไม่งั้นจะไม่คบ---ก็เป็นไปตามนั้น พี่สาวยุให้มาคบกับอดีตพระคนนั้น เพราะเธอหวังให้เขาเขียนวิทยานิพนธ์ทำซีสามให้ กว่าเธอจะรู้ทันว่าพี่สาวเล่นเกมยัดเยียดเธอ(ให้เป็นเมีย)คนนั้นคนนี้ ก็ผ่านไปหลายปี (คงนึกรู้ได้เอง) เธอก็เสียใจเหมือนกัน ทุกวันนี้ยังเก็บแหวนที่ผมลืมไว้---ยังไม่ยอมคืน แสดงว่า ส่วนลึกของเธอก็ยังรักผม ส่วนผู้ชายคนนั้น ปัจจุบันหายสาบสูญ ก่อนนั้นมีครั้งหนึ่งเขาบอกว่าได้เธอแล้ว ตอนวันเกิดเธอก็จะมาให้เขา.(มีอะไรกัน).. บัตรเอทีเอ็มก็ให้เขามาใช้ ลองดูนี่สิ..โอ้.. จม.เป็นปึก ซองเป็นของริษัท.....ที่เธอทำงาน หน้าซองก็ลายมือเธอ..แต่พี่สาวเธอไม่ยอมรับครับ กลับบอกว่าน้องเธอยังบริสุทธิ์ อืม จริงๆแล้ว เขาคนนี้ได้ทั้งที่สาวคนรองที่เป็นครู และตัวเธอเป็นเมียมานานแล้ว เขาคนนี้เล่าให้ฟังอย่างละเอียด-
    --(ลูกเขยของอรปวีณา(นามสมมุติ) มาขอร้องให้ผมช่วยเหลือ โดยให้เช่าบ้านให้พวกเขาอยู่ แล้วเขาจะขับแทกซี่ป้ายดำ--ตอนหลังเขาถูกรถอื่นชนที่ลพบุรี จนรถหักงอเป็นรูปตัววี ผู้โดยสารบาดเจ็บสาหัส เขาเองไม่เป็นอะไรมาก ภรรยาเขาว่าดูจากรถ ไม่น่าจะรอด--แต่มาทราบทีหลังว่าช่วงนั้นผมดวงดี เทพเลยเอาดวงผมไปแลกเอาชีวิตคนนั้นออกมา และพอดีเขาก็บวชพรรษานึงด้วย--ผมเองรู้แล้วเซ็งเลย ปีนั้นดวงไม่ค่อยดีเลย--ก็ยังดี เขามีลูกสองคนถ้าเกิดตาย อีกสามชีวิตจะอยู่ยังไง)

    ---ชีวิตคนก็วุ่นวายเพราะเรื่องกามนี้แหละ ความรักก็ด้วยหรือเปล่า แต่ความรักคงเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์และงดงามกระมัง
    --ผมเองสรรเสริญความรักที่บริสุทธิ์ของแม่กับลูกครับ ช่างสวยงามและเปี่ยมด้วยพลัง-แรงบันดาลใจ

    --แล้วภรรยาล่ะรักไหม รักสิครับ ตามจีบมาหลายชาติ แต่เป็นได้แค่คู่หมั้น บางทียังนึกว่าเธอเป็นลูกสาวผม เพราะลักษณนิสัยเธอนะเด็กชัดๆ ชอบดื้อ ชอบเถียง เอาชนะ เกเร แต่ก้เป็นแบบเด็กๆนะครับน่ารักดีออก แค่ปากจัดแค่นั้นเอง แต่เพราะเราไม่ค่อยออกสู่โลกภายนอก และเธอก้ไม่ชอบด้วย ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร หยอกกันเล่นแต่ในบ้าน
    ---ความรักหลังที่จบมาล่ะ เยอะเหมือนกันครับ มีสาวมาแอบชอบก็มี หรือเราเป็นแบบ เจ้าชู้หลบในอ่า

    --ความรักในสมัยก่อน ไม่วุ่นวาย เพราะไม่มีเรื่องเซ็กส์เข้ามาด้วย ถ้ามีครบเครื่องแบบยุคนี้ ความหึงหวงขนาดฆ่ากันตาย จึงเกิดขึ้นเป็นประจำ.. ทั้งความรักและความใคร่ มีพลังรุนแรงถึงขนาดที่สามารถฆ่าคน-ทำลายคนได้อย่างง่ายดาย การหลุดพ้นไปจากวังวนความรัก หรือการเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดแล้ว

    --4ปีครึ่งในรั้วมหาวิทยาลัย หล่อหลอมให้เราแข็งแกร่ง ทั้งการเชียร์กีฬาที่ทำให้ได้สมญาว่า"กองทัพหุ่นยนต์" การเรียนที่ยากและจริงจัง การคิดโปรเจคอิสระ วงจรไฟฟ้า ความรัก ความเป็นเพื่อน --ความเงียบเหงายามเพื่อนๆจบออกไป หรือตอนเรียนซัมเมอร์ ทุกๆอย่างมันมาพร้อมๆกัน จนตั้งตัวไม่ติด จนเราก็คิดว่า เรียนจบออกมาได้ก็เก่งแล้ว คนอื่นเขาก็ว่าจบภาควิชานี้ได้ก้เก่ง คณิตศาสตร์ต้องเยี่ยม- ความรู้ทางวิทย์ต้องแน่นพอ บางคนยังไปวิปัสสนาที่วัด.ร่ำเปิง.แถวคลองชลประทาน และทำให้สามารถจบป.โทได้ อจ.ที่ปรึกษาท่านก็ดีมากครับ อจ.ฝรั่งที่คุมโปรเจคก็นิสัยดีมากครับ--อาจารย์ทุกท่านใจดี รักเราเหมือนลูกหลาน งานคืนสู่เหย้า เราจะไปขอนอนที่บ้านอ.คนไหนก็ได้ เอากีต้าร์ไปเล่นเพลงในห้องแลป หรือไปเล่นรอบกองไฟกัน พี่สาวคณะที่จบออกไป ก็สวยๆทั้งนั้นเลย หลายๆท่านเป็นอาจารย์สอนหมอสอนพยาบาลด้วย--- สุดเฉียบครับ

    ---ปีสุดท้ายพบหนุ่มน้องใหม่ชื่ออภิรัตน์ เล่นกีต้าร์คลาสสิกเก่ง เขามากับกีต้าร์ยามาฮ่าที่ทำด้วยมือ มีลายเซ็นคนทำด้วย เสียงดีมาก เวลาเขาเล่นที่ใต้ถุนหอ พวกเด็กๆ ที่มาขายของบอกว่า เหมือนกีต้าร์หลายตัวเล่นพร้อมกัน ดูๆแล้วทำไมจึงมีตัวเดียว---ใช่ครับ ถ้าเซียนเล่นจะเป็นแบบนั้นเลยหละ
    ---หลังจากนั้นก็ไปเยี่ยมบ้านน้องเขาที่ลำปาง (ปล่าวเบี่ยงเบนทางเพศนะ) น้องก็พาไปพบคนอื่นๆ เช่นพ่อเลี้ยงเมืองลำปาง หรือเรียกว่าเสี่ย ---เสี่ยถูกนิสัยกับผมมาก พาไปทุกทุกที่-บ้านเมียน้อย-บ้านกิ๊ก เรียกว่าเที่ยวกัน 7 วัน 7 คืน แทบไม่นอนเลย--พอจะกลับบ้าน แม่ของตุ่ยถามว่าอยู่ที่ไหน--เป็นลูกใคร ผมบอกอยู่พะเยา ลูกแม่จินต์-- แม่ของตุ่ยก็บอกว่า จริงๆแล้วเราเป็นญาติกันนะ ต้องเรียกเธอว่า"น้าคำ" พ่อของตุ่ย เป็นนักประวัติศาสตร์ นักนสพ.ด้วย เป็นปราชญ์ของเมืองนั้นเลย แม่ของตุ่ยให้แนวคิดที่แปลกมาก เธอบอกว่า ยามที่ครอบครัวจน ลูกเต้าก็เข้า รร.คนจน คบแต่เพื่อนคนชั้นต่ำ ความคิดอะไรไก็ไม่พัฒนาไปไหน เล่นดนตรี กินเหล้า หาผู้หญิง -- ส่วนลูกอีกสามคน มีตอนที่ครอบครับฐานะดีแล้ว มีนายตุ่ย น้องตาล กับนายแว่น เดรียนโรงเรียนดีๆ เรียนจบก็เข้่ามหาวิทยาลัยกัน จบออกมาเพื่อนก็ดึงตัวไปทำงานดีๆ เรียกว่าพบแต่สังคมชั้นสูง ทำให้ชีวิตต่างออกไปเยอะ--ชีวิต-เพื่อน สิ่งแวดล้อม--มันน่าแปลกนะ น้าคำว่า เพื่อนสามารถช่วยเหลือ ฝากงาน หางาน ชี้ช่อง- ชวนร่วมธุรกิจ ซึ่งจุดนี้พ่อแม่ก็ยังช่วยไม่ได้ถึงขนาดนั้น ครอบครัวนี้เล่นดนตรีเป็นทุกคนมั้ง มีเปียนโนหลังใหญ่ ตุ่ยเก่งกีต้าร์ ตาลเรียนเปียนโน น้องแว่นตีกลอง ตอนหลังตาลก็เป็นครูสอนเปียนโน ส่วนตุ่ยเคยเจอกันนานแล้ว แต่งงานกับสาวคนรวยที่ชอบตามติดเขา สวยมากเหมือนกัน ตอนนั้นทำอาชีพขายดอกไม้สด--

    -อืมเดี่ยวจะเล่าเรื่องรักในรั้ว รร. แทรกก่อน จะหมดสต๊อคแล้วนะ

    ---มีสาวๆหลายที่เป็นครู มาบรรจุพร้อมกัน คนแรก ชื่อเฟิร์น เป็นสาวจีนทางเหนือ ที่เรียกว่า จีนฮ่อ เพราะถืออิสลามด้วย เฟร์นเป็นสาวสวย หุ่นนางแบบ ผิวสีน้ำผึ้ง แฟนเค้าเป็นโฆษกวิทยุภาคชาวเขา ที่ชอบพูดว่า "เฟอทิไหลโซทิง" ไม่รู้แปลว่าอะไร คงไม่ใช่ "ขอผมเตะท่านผู้ฟังสักที" นะครับ อิอิ มีแฟนแล้ว---ผ่าน

    --รัชฎา นามสกุล ปัญหาดี หน้าตาพอใช้ ท่าทางเก่ง สอนคณิตศาสตร์ คนพวกนี้ดูแล้วแอคทีฟ ขยัน ประเภทไฟแรง ทำงานดี จัดงานนิทรรศการ สื่อการสอนเพียบ แต่แล้ว เธอก็มีปัญหาเหมือนนามสกุลของเธอ เมื่อไปสอบกรมอาชีวะได้ เงินเดือนมากเป็นสองเท่า ทิ้งคนรักไว้ที่นี่ และปัญหา คือโกงเงินสหกรณ์ไปนับแสนบาท ทำเอาอจ.ใหญ่(ผู้หญิง)กุมขมับเลย
    (บอกแล้วไง ครูขี้เกียจๆอย่างผม ยังดีกว่า)

    --รสนา เธอเป็นสาวใต้ น่ารัก ขยัน ช่างคิด เธอรับแก้ปัญหาให้เพื่อน และเซ้งเอาคนรักของเพื่อนมาด้วย "ได้มาแล้วดันป่วยหนักซะอีก"
    --ธิดา ขาวสวยอึ๋ม ไม่ขอวิจารณ์เพราะไม่ได้จีบ--ผ่าน
    --สนธริยา ตัวเล็ก ผิวคล้ำ สวย เก่ง เธอสอนงานช่างอุตสาหกรรม ไม่น่าเชื่อว่าเธอบังคับพวกทะโมนได้ เราเคยสนิทกันมาก ทุกวันนี้ก็เป็นความรักที่แฝงตัวอยู่(รักคุด) ซึ่งผมและเธอก็ไม่เคยรู้มาก่อน ยังงงๆนะเนี่ย

    --ศิริภา ตัวเล็ก ผิวคล้ำนิดๆ ตาหวาน ขับรถเก๋งมาทำงาน ชอบให้มีคนมาชอบ ก็สนิทกันแบบเพื่อน เพราะบางทีลิมของไว้ที่บ้าน แม่ก็ฝากเธอเอามาให้ที่แม่สาย
    --มีหลายครั้งกลางวงอาหาร เธอจ้องหน้าผม ผมก็มองหน้าเธอ เธอทำตาหวานใส่อยู่หลายนาทีแล้วบอกว่า "ซึ้งไหมจ๊ะ" โดยไม่แคร์สายตาคนอื่นๆ น่าจีบเป็นแฟนจริงๆ เลย

    ---มีอีกสาวที่สอนหัตกรรม เธอก็สนิทกับผมมาก ชอบพูดตรงๆ ตอนที่ผมได้กลับไปเยี่ยม เธอก้มีแฟนแล้ว เธอยังบอกว่า "รักพี่เจษเหมือนพี่ชายนะ ไม่เคยรักแบบอื่น" ผมเองก็คิดกับเธอเหมือนน้องสาว"
    --ผมเองชอบใส่หมวกเคาบอยสีขาว ชอบเล่นดนตรี ตั้งวงให้พวกเด็กๆ และข้างนอกอีก เด้กๆจึงชอบ และให้ฉายา "อ.เจษฏา อินคอนเสริท" และ "อ.เจษ ผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร" เพราะบางครั้งเมฆฝนมา ก็บอกว่า "ฝนไม่ตกหรอก เดี๋ยวแดดก็ออก" มันก็เป็นไปตามนั้น
    --ดีใจที่ได้ช่วยตี๋น้ิอย เป็นเด็กที่พ่อแม่ให้ออกกลางคัน แต่ผมไปจ่ายค่าเล่าเรียนให้ ตี๋น้อยเลยเรียนจบ เรียนเก่งนะ--หลังจากนั้นไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น กลับมาพบว่า เมียหนีไปแล้ว

    --เคยสอนพิเศษให้เด็ก ต่อมาเด็กสาวคนหนึ่งสอบได้เป็นจิตแพทย์
    --เคยสอนมัธยมต้น-- ห้องเก่งๆ เด็กที่เก่งในห้องนั้นสอบได้เป็นหมอ -วิศวะหลายคน เด็กเก่งสอนง่าย ไม่ซนไม่ดื้อ พวกนี้มีบารมีเก่ามา ได้ดีทุกคนนะแหละ

    --สอนเด้กก้เหนื่อย แต่เด็กๆก็รักผมมาก ผมก็ตามใจเด็กมาก จนคิดว่าคงเป็นครูต่อไปไม่ได้ มีเสียงโจมตีมาก แล้วก็พอดีป่วยเพราะความเครียด กลายเป็นเหมือนคนบ้า- คนเมา สมองเหมือนก้อนหิน ไม่สามรถจะคิดคำนวณอะไรได้ และเป็นโรคกระเพาะ-ลำไส้อักเสบด้วย จึงตัดสินใจลาออกจากครู

    --เพื่อนครู ที่เป็นแบบกระตุ้งกระติ้ง ก็ให้กำลังใจตลอด หลังๆเขาซื้อบ้านยอยู่นอก รร.และเลี้ยงเด็กหนุ่ม ต่อมาเด้กก็ฆ่าเขาตายโดยใช้ครกหินทุบศรีษะ---แต่คนๆนี้เขามีอาจารย์ๆ บอกให้ขุดตรงนั้นตรงนี้ก็ได้ดาบเก่า ถ้วยชามโบราณมากมาย จนเป็นพิพิธภัณฑ์ย่อยๆ--ถ้าจะให้เดา เขาก็เคยเป็นกษัตริย์ และมักมากในกาม ทำผิด จึงมีเพศเป็นแบบนั้น แล้วคนที่ถูกเขาสั่งฆ่า ก็มาฆ่าเขาในชาตินี้ -เสียใจจริงครับ คุณครูอธิโชค
    ---ยังมีที่บริษัทหลังสุดอีก มีทั้งมาแอบชอบ และมาตกลงขอเป็นแฟน หรือจะทำอย่างไรกับความรักที่ก่อตัว เอาไว้เล่าต่ออีกขยักนึงละกัน--เจอแต่สาวๆ แล้วก็มีเรื่องรักทุกทีไม่รู้เป็นไง

    --แต่ตัวผมนี่มีนิสัยไม่ดีหลายอย่าง--จุกจิก ขี้อิจฉา ชอบนินทา หูเบา -ขี้ใจน้อย แต่ดีที่ไม่ก้าวร้าว- ให้เกียรติผู้หญิงมากๆด้วย

    -นึกถึงความรักหลายรูปแบบที่สาวๆมีให้กับผมแล้วมัน"สุขๆ ซึ้งๆ เศร้าๆ" ก็เรามันคนโรแมนติก ชอบซื้งๆหวานๆ ---แต่ก็ชอบตีกัน หยอกเล่นกันกับภรรยาทุกวัน --ก็สนุกดี-- รักแบบ"มันเขี้ยว"
    เล่าเลยดีกว่า เมื่อผมเข้าทำงานในตำแหน่งรอง ผจก. บ.แห่งหนึ่ง ก้ทะเลาะกับเลขาผู้จัดการบ้าง แต่ก็ชอบกันกับผู้ตรวจบัญชี ชื่อ หญิง เป็นสาวตัวเล็กมาก แต่เก่ง ขับรถเอง ตั้งบริษัทเอง ต่างคนก็ต่างเป็นห่วงกัน โทรติดต่อกันเสมอ เป็นกลุ่มที่ไปสังสรรค์นั่งกินข้าวกันบ่อย--ประทับใจผู้หญิงที่เก่งเหมือนแม่เรา--มีคนแบบนี้เยอะประเทศไทยเจริญเร็วครับ--ก็ไม่มีอะไร เพราะหญิงมีแฟนแล้ว เป็นนายตำรวจ

    --ไปอีกบริษัทนึง ก็พบอีกสองคน สาว เป็นสาวสวยมากๆ พอดีกำลังอกหักกะแฟน (เวลาคุยชอบเอามือมาจับมือ หรือขาของเรา ก้น่ารักดีครับ)กับอีกคน จบจากเมืองนอก ชอบเล่นดนตรีคีย์บอร์ด ก็ไม่มีอะไรนัก แค่ทักทายกัน
    --อีกบริษัทหนึง พบ ปุ้ม และ ปุ้ย คนแรกให้พี่ที่โรงงานมาบอกว่า สนใจเขามั้ย--ส่วนปุ้ยเรียนราชภัฏ มีการบ้านมาให้ช่วยทำบ่อยๆ ก็สนิทกันดี หลังๆกลายเป็นความรักได้ยังไงก็ไม่รู้ จนเราต้องนัดกินข้าวกัน เพื่อตกลงว่าจะคบกันอย่างไรดี เธอถามว่ามีแฟนยัง ผมบอกว่ามีแล้ว--แต่ไม่ค่อยเข้าใจกัน เธอก็แนะนำและยังคอยสอบถาม ปุ้ย รับโทรศัพท์ลูกค้าทีแต่ละ หวานจนมดขึ้นสายเลยหละ " ...ขา... ต้องการสั่งอะไรคะ "-----พวกลูกค้าต้องขอคุยกับปุ้ยก่อนเลย--หลงเสียงนาง ---แต่เธอไม่ได้สวยมากนักหรอกนะ
    --อืม ยังมีอีกคน ผมไปชอบเขาเอง แผนกบัญชี สมมุติว่าชื่อ ป้อมละกัน เธอสวยมาก นุ่งสั้นๆผิวสีชมพู ไม่ถือตัว แต่ออกจะขี้อาย ไม่กล้าไปเที่ยวกับผม คิดว่าพวกเซลส์กะล่อนกระมัง
    --มะลิ เป็นสาวเปรี้ยว สวยเซ็กซี่ ชอบทักทายและส่งสายตา แต่เธอมีสามีแล้ว-เซ็กซี่สุดๆ เหมือนจะแบบแลกคู่อะไรแบบนั้น ดูน่ากลัวนะ
    --มีลูกสาวบุญธรรมเจ้าของบริษัท(สวยมาก) มาให้ดูลายมือ และ ประชาสัมพันธ์บริษัทก็สวย ก็โอเคนะ ไม่ได้ก่อคดีรักอะไร
    --น้องสาวเจ้าของ บ.เครื่องตัดไฟ--คนนี้เขาก็สนใจผม ผมก็สนใจเค้า -พนักงานทุกคนรู้ดี (ตาสวยมาก)
    --ตามร้านอาหารก็พบคนที่น่าสนใจ ซึ่งบางคนก็คุยเรื่องของเธอให้ฟังตรงๆ พบพวกนักร้องก็มีบ้าง-
    บางทีก็ไปทักเค้าว่าจะมีองค์มาจับเป็นร่าง บางคนก็มาร้องไห้ว่า แฟนไม่สนใจเธอ--เกือบจะจีบซะละ

    --บันทึกไว้เพื่อกันลืม เพราะผมไม่เคยเขียนไว้ที่ไหนเลย จะได้ก๊อปเก็บไว้ และลงบล็อกส่วนตัวได้อีก ส้มเป็นชาวหาดใหญ่(หน้าตาท่าทาง เหมือนเนาวรัตน์ ยุกตะนั้นท์ ตอนเป็นสาวครับ)-- แฟนคนล่าสุด เป็นคนอีสาน แต่มาโตที่กทม. --ส่วนภรรยาผมพื้นเพอยู่ อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ แม่เธอเป็นไทยอยุธยา พ่อเป็นคนจีนครับ เธอบอกว่า แม่เธอสอนว่า คนลาว-คบชั่วเช้า ชั่วเพล --หมายความว่า เป็นคนค่อนข้างกลอกกลิ้งไม่จริงใจ ต้องขอโทษชาวอีสานด้วยนะครับ ได้ยินมาแบบนี้ บันทึกไว้กันลืมเช่นเดียวกัน)

    --ชีวิตกับความรักของผมคงเป็นประโยชน์ต่อท่านอื่นๆครับ.. ผมเหมือนคนที่เผชิญชีวิตด้วยความซ่อบวกเซ่อแบบไร้เดียงสาครับ งานที่ทำก็ทั้งทางเทคนิค -ทางธุรกิจที่เชือดเฉือนใช้เล่ห์เหลี่ยมกันสุดเดช แต่เราดันเป็นคนซื่อๆเซ่อๆซะงั้นแหละ อย่างเรื่องชีวิต --ความรัก อะไรพวกนี้เราก็เอาหลักธรรมมะไปจับ ก็ยังพอสรุปได้ แต่ตอนนั้นไม่รู้จริงๆ เช่นที่พี่สาวพาน้องไปประเคนคนนั้นคนนี้ (แบบว่าเรื่องนั้น ก้แล้วแต่-ว่าจะแอบไปมีไรกันที่ไหน)ซื่อจริงๆไม่ทันเกมเลย เป็นเพราะเราไม่ชอบเล่นเกมกับใครด้วย-ที่รู้เพราะเทพท่านบอก และชายคนนั้น(ที่เคยเป็นพระ)ก็บอกแบบนี้

    ---สิ่งที่เปลี่ยนแปลงนิสัย-สันดานคนได้อย่างหมดจด ก็คงเป็นความรัก เช่น พ่อรักลูก เลยเลิกกินเหล้า แม่รักลูก จึงเปลี่ยนแปลง ทำทุกอย่างเพื่อลูก ความรักเป็นพลัง เป็นแรงบันดาลใจอันมากมายมหาศาล ส่วนความรักที่เป็นทุกข์ก็คือความรักแบบชุ้สาวครับ เรียกว่าน้ำตาคนเรารวมทุกหยดมากกว่าน้ำทะเลหมดทั้งโลก ที่เราแต่ละคนได้เสียให้กับความรัก ความห่วงใย ความโหยหา ความเศร้าโศก ความพลัดพราก แม้จะรู้ว่าเป็นแค่มายา ทุกสิ่งไม่จีรัง เป็นแค่พฤติกรรมของจิต แต่มนุษย์เราไหนเลยจะตัดใจได้ ดังนั้นเราก็ควรตัดการเวียนว่ายตายเกิด พบสุขที่แท้จริงในแดนนิพพานนั่นแหละ คือสุดยอดแห่งความพ้นทุกข์และเป็นสุขที่ถาวรครับ---น้องๆโปรดพิจารณา--ผมจะกระตุ้นบ่อยๆให้ท่านผู้อ่านมีความอยากที่จะหลุดพ้น -ให้เกิดความเบื่อหน่ายในกาม-

    ---ผู้อ่านทุกๆท่านมีความสำคัญ เพราะช่วยผลักดันให้ผมเขียนอะไรๆที่ค่อนข้างมีสาระ และเป็นหลักธรรมมะขึ้นมาได้ ไม่งั้นก็บ่นไปแบบเรื่อยเปื่อยครับ

    --สมัย 10 กว่าปีก่อน เช้าขึ้นมา ณ บริษัทแห่งหนึ่ง -สาวๆเถียงกันใหญ่ว่าฉันนี่แหละเมียน้อยผู้จัดการตัวจริง หรือ"เก็บหนุ่มทั้งแผนกกินหมดแล้ว"--ก็มีอยู่จริงครับ เพื่อนเล่าให้ฟังว่าบริษัทเดิมเขามีแบบนั้น---ไปนั่งร้านเหล้า มีผู้หญิงเปลือยหมดมานั่งตักเรา ผมทำอะไรไม่ถูกเลยครับ เพิ่งสึกจากพระมาด้วย เจ้านายหัวเราะก๊ากเลย--พวกนี้จะเดินสายตามคาเฟ่ต่างๆ จะเดินสามรอบ รอบสุดท้ายแก้ผ้าหมด ต้องใช้ยาเสพติดเพื่อให้ไม่มีความอาย)

    --น้องโอปอล์บอกว่า กรณี "จ๊ะ-คันหู" เป็นความเสื่อมอย่างธรรมดาของโลกหลังกึ่งพุทธกาล--พูดจาฉลาด น่ารักดีครับ
    -ได้ฟังมาปีก่อนๆ มีการเล่นการเมืองจากหลายๆฝ่าย ทำตัวเหนือกฏหมาย ไม่มีความยุติธรรม ถึงเวลานี้ยังไม่ได้รับโทษ---แต่รับกรรมมีแน่นอนครับ ต่อให้บารมียิ่งใหญ่คับฟ้า ก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้น เหมือนที่หลวงปู่บอกว่า---คนไม่มีศีลธรรมตายหมด คนมีศีลอยู่ใกล้ก้ไม่เป็นเป็นไร ต่อให้ลูกเห้บโตเท่ามะพร้าวก้ไม่โดนเรา

    ---จะเขียนดีไหมละครับตอนนี้ พอดีว่าเขียนอีกทีก็เหมือนเดิม เพราะไม่ได้มีหลายชีวิต นอกจากเขียนเรื่องอดีตชาติได้นิดหน่อย

    ----อดีตก่อนที่จะมาเกิดชาตินี้ ผม และเพื่อนๆ เป็นคนที่อยู่แถวตัวเมืองเชียงใหม่ หรือตรงจุดที่เป็น ม.เชียงใหม่นั่นเอง ---วัดฝายหิน ที่อยู่ในมหาวิทยาลัย ก็เป็นวัดโบราณที่ผมและเพื่อนช่วยกันสร้างไว้ ดร.ปรีชา คนที่เป็นเชื้อแขกก็จะนิมิตเห็นพระพุทธรูปที่เขาสร้างอยู่เสมอ

    --กุศลเหล่านี้ ทำให้ชีวิตในชาตินี้ไม่ตกต่ำ เพื่อนทุกคนฐานะปานกลาง ถึงค่อนข้างดี จะดีด้วยอีกอย่างคือมีปัญญา มีความรู้ที่นำไปหาทรัพย์ได้

    ----สมัยนั้นผมเป็นพ่อค้า ฐานะเศรษฐี บางคนเป็นนักรบ มีเรื่องชิงรักหักสวาทกับกลุ่มอื่น ในวัย 17--18 ปีเท่านั้น
    --- ปรีชา ชาติก่อนชื่อคำเมือง เก่งทางไสยเวท สักน้ำมันให้เพื่อ(ยังอยู่บนต้นแขนของอ๋อม เป็นปานเป็นแผ่นสีน้ำตาล) หลังจากคำเมืองตายในการรบ ผมเองก็ได้ภรรยาของเขามาเป้นภรรยาด้วย (ไม่ผิดนัก แต่ไม่เป็นไปตามประเพณี)

    --ช่วงสุดท้ายของชีวิต ผมก็บวชใจ ตายในชุดขาว ที่ริมฝั่งกว๊านพะเยา
    ---แล้วผมก็เกิดที่บ้านเลขที่ 1 ถ.ประเทศอุดรทิศ จว.พะเยา เช่่นกัน ก่อนที่จะเกิด แม่ก็นิมิตฝันเห็นเป็นลูกไฟดวงใหญ่กว่าดวงดาวมาจากท้องฟ้า เข้ามที่ครรภ์ของแม่ แม่ตั้งชื่อผมว่า"ลูกพลับ" ในอดีตชาติผมก็ชื่อว่า "พลับ"เช่นกัน
    -- แต่ปกติแม่จะเรียกว่า "เจดดา " หรือ "ดา" ไม่เคยเรียกชื่อนี้ มีแต่แม่อุมาจะเรียกผมชื่อนี้---ส่วนปรีชา เนื่องจากเขามีเชื้อสายทางอิสลามด้วยและ ฮินดูด้วย คงมีการแต่งตั้งทายาททางศาสนา เบื่องบนเรียกเขาว่า "มูฮัมหมัด อิสฮ๊าด" แต่มักเรียกง่ายๆว่า "เจ้าร่าง" หรือ เจ้าของร่าง นั่นเอง

    --เวลาเทพจะมาผ่านร่าง ดร.ปรีชา(ตั้ม) (ประทับทรง--ท่านจะมาอยู่แถวบนไหล่ ไม่ได้เข้าไปแฝงในร่าง เพราะท่านเป็นเทพ ไม่ใช่ผี ครับ)ท่านจะนั่งบนเตียง พวกเราจะนั่งข้างล่าง แต่ถ้าคนไหนนั่งสมาธิมาในวันนั้น ท่านจะทราบและให้นั่งเสมอกับท่าน

    --เวลาเสด็จแม่อุมาท่านผ่าน ก็จะมีกริริยาท่าทาง เสียง เป็นผู้หญิงที่อ่อนหวาน แต่จริงท่านก็ดุ เจอพวกเราเย้าหยอกท่านก็อนุโลมให้ ไม่อยากถือสาพวกทะโมนอย่างเรา
    --ครั้งนึงมีพายุใหญ่ กระเบื่องแผ่นใหญ่ตรงทางเดินหอ มีน๊อตยึด ยังปลิวไปหมด เพราะว่าท่านเทพไม่ยอมให้เราไปดูหนังเรื่อง"จันดารา" แต่พอพายุหยุด ก้ไปดุได้ทัน ท่านว่าตอนต้น(ตคลอดลูก) ไม่เหมาะสำหรับเด็กๆอย่างเรา พายุลุกนี้ ได้พัดสังกะสี ตัดคอคนแก่แถวนั้นตายไป1 คน คงเป็นลูกหลงนะครับ แรงมากขนาดจดึงประตูไว้ไม่อยู่เลย
    ----มีการชุมนุมของ นศ.บ่อยๆ ท่านว่าจะวุ่นไปอีกนาน
    --พระฤาษีนารอท ท่านมา และบอกว่า ท่านได้พบภาวะนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า แต่ของท่านไม่ยิ่งใหญ่ ไม่ลึกซึ้งเท่าของพระพุทธองค์
    ---ท่านที่มาเป็นเทพระดับสูง เช่น ท้าวมหาพรหม ชินะปัญชระ ปรีชาว่า ท่าทรงจีวรเหมือนพระแต่มีชฏาเหมือนเทพ
    --องค์อื่นๆ เช่น พระศิวะ พระนารายณ์ ปรีชาบอกว่า ทางเขามีพระเวท ที่ท่องแล้วจะปิดพรหมโลก ทำให้เทพเจ้าที่ประทับไม่ได้ ต้องมาตามคำเชิญของพวกเขา--โอ้โฮ มากไปไหมเนี่ย

    ---ปรีชาได้ตาทิพย์(ถอดจิต)ตอน อายุ 15 ---ครูที่สอนเป็นฆราวาส ผมเองก้อยากจะเก่งบ้าง ก้เลยนั่งสมาธิ หนังสือหมวดศาสนาของห้องสมุดกลางอ่านเกือบทุกเล่ม รู้จักหมดแหละ ศาสนา--ซิกส์ บาไฮ--ฮินดู ภาษกูโบ๊ส ไสยศาสตร์ เรื่องลี้ลับ

    --ปรีชาให้ด้ายศักสิทธิ์ของพรามหม์ --ให้ผมยืมบางครั้ง เขาบอกว่า ตอนที่ผมเดินจากแถวช้างเผือกมาถึงมหาวิทยาลัยนั้น กายทิพย์ของเขาก็ต้ิองเดินมาด้วย ทำให้เขาเหนื่อยมากๆ แต่การคล้องสาย ยัญโชปวีตนี้ ก็ป้องกันผมจากการถูกลองของ มีคนมาตบหน้าผากด้วยอาคม--ตอนที่ผมนั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์ โดยแกล้งเป็นประคองศรีษะ สายยัญโชปวีตเปล่งแสงออกมาต้านทันที --(ปรีชาเล่าให้ฟัง) โดยทั่วไปในอินเดีย--สายสิญจ์นี้บอกถึงความเป็นพรามณ์ที่แท้ และเจ้าของก็หวงเท่าชีวิต--ตอนหลังเบื้องบนท่านก็ยอมมอบให้ผมจนได้
    --ปรีชาบอกว่า คนอินเดียเรียกว่า "ยัชโชปวีต" เแต่ขียนตามศัพท์ว่า "ยัญโชปวีต"
    --เสด็จแม่อุมา คนอินเดียจะเรียกว่า "มริยะมะ" มะ-+อริยะ--+มะ แม่ผู้ยิ่งใหญ่กว่าแม่ทั้งปวง--พอจะเชื่อได้หรือยังว่า ดร.ปรีชาน่ะมีจริง และยังได้สัมผัสเรื่องลี้ลับจากชีวิตของคนอื่นๆที่ไม่ใช่ผม
    (ผมลงทุนเอาสมุดมาจดไว้ทุกครั้ง เพื่อจับผิดเวลาเทพท่านพูดอาจขัดแย้งกัน แต่สิิ่งที่ได้ --ก็คือได้ความรู้มากมายครับ)

    --ขอบอกตามตรงว่า ผู้หญิงเกือบทุกคน 99 เปอร์เซนต์ มีญาณวิเศษ พวกเธอสามรถรู้ได้เลยว่าในใจใครเป็นอย่างไร ดี หรือไม่ดี แผนกบัญชี ผู้หญิงทั้งแผนก ทั้งเจ๊เล็ก เกลียดแผนกขายของผมมาก แต่กับผม พวกเธอมักเรียกให้ไปดู ไปซ่อมคอมพ์ให้ จนจะกลายเป็นฮีโร่ของฝ่ายบัญชีแล้ว เจ้าของบริษัทก็ให้ผมทำโปรเจคให้ลูกชายที่เรียนอยู่ที่อังกฤษ ผมก็ทำได้ โดยการถ่ายภาพหยดน้ำที่แตกกระจายได้ในเสี้ยววินาที ทำได้สำเร็จและเขียนวิทยานิพนธ์ให้อีก--ทำให้เจ้าของบริษัทเชื่อฝีมือผมมาก--แต่ยังไงก็มีตัวคอยทำลายอยู่ดี เพื่อนผมนะเอง--ระยะหลังๆเทพบอกให้ถอนตัวออกมา เพราะเขาคอยสูบเลือด โดยหักรายได้ค่าคอมมิชชั่น และให้แอบไปเอาเช็คออกมา โดยดูเวลา ทำให้พวกที่คอยทำร้ายผม คลาดกันไป--พวกนั้นโกรธมาก แต่เราก็ได้รับมาครบแล้ว และก็ไม่ไปตรงนั้นอีก

    --เข้าไปบริษัทนึง สาวสองคนเธอมาจากบาหลี--(เป็นร้านอาหารที่โดนไฟใหม้น่ะ) ท่าทางเจ้าชู้แต่งตัวเก่ง(บางทีก็วิ่งมาปล้ำกับผม กลางวันแสกๆนี่แหละ) เจ้าของบริษัทบอกว่า "ก็ดูสิ อดีตชาติเธอเป็นนางยักษ์"--- โอโห ท่าจะบ้านิะเนี่ย--คนบ้าเจอกันเลยคบหากันมาตั้งสิบกว่าปี

    ---ผจก.บางคนก็พาพนักงานเข้าโรงแรม น่าสงสาร เด็กยังไม่รู้เรื่องอะไร สวยบริสุทธิ์ พวกไอ้แก่ตัณหากลับชัดๆ ยังมากีดกันเราอีก--เจ้าของบริษัทว่า "ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เพราะเขาเป็นผัวเมียกันไปแล้ว"
    --มีคนนึงเธอก็เก่ง จากนักร้องก็มาทำงานกับบริษัทเรา ชื่อสุ เป็นสาวกลางคนหน่อย เธอก็เล่าอะไรตรงๆ บางครั้งก็มาจับมือร้องไห้กับผม--เพราะผิดหวังเรื่องความรัก บางช่วงก็ไปเป็นครู เธอมีบุคคลิกดี และบังคับความรู้สึกตนเอง ควบคุมตัวเองได้ ทำให้ผมและเธอไม่ต้องกลายเป็นคู่รักกัน(คดีรัก-คดีเลิฟ)
    --นักร้องบางคนก็มีองค์ ผมก็ยังทักได้ถูกด้วย ที่เที่ยวๆก็เพื่อนบังคับให้ไป หรือเจ้านายลากไปก็ต้องไป เขาว่า คนเป็นระดับบริหารต้องรู้จักเอนเตอร์เทนลูกค้า แต่ผมไม่ได้ชอบหรูหรา หรือกินๆ-เที่ยวๆหรอกครับ ชอบอยู่เงียบๆ คิดเรื่องศาสนาปรัชญามากกว่า--อนุสัยจากอดีตชาติ--(จบแล้วเรื่องสาวๆ)

    -อืม ผมเคยตั้งวงดนตรีแบบรำวง ก็มีสาวๆ นุ่งสั้นๆราวสิบกว่าคน---เรียกว่านารีรอบกายเลย แต่คนแก่สองตายายที่มาคุมวงบอกว่า "อาจารย์จะไปยุ่งกับเด็กไม่ได้นะ เพราะเคยมีคนทำแบบนั้นแล้ว เครื่องเสียงระเบิด(เป็นแบบหลอด)ใฟชอร์ทใหม้หมดเลย" แหะๆ ทำไมดวงเราเป็นยังงี้ ..ให้ไก่นั่งมองข้าวเปลือก แมวเฝ้าปลาย่างได้แต่ห้ามกิน โอ๊ยๆๆๆ
    ---พักสายตาแป๊บนึง--<!-- End main-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 09 ตุลาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 9 ตุลาคม 2554 14:26:56 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : 122 Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336571323082 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D09-10-2011%26group%3D1%26gblog%3D237&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336571323082&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=433096859&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336571323082 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>


    </TD><TD>Add to [​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- <table width=100% border=0 cellspacing=0> <tr> <td>Counter : <script src='http://fastwebcounter.com/secure.php?s= bloggang3141236 '></script> Pageviews. </td> </tr> </table> --><FORM method=post name=reply action=http://www.bloggang.com/reply.php?id=secret-world><INPUT name=code value=u7dba50=9kiw?74h?0j-dyibfa03_?|=93prw3_k_fb3o1cffm81vv2pz5t3kl type=hidden>
    <TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TR><TD align=right>ชื่อ :</TD><TD><INPUT name=name></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></FORM>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2012
  20. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ----บางท่านคิดว่า ผมกำลังขู่ คำรามและด่าทุกคนที่หลงเข้ามาในกระทู้นี้ คือเราอาจจะไม่คุ้นเคยกัน นอกจากสำนวนสวิงสวายแทบอ้วกแตกที่ท่านได้อ่านไปแล้ว

    -----ทำไมต้องมาขู่--ท้าทาย หรือะไรๆ ก็ขอให้คิดว่า ผมมีเหตุผลในการกระทำอย่างนี้และมันเป็นสิ่งดีที่สุดแล้ว คำติเป็นดั่งยาขม ไม่อร่อยลิ้น แต่ดีสำหรับสุุขภาพร่างกาย น้ำตาลหวานลิ้น ตอนกินอร่อยปาก แต่เราจะเป็นเบาหวาน จากเบาหวานคือการเสื่อมของหลอดเลือด และหัวใจ อวัยวะบางอย่าง จนต้องตัดแขนตัดขา แล้วยังจะคิดว่าความหวาน--คำหวานมันเป็นสิ่งดีอีกหรือ (คำหวาน-ความหวานคือการเปรียบเทียบ)
    --วันนี้เหนื่อยมากๆ วันก่อนซื้อรถคันนึ่ง สำหรับเขยหัวใจสัตว์ ที่ไม่คิดจะทำงาน ไปไหนก็ต้องนั่งเครื่องบิน เราดีทุกอย่างกลับโกงเงินเราไป ตอนนี้เงินหมด แต่ต้องดาว์นมอเตอร์ไซค์ให้ คันเดิมถูกโขมยหรือแอบขายไปก้ไม่รู้ ส่งให้หนึ่งคัน บอกว่าตรวจสภาพไม่ผ่าน ทั้งๆที่มอไซค์รับจ้างยังไม่มีพรบ.รองรับ--และทั้งผัวทั้งเมียเค้าหัวสูง(เข้าห้างดูหนังเกือบทุกวัน) ติดหนี้บัตรเครดิตบัญชีดำไปแล้ว---บางภาตนะ คนแบบนี้เขาจ้างฆ่าหมดสวนยาง ตายแล้วไปได้เจอพระสวดเค้าว่าเป็นคนบาปหนา


    -วันนี้ส่งรถไปกทม. โดยพับใส่ซองส่งไปรษณีย์ หมดค่าแสตมป์ไป 1600บาท (ไม่มีใยซื้อขาย ต้องนั่งตุ๊กๆกลับมาเอา และเดินไปถ่ายเอกสาร--หมดค่าตุ๊กๆไป 250 บาท) --พอส่งปุ๊บ เสียงโทรเงียบปั๊บ พอโทรไป ก็ง่อดแง่ด หาว่าไม่รักเค้า โห ..ไม่รัก--แต่รับใช้หนี้สองแสนเนี่ยนะ เจอภรรยาผมด่า--ร้องไห้จนสลบน็อคไป(ร้องไห้น่ะเป็นพิธีกรรม--แต่ก็ยังสร้างเรื่องมาตลอด)
    ---ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแค่ปรากฏการณ์ ซึ่งได้ทำให้"ใจ"ของเราเหนื่อยหรือเศร้าแต่อย่างใด แต่ทำให้รู้ว่า ตัวเค้ายังไม่หมดกรรม แม้สามีกลับมาและโดนพระ(ท่านเจ้าคุณ) โดนญาติของเค้าด่าแต่ก็ยังออกอาการยียวนอวัยวะเบื้องต่ำอยู่มาก บางคนก็ไม่เชื่อว่าจะกลับตัวได้ เด็กวัดบางคนถุยน้ำลาย และบอกว่า "คิดจะทำมาหากินแล้วเหรอ ถ้าคิดมาเมื่อห้าปีก่อน ป่านนี้เป็นเศรษฐีไปนานแล้ว"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...