พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 28 มกราคม 2010.

  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    การลงมือปฏิบัตินั้นถูกแล้ว ควรทำก่อนแล้วจึงสรุปผล แต่การลงมือปฏิบัตินั้นถ้าในทางพุทธศาสนานั้นการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น ตนจะต้องรู้ว่ากำลังของตนเองนั้นมีแค่ไหน กำลังที่ว่านี้คือ กำลังในพละ ๕ และ อินทรีย์ ๕ คงไม่ต้องบอกว่าคืออะไรนะ มาตรงนี้เลย
    บาป และ บุญมีจริง เพราะ...
    ผลของบาปและผลของบุญมีจริง เพราะ...
    เมื่อบาปและบุญมีจริงผลของบาปและบุญก็มีจริงจึงกลายเป็น อกุศล และกุศลกรรม
    การเวียนว่ายตายเกิดนั้นล้วนอาศัยเชื้อ หรือ เหตุ เมื่อยังไม่หมดกุศลหรืออกุศล ก็ยังต้องเกิด จึงเรียก ตายแล้วสูญไม่ได้ ในฐานะของมนุษย์ที่อยู่ในบวรพุทธศาสนาต้องมองให้ออก และสัตว์ ต่างจากพืช วัตถุ สิ่งของ เพราะองค์ประกอบแห่งความเป็นจริงตามนั้น ความสอดคล้องต้องกันของสิ่งที่มีและสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่ามี จึงยังคงจำเป็น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เกิดได้ลอยๆ ไม่มีเหตุผลแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นรูปหรือนาม เพราะนามมาจากรูป และรูปก็มาจากนาม ส่วนการมองเห็นว่าจิตเกิดดับได้ด้วยปัญญาไม่ใช่ด้วยสัญญานั้นก็เป็นเรื่องดี เพราะไม่ว่าจะถูกมองว่านั่นเป็นเพียงอาการ หรือ อารมณ์ ความคิด และผลแห่งสิ่งเหล่านั้น มันก็มีที่มาจากจิตที่มีอวิชชาครอบงำ หรือ มาจากตัณหา และ วิภวตัณหา แต่ต้องพิจารณาเอาเอง หากมาถึงแล้ว ดังนั้น
    จิตไม่ปกติ จึงเป็นจิตที่เกิดกับ มีได้เพราะตัณหา และวิภวตัณหา ซึ่งมาจาก...จึงยังสภาพให้เห็นความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เพราะตั้งอยู่อย่างนั้นไม่ได้
    จิตปกติ จึงเป็นจิตที่ไม่มีเกิดดับ มีได้เพราะละตัณหาและวิภวตัณหา ซึ่งมาจาก...จึงยังสภาพให้เห็นความไม่มี(ทุกๆสมมุติ) เรียก นิพพาน และไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และย่อๆ หรือประมาทในธรรมของพระศาสดาจึงมีได้ สำหรับจิตชนิดนี้ เมื่อถึงแล้วจึงไม่เรียก จิต เรียก...
    จิตไม่ใช่ขันธ์ เพราะ เมื่อเริ่มต้นเราอาศัยการระลึกรู้อันเป็นวิญญาณขันธ์เป็นองค์ประกอบ รับรู้สภาวะที่เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยต่างๆได้เพราะมีวิญญาณขันธ์ แต่เมื่อพิจารณาถึงจุดหนึ่งจิตจะไม่สนใจผลของความเกิดดับนั้น แต่จะเพ่งพินิจเหตุของความเกิดดับ ลักษณะคล้ายจิตกับขันธ์แยกกันในองค์ภาวนา ถึงตรงนี้ท่านที่รู้ก็รู้ได้ ดังนั้นขอสรุปและเป็นทิฐิของตนเองว่า จิตไม่ใช่ขันธ์ และก็ต้องมีเกิดดับก่อน (จิตไม่ปกติ หรือ จิตปุถุชน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2010
  2. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ผมเข้าใจว่าหนทางปฎิปทาการเข้าถึงนิพพานคือการวาง ยิ่งวางยิ่งว่าง วางอะไรก็ไม่ยากเท่าวางการยึดมั่นถือมั่นว่ารูปและนามเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขา

    การปล่อยไม่ยึด ไม่เห็นเป็นสาระ มองเห็นด้วยปัญญาว่าตนและสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นมายาที่เกิดจากปัจจัยมาประชุมกัน คงสภาพได้ขณะหนึ่ง และแตกสลายไปในที่สุด จะทำให้ไม่ต้องตกเป็นทาสของโลก ส่วนหลังจากนั้นไม่ต้องแคร์ว่าจะไปไหน ถ้าเราบอกกับตัวเองได้ว่ากิจเราจบแล้ว ไม่มีห่วงและอาลัยใดๆที่เราจะผูกพันอีกแล้ว ปล่อยให้ธรรมชาติจัดการไปตามธรรม :d
     
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
  4. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
  5. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
  6. CottonFields

    CottonFields เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +149
    จิตเป็นวิญญานขันธ์ครับ
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คนที่บอกว่า จิตเป็นวิญญาณขันธ์ ให้ดูตรงนี้

    อวิชชาปัจจยาสังขารา สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ

    ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า ต้องมี สังขารก่อน คำว่า สังขารนี้ คือ ความปรุงขึ้นมา ก็ถามว่า ปรุงที่ไหน ถ้าไม่ใช่ที่จิต
    อวิชชาอยู่ที่ไหนถ้าไม่ใช่ที่จิต

    แล้วจะเอาให้ วิญญาณ เป็น จิต อย่า่งไร

    นี่ ฟันธงกันได้แล้วนะ

    ก็ขันธ์ ทั้งหลาย ไม่ใช่ เรา วิญญาณ ดับ ไม่ใช่จิตดับ
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ให้เข้าใจก่อนว่า ว่า พระศาสดาบอกแล้วว่า

    ขันธ์ ทั้งหลายไม่ใช่เรา ควรหรือจะเห็นเป็นของเรา

    ทีนี้ แล้ว เรา หละัคืออะไร

    ก็คือ จิต เดิมแท้นั่นแหละ แต่ เมื่อเข้าสู่มหานิพพาน จิตนั้นก็จะกลายเป็นธรรมธาตุ

    จิตเดิมแท้ มันมี อวิชชา อยู่ มันก็ไม่เป็นธรรมธาตุ ไม่เป็น นิพพานทั้งดวง

    เมื่อเป็น นิพพานธาตุแล้ว จบแล้ว

    แต่ถ้ายังไม่จบ มันก็ ไปตามเรื่องตามราว เหมาเอาว่า ขันธ์ ทั้งหลายเป็น ตัวตน

    ว่า วิญญาณ เป็นจิตบ้าง ต้องทำความเข้าใจว่า

    คำว่า จิตที่พูดถึงนี้ คือ จิตเดิมแท้นะ จิตเดิมแท้ มีอวิชชาก็ได้ มีปัญญาก็ได้

    แต่ไม่ใช่ วิญญาณ วิญญาณ เป็นอุปาทาน เป็น เจตสิก หรือ จิตที่เข้าแฝงกับสมมติ

    ด้วย อวิชชา
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มาพิจารณากันว่า การสอนธรรมเป็นนั้น ใช้อะไรมาดูบ้าง

    ข้อแรก : ฐานะผู้ฟัง

    1. หากคนมีฐานะจะเห็นสิ่งใดได้ เราควรสอนจากสิ่งที่เขาเห็น ต่อยอดออกไป หรือ
    2. สอนสิ่งที่เขาไม่มีทางจะแลเห็น แต่พร่ำสอนให้เขาจำ แบบนกแก้วนกขุนทอง

    ถ้าเลือกข้อ 1. เราจะกระตุ้นให้เขาปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหน
    ถ้าเลือกข้อ 2. เราจะกระตุ้นให้เขาปฏิบัติได้บ้างหรือเปล่า

    มาดูคำสอน "เห้ย พวกคุณเชื่อกู กูรู้กุเห็น จิตถึงที่สุดแล้วเป็นอย่างนี้" ถามว่า
    ประโยคแบบนี้เป็นการสอนให้ไปไปฏิบัติ หรือ สอนแบบนกแก้วนกขุนทองให้จำไป

    ข้อสอง : คนจะละวางได้ ต้องกล่าว หรือ สร้างอุบายให้แลเห็นโทษ

    1. จิตนั้นมีเกิดมีดับ แปรปรวน ไหลไปตามเหตุปัจจัย กล่าวแค่นี้แล้วหยุด
    2. "จิตนั้นไม่เกิดไม่ดับโว้ย ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า กูรู้ มึงเชื่อกู" กล่าวแคนี้แล้วหยุด

    ถ้าคนสอน เลือกพูดตามข้อ 1 จะทำให้คนฟังเล็งเห็นได้ง่ายในการเห็น โทษ ไหม
    โดยความเห็นส่วนตัว หากพูดแบบนี้ ย่อมแลเห็นโทษ และ อยากออก จะมีใจให้
    กับการปฏิบัติ และปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนไปเจอสภาวะที่ไม่เข้าข่ายเกิดดับอีก ทำ
    อย่างไรก็ไม่เห็นการเกิดดับอีก ก็สามารถยืนยันตนได้ไม่มากก็น้อย เพราะอย่าง
    น้อยก็ปฏิบัติเห็นจริงมาเรื่อยๆ

    หรือ

    ถ้าคนสอน เลือกพูดตามข้อ 2 จะทำให้คนฟังเล็งเห็นได้ง่ายในการเห็น โทษ ไหม
    โดยความเห็นส่วนตัว หากพูดแบบนี้ ย่อมไม่แลเห็นโทษ และ ไม่อยากทำอะไร
    เพราะมันเที่ยงอยู่แล้วจะต้องไปทำอะไรอีกหละ คนสอนหัวเราะดังขนาดนั้น มันก็
    ต้องจริงสิ คงไม่ต้องไปทำอะไรกับจิตอีก

    ดังนั้น เวลาคนสอนพูดบรรยายว่า จิตไม่ดับไปสักพัก ก็จะวกกลับมา พูดการเกิด
    ดับ กลับหัวกลับหาง วกวนไปมา ดูตัวอย่างข้างบน ก็จะเห็นจริงว่า ยกความไม่
    เกิดไม่ดับ เสร็จแล้วจึงเกิดสติ วกกลับมาพูดเรื่องเกิดดับ โพสเดียวไม่จบ ไม่ลง

    สังเกตอาการ โพสแรก บอกฟังธง (เอาธงลง)

    แต่ไม่นานนัก เกิดสติ มาโบกธงใหม่ (เอาธงขึ้น แล้วลง แล้วขึ้น แล้วลง)

    เมื่อสังเกตตัวอย่างคนข้างบนแล้ว ก็ลองไปหาฟัง คนอื่นๆ ที่พูดว่า จิตไม่เกิดไม่ดับ

    จะเห็นอาการคล้ายๆ กัน คือ จบไม่ลง วกไปวนมา แบบนี้แหละ

    ซึ่ง ไม่ใช่อาการของคนไม่รู้ธรรมนะ เขาอาจจะรู้ธรรมะ
    แต่ อาการนี้มันเป็นอาการ สอนธรรมะไม่เป็นเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

    ลองมาดูตัวอย่าง ท่านที่สอนเป็น สอนเรื่องเกิดดับ อย่างเป็นลำดับ ไม่ลักลั่นดู
    จะเห็นเลยว่า ไม่มีการวนไปวนมา จบไม่ลง และพูดเพื่อให้เห็นโทษในสิ่งที่ยึด
    มั่นถือมั่นอยู่ มันคลายลง

    http://palungjit.org/threads/เรื่องของความเกิด-ดับ-ของ-พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์.225000/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2010
  10. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    คนสอนเป็นเค้าก็สอนความจริงมิได้สอนเพื่อให้เค้ามาเชื่อดังเช่นพระพุทธเจ้าท่านทรงยกอริยะสัจ ครูบาอาจารย์ท่านก็ยกที่ท่านเห็นสิ่งที่เป็นจริงมากล่าว ชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็นถึงความจริงพิจารณาเพื่อเข้าถึงความเป็นจริง เพื่อถึงความจริงว่าเป็นอย่างไรเช่นไร บุคคลผู้กล่าวแต่เพ่งโทษบุคคลอื่นแต่ท่านไม่ได้กล่าวความจริงย่อมหาประโยชน์สิ่งใดไม่ได้ นอกจากโทษเพียงส่วนเดียว
    ส่วนท่านที่สอนความไม่จริงแต่สอนเพื่อให้คนเค้ามาเชื่อเพื่อต่อยอดอันนั้นท่านว่า วาจาทุจริต แต่ถึงกระนั้นของสะอาดย่อมเกิดจากมีของหรือสิ่งที่สกปรก...
    อุบายก็ต้องอุบายให้เข้าถึงความเป็นจริงมิใช่กล่าวออกจากความไม่จริงแต่ประการใด...

    ดังนั้นการสอนการแนะนำ การยกสิ่งต่างๆมากล่าวควรคำนึงถึงประโยชน์และส่วนถึงความจริงด้วย จิงเกิดประโยชน์ต่อผู้รับฟังอย่างแท้จริง..

    ขอโมทนากับทุกท่านที่ทำให้ตัวข้าพเจ้าน้อมนำความรู้ต่างๆที่ได้ไปสู่ปัญญาพิจารณาเพื่อปรับทิฐิให้ตรง เพื่อปรับต้นให้ตรงสู่ปลายทางที่เที่ยงตรงต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มกราคม 2010
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    นั่นแหละ ที่ว่า ดูเฉยๆ จิตควบคุมไม่ได้ หรือ จิตมันดับเอง ให้ทำเหตุใกล้ ทำถีรสัญญา ให้เกิด แล้วมันจะดับเอง
    นี่แหละ ประโยคแบบนี้เป็นการสอนให้ไปปฏิบัติ หรือ สอนแบบนกแก้วนกขุนทองให้จำไป

    ฮา สี่ตลบ หกตลบ
     
  12. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    นายนิวรณ์ เพลงหมัดนี้ เขาเรียกว่า ดาบนั้นคืนสนอง
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182


    ที่จินนี่ ยกมานี่ ก็ชัดเจน พระอริยะท่านก็พูดเหมือนกันหมด
    ทั้งหลวงปู่เทส หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว ไม่มีขัดกัน
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มาดูเหตุผลกันต่อว่า เวลาพูดถึงจิต ทำไมต้อง ยกปฏิสนธิกิจ มาใช้

    เพราะ ปฏิสนธิจิต เป็น กิจอันเดียวของจิตในการชี้ชัดว่า มีภพชาติต่อหรือไม่

    และ ปฏิสนธิจิต เป็น สภาวะที่ไม่ต้องไปพะวงบรรยาย เรื่องการปล่อยวาง สังขารอีก
    เพราะโดยธรรมชาติของกิจนี้ สังขารมันอยู่ในช่วงแตกสลายอยู่แล้ว จึงสามารถบีบ
    เรื่องที่จะโน้มมาดู ชวนมาพิจารณาลงไปแต่ส่วน จิต ได้

    ดังนั้น คนที่สอนธรรมะเป็น สอนให้คนธรรมดาๆ ที่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดแล้ว
    ซึ่ง ไม่ใช่พวกคิดเรื่องตายแล้วสูญอีก เราก็จะพูดระดมการเห็นมาที่ส่วน จิต ได้ตาม
    กำลังการเห็นของเขา

    ทีนี้ ทำไมถึงได้ยก วิญญาณขันธ์ ขึ้นมาในจังหวะนี้ ก็เพราะ การที่ปฏิสนธิจิตทำ
    งานนั้นมันเป็นการ สืบต่อ หรือ การหยั่งไปที่รูป-คติ-ตอนตายนั่นแหละ แล้วเกิดความ
    ยินดียินร้าย ทำให้วิญญาณขันธ์มันทำงานแล่นไปในชาติใหม่ (ดับที่เหตุ จิตจะบริสุทธิ
    หรือไม่บริสุทธิมันเป็น ผลที่เกิดหลังกระบวนการนี้ )

    ดังนั้น เวลาคนได้รับคำอธิบายแบบนี้แล้วเกิดอะไร เกิดอารมณ์อย่างไร แน่นอนเลย
    ว่าจะต้องเกิดอารมณ์เห็น โทษในวิญญาณขันธ์ ใช่หรือไม่ใช่

    ที่นี่ คนสอนเป็น จะกระหน่ำทัศนะลงไปอีกว่า ไอ้ที่จะไป สร้างคติดีๆ ไว้ให้วิญญาณ
    ขันธ์มาหยั่งตอนที่กำลังจุตินี่ เป็นเรื่องไม่ควรคิด คือ อย่าบ้าคิดว่าไปควบคุมขันธ์ได้
    [ ตรงนี้ หากคนสอนเน้นว่า จิตไม่เกิดไม่ดับ จิตเที่ยง เขาจะมีโยนิโสมนสิการใน
    การเล็งเห็นทางออกไหม มีแต่เห็นจิตเที่ยง ก็จะบังคับจิตให้นิ่งเสียตะพึด(นิ่งเป็นทิฏฐิ
    ตัวหนึ่ง คือ ครองภพว่างๆ คิดถึงความว่าง) แทนที่จะได้โยนิโสมนสิการในการวาง
    อุปทานขันธ์ โดยเห็นโทษที่วิญญาณขันธ์ ก็จะไปผลิกไปทำให้จิตเที่ยงนิ่ง เสียประโยชน์
    ที่ควรจะเห็น ]

    เพราะเรื่องของเรื่อง มันต้องละวางอุปทานขันธ์ต่างหากเล่า !! ซึ่งครบถ้วนในอุบายธรรม

    จะเห็นว่า แบบแผนในการสอนธรรมะ ของคนที่สอนเป็น หนะเขามี และเป็นแนวทางนี้

    ( ดูจากตัวอย่างที่ชี้ให้ในโพสก่อนก็ได้ เพื่อทบทวน )

    ส่วนพวกสอนไม่เป็น ก็จะเห็นว่า ตนไม่ได้สอนแบบคนโบราณ สอนแบบให้ท่องจำ
    แล้วติ คนที่สอนแนวทางให้น้อมปฏิบัติอย่างเป็นลำดับว่า เป็นพวกสอนนกแก้วนกขุนทอง
    มองเห็น กลับหัวกลับหางตลอดเวลา ไม่ว่าจะโดยการ ยกธรรมาแสดง หรือ กล่าวหา
    สิ่งที่ดีแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2010
  16. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ท่านขันธ์์ ผมยกธรรม จากหลายท่านมาให้อ่าน ไม่ได้เอามาสนับสนุนใคร

    ขอให้ทุกท่านอ่าน ตรึกตรอง ให้หลากหลาย ด้วยใจที่เป็นกลาง เรื่องปฎิจจสมุปบาท ยังมิควรไล่สายเกิด ถ้าจะพิจารณาธรรม พิจารณาทุกข์ พิจารณารูปนาม พิจารณากิเลส โอกาสเห็นสายดับคงไม่ยาก หากลงมือทำ

    เจริญธรรมทุกท่าน
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    อ้าว แบบนี้ เหยียบเรือสองแคม นี่ มันต้องรู้จักฟันธงบ้าง ชีวิตมันจะได้มีคุณค่า ที่กล้าทำ
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    พิจารณาดูครับ คนสอนเป็น ที่สอนอยู่ข้างบนนี้
    พูดตรงๆ เลย ใครอ่านรู้เรื่องบ้าง ผมถามหน่อย

    อ่านรู้เรื่องชัดเจน ฟังปั๊บเข้าใจธรรม

    ตัวเองวกวน ยังจะมาสอนคนอื่น
     
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    จะรู้ว่าอะไรของจริง อะไรของปลอมได้นั้น ปัญญาต้องทำงานก่อน ไม่ใช่กิเลสทำงานเพียงเพราะสักกายทิฐิที่มีในตนก็เห็นว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด ยังไม่ใช่ปัญญาเกิด เพราะธรรมที่พระศาสดาสอนถ้าจะยึดตามตัวหนังสือที่เขาแปลกันออกมา จำได้รู้หมดทั้ง ๘๔๐๐๐ พระธรรมบท เราคิดว่าคนนั้นบรรลุธรรมแล้วหรือไม่ เข้าใจความในธรรมนั้นถ่องแท้แล้วเชื่อได้เลย อันนี้ก็เป็น กิเลสความหลงที่ก่อเกิดสักกายทิฐิ เกิดมานะ เป็นโทษแก่ตนอีกนั่นแหละ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาเอา พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของธรรมเอา อย่างที่บอกนั่นแหละ มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆเลยแต่อย่างใด และก็ไม่ได้มีใครบอกให้ต้องเชื่อที่ฉันพูดนะ เว้นคนผู้หลงเพียงบางคน จริงๆไม่ต้องบอกว่าต้องเชื่อก็ได้ พระศาสดาก็ยังไม่เคยกล่าวเลยว่าเธอต้องเชื่อเรานะเพราะเราเป็นพระพุทธเจ้า ธรรมนั้นของเราเธอต้องเชื่อเลยเมื่อเราบอก แต่คำว่าเชื่อนั้น ในความหมายของพระองค์คือน้อมนำมาปฏิบัติไม่ใช่เชื่อโดยไม่ได้น้อมนำตน จิตใจตนมาพิจารณาเพียงเห็นแค่ว่า ไม่รู้ใครเอามาพูด เป็นแค่คำโกหก ไม่มีที่มาที่ไป ก็คงทำได้เพียง บอกว่า หากมีคนบอกว่าให้เราเชื่อในสิ่งที่เขาเป็นเราเองก็คงไม่เชื่อ แม้ผู้นั้นจะเป็นพระศาสดามีบารมีครอบโลกธาตุหากเราไม่ได้ปฏิบัติน้อมจิตพิจารณาแล้วเห็นตามนั้น จึงไม่แปลกใจที่คนอื่นๆในโลกก็คงคิดเช่นเดียวกันบางส่วนเพราะ... แต่คนอีกบางส่วนบางจำพวกก็เชื่อไปทั้งที่ยังไม่ได้น้อมนำมาปฏิบัติเลย เพียงเพราะเห็นว่านั่นเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ นี้ล้วนเป็นทางดับปัญญาที่มีในตนโดยแท้ แต่ศรัทธาก็ยังคงเดิม ก็ขอให้พิจารณาหาความแตกต่างที่มีเหล่านี้ในตนให้เจอเถอะนะ เพราะธรรมที่พระศาสดาสอนนั้น หรือการบูชาพระศาสดานั้น ทำได้โดยอะไร และทำได้อย่างไร

    เพราะความถือตัวถือตนนั่นแหละ ธรรมจึงไม่ลงสู่จิตสู่ใจ คนลักษณะนี้จะไม่มีวันเห็นธรรมและบรรลุธรรมได้ไม่ว่าจะเกิดมาในภพไหนๆหรืออยู่ใกล้พระศาสดาแค่ไหนก็ตามก็ไม่อาจเห็นธรรมที่พระศาสดาตรัสสอนไว้ได้เลย ด้วยประการฉะนี้

    ขอให้ท่านทั้งหลายเห็นเพียงธรรมที่นำเสนอ และพิจารณาธรรมที่หลายๆท่านนำเสนอและกลั่นกรองด้วยปัญญาเถิด
     
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    พูดมาก ไม่เห็นจะเกี่ยวกับกระทู้เลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...