พระสมเด็จฯ องค์หนึ่งเดียว

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย huyakorn, 25 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. mayakarn

    mayakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +19,921
    โปรแกรมนี่ทำไงอ่ะครับ ชอบๆ อยากเล่นบ้าง
     
  2. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    พุทธคุณ พระสมเด็จฯ

    โชว์ไปเถอะครับ เพราะเราไม่ได้คิดร้ายกับใคร ถ้าไม่ดี ผมคงโดนดีไปแล้ว (โชว์ในเว็บไซต์) ผมเคยตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่าอยากทำงาน 3 อย่างให้สำเร็จ คือ

    1. แจกฟรี เครื่องบันทึกอารมณ์ (Jetasic Meter) เป็นเครื่องที่ออกแบบมา สำหรับใช้บันทึกการใช้อารมณ์ ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เช่น โกรธ เศร้า เสียใจ ดีใจ ฯลฯ พอรู้ว่ากำลัง "โกรธ" ก็กดที่ปุ่มโกรธ 1 ที เครื่องก็ทำการบันทึกว่า วันนี้ เวลา.. โกรธ 1 ครั้ง, ดีใจ ก็กดปุ่มดีใจอีก 1 ที ระบบจะบันทึกอารมณที่เกิดแล้วเรารู้ตัว โดยการกดปุ่มตามอารมณที่เกิดขึ้น เครื่องนี้สามารถโอนข้อมูลเข้ามือถือ หรือคอมพิวเตอร์ผ่าน USB port ได้ และผมจะเขียนโปรแกรมให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูล เชื่อมโยงกับ "พระอภิธรรม" เรื่อง "จิต และเจตสิก" จะเกิดการพัฒนาจิต ฝึกสติ ไม่ต้องนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรม ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา แบบรูปธรรม ขนาดเครื่องเท่าเกมกดขนาดเล็ก โครงการนี้ใช้เงินเยอะ เพราะลองติดต่อไปที่จีน เขาทำได้ ถ้าสั่งเป็นแสนชิ้น ราคาไม่เกิน 80 บาท
    2. แจกฟรี เกมกายนคร และเกมปฏิจจสมุปบาท เป็นเกมสอน "พระอภิธรรม" เรื่องของ "จิต เจตสิก รูป นิพพาน" ส่วนรายละเอียดถ้ามีโอกาสผมจะมาบอกวันหลัง อันนี้ใช้เงินประมาณสิบล้านบาท
    3. ตั้งศูนย์พัฒนา "ปัญญา สมาธิ" สำหรับคนรุ่นใหม่ โดยใช้ Mind Map และเน้นการปฏิบัติจริง

    ตอนแรกก็คิดว่าจะหาเงินมาจากไหน เยอะขนาดนั้น (น่าจะใช้เงิน 30-40 ล้าน) แต่ตอนช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมก็ได้พระสมเด็จวัดระฆังฯ (องค์หนึ่งเดียว) มาโดยไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว ท่านอยู่ในถุงพลาสติกเก่าๆบนตู้พระที่บ้านพ่อผม ฝุ่นจับหนา ดำ มองไม่เห็นของที่อยู่ในถุง แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ไปหยิบมาดู ในถุงมีพระอยู่ประมาณ 20 องค์

    หนึ่งในนั้นก็คือพระสมเด็จฯที่ผมนำมาตั้งเป็นกระทู้นี้ เชื่อไหมครับ ตอนนี้ผมพบ พระสมเด็จฯแท้ๆกว่า 50 องค์แล้ว ถึงแม้จะเป็นพระสมเด็จฯที่สมาชิกพระบ้าน ๙ นำมาลงในเว็บไซต์ก็ตาม แต่ถ้าผู้มีบุญญาธิการมาเช่าไปทั้งหมด ก็คงจะมีเงินพอที่จะเริ่มโครงการนี้ได้

    ซึ่งตอนนี้ผมคิดว่างานที่ตั้งใจจะทำคงจะสำเร็จอย่างแน่นอน และต้องเป็นเพราะพุทธคุณของ"พระสมเด็จฯ องค์หนึ่งเดียว" องค์ที่ตอนแรกใครๆก็บอกว่าเป็นพระเก๊..ครับ

    (อ่านคำอธิษฐาน 3 ข้อของผมได้ที่ http://www.vcharkarn.com/vcafe/194220 กระทู้ที่ 57 ครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2012
  3. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    เข้าไปดาวน์โหลด ที่นี่ ครับ (ราคา US$8 หรือประมาณ 250 บาท)
     
  4. mayakarn

    mayakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +19,921
    ขอบคุณครับผม :cool::cool::cool:
     
  5. PraKhoonPhan

    PraKhoonPhan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    881
    ค่าพลัง:
    +6,624
    คือผมก็ไม่รู้ว่าถ้าโชว์ไปจะมีคนหาว่าของผมแท้รึเปล่านะ
    ขอเวลาอีกหน่อยดีกว่าครับช่วงนี้ทำอะไรก็ขอท่านเสมอ
    ผมห้อยแล้วอุ่นใจดีมากเลยครับ
     
  6. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    ข้อมูลต่อไปนี้คัดลอกมาจากหนังสือ ทีเด็ดพระสมเด็จ ของอาจารย์พน นิลผึ้ง มาเพียงส่วนเดียว

    พระสมเด็จทำมาจากอะไรบ้าง

    การสร้างพระสมเด็จของพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านใช้ส่วนประกอบขององค์พระมากมายหลายอย่าง มีทั้งผงวิเศษ หรือผงสมเด็จ หรือผงกฤติยาคม เกษรดอกไม้ร้อยแปดชนิด ว่านยา และว่านมงคล สมุนไพรต่างๆ อัญมณี แร่ธาตุ พระธาตุ พระเก่าโบราณ ของวิเศษที่เป็นมงคล ก้านธูปบูชาพระรัตนตรัย ไม้มงคล ดินโป่ง หินเปลือกหอย ผลไม้ กระยาหาร ข้าวหอม ไคลเสมา ไคลเสาตะลุงช้างเผือก ดินสอพอง ปูนตายซาก หมุดเงินทอง ทรายเงินทรายทอง ใบลาน น้ำอ้อย ยางไม้ น้ำมันตังอิ๊ว ผงตะไบพระทอง และของที่เหลือใช้อย่างอื่นอีก

    การทำพระสมเด็จของท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านมีวิธีการทำดังนี้

    ขั้นที่ 1 ท่านเอาดินสอพองจากลพบุรีถือว่าเป็นดินที่ขาวบริสุทธิ์ เอามาร่อนแยกเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากดินสอพอง ให้เหลือแต่ดินสอพองบริสุทธิ์ ปั้นเป็นท่อนพอหมาดแล้วตัดเป็นแผ่นบางๆตากแดดให้แห้งสนิท

    ขั้นที่ 2 เอาดินสอพองที่หั่นตากแดดแห้งสนิทแล้วเอามาบดให้เป็นผงละเอยดเอาไปตากแดดให้แห้งสนิทอีกครั้ง แล้วแยกผงแป้งดินสอพองออกไปบรรจุใส่บาตร 5 บาตรเท่าๆกัน

    ขั้นที่ 3 เอาดินสอพองในบาตรที่หนึ่ง บริกรรมบรรจุด้วยคาถาบท อิธเจ บาตรที่ 2 บริกรรมประจุด้วยคาถาบท ตรีนิสิงเห บาตรที่ 3 บริกรรมปรุด้วยคาถาบท ปัทมัง บาตรที่ 4 บริกรรมประจุด้วยคาถาบทมหาราช และบาตรที่ 5 บริกรรมประจุด้วยคาถาบทพุทธคุณ ท่านบริกรรมประจุด้วยคาถาทั้ง 5 บท แต่ละบาตรอยู่ตลอดเวลาด้วยตัวท่านเอง จนเห็นว่าขลังเพียงพอ

    ขั้นที่ 4 เอาผงทั้ง 5 อย่าง 5 บาตรมารวมกันใส่ในบาตรใหญ่ 1 บาตร แล้วกำกับด้วยคาถา ทั้ง 5 บท อิธเจ - ตรีนิสิงเห - ปัทถมัง - มหาราช - พุทธคุณ พร้อมกันในบาตรใหญ่ เรื่องการบริกรรมคาถาทั้ง 5 บทพร้อมกันนี้ อาจารย์มงคลเล่าว่า ผู้ทำได้จะต้องมีจิตสมาธิแข็งกล้าจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะทำให้จิตแตกกลายเป็นบ้าไปได้ บุคคลหรือพระที่ทำได้ในโลกนี้ก็มีเพียงสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี แต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น จึงทำให้ผง กฤติยาคมของท่านขลังยิ่งนัก

    ขั้นที่ 5 เอายอดไม้มงคลเช่นยอดตำลึง - ยอดสุดสวาท - ยอดและดอกรักซ้อน - ยอดกาหลง - ยอดทองพันชั่ง - ราชพฤกษ์ - กระแจตะนาว - ยอดใบเงิน - ทอง - นาก และอื่นๆอีก เอามาตำให้แหลกละเอียด เอาน้ำพุทธมนต์ 7 บ่อ 7 รสผสมลงไปแล้วตั้นเอาแต่นำไปผสมผง 5 อย่าง แล้วปั้นเป็นแท่งชอล์คเอาไว้เขียนเลขยันต์ เรียกว่าดินสอมหาชัย

    ขั้นที่ 6 เอาดินสอมหาชัยไปเขียนเลขยันต์บนกระดาน แล้วลบเลขยันต์เก็บเอาผงชอล์คหรือดินสอมหาชัย ไว้เอาไปผสมน้ำคั้นยอดไม้มงคลปั้นเป็นแท่งดินสอมหาชัยใหม่ ตากให้แห้ง นำมาเขียนเลขยันต์ในกระดาน แล้วลบเลขยันต์เอาผงไปผสมน้ำคั้นยอดไม้มงคลอีก นำมาปั้นเป็นดินสอมหาชัย แล้วเอาไปเขียนเลขยันต์ ทำอยู่อย่างนั้นหลายร้อยคาบ หลายร้อยครั้ง จนสุดท้ายผงจากดินสอมหาชัยที่มียางยอดไม้ผสม จะเกาะเป็นเม็ดกลม เวลาเขียนจะร่วนออกมาเป็นเม็ดๆเล็กๆ สีขาวขุ่นๆ แข็งแกร่งมาก เม็ดผงนี่แหละเรียกว่า ผงสมเด็จหรือกฤติยาคม

    ขั้นที่ 7 ท่านเอาผงกฤติยาคมไปบรรจุไว้ในบาตร และบริกรรมพระคาถาดังกล่าวมาแล้วกำกับตลอดทุกวัน เป็นเวลานานๆ จนท่านมั่นใจว่าขลังดีแล้ว จึงเอามาผสมเนื้อพระ และมวลสารอื่น ตำผสมทำเป็นเนื้อพระ เอาไปพิมพ์พระต่อไป

    ท่านทั้งหลายเมื่ออ่านดูวิธีการทำของสมเด็จโตแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ส่วนตัวผมเองรู้สึกถึงคุณค่าของพระแต่ละองค์ว่าได้มาด้วยความยากลำบาก จะถูกทอดทิ้งไปโดยไร้คุณค่าเนื่องจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ลองหาหนังสือ ทีเด็ดพระสมเด็ด ของอาจารย์ พน นิลผึ้ง มาศึกษากันดู มีข้อมูลอีกมากมาย กว้างดี ใจไม่แคบ แล้วใช้วิจารณาญาณดูว่าเป็นไปได้ไหม ท่านมีชีวิตอยู่ถึงห้าแผ่นดิน แต่ถูกจำกัดพิมพ์พระแค่หลวงวิจารณ์เท่านั้น นอกพิมพ์นี้เก๊ ท่านอุตส่าห์ทำมาด้วยความยากลำบาก แต่ไม่ถูกใช้ประโยชน์ให้เต็มที่มันผิดอยู่นะ ผมเองไม่ได้ต้องการดึงราคาพระนอกพิมพ์ให้มีราคาสูงขึ้นแต่อย่างใด เพียงต้องการให้พระของท่านใช้ประโยชน์ได้เต็ม ไม่ใช่ใช้ได้เพียงส่วนเดียว อีกส่วนเก๊ ดังนั้นท่านทั้งหลายที่มีพระสมเด็จที่พิมพ์ไม่เหมือนของหลวงวิจารณ์แล้วล่ะก้อ อย่าเพิ่งทิ้งขว้าง ใจเย็นๆ ค่อยๆศึกษาดูก่อนด้วยตัวเอง เขาเรียนจบปริญญาได้เราก็ต้องทำได้ คนอีสานพูดว่า คนคื๊อกั้น ไม่เห็นเขาจะมีสาม หรือสี่ตาเลย เราจะได้มีพระสมเด็จไว้บูชากราบไหว้แบบสุดรักสุดหวงแหนกัน ในราคาที่ไม่ต้องไปเสียเงินกันเป็นแสนเป็นล้าน

    ที่มา : พระเครื่องเมืองสยาม ศูนย์รวมพระเครื่อง พระสมเด็จวัดระฆัง พระพิมพ์ขุนแผน และอื่นๆ

    ข้อมูลน่าสนใจเอามาฝาก..ครับ
     
  7. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    พระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ใหญ่

    ...ประวัติการสร้างที่ท่านพระยาทิพโกษาบันทึกไว้ หลังสมเด็จฯมรณะภาพน่าเชื่อมโยงประเด็นสำคัญ ๆ เช่นสมเด็จ ฯ ไปเรียนรู้ การสร้าง พระพิมพ์มาจากสมเด็จฯพระสังฆราช (สุก) มาแต่ พ.ศ.๒๓๖๕ ถ้าสมเด็จโตเกิด ๒๓๓๑ ท่านอายุได้ ๓๔ จึงสร้าง พระพิมพ์เป็นแล้ว ก็น่าจะสร้างไว้บ้างเป็นรุ่นโบราณจัด ถ้าพระพิมพ์รุ่น ๒๔๐๘ เป็นพิมพ์ที่เก่าสุด โดยท่านได้รับคำแนะนำจากหลวงวิจารณ์ ฯ ไม่น่าจะใช่ พิมพ์แรก เพราะยุค ร.๔ การสร้าง พระพิมพ์ไม่ได้ใช้วิธีกดพิมพ์ด้วยมือแล้ว เป็นกดด้วยแม่พิมพ์แผง ข้อนี้ พิสูจน์ได้ 100 % ว่าร่องรอยที่ปรากฏบนองค์พระยุคนี้ชัดเจน และมีตำหนิชี้ชัดว่ามีการนำ แม่พิมพ์ยุคเก่ามาถ่ายแบบลง แม่พิมพ์โลหะ แล้วพิมพ์ทีละ เป็นร้อยองค์ แต่ภาพพระที่ท่านนำมาแสดง พบว่าเป็นพระพิมพ์ที่สร้างก่อน ร.๔ ส่วนจะเป็น รัชสมัย ร.๓ นั้นไม่ยืนยันเพราะแม้วชิรญาณภิกขุ (เจ้าฟ้ามงกุฏ) ยังได้รับการรังควาญจากหม่อมเจ้าไกรสร ที่ไม่ต้องอัธยาศัย จนท้ายสุดถูกประหารชีวิต ในช่วงรัชสมัย ร.๓ สมเด็จโตออกธุดงเข้าป่าหนีหายไปจะมัวมานั่งสร้าง พระพิมพ์ย่อมไม่ใช่ จึงควรเป็นช่วงปลาย รัชสมัย ร.๒ เพราะมีตำหนิที่ต่างกันกับพระพิมพ์ที่สร้างสมัย ร.๔ เป็นอย่างมาก เห็นได้ชัด (ตำหนินี้ จะเขียนให้อ่าน กันภายหลัง) ถ้าผู้ศึกษา ยอมรับได้ว่า พระพิมพ์แบบเดียวกันนี้ เคยถูกสร้างเมื่อ พ.ศ ๒๓๖๕มาครั้งหนึ่งด้วยการกดมือ และแม่พิมพ์นั้นกรมสังฆการนำมาสร้าง แม่พิมพ์ใหม่สมัย ร.๔ มองดูเป็นพุทธลักษณะเดียวกันทุกประการ แต่ความชัด ลึก ไม่เหมือนของโบราณ การที่เซียนพระ ว่ากันว่า มีพระเพียง ๑๐๐ ถึง ๒๐๐ องค์ก็น่าจะเป็นพระยุคนี้ ส่วนผู้ที่ว่ามีเป็น ๑๐๐๐ นั้นไม่ตรงนักต้องว่ามีเป็นแสน เพราะสมเด็จ ฯเปรยว่าจะสร้าง ๘๔๐๐๐ ที่สี่นี้สำเร็จไหมก่อนมรณะภาพ พระที่ว่าดูเหมือนใช่แต่ไม่ใช่ นั้นแหละใช่...

    ...ตามประวัติ การสร้าง พระพิมพ์ ของพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านได้สร้าง พระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2368 สมัย ร.3 (ซึ่ง ร.2 สวรรคตในปี พ.ศ. 2367) ขณะนั้นท่านมีอายุได้ 37 ปี สร้างเป็น ที่ระลึกงานฉลองสมณศักดิ์ เป็นพระครุ (โต) วันอาทิตย์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีมะโรง พ.ศ.2368

    และท่านได้สร้างพระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ อีกหลายครั้งในตอนต้นสมัย ร.3 ในโอกาสต่าง ๆ ได้แก่ ปี พ.ศ.2379 (อายุ 48 ปี) พ.ศ.2381 (อายุ 50 ปี) พ.ศ.2386 (อายุ 55 ปี) พ.ศ.2387 (อายุ 56 ปี) พ.ศ. 2390 (อายุ 59 ปี) และในปี พ.ศ. 2394 ร.3 โปรดเกล้า แต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นพระธรรมกิตติโสภณ แต่ท่านไม่รับสมณศักดิ์และออกธุดงค์ จวบจน ร.4 ขึ้นครองราชย์ จึงกลับวัดระฆัง และในปี พ.ศ.2399 ร.4 โปรดเกล้า แต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นพระธรรมกิตติโสภณ ท่านจึงยอมรับสมณศักดิ์

    แสดงว่าในสมัย ร.3 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้สร้าง พระสมเด็จ วัดระฆัง ก่อนออกธุดงค์ หลายครั้ง พระที่สร้างสมัยนั้นมีจำนวนไม่มากนัก ตามตำนานเล่าขานกันว่า ท่านทยอยสร้าง ทยอยปลุกเสก และทยอยแจก เป็นแม่พิมพ์ช่างหลวง พุทธลักษณะ คมลึกชัด เนื้อปูนแกร่ง เนื้อจัดเข้มข้น มีมวลสารและเป็นต้นแบบของ พระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ ในสมัย ร.4

    ต่อมาในสมัย ร.4 เมื่อปี พ.ศ. 2407 ได้สร้าง พระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ ในโอกาสเป็นที่ระลึกได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) และในปี พ.ศ. 2408–2409 ได้สร้าง พระสมเด็จ วัดระฆัง จนถึง พ.ศ. 2411–2414 ซึ่งในสมัย ร.5 ได้สร้าง พระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ โดยแม่พิมพ์หลวงวิจารณ์เจียรนัย และในปี พ.ศ. 2514 สมัย ร.5 นั้น ท่านได้สร้าง พระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ ถวาย ร.5

    สำหรับ พระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ ที่นำมาเสนอใน Blog นี้ บางองค์สร้าง ในยุคต้น ร.3 (พ.ศ. 2368–2390) แต่ส่วนใหญ่ จะสร้างราวปี พ.ศ. 2407–2409 เพราะพระยุคนี้แก่ข้าวสุก แก่กล้วย เนื้อจัด หดตัวย่น เป็นมันวาว มีมวลสารมาก...

    ขอบคุณข้อมูลจาก : Blog พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2012
  8. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    ผมคิดว่าพระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ น่าจะมีรูปแบบอยู่ 3 ชนิดคือ

    1. ชนิดที่ยังไม่มีแม่พิมพ์ที่แน่นอน ขนาดไม่แน่นอน เนื้อหามวลสารหลักยังไม่ได้เป็นปูนเปลือกหอยดิบ ที่ผสมกับน้ำมันตังอิ้ว น่าจะใช้เพียงปูนขาวผสมกับ น้ำผึ้ง หรือน้ำอ้อย แต่มากด้วยมวลสาร ธรรมชาติ เช่น ข้าวสุก กล้วย ฯลฯ เนื้อพระจะหดย่น เป็นมันวาว ขาดความแกร่ง อาจมีเนื้องอกคล้าย พระวัดพลับ จำนวนการสร้างไม่แน่นอน เพราะเป็นรุ่นแรก ลองผิดลองถูก ศรัทธาญาติโยมช่วยกันออกแบบ ช่วยกันกดแม่พิมพ์ ด้านข้างจะมีรอยแตก แยก ย่น เพราะกดด้วยมือ ตัดด้วยตอก น่าจะเปราะ แตกหักง่าย

    2. ชนิดที่ได้รับคำแนะนำการออกแบบโดยช่างหลวง ซึ่งได้แก่ หลวงวิจารณ์เจียรนัย เป็นต้น พุทธลักษณะ คมลึกชัด เนื้อปูนเปลือกหอยดิบผสมกับน้ำมันตังอิ้ว แกร่ง เนื้อจัดเข้มข้น มีมวลสารหลากหลาย ที่ได้จากการออกธุดงค์หลายครั้ง เช่น เศษพระซุ้มกอ พระธาตุต่างๆ เป็นต้น และน่าจะเป็นต้นแบบของ พระสมเด็จ วัดระฆัง ที่ต้องการสร้างให้ได้จำนวน 84,000 องค์ ตามที่มีผู้สัญนิษฐานไว้ จำนวนการสร้างของรุ่นที่ 2 นี้ น่าจะเป็นหลักร้อย ท่านทยอยสร้าง ทยอยปลุกเสก และทยอยแจก พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่รุ่นนี้ จึงน่าจะเป็นรุ่นที่หาได้ยาก ทำให้พระมีราคาสูง และที่สำคัญสมเด็จโตท่านอาจจะกดพิมพ์เองกับมือ ตัดด้วยตอก (ไม้ไผ่) พระสมเด็จวัดระฆังรุ่นนี้ จึงเป็นรุ่นที่ น่าจะสมบูรณ์ที่สุด สวยที่สุด ราคาแพงที่สุด

    3. ชนิดที่ได้แบบมาจากข้อ 2 แล้วใช้วิธีพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์ชนิดที่เป็นแบบแผง (Blocks) พิมพ์ได้ครั้งละจำนวนมากๆ พระสมเด็จพิมพ์คะแนนก็น่าจะอยู่ในรุ่นที่ 3 นี้ เพราะต้องสร้างพระในจำนวนมาก ขนาดขององค์พระ คงจะไม่ใหญ่นัก เนื่องจากถอดแบบมาจากพิมพ์ชนิดที่ 2 รอยตัดด้านข้างน่าจะไม่มี และไม่ได้ตัดด้วยตอก จำนวนพระคงจะมีไม่น้อยกว่า 84,000 องค์ และทุกองค์จะเห็นเส้นกรอบกระจก ชัดเจนบ้าง ไม่ชัดบ้าง ขึ้นอยู่กับการกดแม่พิมพ์ในแต่ละครั้ง อาจจะเป็นพิมพ์ ที่พบได้มากที่สุด และปลอมมากที่สุด เพราะใช้วิธีดูพิมพ์ทรงเป็นหลักในการพิจารณาพระแท้ครับ

    ทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น..ครับ :d
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2012
  9. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    [​IMG]

    รอยตัดด้วยตอกด้านข้าง จะสามารถพบเห็นได้ ในพระสมเด็จวัดระฆัง ส่วนองค์นี้ รอยตัดจะเอียงไปทางด้านหลังเล็กน้อย ทำให้เนื้อด้านหลังองค์พระ ดูจะมีเนี้อเต็ม มากกว่าด้านหน้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2012
  10. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    [​IMG]

    ระยะเวลาร้อยกว่าปี ทำให้พบรอยแตก อ้า บริเวณขอบของ ฃองค์พระ ทั้งสี่ด้าน มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ต้องมี เฉพาะพระสมเด็จ วัดระฆังเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2012
  11. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    [​IMG]

    หลังจากทำความสะอาด ด้วยน้ำอุ่นจัด หลายเดือนต่อมา คราบฝ้าสีขาวจึงเริ่มปรากฎ ด้วยเมื่อก่อนจะมีคราบน้ำมันตังอิ้ว ซึมออกมาโดยรอบองค์พระ มีฝุ่นจับหนา เนื่องจากพบพระอยู่ในถุงพลาสติก บนพานอะลูมิเนียม เหนือตู้พระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2012
  12. noppadolk

    noppadolk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +425
    พระสมเด็จ วัดระฆัง มีเพียงแค่ไม่ถึง 20 องค์ ที่วงการให้การยอมรับ แต่ถ้าเรายอมรับ ก็ไม่ต้องไปสนใจ ห้อยไปแล้วสบายใจ ใครจะทำอะไร ผมยกตัวอย่างครับ ถ้ามีคนๆหนึ่ง ห้อยพระปลอม แล้วบอกว่า ห้อยแล้วสบายใจ ครอบครัวมีความสุข..ถามตรงๆว่า จะกล้าบอกเค้ามั้ยว่า พระปลอม พระแท้มีเพียงแค่ไม่ถึง 20 องค์
     
  13. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    ผมว่าหลายๆท่าน คงได้เจอกับพุทธคุณของสมเด็จโตมาแล้ว ทุกคนครับ

    เมื่อก่อนผมไม่สนใจพระเครื่องบูชา แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วครับ พุทธคุณของพระสมเด็จวัดระฆัง ศักดิ์สิทธิ์ในเรื่อง แคล้วคลาด ปลอดภัย ปกป้อง รักษา คนรัก คนนิยม ความสำเร็จชิ้นใหญ่ และที่สำคัญอฐิษฐานจิตขอในสิ่งที่ควรได้จะได้ทันที ครับ
     
  14. PraKhoonPhan

    PraKhoonPhan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    881
    ค่าพลัง:
    +6,624
    ผมไม่สนใจแล้วว่าเซียนจะบอกแท้หรือปลอมเพราะก่อนพ่อจะได้มาสมเด็จท่านหยิบมาให้ในฝันแค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วครับผมชอบส่องด้านหลังนะครับมีเหมือนเกสรดอกไม้เลยครับอีกทั้งรอยปริแตกแยกมีหมดเลยดูยังไงผมก็ชอบครับ
     
  15. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ ตอนที่ 1

    1. ภาควิชาการ : ทบทวนความรู้วิธีดูพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่

    พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ ทุกองค์ที่นำมาลงใน Blog แห่งนี้ และอีกจำนวนหนึ่ง นำมาจัดนิทรรศการ ขอเรียนยืนยันจากการพิสูจน์ และตรวจสอบแล้วว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังแท้ ที่เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี สร้างและปลุกเสกประมาณปี พ.ศ. 2409-2415 สภาพสวยคมสมบูรณ์มาก จะมีพระจำนวนหนึ่งลงรักเก่า รักเก่าหลุดร่อนออกเองตามธรรมชาติ กาลเวลาอันยาวนานร้อยกว่าปี ปรากฏเศษรักเก่าหลุดร่อนเนื้อพระขึ้นมันฉ่ำใส่ เพราะถูกเก็บอยู่ในที่อับชื้น อันเป็นเอกลักษณ์ของพระเก่าเก็บ ตกทอดจากบรรพบุรุษหรือพระมรดก จะมีลักษณะ เหมือนกับพระมรดกตระกูลใหญ่ หลายตระกูลในขณะนี้

    สอดคล้องกับการให้ความรู้บริสุทธิ์อันเป็นธรรมทาน ของคุณส่งเสริม ใบบุญเสริม ผู้เชี่ยวชาญโบราณศิลป์ด้านวัตถุโบราณ หรือช่างสิบหมู่ ด้านประติมากรรมและโบราณศิลป์(ตรวจสอบอายุความเก่าของวัตถุสาร) ที่ได้เขียนบทความลงในหนังสือพระเครื่องสมเด็จไทย ได้ตรวจสอบอายุวัตถุพระสมเด็จที่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) สร้างมาพอสมควร รวมทั้งพระมรดกนี้ว่า "ธรรมชาติของผิวพระมรดก ที่เก็บรักษาอย่างดี ทำให้ดูง่ายมาก คือ พระแท้ดูง่าย จะแตกต่างกันที่ส่วนผสมเนื้อและมวลสาร เนื้อละเอียด เนื้อหยาบ และพิมพ์แต่ละช่างสิบหมู่ (มีหลายพิมพ์ทรง) ที่ไม่แตกต่างกันก็คือ พระแท้จะมีความเป็นธรรมชาติบนผิวพระ ตามอายุการสร้างเกือบ 150 ปี และเจตนาการสร้างอันบริสุทธิ์ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี"

    พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ ดังได้กล่าวมานี้ หลายองค์จะมีพิมพ์และเนื้อแตกต่างจากพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ ที่นำมาลงโฆษณาในหนังสือพระเครื่องหลายฉบับของกลุ่มพ่อค้าพระ สร้างในปี 2409-2415 เช่นเดียวกัน แต่เอาบางพิมพ์ที่เล่นหาในหมู่เซียนพระรุ่นเก่า เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว มาทำการตลาดและผลประโยชน์ทางธุรกิจ จำกัดพิมพ์และจำนวนให้น้อยที่สุด เมื่อมีน้อยหายากราคาจะแพงตามกลไกการตลาด แต่ลืมนึกถึงความเป็นจริงถึงจำนวนการสร้างมากมาย หลายแม่พิมพ์ประมาณเกือบ 84,000 องค์ แม้จะถูกแจกจ่ายให้แก่ประชาชน หรือเกิดการสูญหายเสียหายจำนวนมากมาย แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่นำไปบรรจุเจดีย์ และอยู่ในความครอบครองเก็บรักษาอย่างหวงแหน ด้วยความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างสูง ต่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)

    ขณะนี้ถึงกำหนดเวลาของการค้นพบและเปิดเผยความจริงแล้ว ซึ่งสามารถพิสูจน์ตรวจสอบพิมพ์และเนื้อ ที่มาที่ไปอย่างชัดเจนที่สุด ทำให้ผู้ศึกษาและสะสมสามารถเรียนรู้วิเคราะห์เชื่อถือโดยสุจริตใจว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังแท้ ล้ำค่ายิ่ง มิได้มีจำเพาะเฉพาะกลุ่มพ่อค้า และเศรษฐี ที่มีทั้งพระแท้และพระปลอม (จากการศึกษาวิเคราะห์ พิมพ์และเนื้ออย่างละเอียด มีหลายองค์มีพิมพ์และเนื้อผิดเพี้ยนไปจากเดิม) ถ้าพิจารณาตามความเป็นจริง เมื่อพระสมเด็จวัดระฆัง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ไม่ได้สร้างย่อมไร้พุทธคุณ และไร้ราคาโดยสิ้นเชิง

    ก่อนที่ท่านจะชมภาพนิทรรศการนี้ ขอทบทวนความรู้ในการดูพิมพ์ ดูเนื้อพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่เสียก่อน ความรู้ทางวิชาการนี้ ได้มาจาการศึกษาโดยตรง จากองค์จริงทุกองค์ใน Blog นี้ อย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงมองเห็นจุดสำคัญ และนำมาเปิดเผยให้รู้ถึงคุณลักษณะเฉพาะของพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ แท้จริงว่าเป็นอย่างไร มิใช่เพียงแต่มองแล้วต่างคนต่างคิด แล้วบอกว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆัง ตามความเชื่อบอกต่อกันมา โดยขาดหลักวิชาการ การรู้อย่างเจาะลึก การคิดเคราะห์อย่างถูกต้องและบริสุทธิ์

    ซึ่งจากการศึกษาตามความเป็นจริงอย่างเจาะลึกนี้ จะสร้างมาตรฐานในการศึกษาและการคิดวิเคราะห์ การพิจารณาพระสมเด็จวังระฆังได้ตลอดไป หากท่านไปเจอพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่ไหนก็ตาม มีพิมพ์และเนื้อเช่นกล่าวมานี้ ท่านจะรู้ทันทีว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังแท้ หากท่านสะสมบุญไว้มาก เป็นผู้มีบุญบารมีคุณธรรมสูง ท่านจะเป็นผู้หนึ่งโชคดีได้ครอบครอง กราบไหว้บูชา พระสมเด็จวัดระฆังอันล้ำค่า เหมือนปาฏิหาริย์

    สำหรับการดูพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ มีขั้นตอน และรายละเอียดในการดูจุดสำคัญต่าง ๆ เรียงตามลำดับ ดังนี้

    1. ดูพิมพ์
    2. ดูเนื้อ


    1. ดูพิมพ์ พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์นิยม สร้างใน พ.ศ. 2409 – 2415 โดยแม่พิมพ์ของหลวงวิจารณ์เจียรนัย มีพิมพ์มาตรฐาน 5 พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ฐานแซม พิมพ์เกศบัวตูม และพิมพ์ปรกโพธิ์

    สำหรับพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ (ดูจากองค์จริงมากองค์) จะมีแม่พิมพ์หลัก 3 แม่พิมพ์คือ แม่พิมพ์ใหญ่ ประมาณ 3 พิมพ์ แม่พิมพ์กลางประมาณ 14 พิมพ์ แม่พิมพ์เล็ก ประมาณ 3 พิมพ์ รวมกันประมาณ 20 พิมพ์ ไม่ใช่มีไม่กี่พิมพ์ อย่างที่บล็อกพิมพ์ไว้เพื่อการค้า ทำให้หลงเชื่อเข้าใจกันผิด ๆ มาแต่ดั้งเดิม ของคนรุ่นเก่าไร้ข้อมูลข่าวสารทันสมัย เปิดเผยความจริงให้รับรู้

    การดูพิมพ์ดูไม่ยาก มีเอกลักษณ์ เฉพาะของแต่ละพิมพ์ จำง่ายไม่ซับซ้อน เหมือนดูเนื้อ ดูเนื้อจะดูยากกว่าดูพิมพ์หลายเท่า สำหรับผู้เชี่ยวชาญจะมองข้ามพิมพ์ไปดูความเก่าของเนื้อ ส่วนผสมของเนื้อและมวลสารรวมทั้งผิวพระเสียก่อน แล้วจึงไปดูความงดงามของพิมพ์ทรง เซียนพระบางคนมองไม่เห็นพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่แท้ ที่มิใช่พิมพ์ของตนเองชอบ จึงไม่มีโอกาสครอบครองพระแท้

    2. ดูเนื้อ
    พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ ทุกองค์จะมีพระเนื้อเก่าตามธรรมชาติ มีอายุการสร้างเกือบ 150 ปี และมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์ มีปรากฏการณ์ธรรมชาติเกิดขึ้นกับเนื้อพระ และผิวพระ ปรากฎให้เห็นจริงกระจ่าง แจ่มแจ้ง สามารถพิสูจน์และดูด้วยตาของตนเองได้ ดังต่อไปนี้

    จุดที่ 1
    ให้ดูจุดดำ จุดแดง และรูพรุนปลายเข็มเสียก่อน จุดดำ คือ เม็ดเกสรดอกไม้และดอกไม้มงคลแห้งบด (จุดดำจะมีมากกว่ามวลสารอื่น ๆ เพราะเป็นวัสดุหาง่ายมีมากมายนำมาบดละเอียด) เม็ดดำเหล่านี้จะหดตัวฝังลึกอยู่ในรูขนาดเล็กมาก เรียกว่ารูพรุนปลายเข็ม บางเม็ดจะหลุดร่อนออกไป เป็นรูพรุนปลายเข็มเปล่า เม็ดแดงคือ เม็ดผงพระซุ้มกอ พระกำแพงลีลาหรือพระนางพญาบดป่น และสะเก็ดเม็ดผงอิฐแดง จากเตาเผาเปลือกหอยทะเลเผา บางเม็ดหลุดร่อนออกไปเป็นรูพรุนปลายเข็มเช่นกัน

    จุดดำ จุดแดง และรูพรุนปลายเข็ม มีมากบ้างน้อยบ้าง ในพระสมเด็จวัดระฆังทุกองค์ โดยเฉพาะรูพรุนปลายเข็ม ที่มีเม็ดดำหดตัวฝังอยู่ จะเป็นจุดสำคัญยิ่งในการดู

    จุดที่ 2
    ให้รู้ริ้วรอย ร่องรอยต่าง ๆ บนผิวพระทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เช่น รอยย่นยับ แยก แตกลาน ซึ่งเกิดจากการหดตัวของเนื้อพระ พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ใดมีเนื้อแน่นทึบผิวราบเรียบ ไม่มีริ้วรอยร่อยรอยใด เกิดขึ้นบนผิวพระตามธรรมชาติ แสดงว่าเนื้อพระยังไม่เก่าจริง อายุไม่ถึงเกือบ 150 ปี

    จุดที่ 3
    ให้ดูเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นจากเนื้อพระ เรียกว่า “เนื้อผุด” หรือ “เนื้องอก” เช่นเดียวกับพระวัดพลับ พระสามปลื้ม แลพระปิลันทน์ ซึ่งเป็นพระเนื้อเก่าสร้างในระยะเวลาใกล้เคียงกับ พระสมเด็จวัดระฆัง แม้แต่พระเนื้อชินเขียว และเนื้อตะกั่วสนิมแดง พระกรุเก่ามีอายุเกือบ 1000 ปี จะมีเนื้องอกหรือเนื้อผุดเช่นกัน ได้แก่ พระร่วงยืน หรือพระร่วงหลังรางปืน พระเทริดขนนก พระเชตุพน พระยอดอัฎฐารส พระร่วงยืน และพระนาคปรกชีโบกรุลาวทอง สำหรับพระสมเด็จวัดระฆังฯ จะมีเนื้องอกเกิดขึ้นทุกองค์ โดยเฉพาะพระที่ผสมด้วยข้าวสุกตากแห้งบดละเอียดและเนื้อกล้วยสุกบด จะเกิดเนื้องอกมาก ซึ่งจะต้องใช้ความสังเกตสูง โดยใช้แว่นขยายกำลังสูงจะเห็นชัดเจน ถ้าดูแล้วไม่เจอแสดงว่าเนื้อไม่เก่าจริง

    จุดที่ 4
    ให้ดูเม็ดข้าวสุกหัก แผ่น หรือเกล็ดข้าวสุกบดละเอียด เกิดจากการนำข้าวสุกตากแห้งบด เป็นส่วนผสมกับแป้งปูนขาวเปลือกหอยทะเลเผา เช่นเดียวกับเนื้อกล้วยสุกบด และส่วนผสมทั้ง 2 ชนิดนี้ ทำให้เนื้อและผิวพระสมเด็จวัดระฆังนุ่มนวลตา ส่วนใหญ่จะมีสีขาวใส สีขาวขุ่น สีขาวอมเหลือง สีขาวอมชมพู


    ถ้าเราดูทั้ง 4 จุดนี้ เห็นชัดเจนในพระสมเด็จวัดระฆังฯ แสดงว่าดูผ่านเบื้องต้นแล้ว ก็ให้ดูในจุดอื่นต่อไป

    จุดที่ 5
    ให้ดูเม็ดเกสรดอกไม้ และดอกไม้มงคลแห้งมีสีดำหรือสีน้ำตาลอมดำ มีขนาดใหญ่กว่าเม็ดดำ ในรูพรุนปลายเข็ม เม็ดเหล่านี้จะมีลักษณะชิ้นดอกไม้แห้งม้วนหดตัวอยู่ในรอยแยกของเนื้อพระ และให้ดูเม็ดพระธาตุสีขาวอมเหลือง หดตัวอยู่ในรอยแยกพระสมเด็จวัดระฆัง เช่นกัน ซึ่งการหดตัวของมวลสารอยู่ในรอยแยกของเนื้อพระ แสดงถึงการเกิดขึ้นตามกระบวนการวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ของพระเนื้อเก่ามองเห็นด้วยตาอย่างชัดเจน

    จุดที่ 6
    ให้ดูคราบผ้าขาว และขาวขุ่น เคลือบผิวพระหนาบ้าง บางบ้าง เกิดจากคราบน้ำปูนขาวถูกขับออกจากเนื้อพระ ขึ้นปกคลุมผิวพระสมเด็จวัดระฆังทุกองค์ และบางองค์จะสีคราบสีขาวใสปกคลุมผิวพระ เกิดจากคราบน้ำอ้อยขับออกมาพร้อมน้ำปูนขาว จะเป็นมันฉ่ำใสเป็นการเกิดขึ้น โดยธรรมชาติตามกาลเวลาอันยาวนาน

    จุดที่ 7
    ให้ดูคราบไคลต่าง ๆ ได้แก่คราบสีเหลืองเข้ม สีน้ำตาลอ่อนแก่ เกิดจากคราบน้ำมันตังอิ้ว คราบน้ำผึ้งเก่าใหม่ ซึ่งเป็นน้ำประสานเนื้อพระ ถูกขับออกจากเนื้อพระขึ้นปกคลุมผิวพระ มากบ้างน้อยบ้างกับพระสมเด็จวัดระฆังทุกองค์

    จุดที่ 8
    ให้ดูการแตกลายงา และลายสังคโลก เกิดขึ้นบนผิวพระสมเด็จวัดระฆัง ที่ลงรักเก่า รักเก่าหมดอายุ หลุดร่อนออกเองตามธรรมชาติ โดยปราศจากการล้างรัก หรือถอดรัก ในขณะเดียวกันจะมองเห็นเส้นรักสีน้ำตาลอมดำ ฝังอยู่ในเส้นลายงา มากบ้าง น้อยบ้าง ตามสภาพของการแตกลายงาที่เกิดขึ้นบนผิวเพราะ มิใช่การการแตกลายงามีเส้นรักสีดำพาดยั้วเยื้ยเหมืองใยแมงมุมบนผิวพระเต็มไปหมด

    จุดที่ 9
    ให้ดูเม็ดมวลสารสามารถมองเห็นได้ชัดเจน บนผิวพระสมเด็จวัดระฆัง ได้แก่ เม็ดแร่หินสีขาว สีขาวขุ่น สีเทา สีแดง สีแดงอมดำ สีน้ำตาลอ่อนแก่ สีน้ำตาลอมดำ สีดำมัน เม็ดผงพุทธคุณสีขาว เม็ดพระธาตุสีขาวอมเหลือง เศษก้านธูป เศษชิ้นจีวร เกล็ดทองคำ เกล็ดเงิน รวมทั้งเม็ดหินขนาดเล็ก กรวดทราย องค์พระธาตุจากผงกรุพระเก่า เม็ดแดง เศษผงพระซุ้มกอ พระกำแพงลีลาหรือพระนางพญา บดป่น มวลสารเหล่านี้มีมากบ้าง น้อยบ้าง ในพระสมเด็จวัดระฆังทุกองค์ ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของพระสมเด็จวัดระฆังเช่นกัน

    จุดที่ 10
    ให้ดูริ้วรอย ร่องรอยต่าง ๆ ด้านหลังพระสมเด็จวัดระฆัง เช่น รอยแยก ข้างขอบพระจากการปาดขอบพระ รอยสังขยา เกิดจากการปาดเนื้อพระ และการหดตัวของเนื้อพระ รอยหนอนด้น เกิดจากการยุบแยกตัวของเนื้อพระ รอยย่น แยกแตกลาน จากการหดตัวของเนื้อพระ รอยหลุมบ่อ เกิดจากการหลุดร่อนของมวลสาร

    จุดที่ 11
    ให้ดูความเก่าของเนื้อพระสมเด็จวัดระฆัง ได้จากสีสันวรรณะปรากฏบนผิวพระ จะไม่สดใส แต่จะมีสีหม่นซีด เก่าคร่ำคร่า มีคราบราดำ คราบฝุ่น คราบน้ำรัก คราบไคลต่าง ๆ เกาะติดแน่นผิวพระ ที่เรียกกันว่า เนื้อเก่าจัดเข้มข้น เกิดขึ้นทุกองค์ โดยเฉพาะเนื้อพระมีส่วนผสมข้าวสุกตากแห้งบด หรือเนื้อกล้วยสุกบด มากกว่าแป้งปูนขาว เนื้อพระจะนุ่มนวลตาไม่กระด้างแห้ง

    จุดที่ 12
    สัมผัสด้วยตาสามารถรับรู้ถึงความรู้สึก มองเห็นความหนึกนุ่ม นวลตา ไม่กระด้างแห้ง ผิวมันวาว สะท้อนแสง เป็นประกายระยิบระยับ เกิดจากความเก่าได้อายุของปูน ดูเนื้อเก่าเหมือนยุ่ยชื้น แต่แข็งแกร่งเหมือนกระเบื้องเคลือบ หากถูกกระทบวัตถุแข็งทึบตัน เช่น แผ่นเหล็ก กระจกหนา จะเกิดเสียงแหลมสูง เหมือนเสียงก้อนหินกระทับวัตถุทึบตันดังกล่าว ทั้งนี้เป็นพระความละเอียดของเนื้อพระ ทำให้เกิดการยึดเหนี่ยวในเนื้อพระสูงมาก ทำให้เนื้อพระแน่นแกร่ง

    (วิธีการดูทั้ง 12 จุดนี้ เป็นเสมือนหลักเกณฑ์สำคัญ ที่เป็นจริงช่วยให้คนหลาย ๆ ดูพระองค์เดียวกัน จะมีความเห็นสอดคล้องตรงกัน ไปในทางเดียวกันไม่ขัดแย้งกัน)

    เมื่อมองเห็นลักษณะอันแท้จริง ถึงความเก่าแก่ของเนื้อพระ และสิ่งที่ปรากฏขึ้นเองตามธรรมชาติบนผิวพระแล้ว จะมองทะลุเห็นพิมพ์ทรงอันถูกต้อง มีมิติเด่นชัด ได้แก่ นูนสูง ลึกกลมกลึง คมชัด ซึ่งจะอยู่คู่กับเนื้อ เนื้อใช่พิมพ์ใช่ อันเป็นลักษณะของพิมพ์กับเนื้อพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ ซึ่งเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่ การสร้างครั้งแรกแล้ว แม้ว่าพระจะอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร ชาวบ้านหรือเศรษฐี จะมีพิมพ์และเนื้อเหมือนกันทุกองค์ จะเห็นได้ว่าพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ดูไม่ยากเลย


    ขอบคุณข้อมูลที่มีคุณค่าจาก : พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2012
  16. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    [​IMG]

    วงกลมสีแดง คือพระเพลา หรือตัก ซึ่งจะมีความสูงที่สุด และวงกลมสีเหลือง คือฐานพระชั้นล่างสุด ดูให้ดีจะเห็นว่ามีความสูงเป็นอันดับที่ 2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2013
  17. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    [​IMG]

    มวลสารที่เจอ

    1. เศษพระซุ้มกอกำแพงเพชร
    2. ไม้กุ๊กไก่
    3. ตะไคร่ใบเสมา
    4. แร่หินสีต่างๆ
    5. เกสรดอกไม้
    6. เศษก้านธูป
    7. เม็ดพระธาตุ
    8. ผงวิเศษ
    9. ผงทองคำ
    10. ทรายแก้ว
    11. พระธาตุสิวลี
    12. ผงถ่านใบลาน

    ข้อมูลจาก : 9pha.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2012
  18. Hamac

    Hamac เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,086
    ค่าพลัง:
    +1,865
    อยากทราบประสบการณ์หลวงปู่นาค ครับ
     
  19. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,239
    เห็นด้วย ครับ
    ขนาดผม แขวน หลวงพ่อทวด
    ที่ พ่อของเพื่อน รับมาจากวัดช้างไห้
    เซียน ยังว่า ไม่ชัวร์

    เพราะ
    ผม โนเนม ครับ
     
  20. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    พระแท้ พระเก๊ บางครั้งดูง่าย แต่ถ้าดูยากขึ้นมา นั่นอาจจะหมายความว่า
    "พระองค์นั้นเป็นพระจริง พระนอกตารา หรือไม่มีใครเคยเห็นแบบนี้มาก่อน"
    ผมเห็นพระสมเด็จใน "พลังจิต" หลายองค์ดูพิมพ์ไม่ขาด เรื่องเนื้อไม่ต้องพูดถึง
    เพราะไม่มีโอกาสได้สัมผัส ผมจึงไม่บังอาจฟันธงไปว่าพระองค์ไหนเก๊ 100%
    แต่ถ้าพิมพ์ใช่ เปรียบเทียบกับพระแท้ๆ ก็จะบอกว่า "แท้" แบบไม่มีการลังเลเลย

    มีคนเคยถามแม่ชีทศพรว่า "บาปไหม ถ้าไปตีพระสมเด็จของแท้ ว่าปลอม"
    แม่ชีบอกว่าเป็นกรรม ทำให้เวลาจะได้งาน ได้ลาภก็จะมีเหตุให้ต้องหลุดมือไป

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=QMbtGTlQhW4"]"กรรมกับพระสมเด็จ"[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...