พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประกันชีวิต เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์

    ผมเองก็ทำประกันชีวิตไว้เช่นกัน

    ผมมี 3 กรมธรรม์ กับ 3 บริษัทประกัน




    แต่หากจะทำประกันชีวิต ต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียด

    สอบถามข้อมูลให้มากที่สุด

    ย้ำ ย้ำ ย้ำ ย้ำ และ ย้ำ ว่า ต้องสอบถามข้อมูลให้มากที่สุด




    ที่สำคัญ ข้อมูลต่างๆที่สอบถาม ควรจะให้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร และให้เจ้าหน้าที่จด ชื่อ นามสกุล เลขที่ใบอนุญาต ของตนเองให้เรา ด้วยลายมือของเจ้าหน้าที่คนนั้นๆเอง




    ย้ำ ย้ำ ย้ำ ย้ำ และ ย้ำว่า รายละเอียดที่สอบถาม ให้เจ้าหน้าที่เขียนให้เราด้วย




    และ ย้ำ ย้ำ ย้ำ ย้ำ และ ย้ำว่า การทำประกันขีวิต ไม่ใช่เงินฝาก ไม่ใช่เงินออม แต่เป็นความคุ้มครองชีวิต หากเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้นกับผู้ทำประกันชีวิต และเงินที่จ่ายจากกรมธรรม์เป็นการบรรเทาในความเดือดร้อนของผู้ทำประกันชีวิต




    เพราะ เวลาที่มีปัญหา ทางบริษัทประกันจะดูจากสัญญาฯในกรมธรรม์เป็นหลัก




    เอกสารที่เกี่ยวข้องทุกอย่าง ผมแนะนำว่าให้เก็บไว้จนกว่า หลังจากกรมธรรม์สิ้นสุดไปแล้ว 10 ปี หากมีปัญหาเกิดขึ้นมาทีหลัง เราสามารถนำเอกสารต่างๆรวมทั้งกรมธรรม์ ไปเป็นหลักฐานได้




    อีกเรื่อง หากเราไม่ต้องการที่จะให้เขาโทร.เข้ามาอีก แจ้งกับทางตัวแทนประกันชีวิตได้เลยว่า เราไม่ต้องการให้โทร.มาอีก (จะต้องไม่โทร.มาหาเราอย่างน้อย 6 เดือน)

    หากมีการโทร.เข้ามาอีก สามารถโทร.ได้ที่สายด่วนประกันภัย 1186




    แต่ปกติที่ผมดำเนินการในกรณีที่มีปัญหา ผมใช้การเขียนเป็นหนังสือ และให้ตอบกลับมาที่ผมเป็นหนังสือเช่นกัน และผมเองก็เก็บหนังสือที่ผมใช้สอบถามและหนังสือที่ตอบผมมาไว้กับเรื่องนั้นๆด้วย




    เรื่องด้านล่าง ต้องโทร.ได้ที่สายด่วนประกันภัย 1186



    --------------------------------------------------------------------

    สุดเจ็บปวด ! อ้างทำประกันชีวิตนาน 5 ปี แต่ตายทีได้เงินแค่ 500 โอดเหมือนโดนหลอก
    -http://hilight.kapook.com/view/140402-

    ประกันชีวิต ที่สุดเจ็บปวด อ้างทำประกันชีวิตนาน 5 ปี แต่ตายทีได้เงินแค่ 500 โอดเหมือนโดนหลอก

    หนุ่มสุดทน โพสต์อ้าง ทำประกันชีวิตนาน 5 ปี จ่ายเงินครบทุกงวด สุดท้ายพอเสียชีวิตกลับได้เงิน 500 บาท ก่อนแฉเพิ่ม พลาดเพราะเชื่อที่พนักงานประกันบอกรายละเอียดไม่ครบ
    เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2559 เฟซบุ๊ก เฮนรี่ ท่าพระ มีการโพสต์ข้อความถึงบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งที่ได้มอบเงินค่าทำศพแก่ ลูกค้า 500 บาทกับพวงหรีดหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้ทำประกันมา 5 ปี แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับ กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง สุดท้ายเจ้าตัวทราบว่า ทางพนักงานประกันบอกรายละเอียดไม่ครบ เรื่องการจ่ายช้าทั้งที่มีความจำเป็น และเงื่อนไขที่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่
    ขณะที่ชาวเน็ตที่ได้อ่านเรื่องดังกล่าว ต่างเตือนหลาย ๆ คนว่า การทำประกันควรอ่านทุกหน้า เพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาดแบบนี้เกิดขึ้น
    ข้อมูลและภาพจาก เฟซบุ๊ก เฮนรี่ ท่าพระ
    -https://www.facebook.com/watchara.nobthaisong-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2016
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กรมธรรม์ฉบับที่ 3 ที่ผมทำ

    ผมทะเลาะกับทางบริษัทประกันฯ หลายครั้ง

    เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ผมเคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
    เนื่องจากผมทานไส้กรอก(ที่ผมซื้อจากมินิมาร์ทแห่งหนึ่ง ไส้กรอกที่ผมซื้อ ผมเห็นพนักงานนำออกมาจากตู้เย็น มีคราบที่ไส้กรอก พนักงานนำมาล้างและเข้าตู้ไมโครเวฟ)

    ตอนนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรเลย

    เมื่อซื้อมา ผมกลับมาทำงานต่อ(ผมมาทำงานในวันเสาร์ ที่ทำงานผมปิดวันเสาร์และวันอาทิตย์) อีกทั้งกินกาแฟไป 1 แก้ว(กาแฟ ผมชงในที่ทำงาน)

    ต่อมาอีกประมาณ 45 นาที ผมเหงื่อออกมาก(ทั้งๆที่ผมเปิดแอร์ แอร์ที่ทำงานผมเป็นแบบโบราณ คือ มีท่อแอร์จากเพดาน ไม่ใช่เป็นแอร์ที่เป็นตู้ๆในปัจจุบัน) อีกทั้งผมถ่ายท้อง และ อ้วก

    ผมโทร.หาเพื่อน ให้เพื่อนมารับผมไปโรงพยาบาล

    ผมไปถึงโรงพยาบาล ประมาณบ่ายสามโมงเย็น พอถึงประมาณ 5 ทุ่ม ผมน๊อคไป พยาบาลเข้ามาปั๊มหัวใจ และนำเข้าห้อง ICU ผมตื่นมาปรากฎว่า ผมใส่ท่อช่วยหายใจ มีสายเครื่องมือระโยงระยาง
    ผมอยู่ในห้อง ICU อยู่ 4 คืน สรุปผมอยู่ในโรงพยาบาล 9 คืน 10 วัน

    หมอที่รักษาผม บอกว่า หาสาเหตุผมไม่เจอ แต่ลงในประวัติการรักษาว่า ผมเป็นโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน และต่อมาอีกเกือบๆ 2 ปี หมอที่รักษาผมได้กระโดดตึกของโรงพยาบาลอีกแห่ง (ที่ผมทราบในตอนแรกก็คือ อาการสาหัสมาก กระโหลกร้าว แต่ต่อมาผมไม่ได้ติดตามข่าวของหมอท่านนี้อีก)

    มาต่อเรื่องบริษัทประกันชีวิตที่ผมทำ

    ผมเคยแจ้งทำประกันชีวิตกับบริษัทฯนี้ มา 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 ที่ผมทะเลาะด้วย ทางบริษัทฯรับทำประกันชีวิต

    ในครั้งที่ 3 ทางบริษัทประกันฯแจ้งผมมาว่า รับทำประกันแต่ไม่คุ้มครองในเรื่องที่ผมเคยรักษา และ ขอเพิ่มเบี้ยประกัน แต่ผมไม่ยอม ผมทำหนังสือสอบถามกลับไปยังบริษัทประกันฯ

    ผมเองมีการตรวจสุขภาพประจำปี (ที่ทำงานผม ให้มีการตรวจสุขภาพประจำปี ทุกปี) ผมไปตรวจสุขภาพประจำปีที่ โรงพยาบาลพญาไท 3 , โรงพยาบาลบางกอก 9 ฯ และ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ


    ผมได้แจ้งกับทางบริษัทประกันฯไปว่า สุขภาพร่างกายผมแข็งแรง แต่ทางบริษัทได้ปฎิเสธผมมา 2 ครั้งว่า ไม่รับทำประกันชีวิต เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ แต่ผมแจ้งว่า ผมมีการตรวจสุขภาพประจำปีมาทุกปี แสดงว่า ทางโรงพยาบาลพญาไท 3 , โรงพยาบาลบางกอก 9ฯ และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ไม่มีมาตรฐานในการตรวจสุขภาพ หรือ ถ้ามีมาตรฐาน ก็ไม่เทียบเท่ากับทางบริษัทประกันฯ


    อีกส่วนหนึ่ง ผมสอบถามในเรื่องของการอ่านผลประวัติการรักษาที่ผมเคยเข้ารับการรักษาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ว่า ใครเป็นคนอ่านผล หากผู้ที่อ่านผลเป็นนายแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทาง ผมขอชื่อนายแพทย์ท่านนั้นด้วย เพราะผมจะขอสอบถามเรื่องของนายแพทย์ว่า เป็นนายแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางที่เกี่ยวกับที่ผมป่วยเมื่อ 10 ปีที่แล้วหรือไม่

    ต่อมา ทางบริษัทประกัน ได้แจ้งผมมาว่า ได้รับทำประกันให้ผมเรียบร้อยแล้ว

    สิ่งหนึ่งอย่าลืมว่า ในการทำประกันชีวิต ต้องมีการแถลงสุขภาพทุกครั้งและผู้ทำประกันต้องกรอกข้อมูลที่เป็นจริง และ เมื่อบริษัทประกันฯ รับทำประกันชีวิต จะมีระยะเวลารอคอย (การกำหนดระยะเวลารอคอยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทประกันภัย อาจจะมีความแตกต่างกันไป ตามแบบประกันภัย)
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การประกันชีวิต (1/4)

    -http://www.oic.or.th/th/consumer/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-


    การประกันชีวิต คืออะไร
    การประกันชีวิต เป็นวิธีการที่บุคคลกลุ่มหนึ่งร่วมกันเฉลี่ยภัยอันเนื่องจากการตาย การสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ และการสูญเสียรายได้ในยามชรา โดยที่เมื่อบุคคลใดต้องประสบกับภัยเหล่านั้น ก็ได้รับเงินเฉลี่ยช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัว โดยบริษัทประกันชีวิตจะทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการนำเงินก้อนดังกล่าวไปจ่าย ให้แก่ผู้ได้รับภัย


    การประกันชีวิต แยกออกได้เป็น 3 ประเภทคือ

    1.
    ประเภทสามัญ เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูง ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ในการพิจารณารับประกันชีวิตอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจสุขภาพ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท และมีการชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี, ราย 6 เดือน, ราย 3 เดือน หรือรายเดือน
    2. ประเภทอุตสาหกรรม เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำ โดยทั่วไปตั้งแต่ 10,000 - 30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ การชำระเบี้ยประกันภัยจะชำระเป็นรายเดือน และไม่มีการตรวจสุขภาพ ฉะนั้นจึงมีระยะเวลารอคอย คือ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ บริษัทจะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ แต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้วทั้งหมด
    3. ประเภทกลุ่ม เป็นการประกันชีวิตที่กรมธรรม์หนึ่งจะมีผู้เอาประกันชีวิตร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท การประกันชีวิตกลุ่มนี้อัตราเบี้ยประกันชีวิตจะต่ำกว่าประเภทสามัญและประเภท อุตสาหกรรม

    แบบของการประกันชีวิต
    การประกันชีวิตมีมากมายหลายแบบ แต่ละแบบจะมีลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์แตกต่างกันออกไป
    แบบการประกันชีวิตพื้นฐานมีอยู่ 4 แบบคือ

    1. แบบตลอดชีพ เป็นการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตเมื่อใดในขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย ให้แก่ผู้รับประโยชน์ วัตถุประสงค์เบื้องต้นของการประกันภัยแบบนี้เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับจุนเจือ บุคคลที่อยู่ในความอุปการะเมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายและค่าทำศพ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ตกเป็นภาระของคนอื่น
    2. แบบสะสมทรัพย์ เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย เมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัย ให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาประกัน ภัย การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ ส่วนของการออมทรัพย์ คือส่วนที่ผู้เอาประกันภัยได้รับคืนเมื่อสัญญาครบกำหนด
    3. แบบชั่วระยะเวลา เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอา ประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาประกันภัย วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครอง การเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร การประกันชีวิตแบบนี้ไม่มีส่วนของการออมทรัพย์ เบี้ยประกันภัยจึงต่ำกว่าแบบอื่น ๆ และไม่มีเงินเหลือคืนให้หากผู้เอาประกันภัยอยู่จนครบกำหนดสัญญา
    4. แบบเงินได้ประจำ เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอ ให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือน นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไป แล้วแต่เงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ สำหรับระยะเวลาการจ่ายเงินได้ประจำนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เอา ประกันชีวิตที่จะเลือกซื้อ

    การประกันชีวิต (2/4)

    -http://www.oic.or.th/th/consumer/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-

    ประโยชน์ของการทำประกันชีวิต

    1.

    ด้านการออม

    ลักษณะการออมของการทำประกันภัยนั้นจะเป็นในลักษณะแบบกึ่งบังคับ โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องมีหน้าที่ในการจ่ายเบี้ยประกัน
    อย่างสม่ำเสมอ และหากผู้เอาประกันภัยมีชีวิตอยู่จนครบตามที่กรมธรรม์กำหนดไว้ ก็จะได้เงินคืนตามเงื่อนไขของสัญญา ซึ่งสามารถ
    ใช้เป็นเครื่องมือออมเงินเพื่อไว้ใช้ยามชรา หรือออมไว้เพื่อเก็บเป็นทุนการศึกษาของบุตรหลาน ทั้งนี้การออมวิธีนี้ไม่สามารถถอนเงิน
    ในลักษณะของการฝากเงินได้ แต่สามารถเวนคืนกรมธรรม์ ซึ่งมูลค่าเวนคืนตามกรมธรรม์ที่ได้จะถูกหักค่าธรรมเนียมในการเวนคืน
    จำนวนหนึ่ง ทั้งนี้เพราะการทำประกันชีวิตมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการลงทุนระยะยาว

    2.

    ด้านการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตของผู้เอาประกันภัย

    การประกันชีวิตสามารถช่วยสร้างความมั่นคงของรายได้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยได้ ในกรณีการทำประกันคุ้มครองการเจ็บป่วย หรือการประกันอุบัติเหตุ ผู้เอาประกันภัยจะได้เงินทดแทนเพื่อใช้ในการเลี้ยงชีพในกรณีทุพพลภาพโดยสิ้นเชิงได้

    3.

    ด้านการให้ความคุ้มครองและบรรเทาความเดือนร้อนให้กับผู้ที่อยู่ในอุปการะคุณ

    การทำประกันชีวิตจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องการเงิน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นของครอบครัว อันเนื่องมาจากการเสียชีวิตของบุคคลใดบุคคลหนึ่งในครอบครัว

    4.

    ด้านการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

    เนื่องจากรัฐบาลได้ให้การส่งเสริมธุรกิจประกันชีวิต ดังนั้น ผู้ที่ทำประกันชีวิตก็สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตไปใช้เป็นค่า ลดหย่อนใน
    การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับแบบทั่วไป และ 200,000 บาทสำหรับ
    แบบบำนาญ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาสนใจการทำประกันชีวิตเพิ่มขึ้นเพื่อความมั่นคงในชีวิต

    5.

    ด้านอื่นๆ

    การทำประกันชีวิตเปรียบเสมือนการเตรียมเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เมื่อกรมธรรม์ครบกำหนดระยะเวลาหนึ่ง ก็จะมีมูลค่าเงินสด
    หากผู้เอาประกันภัยมีความจำเป็นทางการเงินก็สามารถขอฉัน้เงินจำนวนหนึ่งตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทกำหนดไปใช้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำได้



    ขั้นตอนดำเนินการ
    1. ติดต่อบริษัทประกันชีวิตได้โดยตรงหรือผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัย
    2. เลือกแบบประกันชีวิตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการ
    3. วงเงินเอาประกันภัยที่ต้องการ โดยพิจารณาประกอบกับรายได้ประจำที่ได้รับ และกำลังความสามารถในการส่งเบี้ยประกันภัย
    4. กรอก รายละเอียดเกี่ยวกับตัวท่านในแบบคำขอเอาประกันชีวิต โดยแถลงความจริงทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติการรักษาพยาบาลและคำแถลงเกี่ยวกับสุขภาพ เพราะการปิดบังในสาระสำคัญเหล่านี้จะเป็นเหตุให้ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม กรมธรรม์
    5. ใน กรณีที่ตัวแทนเป็นผู้กรอกแบบคำขอเอาประกันชีวิตแทนท่าน ให้ตรวจสอบความถูกต้องก่อนลงชื่อในแบบคำขอเมื่อได้รับกรมธรรม์ ควรตรวจสอบความถูกต้อง หากพบข้อมูลที่ผิด เช่น ชื่อผู้รับประโยชน์หรือชื่อผู้เอาประกันภัยผิดพลาด ฯลฯ ให้ทักท้วงบริษัทเพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง
    6. จ่าย ค่าเบี้ยประกันชีวิตตามกำหนดทุกครั้ง โดยติดต่อชำระที่บริษัท สาขา หรือทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือผ่านธนาคารในกรณีชำระผ่านตัวแทนของบริษัท ให้เรียกใบเสร็จรับเงินตามแบบพิมพ์ของบริษัทเก็บไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง

    7.
    แจ้งให้ผู้รับประโยชน์ตามที่ระบุชื่อในกรมธรรม์ หรือบุคคลในครอบครัวทราบ ถึงการทำประกันชีวิต และสถานที่เก็บกรมธรรม์
    8. ติดต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สำนักงาน คปภ.เขต สำนักงาน คปภ.ภาค และสำนักงาน คปภ. จังหวัด ทุกครั้งที่มีปัญหา

    การประกันชีวิต (3/4)

    -http://www.oic.or.th/th/consumer/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-

    ขั้นตอนและหลักฐานในการขอรับเงินผลประโยชน์ ตามกรมธรรม์ประกันชีวิต หรือการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
    ในการขอรับเงินผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ หรือที่เข้าใจกันทั่วไปว่าเป็นการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้น ให้ดำเนินการดังนี้

    1. ติดต่อบริษัทประกันภัยให้เร็วที่สุด
    2. กรณีผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต จะแยกเป็นกรณีตามสาเหตุของการเสียชีวิต ดังนี้
    2.1 เสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ
    ** ต้องแจ้งให้ทราบภายใน 14 วัน และเตรียมหลักฐานประกอบด้วย
    (1) กรมธรรม์ประกันชีวิต (ถ้าหายให้แจ้งความแล้วนำสำเนา รายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหายไปแสดงแทน)
    (2) ใบเสร็จรับเงินงวดสุดท้าย
    (3) ใบมรณบัตรของผู้เอาประกันภัย
    (4) ทะเบียนบ้านของผู้รับประโยชน์
    (5) บัตรประชาชนของผู้รับประโยชน์

    2.2 เสียชีวิตโดยฆ่าตัวตาย
    * เตรียมหลักฐานตาม 2.1(1) - (5) โดยเพิ่ม
    (6) สำเนาบันทึกประจำวันรับแจ้งเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
    (7) ใบชันสูตรพลิกศพ

    2.3 เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ
    * เตรียมหลักฐานตาม 2.1(1) - (5) โดยเพิ่ม
    (6) สำเนาบันทึกประจำวันรับแจ้งเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
    (7) สำเนาบันทึกประจำวันหลังกลับจากสถานที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
    (8) ใบชันสูตรพลิกศพ
    3. กรณีเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล ทุพพลภาพ และสูญเสียอวัยวะ
    * แจ้งบริษัททราบภายใน 10 วัน และเตรียมหลักฐานดังนี้
    (1) กรอกแบบฟอร์มใบเรียกร้องค่าทดแทนของบริษัท
    (2) ใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลที่ระบุวันเริ่มต้น และวันสุดท้ายในการรักษาตัวในโรงพยาบาล
    (3) อื่น ๆ เช่น ฟิล์มเอ็กซซเรย์
    4. กรณีกรมธรรม์ครบกำหนด
    ในกรณีเป็นการประกันชีวิต ประเภทสะสมทรัพย์ที่มีเงินคืนเมื่อกรมธรรม์ครบกำหนด ให้ดำเนินการและเตรียมหลักฐาน
    (1) ติดต่อบริษัทประกันภัย
    (2) กรมธรรม์ประกันชีวิต
    (3) บัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัย


    การยกเว้นการจ่ายเงินเอาประกันชีวิต
    ข้อจำกัดบางประการที่บริษัทประกันชีวิตยกเว้นการจ่ายเงินเอาประกัน จากสาเหตุการตายดังนี้
    1. ผู้รับประโยชน์ฆ่าผู้เอาประกันตาย
    2. ผู้เอาประกันฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี นับจากวันทำสัญญาหรือวันต่ออายุสัญญาครั้งสุดท้าย
    ความตายที่เกิดจากสาเหตุข้างต้นดังกล่าว บริษัทประกันชีวิตจะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันชีวิตให้ แต่จะคืนเบี้ยประกันชีวิต
    ที่ได้ชำระมาแล้วทั้งหมดเท่านั้น


    การประกันชีวิต (4/4)

    -http://www.oic.or.th/th/consumer/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-

    หน้าที่ของผู้เอาประกันต้องชำระเบี้ยประกัน
    ถ้า หากตัวแทนของบริษัทประกันชีวิตยังไม่มาเก็บเงิน ตามกฎหมายจะถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันชีวิตจะต้องไปชำระที่สาขาของ บริษัทด้วยตนเอง หรือส่งเป็นธนาณัติ เช็คและเพื่อที่บริษัทจะได้ส่งใบเสร็จรับเงินมาให้อย่างถูกต้อง ท่านจำเป็นต้องเขียนที่อยู่ของท่านให้ถูกต้อง เพื่อมิให้เสียโอกาสและประโยชน์


    ระยะเวลาผ่อนผันการชำระเบี้ยประกัน
    ผู้เอาประกันชีวิตมีสิทธิที่จะได้รับการผ่อนผันการชำระเงินได้ โดยการยืดระยะเวลาได้ประมาณ 30 หรือ 60 วัน


    เบี้ยประกันชีวิตกับการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคล

    เบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันชีวิตในแบบบำนาญ สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ได้ดังนี

    1. เบี้ยประกันชีวิตสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิต สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุด 100,000 บาท

    2. เบี้ยประกันชีวิตสำหรับกรมธรรม์แบบบำนาญ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ โดยมีขั้นตอนการคำนวณ ดังนี้

    ขั้นตอนที่ 1 นำเบี้ยประกันชีวิตรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ เพื่อหักลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท แต่ทั้งนี้ หากผู้เอาประกันภัยไม่มีกรมธรรม์ประกันชีวิต สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญเพื่อหักลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

    ขั้นตอนที่ 2 นำเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญที่เหลือจากขั้นตอนที่ 1 ไปลดหย่อนภาษีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับเงินได้ที่จ่ายเข้ากองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) และกองทุนสงเคราะห์โรงเรียนเอกชน แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2016
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการประกันชีวิต

    -http://money.kapook.com/view71923.html-

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    เดี๋ยวนี้เห็นโฆษณาเชิญชวนให้คนทำประกันชีวิตกันเพียบ ทั้งในหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ (แม้กระทั่งเซลล์ขายประกันก็ยังโทรศัพท์ตามตื๊ออยู่บ่อย) ดู ๆ แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า การทำประกันชีวิตจะให้ประโยชน์อะไรกับเราบ้าง เราควรทำไว้ไหม หรือถ้าคิดจะทำ ควรจะเลือกแบบไหนดี ใครที่กำลังวางแผนเรื่องนี้อยู่ ลองมาดูข้อมูลต่อไปนี้ เพื่อจะได้ช่วยตัดสินใจได้ค่ะ

    ประกันชีวิต คืออะไร?

    ประกันชีวิต หรือ กรมธรรม์ประกันชีวิต ในนัยของกฎหมาย จะหมายถึงสัญญาต่างตอบแทนที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า "ผู้เอาประกัน" มีหน้าที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันให้กับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า "บริษัทประกันชีวิต" และเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต หรืออยู่ครบตามสัญญาของกรมธรรม์ ทางฝ่าย "บริษัทประกันชีวิต" ก็มีหน้าที่ต้องจ่ายผลตอบแทน เรียกว่า "ทุนประกันชีวิต" ให้แก่ผู้เอาประกันหรือผู้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์

    หากพูดง่าย ๆ ก็คือ การประกันชีวิต เป็นการเฉลี่ยความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นการตาย การสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ และการสูญเสียรายได้ในยามชรา ที่จะเกิดขึ้นจากคนหนึ่งไปยังอีกหลาย ๆ คน โดยมีผู้รับประกันภัยทำหน้าที่กระจายความเสี่ยงระหว่างผู้เอาประกันทั้งหมด ด้วยการให้ผู้เอาประกันจ่ายเงินจำนวนหนึ่งในรูปของ "เบี้ยประกัน" ให้แก่ผู้รับประกันไว้เป็นเงินกองกลาง เมื่อผู้เอาประกันได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เอาประกัน ผู้รับประกันก็จะนำเงินกองกลางนั้นไปชดใช้ตามจำนวนที่ได้ตกลงกัน


    เหตุผลอะไรที่คนเลือกทำประกันชีวิต ?

    หลายคนกำลังมีคำถามว่า ทำไมต้องทำประกันชีวิตด้วย ทำประกันชีวิตแล้วจะได้ประโยชน์อะไร ซึ่งคนที่ทำประกันชีวิตไว้ก็ให้เหตุผลแตกต่างกันไป เช่น

    1. เพื่อหลักประกันทางการเงินของครอบครัว เช่น หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน หัวหน้าครอบครัวเสียชีวิต ครอบครัวก็จะได้มีเงินทุนในการดำรงชีพต่อไป

    2. เพื่อเป็นทุนสำรองเลี้ยงชีพกรณีทุพพลภาพถาวร หากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ทำให้ต้องพิการ ไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้

    3. เพื่อเป็นทุนการศึกษาจนถึงขั้นสูงสุดของบุตรแต่ละคน

    4. เพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ OD / หนี้สินระยะสั้น / หนี้สินระยะยาว

    5. เพื่อการสะสมทรัพย์ พร้อมรับผลตอบแทนทางการเงินโดยไม่มีความเสี่ยง

    6. เพื่อสร้างสวัสดิการด้านค่ารักษาพยาบาลเพิ่มเติมให้กับตนเองและสมาชิกอื่น ๆ ในครอบครัว

    7. เพื่อเป็นทุนสำรองสำหรับการรักษาโรคร้ายแรงต่อเนื่องโดยเฉพาะ เพราะโรคเหล่านี้ต้องเข้ารับการรักษาระยะยาว ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก

    8. เพื่อเป็นทุนสำรองไว้ใช้หลังวัยเกษียณอายุ สำหรับเป็นเงินบำนาญตลอดชีพ

    9. เพื่อเป็นเงินทุนจัดการหลังเสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาลระหว่างรักษาตัว ค่าจัดการงานศพ

    หากพิจารณาจากเหตุผลข้างต้นแล้ว ก็พอสรุปได้ว่า เพื่อที่จะได้มีทุนสำรองไว้ ในกรณีต่าง ๆ นั่นเอง




    ประกันชีวิต มีกี่ประเภท?

    เมื่อเริ่มสนใจจะทำประกันชีวิตแล้ว ก็ต้องมารู้จักก่อนว่าประกันชีวิตมีกี่ประเภท โดยทั่วไป แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

    1. ประเภทสามัญ (Ordinary Life Insurance)

    เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูง ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป อาจให้ชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี, ราย 6 เดือน, ราย 3 เดือน หรือรายเดือน แล้วแต่แพ็กเกจนั้น ๆ และบางบริษัทอาจให้ตรวจสุขภาพ หรือไม่ต้องตรวจสุขภาพก็ได้ ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินเอาประกันภัย และอายุของผู้ทำประกัน

    2. ประเภทอุตสาหกรรม (Industrial Life Insurance)

    เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างต่ำ คือประมาณ 10,000 - 30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ โดยทั่วไปกำหนดให้ชำระเบี้ยประกันเป็นรายเดือน และไม่ต้องตรวจสุขภาพ แต่บริษัทอาจกำหนดเงื่อนไขให้มีระยะเวลารอคอย (Waiting Period) เป็นเวลา 180 วัน

    คำว่า ระยะเวลารอคอย (Waiting Period) ก็คือ ระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อพิสูจน์สุขภาพของผู้เอาประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาดังกล่าว ด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ บริษัทประกันชีวิตไม่ต้องจ่ายเงินเอาประกันภัย แต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้วทั้งหมดให้ก็ได้


    3. ประเภทกลุ่ม (Group Life Insurance)

    เป็นการประกันชีวิตที่กรมธรรม์หนึ่งจะมีผู้เอาประกันชีวิตร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท ซึ่งต้องพิจารณาเรื่องความเสี่ยงภัยของบุคคลในกลุ่มทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ หน้าที่การงาน หรือจำนวนเงินเอาประกัน และเพราะเป็นการประกันกลุ่มนี่เอง จึงทำให้อัตราเบี้ยประกันชีวิตจะถูกกว่าประเภทสามัญและประเภทอุตสาหกรรม



    ประกันชีวิตมีกี่แบบ ?

    อีกเรื่องหนึ่งที่คนสนใจทำประกันชีวิตอยากรู้กันมากก็คือ การทำประกันชีวิตมีรูปแบบไหนบ้าง เพราะเห็นบางแผนก็บอกตลอดชีพ บางแผนก็กำหนดอายุ กำหนดช่วงเวลา มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์แตกต่างกันออกไป ถ้างั้นขอบอกให้ทราบไว้เลยว่า ถ้าเป็นประกันชีวิตรูปแบบพื้นฐานก็จะมีอยู่ 4 แบบ ดังนี้

    1. แบบตลอดชีพ (Whole life Insurance)

    เป็นการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ โดยบริษัทตกลงจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้รับประโยชน์ เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ไม่ว่าจะเสียชีวิตเมื่อใดก็ตาม แต่ถ้าหากผู้เอาประกันภัยมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 99 ปี บริษัทประกันชีวิตก็จะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัย

    วัตถุประสงค์ของการทำประกันชีวิตแบบตลอดชีพก็คือ เพื่อที่ลูกหลาน หรือผู้รับผลประโยชน์จะได้มีเงินทุนในภายภาคหน้า รวมทั้งจะได้มีเงินมารักษาการเจ็บป่วย และจ่ายค่าทำศพของผู้เอาประกัน หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว โดยจะได้ไม่ต้องเป็นภาระของผู้อื่น

    2. แบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance)

    เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัย ให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาประกันภัย

    การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์นี้ เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ โดยผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืน เมื่อสัญญาครบกำหนด

    3. แบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance)

    เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น 1 ปี, 5 ปี, 10 ปี หรือ 20 ปี ซึ่งสัญญาประกันชีวิตแบบนี้มีลักษณะเป็นการให้ความคุ้มครองการเสี่ยงภัยอันเกิดจากการเสียชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว ไม่มีการสะสมทรัพย์รวมอยู่ด้วย จึงมีลักษณะเช่นเดียวกับสัญญาประกันอัคคีภัย เมื่อครบกำหนดสัญญาแล้วจึงไม่มีมูลค่าใด ๆ คืนให้ผู้เอาประกัน

    วัตถุประสงค์ของการทำประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลาก็คือ เพื่อคุ้มครองการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และมีข้อดีตรงนี้เบี้ยประกันภัยจะถูกกว่าแบบอื่น เพราะไม่มีเงินเหลือคืนให้หากผู้เอาประกันภัยอยู่จนครบกำหนดสัญญา

    4. แบบเงินได้ประจำ (Annuities Insurance)

    เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือน นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไปจนครบสัญญา แล้วแต่เงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ และขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เอาประกันชีวิตที่จะเลือกซื้อ

    สัญญาประกันชีวิตแบบนี้เหมาะกับผู้เอาประกันภัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสะสมทรัพย์ไว้เป็นค่าใช้จ่ายหลังจากที่เกษียณอายุการทำงานแล้ว


    ต้องพิจารณาอะไรบ้างเมื่อจะทำประกันชีวิต?

    หากคิดจะทำประกันชีวิตแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณา ดังนี้

    1. พิจารณาว่าตนเองต้องการทำประกันแบบใด คุ้มครองระยะสั้น หรือยาว ต้องการคุ้มครองเฉพาะการเสียชีวิตเท่านั้น หรือต้องการสะสมทรัพย์ เพื่อรับเงินคืนด้วย ให้เลือกแบบประกันชีวิตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการ โดยศึกษาเปรียบเทียบให้ละเอียด

    2. เลือกวงเงินเอาประกันภัยที่ต้องการ โดยพิจารณาว่าเรามีรายได้ประจำเท่าใด และมีกำลังในการส่งเบี้ยประกันภัยมากน้อยแค่ไหน

    3. พิจารณาสัญญาเพิ่มเติม (หากมี)

    4. เลือกทำประกันกับบริษัทที่มีความมั่นคง มีมาตรฐานในการทำงาน



    จะทำประกันชีวิต ต้องทำอย่างไรบ้าง?

    เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำประกันชีวิตรูปแบบไหน กับบริษัทใด หลังจากนั้น ก็ต้องดำเนินการดังนี้

    1. ติดต่อบริษัทประกันชีวิตได้โดยตรง หรือผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัย เพื่อศึกษาข้อมูลรูปแบบการประกันต่าง ๆ

    2. กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวท่านในแบบคำขอเอาประกันชีวิต โดยแถลงความจริงทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติการรักษาพยาบาลและคำแถลงเกี่ยวกับสุขภาพ เพราะการปิดบังในสาระสำคัญเหล่านี้จะเป็นเหตุให้ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์

    3. ในกรณีที่ตัวแทนเป็นผู้กรอกแบบคำขอเอาประกันชีวิตแทนท่าน ให้ตรวจสอบความถูกต้องก่อนลงชื่อในแบบคำขอเมื่อได้รับกรมธรรม์ ควรตรวจสอบความถูกต้อง หากพบข้อมูลที่ผิด เช่น ชื่อผู้รับประโยชน์หรือชื่อผู้เอาประกันภัยผิดพลาด ฯลฯ ให้ทักท้วงบริษัทเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องทันที

    4. จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตตามกำหนดทุกครั้ง โดยติดต่อชำระที่บริษัท สาขา หรือทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือผ่านธนาคารในกรณีชำระผ่านตัวแทนของบริษัท ให้เรียกใบเสร็จรับเงินตามแบบพิมพ์ของบริษัทเก็บไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง

    5. แจ้งให้ผู้รับประโยชน์ตามที่ระบุชื่อในกรมธรรม์ หรือบุคคลในครอบครัวทราบ ถึงการทำประกันชีวิต และสถานที่เก็บกรมธรรม์

    6. ติดต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สำนักงาน คปภ. เขต สำนักงาน คปภ. ภาค และสำนักงาน คปภ. จังหวัด ทุกครั้งที่มีปัญหา



    บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินตามกรมธรรม์ประกันชีวิตให้เมื่อใด ?

    1. เมื่อผู้เอาประกันภัยมีอายุครบตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ในกรมธรรม์ประกันภัย จะจ่ายเงินให้ผู้เอาประกันภัย

    2. เมื่อสัญญาครบกำหนด บริษัทจะจ่ายเงินและผลประโยชน์ให้ผู้เอาประกันภัย

    3. หากผู้เอาประกันภัยชีวิต ระหว่างที่สัญญาประกันชีวิตมีผลบังคับอยู่ บริษัทจะจ่ายเงินให้กับผู้รับผลประโยชน์


    ต้องเตรียมหลักฐานอะไรบ้าง เมื่อต้องการรับเงินผลประโยชน์ ?

    ในการขอรับเงินผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ หรือที่เข้าใจกันทั่วไปว่าเป็นการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้น ให้ดำเนินการดังนี้

    1. ติดต่อบริษัทประกันภัยให้เร็วที่สุด

    2. กรณีผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต จะแยกเป็นกรณีตามสาเหตุของการเสียชีวิต ดังนี้

    2.1 เสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ต้องแจ้งให้ทราบภายใน 14 วัน และเตรียมหลักฐานประกอบด้วย

    กรมธรรม์ประกันชีวิต (ถ้าหายให้แจ้งความแล้วนำสำเนา รายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหายไปแสดงแทน)

    ใบเสร็จรับเงินงวดสุดท้าย

    ใบมรณบัตรของผู้เอาประกันภัย

    ทะเบียนบ้านของผู้รับประโยชน์

    บัตรประชาชนของผู้รับประโยชน์

    2.2 เสียชีวิตโดยฆ่าตัวตาย

    กรมธรรม์ประกันชีวิต (ถ้าหายให้แจ้งความแล้วนำสำเนา รายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหายไปแสดงแทน)

    ใบเสร็จรับเงินงวดสุดท้าย

    ใบมรณบัตรของผู้เอาประกันภัย

    ทะเบียนบ้านของผู้รับประโยชน์

    บัตรประชาชนของผู้รับประโยชน์

    สำเนาบันทึกประจำวันรับแจ้งเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

    ใบชันสูตรพลิกศพ

    2.3 เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เตรียมหลักฐานตาม 2.1(1) - (5) โดยเพิ่ม

    กรมธรรม์ประกันชีวิต (ถ้าหายให้แจ้งความแล้วนำสำเนา รายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหายไปแสดงแทน)

    ใบเสร็จรับเงินงวดสุดท้าย

    ใบมรณบัตรของผู้เอาประกันภัย

    ทะเบียนบ้านของผู้รับประโยชน์

    บัตรประชาชนของผู้รับประโยชน์

    สำเนาบันทึกประจำวันรับแจ้งเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

    สำเนาบันทึกประจำวันหลังกลับจากสถานที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

    ใบชันสูตรพลิกศพ


    3. กรณีเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล ทุพพลภาพ และสูญเสียอวัยวะ แจ้งบริษัททราบภายใน 10 วัน และเตรียมหลักฐาน ดังนี้

    กรอกแบบฟอร์มใบเรียกร้องค่าทดแทนของบริษัท

    ใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลที่ระบุวันเริ่มต้น และวันสุดท้ายในการรักษาตัวในโรงพยาบาล

    อื่น ๆ เช่น ฟิล์มเอกซ์เรย์


    4. กรณีกรมธรรม์ครบกำหนด

    ในกรณีเป็นการประกันชีวิต ประเภทสะสมทรัพย์ที่มีเงินคืนเมื่อกรมธรรม์ครบกำหนด ให้ดำเนินการติดต่อบริษัทประกันภัย และเตรียมหลักฐาน คือ กรมธรรม์ประกันชีวิต และบัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัย


    อะไรเป็นข้อยกเว้นที่บริษัทจะไม่จ่ายเงินประกันให้?

    หากเป็นการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ ทางบริษัทประกันภัยจะสามารถจ่ายเงินสินไหมให้ตามสัญญาที่ระบุไว้ แต่ก็ยังมีการเสียชีวิตบางกรณีที่บริษัทจะยกเว้นการจ่ายเงินเอาประกัน นั่นคือ

    1. ผู้เอาประกันภัยถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

    2. ผู้เอาประกันฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี นับจากวันทำสัญญาหรือวันต่ออายุสัญญาครั้งสุดท้าย

    ความตายที่เกิดจากสาเหตุข้างต้นดังกล่าว บริษัทประกันชีวิตจะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันชีวิตให้ แต่จะคืนเบี้ยประกันชีวิตที่ได้ชำระมาแล้วทั้งหมดเท่านั้น


    ข้อควรรู้เกี่ยวกับการชำระเบี้ยประกัน

    1. ผู้เอาประกันชีวิตต้องชำระเงินในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ตามสัญญา

    2. หากตัวแทนของบริษัทประกันชีวิตยังไม่มาเก็บเงิน ตามกฎหมายจะถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันชีวิตจะต้องไปชำระที่สาขาของบริษัทด้วยตนเอง หรือส่งเป็นธนาณัติ เช็ค เพื่อที่บริษัทจะได้ส่งใบเสร็จรับเงินมาให้อย่างถูกต้อง โดยต้องเขียนที่อยู่ของท่านให้ถูกต้อง เพื่อมิให้เสียโอกาสและประโยชน์

    3. หากไม่สามารถหาเงินมาชำระได้ภายในวันที่ระบุไว้ ผู้เอาประกันชีวิตมีสิทธิที่จะได้รับการผ่อนผันการชำระเงินได้ โดยยืดระยะเวลาได้ประมาณ 30 วัน

    4. การชำระเบี้ยประกันภัยตรงเวลามีผลให้กรมธรรม์ประกันภัยไม่ขาดอายุ ส่งผลต่อการได้รับสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วนตามสัญญาประกันชีวิต การชำระเบี้ยประกันภัยทุกครั้ง หากชำระผ่านตัวแทนประกันชีวิตควรเรียกใบรับเงินชั่วคราว หากชำระผ่านช่องทางอื่นควรเก็บหลักฐานการชำระเงินไว้ทุกครั้ง จนกว่าจะได้รับใบรับเงินตัวจริงจากบริษัทประกันชีวิต เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของตัวเอง

    5. ผู้เอาประกันชีวิตสามารถนำประกันชีวิตมาหักภาษีรายได้บุคคลได้ โดยรัฐบาลได้เพิ่มจำนวนเงินเบี้ยประกันชีวิตที่สามารถนำไปหักภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาท



    เมื่อผู้เอาประกันภัยได้รับกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว จะยกเลิกได้หรือไม่?

    เมื่อได้รับกรมธรรม์ประกันภัยจากบริษัทประกันชีวิตแล้ว ขอให้ตรวจสอบความถูกต้อง หากไม่พึงพอใจด้วยสาเหตุใดก็ตามสามารถใช้สิทธิยกเลิกสัญญา (Free Look) โดยส่งคืนกรมธรรม์ประกันภัยมายังบริษัทประกันชีวิตภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับกรมธรรม์จากบริษัทประกันชีวิตซึ่งบริษัทประกันชีวิตจะคืนเบี้ยประกันภัย ที่เหลือจากการหักค่าตรวจสุขภาพตามที่จ่ายจริง (ถ้ามี) และค่าใช้จ่ายของบริษัทฉบับละ 500 บาทแล้ว


    เมื่อทำประกันชีวิตมาระยะเวลาหนึ่งแล้วไม่สามารถส่งเบี้ยประกันภัยต่อได้ จะต้องทำอย่างไร?

    หากเกิดกรณีนี้ขึ้น จะมีแนวทางให้เลือก 3 แบบคือ

    1. ขอรับเงินสด กรณีนี้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยจะสิ้นสุดทันทีจำนวนเงินสดที่ได้รับคืนจะเป็นไปตามจำนวนที่ระบุในตารางเวนคืนเงินสดที่แนบอยู่ท้ายกรมธรรม์ประกันภัย

    2. ขอเปลี่ยนเป็นมูลค่าใช้เงินสำเร็จ กรณีนี้ระยะเวลาความคุ้มครองจะเท่าเดิมตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย แต่จำนวนเงินเอาประกันภัยจะลดลง จำนวนเงินเอาประกันภัยใหม่จะเป็นไปตามจำนวนที่ระบุในตารางมูลค่าใช้เงินสำเร็จที่แนบอยู่ท้ายกรมธรรม์ประกันภัย

    3. ขอเปลี่ยนเป็นมูลค่าขยายเวลา กรณีนี้จำนวนเงินเอาประกันภัยจะเท่าเดิมตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย แต่ระยะเวลาความคุ้มครองใหม่จะเป็นไปตามที่ระบุไว้ในตารางมูลค่าขยายเวลาที่แนบอยู่ท้ายกรมธรรม์ประกันภัย



    ทำไมเมื่อยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว มูลค่าเวนคืนเงินสดจึงมีจำนวนน้อยกว่าจำนวนเบี้ยที่ชำระไปแล้ว?

    เพราะการซื้อประกันชีวิตเป็นการเฉลี่ยภัยในหมู่ผู้เอาประกันภัยด้วยกัน หากผู้เอาประกันภัยรายใดเสียชีวิต บริษัทประกันชีวิตก็จะนำเงินจากเบี้ยประกันชีวิตของผู้เอาประกันภัยทุกคนไปจ่ายให้กับผู้รับประโยชน์ของผู้ที่เสียชีวิต ดังนั้นเหตุที่มูลค่าเวนคืนเงินสดมีมูลค่าน้อยกว่าเพราะเบี้ยประกันภัยที่ท่านชำระมาแล้วส่วนหนึ่งจะถูกนำไปจ่าย ให้แก่ผู้เอาประกันภัยรายอื่นที่เสียชีวิต


    หากต้องการซื้อความคุ้มครองเกี่ยวกับอุบัติเหตุและสุขภาพ นอกเหนือจากการประกันชีวิตจะทำได้หรือไม่?

    เพื่อสนองความต้องการของผู้เอาประกันชีวิตที่ต้องการความคุ้มครองเพิ่มมากขึ้นจากความคุ้มครองด้านการมีชีวิตอยู่หรือการตาย บริษัทประกันชีวิตจึงได้มีรูปแบบความคุ้มครองต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล การประกันภัยค่ารักษาพยาบาลและผ่าตัดในโรงพยาบาล การประกันภัยโรคร้ายแรงและอื่น ๆ อีกมาก

    ทั้งนี้ การที่ผู้เอาประกันภัยจะสามารถเลือกซื้อความคุ้มครองพิเศษนี้ได้จะต้องเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตหลักก่อนแล้ว จึงค่อยซื้อความคุ้มครองพิเศษนี้ในรูปแบบของสัญญาเพิ่มเติม โดยสัญญาเพิ่มเติมที่ซื้อนี้จะเป็นสัญญาปีต่อปี


    ใครที่สนใจจะทำประกันชีวิต แต่ยังไม่มีข้อมูล วันนี้ ก็คงได้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวการทำประกันชีวิตมากขึ้นจากข้อมูลที่กระปุกดอทคอมนำมาแนะนำกันแล้วนะคะ แต่ถ้าใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม หรือมีข้อสงสัย ลองสอบถามได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.), สมาคมประกันชีวิตไทย หรือสายด่วนกรมการประกันภัย โทร. 1186

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    -http://www.oic.or.th/th-
    -http://www.tlaa.org/2012/-
    money for life
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขายประกันผ่านโทร.สิ้นเสียงรำคาญ

    -http://www.decha.com/main/showTopic.php?id=4324-

    ทนายคลายทุกข์ขอนำข่าวเกี่ยวกับกฎเหล็กเทเลฯคลอด ประกันโล่งอก! กฎเหล็กขายผ่านช่องเทเลมาร์เก็ตติ้งคลอดครบทั้งชีวิตวินาศภัย ไม่มีเหลื่อมล้ำขายให้ค้างคาใจ เดินหน้าแข่งโกยเบี้ยเต็มสตีม ด้านปคภ.โล่งใจเชื่อต่อไปเรื่องร้องเรียนหดหาย เผยตั้งแต่ต้นปีเจอแค่ 2 รายเทียบปีที่แล้วทั้งปีร้องเข้ามา 5 ราย ยันเกณฑ์การขายเข้มงวดไม่มีตอแยลูกค้า โทร.คอนเฟิร์มทุกรายหลังตกลงซื้อ พร้อมเก็บเทปสนทนาไว้ตลอดสัญญา เช็กได้ไม่มีขายมั่ว อีกด้านเตรียมจ้างองค์กรนอกตรวจสอบเกณฑ์การขายทุกช่องทาง เพื่อวัดคุณภาพ มั่นใจอนาคตขายประกันมาตรฐานทุกช่องจำหน่าย

    ช่องทางขายประกันผ่านโทรศัพท์ หรือเทเลมาร์เก็ตติ้ง (Tele Marketing) กำลังจะถูกยกระดับให้เป็นช่องทางขาย ที่ได้คุณภาพ และมีมาตรฐานเดียวกัน เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและ ส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ออกประกาศควบคุมการเสนอ ขายผ่านช่องทางนี้ ครบทั้งฝั่งประกันชีวิต และประกันวินาศภัย ซึ่งเมื่อมีกฎระเบียบที่ชัดเจนออกมาควบคุมแล้ว ก็เชื่อว่าปัญหายุ่งๆ ของการขายผ่านโทรศัพท์น่าจะหมดไปนับจากนี้ คงไว้แต่การแข่งขันที่จะยิ่งทวีความดุเดือด ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการขับเคี่ยวในเชิงธุรกิจ

    แหล่งข่าวจากวงการประกันชีวิต เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า หลังจากที่คปภ.ได้ออกประกาศนายทะเบียน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการออก การเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย และการปฏิบัติหน้าที่ของตัวแทนประกันวินาศภัย นายหน้าประกันวินาศภัย และธนาคาร พ.ศ.2552 เมื่อ 18 พฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมา ก็จะทำให้นับจากนี้ไปการขายผ่านช่องทางเทเล มาร์เก็ตติ้งจะไม่เกิดความเหลื่อมล้ำกันอีกต่อไป เพราะประกาศเกณฑ์การขายผ่านช่องทางเทเลมาร์เก็ตติ้งของธุรกิจประกันชีวิตออกมาก่อนเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2552

    “มีสินค้าบางตัวที่ขายได้ทั้งประกันชีวิต และประกันวินาศภัย คือ ประกันพีเอ หรือประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ซึ่งทุกบริษัทต่างก็นำมาขายผ่านเทเลมาร์เก็ตติ้งทั้งนั้น จึงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในช่วงที่ประกันวินาศภัยยังไม่มีเกณฑ์ออกมา ก็ทำให้หลายบริษัทเริ่มตั้งคำถามเข้าไปที่คณะอนุกรรมการการตลาดแบบตรง สมาคมประกันชีวิตไทย เหมือนกันในเรื่องนี้”

    คปภ.เชื่อเรื่องร้องเรียนหดหายกฎเหล็กคุมเข้มไม่มีการตอแยลูกค้า

    นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า หลังจากคณะกรรมการคปภ. (บอร์ด) ได้ออกประกาศคปภ.ควบคุมการเสนอขายประกันผ่านช่องทางจำหน่ายต่างๆ รวมถึงการขายผ่านโทรศัพท์ (เทเลมาร์เก็ตติ้ง) ทั้งของบริษัทประกันชีวิต


    และประกันวินาศภัยทำให้การร้องเรียนของ ประชาชนที่เข้ามาที่สำนักงานคปภ.เกี่ยวกับการขายประกันทางโทรศัพท์ลดลงไปมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่กระแสการ ขายประกันผ่านโทรศัพท์แรงมาก การร้องเรียนมากตามไปด้วย

    “ส่วนมากประชาชนคอมเพลนเข้ามา ที่เราเกี่ยวกับพนักงานโทรศัพท์ไปรบกวนไปเซ้าซี้ขายไม่เป็นเวลาล่ำเวลามากกว่า ไม่ ได้มาจากสิทธิความคุ้มครองตามกรมธรรม์จากกรมธรรม์หรือบริษัทปฏิเสธไม่คุ้มครอง ซึ่งกฎใหม่ที่ออกมาดีมากถ้าลูกค้าปฏิเสธไม่รับฟังการเสนอขายบริษัทไม่สามารถโทรศัพท์ไปเสนอขายซ้ำได้เลยถ้ายังไม่ถึง 6 เดือนซึ่งกฎใหม่ทั้งหมดที่ออกมาเราเรียกบริษัทมาทำความเข้าใจหมดแล้ว”

    นางคมคาย ธูสรานนนท์ รองเลขา ธิการ คปภ. เปิดเผยว่า สิทธิของประชาชน ทุกคนได้รับความคุ้มครองตามกฎดังกล่าวซึ่งระเบียบในการเสนอขายเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าการโทรศัพท์ไปเสนอขายประกันกับลูกค้าจะได้ระหว่างวันจันทร์ถึงวันเสาร์ระหว่างเวลา 08.30-19.00 น. เท่านั้น ซึ่งถ้าลูกค้าปฏิเสธไม่สนใจซื้อประกันบริษัทจะต้องบึกทึกข้อมูลดังกล่าวไว้ในฐานข้อมูลทันทีและตัวแทนไม่สามารถที่จะโทรศัพท์ไปเสนอขายลูกค้ารายนั้นๆ อีกภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ปฏิเสธ

    ชี้เก็บเทปสนทนาซื้อจนสัญญาสิ้นสุดตอกย้ำลูกค้าตัดสินใจซื้อจริงไม่มีมั่ว

    ส่วนกรณีที่ลูกค้าสนใจทำประกัน ทางตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยจะต้องแจ้งชื่อ นามสกุล หมายเลขใบอนุญาตเป็นตัวแทน นายหน้ารวมถึงเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทด้วย และถ้าลูกค้าตกลงทำประกัน แล้ว ภายใน 7 วันนับแต่วันที่บริษัทส่งกรม ธรรม์ให้ลูกค้าบริษัทต้องโทรศัพท์มาขอ คำยืนยันจากผู้เอาประกันภัยอีกครั้งหนึ่ง (Confirmation Call) ซึ่งทันทีที่บริษัทส่งกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองเกิดขึ้นแล้ว อีก ทั้งหากลูกค้าเปลี่ยนใจไม่ทำประกันสามารถ ใช้สิทธิแจ้งขอยกเลิกและส่งกรมธรรม์ คืนบริษัทภายใน 30 วันนับแต่วันที่ผู้เอา ประกันภัยได้รับกรมธรรม์โดยบริษัทต้องคืนเงินทั้งหมดให้กับลูกค้า

    “จริงๆ แล้วไทยมีระบบขายตรงเยอะมากไม่ใช่แค่การขายประกันผ่านโทรศัพท์เท่านั้น ซึ่งการที่บริษัทได้ข้อมูลลูกค้ามาอยู่นอกกฎหมายประกันภัย ที่เราทำได้เฉพาะในส่วนของการควบคุมการขาย ประกันภัยผ่านทางโทรศัพท์ให้อยู่ในขอบ เขตรัดกุมเท่านั้น อย่างถ้อยคำการเสนอขายประกันผ่านทางโทรศัพท์ต้องผ่านความ เห็นชอบจากปคภ. ขณะที่เทปบันทึกการสนทนาทางโทรศัพท์กรณีที่ลูกค้าตกลงทำประกันหากเป็นประกันชีวิตกำหนดให้บริษัทจัดเก็บเทปไว้ตลอดอายุสัญญากรมธรรม์เพื่อเป็นหลักฐาน ส่วนประกันวินาศภัยให้เก็บเทปไว้ 2 ปี”

    เตรียมจ้างคนนอกสำรวจช่องจำหน่ายหวังเช็กคุณภาพเกณฑ์ขายได้มาตรฐาน

    นางคมคายกล่าวว่า ภายหลังออกระเบียบใหม่ควบคุมการขายทุกช่องทางจำหน่าย ทางเลขาธิการคปภ.ได้มีคำสั่ง ให้ประเมินผลกติกาใหม่เพื่อดูผลในทางปฏิบัติให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นโดยจะวัดผลจากผู้เอาประกัน โดยจะจ้างองค์กรภายนอกให้ไปสำรวจความพึงพอใจของผู้เอาประกันเกี่ยวกับพฤติกรรมการขายของคนกลางในทุกช่องทางจำหน่ายอาทิ ตัวแทน นายหน้า พนักงานธนาคาร เป็นต้น ดูว่ากระบวนการขายของบริษัทเป็นอย่างไร ตัวแทนนายหน้ามีการปฏิบัติตัวอย่างไรเวลาเสนอขาย การบริการต่อเนื่องหลังการขายเป็นอย่างไร โดยการสำรวจความพอใจของช่องทางจำหน่ายต่างๆ อยู่ในขั้นตอนของการจัดซื้อ จัดจ้างองค์กรภาย นอกที่จะเข้ามาทำการสำรวจคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการได้เร็วๆ นี้

    จากข้อมูลของคปภ. ระบุว่า ในปี 2551 มีผู้เอาประกันมายื่นเรื่องร้องเรียนกับคปภ.เกี่ยวกับการขายประกันผ่านโทร ศัพท์เพียง 5 รายเท่านั้นทุกเคสร้องเรียนใน เรื่องเดียวกันคือผู้เอาประกันยังไม่ตกลงทำประกันแต่บริษัทไปหักค่าเบี้ยประกันภัยผ่านบัตรเครดิตของผู้เอาประกันแล้ว ขณะที่ปี 2552 ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงปัจจุบันนี้มีมาร้องเรียนแค่ 2 รายเท่านั้น

    ส่วนบริษัทประกันภัยที่เตรียมจะเปิด ช่องทางเทเลมาร์เก็ตติ้งในปีนี้ อาทิ บมจ. นวกิจประกันภัย โดยจะนำรูปแบบที่บริษัท นิปปอนโคอะ ผู้ถือหุ้นใหม่มาเป็นต้นแบบ และบมจ.ศรีอยุธยาประกันภัย ก็จะทำร่วมกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา ขณะที่ฝั่งประกันชีวิตขณะนี้ถือว่าเกือบครบ เพราะมี 16 บริษัทที่เปิดช่องทางจำหน่ายดังกล่าว จากทั้งหมด 24 บริษัท

    ขอขอบคุณข้อมูลกรมประกันวินาศภัย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p1-1.png
      p1-1.png
      ขนาดไฟล์:
      75.6 KB
      เปิดดู:
      53
    • p2.png
      p2.png
      ขนาดไฟล์:
      55.2 KB
      เปิดดู:
      59
    • p3.png
      p3.png
      ขนาดไฟล์:
      54.8 KB
      เปิดดู:
      60
    • p4.png
      p4.png
      ขนาดไฟล์:
      56.9 KB
      เปิดดู:
      55
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สรุปสาระสำคัญของการประกันชีวิต
    -http://www.tlaa.org/2012/enews_arti_de.php?article_id=12&article_detail_id=48#.V6VW6qISOPI-


    3. สรุปสาระสำคัญของการประกันชีวิต
    3.1 ลักษณะของสัญญา
    การประกันภัย เป็นการตกลงกันของบุคคล 2 ฝ่าย คือ ผู้รับประกันภัย (บริษัท) กับ ผู้เอาประกันภัย (ลูกค้า) ในรูปแบบของสัญญาที่เรียกว่า “สัญญาประกันภัย” หรือ “สัญญาประกันชีวิต” ซึ่งสัญญานี้จะเริ่มมีผลบังคับ นับตั้งแต่วันที่มีการตกลงรับประกันเกิดขึ้น และหลังจากที่ผู้รับประกันภัยได้ตอบตกลงรับประกันภัยแล้ว ก็จะออกเอกสารแสดงข้อตกลงของสัญญาให้แก่ผู้เอาประกันภัย (ลูกค้า) ไว้เป็นหลักฐาน โดยเอกสารนี้จะต้องมีเนื้อความที่มีการตกลงทำสัญญากันไว้ เราเรียกเอกสารนี้ว่า “กรมธรรม์ประกันภัย”

    ผู้เกี่ยวข้องกับสัญญาประกันชีวิต มี 3 ฝ่าย
    1). ผู้รับประกันภัย
    2). ผู้เอาประกันภัย
    3). ผู้รับประโยชน์

    ผู้รับประโยชน์
    1. ผู้รับประโยชน์ประเภทเปลี่ยนแปลงได้
    โดยทั่วไปผู้รับประโยชน์จะเป็นประเภทนี้ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการของผู้เอาประกันภัย โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังผู้รับประกันภัย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลต่อเมื่อผู้มีอำนาจของบริษัทผู้รับประกันภัยเซ็นสลักหลังกรมธรรม์ประกันภัย

    2. ผู้รับประโยชน์ประเภทเปลี่ยนแปลงไม่ได้
    เป็นผู้รับประโยชน์ประเภทที่ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก เว้นแต่จะได้รับความยินยอม ซึ่งสามารถกระทำได้โดยผู้เอาประกันภัยส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์และผู้รับประโยชน์ได้แจ้งความประสงค์เป็นลายลักษณ์อักษรแก่ผู้รับประกันภัยว่า ตนถือเอาประโยชน์จากกรมธรรม์ประกันภัยนี้


    3.2 สัญญาประกันชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร
    1). การขอเอาประกันภัย
    2). การพิจารณารับประกันภัย
    3). การตอบรับและออกกรมธรรม์ประกันภัย

    3.3 รูปแบบของการประกันชีวิต
    - 2 ชนิด คือ มีเงินปันผล ไม่มีเงินปันผล
    - 3 ประเภท คือ สามัญ อุตสาหกรรม กลุ่ม
    - 4 แบบพื้นฐาน คือ ชั่วระยะเวลา ตลอดชีพ สะสมทรัพย์ เงินได้ประจำ
    - 2 แบบพิเศษที่มีการลงทุนเพิ่ม คือ Universal Life และ Unit Link

    3.3.1 กรมธรรม์ประกันชีวิตแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
    (1.) ชนิดมีเงินปันผล (2.) ชนิดไม่มีเงินปันผล
    เงินปันผล คือเงินที่จัดสรรมาจากส่วนเกินของผลกำไร ที่เกิดจากการประกอบธุรกิจของบริษัท

    การขอรับหรือใช้สิทธิ์ได้ 4 วิธีคือ…
    - 1. รับเป็นเงินสด
    - 2. หักชำระเบี้ยประกันชีวิต
    - 3. สะสมไว้กับบริษัท
    - 4. ซื้อทุนประกันชีวิตเพิ่ม

    3.3.2 กรมธรรม์ประกันชีวิต แบ่งเป็น 3 ประเภท
    (1.) การประกันชีวิตประเภทสามัญ
    - ออกกรมธรรม์ 1 ฉบับ ให้ผู้เอาประกัน 1 คน
    - ผู้เอาประกันมีฐานะปานกลางถึงสูง
    - ทุนประกันเฉลี่ยตั้งแต่ปานกลาง-สูง
    - การชำระเบี้ยประกันภัยใช้รายปีเป็นหลัก
    - มีทั้งการแถลงและการตรวจสุขภาพ ขึ้นอยู่กับอายุ,ทุนประกันภัยและประวัติสุขภาพ
    - มีเบี้ยประกันพิเศษได้
    - สิทธิ์โต้แย้งความไม่สมบูรณ์ของสัญญา 2 ปี

    (2.) การประกันชีวิตประเภทอุตสาหกรรม
    - ออกกรมธรรม์ประกันภัย 1 ฉบับ ให้ผู้เอาประกันภัย 1 คน
    - ผู้เอาประกันภัยรายได้น้อย
    - ทุนประกันภัยเฉลี่ยต่ำ เบี้ยประกันภัยใช้รายเดือนเป็นหลัก
    - ไม่มีการตรวจสุขภาพ ไม่มีเบี้ยประกันพิเศษ
    - มีระยะเวลารอคอย (180วัน)

    (3.) การประกันชีวิตประเภทกลุ่ม
    - ให้ความคุ้มครอง 5-10 คนขึ้นไป ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยฉบับเดียว
    - เหมาะสำหรับสร้างสวัสดิการให้กับพนักงาน
    - ทุนประกันภัยแต่ละบุคคล ขึ้นกับตำแหน่ง,เงินเดือน,ลักษณะงาน
    - ไม่มีการตรวจสุขภาพ
    - เน้นคุ้มครองมรณกรรม ไม่มีการออมทรัพย์
    - มีการจ่ายเงินคืนตามประสบการณ์

    การประกันกลุ่ม
    - การชำระเบี้ยประกันภัยมี 2 แบบคือ…
    - 1.นายจ้างชำระทั้งหมด กรณีนี้ต้องมีลูกจ้างทำประกันภัย 100% ของผู้มีสิทธิ์
    - 2.นายจ้างกับลูกจ้างร่วมกันชำระ กรณีนี้ต้องมีลูกจ้างทำประกันไม่ต่ำกว่า 75% ของผู้มีสิทธิ์
    - บริษัทจะออกใบสำคัญ ให้สมาชิกทุกคนภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยหลัก
    - นายจ้างหรือผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยเป็นผู้เรียกร้องผลประโยชน์

    3.3.3 กรมธรรม์ประกันชีวิต แบ่งออกเป็นดังนี้
    3.3.3.1 แบบการประกันชีวิตที่เป็นพื้นฐานมี 4 แบบ
    (1) การประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา
    - คล้ายกับการประกันวินาศภัยที่เป็นเบี้ยประกันสูญเปล่า
    - มีระยะเวลาคุ้มครองที่แน่นอน เช่น 5ปี 10 ปี เป็นต้น
    - จะจ่ายทุนประกันภัยเฉพาะกรณีผู้เอาประกันเสียชีวิตในระหว่างสัญญามีผลบังคับเท่านั้น
    - เหมาะสำหรับบุคคลที่มีรายได้ไม่สูงมากนัก ที่ต้องการความคุ้มครองสูง หรือคุ้มครองหนี้สินจากการเช่าซื้อ หรือต้องการความคุ้มครองระยะสั้น

    (2) การประกันชีวิตแบบตลอดชีพ
    - มีระยะเวลาคุ้มครองตลอดชีพ หรือจนถึง ผู้เอาประกันภัยมีอายุ 90 ปีโดยจ่ายทุนประกันภัยให้ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือจ่ายทุนประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัยเมื่ออายุ 90 ปี
    - มีทั้งความคุ้มครองและการออมทรัพย์
    - เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเงินทุนสำหรับค่าใช้จ่ายครั้งสุดท้ายของชีวิต
    - ชำระเบี้ยประกันภัยได้ 3 แบบ…
    1.ชำระตลอดชีพ
    2.ชำระจำกัดระยะเวลา
    3.ชำระครั้งเดียว
    (3) การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
    - มีระยะเวลาประกันภัยแน่นอน เช่น 10 ปี 20 ปี หรือครบอายุ 60 ปี
    - จ่ายทุนประกันภัยเมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตหรืออยู่จนครบสัญญา
    - ประกอบด้วยการประกันสองแบบมารวมกัน คือแบบชั่วระยะเวลากับแบบสะสมทรัพย์แท้จริง
    - เหมาะสำหรับเป็นกองทุนการศึกษาให้กับบุตร

    (4) การประกันชีวิตแบบเงินได้ประจำ(บำนาญ)
    - เหมาะสำหรับบุคคลที่ต้องการเงินไว้ใช้จ่ายยามชรา อันเนื่องมาจากการสูญเสียรายได้ทางเศรษฐกิจ
    - มีระยะเวลาที่แน่นอนในการกำหนดวันเริ่มจ่ายเงินได้ประจำ (บำนาญ) เช่น ที่อายุ 55,60 หรือ 65 ปี
    - คุ้มครองรายได้ที่สม่ำเสมอเมื่อเกษียณอายุ,ทุพพลภาพ โดยบริษัทจ่ายเงินให้เป็นงวดๆจนเสียชีวิตหรือสูงสุดไม่เกิน 85 ปี (งวดรายเดือน 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี)
    - ส่งเบี้ยประกันภัยเป็นงวดๆ ไปจนถึงอายุที่ตกลงกันไว้ เช่น อายุ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้น

    3.3.3.2 แบบการประกันชีวิตแบบพิเศษที่มีการการลงทุนเพิ่ม เป็นการซื้อประกันชีวิต ที่มีการลงทุนด้วย
    (1) แบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life)
    - อีกชื่อหนึ่งคือ Flexible Premium Adjustable Life
    - เงินที่ผู้เอาประกันภัยได้รับ เท่ากับทุนประกันภัย + ผลประโยชน์จากผลตอบแทนจากการลงทุน ดังนั้น จึงได้รับเงินสูงกว่าเบี้ยประกันภัยเสมอ
    - บริษัทประกันชีวิตเป็นผู้บริหารการลงทุน
    (2) การประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit Link)
    - เบี้ยประกันชีวิตแยกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นความคุ้มครอง ส่วนที่นำไปลงทุนในกองทุนรวม และส่วนที่เป็นค่าใช้จ่าย-ค่าธรรมเนียมต่างๆ
    - ผู้เอาประกันภัยเป็นผู้เลือกลงทุนในกองทุนรวมต่างๆ
    - เงินลงทุนที่ได้อาจน้อยกว่าหรือมากกว่าเบี้ยประกันภัยในส่วนลงทุน ดังนั้น เงินครบกำหนดที่ได้รับอาจน้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่จ่าย

    3.4 เงื่อนไขหรือข้อกำหนดที่สำคัญในสัญญาประกันชีวิต
    3.4.1 การแถลงข้อความ (Representation)
    - มีการกำหนดให้ใบคำขอเอาประกันชีวิต และใบแถลงสุขภาพ ซึ่งแนบติดกับกรมธรรม์ประกันชีวิต เป็นสัญญาประกันภัย
    - ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 กำหนดไว้ว่า “ ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดี หรือในกรณีสัญญาประกันชีวิต บุคคลนั้น การใช้เงินย่อมอาศัยการทรงชีพหรือมรณะชองเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสีย ได้เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความนั้นเป็นเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ”

    3.4.2 ระยะเวลาบอกล้างสัญญา (Incontestible Period)
    - ในสัญญาประกันชีวิตทั่วไป กำหนดให้ระยะเวลาบอกล้างสัญญาเป็น 2 ปี นับแต่วันที่สัญญามีผลบังคับ หรือ 1 เดือนนับแต่ผู้รับประกันภัยทราบข้อมูลอันจะบอกล้างได้
    - ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคสอง ได้กำหนดระยะเวลาบอกล้างสัญญา เนื่องจากการแถลงข้อความเป็นเท็จ และการปกปิดความจริง ไว้เป็น 5 ปี นับแต่วันทำสัญญา หรือ 1 เดือน นับแต่ผู้รับประกันภัยทราบข้อมูล อันจะบอกล้างได้
    - กรณีที่เป็นคุณกับประชาชน อาจใช้ข้อน้อยหรือมากกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ได้

    3.4.3 การแถลงอายุคลาดเคลื่อน
    (1) แถลงต่ำกว่าความเป็นจริง
    - ลดเงินเอาประกันภัยตามส่วน
    (2) แถลงสูงกว่าความเป็นจริง
    - บริษัทคืนเบี้ยประกันชีวิต
    (3) แถลงนอกเหนือพิกัดการค้า
    - สัญญาเป็นโมฆียกรรม

    3.4.4 ระยะเวลาพิจารณาเอาประกันชีวิต (Free Look Period)
    - กรมธรรม์ประกันชีวิตปกติ 15 วัน
    - Tele Marketing 30 วัน
    3.4.5 ระยะเวลารอคอย (Waiting Period)
    - ประกันสุขภาพ 30 วัน
    - อุตสาหกรรม 180 วัน (6 เดือน)
    3.4.6 ระยะเวลาผ่อนผัน (Grace Period)
    - ประเภทสามัญ 30 วัน หรือ 31 วัน
    - ประเภทอุตสาหกรรม 60 วัน
    นับจากวันครบกำหนดชำระเบี้ยประกันภัย

    3.4.7 การต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย
    - ต้องขอต่อภายใน 5 ปีนับจากวันที่ขาดอายุ
    - ผู้เอาประกันภัยต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง
    - กรณีผู้เอาประกันภัย เลือกวิธีเวนคืนเป็นเงินสดไปแล้ว ไม่สามารถขอต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยได้

    การต่ออายุกรมธรรม์ฯ ได้ 2 แบบคือ
    1.การต่ออายุแบบธรรมดาหรือแบบย้อนหลัง ชำระเบี้ยตั้งแต่งวดที่ค้างชำระทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย
    2.การต่อแบบพิเศษหรือแบบเปลี่ยนแปลงวันเริ่มสัญญาใหม่ชำระเบี้ยประกันภัยต่อจากที่ชำระไว้แล้ว โดยปรับเบี้ยประกันภัยใหม่ให้สูงขึ้นตามอายุของผู้เอาประกัน ณ วันเริ่มสัญญาใหม่

    3.4.8 มูลค่ากรมธรรม์ประกันภัย
    (1) มูลค่าเวนคืนเงินสด (Cash Surrender Value)
    (2) มูลค่าใช้เงินสำเร็จ (Reduced Paid-Up)
    (3) มูลค่าขยายเวลา (Extended Term Insurance)

    ตัวอย่าง ตารางมูลค่ากรมธรรม์ฯ แบบสะสมทรัพย์ 10/10 อายุ 30 ปี ต่อจำนวนเงินเอาประกัน 1,000 บาท
    สิ้นปีกรมธรรม์ที่ มูลค่าเวนคืนเงินสด มูลค่าใช้เงินสำเร็จ การขยายเวลา
    ปี วัน เงินเหลือ
    2 58 82 2 112 -
    3 155 228 5 68 -
    4 258 361 6 - 120
    5 368 511 5 - 285


    (1) มูลค่าเวนคืนเงินสด
    จากช่องมูลค่าเวนคืนเงินสด ณ สิ้นปีที่ 2 = 58 ต่อจำนวนเงินเอาประกันภัย 1,000 บาท
    วิธีคำนวณ
    - ถ้าจำนวนเงินเอาประกันภัย 1,000 บาท จะมีมูลค่าเวนคืนเงินสด 58 บาท
    - ถ้าจำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาทจะมีมูลค่าเวนคืนเงินสด
    (58 x 100,000) / 1,000 = 5,800 บาท
    ดังนั้นถ้าผู้เอาประกันภัยขอเงินสด ณ สิ้นปีที่ 2 จะได้รับเงิน = 5,800 บาท

    (2) มูลค่าใช้เงินสำเร็จ
    จากช่องมูลค่าใช้เงินสำเร็จ ณ สิ้นปีที่ 2 = 82 ต่อ 1,000 บาท
    วิธีคำนวณ
    - ถ้าจำนวนเงินเอาประกันภัย 1,000 บาทจะมีมูลค่าใช้เงินสำเร็จ 82 บาท
    - ถ้าจำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท
    - จะมีมูลค่าใช้เงินสำเร็จ = (82 x 100,000) / 1,000 = 8,200 บาท

    หมายความว่านับตั้งแต่สิ้นปีที่ 2 จนครบสัญญาในปีที่ 10 หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต บริษัทจะจ่ายเงินเอาประกันให้ = 8,200 บาท และหากผู้เอาประกันภัยไม่เสียชีวิตจนกระทั่งครบสัญญา บริษัทก็จะจ่ายเงินจำนวน 8,200 บาทนี้ให้เช่นกัน

    (3) มูลค่าขยายเวลา
    จากช่องมูลค่าขยายเวลา ณ สิ้นปีที่ 2 ผู้เอาประกันภัยสามารถขยายเวลาความคุ้มครองออกไปเป็นเวลา 2 ปี 112 วัน โดยไม่มีเงินครบกำหนด
    หมายความว่า ผู้เอาประกันภัยจะได้รับความคุ้มครองเท่ากับจำนวนเอาประกันเดิมนับตั้งแต่สิ้นปีที่ 2 เป็นต้นไปอีก 2 ปี 112 วัน คือหากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทจะจ่ายเงินเอาประกันให้ 100,000 บาท แต่หากผู้เอาประกันภัยมีชีวิตอยู่จนครบระยะเวลาที่ขยายออกไปก็จะไม่ได้รับอะไรเลย เพราะในกรณีนี้ไม่มีเงินจ่ายเมื่อครบกำหนด (ไม่มีเงินช่องเงินเหลือ)

    3.4.9 การกู้ยืมเงินโดยมีกรมธรรม์ประกันภัยเป็นประกัน
    ผู้เอาประกันภัยสามารถกู้เงินได้ไม่เกินมูลค่าเวนคืนเงินสดในวันที่กู้
    - กู้เพื่อชำระเบี้ยประกันภัยโดยอัตโนมัติ (Automatic Premium Loan)
    - กู้เป็นเงินสด

    3.5 เบี้ยประกันชีวิต
    3.5.1 ปัจจัยในการคำนวณอัตราเบี้ยประกันชีวิต
    โดยอาศัยปัจจัย 3 ประการคือ...
    (1) อัตรามรณะ คือ อัตราการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัยแยกตาม เพศ,อายุ
    (2) ดอกเบี้ยที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน
    (3) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
    จาก 3 ปัจจัยนี้ กรณีเกิดกำไร จะนำมาซึ่งเงินปันผลที่จ่ายคืนผู้เอาประกันภัยในกรณีเป็นการประกันภัยชนิดจ่ายเงินปันผล

    3.5.2 การชำระเบี้ยประกันชีวิต
    การชำระเบี้ยประกันภัย
    (1) ชำระครั้งเดียว (Single Premium)
    (2) ชำระเป็นระยะเวลา (Limited Payment) : กำหนดชำระ 10 ปี 15 ปี 20 ปี หรือตลอดชีพ แล้วกำหนดจ่ายเป็นรายปี ราย 6 เดือน ราย 3 เดือน หรือรายเดือน ซึ่งผู้เอาประกันภัยสามารถติดต่อบริษัทเพื่อขอเปลี่ยนวิธีชำระได้

    3.6 วิธีรับเงินครบกำหนด หรือค่าสินไหมการประกันชีวิต
    (1) รับเป็นเงินก้อน
    (2) รับเป็นงวด ๆ (รายเดือน/รายปี)

    3.7 เงินสำรองประกันชีวิต
    คือจำนวนเงินที่บริษัทจัดสรรไว้ (จากเบี้ยประกันภัย) ตามความผูกพันของกรมธรรม์ประกันภัยรวมกับดอกผลที่ได้จากการลงทุน อันจะทำให้บริษัทสามารถจ่ายผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
    (1) ทำให้เกิดสิทธิ์ต่างๆเมื่อมี “มูลค่ากรมธรรม์ประกันชีวิต”เกิดขึ้นแล้ว
    (2) ไม่มีในการประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา
    (3) การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เมื่อครบกำหนดสัญญา เงินสำรองจะเท่ากับจำนวนเงินเอาประกันชีวิตพอดี

    28 กันยายน 2553
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • s01.png
      s01.png
      ขนาดไฟล์:
      78.9 KB
      เปิดดู:
      264
    • s02.png
      s02.png
      ขนาดไฟล์:
      111.7 KB
      เปิดดู:
      110
    • s03.png
      s03.png
      ขนาดไฟล์:
      90.1 KB
      เปิดดู:
      75
    • s04.png
      s04.png
      ขนาดไฟล์:
      79.5 KB
      เปิดดู:
      197
    • s05.png
      s05.png
      ขนาดไฟล์:
      96.5 KB
      เปิดดู:
      84
    • s99.png
      s99.png
      ขนาดไฟล์:
      20.7 KB
      เปิดดู:
      59
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โง่มานาน!! สุดยอด “วิธีกำจัดปลวก”แบบปลอดภัยไร้สารเคมี โดย”วิธีธรรมชาติ” ว่ากันว่าเป็นสูตรที่ได้ผลดีที่สุด!!

    -http://skynews.thaimom.net/30971/-


    ปลวกเป็นปัญหากวนใจสำหรับหลายบ้าน เพราะเมื่อปลวกมาทำรังมักแทะกัดกินสิ่งต่างๆ ภายในบ้าน โดยเฉพาะวัสดุที่ทำด้วยไม้ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ตู้ หรือแม้แต่ประตูบ้าน ดังนั้นถ้าบ้านไหนมีปลวกจึงควรรีบกำจัดกันซะตั้งแต่เนินๆ อย่าปล่อยไว้จนกลายเป็นรังใหญ่ซึ่งจะยิ่งกำจัดยากมากยิ่งขึ้น เพราะบางครั้งกำจัดไปแล้วอาจจะไม่หมดและหลงเหลืออยู่ ทำให้ไม่นานก็กลับมาขึ้นวัสดุต่างๆ ภายในบ้านเรากันได้อีก และสำหรับใครที่ไม่อยากใช้สารเคมีหรือไม่ต้องการจ้างบริษัทกำจัดปลวกให้เสีย เงิน วันนี้เรามีวิธีการกำจัดปลวกด้วยวิธีธรรมชาติมาฝาก โดยมีวิธีการต่างๆ ดังนี้


    วิธีการกำจัดปลวกโดยการใช้ไส้เดือนฝอย
    วิธีง่ายๆ แค่คุณหาไส้เดือนฝอยมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นนำไปผสมในน้ำสะอาด แล้วนำไปฉีดในบริเวณที่มีปลวกขึ้น หรือถ้าพบรังปลวกให้นำไปฉีดที่บริเวณรังปลวก ไส้เดือนจะช่วยกำจัดปลวกให้หมดไปจากบ้านได้อย่างหมดสิ้น แต่มีข้อแม้ว่าคุณจะต้องทำการฉีดในเวลากลางคืนเท่านั้น เพราะในเวลากลางวันไส้เดือนจะทนแสงแดดไม่ได้แล้วจะตายหมดก่อนจะได้กำจัดปลวก
    เพียงเท่านี้ภายในบริเวณ บ้านของคุณก็จะหมดปัญหาปลวกเข้ามารบกวนกัดแทะสิ่งของต่างๆ ภายในบ้านกันได้แล้ว ที่สำคัญยังเป็นการลดการใช้สารเคมีต่างๆ ที่มีส่วนในการทำลายสิ่งแวดล้อม และวิธีนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้สารเคมีกันอีกด้วย เพราะสารเคมีที่มีฤทธิ์ในการกำจัดปลวกมักจะมีกลิ่นที่ค่อนข้างแรง ไส้เดือนฝอยสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรทั่วไป


    กำจัดปลวกด้วยสมุนไพร
    วิธีการกำจัดปลวกอาจจะทำได้หลากหลายวิธี แต่วิธีการใช้สมุนไพรในการกำจัดปลวกนอกจากจะเป็นวิธีที่สามารถช่วยกำจัดปลวก อย่างได้ผลแล้ว ยังเป็นวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เพราะลดการใช้สารเคมีต่างๆ โดยสมุนไพรที่ใช้เป็นสมุนไพรที่หาได้ง่ายตามท้องตลาดบ้านเรา และยังเป็นสมุนไพรที่มีกันเกือบทุกบ้าน เพราะมักจะนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร สมุนไพรที่ใช้จะได้แก่ ข่า ตะไคร้ และกระเทียม ผสมกับส่วนผสมชนิดอื่นก็จะได้น้ำยาที่สามารถกำจัดปลวกอย่างได้ผล โดยมีวิธีการและขั้นตอนในการทำดังนี้


    ส่วนผสมต่างๆ ในการทำ
    ข่า ตะไคร้ กระเทียม อย่างละครึ่งกิโลกรัม, น้ำส้มสายชูครึ่งขวด, เหล้าขาวครึ่งขวด, น้ำเปล่า 10 ลิตร

    ขั้นตอนในการทำน้ำยา

    นำข่า ตะไคร้ กระเทียม มาสับหยาบแล้วนำมาผสมกัน จากนั้นให้ใส่น้ำส้มสายชู เหล้าขาว น้ำเปล่า ลงไปผสม แล้วให้นำไปใส่ในภาชนะทำการหมักไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็จะได้น้ำยาสมุนไพรที่สามารถกำจัดปลวกให้หมดไปจากบ้านของเราได้




    วิธีการกำจัดปลวก
    ให้นำน้ำยาที่หมักได้ในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำเปล่า 1 ลิตร เทราดในบริเวณที่เจอปลวก หรือในบริเวณที่มีรังปลวก น้ำยาจะออกฤทธิ์ทำให้ปลวกหนีหายไปได้ และในกรณีที่ยังไม่เจอปลวกก็สามารถนำมาเทราดไว้รอบบริเวณบ้าน เพื่อป้องกันปัญหาปลวกกลับมารบกวน

    วิธีนี้ควรทำเป็นประจำหรืออาจจะใช้วิธีเทน้ำยาสัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันปลวกกันไว้ตั้งแต่เนินๆ ที่สำคัญเป็นสมุนไพรจากธรรมชาติจึงหมดปัญหาในเรื่องของสารเคมี และยังปลอดภัยต่อคนและสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

    ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : เกษตร อินเตอร์เชียงใหม่

    Cr : blogspot.com
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

    . . " ของฝากจากพระยายม " . .

    (เรื่องการอุทิศส่วนกุศล ท่านพระยายม (ลุงพุฒิ)
    ท่านมาสั่งให้หลวงพ่อบอกลูกหลาน เมื่อวันปวารณาออกพรรษาปี ๒๕๓๑
    ซึ่งหลวงพ่อได้เล่าให้ฟังดังนี้)

    พระยายมกับท่านลุง (นายบัญชี) มาเที่ยววันออกพรรษา
    บอกว่า คนที่ผมจะช่วยได้ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักผมเท่านั้นนะ

    ถามท่านว่า "ลุงมีข่าวอะไรส่งข่าวบ้างล่ะ?"
    ท่านบอกว่า "ไม่มี ผมหยุดนรกการ ๓ วัน"

    รู้จักไหม...ชาวบ้านเขาหยุดราชการ ใช่ไหม
    ท่านหยุดนรกการ ๓ วัน เมื่อวานนี้ (ออกพรรษา) วันนี้ (ปวารณา) และพรุ่งนี้

    ถาม "ทำไม..?"
    ท่านบอก "วันสำคัญนี่วันมหาปวารณาผมไม่สอบสวน"
    เลยถามว่า "ถ้าเวลาที่ลุงไม่สอบสวน พวกที่คอยการสอบสวนเขามีอิสระ ใช่ไหม?"
    ท่านบอกว่า "ตามปกติเขาก็มีอิสระอยู่แล้ว ไอ้ที่ไปยืนที่นั่น เขายืนรอคนไม่ให้ลงนรกเท่านั้นเอง"
    คือว่า ท่านมีหน้าที่ไม่ให้ลงนรก

    แต่ก็ต้องไปตามกฏแห่งกรรม ถ้ารู้กฎของบุญนิดหนึ่ง
    ท่านให้ไปสวรรค์ก่อนเลย ท่านจัดอย่างนั้น

    เลยถามท่านว่า "ถ้าเขามีอิสระอย่างนี้ เขาไปได้ไหม?"
    ท่านบอกว่า "เขาไปไหนก็ได้ ถึงเวลาสอบสวนเขาก็มาเอง กฏของกรรมมันบังคับ"

    หมายความว่า เขาจะต้องถูกสอบสวน ไม่งั้นเขาจะลงนรกทันที
    ถ้าเขามาที่นั่นยังมีโอกาสพ้นหรือไม่พ้น ยังไม่แน่

    เลยถามว่า "ถ้าบรรดาญาติเขาอุทิศส่วนกุศลให้
    เขาจะมีโอกาสได้รับไหม?"
    ท่านบอกว่า "ถ้าญาติฉลาด...ได้รับทุกคน"

    ญาติฉลาด หมายความว่า ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ตรงให้คนเดียว
    อย่าให้คนอื่น แต่ต้องออกชื่อนะ เพราะเวลานั้นยังเป็นเวลาปลอดอยู่
    มีสภาพคล้ายสัมภเวสี

    ก็ถามท่านว่า "ทำบุญอย่างไหน พวกนี้จึงจะได้ไปสวรรค์ชั้นสูง
    มีความสุขมาก มีความสุขน้อย หรือไม่ได้รับเลย"

    ท่านบอกว่า "แดนใดไม่มีบุญ ทำแล้วก็ไม่ได้รับเหมือนกัน"

    หมายความว่า พระเรานี่ล่ะเป็นพระแต่หัว แต่ผ้าเหลือง มีไหม..
    นี่แหละทำไปเท่าไรเจ๊งหมด ขาดทุน
    ท่านบอกว่าอย่างนี้ทำเท่าไรก็ไม่มีผล
    อุทิศส่วนกุศลให้แก่พวกนั้น เขาก็ไม่ได้รับเพราะรับไม่ไหว
    ถ้าทำบุญที่เขตมีบุญน้อย เขาก็มีอานิสงส์น้อย เขก็มีความสุขน้อย
    นี่เราไม่ต้องพูดกัน ทำบุญที่มีอานิสงส์ใหญ่
    ที่เป็นบุญมากก็ได้รับผลมาก

    ก็ถามถึงบุญ "ท่านบอก สังฆทาน นี่ดีที่สุด"

    แล้วท่านก็บอกว่า "ไปบอกชาวบ้านเขานะว่า
    คนที่ผมจะช่วยได้จริงๆ ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักผมเท่านั้นนะ"

    อย่าง สัมภเวสี เปรต อสุรกาย ไม่ผ่านท่าน ท่านช่วยไม่ได้
    แล้วคนที่ลงนรกทันใดก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่ได้ผ่านสำนักท่าน
    คนที่ต้องผ่านสำนักท่าน เมื่อผ่านสำหนักท่านก็ต้องไปคอยอยู่

    เลยถามท่านว่า "ทำอย่างไรถึงความแน่นอนจึงจะปรากฏ ลุงจะช่วยได้"

    ท่านก็เลยบอกว่า "เอาอย่างนี้ เวลาเขาทำบุญเสร็จอุทิศส่วนกุศลให้แก่คนตาย
    ถ้ายังไม่มั่นใจให้บอกว่า ถ้าบุคคลนี้ยังไม่มีโอกาสโมทนาเพียงใด
    ขอให้พระยายมเป็นพยานด้วย ถ้าหากว่าพบเธอเมื่อใด ขอให้บอกเธอโมทนาเมื่อนั้น"

    ท่านบอกว่า เพียงแค่เท่านี้แหละ ผมก็ไม่ต้องสอบสวน
    มันโผล่หน้าเข้าไป ผมก็บอกว่า "เฮ้ย...เขาทำบุญอย่างโน้นมึงโมทนาเว้ย
    มันก็ไปสวรรค์เลย แค่นี้ล่ะ ผมก็ไม่ต้องเหนื่อย

    (แล้วหลวงพ่อก็จบการสนทนาระหว่างท่านพระยายมเพียงแค่นี้
    และขอนำเรื่องพยานบาป พยานบุญที่หลวงพ่อได้เล่าไว้ในหนังสืออ่านเล่น เล่ม ๑
    มาเสริมเพื่อให้เรื่องการอุทิศส่วนกุศลนี้ สมบูรณ์ขึ้น)

    ที่มา -http://panyayan.tnews.co.th/contents/198896/-
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
    PI: Ἱ?ը?á?٫Р?ѹ˅??ҧ

    ๔. ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม



    ๔. ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม

    ๕. ล้อมรอบมหาโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม



    ๖. ล้อมรอบตาปนมหานรก ๔๐ ขุม



    ๗. ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก ๔๐ ขุม



    ๘ . ล้อมรอบอเวจีมหานรก ๔๐ ขุม









    รวมเป็น ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม เฉพาะในที่นี้ จักขอกล่าวถึงชื่อแห่งยมโลกนรกเพียง ๑๐ ขุม ซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอกของมหานรกขุมที่ ๑ คือ สัญชีวมหารก แต่เพียงทิศเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่า ยมโลกนรกที่ล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอกของมหานรกขุมอื่น ๆ ก็ดี ยมโลกนรกเหล่านี้ทั้งหมด ต่างก็มีชื่อและมีวิธีการลงโทษเหมือน ๆ กันกับยมโลกนรกทั้งหลายที่จะกล่าวต่อไปนี้
    ----------------------------------------------------------------------



    โลหะกุมภี ๑.



    กุมภีแปลว่าหม้อ หรือแปลมีหม้อโลหะใหญ่ ตามศัพท์หนังสือท่านเขียนว่าหม้อทองแดง หรือมีหม้อทองแดงใหญ่โตมหึมา ใหญ่เท่า ๆ กับสัตว์ที่จะลงนรกขุมนี้ ถ้ามีสัตว์ที่จะลงนรกมาก หม้อก็ใหญ่มาก มีสัตว์ลงนรกน้อย หม้อใหญ่ก็น้อยหดลง ดีเหมือนกัน นรกตามใจคน นรกไม่ขัดใจนคน พอมีคนมากก็ขยายออกไปให้ใหญ่มีคนน้อยก็ขยายให้น้อยได้ ในหม้อทองแดงนี้มีน้ำทองแดง น้ำเป็นน้ำโลหะที่ถูกเคี่ยวจนเดือดพล่าน



    ท่านเคยเห็นคนที่เขาหล่อพระพุทธรูปหรือหล่อหล่อมโลหะไหม? เขาจะเคี่ยวทองเหลือหรือทองแดงหรือว่าโลหะ เคี่ยวไปจนเป็นน้ำ แล้วก็เทลงไปในเบ้าหลอม สภาพของน้ำทองแดงก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่ามีความร้อนแรงยิ่งกว่าน้ำทองแดงหรือทองเหลืองที่เราเห็นกัน มันแรงมากกว่าเรียกว่ามีความร้อนจัด และมีความรัดตัวมากกว่า เพราะเป็นน้ำทองแดงของนรก บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มีโทษปาณาติบาตเหลือเป็นเศษของกรรม เศษนะ นายนิริยบาลก็เอาหอกมาเสียบแล้วก็โยนลงเทลงหม้อทองแดง



    หม้อทองแดงเป็นน้ำเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา ถูกความร้อนจากเหล็ก ถูกความร้อนจากไฟ เผาผลาญอยู่อย่างนั้น ขึ้นปากหม้อแล้วก็จมลงไปก้นหม้อ จมลงไปก้นหม้อแล้วก็ไหลขึ้นมาปากหม้อ วนเวียนกันอยู่แบบนี้ไม่มีเวลาจำกัด จนกว่าจะหมดเศษกรรมเรื่องปาณาติบาต มนุษยเราชอบพูดกันนักว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดมาก็เป็นอาหารของคน สัตว์ทุกตนรักชีวิตของตัวเวลาที่เราจะเข้าไปจับ หรือเวลาที่เราจะไปฆ่ามันจะดิ้นรนเพื่อหาอิสรภาพ ไม่ต้องการให้ใครมาฆ่าหรือทำร้ายมัน



    ถ้าบุคคลผู้นั้นไม่ได้เจตนาหรือจงใจ เช่นบังเอิญเราเดินไปเหยีบบ้าง หรือเวลายุงมันมากัดเรา ๆ รำคาญก็เอามือไปลูบไปแตะเพื่อให้ยุงมันหนีไป แต่บังเอิญเจ้ายุงมันตระกระกินมากไปบินไปไม่ไหว ตัวมันอ่อน ไปถูกเข้าตายโดยบังเอิญ เราไม่มีเจตนาฆ่าให้มันตาย อันนี้ไม่มีโทษต้องลงยมโลกยนรก ลงโลกหะกุมภี ทั้งนี้เพราะว่าเราไม่ได้มีเจตนา



    เป็นอันว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นจะลงนรกได้ต้องมีเจตนา ถ้าท่านอยากลงนรกขุมนี้ ก็เชิญฆ่าสัตว์ด้วยเจตนา ถ้าไม่อยากจะมาก็ให้มีเมตตาปราณีเข้าไว้ ทรงพรหมวิหาร ๔ มีเมตตาในพรหมวิหาร ๔ หรือทรงวิหาร ๔ ทั้งหมด นรกยมโลกียนรกขุมนี้ ท่านไม่ได้บอกอายุไว้ ไม่บอกว่าตกกี่วันกี่ปีกี่เดือน แต่ว่านานเหลือเกิน อย่าลืมนะ พอลงไป ๑ ขุม อย่างน้อยที่สุดพระพุทธเจ้าตรัสไป ๒ - ๓ องค์ ก็ยังไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย
    ----------------------------------------------------------------------
    สิมพลีนรก ๒.



    สิมพลีนรก นรกต้นงิ้ว เป็นต้นงิ้วยักษ์มีพิษมาก และเป็นต้นงิ้วที่ไม่มีใบมีแต่กิ่งกับหนาม ปุ่มเล็ก ๆ นิดเดียวอยู่รอบของต้น หนามงิ้วยาว ๑๖ องคุลีนรก ( ไม่ใช่องคุลีมนุษย์เรา) ยาวมาก ใหญ่มาก มีสภาพเป็นสปริงมันเกาะอยู่กับต้นธรรม มีความคมเป็นกรด เวลามีคนมีบาปขึ้นไป มันมีอาการพุ้งตัวแทงให้ทะลุหลังขึ้นไปได้ มันไม่นอนนิ่ง ๆ มันเด้งได้เหมือนสปริงที่เราทำเก้าอี้ พอเวลานั่งก็ยบลงไป เวลาลุกก็ฟูขึ้นมา ดูคล้าย ๆ กับมันมีชีวิต แต่จริงๆ แล้วมันไม่มีชีวิต แต่มันรู้ว่าคนที่มีความชั่วขึ้นไป ไปกระทบตัวมัน ๆ ก็จะพุ่งแทงทันที เลือดของคนมีบาปแดงฉานลงมา นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับลงโทษ พวกคนชั่วใจชั่วเจ้าชู้ไม่เลือก ไม่รู้จักว่าผัว เมียใคร ลูกใคร ข้าทาสหญิงชายของใคร



    เรื่องนี้ไม่ได้บังคับแต่เฉพาะว่า ผัวใครเมียใครหรอก แม้แต่ลูกของเขา ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปรกครอง คือบิดามารดา แม้ว่าเจ้าตัวเขาจะยินยอมก็ตามที ไม่ได้ต้องลงโทษ ต้องมานรกขุมนี้ ข้าทาสหญิงชายของบุคคลอื่นหรือบุคคลที่อยู่ในปกครอง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปรกครองแล้วไปร่วมรักกันเข้า ท่านกล่าวว่ามีโทษตกนรกขุมนี้



    เอาละมาดูว่าที่นรกขุมนี้มีอะไรบ้างทำอย่างไรกับสัตว์นรกนี้บ้าง โคนต้นงิ้วจะมีนายนิริยบาลถือหอกใหญ่โตมาก มีความคม แล้วก็มีสุนัขคอยยื้อและกัดสัตว์ใจบาป และบนยอดงิ้วก็มีแร้งมีกาตัวใหญ่ ๆ ปากเป็นเหล็กคอยรออาหารอยู่ ต้นงิ้วในนรกขุมนี้ดูสะพรั่งไปหมด และไม่มีต้นไหนเลยที่จะว่างเว้นจากสัตว์นรกเลย มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไต่ไปบนต้นกันยั้วเยี้ยไปหมด คนที่ยังไม่ขึ้น นายนิริยบาลก็เอาหอกเสียบเข้าให้ สัตว์นรกเหล่านั้นต้องตระเกียกกระกายขึ้นไป ถ้าไม่ไต่ที่สูงขึ้นไปก็จะถูกหอกแทงซ้ำดันขึ้นไป หนามก็บาดเลือดก็โทรมบรรดาหนามทั้งหลายก็พุ่งหน้าพุ่งหลังพุ่งข้างตัว ดูเลือดฉานไปหมด ร้องครวญครางกันเป็นตับเสียงระงมไปหมด



    เมื่อสัตว์เหล่านั้นไต่ขึ้นไปจนถึงยอดก็ถูกแร้งกาปากเหล็กจิกกินเนื้อบ้าง ตีด้วยปีกบ้าง ข่วนด้วยเล็บบ้าง อดรนทนไม่ไหวไต่ลงมาข้างล้าง นายนิริยบาลก็เอาหอกยันเข้าไว้ และสุนัขใหญ่ก็กระโจนเข้ากัดอีก กินเนื้อแทะถึงกระดูก เมื่อกระดูกล่อนไม่มีเนื้อแล้วก็มีเนื้อเต็มร่างขึ้นมา นายนิริยบาลก็เอาหอกยันให้ไต่ขึ้นไปใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม



    ท่านทั้งหลายผู้หญิงหรือผู้ชาย อย่าคิดว่าไปยุ่งกับคนอื่นแล้วไม่มีโทษ ถ้าเมียเขาหรือสามีเขาไม่อนุมัติแล้ว อย่าเชียว มาแน่ นรกต้นงิ้วนี่มาแน่ แล้วเวลากลับก็ไม่มีเวลากลับที่แน่นอน...
    ----------------------------------------------------------------------
    อสินขนรก ๓.



    อสินขนรก นรกขุมนี้มีสัตว์คอยกัดกินอยู่ตลอกเวลา ตามบาลีท่านกล่าวว่ามีสุนัขตัวใหญ่คล้าย ๆ ช้างคอยกัดกินสัตว์นรก สำหรับโทษของนรกขุมนี้ท่านกล่าวว่าเป็นโทษอทินนาทาน ความจริงโทษอทินนาทานก็ดี โทษปาณาติบาตก็ดีก่อนที่จะมานรกขุมนี้ ต้องไปเสวยนรกขุมใหญ่เสียก่อนไม่ขุมใดก็ขุมหนึ่ง เพราะเนื่องด้วยกรรมบถ ๑๐ สำหรับกาเมสุเมจฉาจารนี่ ก็คิดว่าเหมือนกันต้องไปลงนรกขุมใหญ่ก่อนแล้วมายุมโลกีนรก มันเนื่องด้วยกรรมบถ ๑๐ เหมือนกัน



    คือ กรรมบถ ๑๐ ก็มี ปาณษ อทินนา กาเม ๓ อย่างนี้มีอยู่ในกายกรรม ฉะนั้นท่านที่ระเมิดกรรมประเภทนี้ต้องไปนรกขุมใหญ่ขุมหนึ่งหรือว่าสองขุมสามขุม แล้วผ่านนรกบริวาร จึงมาไล่เบี้ยเฉพาะในยมโลกีนรกนี่อีกใหม่ นรกขุมนี้ไม่มีอะไรวิจิตรพิสดารอะไร จะมีนายนิริยบาลคอยควบคุมอยู่ และสุนัขตัวใหญ่ คล้าย ๆ ช้าง คอยไล่กัดตลอดเวลา ครั้นสัตว์นรกเหล่านั้นวิ่งหนีสุนัขก็จะไปเจอกับนายนิริยบาลเอาหอกเสียบแทงบ้าง ใช้ค้อนทบบ้าง สุนัขก็กัดกินสัตว์นรก กินจนเหลือแต่กระดูก พอเหลือถึงกระดูกก็เจ็บแสบนัก ขึ้นชื่อว่าความตายไม่มี สัตว์นรกไม่มีการตาย แม้ชั่วครึ่งวินาทีก็ไม่ตาย ความรู้สึกตัวนี่ไม่มีสำหรับสัตว์นรก ถ้ายิ่งถึงกระดูกสัตว์แทะกระดูกก็ยิ่งเจ็บหนัก พอมันของกระดูกหมดแล้วก็ปรากฏว่ามีเนื้อหนังขึ้นมาตามเดิมลุกขึ้นวิ่งหนีสัตว์ นายนิริยบาลก็ไล่ทุบไล่แทงอีก บรรดาสัตว์ทั้งหลายก็ไล่ต้อนกัดกินอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา



    ทั้งนี้ก็เพราะโทษของการชอบขโมยทรัพย์สินของชาวบ้าน คดโกงเขาบ้าง จี้ ปล้น เรียกว่าหาทรัพย์สินมาได้โดยไม่ชอบธรรม ฯลฯ
    ----------------------------------------------------------------------
    ตามโพทนะนรก๔.



    นรกขุมนี้มีหม้อเหล็กแดงแล้วก็เคี่ยวน้ำทองแดงไว้เต็ม คอยรอสัตว์ใจบาปหยาบช้าทั้งหลาย นรกขุมพิเศษขุมนี้สำหรับสัตว์ที่ดื่มสุราและเมรัย เรียกว่าของที่ทำให้ใจของเรานี้ฟั่นเฟือนด้วยอำนาจการเสพติด จะเป็นสุราเมรัยที่เป็นน้ำ หรือเป็น กัญชา เฮโรอิน อะไรก็ตาม ที่ทำให้มีความมึนเมาสติสัมปชัญญะเคลื่อน นี่นายนิริยบาลท่านไม่ถือ ท่านได้ต้อนรับด้วยการเลี้ยงดูปูเสือด้วยน้ำกระทองแดงอยู่แล้ว



    นรกขุมนี้มีไฟแดงฉาน พื้นข้างล้างเป็นพื้นเหล็กเเดง ไฟเผาจนแดงโชน บริเวรนั้นจะมีหม้อทองแดงที่เคี่ยวน้ำทองแดงไว้เกลื่อนกลาดไปหมด พอดีกับปริมาณของคนที่ลงมาในนรกขุมนี้ เรียกว่าจะขาดจะเกินนั้นไม่มี ลงมาเท่าไรหม้อทองแดงเกิดเท่านั้น นายนิริยบาลจะจับสัตว์นรกเหล่านั้นให้นอนนบแผ่นเหล็กที่มีไฟเผ่โชน เห็นพรือยัง บังคับให้นอน ถ้าไม่นอนก็ขวานบ้าง หอกบ้าง ค้อนบ้าง ทุบลงไป แทงลงไป ฟันลงไป ต้องนอน ถ้นดินรนขัดขืนจะมีคนจับหัวจับท้ายจับหัวกดห้ามดิ้น ลองคิดดูว่าไฟก็เผา เหล็กก็แดงโชนเป็นเปลวเพลิงแล้วไหม้ทั้งกายอยู่แล้ว แล้วนี่มานอนลงไปอย่างนั้นมันจะแสบปวดร้อนแค่เพียงใด สัตว์นรกทุกตัวทุกตนดิ้นร้องกระวนกระวาย น่าสงสาร



    เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายนอนลงแล้ว เขาก็เอาหม้อที่มีน้ำทองแดงเคี่ยวไว้ดีแล้วมีกระแสเปลวเพลิงขึ้นมาพรึ่บ ๆๆ เต็มหม้อ เอาคีมงัดปากให้สัตว์นรกเหล่านั้นอ้าปาก เมื่ออ้าปากแล้วก็กรอกด้วยน้ำทองแดง น้ำทองแดงเข้าปาก ปากพัง ไหลไปถึงคอ คอพัง ไหลไปถึงอก อกพัง ไหลไปถึงท้อง ท้องพังหมด ร่างกายสลายหมด แต่สัตว์ทั้งหลายไม่ตาย เมื่อร่างกายสลายตัวไปแล้วก็กลับเป็นตัวเป็นตนเหมือนเดิม ปับเดียว เป็นคนบริบูรณ์ไปด้วยอวัยวะต่าง ๆ ตามเดิม แล้วก็ถูกนายนิริยบาลกรอกอยู่อย่างนนั้น จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม ถ้าจะถามว่าเวลากฏของกรรมเป็นกี่วัน กี่เดือน กี่ปีของเมืองนรกก็ตอบไม่ได้เพราะเขาไม่ได้บอกไว้
    ----------------------------------------------------------------------
    อาโยฬะนรก ๕.



    นรกขุมนี้มีก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาด พื้นก็เป็นเหล็กเผาจนแดงเหมือนกัน มีไฟเผ่ตลอดเวลา ในบริเวรของพื้นที่เป็นเหล็กเผาจนแดงโชน ก็มีก้อนเหล็กกลม ๆ คล้าย ๆ ลูกกระสุนปืนใหญ่โบราณ วางแดงอยู่เกลือนไปหมด และก็มีไฟเผาสุกอยู่เหมือนกัน นรกขุมนี้มีไว้เป็นที่ลงโทษสัตว์นรกคือ นักบุญ???? คือนักบุญประเภทที่มีการเรี่ยไรบอกบุญ เขามีไว้เฉพาะนะ เมื่อลักขโมยเขาก็มี ว่าไว้เรื่องหนึ่ง ที่นี่มาว่าถึงนักบุญที่มีการเรี่ยไร มีการบอกบุญ จะเป็นพระเป็นเณรเป็นเถรเป็นชีเป็นฆราวาสเป็นทายกทายักอะไรก็ตาม มีการลงโทษเหมือนกัน เวลาบอกบุญเวลาเรี่ยไรเขามาแล้ว



    บอกว่าจะสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างถนน สร้างส้วม สร้างกุฏิ สร้างหอสวดมนต์ อะไรก็ตาม เป็นเรื่องของบุญก้แล้วกัน เมื่อบอกมาแล้ว เวลาได้มาแล้วไม่ยักเอาไปทำหมด บางทีก็กันเสียหมดเลย หรือไม่ก็ถึงแค่ครึ้ง ตัวเองเสียครึ้งหนึ่งอย่างนี้ หรือว่าบางรายบอกเรี่ยไรเขามาได้แล้ว แต่เอามาแบ่งสรรปันส่วนกันก่อน ว่านี่ค่าจ้างของฉัน นี่ค่าอาหาร นี่เป็นค่าเครื่องดืม นี่เป็นค่าเหล้า เมื่อเราเรี่ยไรให้แก่วัด เราก็ต้องกินของวัด แต่ความจริงจะกินแค่อาหารอีกทั้งบุหรี กาแฟตามความจำเป็น อันนี้ก็เห็นว่าไม่น่าเป็นอะไร แต่ทว่าจะต้องตกลงกันไว้กับเจ้าอาวาสเสียก่อน หรือบรรดาคณะสงฆ์เสียก่อน แต่ว่าถ้าจำเป็นไปถึงสุราเมรัยละก็ อันนี้ไม่เป็นเรื่องแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะอภัยกันได้ ระวังกฏของกรรมเขาจะลงโทษเอาเข้าให้นะ



    นรกขุมนี้ปรากฏว่าก้อนทองแดงหรือเหล็กแดงที่เผาโชนมีเปลวไฟไปด้วยกฏของกรรมบังคับอยู
    ่ แทนที่สัตว์นรกเหล่านั้นจะเห็นเป็นก้อนเหล็ก สัตว์เหล่านั้นก็จะเห็นว่าเป็นชิ้นเนื้ออันโอชะ เกิดความหิวความกระหายอย่างหนัก วิ่งเข้าไป แย่งกันกิน เพราะเห็นว่าเป็นก้อนเนื้ออย่างดีมีกลิ่นหอม พอวิ่งเข้าไปถึงก็แย่งกันเอาก้อนเหล็กแดงเข้าใส่ปาก เคี่ยวกินก้อนเหล็กแดงไม่ใช่สีแดง มันแดงเพราะความสุกของไฟ พื้นที่วิ่งลงไปก็มีไฟตลอดเวลา คือบริเวรที่วิ่งลงไปนั้นเดินไปอยู่นั้นนะ มีไฟทั้ง ๔ ทิศตลอดเวลาพุ่งเข้าหากัน พื้นข้างล้างก็เป็นแผ่นเหล็กแดงโชนก้อนเหล็กที่กินเข้าไปก็เป็นก้อนเหล็กที่เผาแดงโช
    น เมื่อกินก้อนเหล็กแดงเข้าไปพอถึงปาก ปากพัง ถึงคอ คอพัง ถึงอก อกพัง ถึงท้อง ท้องพัง ล้มลงถึงแก่ความตาย แต่ความจริงไม่ตาย มีความรู้สึกแต่กระดิกกระเดี้ยไม่ไหว เมื่อกระดิกกระเดี้ยไม่ไหว ก็ปรากฏว่ามีการทรงกายตามเดิม



    เมื่อมีการทรงกายตามเดิมก็ลุกขึ้นมีความหิวจัด กฏของกรรมมันบังคับให้หิว เรื่องของความจำว่าไอ้อาหารก้อนนี้มันเป็นก้อนเหล็กที่เผาไฟจนแดงนั้น ไม่มีความจำเลย เพราะเป็นกฏของกรรมบังคับ เกิดความหิวขึ้นมาอีก ถูกไฟเผาทั้ง ๔ ทิศ ข้างล้างก็เป็นพื้นเหล็กที่เผาจนแดงโชนร้อน แต่ความหิวบัวคับให้วิ่งเข้าไปหาก้อนเหล็กแดงใหม่ กินเข้าไปแบบนั้น ทำอยู่อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม ท่านที่เป็นนักเรี่ยไรจงระวังให้ดีอย่าได้มาที่นี่ก็แล้วกัน
    ----------------------------------------------------------------------
    ปิสสกปัพพตะนรก ๖



    สำหรับนรกขุมที่ ๖ แห่งนมโลกียนรกนี้ มีชื่อว่าปิสสกปัพพตะนรก นรกขุมนี้แปลว่าภูเขา บรเวรของนรกขุมนี้ทั้งหมดมีกำแพง ๔ ด้านกั้น เป็นบริเวรใหญ่มาก แล้วจากกำแพง ๔ ด้านนั้น ก็มีไฟพุ่งเข้ามาส่วนกลาง พุ่งเข้ามาทั้ง ๔ ทิศแล้วในบริเวรกำแพงนั้น มีบรรดาสัตว์นรกกลาดเกลื่อน นรกขุมนี้ดูแล้วมีคนมากจริง ๆ มากไม่น้อยหน้าขุมอื่น ๆเลย กลาดเกลื่อนไปหมด นอกจากมีกำแพงกั้นแล้วก็มีภูเขาเหล็กใหญ่มหึมาไม่ใช่ภูเขาหิน แล้วไม่ขรุขระเหมือนหินธรรมดาบนภูเขา เรียกว่าเหล็กก้อนใหญ่คล้ายภูเขา เท่า ๆ ภูเขาเป็นเหล็กก้อนใหญ่เท่า ๆ ภูเขา แล้วเหล็กนี่ก็ถูกเผาจนแดงโชน มีอยู่ ๔ ทิศด้วยกันประสานกัน กลิ้งเข้ากลิ้งออก กลิ้งออกแล้วกลิ้งเข้าอยู่ตลอดเวลา



    แล้วบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันถูกบดขยี้ไปด้วยภูเขาเหล็กทั้ง ๔ ทิศ จะวิ่งหนีไปทางไหนนะไม่มีโอกาส แสงไฟที่พวยพุ่งเข้ามาก็มีความแรงมาก ถูกเข้าที่ไหนพังที่นั้น พอพังแล้วเป็นเนื้อเต็มตามเดิม เรียกว่าการหมดไปสูญไปตายไปไม่มีสำหรับสัตว์นรก เป็นแดนทรมาน เรียกว่าจะมีความสุขสักหายใจเข้าครึ้งท้องไม่ เรียกว่าหายใจเข้าไม่ต้องเต็มท้อง ไม่ต้องถึงที่สุดของลมหายใจ ดึงลมหายใจเข้าไปสักนิดหนึ่งจัดว่าเป็นความสุข เวลานั้นไม่มี ถูกไฟเผา ถูกภูเขาบดขยี้ตลอดเวลา กาลเวลาสำหรับในนรกขุมนี้ก็ไม่ทราบชัดเหมือนกันว่าเวลาเท่าไร ท่านบอกว่าจะต้องเสวยผลไปจนกว่าจะหมดกฏของกรรม ระยะของกรรมชั่วนี้เขาให้เวลาเท่าไหร่ไม่ทราบ นรกขุมมีไว้ลงโทษ พวกช้อราชบังหลวง พวกทุจริตหาประโยชน์ให้ตัวเองโดยไม่คำนึงว่าถูกหรือผิด พวกชอบรีด พวกคดโกง สำหรับคนพวกนี้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ชอบไปรีดเขา เมื่อตายไปแล้วจึงต้องให้นรกรีดให้บ้าง ทับบดขยี้ให้แบนราบแล้วก็ยังมีไฟเผาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาอีกด้วย...ถ้าท่านไม่กลัวก็เชิญนะ.....
    ----------------------------------------------------------------------
    ธุสะนรก ๗



    ธสะนรกขุมนี้ เป็นแม่ใหญ่ น้ำใสแจ๋ว สะอาดสะอ้านดูแล้วรื่นรมย์เหลือเกิน น่าโดดเล่น บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่ลงนรกต่าง ๆ มาแล้ว ถูกไฟเผาผลาญมีความร้อน นับเวลาไม่ได้ ก็รู้สึกทุรนทุรายต้องการน้ำ คือความกระหายน้ำ ต้องการจะอาบน้ำให้สบายตัวสบายกาย เมื่อเดินทางมาใกล้ถึงนรกขุมนี้แล้ว มองเห็นน้ำใสสะอาดมีความเย็นสดชื่นตา ต่างก็วิ่งรี่เข้าไปหาแม่น้ำเพราะความหิวน้ำ เพราะความร้อนบังคับ



    เมื่อถึงแม่น้ำแล้วก็วิ่งกรู ต่างก็กระโดดลงไปหวังจะดื่มกินไปพร้อม ๆ กันกับเล่นน้ำให้ชุ่มชื่นใจ แต่ที่ไหนได้ พอโดดลงไปแล้วก็ปรากฏว่าน้ำในนั้นแห้งหมด ไม่เหลือ ไม่ปรากฏมีซากของน้ำแม้สักนิดเดียว กลายเป็นแกลบ น้ำเป็นแกลบหิน แกลบเหล็ก แล้วแกลบนั้นก็กลายเป็นไฟกรดลุกโพลง แกลบแดงโชนเป็นเหล็กแดง ไฟเผาผลาญ เมื่อเป็นเช่นนี้ต่างก็วิ่งกันพลุกพล่าน



    ถ้าวิ่งขึ้นมาบนของแม่น้ำ ก็ถูกนายนิริยบาลยันลงไปด้วยหอกบ้าง ตีลงไปด้วยค้อนบ้าง ให้ลงไปบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็มีแต่ทุกขเวทนา วิ่งไปวิ่งมา วิ่งมาวิ่งไป แกลบก็เป็นแกลบเหล็กเผาไฟแดงโชนอย่างนี้ได้รับทุกข์ทรมานน่าสลดใจยิ่ง



    นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับคนประเภท ชอบคดโกงหลอกลวงชาวบ้าน จะเป็นกรณีใด ๆ ก็ตาม เมื่อลงไปสู่นรกขุมใหญ่แล้ว ก็มาผ่านนรกขุมนี้อีก ๑ ขุมเป็นอันว่ายมโลกียนรกนี่ เป็นเศษส่วนหรือเป็นนรกบริวารของนรกขุมใหญ่ เป็นเศษส่วนหนึ่งของนรกขุมใหญ่ หมายความว่ามาเก็บกรรมตามกฏของกรรม นรกขุมใหญ่นะ รวมกฏของกรรม ละเมิดกรรมบถ ๑๐ ร้ายแรงน้อยกว่านรกขุมที่ ๑ ร้ายแรงมากอีกนิดก็นรกขุมที่ ๒ แต่ต้องผ่านบริวาร ร้ายแรงมากก็ลงอเวจี แต่ทว่ามายมโลกียนรกนี่ มาไล่เบี้ยกฏของกรรมเป็นอย่าง ๆ



    ใครทำแบบไหนก็ต้องลงนรกขุมนั้น ๆ โดยเฉพาะ ไม่ใช่ลงโทษรวม เป็นอันว่านรกขุมใหญ่เป็นนรกเป๊ะเจี๊ยะเฉย ๆ เผาผลาญเฉย ๆ ลงโทษเฉย ๆ ไม่ได้ให้สิทธิออกมาเลย ออกมาแล้วก็มาถูกเก็บขุมนี้อีก บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มาอยู่นรกขุมนี้ทุกคนเป็นคนไม่ซื่อ ความไม่ซื่อตรงด้วยกรณีใด ๆ ก็ตาม ผ่านนรกขุมใหญ่แล้วก็มาขุมนี้...
    ----------------------------------------------------------------------
    สีตโลสิตะนรก ๘



    สีตโลสิตะนรก ชื่อแปลก ในนี้เขาบอกว่ามีน้ำเย็นเฉียบ มาพบนรกน้ำอีกแล้ว นี่ก็แปลกเหมือนกัน นรกน้ำติด ๆ กัน ๒ ขุมน้ำเย็นเฉียบ ที่นี่สัตว์นรกทั้งหลายต่างก็ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของน้ำเป็นสำคัญ นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับคนที่ขาดเมตตา เมื่อตอนที่เขาเหล่านั้นสมัยเมื่อเป็นมนุษย์นั้น เป็นคนที่ไม่มีเมตตาปรานีใคร เจอะเป็ดเจอะไก่ เจอะหมู เจอะหมาก็เหวี่ยงลงไปใต้ถุนบ้านบ้าง เหวี่ยงจากที่สูงไปที่ต่ำบ้าง เหวี่ยงลงน้ำบ้าง เหวี่ยงลงเหวบ้าง หาความเมตตาปรานีไม่ได้



    พบสัตว์ที่กินได้หรือไม่ได้ก็ทุบก็ตีเข่นก็ฆ่า เพื่อความสนุกบรรเทิงใจบ้าง ฯลฯ แต่ว่านรกขุมนี้ไม่ใช่ถึงขั้นฆ่า โยน ไร้ความเมตตา หรือว่าทรมานสัตว์เล่น ไม่ถึงกับฆ่าให้ตาย นี่ความจริงเขาควรจะไปรวมไว้ในโลหะกุมภี โลหะกุมภีนี่เขาฆ่าสัตว์ให้ตาย แต่ว่านรกขุมนี้ ไม่ได้ทำให้สัตว์ให้ถึงตาย เพียงแต่ไร้ความปรานี ลงโทษสัตว์เล่น เช่นทุบตีบ้าง คือขาดเหตุผล อย่างคนเราเลี้ยงสุนัขเลี้ยงแมวถ้าปฏิบัติตนไม่ดี ข่มแหงตะกละตะกราม เราตีเพื่อความหวังดี นี่ท่านไม่ว่าไม่นำมานรกขุมนี้เพราะทำด้วยความอำนาจของเมตตา หากว่าทำไปด้วยอำนาจการขาดเมตตาละก็เอาแน่ นรกขุมนี้ท่านไม่ปล่อย ให้ลอยนวน



    วิธีลงโทษของนรกขุมนี้ เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายเห็นน้ำเย็นต่างก็โดดลงไป น้ำเย็นนี่เย็นจริง ๆ มันเย็นยะเยือก เย็นจับจิตจับใจแล้วกลายเป็นน้ำกรด กัดบาดตัวสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้น นรกขุมนี้ไม่มีความร้อนมีแต่ความหนาว เมื่อถูกความแสบของน้ำกรดแล้วก็มีความหนาวเยือกเย็นเข้ามาทับท้วมหัวใจ ทนไม่ไหวต่างก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาบนฝั่ง นายนิริยบาลก็ใช้หอกแทงสวนไปบ้าง ใช้ค้อนทุบให้ลงไป ห้ามขึ้นเอาค้อนตีให้หล่นลงไป ห้ามขึ้น แม่น้ำนี้ไม่ยักเป็นแกลบไม่แห่ง มีน้ำ แต่ว่าเป็นน้ำกรดเย็นยะเยือก..
    ----------------------------------------------------------------------
    สุนขะนรก ๙.



    สุนขะนรก นรกขุมนี้ไม่ใช่นรกลงโทษหมา แต่หมาลงโทษสัตว์นรกที่นี่ เป็นนรกหมาที่หมาทีอำนาจมาก มีหมาแยะ หมาที่นี่ตัวใหญ่มาก มีหน้าที่คอยกัดกินสัตว์นรกที่ลงมาในนรกขุมนี้ พื้นก็เป็นเหล็กเผาแดง มีกำแพงทั้ง ๔ ก็มีไฟพวยพุ่ง จะมีสัตว์นรกเหล่านั้นวิ่งอยู่ในบิเวรของไฟ แล้วก็มีสัตว์ใหญ่ ๆ คือสุนัขอยู่เยอะแยะ ไล่กัดกินสัตว์นรกเหล่านั้นอย่างไม่มีความปรานี กินเนื้อหมดก็แทะกระดูกเหมือนนรกทุกขุม เมื่อเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกแทะจนหมดมันก็ไม่ตายเนื้อก็เกิดขึ้นมาใหม่อีก แล้วก็วิ่งหนีหมา ไฟหรือก็เผา วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าสิ้นกฏของกรรม



    นรกขุมนี้เขามีไว้เพื่อลงโทษ พวกคนที่ปากคอเลอะร้าย ด่าไม่เลือก พ่อแม่ก็ด่า ชาวบ้านและพระเณรเถรชีด่าไม่เลือก นินทราว่าร้ายกล่าวโทษโจษความไม่ดีของบุคคลผู้ทำความดี ใครเขาไม่ได้เลวตามที่ตนว่า ไอ้ตนเองก็นึกว่าเขาเลวตามตน คนที่จะเห็นว่าบุคคลอื่นเลว ตนต้องเลวตามนั้น เพราะตามธรรมดาคนเรากินอาหาร ถ้าเราชอบเปรี้ยว ก็นึกว่าชาวบ้านเขาชอบเปรี้ยว ถ้าเราชอบเค็มก็นึกว่าชาวบ้านชอบเค็ม มักจะปรุงอาหารตามอัธยาศัยของตัว นี่ฉันใด คนประเภทนี้จึงได้มาลงในนรกขุมนี้ไงละ...
    ----------------------------------------------------------------------

    ยันตปาสาณนรก ๑๐



    ยันตปาสาณนรก นรกขุมนี้มีภูเขา ๒ ลูก แน่ะมาเจอภูเขาเข้าอีก ๒ ลูกกระทบกัน พอกระทบกันมันหมุนคล้าย ๆ กับที่หีบอ้อย เครื่องหีบอ้อยที่เขาบีบน้ำนะ มีสะภาพคล้ายกัน หรือที่รีดปลาหมึก ใครเคยเห็นไหม? ไปดูตามซอกซอยจะเห็นบรรดารถเข็นที่เขามาขายปลาหมึกปิ้งแขวนปลาหมึกเป็นราวหลายชั้นนั
    ้นแหละไปขอเขาดู แต่ว่าอย่าไปเทียบว่าคงเท่ากับภูเขานี้ มันเทียบกันไม่ได้ ภูเขาในนรกนี้ใหญ่โตมโหราญเขามีไว้สำหรับลงโทษสัตว์นรก นรกขุมนี้มีไฟเหมือนกัน แหละก็เป็นเหล็กด้วย ไม่ใช่ภูเขาหิน ไม่ค่อยมีแง่มีช่องหรอก มันเรียบ ๆ บดเสียติดกัน



    นายนิริยบาลก็ไล่ให้บรรดาสัตว์นรกเหล่านั้นให้เข้าไประหว่างภูเขาที่บีบเบียดกันหมุน
    กระทบกันอยู่ตลอดเวลา บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายฝืนใจเขาไม่ได้นะ จะไปดื้อไปด้านน่ะไม่ได้หรอก หอกที่มือค้อนใหญ่ที่มือ ทั้งแทงทั้งทุบ มีความเจ็บปวดมากก็เลยต้องวิ่งหนีเข้าไปในซอกภูเขา ภูเขาก็หมุนกระทบกันบีบเหมือนกับบีบน้ำอ้อยหรือรีดปลาหมึกย่าง ให้แบนแต๊ดแต๋ ทำอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา แล้วแทนที่จะตายร่างกายก็คงเดิม แล้วก็ถูกไฟเผาอีก ก็ต้องวิ่งเข้ามาทางนี้ให้ภูเขามันบี้มันบดให้อีก จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม



    นรกขุมนี้เขามีไว้เพื่อลงโทษคนใจร้าย ขาดความเมตตาปรานีต่อคู่ครอง เห็นไหมละ ใครล่ะที่ว่า ผัวฉันเมียฉันมันเป็นสิทธิ์ของฉันจะทำอะไรก็ได้ จะทุบจะตีจะด่าว่าก็ได้ เห็นไหมล่ะ เลยต้องมาลงนรกในขุมนี้ พวกที่ชอบด่าผัว ตีเมียชอบสาปแช่งชักหักกระดูก ด่าด้วยอำนาจความโกรธไร้เหตุผล ไม่ใช่ด่าด้วยความปรานี การด่าการว่าน่ะมี ๒ อย่าง ด่าด้วยเจตนาดี กับด่าด้วยเจตนาร้าย ว่าด้วยเจตนาร้ายก็ดี หรือเขาเรียกว่าติเพื่อก่อ ด่าด้วยความหวังดี ตักเตือนด้วยดีแล้วไม่ฟังก็ต้องด่าต้องว่า เพื่อให้กระทบใจแรง เพราะมีนิสัยหยาบ



    คนเราเกิดมาในโลกนี้มีนิสัย ๒ อย่าง ถ้าคนมีนิสัยละก็ให้เหตุผล เขาชอบรับฟัง เมื่อเข้าใจในเหตุผลก็ปฏิบัติตามโดยง่าย แต่ว่าคนที่มีนิสัยหยาบไม่ยังงั้น ไปพูดดี ๆ พูดเพราะ ๆ ให้เหตุผลแก แกไม่ฟัง ดันเข้าใจว่าเขาเกรงกลัวอำนาจแก ในที่สุดก็ต้องด่า ต้องตีกันแกจึงจะทำ มันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าที่เขาพูดไว้ในที่นี้ก็หมายความว่าไม่ได้ด่าได้ตีด้วยความหวังร้าย ขาดเหตุผล แต่เขาพูดสำหรับคนที่ถือว่าตนมีอำนาจบาทใหญ่ยิ่งกว่าผัวหรือเมีย อันนี้แหละนรกนี้เขาต้องการบุคคลอย่างนี้ท่านละอยู่ในบุคลลประเภทไหน..



    โลกกันตนรก นรกน้ำกรด เย็นสบาย



    โลกกันตนรก



    นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ นอกจากจะมีมหานรก อุสสุทนรก และยมโลกนรกดังกล่าวมาแล้ว ยังมีนรกขุมพิเศษอีกขุมหนึ่งซึ่งมีนามว่า โลกันตนรก อันว่าโลกันตนรกนี้เป็นขุมยิ่งใหญ่ แปละประหลาดกว่าบรรดาขุมนรกทั้งหลายเพราะอยู่ภายนอกจักรวาล สถานที่ตั้งของโลกันตนรกนี้อยู่ในจักรวาล ๓ โลก ถ้าจะเปรียบให้เห็นเป็นมโนภาพก็เหมือนกับเอาดอกปทุมชาติ ๓ ดอกมาตั้งชิดติดกัน ก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลางจักรวาล ต่าง ๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอกนั้น



    ตรงช่องว่างเว้นอยู่ในระหว่าง ๓ โลกจักรวาลนั้นเอง เป็นสถานที่ตั้งแห่งนรกขุมพิเศษนี้ เพราะฉะนั้น นรกขุมพิเศษนี้จึงมีชื่อว่า โลกันตนรก = นรกขุมนี้พิเศษอันอยู่สุดโลกจักรวาล



    ก็ในโลกันตนรกนี้ มีสถาพมืดมนเป็นยิ่งนัก แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง เป็นสถานที่อันมืดมนนอนธการ สามารถที่จักห้ามเสียซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่งจักษุวิญญาณ เปรียบปานเช่นกับคนหลับตาในคราวเดือนดับข้างแรมฉะนั้น



    สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันนรกนี้ ย่อมมีสภาพแปลกประหลาดพิลึก คือ มีสรีระร่างกายโตใหญ่เป็นยิ่งนัก ประกอบไปด้วยเล็บมือและเล็บเท้ายาวเหลือประมาณ ต้องใช้เล็บมือและเท้าเกาะอยู่ตามเชิงเขาจักรวาลห้อยโหนโยนตัว โดยเอาหัวปักลงมาข้างล้างชั่วนิรันดร์ เปรียบปานดังค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ในมนุษย์โลกที่เราเห็นนี้ฉะนั้น ครั้นเขาได้ประสบการณ์อันแสนจะทรมานด้วยความมืดมากเช่นนี้ เขาก็ได้เแต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า



    อโห ! กรรม ...อโห กรรม....ทำไมตูจึงเป็นอย่างนี้ และ ทำไมตูจึงมาอยู่ที่นี่ ชะรอยที่นี่จักมีแต่เพียงตูเพียงผู้เดียวกระมังหนา



    เขาไม่ได้อยู่แต่เพียงผู้เดียวดอก มีอยู่มากมายที่สัตว์บุคคลทั้งหลายตายแล้วไปเกิดที่มันมืดแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกโลกันตนรกด้วยกัน และมองไม่เห็นอะไรเลยนั้นเอง



    ตลอดเวลาเหล่าสัตว์นรกโลกันตนรกไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหนโยนตัวเปะปะด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ ครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องตีนมือแห่งกันและกันเข้าแล้ว ก็สำคัญว่าตนมีชะตาผ่องแผ่วโชคดีเจออาหารซึ่งปรารถนาอยากจะกินมานาน จึงต่างก็ดีเนื้อดีใจ มิกิริยาขวนขวายไขว่คว้าฉวยจับกันและกัน โดยต่างตนต่างก็จะตะครุบกันกินเป็นอาหาร



    ต่างก็ปล้ำฟัดกันเพื่อจะจับกินเป็นภักษาหารอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือและเท้าที่ใช้เกาะเชิงชายภูเขาจักรวาลนั้นเลยกันดำดิ่งนรกพลั
    ดตกลงไปเบื้องล้าง โดยลักษณะการมีหัวปักดินลงมาและมีตีนชีฟ้า ลอยละลิ้วลงมาอย่างน่าหวาดเสียว



    สถานที่เบื้องล่างที่เขาพากันพลัดตกลงมานั้นมันไม่ใช่เป็นพื้นที่ธรรมดาโดยที่แท้เป็
    นทะเลนำกรดอันเย็นยะเยือก ซึ่งมีความเย็นอย่างร้ายกาจยิ่งนักครั้นเขากอดคอกันพลัดตกลมา พอถึงพื้นน้ำกรดนั้นแล้ว บัดเดี๋ยวใจตัวตนร่างกายของเขาก็เปื่อยพังแหลกลาญลงอย่างไม่มีชิ้นดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าถูกน้ำกรดนรกอันมีความเย็นอย่างร้ายกาจนั้นกัดเอาร่างกายอันใหญ่โต
    และเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียดน่าชังของเขา ถึงความเหลวแหลกละลายเพราะฤทธิ์น้ำกรดไปอย่างรวดเร็วประดุจดังก้อนอุจจาระที่ตกไปในน
    ้ำ



    ครั้นแล้วด้วยอำนาจกรรมบันดาล เขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดมหัศจรรย์กลับเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างเก่า ให้รู้สึกหนาวเย็นและเจ็บปวดอย่างลึกเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบากยากเย็น แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวแสวงหาอาหารด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม



    ครั้นตะกายไปพบปะกันเข้า ก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะตะครุบกันกินด้วยความสำคัญผิดคิดว่าเป็นภักษาหาร แล้วก็กอดคอพากันพลัดตกลงไปในทะเลน้ำกรดเย็นจนถึงแก่ความตาย และแล้วก็กลับเป็นขึ้นมามาตามเดิมอีก พวกเขาเฝ้าเวียนตายเวียนเกิดด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่เช่นนี้ไม่มีวันสิ้
    นสุด โน่นแหละชั่วพุทธันดรหนึ่งนั้นแล จึงจะพ้นทุกข์โทษไปจากขุมนรกโลกันต์นี้



    ปรากฏมีปัญหาสอดแทรกเข้ามาว่า ได้เคยก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่าจึงต้องมาเป็นสัตว์นรกเหมือนนกค้างคาว เกาะเชิงเขาจักรวาล ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสสากรรจ์ในโลกนตนรกนี้?



    ผีนรกเหล่าโลกันต์นี้ ได้เคยประกอบอกุศลกรรมอันร้ายกาจและหยาบช้าลามกนัก คือ เมื่อครั้งที่เขาเป็นมนุษย์ได้เคยทำการประทุษร้ายทรมานบิดามารดาผู้ให้กำเนิดตน เพราะเหตุที่เป็นคนปราศจากกตัญญูกตเวทีมีตามืดบอดมองไม่เห็นคุณท่านแม้แต่นิดหนึ่ง เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นมาก็ทุบตีเตะถีบและด่าทอเอาตามอัธยาศัย อีกประการหนึ่งนั้นไซร้ได้เคยประกอบกรรมอันชั่วหนักไว้ คือ ประทุษร้ายพิฆาตท่านผู้ทรงศีลทรงธรรมไม่นำพาต่อบาปบุญคุณโทษคล้ายกับเป็นคนวิกลจริตเ
    ป็นบ้า ทั้ง ๆ ที่ตนก็เป็นมนุษย์มีรูปทรงสุดสง่าดีกว่าหมูหมาเป็ดไก่ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานมากมาย
    นัก



    แม้มีใจรักในการทำบาป จึงก้มหน้าทำแต่บาปทุก ๆ วัน เช่นกระทำปาณาติบาตหรือทินนาทาน ก็ทำมันทุกวันไป ครั้นแตกกายทำลายขันธ์แล้ว อำนาจอกุศลกรรมอันหนักและแกร่งกล้าเช่นนั้น จึงพลันให้วิบากชักนำให้ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้ ซึ่งมีสภาพมืดบอดนอนธการอยู่เป็นนิตย์ ต่อเมื่อใดองค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติในโลกเรานี้แล้ว



    เมื่อนั้นโลกันตนรกนี้ จึงมีโอกาศปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นนิดหนึ่งชั่วฟ้าแลบ หรือชั่วระยะมาตรว่าสักลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ตามที่พรรณนามานี้แล้ว คือสภาพแห่งนรก โลกันตนิรยภูมิ



    สรุปทิ้งท้าย



    บรรดาขุมนรกทั้งหลายที่กล่าวมาแล้วนั้น ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงจะเห็นได้แล้วว่ามีอยู่มากมานหลายขุม เมื่อมีมากมายหลายขุมอยู่ ก็เป็นการยากลำบากแก่การที่จักจำได้ง่าย ๆ ฉะนั้น ในที่นี้เพื่อความเข้าสะดวกแก่การจดจำ จึงจักขอเวลานำเอาจำนวนนรกทั้งหมดมากล่าว ซ้ำไว้อีกสักครั้งหนึ่ง ดังนี้
    ๑. มหานรก ๘ ขุม



    ๒. อุสสุทนรก ๑๒๘ ขุม



    ๓ ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม



    ๔. โลกันตนรก ๑ ขุม



    รวมเป็นนรกทั้งสิ้น ๔๕๗ ขุม เหล่าสัตว์ที่ไปอุบัติเกิดเป็นสัตว์นรก ในขุมนรกเหล่านี้ทั้งหมด ย่อมมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างแสนจะเป็นทุกข์ทรมาน โดยได้รับการลงโทษอย่างสาหัสสากรรจ์อยู่ตลอดเวลา แต่การที่ว่าจักเป็นเวลานานเท่าไรจึงจะพ้นจากทุกขโทษในนรกเหล่านี้นั้น เป็นการไม่แน่นอน ทั้งนี้ก็เพราะว่าขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่เหล่าสัตว์นรกเจ้ากรรมเหล่านั้นได้ทำไว้เป็น
    ประมาณหมายความว่า ถ้าทำบาปกรรมไว้มาก ก็ต้องตกนรกอยู่นานและตกอยู่หลายขุม เช่น พอไปตกมหานรกและได้รับทุกขโทษอย่างหนักแล้ว หากบาปกรรมยังไม่สิ้นก็ต้องไปตกอุสสุทนรก เสวยทุกขโทษอยู่ในอุสสุทนรกนั้นพอสมควรแก่กาลแล้ว
    หากกรรมยังไม่สิ้น ก็ต้องไปตกยมโลกนรกและเสวยกรรมต่อไปอีก เสวยทุกขโทษเรื่อยไปเช่นนี้ จนกว่าจะสิ้นบาปกรรมบางทีตกนรกที่เป็นบริวารก่อนแล้วจึงไปตกนรกขุมใหญ่ก็มี บางทีตกนรกขุมใหญ่ก่อนแล้ว จึงไปตกนรกขุมที่เป็นบริวารก็มี ทั้งนี้สุดแต่ว่ากรรมใดจะมีกำลังให้ผลก่อน และบางทีหากทำบาปไว้มากมายหลายประการ ต้องตกนรกดะเรื่อยไปผ่านมหานรกทั้ง ๘ ขุม และนรกที่เป็นบริวารมากมายหลายขุมก็มี



    แต่บางทีหากทำบาปไว้น้อย เพียงมาตกนรกได้ไม่นาน กุศลกรรมที่ตนเคยทำไว้บันดาลให้ระลึกถึงบุญกุศลขึ้นมาได้ ก็จะตายจากความเป็นสัตว์นรกไปเกิดในภูมิอื่นต่อไปตามยถากรรม จะอย่างไรก็ตามขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้รับทราบหลักไหญ่ไว้ในที่นี้ง่าย ๆ ว่า การที่สัตว์ทั้งหลายจักต้องมาตกนรกหมกไหม้อยู่ในขุมนรกทั้งหลายเหล่านี้



    ก็เพราะเหตุที่ตนเป็นคนล่วงอกุศลกรรมบถ ประกอบอกุศลกรรมบถไว้มิอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อถึงคราวดับขันธ์สิ้นชีวิตแล้ว จึงถูกอกุศลกรรมชักนำให้มาเกิดเป็นสัตว์นรกและเสวยวิบากเป็นทุกข์อยู่ในนรกนี้



    ดังนั้นจะขอยกเรื่องของท่านสุปติฏฐเทพบุตรตอนที่เป็นเทวดานี่พระพุทธเจ้าไปเทศน์พระอ
    ภิธรรม ๗ คัมภีร์ เวลานั้นปรากฏว่าท่านจะต้องจุติพอดี มีอากาสจารีเทพบุตรเข้าไปเตือน



    ท่านมองดูตัวของท่านว่าท่านตายจากเทวดาแล้วท่านจะไปไหน ความจริงเทวดาก็รู้สถานที่ไปเพราะมีอารมณ์เป็นทิพย์ ก็ทราบชัดว่าเมื่อจุติจากเทวดาแล้วต้องไปเกิดในเอวจีมหานรก สิ้นระยะเวลา ๑ กัปตามอายุของอเวจีมหานรก แล้วหลังจากนั้น ออกจากอเวจีมหานรกแล้วก็ผ่านบริวาร ๔ ขุม เมื่อพ้นบริวาร ๔ ขุมแล้วต้องมาตกยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม เพราะท่านทำกรรมหนัก เรียกว่ากรรมในยมโลกียนรกนี่มีกี่อย่างท่านทำหมดตั้งแต่ปาณาติบาตขึ้นมาเลย ถึงจิตโหดร้าย การประทุษร้ายต่อคู่ครอง นี่เรียกว่าหนักมาก เมื่อพ้นจากยมโลกียนรก ๑๐ ขุมแล้ว ต้องมาเป็นเปรตตามลำดับ ๑๒ จำพวก



    พ้นจากเปรต ๑๒ จำพวก แล้วก็มาเป็นอสุรกาย เมื่อพ้นจากความเป็นอสุรกายแล้ว หลังจากนั้นก็มาสู่ความเป็นสัตว์เดียรัจฉาน คือเป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ เมื่อพ้นจากภาวะสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็เกิดเป็นคน เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ เป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ เป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ เป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ จึงจะมาเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ นี่ท่านรู้กฎของกรรมของท่าน เมื่อท่านรู้แล้วท่านก็ตกใจ บอกให้อากาสจารีเทพบุตรช่วย ท่านอากาสจารีบอกว่า เราก็เป็นเทวดาเหมือนกัน จะช่วยท่านยังไง คนที่จะช่วยได้ก็เห็นจะมีพระอินทร์องค์เดียว ก็เลยพากันไปหาพระอินทร์ พระอินทร์ก็บอกว่าฉันเป็นเทวดาเหมือนท่านช่วยไม่ได้ ท่านที่จะช่วยได้ก็คือพระพุทธเจ้า



    เวลานี้กำลังมาแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไปด้วยกัน ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน พระพุทธเจ้าอาจช่วยได้ต่างก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอินทร์ก็กราบทูลเรื่องราวของสุปติฏฐิตเทพบุตรให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้า ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาทราบว่า สุปติฏฐิตเทพบุตรคนนี้ สมัยที่เป็นมนุษย์เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก คือแกเกิดมาพอแกทำงานได้ตั้งแต่เล็ก แกก็มีปาณาติบาตเป็นเครื่องอาศัย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดเวลา วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ทำบาปเป็นอาจิณกรรม เรียกว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม แล้วนอกจากนั้น กรรมอะไรล่ะที่เขาว่ามันไม่ดี อทินนาทานลักขโมยเขา ถ้ามีโอกาสก็เอาเหมือนกัน เอาไม่น้อย เอาพอกำลังที่จะเอาไปได้ เรียกว่ามาก กาเมสุมิฉาจาร ชอบจริงๆ ผู้หญิงสาวๆ เด็กๆ เท่าไหร่ท่านสุปติฏฐิตชอบมาก



    ปรนเปรอด้วยเงินด้วยทอง มุสาวาทรึ? เป็นปกติ การดื่มสุราเมรัยเป็นเกมกีฬา ตานี้มาว่ากัน ถ้าว่าใครเขามาบอกบุญบอกทาน ใครเขามาบอกว่าวัดโน้นเขาจะสร้างนั่น



    วัดนี้เขาจะสร้างนี่ ไปทำบุญตรุษ ไปทำบุญสงกรานต์ แกเห็นแล้วแกล้งทำไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน ดีไม่ดีพระเจ้าเทศน์ ส่งเสียงกลบ ทำลายพระธรรมเสียอีก นี่เจตนาของสุปติฏฐิตเทพบุตรเป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก แล้วก็ทำลายคุณความดีที่บุคคลอื่นจะพึงได้จะพึงถึง ฉะนั้น สุปติฏฐิตเทพบุตรคนนี้ ถ้าเราไม่ช่วยเธอจุติจากความเป็นเทวดาแล้ว เธอจะต้องไปตกอเวจีมหานรก สิ้นเวลาระยะ ๑ กัป พ้นจากอเวจีมหานรกแล้วต้องผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม นอกจากนั้นยมโลกียนรก ๑๐ ขุม เธอต้องผ่านทั้งหมด เป็นกฎของกรรมอย่างหนัก จะต้องเป็นเปรต ๑๒ ระดับ เป็นอสุรกาย ต่อมาเป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัข (แล้วเป็นสุนัขบ้าไม่ใช่สุนัขธรรมดา) ๕๐๐ ชาติ



    ทีนี้พอมาเป็นคน เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ นี่เพราะกฎของกรรม ที่คนเขาบอกบุญแกได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน เวลาพระเทศน์เวลาพระสวดแกล้งส่งเสียงกลบให้คนอื่นฟังไม่ชัดอย่างนี้ติดตามแกมา



    ต้องเป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ ต่อมาจากนั้นแกก็ต้องตาบอด ๕๐๐ ชาติ ท่านกล่าวว่าในตอนนี้ใครเขามาบอกบุญบอกทาน แกเห็นแล้วแกแกล้งทำเป็นไม่เห็นเลยกลายเป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ แล้วก็มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ ก็เพราะดื่มสุราเมรัยหลังจากนั้นมาเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ เพราะโทษของปาณาติบาตที่ทำไว้มาสนับสนุนเป็นเศษของกรรมจึงจะหมด องค์สมเด็จพระสามิสรพระสุคต ได้ทรงทราบก็มีความสงสาร ก็พิจารณาด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ว่าถ้าตถาคตจะเทศน์พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ เทวดาองค์นี้จะมีผลเป็นประการใดบ้าง เมื่อทรงดำริดังนี้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า ถ้าเราเทศน์พระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์นี้ไม่มีประโยชน์แก่เทวดาองค์นี้เลย



    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ากรรมหนัก จริตไม่พอกับพระอภิธรรม คือมีอารมณ์หยาบมาก ถ้าเทศน์จบเธอไม่ได้อะไร ไม่ได้พระโสดาบัน เธอจะต้องไปจุติในอเวจีมหานรก เป็นบุคคลผู้น่าสงสาร นี่น้ำใจของพระพิชิตมารเป็นอย่างนี้ แล้วต่อไปองค์พระธรรมสามิสรก็คิดต่อไปว่า จะเทศน์อะไรดี ก็ทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า ถ้าเราเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เมื่อเธอฟังแล้วจะตรงกับอัธยาศัย พอเทศน์จบเธอจะได้พระโสดาบัน แล้วหลังจากนั้นอบายภูมิตามที่กล่าวมา ความทุกข์ทั้งหมด โทษทัณฑ์ทั้งหมดจะถูกปิด คือไม่มีโอกาสจะลงโทษเธอได้เพราะว่าพระโสดาบันนั้นเกิดเป็นเทวดาแล้วก็เกิดแค่มนุษย์
    ถ้ายังไม่ไปนิพพานจุติลงมาเป็นมนุษย์แล้วก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม



    พระโสดาบันมีอารมณ์หยาบเกิดเป็นมนุษย์ ๗ ชาติ พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างกลางเกิดเป็นมนุษย์ ๓ ชาติ พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างละเอียดเกิดเป็นมนุษย์ ๑ ชาติ ไปนิพพาน ฉะนั้น โทษทัณฑ์ทั้งหลายที่จะต้องตกนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉานไม่มี แต่ทว่าที่มีขันธ์ ๕ เป็นคน ต้องพบกับเศษของอกุศลในฐานะที่มีร่างกายเป็นเครื่องรับ คือมีขันธ์ ๕ เป็นเครื่องรับก็ยังดี เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงทรงแสดงอุณหิสวิชัยสูตร เทศน์อุณหิสวิชัยสูตรพอจบ ท่านสุปติฏฐิตเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นเทวดาต่อไป...



    ----------------------------------------------------------------------

    นรก สำนวนของ พระธรรมธีรราชมหามุนี

    จาก --ภูมิวิลาสินี--
    โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี

    PI: Ἱ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี
    โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ.๙

    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ.๙)

    อดีตอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
    วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ราชวรมหาวิหาร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
    สำนักงานกลางกองการวิปัสสนาธุระ (คณะ ๕ )

    http://watpathumkongka.com/html/sound_chodok.html

    -*----------------------------------------------------*-

    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ.๙)

    อดีตอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์

    วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ราชวรมหาวิหาร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

    รวมพระธรรมเทศนา (เป็นลิงค์)

    http://ecurriculum.mv.ac.th/ebhuddis...chodok.php.htm

    -*----------------------------------------------------*-

    มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย




    http://www.paktho.ac.th/learning/sch...dic/mcu6d.html

    วิปัสสนากรรมฐาน
    การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นถือว่าเป็นการศึกษาและการฝึกอบรมจิตใจของคนและพระให้ดียิ่งขึ้น ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน ไว้อย่างชัดเจนในพระไตรปิฎก ซึ่งว่าด้วย "มหาสติปัฏฐานสูตร" โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้พุทธบริษัท ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาได้ทำจิตใจให้บริสุทธิ์จากอุปกิเลส เครื่องเศร้าหมองทั้ง ๒ ประการ คือ :
    ๑. คันถธุระ การศึกษาเล่าเรียนตามตำรา
    ๒. วิปัสสนาธุระ การศึกษาด้วยการปฏิบัติ

    ด้วยเหตุแห่งความสำคัญของการวิปัสสนาธุระ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจึงได้พัฒนาสถาบันวิปัสสนาธุระควบคู่กับความเป็นเลิศด้านวิชชาจรณะ และการปฏิบัติ เพื่อที่จะสามารถ นำความรู้ในพระไตรปิฎก และวิชาการชั้นสูงมาประยุกต์ใช้ เพื่อชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องในด้านจิตวิญญาณแก่สังคม อีกงยังเป็นผู้เผยแผ่หลักธรรม การปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่มหาชน

    ประวัติความเป็นมา
    สถาบันวิปัสสนาธุระ เดิมเรียกว่าสำนักงานกลางกองวิปัสสนาธุระ อยู่ภายใต้การบริหาร งานของวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ สมัยที่ดำรงตำแหน่งสังฆมนตรีว่าการปกครอง เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น และจุดประสงค์เพื่อการศึกษาด้านวิปัสสนาธุระของวัดมหาธาตุ

    การดำเนินงานในเบื้องต้น ได้อาราธนาพระภาวนาภิรามเถร (สุข ปวโร) ผู้ทรงคุณวุฒิและมีความรู้ความสามารถในทางวิปัสสนาธุระแห่งวัดระฆังโฆสิตามราม กรุงเทพมหานคร มาเป็นอาจารย์ฝึกสอนวิปัสสนากรรมฐานที่พระอุโบสถวัดมหาธาตุ มีพุทธบริษัททั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ให้ความสนใจเข้ามาฝึกปฏิบัติมิได้ขาด และบรรพชิตที่เข้ารับการฝึกปฏิบัติรุ่นแรก ๒ รูป คือ พระมหาโชดก ญาณสิทธิ ป.ธ. ๙ (พระธรรมธีรราชมหามุนี) วัดมหาธาตุ และพระครูสังวรสมาธิวัตร วัดเพลงวิปัสสนา

    ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ พระพิมลธรรมได้ส่งพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙ ไปศึกษา ดูงานวิปัสสนาธุระที่สำนักศาสยิสสา เมืองแรงกูน ประเทศพม่า ซึ่งเป็นสำนักวิปัสสนาที่มีชื่อเสียงของพม่าเป็นเวลา ๑ ปี เมื่อครบกำหนดแล้วจึงได้กลับคืนสู่ประเทศไทย พร้อมกันนี้พระมหาโชดก ยังได้นิมนต์พระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่าผู้ชำนาญ(ตามคำขอของรัฐบาลไทยต่อรัฐบาลพม่า) จากประเทศพม่ามาด้วย ๒ รูป คือ พระอาจารย์อาสภเถร ประธานกัมมัฏฐานาจาริยะ และพระอาจารย์อินทวังสะ มาเพื่อช่วยฝึกสอนวิปัสสนาธุระในประเทศไทยด้วย ซึ่งการได้นิมนต์พระเถระทั้งสองมาก็เป็นไปตามดำริของพระพิมลธรรม

    ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ พระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ และพระครูประกาศสมาธิคุณ ได้เป็นกำลัง สำคัญในการฝึกสอนวิปัสสนกรรมฐานในวัดมหาธาตุ ซึ่งนับวันจะมีผู้สนในปฏิบัติกรรมฐานเพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยลำดับ พระสังฆาธิการ ผู้บริหารคณะสงฆ์ก็ให้ความสนใจได้จัดส่งครูสอนพระปริยัติธรรมเข้ามาฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐานแล้วกลับไปเสนอพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ภายในเขตปกครองของตน จนปรากฏว่าสำนักวิปัสสนากรรมฐานได้เกิดขึ้นทั่วประเทศ แม้แต่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้เสด็จมาสมาทานพระวิปัสสนากรรมฐาน ที่พระอารามแห่งนี้ และพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ) ก็ได้มาศึกษาวิปัสสนากรรมฐานแบบนี้และรับรองว่า สำนักนี้ปฏิบัติถูกต้องตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔

    วิปัสสนากรรมฐานในต่างประเทศ
    ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้ส่งคณะพระวิปัสสนาจารย์ นำโดยพระราชสิทธิมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) และพระมหาวิจิตรติสฺสทตฺโต พธ.บ. แห่งวัดมหาธาตุ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศภาคพื้นยุโรป ได้ปฏิบัติศาสนกิจสอนวิปัสสนากรรมฐานและพักอยู่ที่พุทธวิหารแฮมพ์สเตท ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา ๓ เดือน ต่อมาได้แต่งตั้งจากคณะสงฆ์แห่ง ประเทศไทยเป็นหัวหน้าฝ่ายพระธรรมทูตสายต่างประเทศและได้ขยายการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปถึงประเทศเยอรมัน ฮอนแลนด์ ฟิลแลนด์ สหรัฐอเมริกา และแคนนาดา โดลำดับ ได้มีผู้สนใจจำนวนมากเข้ามาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งมีพระสงฆ์ไทยเป็นผู้ทำหน้าที่ฝึกสมาธิ วิปัสสนากรรมฐานและสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้

    การพัฒนาการสถาบันวิปัสสนาธุระ
    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงากรณราชวิทยาลัย ได้พิจารณาเห็นว่าการศึกษาในด้านวิปัสสนาธุระโดยเปิดสำนักงานกลางวิปัสสนาธุระที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร สมควรจะได้รับการฟื้นฟูขยายการบริหารงานในรูปแบบที่มีองค์กรหลักมารองรับ จึงได้ มีมติอนุมัติให้สำนักงานกลางวิปัสสนาธุระที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร เป็นสถาบันวิปัสสนากรรมฐานของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยมีพระพิมลธรรม (สมเด็จพระพุฒาจารย์ : อาจ อาสภมหาเถร) เป็นผู้ลงนาม

    ปัจจุบัน สถาบันวิปัสสนาธุระยังให้การบริการในด้านวิปัสสนากรรมฐานเพื่อสืบทอด จรรโลงสืบต่อกันมาอย่างไม่ขาดสาย จึงเกิดเป็นสำนักวิปัสสนากรรมฐานแบบ "ยุบหนอ พองหนอ" ทั้งนี้ ก็เพราะการมองการณ์ไกลของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) อดีต สภานายกมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    นอกจากนี้ การวิปัสสนาธุระสำหรับชาวต่างประเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้จัดตั้งศูนย์วิปัสสนานานาชาติขึ้น (The International Buddhist Meditation Center (I.B.M.C.)) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยจัดให้มีการบรรยายธรรมเป็นภาษาอังกฤษ และสอนภาค ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอันเป็นแนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และวัฒนธรรมไทย เพื่อศึกษาและวิจัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และเพื่อให้ชาวต่างประเทศได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมเข้าใจหลักธรรมอย่างแท้จริง
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)

    19975.พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)



    ประวัติและปฏิปทา
    พระธรรมธีรราชมหามุนี
    (โชดก ญาณสิทฺธิ)

    วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
    แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม.


    ๏ ชาติภูมิ

    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) มีนามเดิมว่า “หนูค้าย นามโสม” ภายหลังท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารีมหาเถระ) แห่งวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า “โชดก” เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๖๑ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย ณ บ้านหนองหลุบ ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    โยมบิดาชื่อ “นายเหล้า นามโสม” โยมมารดาชื่อ “นางน้อย นามโสม” มีพี่น้องร่วมตระกูลทั้งหมดรวม ๑๐ คน เป็นพี่สาว ๘ คน และน้องชาย ๑ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๙ คุณปู่ของท่านมีบรรดาศักดิ์เป็นขุน ชื่อขุนวงษ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านติดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย มีฐานะความเป็นอยู่ดี ส่วนโยมบิดาของท่านเป็นชาวนา แต่มีความรู้พิเศษเป็นหมอชาวบ้าน-ช่างไม้-ช่างเหล็ก ประจำหมู่บ้าน


    ๏ การศึกษาเบื้องต้น

    พ.ศ. ๒๔๗๒ จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนบ้านหนองหลุบ ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี


    ๏ การบรรพชาและอุปสมบท

    วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ เมื่ออายุ ๑๕ ปี ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดโพธิ์กลาง ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยมีพระครูเลิ่ง เจ้าอาวาสวัดโพธิ์กลาง เป็นพระอุปัชฌาย์ และย้ายไปเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดกลาง ในตัวเมืองขอนแก่น สอบนักธรรมตรีได้จากวัดนี้ และย้ายไปอยู่วัดยอดแก้ว ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เพื่อเรียนนักธรรมชั้นโทและบาลีมูลกัจจายน์ และสอบนักธรรมชั้นโทได้

    พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ โดยครั้งแรกได้อยู่ที่วัดเทพธิดาราม แขวงสำราญราษฏร์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ สอบ ป.ธ. ๓, ป.ธ. ๔ และนักธรรมชั้นเอกได้ในสำนักนี้


    สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารีมหาเถระ)


    พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้ย้ายมาอยู่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ โดยขุนวจีสุนทรรักษ์เป็นผู้นำมาฝาก ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารีมหาเถระ) ขณะดำรงสมณศักดิ์ในราชทินนามที่ “พระพิมลธรรม” ได้เมตตารับไว้ให้พำนักอยู่คณะ ๑ วัดมหาธาตุฯ


    ๏ วุฒิการศึกษา

    พ.ศ. ๒๔๗๗ สอบได้นักธรรมชั้นตรี ณ สำนักเรียนวัดโพธิ์กลาง ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    พ.ศ. ๒๔๗๘ สอบได้นักธรรมชั้นโท ณ สำนักเรียนวัดกลาง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ สอบได้นักธรรมชั้นเอก, ป.ธ. ๓-ป.ธ. ๔ ณ สำนักเรียนวัดเทพธิดาราม แขวงสำราญราษฏร์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ

    พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๙๔ สอบได้ ป.ธ. ๕-ป.ธ. ๙ ณ สำนักเรียนวัดมหาธาตุฯ ในสมัยสอบ ป.ธ. ๙ ได้เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๙๔ นับเป็นผู้สอบได้เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

    พ.ศ. ๒๔๘๖-๒๔๙๒ ไปปฏิบัติศาสนกิจ ณ จังหวัดขอนแก่น โดยครั้งแรกเปิดสอนพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกนักธรรม-บาลี ที่วัดสว่างวิทยา อำเภอเมือง ประมาณ ๑ ปี แล้วย้ายมาอยู่วัดศรีนวล ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น ปรากฏว่าได้ส่งเสริมการศึกษาในสำนักพระปริยัติธรรมแห่งนี้ให้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีพระภิกษุสามเณรสอบนักธรรมและบาลีได้มากทุกปี ต่อมาท่านได้ลาออกจากตำแหน่งสาธารณูปการจังหวัด เพื่อกลับมาอยู่วัดมหาธาตุฯ สำนักเดิม




    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)



    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ)


    ๏ การปฏิบัติศาสนกิจ

    พ.ศ. ๒๔๙๓ ย้ายกลับเข้ามาอยู่วัดมหาธาตุฯ ในสมัยท่านเจ้าคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ในราชทินนามที่ “พระพิมลธรรม” เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้อยู่ที่คณะ ๕ และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ และประจำอยู่ที่คณะ ๕ ตลอดมาจนมรณภาพ


    ๏ งานด้านวิปัสสนาธุระ

    พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ ณ พระมณฑปพระบรมธาตุ วัดมหาธาตุฯ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ถึง ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ รวมเวลา ๗ เดือน ๑๙ วัน โดยพระภาวนาภิรามเถระ (สุข) วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นอาจารย์สอน

    พ.ศ. ๒๔๙๕ ไปดูงานการพระศาสนาที่ประเทศพม่า และได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ สำนักศาสนายิสสา เมืองแรงกูน ประเทศพม่า เมื่อสำเร็จการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ได้เดินทางกลับประเทศไทย พร้อมกับพระอาจารย์ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ๒ รูป ที่รัฐบาลไทยขอจากรัฐบาลพม่า เพื่อมาสอนวิปัสสนากรรมฐาน ประจำอยู่ในประเทศไทย พระวิปัสสนาจารย์ ๒ รูปนั้น คือ ท่านอาสภเถระ ปธานกัมมัฏฐานาจริยะ และท่านอินทวังสะ ธัมมาจริยะ กัมมัฏฐานาจริยะ

    เมื่อท่านกลับมาประเทศไทยแล้ว ท่านได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานต่ออีก ๔ เดือน ในสมัยนั้น ท่านเจ้าคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ในราชทินนามที่ “พระพิมลธรรม” ได้ประกาศตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานแห่งประเทศไทย ขึ้นที่วัดมหาธาตุฯ และได้แต่งตั้งท่านครั้งเป็นพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙ ให้เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ เป็นรูปแรก ท่านจึงได้รับภาระหนักมาก เพราะเป็นกำลังสำคัญของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ในการวางแผนขยายสำนักสาขาไปตั้งในที่ต่างๆ ทั่วประเทศ จัดทำหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐาน คัดเลือกพระวิปัสสนาจารย์ไปสอนประจำอยู่ตามสำนักสาขาที่ตั้งขึ้น และจัดไว้สอนประจำที่วัดมหาธาตุฯ พระวิปัสสนาจารย์ทั่วประเทศส่วนมากเป็นศิษย์ของท่าน

    อนึ่ง ในครั้งนั้นท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้จัดตั้งกองการวิปัสสนาธุระขึ้นเป็นศูนย์วิปัสสนากรรมฐานที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ และได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้อำนวยการกองการวิปัสสนาธุระ ในความอำนวยการของท่านมีกิจการเจริญก้าวหน้ามาก มีผลงานปรากฏดังนี้

    ๑. จัดพิมพ์วิปัสสนาสาร ซึ่งเป็นวารสารราย ๒ เดือน (ออกปีละ ๖ เล่ม) ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๘ และได้ออกติดต่อตลอดมาถึงบัดนี้ มีสมาชิกให้การอุดหนุนวารสารนี้มีมากพอสมควร

    ๒. จัดการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่คณะ ๕ โดยจัดสร้างห้องปฏิบัติขึ้นรับผู้ประสงค์จะเข้าปฏิบัติ หรือผู้มีปัญหาชีวิตเข้าปฏิบัติได้ทุกเวลา ทั้งประเภทอยู่ประจำและไม่ประจำ (คือมารับพระกรรมฐานจากอาจารย์ไปปฏิบัติที่บ้านแล้วมารับสอบอารมณ์ หรือมาปฏิบัติในเวลาว่าง แล้วกลับไปพักที่บ้าน)

    ๓. อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ และคณะศิษย์ของท่านได้ไปสอนวิปัสสนากรรมฐาน ในพระอุโบสถวัดมหาธาตุฯ ตึกมหาธาตุวิทยาลัย ตึกธรรมวิจัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ทุกวันพระ และวันอาทิตย์

    ๔. ให้ความอุปถัมภ์สำนักวิปัสสนากรรมฐานอื่นที่เป็นสาขาอีกหลายสำนัก เช่น สำนักวิเวกอาคม อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักวิปัสสนาภูระงำ อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น และสำนักบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เป็นต้น






    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙)
    ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระอุดมวิชาญาณเถร ได้เป็นพระอาจารย์ถวายวิปัสสนากรรมฐาน
    แด่สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (ปัจจุบันคือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)
    ซึ่งได้เสด็จมาสมาทานพระกรรมฐาน ณ วัดมหาธาตุฯ เป็นเวลาถึง ๑ เดือน


    พระธรรมธีรราชมหามุนี ได้อุทิศชีวิตอบรมและเผยแพร่วิปัสสนากรรมฐานติดต่อมาเป็นเวลายาวนานประมาณ ๔๐ ปี จึงมีศิษยานุศิษย์และมีผู้เคารพศรัทธาเลื่อมใสมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ และบุคคลผู้มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น มีทุกระดับชั้น ทุกฐานะอาชีพ เช่น ในช่วง พ.ศ. ๒๔๙๘ ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระอุดมวิชาญาณเถร ได้เป็นพระอาจารย์ถวายวิปัสสนากรรมฐานแด่สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (ปัจจุบันคือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ซึ่งได้เสด็จมาสมาทานพระกรรมฐาน เมื่อวันอังคารที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๘ เวลา ๑๙.๐๐ น. ณ พระมณฑปพระบรมธาตุ วัดมหาธาตุฯ

    ในโอกาสนั้น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระพิมลธรรม” ได้ถวายศีล แล้วพระอุดมวิชาญาณเถรเป็นผู้ถวายพระกรรมฐาน และถวายสอบอารมณ์พระกรรมฐานด้วย เป็นประจำทุกวัน ณ พระมณฑปพระบรมธาตุ เวลา ๑๙.๐๐ น. รวมเวลาที่ทรงปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นเวลา ๑ เดือน และทรงได้รับผลจากการปฏิบัติวิปัสสนาเป็นอย่างดี

    นอกจากนั้น ได้เป็นอาจารย์ถวายวิปัสสนากรรมฐานแด่ท่านเจ้าคุณพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพระอาจารย์มีเกียรติคุณในด้านสมถกรรมฐาน (วิชาธรรมกาย) ที่มีชื่อเสียงมากในประเทศไทย โดยท่านไปถวายวิปัสสนากรรมฐานแด่หลวงพ่อสด จนฺทสโร ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ตลอดเวลา ๑ เดือนครบหลักสูตร และต่อมาหลวงพ่อวัดปากน้ำได้มาฟังเทศน์ลำดับญาณ ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุฯ โดยพระอุดมวิชาญาณเถร ได้ถวายเทศน์ลำดับญาณ


    พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร)


    ปรากฏว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำได้ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างดี เพราะท่านได้นำสมถกรรมฐานมาต่อวิปัสสนากรรมฐาน พิจารณาไตรลักษณ์ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ หลวงพ่อได้มอบภาพของท่านไว้เป็นที่ระลึกแก่สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุฯ และได้เขียน บันทึกใต้ภาพยกย่องว่า “สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุฯ เป็นสำนักที่สอนวิปัสสนาถูกต้องร่องรอยในมหาสติปัฏฐานทุกประการ”


    ๏ หน้าที่การงานเกี่ยวกับการศึกษา

    พ.ศ. ๒๔๘๓-๒๕๓๐

    - เป็นครูสอนปริยัติธรรมทั้งนักธรรม-บาลี ในมหาธาตุวิทยาลัย ได้เป็นครูสอนบาลีไวยากรณ์ชั้นมูล ๓ ได้นิตยภัตตั้งแต่เดือนละ ๖ บาท ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ จนกระทั่งสอน ป.ธ. ๗-๘-๙

    - เป็นกรรมการตรวจประโยคนักธรรม-บาลี สนามหลวง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๗ ตลอดมาจนมรณภาพ

    - เป็นผู้อำนายการแผนกบาลี สำนักเรียนวัดมหาธาตุฯ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๖ เป็นต้นมา


    ๏ หน้าที่เกี่ยวด้วยพระไตรปิฎก

    พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย ในแผนกตรวจสำนวน

    พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจทานพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง

    พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการปาลิวิโสธกะ พระอภิธรรมปิฎก ฉบับสังคายนา พ.ศ. ๒๕๓๐

    พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานบรรณกรในการพิมพ์พระไตรปิฎก ฉบับสังคายนา พ.ศ. ๒๕๓๐


    ๏ หน้าที่เกี่ยวกับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    พ.ศ. ๒๔๙๐-๒๕๓๐

    - ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการชำระหนังสือธัมมปทัฏฐกถา ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    - เป็นอาจารย์บรรยายวิชาพระพุทธศาสนาในชั้นอุดมศึกษา

    - เป็นกรรมการบริหารกิจการ

    - เป็นกรรมการพิจารณาหลักสูตรบาลีสำหรับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    - เป็นรองประธานกรรมการฝ่ายวิเทศสัมพันธ์

    - เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย


    ๏ หน้าที่เกี่ยวกับการบริหารคณะสงฆ์

    พ.ศ. ๒๔๘๘-๒๕๓๐

    - ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการกรรมการสงฆ์จังหวัดขอนแก่น

    - กรรมการสาธารณูปการจังหวัดขอนแก่น

    - เจ้าคณะภาค ๑๐

    - เจ้าคณะภาค ๙

    - พระอุปัชฌาย์ประจำวัดมหาธาตุฯ

    - รองเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ

    - รองประธานกรรมการสงฆ์บริหารวัดมหาธาตุฯ รูปที่ ๑


    ๏ หน้าที่งานพิเศษ

    - ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการหัวหน้าพระธรรมทูตสายที่ ๓

    - เป็นหัวหน้าผู้อำนวยการ งานพระธรรมทูตสายที่ ๖

    - เป็นอนุกรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อร่วมพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาวัดที่ว่างเจ้าอาวาสเพื่อหาข้อมูล



    ๏ งานเผยแผ่พระพุทธศาสนา

    - เป็นพระธรรมกถึกทั้งเทศน์คู่และเทศน์เดี่ยว

    - เป็นองค์ปาฐกแสดงปาฐกถาธรรม

    - องค์บรรยายธรรม

    - บรรยายธรรมทางวิทยุเป็นประจำหลายสถานี

    - บรรยายธรรมทางสถานีโทรทัศน์

    นับว่าท่านเป็นพระสงฆ์มีความเชี่ยวชาญในการบรรยายธรรม ได้รับความนิยมมากจากผู้ฟังทั้งหน่วยราชการและภาคเอกชน ประชาชน เป็นอย่างดี


    ๏ งานสาธารณูปการและสาธารณสงเคราะห์

    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) มีผลงานด้านสาธารณูปการและสาธารณสงเคราะห์ ปรากฏอย่างกว้างขวางทั้งภายในวัดมหาธาตุฯ และภายนอก ดังมีหลังฐานปรากฏตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๓๐ ดังนี้

    ๑) งานสาธารณูปการภายในวัดมหาธาตุฯ

    - จัดหาทุนสร้างห้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนในวัดมหาธาตุฯ

    - จัดหาเงินสมทบทุนมูลนิธิวิปัสสนากรมฐาน

    - สร้างตึกอุดมวิชาในคณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ

    - เป็นประธานกรรมการหาทุนก่อสร้างตึกมหาธาตุวิทยาลัยอาคารทรงไทย ๔ ชั้น

    - เป็นประธานกรรมการหาทุนบูรณะโรงเรียนธรรมมหาธาตุวิทยาลัย และสร้างโรงครัวครูปริยัติธรรม

    - เป็นประธานกรรมการจัดหาทุน และก่อตั้งมูลนิธิศรีสรรเพชญ์

    - ร่วมสมทบบูรณะคณะ ๘ วัดมหาธาตุฯ

    - บริจาคร่วมสร้างพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    - เป็นประธานกรรมการจัดหาทุนสร้างพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    - เป็นกรรมการอุปถัมภ์จัดหาทุนสร้างโรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    รวมงานสาธารณูปการภายในวัดมหาธาตุที่ได้ดำเนินการมา เป็นเงินประมาณ ๑๔,๓๒๕,๐๐๐ บาท (สิบสี่ล้านสามแสนสองหมื่นห้าพันบาท)

    ๒) งานสาธารณูปการภายนอกวัด

    - งานก่อสร้างปฏิสังขรณ์วัดสว่างพิทยา บ้านหนองหลุบ ซึ่งเป็นถิ่นบ้านเกิด

    - จัดหาทุนสร้างโรงเรียนปริยัติธรรมวัดธาตุ จังหวัดขอนแก่น ๒ หลัง

    - จัดหาทุนสร้างอุโบสถวัดโพธิ์ชัย จังหวัดขอนแก่น

    - จัดหาทุนสร้างโรงเรียนประชาบาลบ้านหนองหลุบ ๒

    - เป็นประธานจัดหาทุนสร้างวัดพุทธประทีปในระยะเริ่มแรก

    - อุปถัมภ์สร้างอาคารเรียน ในโรงเรียนประชาบาลบ้านหนองบัว อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี

    - เป็นประธานจัดหาทุนสร้างตึกสงฆ์อาพาธสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถร) ในโรงพยาบาลขอนแก่น

    - บริจาคสร้างตึงสยามินทร์ โรงพยาบาลศิริราช

    - อุปถัมภ์สำนักวิปัสสนากรรมฐาน ภูระงำ อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น

    - หาทุนสร้างสำนักวิเวกอาคม ตำบลบางขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา

    รวมงานสาธารณูปการภายนอกวัด เป็นเงินประมาณ ๑๓,๔๕๖,๐๐๐ บาท (สิบสามล้านสี่แสนห้าหมื่นหกพันบาท) รวมเงินที่จัดหาในงานสาธารณูปการ ทั้งภายในวัดมหาธาตุฯ และภายนอกวัด เป็นเงิน ประมาณ ๒๗,๐๘๑,๐๐๐ บาท (ยี่สิบเจ็ดล้านแปดหมื่นหนึ่งพันบาท)


    ๏ งานต่างประเทศ

    พ.ศ. ๒๔๙๕-๒๕๒๘

    - ไปดูงานการพระศาสนาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ ประเทศพม่า

    - ไปสอนวิปัสสนากรรมฐาน ณ ประเทศอังกฤษ ตามคำอาราธนาของคณะสงฆ์สมาคมแห่งประเทศอังกฤษ

    - เป็นหัวหน้าพระธรรมทูตประจำประเทศอังกฤษ

    - ริเริ่มสร้างวัดไทยในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันได้สร้างเป็นวัดไทยโดยสมบูรณ์ ชื่อว่า “วัดพุทธประทีป” โดยท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธประทีปรูปแรก

    - เป็นกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตที่จะไปต่างประเทศ

    - ไปสอนวิปัสสนากรมฐานที่วัดไทย ในประเทศสหรัฐอเมริกา

    - รับชาวต่างชาติปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุฯ และให้ได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา


    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดมหาธาตุฯ
    แด่พระเดชพระคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)
    ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระเทพสิทธิมุนี เมื่อวันที่ ๓ พ.ย. ๒๕๒๘ เวลา ๑๖.๐๐ น.


    ๏ งานนิพนธ์

    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) เป็นพระมหาเถระที่เชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิฎก และมีความทรงจำเป็นเลิศ สามารถบอกเรื่องราวต่างๆ ว่าอยู่ในเล่มใด และบางครั้งบอกหน้าหนังสือเล่มนั้นด้วย และท่านยังเป็นนักประพันธ์ที่นิพนธ์เรื่องทางศาสนาได้รวดเร็ว และได้นิพนธ์ไว้มากมายหลายเรื่อง เฉพาะที่หาข้อมูลได้ แยกบทนิพนธ์ของท่านเป็นประเภท ดังนี้

    ๑) ประเภทวิปัสสนากรรมฐาน มีหนังสือประมาณ ๒๑ เรื่อง เช่น เรื่องความเป็นมาของวิปัสสนากรรมฐาน, คำบรรยายวิปัสสนากรรมฐาน จำนวน ๙ เล่ม ฯลฯ

    ๒) ประเภทพระธรรมเทศนา มีหนังสือประมาณ ๔ เรื่อง เช่น เรื่องเทศน์คู่อริยสัจ ฯลฯ

    ๓) ประเภทวิชาการ มีหนังสือประมาณ ๘ เรื่อง เช่น อภิธัมมัตถสัคหะปริเฉทที่ ๑-๙ ฯลฯ

    ๔) ประเภทสารคดี มีหนังสือประมาณ ๒๐ เรื่อง เช่น เรื่องพระมาลัยโปรดสัตว์นรก ฯลฯ

    ๕) ประเภทตอบปัญหาทั่วไป มีหนังสือประมาณ ๕ เรื่อง เช่น ตอบปัญหา เรื่องบุญบาปและนรกสวรรค์ เป็นต้น

    นอกจากนี้ ยังมีคำขวัญ คำอนุโมทนา คติธรรม เพื่อลงตีพิมพ์ในหนังสืออนุสรณ์ต่างๆ ที่มีผู้ขอมา


    ๏ สมณศักดิ์

    วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ (อายุ ๓๖ พรรษา ๑๕) ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (สป.วิ) ในพระราชทินนามที่ “พระอุดมวิชาญาณเถร”

    วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ (อายุ ๔๔ พรรษา ๒๓) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในพระราชทินนามที่ “พระราชสิทธิมุนี ศรีปิฎกโกศล วิมลปัสสนาจารย์ อุดมวิชาญาณวิจิตร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”

    วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ (อายุ ๕๒ พรรษา ๓๑) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในพระราชทินนามที่ “พระเทพสิทธิมุนี สมถวิธีธรรมาจารย์ วิปัสสนาญาณโสภณ ยติคณิศสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”

    วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ (อายุ ๖๙ พรรษา ๔๘) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในพระราชทินนามที่ “พระธรรมธีรราชมหามุนี คัมภีรญาณวิมล โสภณธรรมานุสิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”


    ๏ อวสานชีวิต

    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) ได้ถึงแก่มรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ ในอิริยาบถนั่งเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ขณะไปทำการสอนวิปัสสนากรรมฐานที่บ้านโยมอุปัฏฐาก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๑ เวลา ๑๕.๐๐ นาฬิกา รวมสิริอายุได้ ๗๐ ปี ๒ เดือน ๑๕ วัน นำความเศร้าโศกแสนเสียดายอาลัยมาสู่คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง ขออำนาจบุญกุศลทั้งปวงได้โปรดดลบันดาลให้พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) ประสบสันติสุขในสัมปรายภพทุกประการ ดังสุนทรโวหารที่ท่านได้นิพนธ์ในสุดท้ายแห่งชีวิต ดังนี้

    “เตรียมสร้างทางชอบไว้ หวังกุศล
    ตัวสุขส่งเสริมผล เพิ่มให้
    ก่อนแต่มฤตยูดล เผด็จชีพ เทียวนา
    ตายพรากจากโลกได้ สถิตด้าว แดนเกษม”


    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)



    .............................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    Ù?-?ҁ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เก็บเงินเกษียณไปเท่าไรก็ไม่สำคัญ ถ้าวันนี้คุณยังรักษามันไม่เป็น

    -http://www.aommoney.com/taxbugnoms/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A3#gs.EJivO7g-




    สวัสดีครับ กลับมาพบกับผม TAXBugnoms กันอีกครั้งกับบทความประจำเวปไซด์ออมมันนี่ (Aommoney) และวันนี้มีเรื่องราวดราม่าจากประสบการณ์จริงของคนรู้จักมาเล่าสู่กันฟังแบบสั้นๆ ในเรื่อง “ชีวิตหลังจากเกษียณ” ให้ฟังกันครับ



    เมื่อพูดถึงเงินเกษียณใครหลายคนอาจจะคิดว่ามันห่างไกลความเป็นจริง ชีวิตของเรายังอีกยาวไกล ไว้สักอายุมากกว่านี้หน่อยค่อยคิดก็ได้ แต่เชื่อเถอะครับว่าเวลานั้นผ่านไปไวเสียจริงๆครับ เผลอแป็บเดียวก็ทำงานมา 10 ปี รู้สึกตัวอีกทีวันเกษียณก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแล้วครับ



    ถ้าหากเป็นในยุคนี้ คำแนะนำที่เราได้รับเสมอๆ คือ “อย่าลืมลงทุนเพื่อวางแผนเกษียณ” โดยเริ่มต้นด้วยการคิดคำนวณเป้าหมายเกษียณ และสะสมเงินตามแผนเกษียณด้วยการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งใช้ผลประโยชน์ของดอกเบี้ยทบต้น เพื่อทำให้เงินจำนวนไม่มากนักในแต่ละเดือน เบ่งบานกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ในช่วงระยะเวลาที่สะสมยาวนาน อย่างที่เคยได้ยินกันมาแหละครับ ออมเงินเดือนละพันสองพันก็มีเงินเกษียณได้ ถ้าหากลงทุนถูกประเภทในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง และในบทความนี้ผมคงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง เพราะเคยเขียนบทความเรื่องนี้ไว้ที่ [DIY] วิธีวางแผนเกษียณด้วยตัวเองแบบง่ายฝุดๆ รวมถึงผมเชื่อว่าหลายๆคนคงเห็นบทความที่กูรูหรือผู้รู้จำนวนมากมายได้เขียนเรื่องนี้ไว้หลายครั้งแล้วใช่ไหมครับ



    แต่สิ่งที่ผมจะเล่าในวันนี้นั้น ไม่ใช่เรื่องการวางแผนเกษียณ ไม่ใช่เรื่องของการทำตามแผนจนบรรลุเป้าหมายเกษียณ แต่มันเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตหลังเกษียณของคุณลุง 2 คนที่ทำให้แกต้องพบกับวิกฤตชีวิตในวัยเกษียณครับ



    ผมได้พูดคุยกับคุณลุงท่านแรกมาสักพัก สมมุติว่าชื่อ ลุง A ละกันนะครับ คุณลุง A แกวางแผนเกษียณไว้ได้ดีมากๆครับ เรียกได้ว่ามีทั้งการสะสมเงินในบัญชีธนาคาร กระจายไปลงทุนในกองทุนรวม หุ้น และตราสารการเงินต่างๆ จนเรียกได้ว่ามีเงินเกษียณแบบสบายๆ หลักหลายสิบล้านบาท (เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว) ซึ่งเงินก้อนนี้บอกตรงๆครับว่า ใช้ไปตลอดปีตลอดชาติ และมั่นใจได้เลยว่าไม่ต้องลำบากชีวิตของลูกหลานอย่างแน่นอน



    ฟังดูแล้วก็เหมือนจะมีความสุขดีใช่ไหมครับ สำหรับคนที่บั้นปลายชีวิตมีเงินเกษียณไว้ใช้สบายๆอย่างคุณลุง A ซึ่งแกเองก็เคยบอกผมไว้ครับว่า เงินทั้งหมดนอกจากจะไว้ใช้แล้ว ยังเก็บสะสมเผื่อไว้ทั้งการรักษาตัวเองหากเจ็บป่วย แถมยังมีมรดกให้ลูกหลานอีกเล็กน้อย เรียกได้ว่าเป็นการวางแผนการเงินที่ครบมิติกันเลยทีเดียว



    แต่ทว่า.. ปัญหาชีวิตกลับตามมาหลังจากเกษียณได้ไม่นาน ลูกหลานที่มีมากมายนั้น กลับกลายมาเป็นภาระแทนเพราะเห็นว่าคุณลุงนั้นรวยมากมาย มีเงินมีทองใช้สอยไม่ขาดมือ จึงพยายามที่จะใช้เงินของคุณลุงทำงานแทน (เรียกง่ายๆคือเกาะคุณลุงกินนั่นแหละครับ – -“) โดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่า เงินเกษียณก้อนนั้นของคุณลุงจะมีไว้พอใช้จ่ายหรือไม่



    เงินที่มีหลักหลายสิบล้านของคุณลุง เมื่อผ่านมาสิบปีกว่าๆ ก็กลายเป็นว่าต้องสูญเสียเงินหลายล้านบาทไปให้กับลูกหลานในการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย จนตัวเองวันนี้กลับมีชีวิตเกษียณลำบากในช่วงบั้นปลายของชีวิตแทน แถมจิตใจของแกก็ย่ำแย่ตามไปด้วย ส่วนลูกหลานน่ะหรอครับ ก็หายหัวกันไปหมด เพราะไม่อยากดูแลคนแก่ที่เจ็บออดๆแอดๆ



    ส่วนเรื่องของคุณลุงคนที่ 2 นั้นหนักหนากว่า สมมุติว่าแกชื่อคุณลุง B ละกันนะครับ ลุง B แกวางแผนเกษียณไว้ดีเช่นเดียวกัน แต่มีเงินไม่มากเท่ากับคุณลุง A ซึ่งตอนแรกดูๆ แล้วผมก็คิดว่าน่าจะเพียงพอต่อการใช้จ่ายของตัวเองในระดับนึง



    แต่ด้วยนิสัยของลุง B ที่เป็นคนเสพติดการใช้จ่าย เนื่องจากก่อนเกษียณแกเป็นคนที่มีชื่อเสียง มีคนนับหน้าถือตา และเห็นคุณค่าในการทำงานของแก แต่พอเกษียณแล้วกลายเป็นว่าอำนาจที่มีก็เริ่มจะหายไป เริ่มจะกลายเป็นคนที่ใครๆก็ถูกลืม แกเลยรู้สึกว่าแกสูญเสียอำนาจเหล่านั้นไป กลายเป็นว่าตอนนี้แกพยายามนำเงินเกษียณมาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายแทน เพื่อที่จะให้ได้รับการยอมรับเหล่านั้นกลับคืนมาจากคนที่แกต้องการ ส่วนคนเหล่านั้นเห็นคุณลุง B เป็นแบบนี ก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นปลิงทันทีโดยไม่ได้นัดหมาย และสุดท้ายจุดจบก็ไม่ต่างกันครับ นั่นคือคุณลุง B ณ วันนี้ก็ไม่มีเงินเกษียณพอใช้ แต่แย่กว่าตรงที่คุณลุงแกมีสภาพจิตใจที่แย่ยิ่งกว่าคุณลุง A เสียอีก



    หลังจากที่รับรู้เรื่องนี้ ผมได้เขียนระบายเป็น Status ลงใน Facebook ส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เหมือนกันครับ





    สำหรับบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดนี้ ผมเพียงต้องการจะสื่อให้ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ฟังเรื่องการเก็บเงิน การออมเงิน หรือแม้แต่การวางแผนการเงินต่างๆก็ตาม นั่นคือ หลังจากที่เราไปถึงเป้าหมายการเงินแล้ว เราอาจจะคิดว่ามันจบ และคิดเอาเองว่าสิ่งนั้นเรียกว่าความสำเร็จของชีวิต แต่จริงๆแล้วการวางแผนการเงินนั้นไม่ได้จบลงแค่การถึงเป้าหมาย แต่มันคือการประคับประคองชีวิตของเราให้เดินอยู่รอดไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตต่างหากครับ



    ผมเชื่อว่า นอกจากคนในยุคนี้มีหน้าที่ในการจัดการวางแผนการเงินของตัวเองแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราควรช่วยจัดการคือการวางแผนการเงินให้กับคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อ-แม่-ลูก และคนในครอบครัว โดยเฉพาะการใช้เงินหลังเกษียณอย่างถูกต้อง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆครับ



    สุดท้ายนี้.. ผมหวังว่าประสบการณ์ของคุณลุงทั้งสองท่านนี้จะเป็นประโยชน์ในแง่ของเรื่องราวที่ทำให้ใครได้เรียนรู้ จึงตั้งใจเอามาเขียนแบ่งปันกัน เผื่อว่าคนที่กำลังวางแผนเกษียณจะได้เตรียมตัวใช้เงินได้อย่างถูกต้อง และคนที่ทำลายเงินเกษียณของคนอื่นอยู่อาจจะได้รู้ตัวว่าเขากำลังทำลายความสุขของชีวิตคนๆหนึ่งแบบที่ไม่น่าให้อภัย



    … และผมได้แต่หวังว่า อย่าให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับใครอีกเลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • gng01.png
      gng01.png
      ขนาดไฟล์:
      391.1 KB
      เปิดดู:
      62
    • gng02.png
      gng02.png
      ขนาดไฟล์:
      104.6 KB
      เปิดดู:
      67
    • gng03.png
      gng03.png
      ขนาดไฟล์:
      81.3 KB
      เปิดดู:
      74
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เจ้าหนี้อายัดเงินเดือน โบนัส ลูกหนี้ได้หรือไม่
    -http://money.sanook.com/407673/-

    หลายคนเมื่อมีรายจ่ายมากกว่ารายรับหรือจำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ขึ้นมาโดยไม่ได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ก็มักจะหันไปพึ่งพาสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรกดเงินสด หรือกดเงินจากบัตรเครดิตมาใช้ หากเรามีวินัยในการจ่ายคืนทุกเดือนก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากไม่มีวินัยในการจ่ายคืน หรือไม่สามารถจ่ายได้แม้กระทั่งขั้นต่ำก็จะกลายเป็นภาระหนี้สิน สร้างปัญหาตามมาได้มากมาย ลูกหนี้หลายคนคงอยากรู้ว่า หากเราจ่ายหนี้ไม่ได้ รายได้จากการทำงานของเรา อย่างเงินเดือน หรือโบนัสนั้น เจ้าหนี้จะสามารถอายัดได้หรือไม่ รวมถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่มีอยู่จะถูกเจ้าหนี้ยึดไปด้วยไหม K-Expert ได้ไปหาคำตอบในเรื่องนี้มาฝากแล้วครับ

    เบื้องต้นต้องทราบก่อนว่า เจ้าหนี้มีสิทธิอายัดเงินเดือน โบนัส และยึดทรัพย์ของลูกหนี้ได้ แต่เจ้าหนี้ไม่สามารถทำได้เองโดยพลการนะครับ จะทำได้ก็ต่อเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เจ้าหนี้ชนะคดี และลูกหนี้เองไม่ชำระคืนให้กับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาภายใน 15 วัน หรือ 30 วัน ขึ้นอยู่กับการกำหนดของศาลในคำพิพากษา แต่จะมีหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการอายัดเงินเดือน โบนัส และยึดทรัพย์อย่างไร มาดูรายละเอียดกันครับ

    การอายัดเงินเดือนและโบนัส
    ในการอายัดเงินเดือนต้องดูก่อนว่า ลูกหนี้ทำอาชีพอะไร หากลูกหนี้เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของข้าราชการ ตรงนี้จะไม่ถูกอายัดเงินเดือนเลย แต่หากลูกหนี้เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือพนักงานบริษัท เจ้าหนี้สามารถอายัดเงินเดือนได้ แต่จะอายัดได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินเดือนก่อนหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นอีกว่า ถ้าลูกหนี้มีเงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท เจ้าหนี้จะไม่สามารถอายัดเงินเดือนได้ เนื่องจากต้องเหลือเงินขั้นต่ำไว้อย่างน้อย 10,000 บาท ให้ลูกหนี้ได้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น

    ลูกหนี้มีรายได้เดือนละ 20,000 บาท ลูกหนี้จะถูกอายัดเงินเดือนได้สูงสุดไม่เกิน 30% x 20,000 = 6,000 บาท ทำให้มีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายเดือนละ 14,000 บาท แต่หากลูกหนี้มีรายได้เดือนละ 12,000 บาท เจ้าหนี้จะอายัดเงินเดือน 30% x 12,000 = 3,600 บาทไม่ได้ เพราะทำให้ลูกหนี้มีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายเพียงเดือนละ 8,400 บาท กรณีนี้เจ้าหนี้จะอายัดได้เพียง 2,000 บาทเท่านั้น เพื่อให้ลูกหนี้เหลือเงิน 10,000 บาทไว้ใช้จ่ายนั่นเอง

    นอกจากนี้ ยังมีกรณียกเว้น หากลูกหนี้มีค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ เช่น ค่าเลี้ยงดูลูก ค่ารักษาพยาบาล ก็สามารถนำหลักฐานไปลดหย่อนที่กรมบังคับคดีเพื่อให้เจ้าหนี้ลดเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนลงได้ครับ


    ในส่วนของเงินโบนัสที่เราได้รับจากการทำงานมาตลอดทั้งปี เจ้าหนี้จะสามารถอายัดได้ไม่เกิน 50% ของจำนวนเงินโบนัสที่เราได้รับ เช่น สิ้นปีได้เงินโบนัสมา 100,000 บาท เจ้าหนี้สามารถอายัดเงินโบนัสได้ไม่เกิน 50% x 100,000 = 50,000 บาท เท่านั้น

    การยึดทรัพย์สิน
    นอกจากการอายัดเงินเดือน และโบนัสของลูกหนี้แล้ว เจ้าหนี้ยังสามารถยึดทรัพย์สินที่มีค่าของลูกหนี้ได้อีกด้วย เช่น สร้อย แหวน ทองคำ นาฬิกา แต่หากเป็นทรัพย์สินที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตอย่างข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ อุปกรณ์เครื่องครัว โทรทัศน์ ที่มีมูลค่า 50,000 บาทแรก หรือทรัพย์สินที่ใช้เป็นเครื่องมือในการทำมาหากินของลูกหนี้ ถ้ามีมูลค่ารวมกันไม่ถึง 100,000 บาท เจ้าหนี้จะไม่สามารถยึดได้ ทั้งนี้ หากเครื่องมือทำมาหากินมีมูลค่าสูงกว่า 100,000 บาท และลูกหนี้จำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็สามารถร้องขอต่อศาลได้ครับ

    นอกจากการอายัดเงินเดือน โบนัส และการยึดทรัพย์สินแล้ว สำหรับเงินฝากในบัญชีธนาคารของลูกหนี้ เจ้าหนี้สามารถสั่งอายัดได้ทั้งจำนวน ในส่วนของทรัพย์สินที่เป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือหากไปร่วมทุนกับคนอื่นเปิดบริษัท กรมบังคับคดีสามารถยึดใบหุ้นเพื่อขายทอดตลาด และอายัดทรัพย์สินเฉพาะส่วนที่เป็นของลูกหนี้เพื่อนำมาชำระหนี้ได้ทั้งจำนวน

    จุดเริ่มต้นของการเป็นหนี้ไม่ได้เป็นการได้เงินมาใช้สบายฟรีๆ แต่เป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ล่วงหน้า และต้องใช้คืนหนี้ทั้งหมด ทั้งเงินต้นรวมถึงดอกเบี้ย หากทุกวันนี้เรายังเป็นหนี้ไม่มากและพอที่จะชำระไหว ควรมีวินัยในการชำระหนี้และรีบปลดหนี้ให้หมดเร็วไวเพื่อความเป็นไทของตัวเราเอง เงินที่หามาได้ทุกบาททุกสตางค์ รวมถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นมาก็จะไม่ถูกอายัดหรือยึดไป ที่สำคัญคือ พยายามรักษาเครดิตเอาไว้ให้ดี เพราะหากพลาดพลั้งก่อหนี้เสียไปแล้ว ในอนาคตหากต้องการกู้ซื้อบ้านหรือทำธุรกิจขึ้นมา โอกาสในการขอสินเชื่อก็อาจเป็นไปได้ยากครับ

    โดย : คนอง ศรีพิบูลพานิชย์, CFP®
    ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย

    ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก K-Expert
    -http://k-expert.askkbank.com/KnowledgeResources/Articles/Pages/Debt_A007.aspx-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • jn01.png
      jn01.png
      ขนาดไฟล์:
      333.7 KB
      เปิดดู:
      66
    • jn02.png
      jn02.png
      ขนาดไฟล์:
      89.7 KB
      เปิดดู:
      93
    • jn03.png
      jn03.png
      ขนาดไฟล์:
      97.7 KB
      เปิดดู:
      103
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เคล็ดลับประหยัดเงิน จากมหาเศรษฐีผู้มีชื่อเสียงของโลก
    -http://money.sanook.com/406855/-

    -http://www.moneyguru.co.th/-
    สนับสนุนเนื้อหา

    ปัจจุบันมีมหาเศรษฐีมากมายอยู่บนโลกใบนี้ แต่เชื่อหรือไม่? ว่าไลฟ์สไตล์ของพวกเขานั้นอาจจะทำให้คุณประหลาดใจ พวกเขาไม่ได้ใช้เงินมือเติบอย่างที่เราเห็นในหนังฮอลลีวู้ดหลาย ๆ เรื่อง แต่พวกเขาค่อนข้างใช้เงินอย่างมัธยัสถ์หรือรู้จักใช้เงินนั่นเอง นี่คือบางส่วนของ เคล็ดลับประหยัดเงิน จากคนที่รวยที่สุดในโลกที่ MoneyGuru.co.th นำมาฝากคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ

    Michael Bloomberg
    ครอบครองทรัพย์สินมูลค่า: $34,300,000,000

    Michael Bloomberg รู้จักกันดีว่าเป็นนายกเทศมนตรีของนครนิวยอร์กและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท บลูมเบิร์ก แอล.พี. ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้ข้อมูลทางการเงินระหว่างประเทศ แต่สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบเกี่ยวกับนายกเทศมนตรีบลูมเบิร์กก็คือ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเขามีรองเท้าทำงานเพียงสองคู่เท่านั้น คือรองเท้าไม่มีส้นสีดำที่เขาใส่แล้วรู้สึกสบายมากที่สุด ในการทำงานของมหาเศรษฐีคนนี้ เพราะเขารู้ว่าอะไรที่เหมาะและดีที่สุดสำหรับเขา และเลือกที่จะเก็บเงินไว้ใช้จ่ายสิ่งอื่นแทนที่จะใช้เงินไปในการซื้อรองเท้าแฟนซียี่ห้อหรูที่เขาคิดว่าคงไม่ได้ใส่

    Bill Gates
    ครอบครองทรัพย์สินมูลค่า: $79,000,000,000

    เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตของคุณ ความผิดพลาดเรื่องเงินคือเรื่องธรรมดาที่มักเกิดขึ้นในชีวิตจริง เราทุกคนต้องเป็นอยู่แล้ว แต่บางคนที่ประสบความสำเร็จทางการเงินไม่เพียงแต่จะเจอกับความผิดพลาดเหล่านั้นเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง Bill Gates เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดในโลก และเขาเคยกล่าวว่า “มันก็โอเคนะที่จะฉลองความสำเร็จ แต่สิ่งสำคัญมากกว่าคือเรียนรู้ความล้มเหลวของตัวเอง”

    Warren Buffett
    ครอบครองทรัพย์สินมูลค่า: $66,100,000,000

    ซื้อบ้านที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ Warren Buffet เป็นตัวอย่างคลาสสิกของกฎนี้ เพราะเขายังคงอาศัยอยู่ในบ้านที่โอมาฮา, เนบราสก้าที่เขาซื้อในปี 1958 ด้วยราคาเพียง $31,500 (11 ล้านบาท เมื่อเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน) และถึงแม้ว่าเขาจะมีเงินเป็นแสนล้านบาท แต่เขาก็ยังคงรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลที่จะอาศัยอยู่ในคฤหาสน์สุดหรูราคาแพงเพียงเพราะเขามีเงินซื้อมันได้ เขายังคงเลือกที่จะอยู่ที่บ้านที่แสนจะธรรมดา ขนาด 5 ห้องนอนของเขา ที่มีความสะดวกสบาย และตั้งอยู่ใจกลางประเทศ

    Oprah Winfrey
    ครอบครองทรัพย์สินมูลค่า: $2,900,000,000

    หาสิ่งที่คุณหลงใหลอย่างแท้จริงให้เจอ เป็นคำแนะนำสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ยิ่งใหญ่จาก Oprah นอกจากนี้ เธอยังเคยกล่าวเอาไว้อีกว่า “คุณจะกลายเป็นสิ่งที่คุณเชื่อ คุณอยู่ในจุดที่คุณยืนอยู่ทุกวันนี้เพราะสิ่งที่คุณเชื่อมั่น” มองหาสิ่งที่คุณรักที่จะทำ การทุ่มเทหมดหน้าตักไล่ตามทางของสิ่งนั้น มักจะมีผลลัพธ์เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

    Mark Zuckerberg
    ครอบครองทรัพย์สินมูลค่า: $30,000,000,000

    แม้แต่ผู้ก่อตั้ง Facebook ก็ยังคงเดินทางสมถะในหลาย ๆ อย่าง บางคนอาจจะไม่เชื่อว่าเขายังคงขับรถ Acura รถที่แสนจะธรรมดามีราคาแค่ $30,000 (1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน) ด้วยทรัพย์สินที่เขามี เขาสามารถซื้อรถเท่ห์ หรูหรา ราคาแพงแค่ไหนก็ได้ แต่เขาก็ยังเลือกรถ Sedan ธรรมดา ๆ แม้ว่าเขาจะมีเงินมากมายแค่ไหนก็ตาม

    หากใครอยากมีเงินเยอะ ๆ แบบนี้ ลองทำตาม เคล็ดลับประหยัดเงิน ของเหล่าเศรษฐีข้างต้นดูนะคะ เผื่อว่าเราจะกลายเป็นเศรษฐีพันล้านหมื่นล้านเหมือนกับพวกเขาบ้าง และหากคุณอยากรับข้อมูลและข่าวสารเกี่ยวกับรถยนต์ การเงิน สินเชื่อ บัตรเครดิต และประกันรถยนต์ ก็สามารถกด Subscribe เพื่อรับสาระความรู้แบบนี้จาก MoneyGuru.co.th ได้เลยค่ะ เราจะส่งตรงถึงอีเมลของคุณทุก ๆ สัปดาห์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ms01.png
      ms01.png
      ขนาดไฟล์:
      280.4 KB
      เปิดดู:
      54
    • ms02.png
      ms02.png
      ขนาดไฟล์:
      154.3 KB
      เปิดดู:
      49
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตั้งสติ ตรวจสอบ ตัดสินใจ จะได้ไม่เป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่

    -https://www.facebook.com/bankofthailandofficial/posts/305833003099467:0-

    ในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังค่อยๆ ฟื้นตัว หลายคนคงมองหาหนทางที่จะเพิ่มพูนรายได้ของตัวเอง บางคนอาจทำงานพิเศษเพิ่มตามความถนัด เช่น รับสอนหนังสือ หรือขายของออนไลน์ บ้างก็มองหาลู่ทางลงทุนเพื่อให้ได้ดอกผลงอกเงยขึ้น

    คงมีอีกหลายคนที่เคยได้ยิน พบเห็น หรือได้รับการเชิญเข้าร่วมหารายได้เสริมจากการเป็นสมาชิกในธุรกิจขายตรง แต่ก็มีการลงทุนบางประเภทที่โฆษณากับเราว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง แต่ไม่บอกรายละเอียดชัดเจนว่าจะไปลงทุนทำอะไร โดยอาศัยการจูงใจด้วยผลตอบแทนสูง ซึ่งธุรกิจดังกล่าวมองดูเผิน ๆ อาจมีลักษณะเหมือนการขายตรง แต่จริง ๆ แล้วเป็นธุรกิจขายตรงที่แอบแฝงแชร์ลูกโซ่ ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้ถูกชักชวนก็อาจต้องสูญเสียเงินทองโดยไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรเลย

    ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อ "แชร์ลูกโซ่" คุณควรยึดหลัก "3 ต" ดังนี้ครับ
    1. ตั้งสติ - เมื่อถูกชักชวน ควรตั้งสติให้ดี ไม่รีบตัดสินใจตกลงเพราะต้องการผลตอบแทน
    2. ตรวจสอบ - พยายามค้นคว้าข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจ ผลตอบแทน และสินค้าของบริษัท
    3. ตัดสินใจ - หากไม่แน่ใจในธุรกิจดังกล่าว ควรตัดสินใจปฏิเสธคำชวน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของแชร์ลูกโซ่

    คุณสามารถอ่านรายละเอียดเรื่อง "ขายตรงแน่ ๆ หรือเป็น...แชร์ลูกโซ๋" เพิ่มเติมได้จากนิตยสาร "BOT พระสยาม Magazine" http://bit.ly/2bfxc1O [http://bit.ly/2bfxc1o&h=maqfeoxdnaq..._rgiwo3diwhnm5calungyd_wf9uyeipdyv&s=1_green]
    ครับ

    และหากคุณมีข้อสงสัยในผลิตภัณฑ์การเงิน หรือการลงทุนใด ๆ ที่อาจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ สามารถติดต่อสอบถามหน่วยงานของแบงก์ชาติที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง คือ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) โทร. 1213 ก่อนจะตัดสินใจลงทุนครับ

    ‪#‎แบงก์ชาติ‬ ‪#‎ศคง‬
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ks01.png
      ks01.png
      ขนาดไฟล์:
      97.3 KB
      เปิดดู:
      65
    • ks02.png
      ks02.png
      ขนาดไฟล์:
      670 KB
      เปิดดู:
      76
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    14 สิ่งน่ารู้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ อยุธยา ไปเที่ยวกี่ครั้งก็ประทับใจ

    -http://travel.kapook.com/view154248.html-


    วัดพระศรีสรรเพชญ์จะไปเที่ยววัดพระศรีสรรเพชญ์ ที่เที่ยวอยุธยาควรเตรียมตัวอย่างไร มีข้อมูลอะไรน่าสนใจบ้าง เดินทางไปเที่ยวโดยไม่มีรถส่วนตัวได้ไหม เรามีคำตอบ

    วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ช่วงสมัยอยุธยา ปัจจุบันได้กลายเป็นที่เที่ยวอยุธยาที่ห้ามพลาด ไม่ว่าจะนักท่องเที่ยวชาวไทยหรือชาวต่างชาติ หากได้มาเที่ยวอยุธยาจะต้องไปเที่ยวชมวัดแห่งนี้กันสักครั้ง เพราะอะไรวัดพระศรีสรรเพชญ์จึงเป็นวัดที่สำคัญของประวัติศาสตร์ไทย มีอะไรที่น่าสนใจรออยู่ที่วัดแห่งนี้บ้าง เดินทางไปเที่ยวได้อย่างไร ฯลฯ ตามเราไปเก็บข้อมูลเหล่านี้กันได้เลย


    1. วัดพระศรีสรรเพชญ์ ตั้งอยู่บนถนนศรีสรรเพชญ์ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทางทิศเหนือของวิหารพระมงคลบพิตรในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

    2. วัดพระศรีสรรเพชญ์ มีฐานะเป็นวัดประจำพระราชวังเช่นเดียวกันกับวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ

    3. เดิมทีบริเวณวัดพระศรีสรรเพชญ์เป็นที่ประทับของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แต่ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ย้ายพระราชวังไปทางเหนือ และอุทิศที่ดินเดิมนี้เพื่อสร้างวัดภายในพระราชวัง เพื่อประกอบพิธีสำคัญต่าง ๆ แต่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา

    วัดพระศรีสรรเพชญ์

    4. ภายในวัดพระศรีสรรเพชญ์จะมีเจดีย์สำคัญ 3 องค์ มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงลังกา ตั้งเรียงรายเป็นสัญลักษณ์อย่างสวยงาม ได้แก่

    - เจดีย์ทางด้านทิศตะวันออก สร้างโดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ในปี พ.ศ. 2035 เพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชบิดา

    - เจดีย์องค์กลาง สร้างโดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ในปี พ.ศ. 2035 เช่นกัน เพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 พระบรมเชษฐา

    - เจดีย์ทางด้านทิศตะวันตก สร้างโดยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (สมเด็จพระหน่อพุทธางกูร) เพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

    5. นอกจากเจดีย์ทั้ง 3 องค์แล้ว ภายในวัดก็ยังมีซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างที่สำคัญอื่น ๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นพระวิหาร หอระฆัง พระอุโบสถ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่มีความเก่าแก่และสวยงามอย่างยิ่ง

    วัดพระศรีสรรเพชญ์

    6. อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาจะมีบริการเครื่องโสตทัศนาจร สามารถฟังข้อมูลการบรรยายวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดไชยวัฒนาราม และวัดมหาธาตุ ได้ในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เช่าได้ที่จุดบริการใกล้ป้อมจำหน่ายบัตรของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยคิดค่าบริการเครื่องละ 150 บาท

    7. นักท่องเที่ยวสามารถเช่าจักรยานเพื่อปั่นชมรอบ ๆ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาได้ แล้วนำมาจอดหน้าวัดพระศรีสรรเพชญ์ ก็จะสะดวกกว่าการขับรถเข้ามาเที่ยว เพราะจะต้องหาที่จอดรถ ยิ่งถ้ามาในช่วงวันหยุด นักท่องเที่ยวจะพลุกพล่าน และหาที่จอดรถได้ยากมาก

    8. วัดพระศรีสรรเพชญ์เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น.

    9. ค่าเข้าชมวัดพระศรีสรรเพชญ์ สำหรับคนไทย ผู้ใหญ่คนละ 10 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่คนละ 50 บาท หรือจะซื้อบัตรรวมสำหรับการเข้าชมวัดต่าง ๆ โดยรอบอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาเลยก็ได้ คนไทยคนละ 40 บาท และชาวต่างชาติ 220 บาท ส่วนเด็ก นักเรียน นักศึกษา ไม่เสียค่าเข้าชม

    วัดพระศรีสรรเพชญ์

    10. หากมาเที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาแล้ว ต้องไม่พลาดที่จะชมความสวยงามยามค่ำคืนของที่นี่ โดยทางอุทยานจะเปิดไฟตั้งแต่เวลา 18.30-21.00 น. แสงสีทองจะส่องสว่างไปรอบวัดต่าง ๆ อย่างสวยงามอลังการ นักท่องเที่ยวสามารถที่จะชมได้จากด้านนอกของอุทยานเท่านั้น เพราะอุทยานจะปิดให้เข้าชมเวลา 18.00 น.

    11. การมาเที่ยวชมวัดพระศรีสรรเพชญ์และโบราณสถานโดยรอบอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา นักท่องเที่ยวต้องทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด อาทิ ไม่ปีนป่ายโบราณสถาน, ไม่หยิบจับวัตถุโบราณ, ไม่เหยียบย่ำบริเวณซากปรักหักพัง เป็นต้น เพราะนอกจากจะทำลายโบราณสถานแล้ว ก็ยังอาจจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้เข้าชมอีกด้วย

    12. ถึงแม้ว่าทางอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาไม่ได้มีข้อบังคับในเรื่องการแต่งกาย แต่นักท่องเที่ยวก็ควรแต่งกายให้สุภาพ เหมาะสมกับสถานที่ หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงขาสั้น กระโปรงสั้น เสื้อสายเดี่ยว ฯลฯ นอกจากจะให้เกียรติกับสถานที่แล้ว ยังเป็นการป้องกันอันตรายจากแมลง เศษกิ่งไม้และเศษหิน อิฐ ปูน บริเวณโดยรอบโบราณสถานด้วย

    วัดพระศรีสรรเพชญ์

    13. การเดินทางมายังวัดพระศรีสรรเพชญ์

    - โดยรถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ขับรถมาตามถนนสายเอเชีย (ทางหลวงหมายเลข 32) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าอยุธยา ขับไปเรื่อย ๆ ผ่านวงเวียน ข้ามสะพานปรีดีพนมยงค์ ตรงไปจนถึงถนนศรีสรรเพชญ์ เลี้ยวขวา แล้วขับเลยวงเวียนไปสักพักจะเจอกับทางเข้าวัดพระศรีสรรเพชญ์

    - โดยรถประจำทาง นักท่องเที่ยวสามารถที่จะนั่งรถตู้ประจำทางมาลงที่ตัวอำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยาได้ แล้วเช่ารถตุ๊กตุ๊กแบบเหมาพาเที่ยวทั้งวัน แต่ถ้าใครสามารถขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ได้ ก็จะมีร้านให้เช่ามอเตอร์ไซค์อยู่บริเวณท่ารถและหน้าสถานีรถไฟ

    - โดยรถไฟ การเดินทางด้วยรถไฟเป็นอีกหนึ่งวิธีที่นักท่องเที่ยวเลือกเดินทางจากกรุงเทพฯ เพราะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากทีเดียว และยังได้ชมบรรยากาศสองฟากฝั่งระหว่างทางได้อีกด้วย โดยนักท่องเที่ยวสามารถที่จะมาขึ้นรถไฟได้ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง มีรถไฟให้บริการทุกวัน แล้วลงที่สถานีรถไฟอยุธยา จากนั้นจะเช่ารถตุ๊กตุ๊กให้พาเที่ยว หรือจะเช่ารถมอเตอร์ไซค์เที่ยวเองก็ได้เช่นกัน

    14. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โทรศัพท์ 0 3524 2284, 0 3524 2286

    ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวดี ๆ ที่น่ารู้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ ภายในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หากได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ไปบ้างก็จะทำให้เที่ยววัดแห่งนี้ได้อย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น และต้องไม่ลืมที่จะหยิบแผ่นพับเกี่ยวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์และวัดอื่น ๆ ภายในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาจากบริเวณที่ทำการอุทยานติดมือไปด้วยนะคะ จะได้เที่ยวที่ต่าง ๆ ได้อย่างครบรส :)

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    -http://thai.tourismthailand.org/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B9%8C--2-
    , อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
    , สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    -http://www.ayts.go.th/index.php/th/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94/%E0%B8%AD-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2/item/63-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%8D-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ee.jpg
      ee.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.9 KB
      เปิดดู:
      65
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    9 สเต็ป วางแผนการเงิน ฉบับ Insuranger

    -http://money.sanook.com/408939/-

    Insuranger AomMoney Guru
    -http://www.aommoney.com/#gs.MVnTUVE-

    สำหรับเรื่องการวางแผนการเงิน ผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนการเงินกันบ้างแล้ว แต่บางคนก็อาจจะยังมีคำถามอยู่ในหัวว่า “จะเริ่มจากตรงไหนดี?”

    เมื่อไม่ทราบคำตอบ ส่วนใหญ่ก็มักจะคิดว่า “การวางแผนการเงิน ก็คือวางแผนเก็บออม ลงทุน ให้เงินงอกเงยนั่นแหละ” อยู่ๆก็เลยกระโจนไปเริ่มที่ลงทุนเลยบ้าง สนใจแต่ว่าจะลงทุนในอะไรดี? หุ้นตัวไหนดี? กองทุนตัวไหนดี? ตอนนี้ซื้อได้รึยัง? ตอนนี้ควรจะขายไหม? แล้วก็คิดว่าการที่เราได้ศึกษา หาข้อมูล เพื่อให้ได้ตัวที่ดีที่สุดมา จะเป็นคำตอบสุดท้ายที่จะช่วยให้เรารวยได้

    แต่นั่นไม่ใช่เลย! เพราะหากเปรียบเทียบการวางแผนการเงิน หรือการวางแผนชีวิตเหมือนการเดินทางแล้ว เราจะเลือกพาหนะได้ถูกได้ยังไง ถ้าเราไม่รู้ว่าเราจะเดินทางไปที่ไหน?

    เราจะเดินทางไปไหนถูกได้ยังไง ถ้าเรายังไม่รู้ว่าเราอยู่จุดไหน?

    เราจะออกเดินทางได้ยังไง ถ้าเราไม่รู้ว่า เราต้องใช้เวลาเดินทางประมาณเท่าไหร่? (หรือต้องเดินทางไปเรื่อยๆ ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น?)

    เราจะเดินทางอย่างปลอดภัยได้ยังไง ถ้าเราไม่รู้ว่าเราต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง?

    การวางแผนการลงทุน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวางแผนการเงินเท่านั้น การกระโจนเข้าสู่การลงทุน โดยไม่มีการวางแผนการเงินอย่างรอบด้านล่วงหน้า ก็เปรียบเสมือนคุณรีบบึ่งขับรถออกจากบ้านด้วยความเร็วสูง ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน และไม่ได้มีการเตรียมพร้อม ตรวจสอบความปลอดภัย ตุนสเบียง เตรียมแผนที่ให้เรียบร้อยก่อน ทำให้โอกาสไปไม่ถึงเป้าหมาย หรือประสบอุบัติเหตุระหว่างทางแล้วเอาตัวไม่รอด มีสูงมาก

    ฉะนั้น ก่อนที่คุณจะเริ่มวางแผนออกเดินทาง ผมมี 9 ขั้นตอนทางการเงินที่คุณต้องเตรียมพร้อม มาแนะนำ เพื่อให้คุณมีโอกาสไปถึงจุดหมายในชีวิตที่ต้องการ มาแนะนำครับ

    9 ขั้นตอนสู่เป้าหมายทางการเงินอย่างมีความสุข

    เริ่มจาก….ค้นหาคำตอบเหล่านี้ให้ได้

    STEP 1 : ค้นหาแรงบันดาลใจและเป้าหมาย

    – เราต้องการอะไรในอนาคต? (การแต่งงาน, มีลูก, มีรถ, มีบ้าน, ทุนการศึกษา, อิสรภาพของชีวิต(เกษียณ))

    – ทำไมเราถึงต้องการสิ่งนั้น? (อยากมีครอบครัว, อยากมีความมั่นคงในชีวิต, อยากใช้ชีวิตอย่างหมดกังวลหลังเกษียณ, อยากมีอิสรภาพทางการเงิน) ไม่มีไม่ได้เหรอ? มันจำเป็นขนาดไหน? ถ้าไม่ได้แล้วชีวิตจะเป็นยังไง?

    ขั้นตอนแรกนี้ผมถือว่าสำคัญที่สุดครับ สำคัญยิ่งกว่าความรู้ใดๆทั้งหมด เพราะถ้าเป้าหมายไม่ชัดเจน ไม่มีเหตุผล ไม่มีความหนักแน่น จะทำให้เราไม่มีแรงผลักดันที่มากพอจะพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป้าหมายทางการเงินที่ต้องใช้เงิน ทำให้เราต้องหาเงิน ต้องอดทน ต้องอดออม ต้องมีวินัย อย่างต่อเนื่อง (บางเป้าหมาย เช่น เกษียณอายุ หรือมีอิสรภาพทางการเงินและชีวิต อาจจะใช้เวลาถึง 10-20 ปี)

    ถ้าเราไม่มีเหตุผลและความรู้สึกที่ชัดเจน หนักแน่น ต่อเป้าหมายมากพอ หรือเป็นเป้าหมายที่เราไปหยิบยืมความฝันของคนอื่นมา (เช่น อยากมีเงิน 100 ล้าน เพราะคิดแค่ว่ารวยดี อยากมีอิสรภาพทางการเงิน เพราะอยากสบาย ฯลฯ) ไม่มีวันจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้แน่นอน เราจะท้อแท้ และล้มเลิกกลางทางไปซะก่อน เพราะเรารู้สึกว่า ถึงไม่ได้มันมา เราก็ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่

    อย่างที่มีคนกล่าวไว้ “ถ้าความต้องการมากพอ เดี๋ยววิธีการจะตามมาเอง”

    เรามีความต้องการที่มากพอกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ไหม? ลองถามตัวเองดูครับ

    STEP 2 : ระบุเป้าหมายอย่างละเอียด

    – เป้าหมายนั้นราคาเท่าไหร่? (ค่าจัดงานแต่ง, ราคารถ, ราคาบ้าน, มูลค่าทุนการศึกษา, จำนวนเงินที่ต้องเตรียมเพื่อการเกษียณ, มูลค่าทรัพย์สินที่ต้องมีทั้งหมด เพื่อให้มีอิสรภาพ)

    – ต้องการบรรลุเป้าหมายนั้นในอีกกี่ปีข้างหน้า?

    ที่ต้องรู้ ก็เพราะการมีตัวเลข จะทำให้เราสามารถ “วัด” ได้ ว่าเราเข้าใกล้เป้าหมายไปเท่าไหร่แล้ว และ “เหลือ” (จำนวนเงิน, เวลา) อีกเท่าไหร่ ที่เราต้องไปให้ถึง หากไม่มีตัวเลข หรือตัวเลขไม่ชัดเจนแล้ว เราจะไม่สามารถวัดผลได้เลย ดังนั้น บางทีเราอาจจะต้องรู้วิธีการคำนวณหาเงินเป้าหมายก่อน (หรือใช้เครื่องมือ หรือโปรแกรม ช่วยคำนวณก็ได้)

    STEP 3 : กลับมาสำรวจตัวเองในปัจจุบัน ด้านการเงิน และการงานส่วนตัว

    ด้านการเงิน

    – จัดทำงบกระแสเงินสด (ประเมินรายได้, รายจ่าย, เงินออม ต่อเดือน ต่อปี เท่าไหร่? หักลบกัน คงเหลือเท่าไหร่? เพื่อสำรวจ “พฤติกรรม” การใช้จ่ายของตัวเอง ว่าเราใช้จ่ายเกินตัวไหม? เราใช้จ่ายกับอะไรเป็นส่วนมาก? แล้วรายจ่ายเหล่านั้นจำเป็นไหม ปรับลดได้ไหม? รายได้ที่เรามีเทียบกับรายจ่ายแล้วน้อยเกินไปรึเปล่า? จะมีวิธีการเพิ่มรายได้ยังไงได้บ้าง

    – จัดทำงบความมั่งคั่งสุทธิ (สินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งหมด (เงิบเก็บสภาพคล่อง, เงินลงทุน, ทรัพย์สินส่วนตัว), หนี้สินที่มีอยู่ทั้งหมด (หนี้สินระยะสั้นเช่นบัตรเครดิต, หนี้สินระยะยาวเช่น หนี้บ้าน หนี้รถ) มีอะไรบ้าง? มีอยู่เท่าไหร่? หักลบกันแล้ว สินทรัพย์มากกว่าหนี้สินเท่าไหร่? นั่นคือความมั่งคั่งสุทธิของเรา หรือมูลค่าฐานะทางการเงินที่แท้จริงของเรานั่นเอง เพื่อหาคำตอบว่า “เรามีความมั่นคงทางการเงิน” มากน้อยแค่ไหน

    ด้านการงาน

    – งานที่ทำอยู่ในปัจจุบันคืองานอะไร? เรารู้สึกยังไงกับงาน? ชอบหรือไม่ชอบ? มีความสุขกับงานที่ทำรึเปล่า? รายได้เท่าไหร่? เพียงพอกับภาระค่าใช้จ่ายไหม? ทำให้เหลือเงินเก็บอย่างพอเพียงรึเปล่า?

    ที่ต้องสำรวจด้านการงานด้วย ก็เพราะว่า งาน ถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในชีวิตเลยใช่ไหมล่ะครับ? เราจะมีเงินได้ ก็เพราะว่าเราต้องทำงาน ถ้าไม่มีงานเราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย มาออม มาลงทุน? ถ้าเรายังทำงานได้ไม่ดีพอ รายได้ที่เราหาได้ จะสูงพอที่จะนำไปบริหารจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เราตั้งไว้ได้หรือเปล่า? ดังนั้น ยิ่งมีเป้าหมายสูง ไลฟ์สไตล์สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้เงินมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องทำงานให้ดี หาเงินให้เก่งขึ้นตามไปด้วย ถึงจะบรรลุเป้าหมายได้ (ซึ่งก็แล้วแต่ชีวิต และความต้องการของแต่ละคนนะครับ บางคนต้องการน้อย ใช้น้อย ก็อาจจะไม่อยากดิ้นรนเพื่อหาเงินให้มากขึ้นก็ได้)

    เริ่มเข้าสู่…การวางแผนการเงิน การงาน และชีวิต -> โดยยึดหลักคิด = เป้าหมายที่วางไว้ เพื่อให้ชีวิตในอนาคตมั่นคงมีความสุข ขณะเดียวกัน ชีวิตปัจจุบันก็ต้องมีความสุข ต้องบริหารให้ชีวิตมีความสมดุลด้วย

    STEP 4 “ทำงานที่รัก รักงานที่ทำ” : จัดการกับชีวิตการงานของตัวเองให้ลงตัวซะก่อน

    – ถ้ามีความสุขกับงานที่ทำ รายได้เหมาะสมแล้ว แสดงว่ารากฐานชีวิตของเราก่อนจะวางแผนการเงิน มั่นคงดีแล้ว

    – ถ้าไม่มีความสุขกับงานที่ทำ ต่อให้รายได้มากขนาดไหน เพียงพอต่อการบริหาร และวางแผนการเงินขนาดไหน บางที ระหว่างการเดินทางสู่เป้าหมายทางการเงิน ก็อาจไม่มีความสุขได้

    – ถ้าไม่มีความสุขกับงานที่ทำ รายได้ก็ไม่เท่าที่หวัง ควรจะลองค้นหาตัวเองเพื่อหางานที่เหมาะสมกับเราให้ได้

    – เราถนัดอะไร? เราชอบทำอะไร? อะไรที่เวลาเราทำแล้วมีความสุข? อะไรที่เวลาเราทำแล้วมีคนชอบ มีคนชื่นชม มีคนขอบคุณ? ให้เริ่มจากการพัฒนาทักษะในสิ่งนั้น

    – แต่บางครั้ง การต้องฝืนทำอะไรในสิ่งที่ไม่ชอบบ้าง (แม้จะเป็นอาชีพที่เราทำแล้วมีความสุข แต่มันก็จะต้องมีสิ่งที่เราไม่อยากทำ หรือเป็นอุปสรรคบ้างอยู่แล้วล่ะ) ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าผ่านมันมาได้ซ้ำๆ จะทำให้เราเกิดความ “ภาคภูมิใจในตัวเอง” ว่าแม้แต่เรื่องยากๆ เราก็ผ่านมันมาได้แล้ว ไม่มีใครดูถูกเราเรื่องนี้ได้

    ทำไมผมถึงให้ความสำคัญกับงานมาก? เพราะผมเชื่อว่า เราใช้เวลา 1/3 ของชีวิตไปกับการทำงาน เพราะฉะนั้น ถ้างานไม่ดี ไม่โอเคกับการทำงาน กับรายได้ที่หาได้ ยากมาก ที่จะมีการเงินที่ดี เพราะถ้ารายได้น้อยเกินไป เราจะไม่เหลือเงินออมมาวางแผนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หรือถ้าเราไม่มีความสุขกับการทำงาน ทำงานหนักเกินไป เครียดอยู่บ่อยๆ เราก็มีแนวโน้มที่จะเอาเงินที่หามาได้ไปใช้จ่าย กิน เที่ยว ช็อปปิ้ง เพื่อหาความสุขจากการบริโภคมาทดแทนความสุขที่เสียไปจากการทำงาน ก็ยิ่งทำให้เรามีโอกาสเหลือเงินเก็บมาวางแผนการเงินในอนาคตน้อยลงไปอีก

    เพราะฉะนั้น การได้ทำงานที่ดี มีความสุข มีรายได้ที่เหมาะสม สามารถพัฒนาตัวเอง เพื่อเพิ่มรายได้อย่างสม่ำเสมอ คือสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการวางแผนการเงินครับ

    STEP 5 “มีเงินเหลือเก็บ” : รากฐานของการวางแผนการเงิน คือวินัยทางการเงินที่ดี

    – ไม่ว่าเรากำลังทำงานที่รักหรือไม่ ขณะที่เรากำลังค้นหางานที่ใช่ เราก็ต้องบริหารการใช้จ่ายส่วนตัวไปพร้อมๆกันด้วย

    – ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงกับรายได้ที่หามา ไม่ฟุ้งเฟ้อเกินตัว บริหารเงินให้รายจ่ายน้อยกว่ารายได้ที่หามา ให้เหลือเงินเก็บให้ไ้ด้

    – หากมีหนี้ที่เกิดจากการบริโภคหรือหนี้ระยะสั้น ยังไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นให้น้อยที่สุด เจรจาประนอมหนี้ แล้วหาทางเคลียร์หนี้สินให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก

    – สะสมเงินเก็บให้มีเงินสำรอง อย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน (สำหรับคนที่ทำงานประจำ) หรืออาจจะถึง 10-12 เท่า สำหรับคนที่ไม่ได้ทำงานประจำ เพื่อเป็นเงินก้อนเผื่อเหตุฉุกเฉิน (เช่น ตกงาน หางานไม่ได้ มีเหตุต้องใช้เงินก้อนใหญ่กะทันหัน)

    – เปลี่ยนแนวคิดจาก “หามาได้ ใช้จ่าย เหลือเท่าไหร่ค่อยเก็บเท่านั้น” มาเป็น “หามาได้ ตัดเก็บตามที่ตั้งใจไว้ก่อนเลย เหลือเท่าไหร่ค่อยใช้เท่านั้น” แทน เพื่อป้องกันการเก็บเงินไม่อยู่ โดยการใช้เครื่องมือในการเก็บเงินอัตโนมัติเข้าช่วย เช่น สมัครใช้ระบบตัดเงินจากบัญชีเงินเดือน ไปบัญชีเงินออมที่ถอนได้ยาก หรือในบัญชีเงินลงทุน อัตโนมัติ ทุกๆเดือน จะทำให้เราสามารถออม/ลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ มีวินัย โดยที่เราแทบไม่รู้สึกว่าต้องบังคับตัวเองอะไรเลย

    STEP 6 “ปกป้องเงินที่หามาและเงินออมที่มีอยู่” : ปิดความเสี่ยง อุดรอยรั่วทางการเงิน ด้วยการทำประกัน

    – เมื่อมีเงินเหลือ อุตส่าห์เก็บสะสมเงินที่หามาได้ ก็ควรปกป้องเงินเก็บดังกล่าว ไม่ให้สูญเสียไปกับกรณีไม่คาดฝันที่อาจจะทำให้เราต้องสูญเสียเงินเก็บจำนวนมาก เช่น รถชน, ไฟไหม้, บาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุ, ป่วยเป็นโรคร้ายแรง, ต้องเข้ารับการผ่าตัดรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล จนทำให้กระทบกับเงินส่วนตัว หรือเป็นภาระคนใกล้ตัว

    – ถ่ายโอนความเสี่ยงเหล่านี้ให้กับบริษัทประกัน ด้วยการทำประกันรถยนต์, ประกันอัคคีภัย, ประกันทรัพย์สินต่างๆ, ประกันสุขภาพ, ประกันโรคร้ายแรง และประกันชีวิต โดยการจ่ายเบี้ยประกันให้เหมาะสม เพื่อเป็นการตีกรอบความเสียหายให้อยู่ในขอบเขตที่เราบริหารจัดการได้ คือแค่เท่าเบี้ยประกันในแต่ละปี

    STEP 7 “ลงทุน” : เพื่อเพิ่มพูดความมั่งคั่ง ให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ

    – เมื่อรากฐานการเงินแข็งแรง เงินที่หามาได้ ได้รับการปกป้องแล้ว ก็สามารถเดินต่อไปได้อย่างอุ่นกายสบายใจ ด้วยการหาวิธีเพิ่มพูดความมั่งคั่งที่มีอยู่ เพื่อพาตัวเองไปสู่จุดหมายที่ต้องการ

    – จากการที่เราวางเป้าหมายทางการเงินแล้ว รู้เป้าหมายราคาเท่าไหร่ ก็มาคำนวณว่า อัตราผลตอบแทนที่เหมาะสมกับเวลาลงทุน และความเสี่ยงที่เรารับได้เป็นเท่าไหร่? เพื่อหาจำนวนเงินลงทุนที่เหมาะสม

    – วางแผนจัดทำกลยุทธ์การลงทุนหลัก (Strategic Asset Allocation : SAA) เพื่อออกแบบพอร์ตการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนและความเสี่ยงที่เหมาะสมกับเรา โดยมีการกระจายการลงทุนไปสู่สินทรัพย์ประเภทต่างๆ ตามสัดส่วนที่กำหนด

    – อาจจะวางแผนการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุน (Tactical Asset Allocation : TAA) สำหรับการบริหารพอร์ตการลงทุนระหว่างที่เราลงทุน ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น หุ้นตก, อัตราดอกเบี้ยปรับตัว ฯลฯ เพื่อควบคุมอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยง โดยการปรับสัดส่วนที่กำหนดไว้ ในขอบเขตที่เหมาะสม (ศึกษาหาความรู้ให้ดีก่อน อย่ากระโจนไปทำมั่วๆ ตามกระแส หรือคำแนะนำของคนอื่นโดยไม่ได้วิเคราะห์เอง)

    – เมื่อวางแผนกลยุทธ์เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการคัดเลือกหลักทรัพย์เข้ามาในพอร์ตการลงทุน หุ้นตัวไหนที่เหมาะสม?, กองทุนไหนที่ตอบโจทย์? โดยการคัดเลือกก็ต้องใช้วิธีวิเคราะห์ ทั้งการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หาราคาที่เหมาะสมสำหรับการซื้อ รวมไปถึง การวิเคราะห์เชิงเทคนิค หาจังหวะเวลาเหมาะสมที่จะเข้าซื้อ รวมถึงคำนวณหาราคาขาย และจังหวะขายที่เหมาะสม ตามสถานการณ์ หรือเวลาที่เริ่มจะใกล้ถึงเป้าหมาย


    STEP 8 รู้จักบริหารจัดการ “ภาษี” : เพื่อดึงรายได้กลับมาอย่างถูกกฎหมายอีกทางหนึ่ง

    – สำรวจรายได้ว่า เรามีรายได้อยู่ในหมวดไหนบ้าง? (40(1) – 40(8)) มีโอกาสใช้ค่าลดหย่อนอะไรบ้าง ที่เรามีสิทธิ์ใช้ได้? (หักค่าใช้จ่าย, ส่วนตัว, คู่สมรส, บุตร, บิดามารดา, ประกันชีวิต, ประกันสุขภาพบิดามารดา, RMF, LTF, PVD, กบข., ประกันสังคม, เงินบริจาค, เลี้ยงดูผู้พิการ, ดอกเบี้ยเงินกู้บ้าน, ท่องเที่ยว ฯลฯ) และมีสิทธิ์ใช้ได้สูงสุดเท่าไหร่?

    – มีโอกาสที่เราสามารถปรับโครงสร้างรายได้ เพื่อเปลี่ยนหมวดรายได้ ไปยังหมวดรายได้ที่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้สูงขึ้นได้ไหม?

    – อย่าลืมว่า ภาษี เป็นเพียง “สิทธิ์” ในการหารายได้เพิ่มเติม ไม่ใช่ “เงื่อนไขที่จำเป็น” ที่ทุกคนต้องทำเพื่อให้ได้ค่าลดหย่อนที่มากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหาที่อาจจะตามมาต่อการเงินด้านอื่นๆ (เช่น ซื้อประกันชีวิต, RMF, LTF เต็มแม็ก เพื่อให้ได้ลดหย่อนสูงสุด แต่ไม่คำนึงเลยว่า ซื้อมากเกินความเหมาะสมหรือไม่ เป็นรายจ่ายที่มากเกินไปรึเปล่า) ดังนั้น ให้ตั้งเป้าหมายที่เป้าหมายการเงินก่อน ภาษีที่ลดหย่อนได้จากค่าลดหย่อนที่ซื้อได้ ถือเป็นของแถม


    STEP 9 วางแผนส่งต่อทรัพย์สินให้คนข้างหลังอย่างเหมาะสม

    – ตลอด 8 ขั้นที่ผ่านมา คือการวางแผนเงินทอง “เมื่อเรายังมีชีวิต” อยู่ แต่ในสเต็ปนี้ คือการวางแผนเงินทอง “เมื่อเราจากไปแล้ว” เพื่อให้เกิดความสงบ เรียบร้อย ไม่มีปัญหา แก่คนที่อยู่ข้างหลัง ทั้งในเรื่องของ การแก่งแย่ง ทะเลาะเบาะแว้ง หรือภาระภาษีที่ต้องจ่าย

    – จัดทำพินัยกรรม, ธรรมนูญครอบครัว, วางแผนมรดก, วางแผนภาษีมรดกและภาษีการให้, ภาษีที่ดิน ให้ถูกต้องเหมาะสม


    ทั้งหมดนั้น คือการสรุปขั้นตอน และภาพรวมของการวางแผนชีวิต (การเงิน + การงาน) ทั้งหมด ที่ผมพยายามรวบรวมมาให้ทุกคนได้พอเห็นภาพกันนะครับ อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างมีรายละเอียดของมัน ที่เราต้องศึกษาเพิ่มเติม โดยเฉพาะในเรื่องของการลงทุน จะคำนวณตัวเลขยังไง? จะมีวิธีการวิเคราะห์อะไรยังไง? นั่นคือสิ่งที่เราต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมครับ อย่าไปค้นหาสูตรสำเร็จ อย่าไปขอคำตอบสำเร็จรูปจากใคร เพราะความสำเร็จมันไม่ทางลัด เราต้องพยายามค้นหาและลงมือทำด้วยตนเอง (โดยอาจหาผู้ช่วย หรือคนแนะนำ ให้คำปรึกษา)

    ขอให้ทั้งหมด อยู่ภายใต้หลักคิดที่ถูกต้อง อยู่ในหลักของ “ความสมดุล” ระหว่างปัจจุบันและอนาคต และ “ความพอเพียง” ของการใช้ชีวิต ไม่ทำอะไรไร้เหตุผล หรือทำอะไรเกินตัว แล้วผมเชื่อว่า ชีวิตคุณจะมีความสุขทั้งปัจจุบันและในอนาคตที่วางไว้ครับ

    เมื่อทราบวิธี และขั้นตอนแล้ว ขอให้นำไปปฏิบัติอย่างถูกต้อง แล้วถ้ามีอะไรต้องการปรึกษา ผมยินดีรับฟังและช่วยหาคำตอบเสมอครับ :)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • in01.png
      in01.png
      ขนาดไฟล์:
      370.9 KB
      เปิดดู:
      60
    • in02.png
      in02.png
      ขนาดไฟล์:
      106.4 KB
      เปิดดู:
      65
    • in03.png
      in03.png
      ขนาดไฟล์:
      155.2 KB
      เปิดดู:
      68
    • in04.png
      in04.png
      ขนาดไฟล์:
      103.1 KB
      เปิดดู:
      73
    • in05.png
      in05.png
      ขนาดไฟล์:
      121.2 KB
      เปิดดู:
      76
    • in06.png
      in06.png
      ขนาดไฟล์:
      281.8 KB
      เปิดดู:
      70
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "ตำนานขรัวตาแสง"
    ประวัติของขรัวตาแสง พระอาจารย์องค์สำคัญของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี

    -https://www.facebook.com/Legendknowledge888/posts/1576603582635181:0-

    -https://www.facebook.com/Legendknowledge888/photos/a.1461983370763870.1073741828.1461915644103976/1576603582635181/?type=3&theater-

    "ตำนานขรัวตาแสง"
    ประวัติของขรัวตาแสง พระอาจารย์องค์สำคัญของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี
    ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์สองร้อยกว่าปีล่วงมาแล้วจะหาพระภิกษุรูปใดที่จะเป็นที่รู้จักของมหาชนยิ่งไปกว่า
    สมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม พระมหาเถราจารย์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นไม่มี
    แต่จะหาผู้ที่รู้จักพระมหาเถระอันเป็นที่เคารพนับถือ และเป็นบูรพาจารย์ องค์สำคัญองค์หนึ่งของสมเด็จพุฒาจารย์โต อันมีนามว่าหลวงปู่แสง แห่งวัดมณีชลขัณฑ์ เมืองลพบุรี น้อยเต็มที

    และมีอีกเป็นจำนวนไม่น้อยที่แทบจะไม่เคยได้ยินชื่อของหลวงปู่แสงเลยทั้งที่หลวงปู่แสง ขรัวตาแสง หรือพระครูมหิทธิเมธาจารย์ นี้ เป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงเป็นอันมากในยุคที่ท่านทรงสังขารอยู่พระเกจิอาจารย์หลายรูปที่มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบันนี้ ที่ได้เคยมานมัสการขอมอบตัวเป็นศิษย์ศึกษาเล่าเรียนวิชาการต่างๆจากหลวงปู่แสงมีเป็นจำนวนมากเป็นที่เลื่องลือขจรไปในหมู่ผู้แสวงหาความรู้วิชาการทั้งสมถะ และวิปัสสนา คาถาอาคม ฯลฯเป็นที่รู้จักไปจนถึงในรั้วในวัง

    เป็นที่น่าเสียดายเหลือเกินที่ประวัติขององค์หลวงปู่แสงหาได้ยากยิ่ง ทั้งที่มา และที่ไปของหลวงปู่ล้วนเป็นปริศนาจวบจนปัจจุบันหนังสือเล่มนี้จึงได้รวบรวมประวัติของหลวงปู่แสงเท่าที่มีบันทึกอยู่ นำมาเรียบเรียงให้เป็นเรื่องราวเดียวกันเพื่อจะได้เป็นประโยชน์แก่อนุชนคนรุ่นหลังสืบไป

    เจ้าขรัวแสง
    องค์อาจารย์ของขรัวโต

    คำว่า "เจ้าขรัวแสง" ที่ผู้เขียนใช้เอ่ยนามของหลวงปู่แสง แห่งวัดมณีชลขัณฑ์นี้
    ได้มาจากข้อความตามภาพประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จโต ในพระอุโบสถวัดอินทรวิหาร กรุงเทพฯ
    ที่ท่านได้ให้ช่างเขียนประวัติของท่านไว้ในรูปแบบจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งต่อมาได้รับการถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือ

    แต่ในปัจจุบันภาพและข้อความเหล่านั้นมิได้คงอยู่ดังเดิมอีกแล้ว จากการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ
    เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านได้ให้นายช่างเขียนตัวอักษรไว้ใต้ภาพเจ้าคุณอาจารย์หลายๆ องค์ของท่าน
    ซึ่งคำว่า เจ้าคุณขรัว และ เจ้าขรัว นั้น เป็นคำซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเคารพยกย่องอย่างสูง
    และก็แฝงไว้ด้วยเอกลักษณ์ประจำองค์ของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ด้วย

    เพราะในยุคนั้น ในหลวงรัชกาลที่ ๔ และชาวพระนครต่างก็รู้จักเจ้าประคุณสมเด็จฯ ในนามขรัวโต
    นอกจากนี้ ยังปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุของรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเอ่ยนามของหลวงปู่แสงว่า ขรัวแสง เช่นเดียวกันดังจะได้แสดงเรื่องราวของหลวงปู่แสง แห่งวัดมณีชลขัณฑ์ ไว้เป็นลำดับในหนังสือเล่มนี้

    --------------------------------

    ...พระเจดีย์ที่สูงโดดเด่นอันปรากฏอยู่ในเขตวัดมณีชลขัณฑ์นั้น ชาวเมืองลพบุรีและจังหวัดใกล้เคียงเรียกกันว่า
    เจดีย์หลวงพ่อแสง แม้แต่พระพุทธรูปซึ่งประดิษฐานอยู่ในซุ้มของพระเจดีย์ก็เรียกกันว่าหลวงพ่อแสง ด้วยเป็นที่ทราบกันว่า

    พระเจดีย์ และพระพุทธรูปในซุ้ม สร้างโดยหลวงพ่อแสง อดีตเจ้าอาวาสของวัดมณีชลขัณฑ์
    ประวัติของพระเจดีย์ น่าอัศจรรย์พอกับประวัติของหลวงปู่แสงชาวลพบุรีเรียกท่านว่า หลวงพ่อแสง ส่วนในเอกสารเก่าๆ ที่จะกล่าวต่อไป เรียกท่านว่า ขรัวแสง บ้าง พระอาจารย์แสง บ้างและผู้เขียนซึ่งเป็นผู้เยาว์อยู่ในยุคปัจจุบันจึงขอเรียกท่านว่าหลวงปู่แสง

    เป็นที่เลื่องลือกันว่าหลวงปู่แสงได้สร้างพระเจดีย์องค์นี้แต่ลำพังผู้เดียว เมื่อการก่อสร้างสำเร็จลุล่วงลงแล้ว
    ท่านก็หลีกเร้นปลีกวิเวกหายไปจากเมืองลพบุรีอย่างค่อนข้างลึกลับ ไม่ปรากฏว่าท่านไปจำพรรษาต่อที่ใด หรือมรณภาพลงที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่กาลต่อมา เมื่อมีผู้ระลึกถึงคุณของหลวงปู่แสง ก็ได้จัดสร้างวัตถุมงคลอันเกี่ยวเนื่องกับองค์ท่านไว้เป็นที่พึ่งที่ระลึก

    โดยมีทั้งสร้างเป็นรูปพระเจดีย์ และพระพุทธรูป ที่อยู่คู่องค์พระเจดีย์ ณ วัดมณีชลขัณฑ์
    แล้วก็มีการจัดสร้างเหรียญ และพระผงรูปเหมือนของท่านด้วย พร้อมๆ กับความพยายามค้นคว้า
    และเริ่มต้นบันทึกประวัติของท่านไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

    ---------------------------------------------------------------------------------

    หลักฐานทางเอกสารชิ้นสำคัญที่มักได้รับการกล่าวถึง คือ จดหมายเหตุ ในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งทรงกล่าวถึงขรัวแสงไว้โดยตรง ปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่อง ระยะทางเสด็จประพาสมณฑลอยุธยาเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๑ ตอนที่ได้เสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดมณีชลขัณฑ์ ทรงนิพนธ์ไว้ตอนหนึ่งว่า

    “ในพระวิหารมีพระกะไหล่ทองตั้งบนบุษบกองค์หนึ่ง เป็นพระของท่านยมราชสร้าง ดูภูมิวัดแลการที่ทำงามพอสมควรเป็นอย่างดีอยู่แล้ว กับพระเจดีย์สูงอีกองค์หนึ่งอยู่ข้างเกาะ สร้างมาช้านานหนักหนาแล้ว ตามเสด็จขึ้นมาแต่ก่อนทีไรก็เห็นก่อค้างอยู่อย่างนั้น ครั้นมาเมื่อปีวอกดูเหมือนแล้วไป พระเจดีย์องค์นี้เขาว่าเป็นของขรัวแสง

    คนทั้งปวงนับถือว่าเป็นผู้มีวิชา เดินตั้งแต่เมืองลพบุรีเช้าลงไปฉันเพลที่กรุงเทพฯ ได้ เป็นคนกว้างขวางเจ้านายรู้จักมากหน้าเข้าพรรษาไปจำพรรษาอยู่วัดอื่น ถ้าถึงออกพรรษาแล้วมาปลูกโรงอยู่ริมพระเจดีย์องค์นี้ ก่อเองคนเดียวไม่ยอมให้คนอื่นช่วยราษฎรที่นับถือพากันช่วยเรี่ยไรส่งอิฐปูนแลพระเจดีย์องค์นี้เจ้าของจะทำแล้วเสร็จตลอดไป หรือจะทิ้งให้ผู้อื่นช่วยเมื่อตายไปแล้ว ไม่ได้ถามดู ของเธอก็สูงดีอยู่”

    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็เคยได้ทรงนิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจดีย์วัดมณีชลขัณฑ์ และองค์ผู้สร้างซึ่งท่านเรียกว่าพระอาจารย์แสง ความว่า "ที่ท้องทุ่งพรหมาศอยู่ใกล้เมือง มีพระเจดีย์สูงที่วัดมณีชลขัณฑ์ เดิมชื่อวัดเกาะแก้วองค์ ๑แลเห็นได้แต่ไกล ชวนให้สำคัญว่าเป็นของสร้างไว้แต่โบราณ แต่แท้จริงเป็นของพระภิกษุองค์ ๑ ชื่อพระอาจารย์แสงเป็นผู้คิดแบบสร้างขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๔"

    นอกจากนี้ นามของหลวงปู่แสง ยังปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติวัดว่า

    "พระเจดีย์หลวงพ่อแสง อดีตเจ้าอาวาสองค์แรกสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ในชีวิตท่าน โดยสร้างด้วยบุญบารมีของท่านเองไม่ได้ใช้เงินงบประมาณของวัดเลย"

    ข้อความที่กล่าวว่าหลวงพ่อแสง เป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดมณีชลขัณฑ์นั้น หมายถึงท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก หลังจากเปลี่ยนเป็นคณะธรรมยุตถ้าดูตามบันทึกประวัติวัดมณีชลขัณฑ์จะปรากฏนามเจ้าอาวาสปกครองวัดมาก่อนหน้านั้น ๓ รูป จนมาถึง ปี พ.ศ.๒๔๐๙ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งวัดเกาะแก้วให้เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี คณะธรรมยุตแล้วทรงโปรดให้พระครูมหิทธิเมธาจารย์ (พระครูแสง) จากวัดโสมนัสราชวรวิหาร มาเป็นเจ้าอาวาสวัดเกาะแก้ว

    จากนั้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงพระราชทานนามวัดใหม่เป็นวัดมณีชลขันธ์ (เขียนแบบเก่า)
    ในทำเนียบประวัติเจ้าอาวาสวัดมณีชลขัณฑ์ ระบุว่า พระครูมหิทธิเมธาจารย์ มาจากวัดโสมนัสราชวรวิหาร
    มาเป็นเจ้าอาวาสวัดมณีชลขัณฑ์ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๐๙ - พ.ศ.๒๔๑๘ รวมเวลา ๙ ปี
    ซึ่งเป็นช่วงเวลาต่อเนื่องกับที่ท่านดำเนินการสร้างพระเจดีย์ ณ วัดมณีชลขัณฑ์ นั่นเอง

    จากที่มีการบันทึกภาพประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไว้ในคราวนี้นี่เอง ทำให้นักค้นคว้าในยุคหลังได้วินิจฉัยเพิ่มเติมเขียนเป็นประวัติเจ้าประคุณสมเด็จฯ ในมุมมองของแต่ละท่าน โดยท่านหนึ่งคือคุณฉันทิชัยได้วิเคราะห์ภาพตอนหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับหลวงปู่แสงไว้ว่า
    "อีกตอนหนึ่งเป็นภาพบ้านปลัดนุด ตัวปลัดนุดนั่งอยู่บนเรือนกับคนอีกหลายคน ตอนข้างล่างมีภาพบ้านอยู่ริมตลิ่งมีพระภิกษุนั่งอยู่บนเรือนกับคนอีกหลายคน ตอนข้างล่างมีภาพบ้านอยู่ริมตลิ่ง มีพระภิกษุนั่งอยู่หลายองค์ มีผู้หญิงนั่งอยู่ ๒ คนทางข้างซ้าย และนั่งอยู่หน้าพระอีกคนหนึ่ง มีเรือจอดอยู่หน้าบ้าน มีหนังสือเขียนอยู่ข้างล่างว่า เจ้าคุณขรัว ๑ เจ้าคุณชินวร
    ภาพ นี้เข้าใจว่าเป็นภูมิภาคของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภาพตอนแรกแสดงความโอ่โถงของพระเกษม เช่นขุนนางในสมัยนั้นดังปรากฏมาแล้วแต่ตอนต้น ภาพตอนต่อมาแสดงว่า เจ้าพระยานิกรบดินทร์ เป็นคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภาพคนขนของคงมีความหมายถึงการเตรียมทำบุญ ตอนต่อมาแสดงว่ามีการทำบุญที่บ้านปลัดนุด โดยนิมนต์ เจ้าขรัว ๑ และเจ้าขรัวชินวรทำพิธี และฉันที่บ้าน
    สำหรับเจ้าขรัว ๑ เข้าใจว่าเป็นเจ้าคุณญาณสังวรเถร (สังฆราชไก่เถื่อน สุก) อย่าลืมว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นชาวอยุธยา
    และสังฆราชไก่เถื่อน ก็เป็นคนชาวอยุธยา ส่วนเจ้าขรัวชินวรนั้น ขอเดาว่าอาจเป็นขรัวแสง พระอาจารย์ด้านมายาศาสตร์
    องค์สำคัญอีกองค์หนึ่งของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ คู่กับสังฆราชไก่เถื่อน เพราะท่านชอบมาทำบุญบำเพ็ญกรณีย์ที่จังหวัดอยุธยาเป็นนิจ

    ท่านขรัวทั้ง ๒ นี้ มีอายุอยู่ในสมัยเดียวกัน และต่างเป็นพระอาจารย์ทางวิปัสสนาและมายาศาสตร์อย่างสำคัญของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ด้วยกัน และเป็นที่เชื่อกันว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มาศึกษาวิชาลี้ลับทางกฤตยาคมแห่งมายาศาสตร์ ที่จังหวัดอยุธยา และต่อมาได้ศึกษากับสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) อาจารย์เดิมที่วัดพลับอีก”
    ---------------------------------------------------------------------------------
    ในประวัติเจ้าประคุณสมเด็จโต สำนวนของตรียัมปวาย กล่าวเกี่ยวกับหลวงปู่แสงไว้ว่า
    "โดยเฉพาะในรัชกาลที่ ๒ การศึกษาวิปัสสนาธุระ เจริญรุ่งเรือง ด้วยว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงทำนุบำรุงวิทยาประเภทนี้ โดยโปรดให้อาราธนาพระภิกษุที่ทรงคุณวุฒิ ในทางวิปัสสนาธุระ ทั้งในกรุงและหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือ มารับพระราชทานบาตร ไตรจีวร กลด และบริขารอันควรแก่สมณะฝ่ายอรัญวาสี แล้วทรงแต่งตั้งเป็นพระอาจารย์บอกพระกัมมัฏฐานแก่พระสงฆ์สามเณรและคฤหัสถ์

    (ความพิสดารปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๒ ปีมะเส็งตรีศก พ.ศ.๒๓๖๔ เลขที่ ๗)
    การศึกษาวิปัสสนาธุระและมายาศาสตร์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้น สันนิษฐานว่าท่านจะได้เล่าเรียนในหลายสำนัก ด้วยในสมัยนั้น (โดยเฉพาะในรัชกาลที่ ๒) การศึกษาวิปัสสนาธุระเจริญแพร่หลายนัก มีครูอาจารย์ผู้ทรงเกียรติคุณอยู่มากดังกล่าวแล้ว แต่ที่ทราบเป็นแน่นอนนั้นว่า ในชั้นเดิมท่านได้เล่าเรียนในสำนักเจ้าคุณอรัญญิก (แก้ว) วัดอินทรวิหาร และในสำนักเจ้าคุณบวรวิริยะเถระ (อยู่) วัดสังเวชวิศยาราม และดูเหมือนจะได้เล่าเรียนจนมีความรู้เชี่ยวชาญแต่เมื่อยังเป็นสามเณรด้วยปรากฏว่าเมื่อเป็นสามเณรนั้น ครั้งหนึ่งท่านได้เอาปูนเต้าเล็กๆ ไปถวายเจ้าคุณบวรฯ ๑ เต้า กับถวายพระในวัดนั้นองค์ละ ๑ เต้า เวลา นั้นไม่มีใครสนใจ มีพระองค์หนึ่งเก็บปูนนั้นไว้ แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ สัก ๓-๔ ลูก ภายหลังกลายเป็นลูกอมศักดิ์สิทธิ์เลื่องลือกันขึ้นดังนี้ ต่อมาในภายหลัง ได้เข้าศึกษามายาศาสตร์ต่อที่สำนักพระอาจารย์แสง จังหวัดลพบุรี อีกองค์หนึ่ง”

    ข้อมูลจากหนังสือ สมุดสมเด็จ พ.ศ.๒๕๕๑ อนุสรณ์ ๒๐๐ ปี แห่งชาตกาลสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี วัดระฆังโฆสิตารามโดย พระครูกัลยาณานุกูล (พระมหาเฮง อิฏฺธาจาโร) หน้า ๑๘๒ บันทึกไว้ว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านเรียนวิชาย่นระยะทางมาจากหลวงปู่แสง

    “คราว หนึ่งมีผู้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปในงานพิธีมงคลโกนจุก ที่จังหวัดอ่างทอง ท่านได้เริ่มออกเดินทางก่อนกำหนดเวลาเพียง ๓ ชั่วโมง มีคนสงสัยกันว่าท่านจะไปทันเวลากำหนดได้อย่างไร ถึงกับได้สอบถามไปยังเจ้าภาพในภายหลังต่อมา ก็ได้รับคำตอบว่าท่านไปทันเวลาตามที่กำหนดในฎีกาไม่คลาดเคลื่อน ว่าวิชานี้ท่านได้ศึกษามาจากพระอาจารย์แสง ที่จังหวัดลพบุรี”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ss01.png
      ss01.png
      ขนาดไฟล์:
      257.3 KB
      เปิดดู:
      56
    • ss02.png
      ss02.png
      ขนาดไฟล์:
      748.4 KB
      เปิดดู:
      61
    • ss03.png
      ss03.png
      ขนาดไฟล์:
      769.1 KB
      เปิดดู:
      46
    • ss04.png
      ss04.png
      ขนาดไฟล์:
      104.9 KB
      เปิดดู:
      56
    • ss05.png
      ss05.png
      ขนาดไฟล์:
      466.9 KB
      เปิดดู:
      54
    • ss06.png
      ss06.png
      ขนาดไฟล์:
      573.6 KB
      เปิดดู:
      55
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ธรรมะที่แท้จริงจากพระไตรปิฎก
    20 มิถุนายน 2015 ·

    -https://www.facebook.com/dhamma.true/?fref=nf-

    กาฬกัณณิชาดก ว่าด้วยมิตรแท้

    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 283

    ๓. กาฬกัณณิชาดก
    ว่าด้วยมิตรแท้

    [๘๓] " บุคคลชื่อว่าเป็นมิตรด้วยการเดินร่วมกัน
    ๗ ก้าว ชื่อว่าเป็นสหายด้วยการเดินร่วมกัน ๑๒
    ก้าว และชื่อว่าเป็นญาติด้วยการอยู่ร่วมกันเดือน
    หนึ่ง หรือกึ่งเดือน ส่วนผู้ที่ชื่อว่ามีตนเสมอกัน
    ก็ด้วยการอยู่ร่วมกันยิ่งกว่านั้น เราจะละทิ้งมิตร
    ชื่อว่า กาฬกรรณี ผู้ชอบพอกันมานาน เพราะ
    ความสุขส่วนตัวได้อย่างไร " ?

    จบ กาฬกัณณิชาดกที่ ๓

    อรรถกถากาฬกัณณิชาดกที่ ๓
    พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
    ทรงปรารภมิตรของท่านอนาถบิณฑิกะผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรม-
    เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า มิตฺโต หเว สตฺตปเทน โหติ. ดังนี้.

    ได้ยินว่า มิตรผู้นั้นได้เคยเป็นสหายร่วมเล่นฝุ่นมากับ
    ท่านอนาถบิณฑิกะ ทั้งเรียนศิลปะในสำนักอาจารย์เดียวกัน
    โดยนามมีชื่อว่า กาฬกรรณี. กาฬกรรณีนั้น เมื่อกาลล่วงผ่านไป
    ก็เป็นผู้ตกยาก ไม่อาจเลี้ยงชีวิตได้ จึงไปยังสำนักของท่านเศรษฐี
    ท่านเศรษฐีก็ปลอบสหาย ให้เสบียงแล้วมอบสมบัติของตนแบ่ง
    ให้ไป เขาเป็นผู้ทำอุปการะแก่ท่านเศรษฐี ทำกิจการทุกอย่าง
    เวลาที่เขามาสู่สำนักท่านเศรษฐี คนทั้งหลายพากันกล่าวว่า
    หยุดเถิด กาฬกรรณี นั่งเถิดกาฬกรรณี กินเถิดกาฬกรรณี.
    อยู่มาวันหนึ่ง หมู่มิตร และอำมาตย์ของท่านเศรษฐี พากันเข้าไป
    หาท่านเศรษฐี แล้วพูดอย่างนี้ว่า อย่าเลี้ยงเขาไว้ใกล้ชิดอย่างนี้
    เลย ท่านมหาเศรษฐี เพราะแม้ยักษ์เองก็ยังต้องหนีด้วยเสียงนี้ว่า
    หยุดเถิด กาฬกรรณี นั่งเถิดกาฬกรรณี กินเถิดกาฬกรรณี
    เขาเองก็มิได้เสมอกับท่าน ตกยาก เข็ญใจ ท่านจะเลี้ยงคน ๆ นี้
    ไว้ทำไม ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กล่าวว่า ธรรมดาว่าชื่อเป็น
    คำเรียกร้อง หมู่บัณฑิตมิได้ถือชื่อเป็นประมาณ ไม่ควรจะเป็น
    คนประเภทที่ชื่อว่า " สุตมังคลิกะ " (ถือมงคลจากเสียงที่ได้ยิน)
    เราไม่อาจอาศัยเหตุเพียงแต่ชื่อ แล้วทอดทิ้งเพื่อนผู้เล่นฝุ่นมา
    ด้วยกัน ดังนี้แล้ว มิได้ยึดถือถ้อยคำของพวกนั้น วันหนึ่งเมื่อจะไป
    บ้านส่วยของตน ได้ตั้งเขาเป็นผู้รักษาเคหะสถาน.

    พวกโจรคบคิดกันว่า ได้ข่าวว่าเศรษฐีไปบ้านส่วย พวก
    เราระดมกันปล้นบ้านของเขาเถิด พากันถืออาวุธต่าง ๆ มาใน
    เวลากลางคืน ล้อมเรือนไว้. ฝ่ายกาฬกรรณี ระแวงการมาของ
    พวกโจรอยู่ จึงนั่งเฝ้าไม่ยอมหลับนอนเลย ครั้นรู้ว่า พวกโจร
    พากันมา เพื่อจะปลุกพวกมนุษย์ จึงตะโกนว่า เจ้าจงเป่าสังข์
    เจ้าจงตีกลอง ดังนี้แล้ว ทำให้เป็นเหมือนมีมหรสพโรงใหญ่
    กระทำนิเวศน์ทั้งสิ้นให้มีเสียงสนั่นครื้นเครงตลอดไป พวกโจร
    พากันพูดว่า ข่าวที่ว่า เรือนว่างเปล่า พวกเราฟังมาเหลว ๆ
    ท่านเศรษฐียังคงอยู่ แล้วต่างทิ้งก้อนหิน และไม้พลองเป็นต้น
    ไว้ตรงนั้นเอง หนีไปหมด. รุ่งขึ้นพวกมนุษย์ เห็นก้อนหินและ
    ไม้พลองเป็นต้น ที่พวกโจรทิ้งไว้ในที่นั้น ๆ ต่างสลดใจไปตาม ๆ
    กัน พูดกันว่า ถ้าวันนี้ไม่มีคนตรวจเรือน ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้
    ขนาดนี้แล้ว พวกโจรจักพากันเข้าได้ตามความพอใจ ปล้นเรือน
    ได้หมดเป็นแน่ เพราะอาศัยมิตรผู้มั่นคงผู้นี้ ความจำเริญจึงเกิด
    แก่ท่านเศรษฐี ต่างพากันสรรเสริญกาฬกรรณีนั้น เวลาที่
    เศรษฐีมาจากบ้านส่วย ก็พากันบอกเรื่องราวนั้นให้ทราบทุก
    ประการ. ครั้งนั้นท่านเศรษฐีได้พูดกับคนเหล่านั้นว่า พวกเธอ
    บอกให้เราไล่มิตรผู้รักษาเรือนอย่างนี้ไปเสีย ถ้าเราไล่เขาไป
    ตามถ้อยคำของพวกเธอเสียแล้ว วันนี้ทรัพย์สินของเราจักไม่มี
    เหลือเลย ธรรมดาว่า ชื่อไม่เป็นประมาณดอก จิตที่คิดเกื้อกูล
    เท่านั้นเป็นประมาณ ดังนี้แล้วให้ทรัพย์เป็นทุนแก่เขายิ่ง ๆ ขึ้นไป
    ดำริว่า บัดนี้ เรามีเรื่องที่จะเริ่มเป็นหัวข้อกราบทูลได้แล้ว ไปสู่
    สำนักพระศาสดา กราบทูลเรื่องราวนั้นแต่ต้น แด่พระผู้มีพระ-
    ภาคเจ้า พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี มิใช่แต่ในบัดนี้
    เท่านั้น ที่มิตรชื่อว่า กาฬกรรณี รักษาทรัพย์สินในเรือนแห่ง
    มิตรของตนไว้ แม้ในครั้งก่อนก็รักษาแล้วเหมือนกัน ท่านเศรษฐี
    กราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

    ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
    กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นเศรษฐี. มียศยิ่งใหญ่. ท่าน
    เศรษฐีได้มีมิตรชื่อ กาฬกรรณี เรื่องราวทั้งหมดก็เหมือนกับ
    เรื่องปัจจุบันนั่นแหละ. พระโพธิสัตว์มาจากบ้านส่วยแล้วฟัง
    เรื่องนั้นแล้ว กล่าวว่า ถ้าเราไล่มิตรเช่นนี้ออกไปเสียตามคำ
    ของพวกท่านแล้ว วันนี้ทรัพย์สมบัติของเราจักไม่มีอะไรเหลือ
    เลย แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :-
    " บุคคลชื่อว่าเป็นมิตรด้วยการเดินร่วม
    กัน ๗ ก้าว ชื่อว่าเป็นสหายด้วยการเดินร่วมกัน
    ๑๒ ก้าว และชื่อว่าเป็นญาติ ด้วยการอยู่ร่วมกัน
    เดือนหนึ่งหรือกึ่งเดือน ส่วนผู้ชื่อว่ามีตนเสนอ
    กัน ก็ด้วยการอยู่ร่วมกันยิ่งกว่านั้น เราจะละทิ้ง
    มิตรชื่อว่า กาฬกรรณี ผู้ชอบพอกันมานาน
    เพราะความสุขส่วนตัวได้อย่างไร ? " ดังนี้.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หเว เป็นเพียงนิบาต. ที่ชื่อว่า
    มิตร เพราะอรรถว่าประพฤติไมตรี อธิบายว่า เข้าไปตั้งไว้
    เฉพาะซึ่งไมตรีจิต กระทำความสนิทสนม ก็มิตรนั้นเป็นกันได้
    ด้วย ๗ ก้าวย่าง อธิบายว่า เป็นกันได้ด้วยเหตุเพียงเดินทาง
    ร่วมกัน ๗ ย่างก้าว.
    บทว่า สทาโย ปน ทฺวาทสเกน โหติ ความว่า ที่ชื่อว่า
    สหาย เพราะอรรถว่า ไปร่วมกันในอิริยาบถทั้งปวง ด้วยอำนาจ
    แห่งการทำกิจทุก ๆ อย่างร่วมกัน อธิบายว่า ก็แลสหายนั้น
    เป็นกันได้ด้วยเพียงย่างเท้าไป ๑๒ ก้าว.
    บทว่า มาสฑฺฒมมาเสน ความว่า (อยู่ร่วมกัน) เดือนหนึ่ง
    หรือกึ่งเดือน.
    บทว่า ญาติ โหติ ความว่า ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เสมอญาติ.
    บทว่า ตตุตฺตรึ ความว่า ด้วยการอยู่ร่วมกันยิ่งกว่านั้น
    ย่อมถือว่าเป็นผู้เสมอตนได้ทีเดียว.
    บทว่า ชเหยฺยํ ความว่า เราจะทิ้งสหายผู้เช่นนี้ได้อย่างไร
    เล่า ? พระโพธิสัตว์กล่าวถึงคุณของมิตรนั่นแล ด้วยประการ
    ฉะนี้. ตั้งแต่นั้นมา ก็มิได้มีใคร ๆ ที่จะได้ชื่อว่า กล่าวละลาบ
    ละล้วง กาฬกรรณีนั้นอีกเลย.

    พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
    ชาดกว่า กาฬกรรณีในครั้งนั้น ได้มาเป็นอานนท์ในครั้งนี้
    ส่วนพาราณสีเศรษฐี ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

    จบ อรรถกถากาฬกัณณิชาดกที่ ๓
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 287
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • mt01.png
      mt01.png
      ขนาดไฟล์:
      267 KB
      เปิดดู:
      82
    • mt02.png
      mt02.png
      ขนาดไฟล์:
      658.3 KB
      เปิดดู:
      62
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำทานปนโกรธจะเป็นเช่น ....
    “นางปัญจปาปา” ผู้หญิงขี้เหร่แต่ได้สามีดี

    Nana Jittang
    https://www.facebook.com/nana.jittang.752
    ได้แชร์โพสต์ของ Malee Boonma
    https://www.facebook.com/malee.boonma.5
    ลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น
    https://www.facebook.com/groups/344843882326904/

    Malee Boonma
    2 ชม. · Ban Khlong Sam, Pathum Thani ·

    ‪#‎ทำทานปนโกรธจะเป็นเช่น‬ ....
    “นางปัญจปาปา” ผู้หญิงขี้เหร่แต่ได้สามีดี

    ลองมาฟังประวัติคนไม่สวยดูบ้าง เพราะคนไม่สวยก็มีอะไรดีๆไม่แพ้คนสวยเหมือนกัน เรื่องนี้มาในกุณาลชาดก พระธรรมกถึกทั้งหลายชอบนำมาเทศน์ ชื่อเรื่องว่านางปัญจปาปา

    ในอดีตกาลนานมาแล้ว ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลก เป็นช่วงว่างจากพระพุทธศาสนา แต่ยุคนั้นยังมีพระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้น

    ขณะนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งกุฏิที่ท่านอาศัยมีรูโหว่ท่านจึงออกแสวงหาดินเหนียวไปอุดรูกุฏิของท่าน เมื่อท่านผ่านมาเห็นนางกุมารีนางหนึ่งกำลังขยำดินเหนียวอยู่ ท่านจึงถือบาตรเดินตรงไปหานางกุมารีนั้นเพื่อขอบิณฑบาตดินเหนียวใส่บาตรมาสักก้อน

    นางกุมารีเห็นดังนั้นก็โกรธคิดว่า “สมณะพวกนี้ตอนเช้าเที่ยวเดินขอข้าวชาวบ้านชาวเมืองกินยังไม่พอ ตัวเรานี้สู้อุตส่าห์ไปขนดินเหนียวหอบหิ้วมานั่งขยำ กว่าจะได้ที่ก็ต้องขยำแทบมืองอเท้างอ สมณะนี้กลับมายืนเฝ้าจะขอดินที่เราขยำดีแล้วไปอีก ช่างไม่รู้จักไปหาเองเอาเสียเลย”

    คิดดังนี้แล้วก็ค้อนควัก เชิดจมูก ปากบ่นอุบอิบพึมพัม เพื่อจะให้พระปัจเจกพุทธเจ้าล่วงรู้อาการว่านางไม่เต็มใจจะให้ จะได้ไปไปเสีย ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีความเมตตา อยากจะโปรดนางกุมารีให้ได้ทำบุญ จึงแสร้งทำเป็นไม่ทราบอาการของนาง ยืนนิ่งเปิดบาตรรอรับการบริจาคของนางต่อไป นางกุมารีเห็นดังนั้นก็คิดว่า “ชะรอยสมณะองค์นี้ถ้าไม่ได้อะไรคงจะไม่ไปแน่” นางจึงโกรธกระฟัดกระเฟียดปั้นดินได้ก้อนหนึ่งก็โยนใส่บาตรโดยไม่เคารพ

    "เอ้า เอาไป"

    พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อได้ดินเหนียวแล้วจึงให้ศีลให้พรแก่นาง แล้วนำดินเหนียวไปฉาบทาอุดช่องโหว่ที่ฝากุฎิ เพื่อกันลมกันฝนดังเดิม

    กาลต่อมา เมื่อนางสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในตระกูลยากจน แถมรูปร่างหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่สุดพรรณนา มีอวัยวะทั้ง 5 ประการ คือ มือ เท้า ปาก ตา และ จมูกบิดเบี้ยวน่าเกลียด ชาวบ้านจึงเรียกนางว่า ปัญจปาปา (ขี้เหร่ห้าแห่ง)

    แต่ด้วยอานิสงส์การถวายดินเหนียวก้อนนั้นแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีผลอันยิ่งใหญ่ คือ ทำให้ร่างกายผิวพรรณของนางนั้นมีความนุ่มเนียนเรียบลื่นน่าสัมผัสเปรียบประดุจสัมผัสอันเป็นทิพย์ของนางฟ้า ใครถูกต้องนางจะติดใจไม่สามารถตัดใจจากนางได้

    ด้วยผลบุญที่นางได้ถวายดินเหนียว ทำให้นางได้เป็นมเหสีของพระราชาถึง 2 พระองค์ คือ พระเจ้าพกะ และ พระเจ้าทีปาวาริกะ การที่นางได้เป็นมเหสีของพระราชาองค์แรกเนื่องจากพระราชาออกล่าสัตว์กำลังจะกลับเข้าเมืองจึงแวะพักที่หมู่บ้านนั้น ยืนทอดพระเนตรดูเด็กๆ เล่นซ่อนหากันอยู่ ปัญจปาปาซึ่งปิดตาควานหาเพื่อนๆ ที่หลบซ่อนคว้าพระกรพระราชาเข้า

    จึงร้องว่า "จับตัวได้แล้ว" พอเปิดตารู้อะไรเป็นอะไร จึงรีบวิ่งหนีไป

    ส่วนพระราชาผู้ถูกจับพระกร ทรงรู้สึกซาบซ่านทั่วทั้งสรรพางค์กาย ทรงประหลาดพระทัยมากว่าหญิงคนนี้ช่างมีสัมผัสอันเป็นทิพย์ทำให้เกิดความหลงใหลอะไรปานนั้น จึงทรงถามไถ่พวกเด็กๆ ว่านางเป็นใคร อยู่เรือนไหน?

    เมื่อทรงทราบ จึงเสด็จไปขอลูกสาวพ่อแม่ของนางปัญจปาปา พ่อแม่ของนางนึกไม่ถึงว่าลูกสาวขี้ริ้วขี้เหร่ของตนจะเป็นที่สนใจของชายหนุ่มรุ่นใหญ่ท่าทางภูมิฐานเช่นนี้ จึงตกปากรับคำอย่างง่ายดาย

    พระราชาอยู่กับนางเวลากลางคืนรุ่งเช้าก็หายไปอ้างว่าไปทำงานข้างนอก เย็นก็กลับ เหตุการณ์ดำเนินไปสักระยะหนึ่ง ทรงคิดจะหาทางนำนางเข้าไปยังพระราชวัง แต่เกรงจะได้รับการคัดค้านจากเหล่าเสนาอำมาตย์ เนื่องจากความขี้เหร่ของนางจะนำมาแต่งตั้งเป็นมเหสี ใครรู้เข้าก็คงจะหัวเราะเยาะในใจ

    คืนวันหนึ่งพระราชาพระราชทานปิ่นมณีให้นาง เช้ามาก็หายไปตามเดิม พอตอนกลางวันมีตำรวจจากพระราชสำนักมาค้นหาสิ่งของมีค่าโดยอ้างว่าโจรขโมยมาจากพระราชวัง ค้นไปค้นมาไปพบปิ่นมณีเข้า จึงจับนางพร้อมพ่อแม่ไปชำระความ

    นางกล่าวว่า นางมิได้ขโมย ปิ่นมณีนี้สามีให้มา เมื่อถามว่าสามีคือใคร อยู่ที่ไหน นางบอกแต่ว่าไม่ทราบ ทราบแต่ว่าเขามากลางคืน เช้าก็หายไปแต่ถ้าได้จับแขนเขาจะรู้ทันทีว่าเป็นใคร

    จากนั้นก็มีการพิสูจน์กันขึ้น คือ ให้ขึงม่าน แล้วนำชายทั้งหนุ่มและแก่มายื่นแขนให้นางจับอยู่นอกม่าน ผู้ที่ถูกนางปัญจปาปาจับก็ซาบซ่านทั้งทรวงไปตามๆ กัน แต่นางก็บอกว่าไม่ใช่สามีนางสักคน

    พระราชาทรงคิดในพระทัยว่า "หรือเป็นเรา"

    ว่าแล้วก็ยื่นพระหัตถ์ผ่านม่านให้นางจับ

    ทันใดนั้นนางก็ร้องว่า "ใช่แล้วคนนี้คือผัวของข้า!" ความจริงก็เลยปรากฏขึ้น

    นางถูกนำตัวเข้าวัง ได้รับอภิเษกเป็นมเหสีลำดับท้ายๆแต่เป็นที่โปรดปรานมาก โปรดปรานจนกระทั่ง พระราชาไม่เหลียวแลมเหสีอื่นเลย

    ต่อมามีผู้อิจฉาใส่ร้ายนางว่าที่นางอัปลักษณ์ดังนี้คงเป็นยักษ์เป็นมารปลอมตัวมา พระราชาเชื่อจึงจับนางใส่เรือลอยน้ำไป นางลอยไปกับเรือ

    จนไปเจอพระราชาองค์ที่ 2 กำลังประพาสท่องเที่ยว นางจึงร้องบอกว่านางคือมเหสีของพระเจ้าพกะ แล้วนางจึงออกอุบายให้พระราชาองค์ที่ 2 คือพระเจ้าทีปาวาริกะฉุดนางขึ้นจากเรือ

    เมื่อมือสัมผัสมือพระเจ้าทีปาวาริกะก็เกิดหลงใหลในสัมผัสของนาง พานางไปแต่งตั้งเป็นมเหสี ฝ่ายพระเจ้าพกะหวนคิดถึงนางปัญจปาปาจนไม่เป็นอันกินอันนอน ต่อมาได้ข่าวว่านางมาอยู่กับพระเจ้าทีปาวาริกะ จึงยกกองทัพมาหวังจะชิงนางคืน ภายหลังได้ตกลงกันว่าจะแบ่งเวลาที่จะอยู่ร่วมกับนางปัญจปาปา นั่นคือนางปัญจปาปาจะอยู่กับพระราชาองค์ที่ 1 ช่วงหนึ่ง แล้วจึงย้ายไปอยู่กับพระราชาองค์ที่ 2 อีกช่วงหนึ่งเป็นเวลาเท่าๆ กันเหตุการณ์จึงสงบลง นางปัญจปาปาจึงเป็นมเหสีของพระราชา 2 เมืองได้ด้วยประการฉะนี้

    "เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สิ่งไหนที่ทำดีก็ให้ผลดี สิ่งไหนที่ทำไม่ดี ก็ให้ผลไม่ดี ฉะนั้นเวลาทำความดี ควรทำด้วยใจที่ยินดีทั้งก่อนให้ ขณะที่ให้ และหลังจากให้ เราจะได้รับบุญที่บริบูรณ์เต็มที่ทุกประการ"

    ขอให้ท่านทำท่านให้ถูกต้องคือ ถ้าหากจะทำบุญให้ได้บุญเยอะ จะทำทานให้ได้บุญมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าต้องประกอบด้วยบริสุทธิ์ ๓ ประการ คือ

    ๑. วัตถุบริสุทธิ์ คือ ได้ทรัพย์มาด้วยความถูกต้อง ไม่ได้ทุจริตฉ้อโกงใครมา

    ๒. เจตนาบริสุทธิ์ คือ ตัวเราเองทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ มีศรัทธาเต็มเปี่ยม

    ๓. บุคคลบริสุทธิ์ คือ บุคคลที่เราให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ยิ่งมีศีลมีคุณธรรมสูงเท่าใด เราก็ได้บุญมากไปตามส่วน (ผู้ให้ ก็ต้องมีศีลด้วย)

    เเล้วให้เราหมั่นตามระลึกนึกถึงบุญบ่อยๆ

    ขอบคุณข้อมูลจาก ขอขมาพระรัตนตรัย - แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน" - Powered by Discuz! [http://www.dannipparn.com/&h=kaqgwt...j2qcaq0gdctxx72v_83tbk36ryecwugugn&s=1_green]
    [http://www.dannipparn.com/&h=jaqgyxgubaqgadynzpw0-8k_uocnv4… [http://www.dannipparn.com/&h=jaqgyx...hmjffgwicw2f-bbjylcgmo-q_c9awd04on&s=1_green]
    ]

    http://www.winnews.tv/news/6369 [http://www.winnews.tv/news/6369&h=y...fafvfubmtrgele_sa106z3sc8kdmv3v4i9&s=1_white]
    [http://www.winnews.tv/…/6369&h=maqfu3qg8aqf2fesw2vpdayg0p-8… [http://www.winnews.tv/news/6369&h=m...3iag6uerr6n-1zwahcyorkjqkeikkvyskh&s=1_white]
    ]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pp1.png
      pp1.png
      ขนาดไฟล์:
      429.1 KB
      เปิดดู:
      70
    • pp2.png
      pp2.png
      ขนาดไฟล์:
      75.3 KB
      เปิดดู:
      68

แชร์หน้านี้

Loading...