**พระกรรมฐานสาย ลป.ชอบ ลป.คำดี ลป.หลุย และครูบาอาจารย์สายต่างๆ**//

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Lo_olLo, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. Lo_olLo

    Lo_olLo เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +11,576
    cats489.jpg
    ......เรียนท่านสมาชิกที่ร่วมบุญรับพระนาคปรกธรรมธาตุทุกท่านครับ ด้วยวันนี้ทางคณะได้นำปัจจัยพร้อมเครื่องไทยทานไปถวายหลวงตาวิลาศ ยังวัดวารินทราววาส แต่ผู้ดูแลวัด(ผู้ใหญ่บ้าน) แจ้งว่า หลวงตาไปงานทอดผ้าป่าที่จังหวัด อุดรธานี ซึ่งเป็นวัดลูกศิษย์หลวงปู่คำดี ปภาโส เช่นกัน แล้วหลวงตาท่านจะเดินทางกลับในวันที่ 22 ธันวาคม ตอนดึกๆ

    ......ด้วยเหตุดังกล่าวทางคณะจึงขอนำพระทั้งหมดและปัจจัย ขอเมตตาหลวงตาในวันพรุ่งนี้ 23/12/2563 แทนเพื่อความสะดวกและรักษาธาตุขันธ์หลวงตาตามความเหมาะสมครับ

    จึงเรียนแจ้งมายังท่านสมาชิกทุกท่านครับ

    *** หมายเหตุ : สมาชิกทุกท่านที่ร่วมบุญในครั้งนี้ จะได้รับยันต์ "จตุรธรรมธาตุ" พิมพ์กระดาษโฟโต้อย่างดี(กันน้ำได้) ท่านละ 1 แผ่น

    โดยหลวงตาวิลาศจะเมตตา "จารหมึกด้วยมือ ยันต์ธาตุ 4 ทับลงอีกครั้งให้ทุกแผ่นครับ"

    ขออนุโมทนากับทุกท่านครับ
     
  2. Lo_olLo

    Lo_olLo เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +11,576
    ....วันที่ 23/12/2563 ทางคณะได้นำปัจจัยและพระนาคปรก "ธรรมธาตุ" ถวายหลวงตาเพื่อขอเมตตาหลวงตาอธิษฐานจิต หลวงตาเมตตารับไว้แล้วบอกว่า "มื้ออื่นค้อยมาเอาเด้อ"(พรุ่งนี้ค่อยมาเอานะ) หลวงตาท่านเก็บไว้อธิษฐานจิต 1 คืน...

    ....วันนี้ 24/12/2563 ทางคณะได้เดินทางไปเอาพระนาปรก"ธรรมธาตุ" ที่หลวงตาท่านจะส่งมอบให้ พร้อมทั้งหลวงตาวิลาศยังเมตตาอธิษฐานจิตซ้ำให้อีกครั้ง(หลังจากอธิษฐานจิตมาทั้งืคืน) ในการนี้ทางคณะได้ถวายปัจจัย ที่ศรัทธาทุกท่านร่วมบุญจำนวน 7500 บาท(เฉพาะปัจจัยในส่วนของสมาชิกที่ร่วมบุญครับ) เพื่อเป็นประโยชน์ทางวัดต่อไป

    20201220_032125.jpg

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ

    *********************
    20201224_162541.jpg

    ...หลวงตาให้นำปัจจัยทั้งหมดใส่ในตู้บริจาคของวัด และนำถวายท่านด้วยซองที่เขียนตัวเลขแทนครับ....

    20201224_163147.jpg
    "หลวงปู่ทวดเพิ่นมาจังซี"(หลวงปู่ทวดท่านมาแบบนี้) มานั่งทับกล่องพระทั้งหมด แล้วหลวงตาก็นำรูปหล่อหลวงปู่ทวดในกูฏิท่านมานั่งทับให้ดู

    20201224_162820.jpg

    ...หลวงตาวิลาศเมตตาอธิษฐานจิตวัตถุมงคลพระนารปรกธรรมธาตุอีกครั้ง ในคราวที่ทางคณะไปขอรับวัตถุมงคลคืนในวันนี้ หลวงตาเล่าให้ฟังว่า "มื้อคืนทำวัตรสวดมนต์ตั้งแต่ 2 ทุ่มนั่งปรกอธิษฐานจิตฮอดเซ่า กำลังดี หลวงปู่ทวดมาซอยเสกให้ด้วย"(เมื่อคืนทำวัตรสวดมนต์ตั้งแต่สองทุ่ม นั่งปรกอธิษฐานจิตจนถึงเช้า กำลังใจดี หลวงปู่ทวดท่านมาช่วยเสกด้วย) ท่านบอกว่าเกิดนิมิตเห็นหลวงปู่ทวด พร้อมยกรูปหล่อหลวงปู่ทวดมาให้ดูว่า "ท่านมาแบบนี้"



     
  3. Lo_olLo

    Lo_olLo เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +11,576
    ......ในวันเดียวกันนี้ หลวงตาวิลาศได้จารมึกยันต์ "พระพุทธเจ้า๕พระองค์" ทับลงบนยันต์ "จตุรธรรมธาตุ" เพื่อให้กับท่านผู้มีจิตศรัทธานำไปบูชา โดยท่านกล่าวว่า "ยันต์นี้ก็เท่ากับตั้งธาตุแล้ว ยันต์พระเจ้าห้าพระองค์หนุ่นแทน" ท่านบอกว่ายันต์นี้ดีทั้งกัน ดีทั้งแก้ ดีทั้งเสริม กันนี้คือกันสิ่งไม่เป็นมงคล แก้คือแก้ของในสถานที่ที่ไม่ดี ให้กลับมาดี เสริมคือ ส่งเสริมความเป็นมงคลให้มาขึ้น

    .....ใส่กรอบแขวนไว้ที่บ้านกันฟ้า กันไฟก็ดี กันลมก็ดี "หลวงตากล่าว"

    20201224_163514.jpg

    20201224_191738.jpg
     
  4. Lo_olLo

    Lo_olLo เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +11,576
    PR_news18314.jpg
    .....วันนี้25/12/2563ได้ทยอยจัดส่ง "เหรียญนาคปรกธรรมธาตุ" ให้ทุกท่านแล้วนะครับส่วนท่านใดอยากได้รหัสไปรษณีย์สามารถแจ้งขอรับทาง PM ได้เลยครับ(เริ่มทยอยส่งไปนะครับยังไม่ครบทุกทาน แต่จะส่งไปครบทุกท่านในวันพรุ่งนี้ครับ)

    อาจจะได้เร็ว ได้ช้าต่างกัน แต่ได้ทุกท่านแน่นอนครับ
    (คงได้รับก่อนปีใหม่ทุกท่านครับ)

    ขอขอบคุณและอนุโมทนากับครับ
    ***มีสมาชิกหลายท่าน Pm มาถามผู้เขียนว่าจองไม่ทันพระนาคปรกธรรมธาตุหลวงตาวิลาศชุดนี้ ต้องขออภัยด้วยครับที่ปิดยอดเร็วไปเพราะว่ากลัวไม่ทันทางคณะเข้าถวายหลวงตาพร้อมกันครับ แต่มีสำรองให้ร่วมบูชาอยู่ 20 องค์(เป็นของผู้เขียนบูชาทำบุญไว้เองครับ) ถ้าท่านใดประสงค์ขอแบ่งก็องค์ละ 30 เหมือนเดิมครับ จึงเรียนแจ้งมาเพื่อทราบครับ

     
  5. Lo_olLo

    Lo_olLo เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +11,576
    ประกาศเรื่องแจก "ลูกแก้วผงมณีนพรัตน์"
    ลูกแก้วผงทั้งหมดได้ทำการหมักมวลสารอยู่ 7 วัน ก่อนนำไปอบและปั้นเป็นลูกและฝังตะกรุดไตรสรณคมน์แล้วครับ ซึ่งตอนนี้ทางคณะมูลนิธิกองทุนหลวงปู่ปานได้นำลูกแก้วผงมณีนพรัตน์ทั้งหมดจำนวนประมาณ150กว่าลูก ขึ้นไปวัดถ้ำเมืองนะ จังหวัดเชียงใหม่แล้วครับ เพื่อไปขอเมตตาหลวงตาม้า อธิษฐานจิตต่อไปครับ"บอกเลยครับว่าขลังจริงๆครับเพราะทำจากมวลสารล้วนๆ"
    พิเศษคือ "ตอกโค๊ตตัว ยะ "(พระศรีอริยเมตไตร) ตอกกำกับทุกลูกครับ
    **หลังจากทางคณะส่งกลับมาจากการอธิษฐานจิตแล้ว ผู้เขียนจึงจะนำมาแจกทุกท่านนะครับ***


    85555-jpg.jpg
     
  6. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,251
    ค่าพลัง:
    +6,463
    ขอบพระคุณอย่างสูงครับอาจารย์
    ขออนุโมทนาครับ
     
  7. Lo_olLo

    Lo_olLo เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +11,576
    พลังงานธรรมมชาติ
    ฤทธิ์ที่เกิดตามธรรมชาติ

    1090333261.jpg
    .....ในเรื่องพลังงานของเวทมนต์คาถามีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าทั้งของไทยเองหรือของต่างประเทศ เรื่องความเชื่อเหล่านี้ เป็นเรื่องธรรมชาติอีกแบบหนึ่งที่เป็นพลังงานที่เกิดจากทางจิตของมนุษย์ก็ดี ที่เกิดจากธรรมชาติโดยกระแสก็ดี ที่ทิ้งไว้ในโลกธาตุทั้งดีและไม่ดี หลายร้อยหลายพันปีสะสมมาเป็นเวลานาน จนเป็นกระแสที่ใหญ่ และเป็นกระแสที่มีผลกระทบต่อการดำรงณ์ชีพของมนุษย์ ของสัตว์ที่ขับเคลื่อนและหมุนเวียนอยู่ในโลก หรือกระทั้งจักรวาล ฉะนั้นหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตที่บางครั้งเกิดขึ้นโดยไม่สามารถอธิบายต้ยสายปลายเหตุได้ หรืออาจจะไม่มีเหตุผลที่จับต้องได้ แท้จริงแล้วนั้นก็เกิดจากกระแสพลังงานลอบๆตัวเราเหล่านี้เอง ที่มีผลต่อชีวิต แต่จะถูกอธิบายในรูปลักษณะใดนั้นก็ขึ้นอยู่ที่ความเชื่อ เช่น กรรมบ้าง พระเจ้าบันดาลบ้าง พรหมลิขิตบ้าง เป็นต้น....

    - แหล่งพลังงานเกิดขึ้นได้อย่างไร -
    ....ในสมัยก่อน โบราณจารในแต่ละยุค แต่ละสมัยก็พยามสังเกตุหาเหตุ หาผลว่าเหตุใดการกระทำต่างๆบางอย่างมีผลกระทำต่อชีวิตคนได้แม้ว่าบางครั้งในบางสถานที่เมื่อคนเข้าไปอยู่อาศัยกลับสุขสบาย บางที่คนเข้าไปอยู่มีแต่เรื่องมีแต่ราว มันมีเหตุปัจจัยที่เกิดจากอะไรบ้าง ในยุคแรกก็เชื่อกันว่าคงมีภูมิผีวิญาณประจำธรรมชาติ เป็นผู้กระทำให้เกิดเหตุเภทภัยต่างๆขึ้น เช่น ภูเขาไฟระเบิดก็เกิดจากเทพเจ้าภูเขา เกิดพายุก็เทพเจ้าลม เป็นต้น คนโบราณจึงเริ่มจัดพิธีต่างๆเพื่อนับถือผีบูชาวิญาณเหล่านั้นโดยเชื่อว่าเป็น "เทพเจ้า" นั้นก็เป็นเหตุประการแรกๆที่มนุษย์เริ่ม พยามติดต่อหรือน้อมนำหรือพยามสื่อถึงพลังงานบางอย่างเพื่อมาปรับหรือแก้ชีวิตให้เกิดความปกติสุขมากที่สุด โดยการเซ่นสรวง สังเวยเพื่อบูชาเทพเจ้าต่างๆให้เกิดความพึงพอใจ

    ....ในสมัยต่อมามนุษย์เริ่มมีอารยธรรมมากขึ้น เริ่มมีการประดิษฐ์คิดค้นตัวหนังสือ โบราณจารย์หรือนักปราชญ์สมัยก่อน ท่านเหล่านั้นก็พยามประดิษฐ์อักษรและภาษาชนิดพิเศษ ขึ้นมาตามด้วย เพื่อจุดประสงค์ใช้ในพิธีกรรมและใช้ติตต่อกับเทพเจ้า(แหล่งพลังงาน) โดยจะมีคำที่คนทั่วๆไปฟังไม่ออกและอ่านไม่ออก มีเฉพาะนักบวชหรือศิษย์ในสำนักนั้นๆที่สืบทอดวิชาเท่านั้น จึงจะรู้ความหมายและพิธีกรรมในความหมายของอักษรต่างๆได้ และมีการจดบันทึกออกมาเป็น "ตำราหรือคำภีร์" ต่างๆ สือทอดกันเป็นรุ่นๆ เช่น พระเวทที่บันทึกเป็นภาษาสันสกฤต เป็นคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ หรือแม้แต่ คัมภีร์ ใบลานที่จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ แถวบ้านเราเหล่านี้ก็ถือเป็นจารึก ที่โบราณจารสมัยก่อนท่านรจนาขึ้นมา เพื่อให้เป็นสื่อถึงพลังงานระหว่างแหล่งพลังงานตามความเชื่อของศาสตร์นั้นๆ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการต่างๆ แม้กระทั้งการ สัก เสก เลขมนต์กลคาถา ให้เกิดผลให้เป็นไปตามใจต้องการ ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับเคล็ดวิชาและจิตของผู้ที่จะทำด้วยว่าถึงกระแสจากแหล่งพลังขนาดไหนเพราะในแต่ละคำภีร์จะมีขีดจำกัด(limit)หรือที่เรียกว่า "อุปเท่ห์" ในตัวของแต่ละสำนักไม่เหมือนกัน และอยู่ที่ผู้ใช้เองด้วยว่าจะได้ผลมากน้อยขนาดไหน ในการปรับจิตให้เข้ากับกระแสพลังงานนั้นๆได้ ไม่ใช้ว่าใครก็สามารถทำได้เหมือนกันหมด

    - การน้อมนำกระแส -
    ....ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นครับว่า พลังงานก็คือธรรมชาติแบบหนึ่งที่อยู่บนโลก และทั้งจักรวาล มีอยู่ทั่วทุกที่และมีหลายรูปแบบ ตามแต่ว่าสถานที่นั้นๆจะสะสมพลังงานในรูปแบบใดไว้ ถ้ามีเหตุปัจจัยอันสมควรพลังงานนั้นๆก็จะแสดงผลออกมาในรูปแบบต่างๆ แต่เนื่องจากพลังงานเป็น "นามธรรม" จะแสดงผลออกมาลอยๆโดยไม่มีอะไรลองรับไม่ได้ ดังนั้นเหตุที่จะทำให้พลังงานเกิดได้ก็ต้องมีองค์ประกอบ 2 ประการที่เป็นเหตุปัจจัยเหมาะสมกันพอดีนั้นคือมี "รูปธรรม" มาลองรับ "นามธรรม" พลังงานนั้นก็จะแสดงผลออกมาได้เต็มที่

    .....ดังในอดีต จึงมีการทำพิธีกรรมในรูปแบบมนต์พิธีต่างๆ มีรูปลักษณ์เหล่าเทพ มีอักขระภาษา ซึ่งถือเป็นรูปธรรมที่จะเป็นสื่อน้อมนำพลังงานที่เป็น "นามธรรม" เข้ามาในตัวของผู้ที่อยู่ในพิธี ซึ่งมีทั้งรูป(ธาตุ4)และนาม(ขันธ์5) เมื่อน้อมนำเข้ามาในจิตจะแสดงออกทางธาตุ เช่น ขนลุกบ้าง ตัวสั่นบ้างหรือบางคนจิตอ้อนถึงกับล้มไปก็มี หรือแสดงออกในท่าทางต่างๆ เหล่านี้เป็นเพราะรับพลังงานเข้าไปสู่จิต แล้วแสดงออกทางธาตุนั้นเอง

    .....ดังนั้นในสมัยก่อน จึงอาจจะไม่แปลกว่าการสักลายยันต์ต่างๆ เวลาออกรบของทหารสมัยก่อน บางครั้งอาจจะฟันไม่เข้าบ้าง ยิงไม่ออกบ้างอันนี้ก็พอมีได้ แต่ไม่ทั้งหมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวผู้สื่อถึงพลังงานนั้นๆด้วยเป็นสำคัญ เพราะอย่างที่บอกครับเมื่อพลังงานผ่านที่จิตและที่ธาตุ ผู้รับพลังงานก็ต้องสื่อจิตสื่อกับพลังงานนั้นๆให้ตรงตามเจตนาและพลังงานด้วย(Connect) พลังงานจึงจะแสดงออกอย่างมีประสิทธิภาพ และอำนวยประสิทธิผลได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

    images888.jpeg
    .....หลวงตาม้า วิริยธโร ศิษย์สายธรรมหลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวเป็นตัวอย่างว่า "สมัยก่อนจะมีพวกซินแซมาขอจับพลังงานพระผงจักรพรรดิ ที่หลวงตาทำเป็นพระผงสีขาวสูตรหลวงปู่ดู่ พอซินแซพวกนั้นลองพลังงาน ยืนจับพระอยู่ดีดี ก็กลับหงายท้องล้มลงเลยทีเดียว หลวงตาบอกว่าด้วยพวกนี้มาลอง ด้วยความไม่เคารพแค่อยากมาดูพลังงาน เลยเพ่งกระแสจิตเข้าไป พลังงานหลวงปู่(หลวงปู่ดู่) ที่มีในพระก็ตีกลับออกมา เลยทำให้หงายท้องล้มทั้งยืน"

    Bodhinanda.jpg
    .....ท่านอาจารย์เสถียร โพธินันทะ หรือที่เรียกกันในวงษ์ผู้นับถือแบบพุทธมหายานว่า "เซียนเสถียร" ท่านเคยกล่าวเกี่ยวกับเรื่องการน้อมนำพลังงานมาผูกเป็นคาถาเป็นยันต์ ของโบราณจารย์สมัยก่อนในการสัมนาครั้งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ.2502 ในหัวข้อธรรมเรื่อง "พุทธาคมกับไสยเวทย์" ท่านกล่าว.... "โบราณจารย์สมัยก่อน หรือผู้รู้เวลาเขาจะผูกมนต์คาถาหรืออักขระเลขยันต์ ต่างๆเขาจะเข้าสมาธิระดับญาณสะก่อน(เข้าถึงกระแสพลังงาน) เมื่อพลังจิตนิ่งแน่คงที่แล้วเขาก็จะ รจนาเขียนและอธิษฐานจิตขึ้นไว้ว่า ขอให้คาถาหรือมนต์ที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นมานี้ มีอายุความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ตลอดไปจนกว่าจะสิ้นศาสนา อย่างนี้เป็นต้น ผู้มาใช้คาถานี้หรือเลขยันต์นี้ตามหลังต่อมาจึงมีความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยฤทธิ์อธิษฐานของโบราณจารย์ท่านนั้นๆ ด้วยกำลังฤทธิ์นั้นๆ"

    668-ee50.jpg
    .....หลวงตาพวง สุขินทริโย ท่านเคยกล่าวเกี่ยวกับวัตถุมงคลและพลังงานไว้เช่นกัน ท่านกล่าวว่า "พระที่แขวนนี้ถ้าผู้ไม่ศรัทธา(ไม่Connectกับพลังงาน) พระจะดีแค่ไหนแขวนไปก็ไม่มีประโยชน์ คนแขวนต้องมีความศรัทธาด้วยพระจึงจะขลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา"

    ..........ดังนั้นพลังงานจึงมีอยู่ในทุกที่ทุกสถาน ทุกบุคคล แต่จะมากน้อยขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญของคนในสถานที่ หรือการสะสมของวัตถุที่เป็นของกายสิทธิ์(มีพลังงานในตัว) เหล่านี้มีผลต่อความเสถียรในพลังงานได้ครับ......(ครั้งต่อไปจะเล่าถึงแหล่งพลังงานที่น้อมนำมาใช้ได้และการเคลื่อนไปของพลังงานครับ) หมายเหตุ : ข้อมูลที่นำมาเสนอเคยมีคนทำเป็นผลงานวิจัยในระดับปริญญาเอกครับ จึงนำมาสรุปจับประเด็นสำคัญมานำเสนอในบางช่วงบางตอนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2021
  8. Lo_olLo

    Lo_olLo เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +11,576
    พลังงานธรรมชาติ
    ฤทธิ์ที่เกิดตามธรรมชาติ(2)

    12391219_1684965838407892_3744787388850088422_n.jpg
    - แหล่งพลังงานที่ใช้ได้ -
    .....ตามที่ได้กล่าวมาแล้วครับว่า พลังงานต่างๆก็คือเป็นธรรมชาติรูปแบบหนึ่งที่อยู่ในทั่วทั้งหมดในจักรวาล ทั้งที่เป็นพลังงานที่ดีและไม่ดี อันเกิดขึ้นจากการสะสมของกิจกรรมต่างๆในธรรมชาติเป็นเวลานาน จนสามารถมีผลกระทบเป็นรูปธรรมต่อการดำรงณ์ชีวิตของมนุษย์ได้

    ......โบราณจารย์หรือนักปราชญ์ในสมัยก่อน จึงพยามคิดค้นสื่อที่เป็นรูปธรรม ที่มนุษย์สามารถจับต้องและมองเห็นได้ เพื่อจะได้เป็นสื่อถึงพลังงานนั้นๆ ไม่ว่าจะผ่านตัวอักขระก็ดี พิธีกรรมก็ดี คำภีร์ต่างๆก็ดี เทวรูปพระพุทธรุปวัตถุมงคลต่างๆ ล้วนถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อหรือเป็นที่ลองรับของพลังงานต้นทางที่น้อมลงมาใช้งานทั้งสิ้น คนสมัยก่อนจะเรียกของที่ลองรับพลังงานเหล่านี้ว่า "ของขัง" ซึ่ง ขัง คำนี้ก็มาจากการกักขังพลังงานต่างๆที่ผู้สร้างหรือโบราณจารย์ ได้น้อมนำมาไว้ในวัตถุนั้นๆ ซึ่งต่อมาก็มีการบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่เป็นคำที่พ้องเสียงกัน เป็นคำว่า "ของขลัง" จนมาถึงปัจจุบันนั้นเอง

    .....ดังนั้น
    "แหล่งพลังงาน" หรือต้นของพลังงานจึงมีหลายรูปแบบ ทั้งเกิดจากตัวบุคคลเอง ทั้งเกิดจาก สิ่งภายนอกก็ได้

    * พลังงานที่เกิดจากตัวบุคคล - เป็นพลังงานที่เกิดจากกำลังของฌาน ของบุคคลที่ฝึกจิตมาเป็นอย่างดีแล้ว จิตที่ฝึกมาดีแล้วย้อมมีพลังอำนาจมาก แต่ก็ต้องอยู่ที่บุญวาสนากำลังในอดีตด้วย เพราะการเข้าถึงแหล่งพลังงานของจิตตัวเอง ถ้าบุญวาสนาน้อยผลที่เป็นพลังงานก็น้อยตาม "ครูบาอาจารย์ในอดีตจึงไม่แนะนำให้ผู้ได้ฌานเวลาทำวัตถุมงคล ห้ามใช้พลังอำนาจตัวเองเพราะจิตนั้นอาจเสื่อมไปได้และได้พลังงานน้อย" แต่พลังงานที่เกิดจากตัวเองสามารถคุ้มตัวเองได้อยู่ และใช้ไปในทางมิจฉาได้ เช่น การทําคุณไสย เป็นต้น แต่พลังงานต้นเองนั้นเสื่อมได้ง่าย ไม่เสถียรถาวรเหมือนพลังงานพระพุทธคุณ

    * พลังงานที่เกิดจาก สิ่งภายนอก - พลังงานแบบนี้จะเป็นพลังงานจากผู้มีบารมีสูงบำเพ็ญบารมีสะสมมามากแต่ในอดีตหลายภพหลายชาติหลายๆองค์ ไม่ว่าจะเป็น คุณพระรัตนตรัย พระโพธิ์สัตว์ เทพ พรหม หรือเทวดาทั้งหลาย เพราะพลังงานทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นพลังงานแห่งความดี และเป็นพลังงานที่คงที่(เสถียรไม่มีเสื่อม) การนำพลังงานเหล่านี้มาใช้ย้อมมีผลที่มั่นคงกว่าการใช้พลังงานจิตตัวเอง ตัวอย่างเช่น หลวงพ่อเล็ก เกสโร ศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อเล็กท่านนี้เป็นพระที่สามารถเข้าสมาธิจิตได้ถึงระดับถึง "ฌานสมาบัติแปด" ซึ่งถือว่าเป็นขั้นสูงสุดของกำลังสมาธิ โดยหลวงพ่อปานท่านได้มอบหมายให้หลวงพ่อเล็กเสก "ผ้ายันต์" ไว้แจกลูกศิษย์หลังออกพรรษา

    images55.jpeg

    และในพรรษานั้นเองหลวงพ่อเล็กท่านได้เข้าฌานสมาบัติแปดอธิษฐานจิตทุกวัน จนถึงวันออกพรรษา 3 เดือน หลังเสกครบวาระหลวงพ่อเล็กจึงได้นำผ้ายันต์ดังกล่าวไปคืนให้หลวงพ่อปาน ไว้แจกตามเจตนารมณ์ที่ท่านมอบหมาย แต่เมื่อหลวงพ่อปานท่านจับผ้ายันต์ดู ท่านกลับคืนให้หลวงพ่อเล็กแล้วบอกว่า "ใช้ไม่ได้ ไปทำมาใหม่" แล้วหลวงพ่อปานท่านก็กล่าวต่อว่า "เอ็งใช้กำลังคนเดียว มันน้อยไป จะไปคุ้มครองใครได้ เอ็งต้องเชิญพระ(พระพุทธเจ้า)ท่านมาเสกสิ" หลวงพ่อเล็กหลังจากได้ยินหลวงพ่อปานได้สอน ท่านก็เข้าใจทันที แล้วนำกลับไปอธิษฐานจิตปลุกเสกใหม่ โดยเริ่มจาก "อัญเชิญบารมีธรรมพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไปจนถึงเทพพรหมทั้งหลาย" แล้วท่านจึงเข้าฌานสมาบัติ ท่านนั่งอธิษฐานจิตเพียงไม่นานท่านก็นำกลับไปให้หลวงพ่อปานท่านพิจารณาอีกครั้ง เมื่อหลวงพ่อปานท่านจับดู ท่านบอกว่า "เออใช้ได้แล้ว"นี้คือตัวอย่างหนึ่ง ของโบราณจารย์สมัยก่อน ที่ท่านแนะนำการน้อมนำพลังงานจากสิ่งภายนอกมาสู่วัตถุมงคล

    1010858_516937658376421_1971489087_n.jpg
    ***พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร(หลวงตาม้า) : ท่านให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องพลังงานภายนอกนี้ไว้ว่า "พลังงานมีทั้งพลังงานที่ละเอียด และ พลังงานที่ยังหนาแน่นอยู่ พลังงานของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านเป็นพลังงานที่ละเอียด แต่พลังงานของพระโพธิ์สัตว์ท่านยังไม่รวม พลังงานที่ท่านทิ้งไว้ในโลกนี้จึงยังหนาแน่นอยู่ น้อมนำมาใช้ได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเราจะน้อมนำพลังงาน ก็อย่าลืมขึ้นต้นคือพระรัตนตรัยก่อนเสมอ เพราะจะทำให้เกิดบุญฤทธิ์ เทวดาทั้งหลายก็จะมาช่วยด้วยเพราะมีพลังงานความสว่างเกิดขึ้น..."

    - การน้อมนำพลังงาน -
    .....หลักการน้อมนำพลังงาน ต้องเข้าใจก่อนครับว่าพลังงานเป็นเรื่องของนามธรรม ไม่สามารถแสดงผลออกมาได้เองลอยๆ ต้องมีเหตุปัจจัยที่มาลองรับนั้นคือ รูปธรรม ซึ่งก็เป็นหลักธรรมชาติที่ว่าทุกสรรพสิ่งในโลกที่มีชีวิต ต้องมีทั้งรูปและนาม แม้แต่คนก็ต้องมีธาตุสี่และขันธ์ห้าประกอบกันพลังงานก็เช่นกัน ก็คือนามธรรมที่ต้องอาศัยรูปในการขับเคลื่อน ให้เป็นไปตามแรงของธรรมชาติ ส่วนจะเป็นไปในรูปแบบใดก็แล้วแต่ว่าเราท่านจะเชื่อไปในรูปแบบใด ถ้าพุทธศาสนาก็เชื่อเรื่อง "กรรม" ซึ่งแน่นอนกรรมก็คือพลังงานในรูปแบบหนึ่งที่มนุษย์สร้างสมเอาไว้ และรอเวลาแสดงผลเมื่อเหตุปัจจัยเหมาะสม

    .
    ...ฉะนั้นการน้อมนำพลังงานจึงต้องมีทั้ง รูปธรรม+นามธรรม เข้าไปทำเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดผลขึ้นมา ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลและผลที่เกิดขึ้นจากเหตุนั้นคือ "การส่งผลของพลังงาน" หรือที่เราเรียกว่า "รับผลของกรรม" นั้นเอง ดังนั้นการน้อมนำพลังงานจึงต้องมีการ "กระทำ" แต่เนื่องจากพลังงานเป็นนามธรรม การน้อมนำพลังงานเลยต้องอาศัยรูปธรรมเป็นเหตุ นั้นก็คือการ "นึกถึง" หรือ การ "คิดถึง" โดยใช้สัญญา คือความจำได้หมายรู้ของเรานี้เอง แต่ในเมื่อเรานึกถึงด้วยความเคารพ ปราถนานึกถึงพระอยากให้พระท่านช่วย จึงใช้คำว่า "น้อม" เพื่อเป็นการเขียนแสดงความเคารพในการนึกถึง

    ....การน้อมนำพลังงาจึงเป็นการนึกถึงสิ่งที่เราเคารพนับถือ อย่างที่บอกละครับทุกๆอย่างมีพลังงาน เราน้อมนึกถึงสิ่งใด พลังงานสิ่งนั้นก็มาหาตัวเรา ส่วนจะมากน้อย มีประโยชน์ไม่มีประโยชน์ ส่งผลแบบใดนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การน้อมจะได้ผลเร็วช้าก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้น้อมด้วยว่า "อินทรีย์ 5" คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา มากน้อยเพียงใดที่จะสามารถน้อมพลังงานของท่านนั้นๆมาสู่ตัวเราได้ นี้จึงจะเกิดเป็นพละ หรือกำลังจิต นั้นเอง

    ....แล้วถึงสามารถนำพละ หรือกำลังตรงนั้นมาใช้งานหรือส่งผลได้อย่างเต็มที่ ฉะนั้นการจูนคลื่นหรือการเชื่อมต่อ(
    Connect)พลังงานระหว่างตัวเรา กับต้นพลังงานก็คือการน้อมพลังงานโดยการ สวดมนต์ก็ดี ทำสมาธิก็ดี ระลึกถึงคุณพระท่านอยู่เสมอๆก็ดี ทั้งหลายเหล่านี้ก็คือการ Connect พลังงานระหว่างเรา กับ องค์พระทั้งสิ้น

    129780559_2791932874352686_5589610807499747312_n.jpg
    เวลาหลวงตาจะให้พร หรืออธิษฐานจิตวัตถุมงคล
    ท่านจะกำพระเสมอ เพื่อน้อมพลังงานพระมาที่ท่าน
    แล้วแแผ่พลังงานและอธิษฐานจิตไปไม่มีประมาณ

    .....พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร(หลวงตาม้า) : ท่านกล่าวว่า "พระทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเหรียญที่เราห้อยอยู่นี้ หรือพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ หรือรูปของพระโพธิ์สัตว์ เป็นสื่อถึงพลังงานขององค์นั้นๆและเป็นสื่อพลังงานของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีอยู่ในองค์พระเล็กๆนี้ทุกองค์ เพราะมีทั้งรูปและนามงัย รูปคือรูปเหรียญท่านนี้งัย(พร้อมยกเหรียญพระในคอท่านขึ้นโชว์) นามคือสิ่งที่ท่านอธิษฐานเข้าไป จะแสดงออกมาแบบไหนละ ถ้าท่านเจ้าของเหรียญอธิษฐานให้เป็นมหาอุด คงกระพัน จิตเราต้องอยู่กับพระตลอดฮะ พระที่ใส่นี้แหละระลึกตลอด เพราะพระมีแสงสว่างงัยใช่ไม ถ้าเราระลึกบ่อยๆแสงสว่างจากพระก็มาที่จิตเรางัย ในขณะนั้นจิตเราก็เป็นมหาอุด ฮ่าๆ(ท่านหัวเราะ) แล้วถ้าเราระลึกบ่อยๆละ เอออ คิดว่าปืนจะยิ่งออกหรือป่าว ฮ่าๆ(ท่านหัวเราะ) นั้นแหละฮะการน้อมพลังงานเข้าถึงพระ...."
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2021
  9. Lo_olLo

    Lo_olLo เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +11,576
    12928327_1703304369936394_827342634088854009_n.jpg
    น้อมรำลึกถึงพระคุณ
    ....หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ละสังขารเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ณ วัดป่าสัมมานุสรณ์ เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2538 สิริรวมอายุได้ 93 ปี 11 เดือน 27 วัน 70 พรรษา มาจนถึงปัจจุบันหลวงปู่ละสังขารล่วงเลยไปแล้ว 26 ปี แต่คุณงามความดี และคำสอนในเกียรติคุณหลวงปู่ ยังคงคู่โลกาให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา และปฏิบัติตาม เป็นปฏิปทาแห่งความหลุดพ้นพยานแห่งมรรคผลนิพพาน เป็นพระสาวกผู้ตามลอยของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง พระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์ที่เปิดเผยธรรมภายใน ทั้งสามโลกแห่งความเร่นลับ ออกมาให้สาธุชนได้ทราบและศรัทธา สมชื่อแห่งนามว่า "พระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์แห่งยุค"

    12321205_1703538219913009_73448522318800908_n.jpg

    26804822_1683312908393082_3994327524413943573_n.jpg

    29683632_2044704212463073_4855071127845639362_n.jpg

    110312293_3962697840467657_2252930722992636793_n.jpg

    13921071_1759675087632655_2385758310071964099_n.jpg

    หลวงพ่อพุธ.jpg

    cover boonya_chop.jpg

     
  10. Seaview

    Seaview สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2017
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +35
    ได้รับพระนาคปรกพร้อมแผ่นยันต์สำเร็จแล้วครับอาจารย์ ขอบคุณครับ
     
  11. Lo_olLo

    Lo_olLo เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +11,576
    9999955.jpg
    หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต เล่าเรื่องฤทธิ์กสิณ
    ...หลวงปู่บุญฤทธิ์พระอริยสงฆ์ศิษย์สายธรรมหลวงปู่ชอบรุ่นแรกๆอีกท่านหนึ่ง ที่มีฤทธิ์ทางธรรมแบบพิศดาร ท่านเล่าว่าท่านเริ่มฝึกกสิณตั้งแต่บวชได้พรรษาแรก(พ.ศ.2489) ตามตำราวิสุทธิมรรค แต่ด้วยการปฏิบัติตามตำรามีความซับซ้อนมาก ต้องตั้งองค์กสิณสูงเท่านั้นเท่านี้ มองเพ่งขนาดนั้นขนาดนี้ ท่านว่ามันยาก ท่านเลยหาวิธีเพ่งกสิณในรูปแบบของท่านเองก็คือ "การเพ่งดวงจันทร์" เอาแสงดวงจันทร์เป็นองค์กสิณ โดยเวลากลางคืนท่านจะออกไปที่โล่งแจ้ง แล้วมองไปทางดวงจันทร์เพื่อเพ่งแสงจันทร์เป็นอารมณ์กรรมฐาน

    ...เมื่อท่านเริ่มฝึกมาได้ 2-3 ปีท่านสามารถจับองค์กสิณให้มาเกิดในจิตได้เป็นกสิณแสง มีความสว่างไสวในจิตสามารถขยายให้ใหญ่ก็ได้ สามารถขยายให้สว่างไปทางทิศไหนก็ได้ และทรงอารมณ์กสิณได้ตลอดเวลา

    images.png
    .....หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านเล่าให้คณะของพระมหามนัส(ปัจจุบันมหามนัสสึกไปแล้ว) เมื่อปี พ.ศ.2545 ที่ได้นำพาคณะศรัทธาญาติโยมไปกราบคารวะธรรมหลวงปู่บุญฤทธิ์ ณ สำนักสงฆ์สวนทิพย์ นนทบุรี ท่านเล่าว่าพรรษาที่2 ท่านเคยใช้กสิณเพ่งมองเข้าไปในป่าที่มืดมากๆ ท่านว่าท่านอยากลองกสิณแสง ท่านก็ตั้งอารมณ์กสิณไว้ในจิต พอลืมตาก็ให้วงษ์กสิณแสงสว่างอยู่ตรงหน้าแล้วรวมกำลังไปที่วงษ์กสิณนั้นเพ่งออกไป ท่านว่า "สว่างยิ่งกว่าแสงสปอตไลท์เสียอีก มองเห็นสว่างในที่มืดยาวไปหลายสิบกิโลเมตร ยิ่งขยายแสงให้กว้างขึ้นยิ่งมองเห็นสว่างทั้งป่ามากขึ้น..." ตรงนี้ท่านเล่าสู่คณะฟังเพียงย่อๆเท่านั้น

    .....ประสบการณ์กสิณอีกครั้งที่หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านเล่าเอง เมื่อปี 2491 ที่วัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทร์บุรี ซึ่งตอนนั้นหลวงปู่ท่านบวชได้พรรษาที่3 อยู่จำพรรษากับท่านพ่อลี วันหนึ่งมารดาของคุณปกรณ์ อังศุสิงห์ ได้มานิมนต์ท่านพ่อลีให้ไปเทศนาเรื่องอริยสัจสี่ โดยท่านตั้งหัวข้อมาให้เลยว่าให้เทศน์เรื่องนี้ ขณะที่หลวงปู่บุญฤทธิ์เดินผ่านกุฏิท่านพ่อลี ท่านพ่อลีร้องลงมาจากกุฏิเลยว่า
    "บุญฤทธิ์ไปเทศน์อริยสัจให้หน่อย..." หลวงปู่บุญฤทธิ์จึงได้รับมอบหมายจากท่านพ่อลีให้ไปเทศนาเรื่องอริยสัจสี่ให้กับคณะราษฎรฟัง โดยการนิมนต์ของมารดาคุณปกรณ์ อังศุสิงห์ แทนท่านพ่อลี

    -canoeing.jpg
    ....หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านคิดว่าท่านบวชมาได้แค่ 3 พรรษา นักธรรมศึกษาก็ไม่ได้เรียนมา ขนาดพระระดับเจ้าคุณในสมัยนั้นก็ไม่ค่อยจะเทศนาเรื่องนี้ ท่านจึงไปค้นในตำรับตำรา ก็ไม่อาจหารายละเอียดที่จะไปเทศนาเรื่องอริยสัจสี่ได้มาก แต่ตอนนั้นท่านว่าท่านได้กสิณนี้ ท่านเลยตั้งวงษ์กสินไว้ในจิตพิจารณาให้แสงสว่างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วท่านก็รวมพลังจิตเพ่งเข้าไปในวงษ์กสิณแสงนั้น ก็เกิดแสงสว่างใหญ่มากแล้วก็เกิดนิมิตขึ้นมาว่า "ท่านกำลังพายเรืออยู่ในทะเลมืดๆซึ่งในน้ำทะเลก็มีคลื่นปะทะตัวเรือ ท่านเลยเอามือจุ่มลงไปในน้ำ รู้สึกว่าน้ำไม่ใช้คลื่น คลื่นก็ไม่ใช้น้ำ(ซึ่งในขณะที่ท่านพิจารณาอยู่นี้จิตก็มีความรู้ในธรรมเกิดขึ้นในใจมากมาย) ท่านยังไม่แน่ใจก็เลยโดดลงไปในน้ำเลย ที่นี้ท่านอุทานขึ้นมาในใจเลยว่า "รู้แล้วอริยสัจสี่"" หลังจากนั้นก็ออกจากสมาธิที่นี้รู้แล้วอริยสัจสี่ทั้งหมด ท่านว่าก็เลยได้เอาความรู้ที่ได้นี้แหละไปเทศน์ได้ และเป็นที่พอใจของผู้มาฟังและครูบาอาจารย์มาก ท่านว่าเป็นเทศนาที่พิศดารอัศจรรย์ในความรู้ทั้งๆที่ท่านก็ไม่เคยเรียนนักธรรมมาก่อน เป็นการค้นหาความรู้ในจิตที่เป็นตู้พระไตรปิฎกใหญ่คือในใจนี้เอง


    md_5af521191c7ff.jpg
    ....บ่อยครั้งที่หลวงปู่ท่านได้ใช้พลังจิตแนวกสิณที่ท่านฝึกมานี้ในกิจการงานต่างๆ และในช่วงชีวิตของท่านทั้งที่ท่านเล่าเป็นคติธรรมให้ศรัทธาญาติโยมฟังบ้าง พระเณรฟังบ้าง และที่ไม่เล่าบ้างก็มีไม่น้อย ในหนังสือประวัติของท่าน "เสียงจากปากเกร็ด" หลวงปู่บุญฤทธิ์เล่าไว้ตอนหนึ่งว่า ประมาณปี 2494-2495 ท่านได้ไปอยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่ชอบ ที่วัดป่าบ้านยางผาแด่น จ.เชียงใหม่ วัดป่ายางผาแด่นแห่งนี้สมัยนั้นลำบากมากตั้งอยู่ที่ผาแด่น เวลาขึ้นลงเป็นภูเขาสูงชันไม่มีทางเดินสะดวกสบาย ครั้งหนึ่งท่านกับหลวงปู่ชอบจะลงจากเขา หลวงปู่ชอบท่านเห็นหลวงปู่บุญฤทธิ์เป็นพระกรุงเทพฯ ท่านก็ต่อให้ลงไปก่อน หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านก็เลยเพ่งถึงขนนกเบาๆตั้งเป็นอารมณ์นิมิต แล้วก็ปล่อยตัวลงเขาแบบลิ่วๆ ลงมาเลยทั้งร่างกายนี้เบาเหมือนขนนกวิ่งลงมา ท่านว่า"มันชันมากเขานี่ไปถึงตีนเขาได้ก็บ่าย สะบายไม่เหนื่อยเท่าไร มันเหมือนลอยๆลงมาเลย" หลวงปู่บุญฤทธิ์กล่าว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2021
  12. Lo_olLo

    Lo_olLo เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +11,576
    ตะกรุดพระอุปคุตโต
    (ตะกรุดพระอุปคุตโตสิทธิลาโภ นิรันตะรัง)

    cats58-jpg.jpg
    ......ด้วยวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2564 ที่จะถึงนี้ ตรงกับวันพุธ แรม ๑๕ ค่ำ เดือนยี่(๒) ทางล้านนาเรียกว่า "วันเป็งปุ๊ด" ที่มีความเชื่อว่าเป็นวันที่ พระอุปคุต ซึ่งเป็นพระภิกษุผู้ทรงฤทธิ์ธานุภาพในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ต่อมาเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้ลงไปจำศีลภาวนาอยู่ ณ สะดือทะเล และในรอบ 1 ปี จะขึ้นมาโปรดชาวเมืองก่อนเวลารุ่งอรุณ ซึ่งก็คือ วันขึ้น 15 ค่ำ ที่ตรงกับวันพุธ

    .....พระอุปคุตนี้หลายท่านที่ศรัทธาคงพอจะรู้จักประวัติท่านพอสมควรแล้วครับว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ที่เกิดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ในช่วงนั้นกำลังมีการสังคายนาพระพุทธศาสนามหาวงษ์ในอินเดีย มีการจัดการสังคายนาชำระพระไตรปิฏกและพระวินัยเพื่อให้เป็นไปตามพุทธบัญญัติอย่างถูกต้องเหมาะสมกับสมณสารูปของพระทั้งหลายในสมัยนั้น แต่ด้วยกาลที่จะกระทำการดังกล่าวเป็นการใหญ่ ย้อมมีพวกเหล่าที่ไม่เห็นด้วย(พวกเดียรถีย์) และพยามที่จะทำลายการฟื้นฟูพระศาสนาในยุคนั้น การได้กำลังของพระอุปคุต หรือในตำรากล่าวว่า "พระอินทคุต พระผู้ปราบมารในพุทธศาสนา" เป็นผู้มาปกป้องคุ้มครอง ในการทำสังคายนาพระพุทธศาสนาในครั้งนั้น จึงทำสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

    .....และมีความเชื่ออีกว่า พระอุปคุตท่านเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มาก เป็นพระอรหันต์ประเภท
    ปฏิสัมภิทัปปัตตะ คือสามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆได้ และเข้านิโรธสมาบัติได้ในองค์ฌานสมาธิชั้นสูง โดยปัจจุบันท่านเข้านิโรธสมาบัติอยู่ใต้สะดือทะเล วันใดที่ตรงกับวัน พุธ ขึ้น 15 ค่ำ(วันพระใหญ่) ท่านจะออกจากนิโรธสมาบัติขึ้นมาบิณฑบาตรบนโลกมนุษย์ โดยกล่าวกันว่า ผู้ใดก็ตามได้มีโอกาสใส่บาตรพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติ จะมีอานิสงส์ใหญ่ "ปรารถนาสิ่งใดในขณะนั้นจะสำเร็จผลทุกประการในปัจจุบันทันใด" เพราะถือว่ามีอานิสงส์ใหญ่มาก มาในปัจจุบันทางภาคเหนือของประเทศไทยก็ดี ทางฝั่งประเทศพม่า ประเทศลาวก็ดี จะมีการจัดงาน ประเพณีตักบาตรเที่ยงคืนโดยจะมีการนิมนต์พระภิกษุจำนวนมากออกบิณฑบาตร ซึ่งเชื่อกันว่าอาจจะมีโอกาสที่พระอุปคุตท่านจะนิมิตกายลงมาบิณฑบาตรปะปนกับหมู่พระภิกษุทั้งหลายในงานนั้นๆด้วย ทำให้ผู้ที่มีจิตศรัทธาที่มาใส่บาตรได้รับบุญอานิสงส์ใหญ่จากการได้ใส่บาตรพระอุปคุตนั้นเอง

    .....และเมื่อปี พ.ศ.2563 ผ่านมาท่านอาจารย์บุญเลิศ เชื่อปุนมี หรือที่รู้จักกันในนาม อาจารย์เลิศ อดีตข้าราชการวัฒนธรรมจังหวัดฝ่ายพิธีกรรม หรือหมอพรามเลิศ หรือ หมอธรรมเลิศ(การเรียกแบบพื้นบ้านของผู้ทำพิธีกรรม) อายุ 74 ปี ท่านได้มีโอกาสจัดพิธีอัญเชิญบูชาองค์พระอุปคุตทุกปี โดยมีลูกศิษย์ลูกหาเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก แต่ตอนหลังๆอาจารย์เลิศ ท่านมีปัญหาสุขภาพเลยงดจัดงานบุญต่างๆ และหยุดรับงานพิธีนอก(พิธีตามวัดหรือพิธีกรรมสำคัญๆ)

    .....อาจารย์เลิศ ท่านเป็นเจ้าพิธีอัญเชิญพระอุปคุตมาตั้งแต่สมัยรับราชการ ทั้งงานพิธีสำคัญๆของจังหวัด และ งานกฐินของวัดต่างๆ ที่จะต้องมีการจัดพิธีอัญเชิญองค์พระอุปคุตมาปกปักรักษา คุ้มครองงาน จึงทำให้ท่านมีความเกี่ยวเนื่องและเกี่ยวพันธ์กับพระอุปคุตพอสมควร ทั้งท่านยังได้มีโอกาสได้ไปร่ำเรียนวิชา "ยันต์พระอุปคุตออกนิโรธสมาบัติ" กับหลวงตาสาร(พระธุดงค์นิรนาม ดังที่กล่าวไว้ในกระทู้ที่ #3539 หน้า 117) ที่ได้วิชานี้มาจากพระภิกษุอายุ 100 กว่าปีในป่าดงดิบแถวพม่า โดยอาจารย์เลิศได้เรียนทั้งวิชาเรียกสูตร การจารและอุปเท่ต์ต่างๆ จากหลวงตาสาร"เพียงผู้เดียว ณ เวลานี้"

    .....ซึ่ง อ.เลิศ กล่าวว่า วิชานี้จริงๆไม่มีอะไรมากก็เป็นวิชา
    "พุทธคุณล้วนๆ" ไม่มีไสยเวทย์อะไรมาปนเลย เป็นกำลังพระอุปคุตล้วนๆ ตั้งแต่บทสวดและอักขระยันต์ อ.เลิศ กล่าวต่อว่า หลวงตาสารสอนท่านเพียงครั้งเดียว โดยท่านเขียนลงบนผ้าเช็ดหน้าให้ดู ท่านก็สามารถจำอักขระยันต์ทุกตัวได้หมด ในปี พ.ศ.2549 ท่านได้ใช้ยันต์นี้ครั้งแรกในการหล่อ "พระอุปคุตหลวงตาพวง จ.ยโสธร" ซึ่งต่อมาเป็นที่ประจักถึงพุทธคุณมากด้าน "โชคลาภหนุนนำอาชีพ"

    ...ต่อมาปี 2563 ท่านได้เมตตาสงเคราะห์ลูกศิษย์ทำตะกรุด "พระอุปคุตโตสิทธิลาโภ นิรันตะรัง" อีกครั้งขึ้นจำนวน 500 กว่าดอก ใช้เวลาจารถึง 4 เดือนเต็มๆกว่าจะเสร็จโดยตอนนั้นออกให้บูชาเพียงดอกละ 50 บาท(ผมได้ฟังถึงกับสงสารผู้จารเลยทีเดียว) ท่านกล่าวว่าตั้งใจทำเพื่อสงเคราะห์ลูกศิษย์ที่ทำมาหากินให้คล่องตัวขึ้นในยามที่สภาวะวิกฤตทำมาหากินลำบาก(ลูกศิษย์ท่านส่วนมากเป็นพ่อค้าวาณิช) และนำไปติดตัวบูชาก็ต่างมีประสบการณ์เล่าขานกันขนาดเยอะ ถึงหนุนส่งในการค้า การขาย(พ่อค้าในจังหวัดจะรู้ดี)

    ยันต์ออ.jpg

    ....ดอกละ 50 บาทท่านลงได้วันละเพียง 4-5 ดอก ด้วยตอนนั้นวัยอายุ 73 ปี ซึ่งท่านบอกว่า
    "ก็ตั้งใจทำให้ผู้บูชานำไปเป็นกำลังใจถ้าแจกฟรีเดียวหาว่าของโหลๆไม่รู้คุณค่า ถ้าเสียสัก 50 บาทก็จะพอดีค่าแผ่นทองแดง(ท่านหัวเราะ) ถ้าแพงกว่านี้ก็เบียดเบียนกันเกิดไปช่วงที่เงินทองหายาก และอีกประการก็เป็นการสานต่อวิชานี้ด้วย"

    .
    ....โดยในปี 2563 เดือนธันวาคมที่ผ่านมาผู้เขียนก็ได้มีโอกาสขออนุญาตท่านจัดสร้างเหรียญพระอุปคุตและรูปหล่อพระอุปคุตขึ้น เพื่อหาปัจจัยสมทบทุนถวายวัดโพธิ์ชัย(ดังกระทู้ที่ผ่านมา) ทั้งเหรียญและรูปหล่อได้นำยันต์พระอุปคุตออกนิโรธสมาบัตินี้ ประทับในส่วนที่เป็นเหรียญ และ ในส่วนรูปหล่อก็จารเป็นตะกรุดเงินสาริกาเล็กๆอุดใส่กับมวลสารใต้ฐาน ซึ่งตะกรุดเงินเล็กนี้ อ.เลิศจารเอง(ตรงนี้หลายท่าน PM มาเล่าประสบการณ์ให้ผู้เขียนฟังเยอะพอสมควรในรอบเดือนที่ผ่านมา แม้ตัวผู้เขียนเองก็เลี่ยมติดตัวไว้เช่นกัน)

    3368.jpg
    ฝากตะกรุดพระอุปคุตโตสิทธิลาโภ นิรันตะรัง และ ตะกรุดเงินสาริกาเล็กที่บรรจุในรูปหล่อพระอุปคุต ให้ลูกศิษย์นำไปเข้าพิธีอธิษฐานจิตพร้อมวัตถุมงคลหลวงปู่ไม เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2563(พร้อมวัตถุมงคลชุดอื่นๆของหลวงปู่ไมในวันนั้น)

    20210111_072153.jpg

    หลวงปู่สอน อนุสาสโก(ท่านเป็นลูกศิษย์และหลานแท้ๆหลวงปู่ชอบ) เมตตาอธิษฐานจิตตะกรุดชุดนี้ด้วย(พร้อมตะกรุดเงินสาริกาที่บรรจุในรูปหล่อพระอุปคุตที่ออกให้บูชาไปแล้ว)

    ..
    ....ในส่วนตะกรุด พระอุปคุตโต สิทธิลาโภ นิรันตะรังนี้ อ.เลิศได้ให้ลูกศิษย์ท่านนำไปขอเมตตา หลวงปู่สอน อนุสาสโก(ซึ่งท่านรู้จักกับหลวงปู่มานานแล้ว) และ ฝากลูกศิษย์ไปเข้าพิธีอธิษฐานจิตกับ หลวงปู่ไม อินทสิริ(ท่านเป็นลูกศิษย์พระอุปคุตในอดีตชาติ) โดยตะกรุดชุดนี้ทำเป็นแบบ "จารสองด้าน" โดยด้านในจารยันต์พระอุปคุตออกนิโรธสมาบัติแบบเต็มสูตร โดยมีอักขระบทสรรเสริญคุณพระอุปคุตและตัวยันต์ประทับตรงกลางซึ่งถือว่า"เต็มสูตร" ตามที่หลวงตาสารเมตตาเขียนไว้ให้

    ยันต์พระสิวลี.jpg
    ** ส่วนด้านนอกจารยันต์ "ตัวใจพระสิวลีสี่ช่อง และล้อมหนุนธาตุสี่" เพื่อเป็นอุปเท่ห์ด้านโชคลาภอีกประการหนึ่ง แล้วม้วนทำเป็นตะกรุดยาวประมาณ 1.5 นิ้ว(เพราะเนื้อหายันต์เยอะมาก) ม้วนและตอกโค๊ตอย่างดี

    **แน่นอนครับว่าตะกรุด พระอุปคุตโตสิทธิลาโภ นิรันตะรัง ชุดที่ อ.เลิศสร้างชุดนี้ จะหนักไปในทางด้าน "ประสิทธิโชคเป็นหลัก" เกี่ยวกับการหนุนเรื่องทำมาค้าขึ้น ซื้อง่ายขายคล่อง เพราะเจตนาท่านได้ให้ลูกศิษย์พวกพ่อค้าวานิชใช้เป็นหลัก แต่ในอุปเท่ห์กล่าวว่า ด้านคุ้มภัยไล่อุปสรรคนานนับประการก็ไม่เป็นสองลองเพราะท่านบอกว่า "อย่าลืมว่าพระอุปคุตท่านปราบมาร ที่เป็นอุปสรรคสักทั้งหลายในการสังคายนาพระไตรปิฏก ในเมื่อมีพลังงานท่านอุปสรรคทั้งหลายที่รู้สึกทำให้ไม่คล่องตัวในชีวิตก็อาจมะลายหายไปได้ ศัตรูหมู่มารผจญก็พ่ายไปในที่สุด นี้ก็เป็นอิทธิคุณหนึ่งของพระอุปคุตท่าน"สรุปก็คือเป็นตะกรุดที่มีคุณรอบด้านจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2021
  13. Seaview

    Seaview สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2017
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +35
    รอครับ อาจารย์
     
  14. Lo_olLo

    Lo_olLo เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +11,576
    _temp_hash=1fa2d3ecfafaeb9f0ad89c75067f0457.jpg
    ....ลูกแก้วผงมณีนพรัตน์ หลายท่านสอบถามมามากเลยครับว่า "แจกไปแล้วหรือยัง" เรียนให้ท่านสมาชิกทราบดังนี้ครับว่า "ยังไม่ได้มีการแจกนะครับ" เพราะว่าทางคณะมูลนิธิหลวงปู่ปานผู้จัดสร้างถวาย ได้นำไปไว้วัดถ้ำเมืองนะ ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.2564แล้ว แต่หลวงตาท่านไปเมตตาที่สถานปฏิบัติธรรมยางงามในช่วงนั้น เพิ่งจะกลับมาวัดเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2564 ที่ผ่านนี้ครับ และด้วยสถานะการ covid19 ทางวัดถ้ำเมืองนะ จึงยังมีนโยบายคนในห้ามออก ให้คนนอกห้ามเข้าเป็นการชัวคราวจนกว่าสถานะการณ์จะดีขึ้น ดังนั้นลูกแก้วผงมณีนพรัตน์ชุดดังกล่าว จึงต้องรอทาง หลวงตาม้า วิริยธโร ท่านเมตตาสวดมนต์อธิษฐานจิตให้ระยะเวลาหนึ่งก่อน เมื่อได้มาแล้วจะนำมาแจกให้สมาชิกทุกท่านแน่นอนครับ

    จึงเรียนแจ้งมายังสมาชิกเพื่อทราบ และทุกท่านที่สอบถามมาครับ

    85555-jpg.jpg


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2021
  15. Lo_olLo

    Lo_olLo เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +11,576
    ตะกรุดพระอุปคุตโตสิทธิลาโภนิรันตะรัง

    ตะกรุด.jpg
    ลายละเอียดภายในตะกรุดครับ
    (จารมือ จารสดทุกดอก ไม่มีcopyครับ)

    ...เนื่องจากว่าหลังจากที่ผู้เขียนได้ลงรายละเอียดไปเกี่ยวกับ ตะกรุดพระอุปคุตโตสิทธิลาโภนิรันตะรัง มีสมาชิกหลายท่านสอบถามรายละเอียดอยากได้ไว้บูชามาจำนวนพอสมควรทั้งทางไลน์ ทั้งในข้อความPM และทั้งโทรศัพย์ ผู้เขียนขออนุญาตนำเรียนท่านสมาชิกดังนี้ครับว่า ตะกรุดดังกล่าวผู้เขียนเคยได้รับมาตั้งแต่ปีก่อน(ของส่วนตัว) ปี2563 ในงานพิธีบูชาพระอุปคุต ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชาพอดี ได้ร่วมทำบุญกับ อ.เลิศ 1000 บาท(จริงๆถวายเท่าไรก็ได้รับ 1 ดอก) ในวันนั้นมีลูกศิษย์ลูกหาไปร่วมงานบูชาพระอุปคุตจำนวนมาก จึงได้เงินถึง 154,300 บาท เฉพาะเงินที่ร่วมทำบุญตามกำลังศรัทธา อ.เลิศมอบตะกรุดเป็นที่ระลึกให้ 1 ดอก เงินจำนวนนี้ได้มอบให้กับวัดหนองบัวทอง ที่จังหวัดหนองบัวลำภูเพื่อสมทบทุนสร้างศาลาการเปรียนที่ผ่านมานี้ครับ

    ...ผู้เขียนเลยนำมาเสนอให้ท่านสมาชิกได้อ่านในรายละเอียดของตะกรุด เพราะวันที่ 13 ม.ค.2564 ที่ผ่านมาเป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งตรงกับวันพุธ เป็นวันที่เชื่อกันว่าองค์พระอุปคุตท่านจะออกจากนิโรธสมาบัติขึ้นมาบิณฑบาตรบนโลกมนุษย์ และในวันดังกล่าว อ.เลิศ ท่านก็จะได้จัดพิธีบูชาอีกครั้ง เลยคิดว่าถ้าเหลือตะกรุดก็จะขอบูชามาทั้งหมดเพื่อแบ่งให้สมาชิกที่ท่านมีความศรัทธาไว้บูชา แต่สุดท้ายปีนี้ก็ไม่ได้จัดพิธีเพราะอย่างที่ทราบกันครับ "มาตรการป้องกันโควิด19" จึงไม่มีการจัดพิธีที่มีการรวมกลุ่มกันของผู้คนจำนวนมากๆ และผู้คนมาจากหลายท้องที่ พิธีบูชาพระอุปคุตในปีนี้ อ.เลิศ ท่านจึงยกเลิกไป ผู้เขียนจึงไม่ได้ไปบูชาตะกรุดตามที่ตั้งใจเอาไว้ครับ

    ...แต่วันนี้ผู้เขียนได้เดินทางไปที่สำนักงานของท่าน อ.เลิศ เพื่อไปสอบถามเรื่องตะกรุด ท่านบอกว่าเหลืออยู่ แต่ไม่มากเพราะท่านจารไว้จำนวน 543 ดอกใช้เวลา 4 เดือนเต็มกว่าจะจารครบและนำไปขอเมตตาครูบาอาจารย์
    หลวงปู่สอน และ หลวงปู่ไม อธิษฐานจิตพร้อมเข้าพิธีบวงสรวงบูชาองค์พระอุปคุตในวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำของปีที่แล้ว และได้แจกลูกศิษย์ที่มาร่วมบุญตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไป(แต่ส่วนมากก็ให้กันมากกว่า50อยู่แล้ว) ผู้เขียนก็เลยออกปากว่า เหลือมากน้อยขอบูชาได้ไหม "จะไปแบ่งให้ท่านที่ศรัทธาทางไกล" ได้บูชาของดีดีบ้าง ท่านอาจารย์เลิศไม่ขัดข้อง แต่ให้เช็คจำนวนท่านที่จะเอาให้ครบว่ามีมากน้อยขนาดไหน แล้วค่อยมาเอาไป ตะกรุดที่เหลือนี้ท่านตั้งใจเหลือไว้ให้คนทางไกลได้บูชา(เพราะถ้าเปิดบูชาทีเดียวหมดไปแล้วครับ543 ดอก) แต่ปีนี้ไม่สามารถให้คนทางไกลได้บูชาได้เพราะไม่ได้จัดพิธี ท่านจึงแบ่งบูชาให้ไม่ได้ครับ

    3368-jpg.jpg
    เข้าพิธี(ฝากเข้า) หลวงปู่ไมอธิษฐานจิต วาระที่ 1

    20210111_072153-jpg.jpg
    หลวงปู่สอน เมตตาอธิษฐานจิต วาระที่ 2

    ...ถ้าท่านใดสนใจ สามารถลงชื่อและจำนวนบูชาจองและโอนปัจจัยได้เลยครับ
    บูชาแค่ 50 บาทเท่านั้นขออนุญาตไม่จำกัดนะครับ เพราะว่าตะกรุดไม่ได้อยู่กับผู้เขียนครับ ต้องเดินทางไปเอากว่า 143 กิโลเมตร(สำนักงานท่านอยู่ไกล) ถ้าจำกัดจำนวนหลายท่านอาจจะโอนปัจจัยมาไม่พร้อมกันจะเป็นการลำบากไปมาของผู้เขียนที่จะไปเอาให้หลายรอบครับ เพราะอาจารย์เลิศให้มาเอาเฉพาะเป็นคน คน ไปครับ ส่วนปัจจัยส่วนนี้ อ.เลิศ ท่านก็จะนำไปสมทบในกองทุนสังฆทานพระสงฆ์(ที่มีการถวายพระทุกอาทิตย์) ต่อไปครับ

    20210115_173559.jpg
    ในกล่องวัตถุมงคลที่เหลือที่สำนักงาน อ.เลิศ
    หน้าจะไม่เกิน 35 ดอกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2021
  16. sumobaimon

    sumobaimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    1,278
    ค่าพลัง:
    +1,528
    ขอบูชาตะกรุดพระอุปคุต 5 ดอกครับ อาจารย์
     
  17. Cajun

    Cajun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2015
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +261
    ขอบูชาตะกรุด 5 ดอกครับ
     
  18. muangake

    muangake สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2017
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +266
    บูชาตะกรุดพระอุปคุต 3 ดอก
     
  19. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,153
    ค่าพลัง:
    +1,157
    จอง บูชาตะกรุดพระอุปคุต 4 ดอกครับอาจารย์
     
  20. Nattawut8899

    Nattawut8899 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,406
    ค่าพลัง:
    +7,043
    บูชา 2 ดอกครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...