ผ้ายันต์ธงชัยครูบาวัดดอนตัน เหรียญปิดตาเสือกระโดดทูลเกล้า พอจ.วัน อุตตโม

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    LUANGPOO_VIVIAN.jpg

    มีอยู่ท่านหนึ่งที่อาตมาลืมกันไปแล้วท่านก็ยังมา คือ หลวงปู่วิเวียร วัดดวงแข เคยได้ยินชื่อไหม ?
    หลวงปู่วิเวียร วัดดวงแข มรณภาพไปไม่นาน ท่านเป็นพระธรรมยุต เป็นสหธรรมิกรุ่นน้องของหลวงปู่มหาอำพัน แต่ท่านไม่ได้มาสายสุกขวิปัสสโกเหมือนกับหลวงปู่มหาอำพัน ท่านมาแรงกว่านั้น คราวนี้สมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ จะว่าไปจริง ๆ แล้วท่านดังมากนะ แต่พวกเราอาจจะไม่รู้จัก เพราะว่าท่านเป็นพระธรรมยุต เวลาท่านสร้างวัตถุมงคล เตาหลอมจะมีสังกะสีล้อมแล้วเป่าไฟจนสังกะสีแดงโร่เลย ท่านก็เจิมเตาหลอมทั้งอย่างนั้นแหละ ชาวบ้านเห็นคาตาทุกครั้ง
    ถามหลวงปู่ว่าทำไมถึงต้องเจิม ? “ก็ทำตามหลักวิชาที่ศึกษามา ถ้าไม่ทำอย่างนี้ไม่ต้องมาให้ข้าทำ” ท่านถนัดที่สุดคือกสิณน้ำ พระที่ท่านสร้างออกมานี่เมตตามหานิยมสุด ๆ ขนาดรุ่นหนึ่งท่านต้องเก็บบรรจุกรุหมดเลย เพราะว่าลูกศิษย์ดันทะลึ่งไปได้ผู้หญิงแล้วก็ไม่ยอมเลี้ยงเขา
    หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน กล่าวถึง
    ลพ วิเวียร วัดดวงแข

    พระสมเด็จ2นะ นะทั้ง2ตัวนี้หลวงปู่เสกด้วยนะหน้าทองและนะปัดตลอดท่านเคยสอนว่าก่อนจะทำตัวนะทั้ง2นี้ให้ทำตัวนะปะถะมังก่อนแล้วลบเป็นตัวนะอีกที1ตัวนะปะถะมังจะคล้ายตัวนะธรรมดา (เป็นวงกลม-ไม้ง่าม-วงกลม-งอเป็นตะขอ-เป็นเศียรกลม) แล้วเรียกสูตรพร้อมลงตัวนะปถมังพินทุกังชาตังทุติยังทัณฑะเมวะจะตติยังเภทะกัญเจวะจตุถังอังกุสัมภะวังปัญจะมังสิระสังชาตังนะกาโรโหตุสัมภะโว จงมาบังเกิดเป็นตัวนะปถมังเสร็จแล้วก็ลบเป็นตัวนะทั้ง2ต่อไป แล้วเสกกำกับต่อไป หลวงปู่เคยพูดว่ารุ่นหลังๆฉันเก่งแล้วนะแต่ละรุ่นละปีแต่ละแบบท่านเศกยากขึ้นเรื่อยๆเวลาท่านนั่งเสกท่านจะเรียกสูตรต่างๆพระคาถาต่างๆที่ลงอยู่ที่องค์พระเป็นเวลานาน พระดีที่อย่ามองข้ามนะครับ

    เนื้อหามวลสารมี ผงนะปถมัง ผงพระพุทธคุณ ผงตรีนิสิงเห ผงอิทธเจ ผงมหาราช ท่านยังลบผงอื่นๆอีกมากเช่น ผงชินปัญชร+สัตตะนาเค+สัมพุทเธ+มหาปฐหมื่น+ไก่เถื่อน+ฝนแสนห่า ฯลฯ.ผงเสกท่านให้เอาดินสอพองมาบดให้ละเอียดแล้วท่านนั่งเสกเป็นผงเสก ผงเกษรดอกไม้เช่น เกษรบัว +มะลิ+พิกุล+บุญนาค จากที่ศักดิ์สิทธิ์ ว่านมงคล เช่นเสน่ห์จันทร์ทั้ง 5 และจาก อ.สัมฤทธิ์ อ.สอนว่านสมุนไพรที่ มจร. ดินกากยายักษ์ ดินวิเศษแห่งแดนใต้ พระราชญาณเวที(หลวงปู่สุระ)วัดยะลา วัดสวนใหม่ จ.ยะลา สหธรรมหลวงปู่ที่ให้ความนับถือในพุทธาคมกันมาก ท่านเคยศึกษาวิชาสัมพุทเธหงสาร่วมกันที่วัดดวงแข เมื่อปี2512 เป็นผู้เอามาให้ 5 ปี๊บ หลวงปู่ให้ผสมผงเหล่านี้ตามกรรมวิธีของท่าน เนื้อผงสีขาวเหลืองก็ใส่ดินกากยายักษ์น้อย เนื้อผงสีเทาดำก็ใส่ดินกากยายักษ์มาก ตามอัตราส่วนไปใช้น้ำมันทั้งอิ๊วและกล้วยน้ำเป็นตัวเชื่อม

    สมเด็จ 2 นะ ของดีที่ไม่ควรมองข้าม
    สมเด็จ 2 นะเป็นพระสมเด็จที่บรรจุสุดยอดวิชาของหลวงปู่ ถึงสองวิชา อักขระนะ ทั้งสองข้างพระสมเด็จ นะตัวแรกเสกด้วย #วิชานะปถมัง นะตัวที่สองเสกด้วยวิชา #นะปัดตลอด ซึ่งทั้งสองวิชานี้เป็นหนึ่งในวิชาของการลบผงตามพระคัมภีร์ปถมัง อันหลวงปู่เชียวชาญเป็นอย่างยิ่ง
    เรามาทำความรู้จักอักขระ นะ เสียก่อน ว่า คืออะไร
    #นะปถมัง #นะปัดตลอด
    ขออนุญาตแอดมินเพจ ในการนำเสนอบทความ เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสมาชิกในกลุ่ม ในฐานะผู้ที่ชื่นชอบในศาสตร์โบราณ มิใช่ในฐานะผู้รู้ หรือ ตั้งตนเป็นอาจารย์ แต่เขียนตามคำบอกเล่าเท่าที่พอจะจำได้ จากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ การศึกษา ค้นคว้า จากตำรับตำรา เท่าที่สติปัญญาจะพึงหาได้ ดังนั้นจึงมิอาจจะลงลึกในรายละเอียด คาถาปลุกเสกเพราะตัวของข้าพเจ้าเองก็ยังเปรียบเป็นเด็กอนุบาล ดังนั้นย่อมมีความผิดพลาด แตกต่าง ตามคตินิยมของสำนักต่างๆ ที่ยึดถือกันมา จึงยินดีที่จะรับฟังคำชี้แนะ ในแนวทางของกัลยาณมิตร ติเพื่อก่อประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านเข้าใจในแนวทางของข้าพเจ้าเสียก่อน หากท่านอ่านแล้วเกิดความสนใจใคร่ศึกษา ก็พึงหาอาจารย์ท่านผู้รู้ต่อยอดศึกษาเถิด
    #นะปถมัง #กำเนิดของนะปถมัง
    “เริ่มแรกเมื่อครั้งต้นกัปโลกนี้ยังว่างเปล่าอยู่ พื้นแผ่นดินยังเพิ่งจะงวดจากน้ำ เริ่มจะเกิดเป็นพื้นดินขึ้นมา ท้าวสหัมบดีพรหมได้เล็งญาณลงมาแลเห็นดอกบัวโผล่พ้นระลอกน้ำขึ้นมา ๕ ดอก ก็ทราบด้วยญาณว่าใน อนาคตกาลเบื้องหน้าจะบังเกิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ พระองค์ เป็นกำเนิดแห่งภัทรกัปอันประเสริฐยิ่ง แล้วจึงได้หยิบหญ้าคาทิ้งลงมาบนพื้นน้ำ น้ำนั้นก็งวดเป็นแผ่นดินขึ้น มีกลิ่นหอม เหล่าพรหมได้กลิ่นง้วนดินต่างลงมาเสพกิน ติดรสง้วนดินนั้นมิอาจกลับคืนสู่พรหมโลกได้ จึงได้ตั้งรกรากเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์สืบมาจนทุกวันนี้ ฉะนั้นจึงถือท้าวสหัมบดีพรหม เป็นครูต้นของคัมภีร์ปถมัง เมื่อจะเล่าเรียนให้กล่าวโองการนมัสการท้าวสหัมบดีพรหมเสียก่อน”
    นะปถมัง ประกอบไปด้วยปัญจสาขา พินธุ (แวววงกลม) ทัณฑะ (ไม้ง่าม) เภทะ (กิ่งไม้ที่แตกหน่อจากไม้ง่าม) อังกุ (ตะขอ) สิระ (เศียร) เริ่มเขียนตามลำดับ มีคาถาเสกประจำตัว และเมื่อสำเร็จเป็นนะปถมังแล้ว มีคาถานมัสการนะ รายละเอียดเชิงลึกมีความซับซ้อนพิศดารมาก พึงศึกษาจากคัมภีร์ปถมังภายใต้การชี้แนะของท่านผู้รู้เถิด
    นะปถมัง โบราณคณาจารย์ยังเรียกขานนามอีกหลายชื่อ ตามแต่ละสำนัก อาทิเช่น นะตัวต้น เหตุที่เรียกเช่นนี้ เพราะเป็นนะที่เกิดขึ้นตัวแรก เป็นต้นกำเนิดของนะทั้งหลาย อีกนัยหนึ่ง นะตัวนี้เป็นนะตัวแรกที่จะต้องเขียนพร้อมกับปฐมอักขระ “นะโมพุทธายะ สิทธัง” ในการเริ่มเขียนกระดานชนวนครั้งแรก , นะปฐมกัป เหตุที่เรียกเช่นนี้ เพราะเป็นนะที่เกิดขึ้นพร้อมกับภัทรกัปนี้, นะพินทุ เหตุที่เรียกเช่นนี้ เพราะนะตัวนี้กำเนิดจากการเขียนพินธุหรือวงกลมเป็นลำดับแรก, นะทรงแผ่นดิน เหตุที่เรียกเช่นนี้ เพราะ เมื่อท้าวสหัมบดีพรหมส่องทิพย์ญาณลงมาเมื่อแผ่นดินเริ่มแห้งก็ปรากฏนะตัวนี้บนแผ่นดิน, นะปัดตลอด เหตุที่เรียกเช่นนี้ เพราะวีธีการเขียนนะตัวนี้จะพบในการเขียนนะตัวอื่นตลอดไป อีกนัยหนึ่งคือเมื่อผู้สำเร็จนะตัวนี้ในทางวิทยาคุณ สามารถใช้นะตัวนี้ทะลุผ่านสิ่งต่างๆได้, ทั้งหมดนี้คือนามของนะปถมัง
    นะปถมัง เป็นนะตัวต้นที่ผู้ใคร่ศึกษาต้องเรียนรู้ หัดเขียนเป็นลำดับแรก เมื่อจะหัดเขียนอักขระขอมในกระดานชนวนให้เขียนปฐมอักขระ “นะโมพุทธายะ สิทธัง” และนะปถมัง จึงจะเริ่มเขียนอักขระอื่นต่อไป เป็นบทเรียนแรกตามลำดับขั้นตอนการศึกษาวิทยาคม ดังปรากฏในเสภาขุนช้างขุนแผน
    “อันเรื่องราวกล่าวความพลายงามน้อย
    ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี”
    ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี
    เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนต์
    ปัถมังตั้งตัวนะปัดตลอด
    แล้วถอนถอดถูกต้องเป็นล่องหน
    หัวใจกริดอิทธิเจเสน่ห์กล
    แล้วเล่ามนต์เสกขมิ้นกินน้ำมัน
    เข้าในห้องลองวิชาประสาเด็ก
    แทงจนเหล็กแหลมลู่ยูขยั้น
    มหาทะมื่นยืนยงคงกระพัน
    ทั้งเลขยันต์ลากเหมือนไม่เคลื่อนคลาย”
    นะปถมัง เปรียบดังหญ้าปากคอก ที่ผู้ศึกษาส่วนใหญ่มองข้าม พื้นฐานของการศึกษาตามจารีตโบราณ การเรียนรู้ควรเริ่มจากโคนไปสู่ยอด เมื่อฐานไม่มั่นคงย่อมที่จะต่อยอดไปไม่ได้ อิทธิคุณแห่งนะปถมังนั้น ดังคำพังเพยโบราณ
    “ปถมังพินธุนี้ไซร้ ผู้ใดได้เรียน นะ มิต้องขอก็มาเอง ”
    นี้คือที่มาของนะปถมัง นะปัดตลอด .... หลวงปู่เคยพิสูจน์ให้เห็น ตอนเจิมผ้ายันต์สัมพุทเธหงสา โดยท่าน ตบทองจากผ้ายันต์ผืนแรกให้ทะลุผ่านกองผ้ายันต์ทุกผืนให้ทองติดจนถึงผืนสุดท้าย หลวงปู่ได้นำสองวิชานี้มาเสกพระสมเด็จรุ่นนี้ ความขลังความศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครองชีวิตเราได้หากเราหมั่นกระทำแต่กรรมดี


    “หลวงปู่วิเวียร วัดดวงแข”พระแท้เมืองกรุง
    พระเครื่องขลัง”เมตตามหานิยม-แคล้วคลาด”
    พระวิมลธรรมภาณ หรือที่เรียกขานกันด้วยความเคารพว่า “หลวงปู่วิเวียร”อดีตเจ้าอาวาสวัดดวงแข แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กทม. ท่านเป็นหนึ่งใน “พระดีเมืองกรุง” ที่ควรค่าแก่การจดจำและนำเสนอสู่การรับรู้ของสาธารณชน เพราะเมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ ได้ดำรงตนเป็นมิ่งขวัญของลูกศิษย์ลูกหา และเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนาได้อย่างไม่มีที่ติ เรื่องงานบูรณะพัฒนา ท่านก็มิน้อยหน้าพระสงฆ์องค์ใด หรือในด้านวิชาอาคม ก็ไม่เป็นสองรองใคร แถมยังมีพระเครื่องวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม และมีประสบการณ์สูงเช่นกัน
    หลวงปู่วิเวียรท่านมีนามเดิมว่า “สังเวียน บุญมาก” เกิดที่บ้านหมู่ 8 ต.บ้านแก่ง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เมื่อวันพุธที่ 9 พ.ย. 2464 บุตรของนายกริ่ม และนางพริ้ง มีพี่น้องรวม 6 คน ท่านเป็นคนสุดท้อง เยาว์วัยได้รับการศึกษาเบื้องต้นที่ ร.ร.ประชาบาลวัดบ้านแก่ง จนจบชั้นป.4 แล้วเรียนต่อจนจบวิชาครูเกษตรกรรมที่จ.นครสวรรค์
    ในปีพ.ศ.2482 ได้เข้ากรุงเทพฯ และบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 18 ปีที่วัดดวงแข เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2482 สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชิรญาณวงศ์) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้อยู่จำพรรษาและศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมโทเมื่อปีพ.ศ.2484 และได้อุปสมบทในเดือนพ.ค.ปีเดียวกันนี้ โดยสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสุพจนมุนี (พระพรหมมุนี สุวจเถร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดรัตน์ (พระญาณวิสุทธิเถร) วัดดวงแข เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ฐิตปุญโญ” และในคราวอุปสมบทนี้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “วิเวียร”
    เมื่อบวชแล้วได้เข้าสอบบาลี 3 ประโยค แต่ปรากฏว่าสอบตกจึงเดินทางกลับบ้านเกิดเข้าพักอยู่กับพระครูนิวุตถ์พรหมจรรย์ (หลวงพ่ออยู่) เจ้าอาวาสวัดบ้านแก่ง ซึ่งเป็นบิดาบุญธรรม และช่วงนี้เองทำให้ท่านหันเหชีวิตมาในแนวทางปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ศึกษาพระเวทย์วิทยาคมจากหลวงพ่ออยู่จนมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งหลวงพ่ออยู่องค์นี้ เป็นศิษย์เอกของ 3 พระอาจารย์ดังในอดีตคือ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท,หลวงปู่เฮง วัดเขาดิน จ.นครสวรรค์ และหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์
    ทั้งนี้ วิชาอาคมต่างๆของ 3 พระเกจิอาจารย์ดังนี้หลวงพ่ออยู่ได้ถ่ายทอดให้ท่านจนหมดสิ้น และปัจจุบันตำราพระเวทย์เหล่านี้ยังอยู่ที่วัดบ้านแก่ง ทั้งนี้ ท่านได้เดินทางขึ้นล่องระหว่างวัดดวงแข และวัดบ้านแก่ง โดยจะอยู่เข้าพรรษาที่วัดดวงแข พออกพรรษาจะมาศึกษาพระเวทย์ต่างๆที่วัดบ้านแก่ง ตั้งแต่ปีพ.ศ..2485-2491 ซึ่งเป็นปีที่หลวงพ่ออยู่มรณภาพ เมื่อจัดงานศพพระอาจารย์เสร็จแล้วได้กลับมาวัดดวงแขเพื่อทบทวนวิชาความรู้
    ประมาณปีพ.ศ.2495 พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาโม (พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ ) วัดป่าสาละวัน จ.นครราชสีมา ได้มาพำนักอยู่ที่วัดดวงแข หลวงปู่วิเวียรจึงมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดเวทย์วิทยาคม และรับการอบรมสั่งสอนวิปัสสนากรรมฐาน การเขียนอักขระเลขยันต์ต่างๆ ซึ่งท่านต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจนานกว่า 5 ปี ทีเดียว ในระหว่างนี้ พระอาจารย์สิงห์ได้เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และพระอาจารย์ต่างๆ พร้อมกับแนะนำให้ไปกราบเมื่อมีโอกาส หลังจากพระอาจารย์สิงห์กลับไปโคราชแล้ว ท่านก็มีโอกาสพบกันอีกหลายครั้ง เช่นที่วัดบรมนิวาส, วัดปทุมวนาราม กทม. และที่ต่างจังหวัดอีกหลายวัด รวมทั้งเคยร่วมธุดงค์ไปถึงประเทศลาว
    นอกจากนี้ ท่านได้ไปเรียนวิชาลบผงกับหลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม จ.ชลบุรี และได้รับคำแนะนำให้ไปกราบหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง แม้ท่านจะไม่เคยได้ไปพบ แต่ก็ให้ความเคารพนับถืออย่างมาก เวลามีพุทธาภิเษก หรือพิธีเททองหล่อพระที่วัดดวงแข ท่านจะต้องเอารูปเหมือนหลวงปู่ทิมมาร่วมพิธีทุกครั้งไป ส่วนพระอาจารย์องค์อื่นที่ท่านให้ความเคารพนับถือก็มี หลวงปู่ทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง จ.สมุทรสาคร,หลวงพ่อสนิท วัดศีลขันธาราม จ.อ่างทอง ,หลวงปู่บุญฤทธิ์ พระอาจารย์สายกรรมฐาน ฯลฯ
    หลวงปู่วิเวียรเป็นพระที่มีเมตตาสูง ท่านให้ความอนุเคราะห์ผู้ยากไร้ตลอดเวลาจนเป็นที่ทราบของพระเถระผู้ใหญ่หลายท่าน ตลอดจนบรรดาศิษยานุศิษย์ ท่านถือหลักพรหมวิหาร 4 ใครมาหาก็จะประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ พร้อมว่าพระคาถาเพื่อเป็นสิริมงคลแล้วพูดว่า “เจริญเฮงๆกันนะ” ทุกครั้งไป ไม่ว่าวัดไหน หน่วยงานราชแห่งใด มาขอพึ่งท่านจะช่วยเหลือมิได้ขาด ผลงานของท่านจึงปรากฏเป็นรูปธรรมอยู่มากมาย โดยเฉพาะภายในวัดดวงแขที่กล่าวได้ว่า ท่านเป็นผู้พลิกฟื้นสภาพวัดที่ทรุดโทรมให้กลายมาเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรือง มีความร่มรื่นน่าอยู่อาศัยศึกษาและปฏิบัติไม่แพ้อารามใดในเมืองกรุง
    ภารกิจทางคณะสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายท่านปฏิบัติมิเคยขาด งานด้านสาธารณูปการท่านก็สร้างสรรค์ไว้นับไม่ถ้วนทั้งที่วัดดวงแข และจ.นครสวรรค์บ้านเกิด รวมไปถึงอีกหลายๆจังหวัดทางภาคเหนือ แม้กระทั่งในต่างประเทศ นอกจากนี้ ได้เป็นครูสอนปริยัติธรรมอบรมสั่งสอนพระเณร ชาวบ้านมาตั้งแต่บวชเป็นพระใหม่ๆ เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานแก่ผู้ที่สนใจน และเทศนั่งสอนแนะนำจนเป็นที่ชื่นชอบของพุทธศาสนิกชนทั่วไป และมีคิวนิมนต์ไปเทศน์ตามสถานที่ราชการอยู่เสมอ และสิ่งที่ท่านให้ความสำคัญมากก็คือ การศึกษาของเด็กนักเรียนโดยจะมีการมอบทุนให้ทุกปี
    ในด้านงานเขียนท่านได้แต่งหนังสือไว้ประมาณ 10 เรื่อง เช่น ค่าของคน,วิถีทางของคน,เด็กน้อย,ค.ควาย และค.คน แต่น่าเสียดายเรื่องนี้ไม่มีการพิมพ์แพร่หลายออกมาเพราะช่างพิมพ์เอาเรื่องนี้จะไปตีพิมพ์ แต่มาป่วยเสียชีวิตไปเสียก่อน ต้นฉบับเลยหายไปด้วย
    การจัดสร้างวัตถุมงคลของหลวงปู่วิเวียร ท่านจะอนุญาตให้สร้างได้ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ยกเว้นปีใดที่มีวันสำคัญเช่นวันเสาร์ 5 หรือวันจันทร์ตรีคือ วันจันทร์ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ก็จะอนุญาตให้สร้างเป็นกรณีพิเศษ และกำชับเสมอว่าอย่าทำเป็นการค้า แต่ให้ยึดถือปฏิบัติในทางเมตตาคือการแจก หรือมอบให้ผู้มีจิตศรัทธามาร่วมทำบุญ และห้ามให้นำไปทำบุญนอกวัดเด็ดขาด

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จ 2 นะให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ (ปิดรายการ)

    IMG_20250305_054933.jpg IMG_20250305_055005.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2025 at 06:25
  2. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,018
    ค่าพลัง:
    +7,000
    ขอจองครับ
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    FB_IMG_1741131081654.jpg

    ท่านเป็น ๑ ใน ๑๐๘ พระเกจิคณาจารย์ ทรงวิทยาคมที่ได้รับการนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกสุดยอดพระเครื่องของเมืองสยาม
    ....ปาฏิหารย์เกี่ยวกับหลวงพ่อท่านมีหลายอย่างมากมายที่ท่าน แสดงให้เห็นเหนือธรรมชาติหลายอย่าง อาทิเช่น
    ๑. ไม่สรงน้ำ
    ๒. เรียกนกมาเกาะมือ
    ๓.มีไฟออกตามตัว
    ๔.คุยกะสัตว์รู้เรื่อง
    ๕.ย่นระยะทาง เป็นต้น
    และอื่นๆอีกมากมาย แต่ท่านสอนไม่ให้ยึดติด ท่านสอนให้ใช้ชีวิตอย่า ประมาท ครับ สาธุ
    อริยสงฆ์ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ เพื่อระลึกถึงบุญบารมีคุณงามความดีของพระเกจิอาจารย์ครูบาอาจารย์ แม้ท่านจะล่ะสังขารไปแล้ว แต่คุณงามความดี บารมีธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ของท่านยังปรากฎ
    ประวัติหลวงพ่อปี้ วัดคูหาสุวรรณ (วัดลานหอย)
    พระครูสุวิชานวรวุฒิ หรือ (หลวงพ่อปี้ ทินโน) พระเถราจารย์ชื่อดังอดีตเจ้าอาวาสวัดคูหาสุวรรณ (วัดลานหอย) ต.ธานี อ.เมือง จ.สุโขทัย
    หลวงพ่อปี้ เป็น ๑ ใน ๑๐๘ พระเกจิคณาจารย์ทรงวิทยาคมที่ได้รับการนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ ( 25 พุทธศตวรรษ)
    หลวงพ่อปี้ ทินโน อัตโนประวัติ หลวงพ่อปี้ ถือกำเนิดขึ้นในตระกูล ชูสุข เมื่อวันพุธที่ 15 ตุลาคม 2455 ณ ต.ลานหอย อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายสังข์ และ นางเย็น ชูสุข คำว่า "ปี้" นั้นหมายถึง เงินตราสมัยโบราณ
    เมื่ออายุ 12 ปี โยมบิดาได้นำบุตรชายไปฝากให้เรียนหนังสือมูลบทบรรพกิจเบื้องต้น ทั้งหนังสือไทยและหนังสือขอมกับ พระอธิการหน่าย เจ้าอาวาสวัดเชิงคีรี อ.บ้านด่านลานหอย ต่อมาอายุ 16 ปี โยมบิดาเสียชีวิตลงจึงต้องกลับมาช่วยเหลือครอบครัว โดยไปรับจ้างเลี้ยงควายและทำนา
    ครั้นอายุครบ 20 ปี ประสงค์จะบวช แต่ไม่มีเงินซื้อผ้าไตร แม่จึงพาไปหา นายโจทย์ เข็มคง กำนันตำบลลานหอยในขณะนั้น ให้ช่วยเป็นเจ้าภาพ โดยแม่ของท่านมีเงินไปร่วมงานบวชเพียง 25 สตางค์เท่านั้น

    จนได้บวชเป็นพระภิกษุสมความปรารถนา เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2465 ณ พัทธสีมา วัดสังฆาราม อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย โดยมี พระครูวินัยสาร (พระราชประสิทธิคุณ) เจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการน้อย เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    หลังจากนั้นได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเชิงคีรี อ.บ้านด่านลานหอย สอบนักธรรมชั้นตรีได้เมื่อปี พ.ศ.2475 และได้เรียนวิปัสสนากัมมัฏฐาน และการธุดงค์กับพระอุปัชฌาย์ของท่านที่วัดราชธานี ก่อนที่จะออกจาริกธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆ หลายจังหวัด
    พ.ศ.2481 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเชิงคีรี พ.ศ.2485 ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดลานหอย และได้รับตราตั้งกรรมวาจาจารย์ พ.ศ.2492 เป็นพระอุปัชฌาย์
    พ.ศ.2496 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ พระครูสุวิชานวรวุฒิ พ.ศ 2510 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท
    เหรียญหลวงพ่อปี้ ทินโนหลวงพ่อปี้ เป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนได้เป็นอย่างดี ได้สร้างคุณูปการ ให้แก่พระพุทธศาสนา โดยได้อบรมพระภิกษุสามเณร และอุบาสก อุบาสิกาที่ไปกราบนมัสการในเทศกาลต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปในแบบสนทนาธรรมและปริศนาธรรม
    ท่านมีปริศนาธรรมมาก ได้แนะนำให้ประชาชนงดเว้นจากการทุจริต กลับมาประพฤติตนเป็นสุจริตชนได้เป็นจำนวนมาก คนที่มีปัญหา เดือดร้อน ถ้าช่วยได้ท่านก็จะช่วยทันที พร้อมกับให้คติธรรมแนะนำสั่งสอนให้ทำแต่ความดี นอกจากนี้ ได้ให้การอุปถัมภ์การสร้างถาวรวัตถุให้กับวัดในอำเภอ และจังหวัดอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
    ทุกวันจะมีผู้มากราบนมัสการมากมาย ไม่ว่าใครจะนิมนต์ไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่ใด ท่านไม่เคยขัด โดยท่านปลุกเสกไว้หลายรุ่นหลายรูปแบบ เช่น พระเครื่อง เครื่องราง แหวนผ้า ธนบัตรขวัญถุง, ผ้ายันต์รอยเท้า ฯลฯ
    ส่วนจตุปัจจัยที่ได้จากผู้คนเหล่านั้นก็ได้กลายมาเป็นอุโบสถอันงดงาม รวมทั้งหอสวดมนต์ และสิ่งก่อสร้างอันเป็นสาธารณกุศลอีกมากมาย ตลอดชีวิตไม่เคยมีใครเห็นหลวงพ่อปี้สรงน้ำ จนมีเรื่องเล่าลือมากมาย ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าเนื้อตัวของท่านสะอาดอยู่ตลอดเวลา
    เคยมีคนนมัสการถามเกี่ยวกับการสรงน้ำของท่านว่า "ไม่เห็นหลวงพ่อสรงน้ำ?" ท่านก็ตอบว่า "สรงทุกวัน" ทุกคนในที่นั้นเลยนิ่ง แล้วท่านก็ให้นำน้ำมาหนึ่งถัง ทุกคนเฝ้ามองอย่างไม่ละสายตา ก็ไม่เห็นท่านสรง ได้แต่พูดคุยและเอามือลูบตามเนื้อตัวอยู่ตลอดเวลา
    ทันใดนั้นปรากฏมีน้ำเปียกชุ่มตามตัวของท่าน สร้างความประหลาดใจและตื่นตะลึงแก่ผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นเป็นอย่างยิ่ง! ตามปกติหลวงพ่อปี้เป็นผู้มีจิตใจสุขุมเยือกเย็น ไม่เป็นคนล้าสมัย เพราะท่านคอยฟังข่าวจากวิทยุและหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ
    ท่านเคยให้แนวคิดแก่ข้าราชการและนักการเมืองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีความกตัญญูกตเวทีต่อพระอุปัชฌาย์ (พระราชประสิทธิคุณ) เหมือนบิดาบังเกิดเกล้า ยินดีรับภาระทุกอย่างที่พระอุปัชฌาย์มอบให้
    ท่านมักปรารภกับผู้ใกล้ชิดเสมอว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเป็นเด็ดขาด และอย่าดำรงตนอยู่ในความประมาท ใครก็ตามที่มากราบและขอของดี ท่านก็จะให้คาถาบทสำคัญ คือ "ระวัง" หรือ "ความไม่ประมาท" นั่นเอง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อปี้หลังพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250305_063008.jpg IMG_20250305_062943.jpg
     
  4. sunmk

    sunmk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +1,078
    จองพระหูููยาน
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    รับทราบครับขอบคุณครับ
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    FB_IMG_1741135901058.jpg U19575746366613982300012831.jpg
    โกศล.... ลุงไม่เกิดอีกแล้วนะ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย..!!!!”
    นี่ก็หมายความอย่างชัดแจ้งที่สุดว่า พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)ท่านรู้ชัดด้วยญาณปัญญาของท่านเป็นที่แน่นอนแล้วว่า บัดนี้ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารแห่งท่าน ได้มาถึงยังจุดอันเป็นที่สุดแล้ว การเกิดครั้งใหม่ต่อไปมิได้มีอีกแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่านแล้ว
    16_66.jpg
    พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ สร้างขึ้นโดยท่านเจ้าคุณพระศีลขันธ์โสภณ (สนิท ทองสีนวล) เจ้าอาวาสวัดศีลขันธาราม อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง
    โดยท่านเจ้าคุณสนิท เกิดและอุปสมบทที่จังหวัดชลบุรี หลังจากนั้นท่านได้เข้ามาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพ โดยมีท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ ธัมมวิตกโก เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้น ท่านเจ้าคุณสนิทมีความเคารพเลื่อมใสศรัทธาท่านเจ้าคุณนรฯ เป็นอย่างมาก และท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์เป็นเวลาทั้งสิ้น 11 พรรษา
    จากนั้นท่านเจ้าคุณนรฯ ได้ให้ท่านไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศีลขันธ์ ซึ่งขณะนั้นวัดศีลขันธ์ ชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ละท่านเจ้าคุณสนิท จึงต้องเร่งหาทุนทรัพย์เพื่อมาทำนุบำรุงเสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัด รวมทั้งก่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ เพิ่มเติม และก็มีผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทำบุญจนสำเร็จลุล่วง ท่านเจ้าคุณสนิท จึงสร้างวัตถุมงคลขึ้นเพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่ร่วมทำบุญ รวมทั้งพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยมิได้คิดมูลค่าใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ ท่านเจ้าคุณสนิท ยังได้มอบวัตถุมงคลชุดนี้แก่วัดต่าง ๆ ที่ขาดแคลนต้องการทุนทรัพย์ในการบูรณะหรือก่อสร้างศาสนสถานต่าง ๆ ภายในวัดเพื่อเป็นการพัฒนาวัดอีกด้วย
    วัตถุมงคลชุดนี้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2513 ประกอบด้วย พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ เป็นหลัก และยังมีพระเนื้อผง และโลหะอีกมากมายนับสิบพิมพ์ โดยวัตถุมงคลชุดนี้ เจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ ได้อธิษฐานจิตให้เมื่อปลายปี พ.ศ.2513 ซึ่งเป็นวัตถุมงคลชุดสุดท้ายที่ท่านอธิษฐานจิตก่อนที่จะมรณภาพ
    วัตถุมงคลชุดนี้ มีหลายสิบพิมพ์ เช่น
    พระสมเด็จดำ พระสมเด็จขาว หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระสมเด็จสายรุ้ง หลังเสือ หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระสมเด็จนาคปรก 7 เศียร หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระสมเด็จปรกโพธิ์ หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระผงรูปเหมือน ธัมมวิตกโก หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    เหรียญ ธัมมวิตกโก เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง หลังยันต์น้ำเต้า
    ฯลฯ
    พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ ที่สร้างในปี พ.ศ.2513 นี้ถือเป็น พระสมเด็จรุ่นแรก ของวัดศีลขันธ์ และทันท่านเจ้าคุณนรฯ อธิษฐานจิต ซึ่งทางวัดศีลขันธ์ ได้มีพระสมเด็จรุ่นสอง รุ่นสามออกตามมาด้วย ในปี พ.ศ.2514 และ พ.ศ.2517 โดยที่สร้างขึ้นหลังกาลมรณะของท่านเจ้าคุณนรฯ แต่ใช้มวลสารที่ท่านเจ้าคุณนรฯได้อธิษฐานจิตไว้ให้เมื่อครั้งสร้าง พระสมเด็จสายรุ้ง รุ่นแรก ปี 2513
    หลักการพิจารณา พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ รุ่นแรก จะสังเกตเบื้องต้นได้ง่าย ๆ จากความสวยงามขององค์พระ โดยพระรุ่นแรก พิมพ์ทรงจะไม่สวยงาม เมื่อเทียบกับ รุ่นสอง รุ่นสาม ซึ่งมีพิมพ์ที่สวยงามเป็นมาตรฐาน รวมทั้งสีของลายสายรุ้ง พระสมเด็นสายรุ้ง รุ่นแรกก็จะไม่มีสีและลายไม่ค่อยจะสวยงามมากนัก สีจะซีดกว่า ไม่ชัดมากนัก
    พระสมเด็จสายรุ้ง รุ่นแรก พระจะบางกว่า ไม่หนาเหมือนพระรุ่นสอง และ รุ่นสาม นอกจากนี้ พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ รุ่นแรก จะไม่มีการอุดผงใด ๆ ที่ขอบบนและล่างขององค์พระจะไม่มีรอยอุดผง
    และจุดสังเกตที่สำคัญคือยันต์หลังองค์พระ พระสมเด็จสายรุ้ง รุ่นแรก จะต้องเป็นยันต์นูนเท่านั้น ส่วน รุ่นสอง และรุ่นสาม จะเป็นแบบยันต์จม
    เรื่องของอภินิหาร ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์ฯ ที่ประสบกับ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล
    เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2520 ผู้เขียนได้รับบทความมา ชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก นับนานถึงวันนี้เป็นเวลาล่วงมา 43 ปีเข้าไปแล้ว ท่านผู้เขียนท่านนี้ก็ได้ล่วงลับไปแล้ว ครั้งนั้นท่านเมตตาผู้เขียนมาก บทความชิ้นนั้นท่านนิพนธ์ขึ้นเพื่อช่วยผู้เขียนในการจัดทำหนังสือชื่อ พุทธเวทย์ โดยให้ลงเผยแพร่ ก็ได้รับความสนใจจากผู้อ่านมาก หากจะนำมาเสนออีก ท่านผู้อ่านจำนวนมากคงไม่ได้เคยอ่านมาก่อนแน่นอน
    เรื่องนี้ชื่อว่า เรื่องของอภินิหาร นิพนธ์โดย พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ุ ยุคล ผู้เขียนขออนุญาตนำมาเสนอ โดยรวบรัดเนื้อหาให้พอดีกับหน้าหนังสือ ลานโพธิ์ แต่ลีลาสำนวนการเขียนคงอรรถรสเดิมๆ ทั้งสิ้น มีเนื้อความดังต่อไปนี้
    ข้าพเจ้า (พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ุ ยุคล) ได้เคยกล่าวไว้ว่า ความเห็นของข้าพเจ้า เรื่องอภินิหาร นั้นเกิดจากพลังจิตของหลายฝ่าย อาทิเช่น พลังจิตของพระพุทธเจ้า พลังจิตของอาจารย์ และพลังจิตของบุคคลมารวมกันเข้าเป็นพลังรวม และพลังจิตทั้งสิ้นนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งมีหลายวิธีการและหลายลัทธิ แม้แต่พลังของจิตที่เป็นธรรมชาติที่คนบางคนมี แต่ถ้าเป็นกำลังจิตที่แท้จริงแล้วก็ย่อมมีพลังทั้งสิ้น
    แต่ก็อีกนั่นแหละ ดังเช่นที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้แล้วในตอนต้น ของบทเขียนนี้ว่า ถึงแม้จะยังไม่มีข้อที่จะพิสูจน์ให้แน่แท้ว่ามีพลังอย่างไร แม้แต่ว่ามีจริงหรือเปล่าก็ยังยืนยันได้ยาก แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีปราชญ์ หรือมีนักวิทยาศาสตร์ผู้ใดจะพึงกล้ายืนยันว่า พลังจิตนั้นไม่มีจริง และจะเกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด
    ข้าพเจ้าจึงจะขอนำเรื่องที่เกิดกับตัวข้าพเจ้าเอง เมื่อไม่กี่ปีมานี้มาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ จะพิสูจน์ จะวิจัยกันได้หลายทาง สุดแล้วแต่ท่านผู้อ่านจะนึกคิดวิจัยกันเอง
    เมื่อไม่กี่ปีมานี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ข้าพเจ้าไปเป็นผู้แทนพระองค์ ในงานฉลอง 2500 ของวันที่พระเจ้าไซรุสมหาราช ทรงรวมจักรวรรดิเปอร์เซีย (อิหร่าน) ขึ้น งานเฉลิมฉลองนี้ พระเจ้าซาร์อิหร่านองค์ปัจจุบัน ทรงจัดให้มีการฉลองเฉลิมขึ้นที่เมืองเพอเซพโพลิส (เมืองโบราณ) ซึ่งเป็นการฉลองที่มโหฬาร ที่ทั้งองค์ประมุขและประมุขประเทศแทบทุกประเทศในโลก ได้รับเชิญ และจะไปประชุมกันในโอกาสนั้น
    ก่อนกำหนดวันเดินทางของข้าพเจ้าหนึ่งวัน ซึ่งมีกำหนดจะต้องออกเดินทางเวลาเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเกิดป่วยเป็นไข้หวัดอย่างแรง ไข้สูงมาก จนมิสามารถจะยืนทรงตัวได้ อีกทั้งยังไอโขลกๆ อยู่มิได้ขาด จนเจ็บไปทั่วอก แพทย์ผู้รักษาทั้งที่พยายามที่จะรักษาให้ข้าพเจ้าค่อยยังชั่วให้ไปได้ก็ยอมแพ้ โดยบอกกับข้าพเจ้าว่า เนื่องจากสภาพของไข้ข้าพเจ้าในขณะนั้น จะเดินทางโดยเฉพาะไปในงานเฉลิมฉลองที่ใหญ่โตเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด
    ข้าพเจ้ากลุ้มและปั่นป่วนใจเป็นที่สุด เพราะว่าจะต้องทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงลำบากพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง โดยจะต้องทรงหาตัวแทนข้าพเจ้า ซึ่งภายในไม่ถึง 24 ชั่วโมง จะสามารถเตรียมตัวทัน โดยเฉพาะในงานนี้จะมีการเลี้ยงและการแต่งกายเต็มยศกันแทบทุกวันตลอดอาทิตย์หนึ่ง
    ข้าพเจ้าตระหนักดีว่า สำหรับข้าพเจ้านั้นมีแต่ทางที่จะเสีย จะกราบทูลว่าไปไม่ได้ก็เสีย จะไม่กราบทูลก็เสีย เวลานั้นเป็นเวลาค่ำโพล้เพล้ ด้วยไข้และด้วยความปั่นป่วน ความกลุ้มใจ ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอน แต่ไม่ทราบว่าอะไรที่มาดลใจข้าพเจ้าให้คิดว่าจะไม่มีทางอื่นแล้วที่อาจช่วยได้ นอกจากจะใช้พลังจิต และข้าพเจ้าเคยทำวิปัสสนาอยู่บ้าง แต่ก็มิใช่อยู่ในฐานะของผู้ที่แก่กล้าในทางวิปัสสนา
    ข้าพเจ้าแข็งใจนึกขอให้บรรดาอาจารย์ผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ขอให้เมตตากรุณาต่อข้าพเจ้าด้วยเถิด แล้วสะกดจิตกำหนดลมหายใจให้นิ่งได้แล้ว ก็จำอะไรอีกไม่ได้ มารู้สึกตัวในฝันว่า ข้าพเจ้าแหงนคอมองขึ้นไปทางหัวเตียงนอน ได้เห็นพระองค์หนึ่งสีจีวรเหลืองอร่ามชัด แต่ใบหน้าของท่านนั้นเป็นหิน หินที่มีสีคล้ายๆ ตอนสีอ่อนของสีดอกพิกุล
    ท่านประทับลอยอยู่เหนือหัวนอน และทันทีที่ข้าพเจ้าเพ่งมองพระพักตร์หินนั้น กระดุกกระดิกได้เหมือนหน้าคนธรรมดา และเป็นตอนที่ข้าพเจ้าจำได้ว่า พระองค์นั้นคือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์ ซึ่งเพิ่งได้สละสังขารไปแล้วเมื่อไม่นานมา
    ในฝันนั้นข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่งกราบท่าน แล้วออกปากทักว่า เจ้าคุณ ท่านยิ้มแล้วกลับนิ่งเฉย ต่อครู่ใหญ่ท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นของธรรมดา ก็รู้ (ข้าพเจ้า) อยู่แล้ว
    เจ็บไข้นี้มีทางเดียวที่จะมีทางบรรเทาได้ คือด้วยพลังจิตท่านก็รู้ จิตท่านแข็งจึงต้องมา ท่านกล่าวเบาๆ ช้าๆ เป็นตอนๆ เหมือนจะสั่งสอน แล้วท่านก็หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วท่านก็กล่าวขึ้นอีกพร้อมกับยิ้มน้อยๆ และด้วยน้ำเสียงของคนธรรมดาว่า อย่าวิตกเลย บรรทมให้สบายเถิด พรุ่งนี้จะหายประชวรแล้วเสด็จได้
    ข้าพเจ้าตื่นขึ้น ปรากฏว่ายังหงายหน้ามองที่เหนือเตียง และรู้สึกว่ายังเห็นจีวรเหลืองๆ หายแว่บไป แต่กำลังไม่สบายมากจึงนึกเพียงว่าฝันไป แล้วหลับผล็อยไป ต่อเมื่อตอนดึกค่อนรุ่งข้าพเจ้าตื่นขึ้นปัสสาวะรู้สึกว่า อาการปวดหัวเมื่อยร่างและอาการอ่อนเพลียนั้นค่อยยังชั่วขึ้น รู้สึกแปลกใจ แต่นึกว่าอาการที่ปรากฏค่อยยังชั่วนี้เป็น มโนภาพ และอาจเป็นภาวะหลอนของตัวข้าพเจ้าเองว่าสบายขึ้น จึงหลับตานอนกำหนดจิตต่อไปจนไม่รู้สึกตัว
    ต่อเช้าประมาณ 7 โมงจึงตื่นขึ้น อาการไข้ทุกอย่างทุกประการหายสิ้น แม้แต่การไอโขลกๆ ที่ถี่และแรงก็หายสิ้นไม่ไอเลย และพอถึง 12 นาฬิกา ข้าพเจ้าก็ออกเดินทางจากดอนเมือง เหมือนกับคนที่หายเจ็บแล้ว คงแต่รู้สึกเพลียบ้างเล็กน้อย เมื่อไปถึงประเทศอิหร่านก็เข้าไปร่วมฉลองงานทุกงาน โดยเฉพาะที่เมืองเพอเซพโพลิส ซึ่งตั้งอยู่บนเขาสูงมาก จึงทั้งหนาวทั้งหายใจยาก ด้วยมีออกซิเจนน้อย ข้าพเจ้าได้ตรากตรำกลางแดดกลางความหนาวทุกวัน บางวันไปงานตั้งแต่เช้าจนตีหนึ่ง
    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงและประหลาดที่เกิดกับตัวข้าพเจ้าเอง ท่านจงเลือกพิสูจน์และเลือกเชื่อเอาเองเถิด ว่าจะเป็นเรื่องของอภินิหารหรือเรื่องธรรมดาๆ เพราะว่าพอข้าพเจ้ากลับมาก็ได้ไปซักถามนายแพทย์ผู้นั้นบอกว่า เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้ารักษาตัวของข้าพเจ้าเอง เพราะความแน่วแน่และพลังจิตนั้น ทำให้ส่วนกลไกต่างๆ ของร่างกายของข้าพเจ้าต่อสู้กับโรค และต่อสู้กับความรู้สึกของข้าพเจ้าจนชนะและหายไข้ชนิดที่ยาอาจทำไม่ได้ แต่แพทย์ก็ย่อมทราบกันดีว่า พลังจิตของคนไข้นั้นถ้าแข็งหรือพูดง่ายๆ ว่าคนไข้สู้ไข้แล้ว ย่อมเป็นพลังที่จะช่วยให้หมอรักษาโรคให้หายได้ดีกว่าคนไข้ที่ไม่สู้
    ข้าพเจ้าสนใจในเรื่องนี้ จึงได้คอยติดตามฟังและอ่านเรื่องเช่นนี้ในวงการแพทย์ต่อมาเสมอๆ เมื่อไม่นานมานี้ได้อ่านบทเขียนของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคมะเร็ง ชาวอเมริกันเขียนเรื่องพลังจิต และเรื่องการให้คนไข้ทำวิปัสสนาเพื่อช่วยรักษาโรค เขาว่าเขาแนะนำกับคนไข้ที่เป็นโรคที่มีทางหายาก เช่น มะเร็ง ให้ทำวิปัสสนาและใช้พลังจิตช่วย เขารักษาโรค เขายืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเขาได้ผลดีอย่างน่าพิศวง คนไข้บางรายหายได้อย่างไม่น่าที่จะเป็นไปได้เลย และเป็นที่น่าประหลาดว่านายแพทย์ผู้นั้นมิได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่เขาก็เอาวิธีการและพระธรรมหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เขาเชื่อมาใช้เป็นผล เช่นก่อนอื่นเขาจะเริ่มสอนคนไข้ไม่ให้กลัว โดยชี้แจงว่าความตายเป็นของธรรมดา ทุกคนจะเลี่ยงไม่ได้ สังขารเป็นส่วนที่ประกอบขึ้นย่อมจะต้องเสื่อมสลาย เหมือนวัตถุและธาตุทั้งหลายทั้งปวง เมื่อคนไข้พอจะเข้าใจและบรรเทาความกลัวบ้าง เขาก็เริ่มสอนให้คนไข้ทำวิปัสสนา
    บทเขียนทั้งสิ้นนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อ เพราะว่าข้าพเจ้าได้ประสบการณ์ หรือได้เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง และข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นเรื่องของพลังจิตของสมเด็จพระบรมศาสดา และพลังจิตของ ท่านธรรมวิตตโกมหาเถระเจ้าคุณนรรัตน์ และพลังจิตที่ต่ำต้อยของข้าพเจ้า แต่ก็พอมีพลังเพียงพอที่จะรับอานุภาพพลังจิตอื่นที่ใหญ่ยิ่งได้
    บทความของท่าน พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ุ ยุคล หรือที่ในวงการภาพยนตร์เรียกท่านว่า เสด็จองค์ชายใหญ่ มีความน่าสนใจมาก เพราะเป็นเหตุการณ์จริงที่ท่านประสบมาด้วยพระองค์เอง ทรงได้นิพนธ์เอาไว้ให้ผู้เขียน นอกจากบทความนี้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ทรงนิพนธ์ให้ผู้เขียนไว้จะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป
    แฉ่ง บางกะเบา
    1389026-5074a.jpg
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาทุกๆท่านทุกๆข้อมูลครับ

    พระสมเด็จสายรุ้งเจ้าคุณนรวัดศีลขันธ์ ๒ องค์คู่กัน
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20250305_073107.jpg IMG_20250305_073126.jpg IMG_20250305_073219.jpg IMG_20250305_073242.jpg IMG_20250305_073144.jpg IMG_20250305_073204.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2025 at 09:53
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    พระชุดนิตยสารศักดิ์สิทธิ์
    1. เหรียญพระสมเด็จชินบัญชรศักดิ์สิทธิ์
    จัดสร้างโดยนิตยสารศักดิ์สิทธิ์เนื้อทองแดงผิวไฟ ปี 2536ทำพิธีปลุกเสกใหญ่ที่วัดระฆังโฆสิตาราม กทม.
    และวัดอินทรวิหาร( บางขุนพรหม ) กทม.
    พระอาจารย์ประจวบวัดระฆังโฆสิตาราม
    ท่านพระครูปลัดวิจิตรและเจ้าอาวาสวัดเกศไชโยอธิษฐานจิตอัญเชิญดวงวิญญาณสมเด็จโตแผ่บารมีประทับ
    เข้าพิธีเดียวกับการปลุกเสกหลวงพ่อทวด
    วัดประสาทบุญญาวาส กทม.พร้อมทั้งได้อาจารย์นอง วัดทรายขาวร่วมพิธีปลุกเสก เหรียญดี พิธีดี น่าบูชาเหรียญนี้ได้นำเข้าร่วมพิธีปลุกเสกในพิธีเสาร์ 5 ปี 2536
    นับตั้งแต่โบราณกาลมาวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ถือกันว่าเป็นวันที่ศักดิ์สิทธิ์มีพลังอำนาจโดยธรรมชาติซึ่งในรอบหลายๆปี
    จึงจะเวียนมาบรรจบสักครั้งโบราณจารย์จึงนิยมใช้เป็นวันมหามงคลฤกษ์ทำการปลุกเสกวัตถุมงคลให้เข้มขลังด้วยพระพุทธคุณวัดระฆังโฆสิตาราม
    จึงได้สร้างสมเด็จเสาร์ห้าขึ้นเป็นครั้ง แรกเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖
    ตรงกับวันทางจันทรคติของไทยคือวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีระกาจัตวาศก จุลศักราช ๑๓๕๔ พระคณาจารย์จากทั่วประเทศนั่งปรกอธิษฐานปลุกเสก
    ณ. พระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม กทม.
    ( จากข้อมูลในหนังสือของดีวัดระฆัง )หลังจากที่ทางวัดเปิดให้ประชาชนเช่าบูชาได้หมดลงในเวลาอันรวดเร็ว
    และเป็นที่ต้องการของผู้เลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมากอีกทั้งมีผู้นำไปบูชามีประสบการณ์มากมายพุทธคุณเมตตามหานิยมแคล้วคลาดปลอดภัยดีมีครบครอบจักวาลทุกอย่างครับ

    2.พระผงสมเด็จอกครุฑเศียรบาตร
    รุ่นรวมพลังอิทธิมหาอำนาจเหนือฟ้าเหนือดิน ปี 2537นิตยสารศักดิ์สิทธิ์จัดสร้าง
    เนื้อผงผสมผงเก่าวัดระฆังโฆสิตารามและมวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมายปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในยุคนั้นมากมาย
    ๒ องค์

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250305_093749.jpg IMG_20250305_093822.jpg IMG_20250305_093851.jpg IMG_20250305_093918.jpg IMG_20250305_093945.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2025 at 08:32
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    วันนี้จัดส่ง
    1741184470719.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    18198545_10212958316862334_5655849303290563126_n (1).jpg
    สมเด็จหลวงพ่อสัมฤทธิ์ รุ่นแรก ปี๒๕๑๗ พิมพ์คะแนนวัดไผ่เงินโชติวนารามกรุงเทพฯ
    หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ หัวหน้ากองพิพิธภัณฑ์และโบราณวัตถุ กระทรวงธรรมการในขณะนั้น ได้ทำการสืบประวัติหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ทราบแต่เพียงว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยตอนปลายต่ออยุธยา ในสมัยของพระบามสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พระยาโชฏิกราช (เจ้าสัวบุญมา) ข้าหลวงเดิมของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ทำการปฎิสังขรณ์วัดพระยาไกร เสร็จแล้วจึงน้อมถวายเป็นพระอารามหลวง สถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวงนามว่า "วัดโชตนาราม" ได้อัญเชิญหลวงพ่อสัมฤทธิ์ มาประดิษฐานไว้ในอุโบสถ พระสงฆ์อยู่ไม่ได้พากันทิ้งวัดจึงกลายเป็นวัดร้าง
    ปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ ทางการได้พิจารณาแล้วว่าให้บริษัท อิสเอเซียติคจำกัด เช่า สถานที่ตั้งของวัดทั้งหมดเป็นที่ตั้งของโรงเลื่อยจักร มีสภาพวัดปรักหักพังทรุดโทรมไปมาก ทางคณะสงฆ์จึงมี บัญชาให้ทางวัดไผ่เงินโชตนารามไปอัญเชิญพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ไปประดิษฐาน ณ วัดไผ่เงินโชตนาราม เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร และได้ถวายนามว่า หลวงพ่อสัมฤทธิ์ เนื่องจากองค์พระทำ ด้วยสัมฤทธิ์แก่เงิน มีส่วนผสมของเงินมาก ก่อนที่กรมศาสนาจะแจกพระพุทธรูปที่ค้างอยู่ในวัดพระยาไกร ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้างให้มาประดิษฐาน ณ วัดไผ่เงิน ในปี ๒๔๘๓ โดยหลวงพ่อศรีเจ้าอาวาสในขณะนั้นได้เลือกหลวงพ่อสัมฤทธิ์ด้วยมีพุทธลักษณะสมบูรณ์ ในขณะที่พระสุโขทัยไตรมิตรมีรอยร้าว จากไหลถึงเอว
    มีการปิดทองหลวงพ่อสัมฤทธิ์ทั้งองค์อีกครั้งในช่วงฉลองกรุงรัตนโกสินทร์สองร้อยปี พ.ศ. ๒๕๒๕ หลวงพ่อสัมฤทธิ์เป็นที่เคารพกราบ ไหว้ของประชาชนในย่านนั้น เจ้าอาวาสกล่าวว่า ท่านสามารถสร้างวัดไผ่เงินขึ้นมาได้ก็ด้วยบารมีของหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ด้วยเหตุนี้จึง ประดิษฐานไว้ในพระวิหารแทนที่จะเป็นพระอุโบสถเพื่อสะดวก แก่ประชาชนที่ต้องการเข้ามากราบไหว้บูชา และในวันขึ้นปีใหม่ของ ทุกปีจะมีงิ้วแสดงตลอด ๓ วัน ๓ คืน จนกลายเป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อกันมา พระครูสิริธรรมสุธีหรือหลวงปู่สี เป็นพระเถระที่มีข้อวัตรปฏิบัติเคร่งครัดตามหลักพระธรรมวินัย ดำรงชีวิตแบบเรียบง่ายไม่สนใจในลาภยศ มีอุปนิสัยที่จริงจังต่อการงาน และเป็นพระเถระที่มี
    ความเมตตากรุณาต่อสาธุชนทั้งหลาย หลวงปู่สียังเป็นผู้ที่อัญเชิญองค์หลวงพ่อสัมฤทธ์ มาจากวัดพระยาไกร ซึ่งเป็นวัดร้างและเป็นวัดดั้งเดิมของหลวงพ่อสัมฤทธ์และหลวงพ่อทองคำแห่งวัดไตรมิตร ที่โด่งดังไปทั่วโลก มาประดิษฐานยังวัดไผ่เงินโชตนารามจวบจนถึงปัจจุบัน
    หลวงหลวงปู่สีท่านมักจะนิยมปลุกเสกเดี่ยว นอกจากถ้ามีงานสำคัญๆท่านจึงจะนิมนต์พระเกจิจากที่อื่นมาร่วมปลุกเสกด้วย แต่ก็หาได้น้อยรุ่นมากครับที่จะเสกแบบหมู่การปลุกเสกของท่านแต่ละครั้งก็จะไม่ค่อยเหมือนพระเกจิองค์อื่นๆ เพราะท่านจะปลุกเสกอยู่ในโบสถ์เป็นเวลา7วัน7คืนโดยจะไม่ออกมาจากโบสถ์เลยจนกว่าจะสำเร็จในการเสก ท่านจะสั่งให้ลูกศิษย์ปิดประตูโบสถ์ทั้งหมดและกำชับว่าไม่อนุญาติให้ใครเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาดในขณะทำพิธีตลอด7วัน

    FB_IMG_1724768997387.jpg

    หลวงพ่อสี ยโสธโร อดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่เงินโชตนาราม เป็นพระเถระที่มีข้อวัตรปฏิบัติเคร่งครัดตามหลักธรรมวินัย ดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่ทะเยอทะยานในลาภยศ มีอุปนิสัยที่จริงจังต่อการงานและปฏิบัติตนตามสมณวิสัย แต่ก็เป็นพระเถระที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาคุณกรุณาคุณต่อท่านที่ได้พบเห็น ดังนั้นหลวงปู่สี ยโสธโร จึงเป็นพระเถระที่เป็นปูชนียบุคคลแก่เหล่าพระภิกษุ สามเณรในการดูแลปกครอง และพุทธศาสนิกชนทั่วไป
    --------------------------------
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างส่งครับ

    พระสมเด็จหลวงพ่อสัมฤทธิ์วัดไผ่เงินรุ่น ๒ พิมพ์คะแนนหลวงปู่สีปลุกเสก ปี๒๕๑๗
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20250307_002310.jpg IMG_20250307_002344.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    S__78495754ก.jpg

    หลวงปู่มั่น ทัตโต เกิดที่บ้านจิกก่อ ในเขตอําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อ พ.ศ.2420 จึงนับอายุได้ 101 ปี ในพ.ศ. 2521 นี้

    หลวงปู่มั่น มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 8 คน หลวงปู่เป็นคนโต น้องชายคนที่ 4 ของ หลวงปู่ ซึ่งชื่อ บุญมา ขณะนี้ ก็บวชเป็นพระอยู่กับหลวงปู่ และได้ติดตามหลวงปู่ไปไหนมาไหนอยู่ตลอดเวลา ในขณะนี้ก็มีอายุนับได้ถึงปีนี้ 75 ปีแล้ว ส่วนน้องคนสุดท้องก็ยังมีชีวิตมี อายุกว่า 60 ปีแล้ว

    หลวงปู่มั่น ทัตโต บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ 15 ปี ครั้นอายุครบเกณฑ์ ก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารจึงต้องลาสิกบท เพื่อไปรับราชการทหาร รวม 2 ปี ครั้นเมื่อได้ปลดประจําการมาแล้ว ก็ได้อุปสมบท เมื่ออายุได้ 23 ปี จนถึงปัจจุบันนี้ นับได้นานเกือบ 80 พรรษาแล้ว นับได้ ว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์ ที่มีอายุยืนยาว และพรรษากาลสูงมากยิ่งองค์หนึ่งในปัจจุบันนี้ และมีลูกศิษย์ลูกหาเคารพนับถือ มากมายทั่วประเทศไทยหลวงปู่มั่น ทัตโต เคยบอกเล่าว่าตัวท่านกับท่าน ภูริทัตโตมหาเถระ หรือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต นั้นเป็นเพื่อนกันมาแต่เยาว์วัยแม้กระทั่งเมื่ออยู่ในสมณเพศ ก็ได้เคยธุดงค์มาพบกันบ่อยๆได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน บางตามธรรมดาของสหายทางธรรม ซึ่งหลวงปู่มั่น ทัต โต ก็ได้กล่าวชมเชยว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต นั้นท่านมีความรู้ความสามารถทางด้านการเผยแพร่ธรรมมะสูงยิ่ง ความสําเร็จทางด้านญาณสมาธิของท่านที่ยอดเยี่ยม

    พระอาจารย์ของ หลวงปู่มั่น ทัตโต นั้นท่านได้เปิดเผยว่า คือ พระอาจารย์กอง วัดศรีจันทราราม อ.วารินชําราบ จ.อุบลราชธานี หลังจากที่ได้ศึกษาธรรมจนแตกฉานแล้ว ก็ได้ฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐาน จนมีความชํานาญแล้ว ก็ได้ออกธุดงค์ พร้อมกันนั้นก็ศึกษาในด้านวิชาไสยศาสตร์ไปด้วย เมื่อได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ของอาจารยไสยศาสตร์ ชื่อดังในยุคนั้น อาจารย์ได้ให้ ถือสัจจะขอหนึ่ง คือการไม่เป็นลอดสะพาน หรือลอดกอาคาร ที่สูงตั้งแต่สองชั้นขึ้นไป รวมทั้งมีให้ขึ้นยานพาหนะที่มีหลังคาเป็นที่บันทุกของ หรือคนนั่งได้และหามแม้กระทั่งการเดินลอดสะพานที่มีโครงเหล็ก หรือ โครงไม้อยู่ข้างบนนั้นด้วย สัจจะข้อนี้ หลวงปู่มั่น ทัตโต บอกว่าได้เริ่มปฏิบัติมาตั้งแต่ พ.ศ. 2435 มาจนถึงบัดนี้หลวงปู่มั่น ทัตโต มีปฏิปทาเป็นที่น่าเคารพเลื่อมใส ถือสันโดด และสมถะไม่สะสมทรัพย์สมบัติใด แต่ก็มิได้ละเลยต่องานพัฒนาวัดวาอาราม หรือเสนาสนะสงฆ์นั้น ท่านก็ได้สร้างมาแล้ว อย่างเช่นวัดบ้านบก ต.โนนโหนน อ.วารินชําราบ จ.อุบราชธานี นั้นท่านก็ได้ยพัฒนามา แต่ พ.ศ. 2460 จนเจริญรุ่งเรื่อง และมีเสนาสนะสงฆ์ที่สวยงาม โดยมิได้บอกบุญชาวบ้านเลย เพียงแต่ทานนั่งเป่ากระหม่อม และประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้แก่ผู้ที่ไปกราบไหว้ ขอศีลขอพรจากท่าน เพียงชั่วเวลาไม่กี่ปีก็มี ผู้ร่วมกันบริจาคปัจจัยให้เป็นเงินล้าน ในสมัยนั้นซึ่งนับว่า เป็นปาฏิหาริย์ที่น่าอัศจรรย์ ว่าการลงกระหม่อม หรือลงน้ำมันจากท่านนั้น จะปรากฏผลทางด้านแคล้วคลาด หรือยงคงกระพันชาตรี เป็นที่น่าพึ่งจริงๆ ทางด้านที่ว่า “เมตตา มหานิยม” นั้น หลวงปู่มั่น ทัตโต ก็ได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านนี้ เป็นหนึ่งในพุทธจักร แต่ท่านก็ สอนประดาศิษย์อยู่เสมอว่า อย่าถือว่าเป็นลูกศิษย์ท่านก็จะเก่งทุกคน คนจะเก่งไม่เก่งก็อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติของตนเอง ประพฤติดี ปฏิบัติดี ที่ชื่อว่าเก่งและมีความดีความเจริญรุ่งเรือง ตรงกับข้าม ถ้าประพฤติชั่ว ปฏิบัติชั่ว ก็จะได้ชื่อว่า เป็นคนโฉด ที่เลวทราม จะได้รับแต่ความ ทุกข์ความทรมาน และต้องชดใช้กรรมทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ซึ่งก็เท่ากับว่าท่านสอนว่า ทําดี ได้ดี ทําชั่วก็ได้ชั่ว ตรงตามพุทธวัจนะ นั่นเองในสมัยที่ หหลวงปู่มั่น ทัตโต เดินธุดงค์อยูตามป่าตามเขานั้น หลวงปู่บอกว่าได้เคยผจญกับความยากลําบากและภยันตรายร้อยแปด แต่หลวงปู่มั่น ทัตโต ได้ผ่านพ้นนอุปสรรคและภยันตราย เหล่านั้น มาได้ด้วยสมาธิอันแน่วแน่ และอาคมอันศักดิ์สิทธิ์ พิชิตภูตผีปีศาจและมารร้ายต่างๆ

    การเดินธุดงค์ในสมัยนั้น ต้องบุกป่าฝ่าดงดิบที่ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน และเต็มไปด้วยความขึ้นแฉะและสัตวที่ ดุร้ายมีอันตรายทั้งเล็กจิ๋ว อย่างตัวทาก ไปจนถึงใหญ่เท่า ช้าง แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจ ที่สัตว์เหล่านั้น มิได้มาทำร้ายกรายกีด หลวงปู่มั่น แม้แต่น้อย ตรงกันข้าม สัตวใหญ่ๆ ที่ ดุร้ายอย่างเสือ หรือช้าง กลับมาหมอบเฝ้า เหมือนหนึ่งจะคอยให้การอารักขาแก่หลวงปู่มั่น ทัตโตเสียด้วยซ้ำไป บางครั้งหลวงปู่ก็ต้องเสกใบไม้ฉันต่างอาหารเพราะธุดงค์อยูในป่าจะหาบ้านเรือนผู้คนไม่พบเลยสักหลังคากะต๊อปเดียว

    เมื่อ พ.ศ. 2460 หลวงปู่มั่น ทัตโต ได้รับอาราธนามาจําพรรษาที่วัดบ้านบก ต.โนนโหนน อ.วารินชําราบ ที่มีหลวงปู่ได้พัฒนาถาวรวัตถุ ซึ่งเป็นเสนาสนะสงฆไว้มากจน เรียกได้ว่า มีความเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้ ครั้นได้พัฒนาวัดนี้ได้สําเร็จแล้ว หลวงปู่กออกธุดงค์ต่อไปอีกวัดหนึ่ง ที่หลวงปู่รับอาราธนาไปอยู่จําพรรษาในระยะหลังที่มีอายุเกิน 80 ปีแล้ว ก็คือวัดบ้านค้อ ต.ดงประดิษฐ์ อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี แต่อยู่ได้ไม่นานท่านก็เบื่อชาวบ้านย่านนั้น มีจิตใจโหดร้ายต่อสัตว์ป่าท่านจึงมีความตั้งใจที่จะกลับไปอยู่วัดบ้านบก ก็พอดีมีชาวบ้านอีกแห่ง มานิมนต์ให้ท่านไปช่วยสร้างวัดขึ้นที่หมู่บ้านซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่หลังคาเรือน ท่านก็รับอาราธนาด้วยดี ปรากฏว่าเมื่อได้ตั้งวัดขึ้นในหมู่บ้านนี้ ก็มีชาวบ้านหมู่อื่นๆ มาสมทบด้วยอีกมิ น้อย จนทําให้หมู่บ้าน “ทุ่งเต้น” เจริญขึ้นอย่างรวดเร็วมีบ้านเรือนหนาแน่น หลวงปู่ จึงได้เปลี่ยนชื่อเสียใหม่เพื่อให้เป็นมงคลนามว่า บ้านโนนเจริญ วัดที่ท่านสร้างขึ้นจึงได้ ชื่อว่า วัดบ้านโนนเจริญ ปัจจุบันรอบๆ หมู่บ้านแห่งนี้มีผู้ก่อการร้ายอยู่มาก การเข้าออกไปมาหาสู่กับหลวงปู่เป็นไปได้ยากลําบาก แต่สําหรับหลวงปู่นั้น ผู้ก่อการร้ายต้องยอมจํานน เพราะไม่สามารถที่จะคิดร้ายต่อหลวงปู่ได้สําเร็จ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ลูกอมหลวงปู่มั่นทัตโตด้านในเป็นสีผึ้งปิดทองใส่รูปถ่ายภาษาอีสานเรียกนวด เป็นเมตตามหานิยม ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250307_004208.jpg IMG_20250307_004122.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2025 at 13:15
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    พระสมเด็จคะแนน หลังตราแผ่นดิน วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) กรุงเทพฯ ปี 2509 พ่อท่านคล้าย, หลวงปู่นาค, หลวงพ่อเงิน, หลวงพ่อเต๋, หลวงพ่อเนื่อง ร่วมปลุกเสก
    พระพิมพ์คะแนน ขนาดองค์พระ 1.5 x 2 ซม.
    วัดอรุณราชวรารามเป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา ว่ากันว่าเดิมเรียกว่า วัดมะกอก และกลายเป็นวัดมะกอกนอกในเวลาต่อมา เพราะได้มีการสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งในตำบลเดียวกัน แต่อยู่ในคลองบางกอกใหญ่ ชาวบ้านเรียกวัดที่สร้างใหม่ว่า วัดมะกอกใน (วัดนวลนรดิศ) แล้วจึงเรียกวัดมะกอกซึ่งอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ว่า วัดมะกอกนอก ส่วนเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้งนั้น เชื่อกันว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรีใน พ.ศ. 2310 ได้เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดแจ้ง แต่ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเพลงยาวหม่อมภิมเสน วรรณกรรม สมัยอยุธยาที่บรรยายการเดินทางจากอยุธยาไปยังเพชรบุรี ได้ระบุชื่อวัดนี้ไว้ว่าชื่อวัดแจ้งตั้งแต่เวลานั้นแล้ว เมื่อสมเด็จพระเจ้ตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังที่ประทับนั้น ทรงเอาป้อมวิชัยประสิทธิ์ข้างฝั่งตะวันตกเป็นที่ตั้งตัวพระราชวัง แล้วขยายเขตพระราชฐานจนวัดแจ้งเป็นวัดภายในพระราชวัง เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์สมัยอยุธยา และเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2322 ก่อนที่จะย้ายมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามใน พ.ศ. 2327 ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เสด็จมาประทับที่ พระราชวังเดิม และได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่ทั้งวัด แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็สิ้นรัชกาลที่ 1 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งต่อมา และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม” ต่อมามีพระราชดำริที่จะเสริมสร้างพระปรางค์หน้าวัด ให้สูงขึ้น แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เสริมพระปรางค์ขึ้นและให้ยืมมงกุฎที่หล่อ สำหรับพระพุทธรูปทรงเครื่องที่จะเป็นพระประธานวัดนางนองมาติดตอบนยอดนภศูล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชธาราม หลายรายการ และให้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถด้วย เมื่อการปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นลง พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม”

    ประว้ติการสร้าง

    ในปี พ.ศ. 2509 ทางวัดอรุณโดย ท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์(วน) อดีตเจ้าอาวาสวัดอรุณในสมัยนั้นได้จัดพิธีมหาพุทธาภิเษกขึ้นที่ วัดอรุณราชวราราม เป็นพิธียิ่งใหญ่มากในสมัยนั้น โดยทางวัดอรุณได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์จากทั่วประเทศจำนวน 108 รูปและตามใบฝอยของวัดในสมัยนั้นยังระบุไว้อย่างชัดเจนถึงพระเกจิอาจารย์รูปที่ 109 ที่ไม่ได้มาในพิธีแต่ได้ร่วมปลุกอยู่ที่วัดของท่านโดยจะส่งกระแสจิตมาร่วมปลุกเสกในพิธีนี้ พระเกจิอาจารย์รูปที่ 109 ท่านนั้นก็คือ ท่านเจ้าคุณฯนรรัตน์ราชมานิตย์ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ

    ส่วนมวลสารผสมผงศักดิ์สิทธิ์จากทั่วประเทศ (ตามแจ้งในใบฝอยของทางวัด) ระบุว่าสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ในวาระครบ 100 ปี ของพระเครื่องสมเด็จฯพระพุฒาจารย์ฯ (โต ) พรหมรังษี โดยทางวัดอรุณได้ผสมมวลสารจาก ผงจากพระสมเด็จวัดระฆังที่แตกหัก ผงจากพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมที่แตกหัก ผงจากพระสมเด็จวัดเกศไชโยที่แตกหัก โดยเฉพาะผงจากพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมที่แตกหัก นั้นในใบฝอยของวัดอรุณในสมัยนั้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ผสมลงในพระสมเด็จวัดอรุณรุ่นนี้อย่างเข้มข้น และยังมีมวลสารวิเศษอีกมากมาย เช่น ผงธูปที่บูชาพระพุทธรูปสำคัญ..ดินจากสถานที่สำคัญต่างๆ ดินสังเวชนียสถานสี่ตำบล ว่าน 400 กว่าชนิด เกสรดอกไม้ 108 ชนิด จุดสังเกตุของพระสมเด็จ วัดอรุณรุ่นนี้คือ ด้านหลังพระสมเด็จรุ่นนี้จะประทับตราแผ่นดิน (เล็ก) ไว้ทุกองค์ นอกจาก พระสมเด็จหลังตราแผ่นดินวัดอรุณ ที่ทางวัดได้จัดสร้างในครั้งนี้แล้ว
    ทางวัดอรุณยังได้จัดสร้าง 1.เหรียญกลมเล็กเป็นรูปพระพุทธ ด้านหลังเป็นรูปพระปรางค์วัดอรุณระบุปีที่สร้างเป็นปี 2508 และ2.เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินหลังเป็นรูปพระปรางค์วัดอรุณคล้ายเหรียญปี 2506 จะแตกต่างก็คือเหรียญรุ่นนี้จะมีเลข ๑ ไทยที่ใต้ฐานทุกองค์เพื่อเป็นจุดสังเกตุเพื่อแยกระหว่างเหรียญปี 2506 กับเหรียญปี 2509 รุ่นนี้ แต่เหรียญกลมเล็กรูปพระพุทธจะระบุปีที่สร้างเป็นปี 2508 เพราะจัดสร้างเหรียญในปี 2508 แต่มารวมจัดพิธีปลุกเสกและออกในปี 2509 พร้อมกับพระสมเด็จวัดอรุณ รุ่นปี 2509 นี้

    ส่วนพระเกจิอาจารย์ที่ได้เข้าร่วมพิธีในครั้งนั้น ล้วนเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคมในยุคนั้นทั้งสิ้น อาทิเช่น

    1. หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม
    2. หลวงปู่นาค วัดระฆัง กรุงเทพฯ
    3. หลวงพ่อทอง วัดจักรวรรดิ์
    4. หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ ปทุมธานี
    5. หลวพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี
    6. หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม
    8. หลวงพ่อแทน วัดธรรมเสน
    9.พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน
    10.หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาฯ
    11.หลวงพ่อเล็ก วัดเขาดิน
    12.หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน
    13.หลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราช
    14.หลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม เป็นต้น

    โดยมี พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน เป็นประธานจุดเทียนชัย จึงถือได้ว่า พระสมเด็จหลังตราแผ่นดิน (เล็ก) เหรียญกลมเล็กรูปพระพุทธ เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสิน วัดอรุณ ปี พ.ศ. 2509 เป็นวัตถุมงคลของวัดอรุณราชวรารามที่น่าใช้น่าเก็บสะสมอีกรุ่นหนึ่งครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จวัดอรุณ พิมพ์คะแนน
    ให้บูชา
    450 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)


    IMG_20250307_010248.jpg IMG_20250307_010150.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2025 at 08:54
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    พระดี พิธีใหญ่
    1 เหรียญหลวงพ่อวัดอินทร์รุ่น ๑ หลังสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ปี ๒๕๓๕ เนื้อ นวะโลหะ รุ่นบูรณะอุโบสถวัด อินทรวิหาร บางขุนพรหม กทม.
    พิธีพุทธาภิเษก ณ วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพฯ ในวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยพระครูธรรมธร ทองสืบ เจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร ได้ประกอบพิธีพุทธาพิเษกวัตถุมงคล รุ่นบูรณะอุโบสถ เวลา 19.09 น. โดยมีพลอากาศเอกจรูญ วุฒิกาญจน์ ประธานพิธีฝ่ายฆราวาส จุดธูปเทียนที่ศาลเพียงตา เพื่อเป็นศิริมงคล พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 10 รูป เจริญธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร เวลา 19.39 น. ได้เวลามหามงคลอุดมฤกษ์ พระสมเด็จพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ กทม. ประธานฝ่ายสงฆ์ จุดเทียนชัย โดยพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ร่วมพิธีปลุกเสกมากมาย
    -พระสมเด็จพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ กทม.
    -พระเทพเมธี วัดเศวตฉัตร กทม.
    -พระราชสิงหคณาจารย์ (หลวงพ่อแพ) วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี
    -พระราชมงคลมุนี (หลวงพ่อคอน) วัดชัยพฤกษมาลา กทม.
    -หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา
    -พระสุขวโรทัย (หลวงพ่อห้อม) วัดคูหาสวรรค์ สุโขทัย
    -หลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู นครสวรรค์
    -พระครูวิชาญชัยคุณ (หลวงพ่อสำราญ) วัดปากคลองมะขามเฒ่า
    -หลวงปู่โง่น โสรโย วัดเขาไม้รวก พิจิตร
    -หลวงพ่อซ่วน ปัญญาธโร สำนักสงฆ์อาจารย์ซ่วน ฉะเชิงเทรา
    -พระครูพิทักษ์ พรหมวิหาร (หลวงพ่อตี๋) วัดพรหมวิหาร เชียงราย
    -หลวงพ่อรวย วัดท่าเรือแกลง ระยอง
    -หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม นครปฐม
    -หลวงพ่อหมื่นอุดม วัดตูม อยุธยา
    -หลวงพ่อเมี่ยง วัดเกาะสมอ ปราจีนบุรี
    -หลวงพ่อฤษีลิงขาว วัดฤกษบุญมี สุพรรณ
    -หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว อยุธยา
    -หลวงพ่อสาลิโข อุทญานธรรมโกศล ปทุมธานีฯ เป็นต้น
    ........
    ๒ เหรียญสมเด็จโตวัดระฆังปี 2535 พิธีใหญ่
    รวม ๒ รายการ
    ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250307_191542.jpg IMG_20250307_191630.jpg IMG_20250307_191706.jpg IMG_20250307_191744.jpg IMG_20250307_191806.jpg IMG_20250307_191833.jpg
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    ansPic_9365_1.jpg

    ประวัติหลวงพ่อทองอยู่ (พระครูสุตาธิการี) วัดใหม่หนองพะอง จ.สมุทรสาคร
    หลวงพ่อทองอยู่ หรือ พระครูสุตาธิการี (ทองอยู่ ยเสเถร) อายุ ๙๖ ปี ๙ เดือน ๙ วัน อดีตเจ้าอาวาส องค์ที่ ๘ วัดใหม่หนองพระอง จ.สมุทรสาคร ท่านเป็นพระเถระ พระเกจิอาจารย์ยุคเก่าที่แก่กล้าด้วยอาคม มีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนาธุระ-คันถธุระ เขียนและอ่านภาษาขอมได้เป็นอย่างดี

    ชาติภูมิของหลวงพ่อ
    ชื่อ ทองอยู่ นามสกุล ชมปรารภ ต่อมาเปลี่ยนเป็น สิงหเสนี เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2430 ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ ปีกุน เป็นบุตรคนที่ 3 ของ นายคำ และนางปั่น ชมปรารภ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 5 คน คือ
    1. นายหุ่น ชมปรารภ
    2. นางจิบ ชมปรารภ
    3. พระครูสุตาธิการี (ทองอยู่) ชมปรารภ (สิงหเสนี)
    4. นางหน่าย ชมปรารภ
    5. นางรอด ชมปรารภ
    พระครูสุตาธิการีนั้นท่านเติบโตมากับวัดโดยสมัยที่ท่านยังเป็นเด็กได้มาช่วยสร้างอุโบสถของวัดหนองพะองด้วย และมาช่วยกิจการงานของวัดในเวลาว่างเสมอ ในวัยหนุ่มท่านเป็นคนโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนฝูงมาก และมีนิสัยชอบความยุติธรรม ถ้าอะไรไม่ถูกต้องท่านจะต้องเข้าไปช่วยแก้ไขเสมอ จึงเป็นที่รักของเพื่อนฝูง ท่านสนใจวิชาการเล่นแร่แปรธาตุศึกษาจนสามารถนำแร่ปรอทมาหุงให้เป็นทองคำได้ และท่านได้เรียนรู้วิชาอาคมจากพระอาจารย์แห ปัญจสุวัณโณ ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังด้านวิทยาอาคมในสมัยนั้นด้วย
    เมื่ออายุครบกำหนดเข้ารับการคัดเลือกเป็นทหารเรือ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระพุทธเจ้าหลวง ท่าน เข้ารับราชการเรื่อยมาจนถึงรัชกาลที่ 6 จึงลาออกจากราชการ มาประกอบอาชีพการทำนาอยู่ข้างวัดบึงพระยาสุเรนทร์ เขตมีนบุรี จังหวัดกรุงเทพฯ ท่านได้ช่วยพ่อแม่ประกอบอาชีพกสิกรรมและมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ด้วยการเลี้ยงดูท่านเป็นการสนองน้ำใจของพ่อแม่ หลวงพ่อได้ใช้ชีวิตการครองเรือนมีภรรยาคือ นางหนู ชมปรารถ มีบุตรธิดา 2 คน คือ นายย้อย ชมปรารถ และนางแย้ม ชมปรารถ จนกระทั่งเมื่อนางหนูเสียชีวิตจึงได้นางทองสุขเป็นภรรยามีบุตร 1 คน คือ นายหยด ชมปรารถ จนถึงอายุ 31 ปี หลวงพ่อท่านรู้รสชาติของการครองชีวิตคู่เป็นอย่างดี ท่านจึงกราบลาพ่อแม่เพื่อที่จะเข้ารับการ บรรพชาอุปสมบท โดยมีขุนหนองแขมเขมกิจ เป็นผู้ดำเนินการจัดการอุปสมบทให้ ณ วัดใหม่หนองพะอง ตำบลหนองแขม อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดธนบุรี ซึ่งตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 ตรงกับวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2461 โดยกราบนิมนต์ท่านพระครูสังวรศีลวัตร (หลวงพ่ออาจ) วัดดอนไก่ดี เป็นพระอุปัชฌาย์ กราบนิมนต์ท่านพระครูถาวรสมณศักดิ์ (หลวงพ่อคง) วัดหงอนไก่ มาเป็นพระกรรมวาจาจารย์ กราบนิมนต์พระอธิการ (หลวงพ่อแห) วัดใหม่หนองพะอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    สถานะเดิม ตามใบสุทธิ
    นามเดิม ทองอยู่ ชมปรารถ นามบิดา นายคำ สีเนื้อดำแดง สัณฐานสันทัด ตำหนิ แผลเป็นเนือข้อมือขวา อายุ 31 เกิดปีกุน วันที่ 7 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2430 ตำบลหนองแขม อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดธนบุรี บรรพชาอุปสมบท นามฉายา ยสภิกขุ นามพระอุปัชฌาย์ พระครูสังวรศีลวัตร นามพระกรรมวาจาจารย์ พระครูถาวรสมณศักดิ์ นามพระอนุสาวนาจารย์ พระแห ปัญจสุวัณโณ เวลา 14.00 น. ณ วัดใหม่หนองพะอง ตำบลหนองแขม อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดธนบุรี ได้ให้ไว้ ณ วันจันทร์ที่ 15 เดือน กรกฎาคม พ.ศ.2461 ลงนามพระครูสังวรศีลวัตร (ตำแหน่ง) เจ้าคณะแขวง
    นามพระทองอยู่ ฉายา ยสภิกขุ สำนักวัดใหม่หนองพะอง ตำบลหนองแขม อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดธนบุรี
    วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2461
    (ลงนาม) พระครูสังวรศีลวัตร
    (ตำแหน่ง) เจ้าคณะแขวง
    เมื่อหลวงพ่อบวชเข้ามาแล้วได้ศึกษาหลักธรรมวินัยจนมีความรู้พอสมควร ครั้นพอพรรษาแรก จิตใจรู้สึกสงบ และทราบซึ้งในรสพระธรรม พอออกพรรษาแล้วท่านได้ขอลาพระอาจารย์แห ออกธุดงค์เพื่อแสวงหาโมกขธรรม ใน สมัยที่ท่านยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ท่านได้ธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรกว่า ๓๐ ปี ไปในที่ทุรกันดารต่าง ๆ ที่ใดที่มีพระอาจารย์เก่งกล้าทางคาถาอาคม หรือ เก่งทางด้านปฏิบัติธรรม ก็จะไปฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อขอศึกษาวิชาความรู้ต่าง ๆ
    ประวัติหลวงพ่อแห ท่าน เป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อพร วัดหนองแขม ตำบลหนองแขม จังหวัดกรุงเทพฯ ท่านได้ศึกษาทดลองวิชาอาคมกับหลวงพ่อพร ที่วงการพระเครื่องรู้จักกันดีว่ามีวิทยาอาคมเพียงใด หลวงพ่อท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อแห ก็ตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากับหลวงพ่อแหเป็นประจำ จนเกิดความชำนาญในสมาธิภาวนาที่ท่านได้ทำเป็นประจำ
    พอออกพรรษาท่านก็ขอลาหลวงพ่อออกธุดงค์ คราวนี้ท่านได้ไปนมัสการพระธาตุพนม การ เดินทางไปธุดงค์ในสมัยนั้นยากมากด้วยสิงห์สาราสัตว์ในป่าดงดิบนั้นมากมาย ครั้งหนึ่งในระหว่างทางท่านได้พบฝูงความยป่าเข้าโดยบังเอิญ หลวงพ่อก็ใช้ปัญญาวิจารณญาณและสมาธิภาวนา ทำจิตให้สงบเจริญเมตตาภาวนาจนฝูงควายป่าที่วนเวียนเพ่นพ่านอยู่ล่าถอยหลบทาง ให้ ในคืนนั้นท่านได้ปักกลดพักในป่า รุ่งเช้าท่านจึงออกเดินทางต่อไป ในพรรษานี้หลวงพ่อกลับวัดไม่ทันก็จำพรรษาที่วัดในระหว่างทาง ท่านได้ศึกษาสมาธิภาวนากับพระอาจารย์ที่วัดนั้นด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มเติมความรู้ให้แตกฉานยิ่งขึ้น พอออกพรรษาท่านจึงลาพระอาจารย์เพื่อเดินธุดงค์ต่อไป
    ท่านออกเดินทางไปนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ใน คืนวันหนึ่งท่านได้ปักกลดเรียบร้อยแล้วอยู่ในแนวป่าเมืองอุตรดิตถ์ ได้มีเสือลายพาดกลอนตัวขนาดใหญ่มากทีเดียว มันคำรามมาแต่ไกลและใกล้เข้ามาทุกที พอเวลาดึกสงัดมันก็เข้ามาใกล้กลดที่พัก ทีแรกหลวงพ่อก็สะดุ้งกลัวภัยอันเป็นธรรมดาของมนุษย์ แต่พอท่านตั้งสติได้ในวินาทีต่อมา หลวงพ่อได้เจริญเมตตาภาวนาและเพ่งกสิณจนเสือลายพาดกลอนตัวนั้นล่าถอยกลับ เข้าป่าดงดิบไป ในเวลาเช้าหลวงพ่อได้เข้าไปรับอาหารบิณฑบาตในเมืองลับแล โดยการนิมาต์ของผู้หญิงคนหนึ่ง ได้อาหารมาพอสมควรในการขบฉันแล้วหลวงพ่อก็เดินทางต่อไป พอใกล้เข้าพรรษาหลวงพ่อก็เดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดใหม่หนองพะอง
    ในปีต่อมาหลวงพ่อได้เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง จังหวัดกาญจนบุรี และเลยไปในดงกะเหรี่ยง ท่านออกรับอาหารบิณฑบาตแต่ไม่มีใครใส่บาตรให้เลย พอถึงกลดได้มีชายคนหนึ่งนำอาหารมาถวาย เมื่อหลวงพ่อพิจารณาแล้วก็ห้ามมิให้พระที่ไปด้วยฉัน แล้วหลวงพ่อก็หยิบถุงย่ามข้างกายมา เอาน้ำมนต์พรมไปที่อาหารนั้น อาหารนั้นกลับกลายเป็นตะปูและเศษกระดูกคนทั้งนั้น แต่พอหันมาดูอีกทีชายคนนั้นก็หายไปแล้ว หลวงพ่อท่านออกธุดงค์เป็นประจำทุกปี กว่าหลวงพ่อจะกลับมาวัดก็ย่างเข้าฤดูฝนแล้ว คาถาอาคมต่างๆ หลวงพ่อได้ศึกษาจากอาจารย์หมอพุ่ม และจากตำราของอาจารย์หมอพุ่มที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาคาถาอาคม และได้ศึกษาจากพระอาจารย์แห ปัญจสุวัณโณ
    การออกธุดงค์ของหลวงปู่ทุกครั้ง หลวงพ่อแหจะคอยควบคุมดูแลอยู่ที่วัดว่าหลวงพ่อไปอยู่ที่ไหน เมื่อมีญาติพี่น้องของพระที่ออกไปธุดงค์มาถาม ท่านก็จะตอบได้ว่าสบายดี ไม่มีอุปสรรคอันตรายอะไร
    การออกธุดงค์ท่านได้พบปะสนทนากับพระธุดงค์หลายรูปด้วยกัน ในจำนวนนั้นก็มีเทพเจ้าแห่งล้านนาไทย ครูบาศรีวิชัย หลวงพ่อได้สนทนาธรรมกันเป็นที่ถูกอัธยาศัยของกันและกัน เมื่อเวลาที่หลวงพ่อออกธุดงค์ไปทางเหนือท่านจะแวะไปพักสนทนาธรรมศึกษาวิชา ความรู้ของกันและกันเสมอมาเป็นที่รู้ใจกันในวิชาความรู้ในวิชาสมถภาวนาและ วัปัสสนาภาวนา ซึ่งท่านครูบาศรีวิชัย ได้เคยชักชวน ลพ.ทองอยู่ ให้อยู่กับท่านด้วยกัน แต่ ลพ.ทองอยู่ ยังติดภาระที่ต้องดูแลทางวัดอยู่จึงเดินทางกลับมา ซึ่งครูบาศรีวิชัย ท่านจะถวายปัจจัยสำหรับค่าเดินทางกลับให้อยู่เสมอมิได้ขาด มีอยู่ครั้ง หนึ่ง ลพ.ทองอยู่ได้กราบเรียนถามพระครูบาเจ้าฯว่า ปฏิบัติอย่างไรจึงมีเมตตามีบารมีและมีคนนับถือมากมายขนาดนี้ ซึ่งพระครูบาเจ้าศรีวิไชยก็ได้ตอบแก่ ลพ.ทองอยู่ อย่างเมตตาว่า
    " พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี้แหละ ที่เฮาภาวนาเสมอ มิได้ขาด ”
    และ ลพ.ทองอยู่ ได้เคยกล่าวถึงท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย ให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ”ครูบาเจ้าศรีวิชัยนี้ ท่านมีญาณสูงมาก" ด้วยเหตุนี้แหละ จึงมีผู้ตั้งอธิกรณ์ฟ้องท่านว่าเป็นผีบุญ เพราะไปไหนก็มีคนติดตามไปเป็นจำนวนมาก บางครั้งก็เดินไปเหนือยอดหญ้า ฝนตกจีวรก็ไม่เปียกทั้งๆที่เดินฝ่าฝนไป แต่สุดท้าย ผู้ที่กล่าวหาท่าน ก็ถูกบาปกรรมตามสนองอย่างน่าสยดสยองที่สุด
    หลวงพ่อทองอยู่ ท่านได้ขอเรียนวิชาเพิ่มเติมจาก หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา ท่านเป็นยอดพระเกจิที่เก่งมาก ๆ ในสมัยก่อน หลวงปู่ทอง วัดราชโยธานี้ ท่าน เป็นศิษย์รุ่นน้องของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งมีอาจารย์ร่วมสำนักเดียวกัน คือ หลวงปู่แสง วัดมณีชลขันธ์ จ.ลพบุรี (ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันอีกท่าน คือ หลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์) ซึ่งในสมัยนั้นยังมีพระเกจิอาจารย์อีกหลายท่านที่มาขอเรียนวิชาเพิ่มเติมจาก หลวงปู่ทอง เช่น หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา, หลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม สมุทรสงคราม, หลวงปู่จาด วัดบางกะเบา ปราจีนบุรี, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ, หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขันธ์ นครศรีธรรมราช, หลวงปู่เหลือ วัดสาวชะโงก ฉะเชิงเทรา, หลวงพ่ออี๋ สัตหีบ ชลบุรี และ หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ จะเห็นว่า ลูกศิษย์ของหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา ที่เอ่ยนามมานี้ ล้วนเก่งกล้าวิทยาคม วัตถุมงคลของท่านเป็นที่นิยมของสะสมพระเครื่องทั้งหลาย ดังนั้น หลวงพ่อทองอยู่ ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นน้อง หรือ รุ่นสุดท้ายของหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา จึงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
    ท่านเป็นสหธรรมิก กับ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพฯ โดย เรียนวิชายันต์ตรีนิสิงเห มาจาก หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ สมุทรสาคร มาด้วยกัน งานไหนมีปลุกเสกเครื่องรางของขลัง หรือ วัตถุมงคล ที่นั่นจะมี หลวงปู่โต๊ะกับ หลวงพ่อทองอยู่ ด้วยเสมอ
    วิชาที่สุดยอดของท่านอีกอย่างคือ ลงกระหม่อมด้วยน้ำมันจันทร์หอม ใครได้ลงครบสามครั้ง รับรองได้ว่า ไม่มีตายโหง และไม่อดไม่อยาก เป็นที่รักใคร่ของคนโดยทั่วไป ท่านเจริญเมตตา จนมีฝูงปลาสวายมาอยู่หน้าวัดเต็มไปหมดเลย
    ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ ๑ ใน ๔ องค์ ที่หลวงปู่โต๊ะนิมนต์มาในงานครบรอบวันเกิดของท่านทุกปี อีกสามองค์ที่เหลือ องค์แรก คือ หลวงปู่ธูป วัดแคนางเลิ้ง กรุงทพฯ องค์ที่สอง หลวงพ่อฮะ วัดดอนไก่ดี สุพรรณบุรี องค์ที่สามเป็น พระจีน (ไม่ทราบชื่อ) สำหรับงานวันเกิดหลวงปู่โต๊ะนั้น จะนิมนต์หลวงปู่หลวงพ่อทั้ง ๔ องค์นี้เป็นประจำ มานั่งสี่มุม ส่วนหลวงปู่โต๊ะท่านจะนั่งที่หน้าพระประธานเป็นองค์ที่ห้า ซึ่งหลวงปู่โต๊ะท่านยังสั่งลูกศิษย์ลูกหาของท่านว่าหลวงพ่อทองอยู่นั้น สามารถเป็นที่พึ่งพิงของลูกศิษย์ได้อีกรูปหนึ่งให้ไปกราบนัสการ หลวงพ่อทองอยู่ท่านก็เมตตาอนุเคราะห์แก่บรรดาลูกศิษย์ที่มาหาท่านเสมอกันทุก คนไม่เลือกว่ายากดีมีจน ธรรมะที่ท่านจะบอกกับลูกศิษย์เป็นประจำก็คือ
    “ จะทำอะไรก็แล้วแต่มันสำคัญที่ใจ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นประธาน ถ้ามีจิตใจแน่วแน่แล้วล่ะก็ผลสำเร็จนั้นย่อมเป็นที่หวังพึ่งพิงได้เสมอ ทำใจให้ดีตั้งใจให้ดีแล้วผลสำเร็จจะมีมาเอง”
    หลวงพ่อท่านยังห่วงใยในวัดวาอาราม ท่านจะบอกอยู่เสมอว่าในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นการเงินทองนั้นหาง่าย ให้ขยันทำงานต่างๆ นั้นให้มาก ถ้าท่านมรณภาพไปแล้วการเงินจะฝืดเคืองกว่าตอนสมัยของท่านให้เร่งพัฒนาวัด ช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้วัฒนาถาวรต่อไป ด้วยการประพฤติปฏิบัติของพระเณรที่บวชเข้ามาแล้ว ถ้าประพฤติดีตามพระธรามวินัย ก็จะทำให้พระพุทธศาสนาอยู่ได้ตลอดไป
    คำสั่งเสียของหลวงปู่โต๊ะ ก่อนมรณภาพ
    ในการสร้างพระกริ่ง พระชัยวัฒน์ พุทโธ ของวัดประดู่ฉิมพลี ในขณะที่หลวงปู่โต๊ะชราภาพมากแล้ว ท่านปรารภกับลูกศิษย์ว่า
    "หากหมดบุญฉันแล้วให้ไปหาหลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพระองค์ ท่านแทนฉันได้"
    พระสมเด็จฐานหมอน หลังเสือเผ่น เนื้อผง หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง จ.สมุทรสาคร เนื้อผง ยุคแรก
    พระสมเด็จหลังเสือเผ่น หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่ฯ
    มุมพระเก่า
    อภิญญา
    หลวงพ่อทองอยู่ อดีตเจ้าอาวาสวัดใหม่หนองพะอง จ.สมุทร สาคร และหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพฯ เคยร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลร่วมกัน อีกเรื่องที่น่าสนใจคือพระเกจิอาจารย์ 2 องค์นี้เคยร่วมกันโปรดวิญญาณในคลองภาษีเจริญ เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2500 สืบเนื่องจากบริเวณหน้าวัดปากน้ำภาษีเจริญในขณะนั้น มีคนตกน้ำตายเป็นประจำ ชาวบ้านต้องตกอยู่ในความกลัวตลอด มีลูกศิษย์ไปเล่าเรื่องให้หลวงปู่ทั้งสองท่านฟัง ท่านจึงได้เดินทางมาโปรดวิญญาณทั้งหลายที่ต้องทนทุกข์อยู่ในน้ำนั้น โดยหลวงพ่อทองอยู่เดินโปรยข้าวตอกดอกไม้ และหลวงปู่โต๊ะนั่งสมาธิอยู่ที่ริมคลองบริเวณประตูน้ำ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้น ผู้สูงอายุหลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นต่างทราบเหตุการณ์นี้ดี
    วัตถุมงคลที่สร้างในสมัยที่หลวงพ่อทองอยู่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเทียบกับพระเกจิอาจารย์อื่นๆ ที่ร่วมสมัยเดียวกัน อย่างเช่น หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงปู่สุด วัดกาหลง, หลวงปู่ธูป วัดแคนางเลิ้ง, หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู เป็นต้น แล้วถือว่าน้อยมาก และมีเพียงไม่กี่แบบ เช่น เหรียญรุ่นแรกสร้างปีพ.ศ.2509 จากนั้นก็มีเหรียญรุ่นต่างๆ อีกเพียงไม่กี่รุ่น, พระกริ่ง-ชัยวัฒน์สุตาธิการี, พระกริ่งตั๊กแตน เนื่องจากท่านเป็นศิษย์สายวัดสุทัศน์ เคยอยู่วัดสุทัศน์มาก่อน พระกริ่งของท่านจึงได้รับความนิยมอย่างมาก ใช้แทนพระกริ่งวัดสุทัศน์ได้เลย นอกนั้นก็เป็นพวกพระปิดตา, ล็อกเกต, ภาพถ่าย, ท้าวเวสสุวัณ (ขนาดบูชา) เป็นต้น
    สำหรับพระเครื่องที่ได้รับความนิยมสูงสุด ท่านสร้างมาก่อนปีพ.ศ.2500 คือ พระสมเด็จ มีพระสมเด็จเนื้อผงขาว และพระสมเด็จเนื้อผงใบลาน (สีดำ) มีหลายพิมพ์ แต่ที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายและถือเป็นเอกลักษณ์ของท่านก็เห็นจะเป็น "สมเด็จหลังเสือเผ่น" ซึ่งสร้างมา 2-3 รุ่น หลายรูปแบบ (เสือเล็ก-เสือใหญ่) หลายพิมพ์ ปัจจุบันเป็นที่เสาะแสวงหาของนักนิยมสะสมพระเครื่องอย่างกว้างขวาง
    พระสมเด็จเนื้อผงของท่านสร้างจากผงวิเศษที่ท่านเก็บสะสมและทำไว้ด้วยตัวของท่านเอง ท่านมีความสามารถลบผงวิเศษทั้ง 5 ประการ คือ ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช ผงพุทธคุณ และผงตรีนิสิงเห ตามตำรับเดียวกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) โดยผสมน้ำมันจันทน์หอม ลงไปในเนื้อพระดังกล่าวด้วย ทำให้พระสมเด็จของท่านนั้นมีพุทธคุณโดดเด่น
    สมเด็จทุกรุ่นของท่านนั้นมีมวลสารสุดยอดจริงๆ มีทั้งผงสมเด็จเก่าๆ ที่หลวงพ่อได้รวบรวมไว้ เช่น ผงแตกหักของพระวัดระฆัง, ผงแตกหักของพระกรุวัดบางขุนพรหม ซึ่งแต่ก่อนนั้นหาได้ไม่ยากนัก และที่สำคัญ คือ ผงของวัดพระยาบึงสุเรนทร์ (หลวงปู่ทองเป็นประธานการปลุกเสก) ซึ่งได้มาจากตระกูลของท่าน ดังนั้นในแต่ละรุ่นจึงสร้างได้น้อยและมีไม่มากนัก เพราะท่านพิถีพิถันในการสร้างพระสมเด็จเป็นอย่างมาก ไม่ให้เสีย ชื่อสำนักและครูบาอาจารย์ก็ว่าได้
    หากใครต้องการหาพระสมเด็จวัดระฆัง หรือสมเด็จวัดบางขุนพรหม ขึ้นคอสักองค์ แล้วหาไม่ได้ เพราะสนนราคาในปัจจุบันสูงมาก ก็ขอให้นึกถึงพระสมเด็จของหลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง ซึ่งปัจจุบันยังพอหาได้ในราคาหลักพันต้นๆ ขึ้นอยู่กับสภาพความสวยขององค์พระ แต่ก็ไม่พบเห็นบ่อยนัก
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จหลังเสือหลวงพ่อทองอยู่วัดใหม่หนองพะอง สภาพ หัก ต่อกาว ไว้ ...พุทธคุณไม่ได้หักหายไปตาม เอาไว้บูชาพึ่งพุทธคุณ และ ศึกษาดูเนื้อหา มวลสาร ได้ครับ

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20250304_022724.jpg IMG_20250304_022745.jpg
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    FB_IMG_1741378600637.jpg

    หลวงปู่เป็นพระที่ชอบคนทำมาหากิน ชอบคนขยัน ตั้งใจจริง ถ้าลูกศิษย์ไปถามท่านว่า จะออกรถขายและจะไปขายของทางไหนดี ขายของอะไรจะดี จะถูกโฉลกกับโชคชะตาผู้ขายหรือเปล่า หลวงปู่จะเมตตารีบตรวจดวงชะตาตามที่ท่านได้ศึกษาตำรับตำราพระเวทย์ของครูบาอาจารย์ที่ท่านได้ศึกษามาด้วยจิตที่เมตตายิ่ง ถ้าหากแม้นมีอะไรให้ช่วยสงเคราะห์ ตามเหตุผลกรรมของแต่ละคน บางที่ท่านก็เมตตามอบวัตถุมงคล สมเด็จบ้าง ใบพลูใจเดียวค้าขายบ้าง บางที่ก็กระจ่าพุทธกวัก สีผึ้ง108 ผสมว่านดอกทองว่านเครือเถาหลง รากราคะ ผ้ายันต์หนุมานประสานกาย เหรียญนารายณ์ทรงครุฑ บางทีคนดวงแย่ชะตาตกมากๆ หลวงปู่ท่านก็เมตตาจารย์ตะกรุดกับดวงชะตาค้าขายดีให้เป็นพิเศษ นี้คือที่สุดยอดความเมตตาปรารถนาดีเพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหามีกำลังใจในการทำมาหากิน บางท่านหลวงปู่เล็งเห็นว่ามีความตั้งใจทำมาหากิน มีความตั้งใจจริง แต่ขาดทุนทรัพย์ พอหลวงปู่ตรวจดวงชะตาให้แล้ว หลวงปู่ก็จะเมตตามอบยันต์และคาถาเร่งลาภเร่งทรัพย์ คาถาลาภลอยก็มี ขึ้นอยู่กับดวงชะตา คุณเอ๋เคยสงสัยว่าคาถาเร่งทรัพย์คืออะไร เมื่อมีโอกาสสอบถามหลวงปู่ ท่านตอบว่าก็แค่ท่องคาถาพาหุงมหากาจนเกิดสมาธิก็พอ ก็จะได้ลาภ คุณเอ๋ก็ถามต่อว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรละครับ ท่านก็ตอบว่า เอ็งไม่ได้สังเกตหรอกรึ ว่าเวลาที่พระท่านสวดมนต์บทพาหุงมหากา ก็จะเห็นอุบาสกอุบาสิกาต้องยกข้าวปลาอาหารหวานคาว มาถวายทุกที หลวงปู่กล่าวจบก็หัวเราะชอบใจ
    นายบอลคือพ่อค้าขายหมากพลู ปูนแห้ง สีผึ้ง มีฐานะค่อนข้างยากจน แต่กำลังจะตั้งตัว ตเวนขายของตามตลาดนัด ทุกวันพฤหัสบดี มีตลาดนัดที่วัดของหลวงปู่ หลวงปู่ลงมาบิณฑบาต ตามปกติ เห็นว่านายบอลมีความขยันขันแข็ง และทุกนัดก็จะนำข้าวปลาอาหาร และหมากพลูมาถวายหลวงปู่เป็นประจำ หลวงปู่จึงเอ่ยปากถามนายบอลว่า “ไอ้บอล ขยันแบบนี้มึงอยากรวยไหมวะ” นายบอลตอบว่า “ผมอยากรวยครับ” หลวงปู่ถามต่อ “มึงอยากรวยไปไหน รวยแล้วมึงจะทำอะไรวะ” นายบอลตอบว่า “ผมจะนำเงินไปเลี้ยงพ่อแม่ให้สุขสบายพร้อมจะได้ทำบุญเยอะๆ จะได้มีความสุขกายสบายใจครับหลวงปู่” หลวงปู่ท่านก็ยิ้มชอบใจตอบว่า “มึงคิดดี มึงลองซื้อหวยดูดิ เผื่อจะถูกหวยรางวัลที่หนึ่งโว้ย” แต่นายบอลไม่กล้าซื้อเพราะเป็นคนตระหนี่มัธยัสถ์อดออม จนกระทั้งวันหวยออกตรงกับวันพฤหัสบดีเป็นวันตลาดนัด นายบอลก็มาขายของตามปกติ หลวงปู่ก็เดินยิ้มบอกไปว่า “ถ้ามึงไม่มีเงินซื้อลองยืมนางขาวสัก 40 บาท” ล็อตเตอรี่สมัยนั้นราคา40บาท นางขาวคือแม่ค้าขายหมูประจำตลาดนัด ผู้ชอบเสี่ยงหวยเป็นชีวิตจิตใจ นายบอลยิ้มและตอบรับหลวงปู่ ผมก็มีเงินครับ แต่ผมเสียดายครับ นายบอลก็เลยนำเงินมาซื้อหวย1ใบ เมื่อหวยออก นายบอลตรวจดูก็ถูกรางวัลย์ที่1นายบอลดีใจมาก มากราบหลวงปู่นำเงินมาทำบุญ ส่วนเงินที่เหลือนำมาทำทุน ภายหลังต่อมาก็ร่ำรวย เรียกกันว่าเสี่ยบอล หลังจากเสี่ยบอลถูกรางวัลที่1 ก็มีผู้คนมาหาหลวงปู่กันมากมาย รวมทั้งนางขาวก็ไม่ละความพยายาม นางขาวเป็นคนเซ้าซี้แต่ก็เป็นคนใจบุญที่ชอบหวยมาก ก็พูดประชดหลวงปู่ว่า ถ้าหลวงปู่เก่งจริงก็ต้องบอกหวยฉันบ้างเหมือนไอบอล หลวงปู่ตอบว่า มันแล้วแต่กรรมบุญ หลวงปู่ท่านลำคานเห็นนางขาวไม่ละความพยายาม ท่านก็บอก กูจะบอกให้ก็ได้ แต่งวดเดียว มึงไม่ถูกห้ามด่ากูนะ นางขาวได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะชอบใจ ไม่เป็นไรเจ้าคะหลวงปู่ ขอให้บอก หลวงปู่ท่านก็ว่า แต่มึงห้ามบอกใครนะ ไปซื้อวันหวยออกก็แล้วกัน หลวงปู่ท่านก็เขียนอะไรใส่ซองและก็มอบให้แก่นางขาว แต่ก่อนวันหวยออกหลายวันด้วยความเป็นนักเล่นหวยตัวยง ก็พยายามเสาะแสวงหาหวยจากสำนักอื่นอีก จึงลืมหวยที่หลวงปู่ท่านให้ไป พอดีก่อนหวยออกเวลาประมาณ 12.00 นางขาวเห็นที่หน้าซองถวายพระอุปัชฌาย์ก็เลยนึกได้ เปิดออกมาดู หลวงปู่เขียนไว้ว่า 131 มึงไม่ถูกนางขาว แต่นางขาวซื้อหวยไม่ทัน เพราะเจ้ามือไม่รับ พอหวยออกรางวัลเลขท้ายสามตัว รางวัลที่1 นางขาวร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ ไปกราบหลวงปู่ ท่านก็บอกว่านางขาวเอ้ย เอ็งก็รวยแล้วไม่เดือดร้อนอะไร เงินเอ็งเยอะก็หมั่นทำบุญกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรบ้าง เพราะเงินเอ็งได้มาจากการขายชีวิตเขา นางขาวก็ยอมทำบุญโดยดี สองเรื่องนี้ดังทั่ว อ.วัดสิงห์ เลยที่เดียว
    ส่วนวัตถุมงคลเก่าๆ หากเก็บสะสมไว้สักวันก็อาจเหมือนพระสมเด็จวัดระฆังก็ได้ ในชีวิตที่มีความหวังเหมือนแสงสว่างที่จะนำทางเราไปในวันที่ชีวิตมืดมน ลองหากำลังใจจากวัตถุมงคลของหลวงปู่สักชิ้นสองชิ้นเก็บไว้ในชีวิตที่ยากเย็นเพราะพิษเศรษฐกิจยุครำเค็ญ ยุคที่การเงินไม่เป็นใจ อย่างน้อยกำลังใจที่เราสร้างขึ้นมาก ก็จะอยู่กับเราตลอดไปเหมือนโลกนี้มีสีสีนทุกๆวัน จึงมีข้อเปรียบเทียบ เหมือนกับวัตถุมงคล มันก็คงเป็นมงคล ตลอดไป
    พระครูปทุมชัยกิจ หรือ หลวงปู่นะ ฐิตปัญโญ เจ้าอาวาสวัดปทุมธาราม (หนองบัว) ต.หนองบัว อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่งแห่งลุ่มแม่น้ำท่าจีน ที่ชาวบ้านให้ความเลื่อมใสศรัทธา เป็นพระเถระที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมทายาทสืบทอดพุทธาคมสายหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท
    ปัจจุบันหลวงปู่นะ สิริอายุ 92 พรรษา 72 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปทุมธาราม และอดีตยังเคยดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลบ่อแร่-หนองขุ่น เขต 2 อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ด้วย
    อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า โฉม เหล่ายัง เกิดเมื่อวันพุธที่ 6 ธันวาคม 2459 ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 1 (อ้าย) ปีมะโรง ณ บ้านขุนแก้ว ต.ดงขวาง อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี
    เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 9 คน ของนายแจกและนางตี่ เหล่ายัง ครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรม
    ในวาระแรกเกิด บิดา-มารดา ตั้งชื่อให้ว่า โฉม ต่อมาเมื่ออายุได้ 5-6 ขวบ หมอเป้ซึ่งเป็นหมอแผนโบราณ และมีความรู้ทางด้านโหราศาสตร์ด้วย เห็นว่าเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เป็นประจำ จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า นะ อันเป็นมงคลนาม
    ช่วงวัยเยาว์ ครอบครัวมีความเป็นอยู่ค่อนข้างขัดสน เนื่องจากมีบุตรด้วยกันหลายคน ทุกคนต้องช่วยเหลือตนเอง
    ต่อมาครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านเกาะโสภี อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี ท่านจึงได้รับการศึกษาที่วัดหนองมะกอกในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 และชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรียนที่โรงเรียนวัดหนองแฟบ หลังจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มาช่วยครอบครัวทำอาชีพกสิกรรมทำมาหาเลี้ยงชีพ
    ครั้นอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ ได้ขออนุญาตโยมพ่อโยมแม่ อุปสมบท ซึ่งท่านทั้งสองก็ยินดีร่วมอนุโมทนา
    ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดราษฎร์นิธิยาวาส (ดอนปอ) ต.บ่อแร่ อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2480 มี พระครูวิจิตรชัยการ (หลวงพ่อเคลือบ) วัดบ่อแร่ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์ชั้น เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สำเนียง เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ได้รับฉายาว่า ฐิตปัญโญ มีความหมายว่า ผู้มีปัญญาอันตั้งไว้แล้ว
    หลังอุปสมบท ท่านได้ปฏิบัติกิจแห่งสงฆ์โดยครบถ้วน ใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมด้วยความตั้งใจ พ.ศ.2481 สอบได้นักธรรมชั้นตรี จากสำนักเรียนวัดราษฎร์นิธิยาวาส (ดอนปอ) พ.ศ.2483 เดินทางไปศึกษาต่อในสำนักเรียนวัดหนองแฟบ อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี สอบได้นักธรรมชั้นโท
    พ.ศ.2485 ได้ไปจำพรรษาที่วัดปทุมธาราม (หนองบัว) และในปี พ.ศ.2487 ท่านได้เข้าสอบนักธรรมชั้นเอก อันเป็นชั้นสุดท้ายของภาคการศึกษานักธรรมที่วัดหนองแฟบ
    ขณะศึกษานักธรรม ท่านได้มีโอกาสศึกษาวิชาการแพทย์แผนโบราณกับพระอาจารย์ศรี วัดหนองแฟบ ควบคู่ไปด้วย จนมีความรู้ความชำนาญการใช้สมุนไพรรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั่วไป
    ด้วยความเป็นพระหนุ่มที่ทรงความรู้ วิทยฐานะนักธรรมชั้นเอก ในสมัยนั้นจะหายากยิ่ง ท่านจึงมีความคิดก่อตั้งสำนักเรียนขึ้นมาใหม่ หลังจากซบเซาขาดหายไปนาน ซึ่งท่านเป็นผู้สอนเองทุกชั้น ตั้งแต่นักธรรมชั้นตรี โท และเอก ท่านจึงมีลูกศิษย์ที่เป็นพระภิกษุบริหารกิจการคณะสงฆ์อยู่ในเวลานี้หลายจังหวัด
    ในความเป็นจริงแล้ว ภายหลังสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก ท่านคิดที่จะเรียนทางด้านภาษาบาลีต่อ แต่ด้วยกิจการคณะสงฆ์ที่วัด ทำให้ไม่มีเวลา อีกทั้งสำนักเรียนบาลีก็อยู่ในตัวเมืองไกลจากวัดหนองบัว การเดินทางไม่สะดวก ทำให้ต้องงดการเรียนบาลี
    อย่างไรก็ตาม ท่านหันมาให้ความสนใจศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณเพิ่มเติม และเรียนวิทยาคม เลขยันต์พันคาถาควบคู่กันไป จากตำราที่พระปลัดปั่น เจ้าอาวาสรูปที่ 9 ได้รับมอบจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และพระปลัดปั่นท่านได้มอบตำราของหลวงปู่ศุขให้กับหลวงพ่อนะ
    ท่านได้ศึกษาสรรพวิชาในตำราทั้งหมด จนมีความรู้แตกฉานในวิทยาคมเป็นอย่างดี เป็นที่พึ่งของชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วย และผู้ที่โดนคุณไสย ท่านก็ได้ช่วยเหลือปัดเป่าทุกข์เหล่านั้นด้วยความเมตตา
    ด้านงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ได้จัดเทศนาธรรมเป็นประจำในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ชักชวนประชาชนให้ร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ เวียนเทียนรอบอุโบสถ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา อีกทั้งเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม สำนักเรียนวัดปทุมธาราม (หนองบัว) เป็นครูสอนการปฏิบัติธรรมวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่พระภิกษุ สามเณร ตลอดจนประชาชนทั่วไป จัดสถานที่อบรมหน่วยพระธรรมทูต และได้รับเชิญให้ออกปฏิบัติงานพระธรรมทูตตามวัดและโรงเรียนในเขตอำเภอ-จังหวัด และจังหวัดใกล้เคียง โดยร่วมมือกับหน่วยราชการต่างๆ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญสร้างเจดีย์และพระผงหลวงปู่พิมพ์ใบพลูใจเดียววิชาที่หลวงปู่ใช่ลงยันต์ในใบพลู เป็นเมตตา มหานิยม ๒ องค์
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20250308_031309.jpg IMG_20250308_031345.jpg IMG_20250308_031403.jpg IMG_20250308_031430.jpg IMG_20250308_031453.jpg
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    เมื่อวานนี้จัดส่ง

    1741417100309.jpg

    ขอบคุณครับ
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    วันนี้จัดส่ง
    1741432656562.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    พระปิดตามหาลาภ วัดถ้ำพระโบราณ (วัดถ้ำเหง้า) อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอนสร้างโดย พระอาจารย์ จรัญ อภิชาโต พระผู้อุปัฏฐากองค์หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อแจกแก่ผู้ศรัทธาร่วมสร้างวัด
    มวลสารและสิ่งมงคลของพ่อแม่ครูอาจารย์สายกัมมัฏฐานมากมาย ได้แก่
    ๑.ผงอังคารธาตุ หลวงปู่แหวน สุจินโณ
    ๒.ผงอังคารธาตุ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
    ๓.ผงอังคารธาตุ หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ
    ๔.ผงอังคารธาตุ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    ๕.ผงอังคารธาตุ หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต
    ๖.ผงอังคารธาตุ หลวงปู่คำพอง ติสโส
    ๗.ผงอังคารธาตุ หลวงพ่อปัญญา ปัญญาวุฒโฒ
    ๘.ผงอังคารธาตุ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท
    ๙.ผงอังคารธาตุ หลวงพ่อมหาทองอินทร์ กุสลจิตโต
    ๑๐.ผงอังคารธาตุ ครูบาผาผ่า ปัญญาวโร
    ๑๑.เกศา หลวงปู่แหวน สุจินโณ
    ๑๒.เกศา หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    ๑๓.เกศา หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท
    ๑๔.เกศา หลวงปู่บุดดา ถาวโร
    ๑๕.เกศา หลวงปู่คำดี ปภาโส
    ๑๖.เกศา หลวงปู่แว่น ธนปาโล
    ๑๗.เกศา หลวงปู่หลอด ปโมทิโต
    ๑๘.เกศา หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    ๑๙. เกศา หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวนโต
    ๒๐.เกศา หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปุญฑิโต
    ๒๑.เกศา หลวงพ่อวิริยัง สิรินธโร
    ๒๒.เกศา หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
    ๒๓.เกศา หลวงพ่อมหาทองอินทร์ กุสลจิตฺโต
    ๒๔.จีวร หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    ๒๕.ชานหมาก และน้ำพระพุทธมนต์ หลวงปู่แหวน สุจินโณ
    ๒๖.ชานหมาก และน้ำพระพุทธมนต์ หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
    ๒๗.พระสมเด็จเก่าที่แตกหัก
    ๒๘.ผงแร่แก้วขนเหล็ก อ.เถิน จ.ลำปาง
    ๒๙.ผงมวลสารเก่า หลวงปู่ครีพ วัดสมถะ จ.ชลบุรี
    ๓๐. ผ้าพันรอบต้นศรีมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ๓๑.ดินจากสังเวชนียสถาน ๔ แห่ง คือ สถานที่ ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน ประเทศอินเดีย
    ๓๑.น้ำพระพุทธมนต์
    ๓๒. เหล็กน้ำพี้
    ๓๓.ว่านร้อยแปด
    ๓๔.ดินจากเจดีย์ บุโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซีย
    ๓๕.ดินจากเจดีย์พุกาม ประเทศพม่า
    พระอาจารย์จรัญบอกว่า เกศาข้างหน้าจะเป็นเกศาหลวงปู่สิมครับ เพราะบางองค์ท่านก็ใส่เกศาน้อย บางองค์ท่านก็ใส่เกศาเยอะ ถ้าไม่ของหลวงปู่สิม ก็เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์รุ่นใหญ่ ตามใบฝอยครับ ส่วนจีวรที่ติดด้านหลังนึ้เป็นจีวรที่หลวงปู่สิมท่านใช้บ่อยๆครับ พระรุ่นนึ้ท่านอาจารย์ใส่อังคารของครูบาอาจารย์เยอะมากครับ บางองค์ขึ้นพระธาตุครับ พระปิดตารุ่นนึ้มีประสบการณ์เรื่อง เมตตามหานิยม โชคลาภ ค้าขาย ดีมากๆ แคล้วคลาดปลอดภัย ลูกศิษย์ทราบกันดี และยังเหมาะกับการปฏิบัติธรรมอีกด้วย
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250308_225030.jpg IMG_20250308_225101.jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    FB_IMG_1741455851502.jpg FB_IMG_1741455518633.jpg
    สมเด็จยอดเพชร วัดห้วยทรายใต้ อำเภอ
    ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ปี ๒๕๓๔
    พระสมเด็จยอดเพชร เป็นชุดพระเนื้อผง และสมเด็จครั่ง เริ่มดำเนินการ ในปี 2531 แล้วเสร็จในปี 2534โดยมีเจตนาการสร้างเพื่อหาทุนทรัพย์ สร้างกูฏิและสร้างโบสถ์ วัดห้วยทรายใต้ อ.ชะอำจ.เพชรบุรีได้มอบหมายให้ พระอาจารย์ไพโรจน์ ในสมัยที่ท่านยังจำพรรษาที่วัดห้วยทรายใต้เป็นผู้ดูแลดำเนินการจัดสร้างโดยพระชุดนี้ได้ร่วมปลุกเสกรุ่นเดียวกับสมเด็จร่มเย็น ซึ่งเป็นพระสมเด็จปรกโพธิ์รุ่นแรกของหลวงพ่อห่วย วัดห้วยทรายใต้
    รายละเอียดการสร้างพระชุดนี้ประกอบด้วย
    1.) พระสมเด็จเนื้อสีขาว มีส่วนผสมผง
    พุทธคุณ ผงอิทธิเจ จำนวนการสร้างไม่ทราบแน่นอน
    2.) พระสมเด็จเนื้อสีอมชมพู มีส่วนผสมของดินขุย ปูศรีอรุณ (นำมาจากดินซึ่งปูนาได้ คุ้ยดินขึ้นมากองที่ปากรู ทางทิศตะวันออก มีสีออกแดง )
    3.) พระสมเด็จ เนื้อสีคล้ำ มีส่วนผสมผงใบ
    ลาน และคัมภีร์ จำนวนการสร้าง ไม่ทราบ
    แน่ชัด
    4.) พระสมเด็จเนื้อครัง นำครังเก่าจากหลวงพ่อทองศุข ครั่งหลวงพ่อยิด มาด้วยจำนวนการสร้าง 3000 องค์
    รายละเอียดการเข้าพิธีปลุกเสกของพระชุดนี้
    1.) นำไปปลุกเสกที่วัดท่าซุง โดยหลวงพ่อ
    ฤาษีลิงดำได้เมตตาอธิษฐานจิต
    2.) นำไปเข้าพิธีปลุกเสกที่วัดพระแก้ว ในพิธีเดียวกับปลุกเสกวัตถุมงคลของสมเด็จย่าโดยผู้ไปร่วมในพิธียืนยันว่าพระชุดนี้ได้นำเข้าปลุกเสกในอุโบสถ
    เนื่องจากศิษย์หลวงพ่อแผ่วผู้ดูแลในพิธีเป็นผู้อนุญาตให้ ส่วนพระชุดอื่นนำไว้ด้านนอกปลุกเสกโดยใช้ สายสิณญจน์โยง
    3.) นำไปเข้าพิธีปลุกเสกที่ วัดพนัญเชิง
    อยุธยา
    4) นำเข้าปลุกเสกในพิธีใหญ่ที่วัดห้วยทรายใต้ วางศิลาฤกษ์อุโบสถ มีพระเกจิอาจารย์
    ร่วมปลุกเสก 199 รูป
    5) หลังปี 2534ก็ยั้งได้นำเข้าไปปลุกเสกในพิธีต่างๆ ตามวาระโอกาสที่เหมาะสม
    พระชุดนี้ได้ร่วมปลุกเสกรุ่นเดียวกับสมเด็จร่มเย็นพิธีใหญ่ พระเกจิเถราจารย์ร่วมปลุกเสก 108
    รูปทำพิธีพุทธาภิเษก อาทิ
    1.) หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
    2.) หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ
    3. หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก
    4.) หลวงพ่อดี วัดพระรูป
    5.) หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวัน
    6.) หลวงปู่นิล วัดครบุรี
    7.) หลวงพ่อเยิ้ม วัดใหม่บางจาก
    8. หลวงพ่อแผ่ว วัดโตนดหลวง
    9.) หลวงพ่อเกด วัดเกาะหลัก
    10.) หลวงพ่อเก๋ วัดแม่น้ำ
    11.) หลวงพ่อ ลำใย วัดทุ่งลาดหญ้า
    12.) หลวงพ่อเสน่ห์ วัดสว่างอารมย์
    13.) หลวงพ่อวรพรต เจ้าคณะอำเภอแวงน้อย
    14.) หลวงพ่อพิมพา วัดหนองตางู
    15) หลวงพ่อนอง วัดทรายขาว
    16.) หลวงพ่อนิ่ม วัดเขาน้อยปราณบุรี
    17.) หลวงพ่อกลั่น วัดเขาอ้อ
    18.) หลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ
    19.) หลวงพ่อพาน วัดโป้งกระสัง
    20. หลวงพ่อท้าว คีรีวงศ
    21) หลวงพ่อประจักษ์ วัดชัยสามหมอ
    22.) พระครูสมุทรพัฒโสภณ วัดคันลัด
    23.) พระราชสุรรณมนี วัดมหาธาตุวรวิหาร
    24.) หลวงพ่อช่อ (ฤาษีลิงขาว) วัดฤกษ์บุญมี
    25.) หลวงปู้ทิม วัดพระขาว
    26.) หลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง
    27.) หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย
    28. หลวงพ่อจันทร์ดี วัดศรีสะอาด
    29.) หลวงพ่อแนบ วัดเขาหน่อ
    30. หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดไทรน้อย
    31.) หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดหุบมะกล่ำ
    32.) พระราชญาณรังสี วัดป่าชัยรังสี เป็นต้น
    สมัยนั้นมีออกให้ ทำบุญที่วัดโตนดหลวง ยุคหลวงพ่อแผ่ว
    หลวงพ่อแผ่ว ท่านเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ ของหลวงพ่อทองศุข ท่านเป็นเจ้าอาวาส ปกครองวัดต่อจากหลวงพ่อทองศุขครับ ท่านได้วิชามาเต็มๆ เพราะอยู่กับหลวงพ่อทองศุขมาตลอด เรื่องความเก่งนั้น ท่านเก่งมาก แต่ท่านดังเงียบๆ ในพื้นที่ ไม่มีโปรโมท สมัยหลวงพ่อทองศุขยังอยู่ ท่านไว้ใจให้ช่วยสร้างวัตถุมงคลตลอด กระทั่งยุคที่หลวงพ่อทองศุขสิ้นแล้ว หลวงพ่อแผ่วยังสร้างวัตถุมงคลในรูปหลวงพ่อทองศุข ต่อมาอีกหลายรุ่น ก็เป็นที่นิยม
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250309_004832.jpg IMG_20250309_004921.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    FB_IMG_1741460087547.jpg

    หลวงปู่ดู่เคยบอกศิษย์ที่ชอบสายเหนียวให้ไปหาอาจารย์พรหม

    ประวัติและเกียรติคุณหลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ

    ในช่วงใกล้ พ.ศ.2500 นั้น ขณะที่พระอาจารย์รุ่นอาวุโสกำลังปรากฎเกียรติคุณอยู่ มีพระอาจารย์หนุ่มวัยประมาณ 40 ปี ท่านหนึ่ง สามารถสอดแทรกเบียดเข้ามามีชื่อเสียงร่วมสมัยกับพระอาจารย์รุ่นใหญ่ได้ ทั้งยังได้รับการยกย่องจากพระอาจารย์รุ่นใหญ่หลายท่าน ว่าเป็นผู้ทรงวิทยาคมขลังชนิดของจริง สามารถนั่งอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลร่วมกับพระเกจิอาจารย์รุ่นใหญ่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ความทรงวิทยาคมของท่าน ทราบกันในหมู่พระเกจิอาจารย์รุ่นอาวุโส ถึงขนาดพระอาจารย์ใหญ่หลาย ๆ ท่านสั่งความกับลูกศิษย์ลูกหาว่า ให้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ให้ได้ พร้อมทั้งให้คำรับรองว่าพระท่านรูปนี้มีวิทยาคมแก่กล้าเหมือนพระอาจารย์รุ่นเก่าจริง ๆ พระอาจารย์รูปนี้คือ หลวงพ่อพรหม ติสสเทโว แห่งวัดขนอนเหนือ จ.พระนครศรีอยุธยา นั่นเอง
    หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ ท่านเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2456 ตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือน 11 ปี ฉลู อุปสมบทในเดือน 6 ตรงกับปี พ.ศ. 2479 อายุ 23 ปี
    พระครูสารกิจ (ฝัก) วัดทำเลไทย อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระอาจารย์ชุ่ม วัดขนอนเหนือ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    พระอาจารย์ทอง วัดขนอนเหนือ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    หลวงพ่อพรห์ม วัดขนอนเหนือ ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2534 รวมสิริอายุได้ 78 ปี
    ความเข้มขลังทางพุทธาคมของหลวงพ่อพรหม ถูกถ่ายทอดโดยโยมสุวรรณบิดาของท่านตั้งแต่เยาว์วัย ผ่านตำราของท่านขรัวแสง วัดเสาประโคนสหธรรมิกของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ทำให้ท่านได้ชื่อว่า “หนังดีและมีอาคมขลังมาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม” โยมพ่อสุวรรณได้สอนบุตรชายให้หัดเขียนอักขระเลขยันต์ ฝึกฝนท่องคาถาอาคมในวัยเพียง ๗ ขวบ(เด็กชายพรหม อายุ ๒ ขวบ พ่อสุวรรณได้ออกบวชเป็นพระได้ ๑ พรรษา) ความสามารถตามประสาเด็กของบุตรชายเป็นที่พอใจของผู้เป็นบิดา พ่อสุวรรณได้หมั่นพร่ำสอนวิชาอาคมอย่างต่อเนื่อง ด้วยนิสัยใฝ่รู้ของเด็กชายพรหม ทำให้เข้าใจและแตกฉานในวิชาที่บิดาสอน ในวัย ๑๕ ปี ครั้งหนึ่งในช่วงนั้น วัดต่างถิ่นได้จัดงานประจำปีขึ้น เด็กชายพรหมได้ทำการเสกว่าน แจกให้กับเพื่อนๆประมาณ ๓-๕ คน เพื่อป้องตัว ก่อนที่ทุกคนจะเข้าสู่บริเวณงานวัดแห่งนั้น สมัยนั้นเมื่อมีการข้ามถิ่นของไอ้หนุ่มต่างบ้านเมื่อใด ย่อมเกิดการเขม่นหรือไม่พอใจของทั้งสองฝ่ายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ครั้งนี้คู่กรณี ซึ่งฝ่ายหนึ่งเป็นไอ้หนุ่มเจ้าของถิ่น ส่วนอีกฝ่ายเป็นไอ้หนุ่มบ้านเดียวกันกับเด็กชายพรหม ทั้งสองฝ่ายไม่ยอมลงให้กัน ผู้เป็นเจ้าถิ่นนั้นมีพวกมาก ซ้ำยังมีกองเชียร์ร่วมลุ้นด้วย การต่อสู้ดำเนินขึ้น ฝ่ายที่ดูจะเพรี่ยงพร้ำกลับเป็นไอ้หนุ่มต่างถิ่นที่ขณะนี้สถานการณ์ เปลี่ยนเป็นถูกรุมอย่างไม่ยุติธรรม เด็กชายพรหมและเพื่อนๆ เห็นเหตุการณ์โดยตลอด เด็กชายพรหมเชื่อมั่นในวิชาอาคมที่ได้เรียนจากบิดา ทั้งว่านกันศาสตราวุธ ที่ทำการเสกก่อนมาเที่ยวงาน เด็กชายพรหมและเพื่อนๆ จึงเข้าช่วยเหลือเพื่อนบ้านเดียวกัน อย่างไม่เกรงกลัว แม้ว่าคู่ต่อสู้นั้นมีจำนวนมากกว่า สร้างความไม่พอใจให้กับนักเลงเจ้าถิ่นเป็นทวีคูณ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด อาวุธมีดทั้งสั้น , ยาว ถูกนักเลงเจ้าถิ่นนำมาใช้ ท่ามกลางสายตาและเสียงโจษขานอื้ออึงของผู้คนในงาน นักเลงเจ้าถิ่นมั่นใจว่าคมมีดทั้งหลายแทงถูกคู่ต่อสู้หนุ่มชาวบ้านกรดอย่างแน่นอน เหตุการณ์สงบลงด้วยความบอบซ้ำของนักเลงเจ้าถิ่นอย่างสิ้นท่า เพื่อนๆ ของเด็กชายพรหม พากันสำรวจร่างกายของตนที่ถูกอาวุธ ของคู่ต่อสู้แทงอย่างไม่ยั้งมั่นใจอย่างไรก็ต้องได้แผล แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจนัก ทั่วทั้งร่างกายของทุกคนไม่มีแม้เลือดสักหยดให้เห็น มีเพียงรอยช้ำบริเวณจุดที่คิดว่าถูกแทง หรือถูกของหนักเท่านั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ผู้ที่ได้พบเห็นต่างโจษขานกัน ถึงความหนังเหนียวของเด็กชายพรหมและเพื่อนๆ ทำให้เด็กชายพรหมเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อนเป็นอย่างมาก ว่าเป็นผู้มีวิชาอาคมหรือมีของดี
    ภายหลังแม้อุปสมบทแล้ว ท่านยังได้ศึกษาหาความรู้จากพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นหลายท่าน เช่น หลวงปู่ฟัก วัดทำเลไทย หลวงปู่อ่ำ วัดงิ้วงาม หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ ฯลฯ ด้านความเข้มขลังพุทธาคมและสมาธิจิตของท่าน ซึ่งแม้แต่ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง หลวงปู่สี วัดสะแก หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน ฯลฯ ยังเอ่ยปากให้การยกย่องแทบทั้งสิ้น หลวงปู่สีวัดสะแก ซึ่งท่านเก่งขนาดไหน ยังชมว่า "ในอยุธยา(ยุค)นี้ เรื่องคงกระพันไม่มีใครเกิน(ท่านพรหม)" หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ได้เจอกับหลวงพ่อพรหม ในงานปลุกเสกพระเครื่อง เห็นผ้ายันต์ที่หลวงพ่อพรหม ลงอักขระไว้ หยิบมาดูและบอกว่า "ผ้านี้ท่าน(พรหม)เสกได้ขลังดีจริงๆ" ส่วนหลวงปู่โต๊ะเจอหลวงพ่อพรหม บอกกับศิษย์ว่า "พระท่านรูปนี้อนาคตจะสำคัญมาก เพราะมีพลังจิตแก่กล้ามากเหมือนพระอาจารย์ยุคเก่าแก่"
    การฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อขัน หลวงพ่อพรหมจำพรรษาอยู่วัดขนอนเพียงไม่กี่พรรษา โยมบิดาเห็นว่าควรที่จะให้พระบุตรชาย ได้ศึกษาวิชาอาคมเพิ่มเติมจึงได้พาไปฝากตัวเป็นศิษย์ กับหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ ซึ่งเป็นพระที่เก่งกล้าในวิชาอาคมแบบไม่เป็นสองรองใครรูปหนึ่ง หลวงพ่อพรหม มีพื้นฐานในวิชามาจากโยมบิดาซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อขันมาก่อนแล้ว หลวงพ่อขันจึงสอนเพียงวิชาการสักอักขระเลขยันต์รูปแบบต่างๆและเชือกคาดเอว,ผ้าขอด, การลงตะกรุด, เดินธาตุสี่ หลวงพ่อพรหมเรียนวิชาอยู่ไม่นานจากพื้นฐานที่มีมาก่อนนั้น ทำให้ท่านสำเร็จแต่ละวิชาอย่างแตกฉาน ท่านได้อยู่รับใช้ หลวงพ่อขันอีกระยะหนึ่งจึงกราบลาพระอาจารย์กลับ เรียกได้ว่าวิชา หรืออักขระเลขยันต์ ตำราการสักยันต์ ท่านได้มาจากหลวงพ่อขันแทบทั้งหมด ความเก่งกล้าในวิชาอาคม และเคร่งครัดในพระธรรมวินัยของหลวงพ่อพรหม ทำให้เกิดศรัทธาจากคณะศิษย์มากขึ้น แต่ละวันหลวงพ่อพรหมจะรับลูกศิษย์เป็นเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เวลาที่เหลือท่านจะใช้ในกิจของสงฆ์ และการปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิ
    การสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อพรหมได้จัดสร้างวัตถุมงคลครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๔ เป็นเหรียญรุ่นแรกรูปทรงเสมา สร้างโดยหมอชาวญี่ปุ่น นับว่าแปลกมาก ซึ่งหมอชาวญี่ปุ่นท่านนี้มีความสนิทสนมกับหลวงพ่อพรหมมาก ด้วยมีอยู่ครั้งนึงหมอชาวญี่ปุ่นได้ถูกนักเลงแถวอยุธยารุมทำร้าย หลวงพ่อพรหมท่านจึงจับสักยันต์เต็มแผ่นหลัง(สมัยนั้นหลวงพ่อ อายุเพียง 30 ต้นๆ แต่เริ่มมีชื่อเสียงด้านการสักยันต์แล้ว) ด้วยหลวงพ่อเห็นว่าหมอญี่ปุ่นจะมีอันตรายอีก เนื่องจากสมัยนั้นทหารญี่ปุ่นที่หลงเหลือจากสงครามโลกครั้งที่2 มักไม่เป็นที่ชื่นชอบของนักเลงบ้านเรา ซึ่งหลังจากได้รับการสักยันต์จากหลวงพ่อพรหม หมอญี่ปุ่นก็ไม่เคยได้รับบาดเจ็บจากทั้ง มีด ปืน นับได้ว่าแคล้วคลาดคงกระพันมาตลอด จึงศรัทธาหลวงพ่อพรหมเป็นอย่างมาก จึงขออนุญาตออกทุนสร้างเหรียญรูปเหมือนถวายหลวงพ่อ ซึ่งอาจเป็นญี่ปุ่นคนแรกที่แขวนพระก็ว่าได้ โดยสร้างเพียง 2 เนื้อ คือทองแดงผสม 100 เหรียญ เนื้อเงิน 50 เหรียญ จึงกลายเป็นเหรียญที่หายากมากๆ จนกลายเป็นตำนานไปแล้ว เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อพรหมนี้ ถือว่าเป็นเหรียญหลักของวงการพระเครื่องมานานแล้ว ไม่ใช่พึ่งมานิยม แต่เนื่องจากเหรียญสร้างน้อยมาก ผู้ที่มีต่างเก็บ และหวงแหน จึงไม่ค่อยเห็นในตลาดพระเครื่องทุกวันนี้ ต้องถามเซียนเหรียญรุ่นเก๋าถึงจะทราบ ซึ่งการสร้างเหรียญรุ่นแรกในปีนั้น พ.ศ.2494 หลวงพ่อพรหมพึ่งจะมีอายุเพียง 38 พรรษา(เกิด พ.ศ.2456) ซึ่งถือว่าหนุ่มมากๆ เรียกว่าวัยฉกรรจ์เลยก็ว่าได้ กำลังร้อนวิชา(เสกแบบจัดหนักจัดเต็มแน่นอน) ด้วยพรรษาเพียงเท่านี้แต่กลับสร้างเหรียญรุ่นแรกขึ้นมาได้(อาจเป็นเกจิที่อายุน้อยที่สุดที่ได้สร้างเหรียญรุ่นแรก) นับได้ว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ทั้งในอยุธยายุคนั้นก็มีพระเกจิอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ ระดับปรมาจารย์อีกหลายท่าน ที่พึ่งสร้างเหรียญรุ่นแรกออกมา แต่เหรียญหลวงพ่อพรหมนี้ ที่เป็นเพียงพระหนุ่ม กลับได้รับความนิยมจากผู้คน ต่างแสวงหามาครอบครอง ตั้งแต่เหรียญออกมาใหม่ ๆ เนื่องจากมีประสบการณ์ทางด้านมหาอุดคงกระพันให้เห็นกันมาก ซึ่งจะว่าไปแล้วในกระบวนเหรียญพระอาจารย์ที่สร้างในยุคนั้น พ.ศ.2490-2495 มีข้อมูลจากคนเก่าคนแก่มาว่าเหรียญหลวงพ่อพรหมรุ่นแรกเช่าหากันแพงที่สุดในยุคนั้น สำหรับเหรียญรุ่นแรกนี้ ทำการแกะบล็อค และปั้มเหรียญ ที่โรงงานเดียวกันกับเหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม(ซึ่งสังเกตได้ว่าเหรียญจะมีลักษณะคล้ายกัน) หลวงพ่อพรหมดูฤกษ์ยามแล้วปลุกเสกเหรียญในโบสถ์ จากนั้นนำมาปลุกเสกที่กุฏิอีก 1 ไตรมาส แล้วค่อยทยอยแจกให้กับลูกศิษย์ลูกหา ซึ่งต่อมาภายหลังท่านได้จัดสร้าง เหรียญซึ่งมีลักษณะเป็นรูปพระนารายณ์ในรูปแบบต่างๆกันเช่น นารายณ์เส้น ปี2509, นารายณ์ออกศึก ปี2516,นารายณ์ทรงเมือง ปี2521 และเหรียญหนุมานออกศึก เหรียญสิงห์ , ยันต์ต่างๆ รูปทรงที่เป็นพระนารายณ์ หนุมาน และสิงห์นี้ถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัวของท่าน ซึ่งเหรียญนารายณ์เส้น ปี2509 ยังถือว่าเป็นเหรียญพระสงฆ์องค์แรกของประเทศที่อันเชิญพระนารายณ์มาประทับที่หลังเหรียญ
    ชื่อเสียงของท่านโด่งดังตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2500 โดยเฉพาะด้านการสักยันต์ ยันต์พระนารายณ์,พระ บุตร-ลบ, ราชสีห์, หนุมานดันปฐพี ถูกถ่ายทอดผ่านปลายเข็มสักสู่เนื้อหนังลูกผู้ชายชาวอยุธยาคนแล้วคนเล่า ผู้ผ่านศึกมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ คมศัสตราวุธนานาหาได้ชำแรกผ่านผิวกายไม่ เล่ากันว่าก่อนที่เสือขาวจะพาพวกปล้นตลาดท่าเรือนั้น (ปิดตลาดปล้นปี 08) ได้มาขอผ้าขอดจากหลวงพ่อ (มีอานุภาพคุ้มครองบริวารได้ 7 คน) จนสามารถหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ได้
    ประสบการณ์ วัตถุมงคลของท่านล้วนมีประสบการณ์ แคล้วคลาด คงกระพัน ทั้งสิ้น เป็นที่โจษขานกัน ทั้งในอดีตและปัจจุบัน อย่างกว้างขวาง ปัจจุบันวัตถุมงคลของท่านเป็นที่ต้องการของลูกศิษย์มาก ๆ และเริ่มหายาก เนื่องจากวัตถุมงคลยุคต้น ของหลวงพ่อสร้างน้อยด้วย ผู้ที่มีต่างหวงแหน เนื่องจากมีประสบการณ์เรื่องเล่าอย่างโชกโชน วัตถุมงคลของหลวงพ่อพรห์มจะปลุกเสกอธิฐานจิตเดี่ยวตลอดไตรมาตร ท่านบอกว่า ได้ทำทั้งที เมื่อมีดีแล้ว ต้องทำให้ดีที่สุด
    ...........
    หลวงพ่อพรหม ติสสเทโวรูปนี้ เก่งขนาดเคยลองวิชากับหลวงพ่อกวย ชุตินธโรวัดโฆสิตารามมาแล้วเมื่อได้รับอาราธนาไปนั่งปรกพุทธาภิเษกทำเอาไฟลุกไหม้สายสิญจน์จนเกือบจะเผาราชวัตรฉัตรธงในพิธี เมื่อนั่งปรกเสร็จหลวงพ่อเทียมวัดกษัตราธิราชเจ้าของตระกรุด4 มหาอำนาจอันโด่งดังที่ได้รับอาราธนามานั่งปรกด้วยถึงกับเดินมาบอกว่าเล่นกันเป็นเด็กเลยนะท่าน นับแต่นั้นมา หลวงพ่อพรหมและหลวงพ่อกวยท่านก็นับถือกันเพราะต่างนับถือในวิทยาคมของกันและกันไปมาหาสู่กันหลายครั้งและยังแลกเครื่องรางเป็นที่ระลึกกันอีกด้วย(ข้อมูลจากหนังสือมงคลทิพย์รวมวัตถุมงคลหลวงพ่อกวยวัดโฆสิตารามฉบับสมบูรณ์ปกสีดำ)

    พระพิมพ์สมเด็จ หลังยันต์เฑาะว์ ปี๒๕๓๒ หลวงพ่อพรหม สวยเดิมสมบูรณ์ครับ ท่านผู้ดำเนินการสร้างคือ คุณกมล ฤดีศานต์ เป็นผู้จัดสร้างพระผงให้หลวงพ่อมากมายหลายรุ่น เช่น 1.พระปิดตาหกเหลี่ยม ปี๒๖ 2.พระผงพิมพ์วัดปากน้ำ ปี๒๖ 3.พระปิดตามหาลาภ ปี๒๘ 4.พระสมเด็จสุขะโต ปี๒๘ อืนๆๆ มีลงอยู่ในหนังสือวัตถุมงคลของหลวงพ่อทุกรุ่นครับ
    จำนวนการสร้าง
    สีขาวเนื้อผงประมาณ ๒,๐๐๐ องค์
    รูปทรง
    ด้านหน้าเป็นแบบพระสมเด็จ ด้านหลังเป็นยันต์นับเป็นพระผงรุ่นสุดท้ายที่คุณกมลสร้างถวายหลวงพ่อพรหม

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    1374129-518ab (1).jpg

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    IMG_20250309_015326.jpg IMG_20250309_015351.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2025 at 16:33
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,910
    ค่าพลัง:
    +21,367
    FB_IMG_1741527528909.jpg

    FB_IMG_1741527531346.jpg
    https://www.facebook.com/share/p/1BHDByMxeE/
    เหรียญพระอาจารย์วัน อุตตโมรุ่น 57 เสือกระโดด เรียกอีกชื่อคือ รุ่น ทูลเกล้าฯ
    เหรียญพระอาจารย์วัน อุตตโมรุ่น 57 เสือกระโดด เรียกอีกชื่อคือ รุ่น( ทูลเกล้าฯ ถวาย)
    จ.สกลนครสร้างเมื่อปี 2521 รายชื่อพระอาจารย์ที่ปลุกเสก
    1. หลวงพ่อย้อย ปุญญมี วัดอัมพวัน อ.เสาไห้ จ.สระบุรี อายุ 82 ปี 28 พรรษา
    ทำพิธีปลุกเสกเมื่อวันที่ 6 ถึงวันที่ 16 พฤษภาคม 2521
    2. หลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ อ.เมือง จ.ลำปาง อายุ 66
    ปี 47 พรรษา ทำพิธีปลุกเสกเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2521
    3. หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ อายุ 90 ปี 71
    พรรษาทำพิธีปลุกเสกเมื่อ วันที่ 17 พฤษภาคม 2521
    4. หลวงพ่อผาง จิตตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขตอ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
    อายุ 76 ปี 34 พรรษาทำพิธีปลุกเสกเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2521
    5. พระอาจารย์ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลยอายุ 77 ปี
    53 พรรษาทำพิธีปลุกเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2521
    6. หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี อายุ 91
    ปี 60 พรรษา ทำพิธีปลุกเสกเมื่อวันที่19 พฤษภาคม 2521
    7. หลวงปู่เครื่อง ธัมมจาโร วัดเทพสังขาร อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี อายุ 111 ปี
    81 พรรษา ทำพิธีปลุกเสกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2521
    8. หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดสันติสังฆาราม อ.พรรณานิคม จ.สกลนครอายุ
    70 ปี 49 พรรษา ทำพิธีปลุกเสกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2521
    9. พระอาจารย์แว่น ธนปาโล วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนครอายุ 69 ปี
    48 พรรษา ทำพิธีปลุกเสกเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2521 ซึ่งเป็นวัน
    วิสาขบูชาที่พิพิธภัณฑ์ พระอาจารย์มั่นภูริทัตโต
    10. พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม อ.ส่องดาว จ.สกลนคร
    อายุ 56 ปี 36 พรรษา ทำพิธีปลุกเสกเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2521 ณวิหาร
    เจดีย์หลวงพ่อมุจลินท์ (วัดถ้ำพวง)
    11. ได้นำเข้าพิธีมหาพุทธาภิเษกโดยพระคณาจารย์ชื่อดังทั่วประเทศไทย
    จำนวน 54 องค์นั่งปรกที่วัดไชโยวรวิหาร อ.ไชโย จ.อ่างทอง
    เมื่อวันที่ 24-25 พฤศจิกายน 2521
    คุณสุนทร อึ้งเจริญสุกานต์ ร้านสุนทรโอสถ สร้างถวาย ปี 2521 ได้ยืม
    บล๊อคหน้าของ ผ.ว.จ.เปลี่ยนบล๊อคหลังมีรูปพระปิดตา และมีรูปเสือกระ
    โดด มีชนิดเนื้อโลหะ
    -เนื้อทองคำ
    -เนื้อเงิน
    -เนื้อนวโลหะ
    -เนื้อทองแดงรมน้ำตาล
    -เนื้อทองเหลือง
    -เนื้ออัลปาก้า
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญพระอาจารย์วัน
    อุตตโม ปิดตา เสือกระโดด ทูลเกล้า พิธีดีสายพระป่ากรรมฐานและครูบาอาจารย์ผู้ทรงบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท
    ครับ

    IMG_20250309_203702.jpg IMG_20250309_203731.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...