ปิดประมูลวัชระบัว ๒ องค์ หน้า ๖๖๑ ,ธรรมะจากพระอาทิพุทธะ หน้า ๖๕๙ ค่ะ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Numsai, 21 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. sun2555

    sun2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +6,619
    ธรรมปฏิบัติบท ๑ จากบันทึกบทแรก
    สัจธรรม

    ทุกสิ่งไม่เที่ยง ทุกสิ่งเป็นทุกข์ ทุกสิ่งเป็นอนัตตา ทุกสิ่งไม่มีตัวตน เป็นอนัตตาด้วยกันทั้งหมด
    ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ จะดับจะต้องดับด้วยนิโรธคามินีปฏิปทา ทางแห่งความดับทุกข์ ด้วยมรรคมีองค์ ๘ จะต้องปฏิบัติให้เกิดขึ้น ชื่อว่ามรรคปฏิปทา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ มรรคมีองค์ ๘ จัดเป็นทางปฏิบัติ เรียกว่า นิโรธคามินีปฏิปทา การปฏิบัติก็จะต้องมีศีลกันก่อน ศีลก็ได้แก่ สัมมากัมมันตะ ได้แก่การงานชอบ เว้นจากเบียดเบียนผู้อื่น ต่อไปก็จะต้องละมิจฉาวาจาเสีย ทำให้สัมมาวาจาเกิดขึ้น อาชีวะก็เหมือนกัน จะต้องประกอบการเลี้ยงชีพในทางสุจริต ถูกทำนองครองธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นศีล ควรทำให้เกิดขึ้นมาก่อน ต่อไปก็ทำสมาธิให้เกิดขึ้น เมื่อสัมมาสมาธิมี สัมมาสติก็จะเกิดขึ้นตามมาพร้อมกับสมาธิ สัมมาสติกับสัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นพร้อมกัน อยู่ด้วยกัน ไปด้วยกัน จะไม่พรากจากกัน สมาธิไม่มี สติก็ไม่มี สมาธิก็ไม่มี
    ส่วนสัมมาวายามะ ได้แก่ความเพียรชอบ ก็ได้แก่ การเพียรรักษาสติอยู่ตลอดเวลา ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา คนเราถ้ามีสติประจำอยู่ สัมมาทิฏฐิก็จะเกิดขึ้น สัมมาสติเป็นตัวให้เกิดสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิเป็นตัวให้เกิดสัมมาสังกัปปะ เห็นชอบ ดำริชอบ ส่วนสัมมาสมาธิ เป็นตัวรักษาสิ่งต่าง ๆ ให้ดำรงอยู่ และทำให้อีก ๗ ตัวเกิดขึ้น และอาศัยซึ่งกันและกัน สัมมาสมาธิ เป็นหลักในการปฏิบัติธรรมในการดับรูปธรรมและอรูปธรรม ในสองสิ่งนี้จะต้องให้ดับเสียก่อน ต่อไปปรมัตถธรรมถึงจะเกิดขึ้น ปรมัตถธรรมเกิดขึ้น ก็จะเห็นสิ่งที่จัดเป็นรูปธรรมและอรูปธรรมดับ เพื่อเป็นการรู้สิ่งที่ดีและสิ่งที่ชั่วที่เป็นอรูปธรรม จะได้ละในสิ่งนั้น ๆ ได้แก่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เรียกว่าขันธ์ ๕ เสีย การละก็จะละที่สังขาร เพราะสังขารเป็นตัวให้เกิดเวทนา สัญญา วิญญาณ สามสิ่งนี้เกิดขึ้น ส่วนวิญญาณเป็นตัวให้รูปเกิด การละรูปก็จะต้องละที่วิญญาณ วิญญาณเป็นตัวทำให้เกิดรูป ส่วนการละรูปก็ต้องละที่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้าจะพูดอีกที ถ้าจะละก็ละที่กายสังขาร
    ส่วนคำว่าวิปัสสนา จะไม่ต้องพูดถึงการที่จะดึงวิปัสสนา ก็จะต้องละรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เสียก่อน จะต้องละสิ่งเหล่านี้ได้ก่อน ต่อไปก็จะถึงวิปัสสนาโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องทำ ถึงจะทำก็ทำไม่ถึง จะต้องผ่านการค้นกาย วิญญาณ มาเสียก่อน
    การที่เราจะดับรูปนาม กายสังขาร เราจะต้องทำอย่างไร ตอนนี้สมาธิก็จะเป็นพระเอก ในการดับกายสังขารหรือรูปนาม การทำสมาธิในขั้นแรก เมื่อได้สมาธิ ก็จะเกิดการรู้สึกว่า กายสังขารดับ วจีสังขารดับ มโนสังขารดับ ก็ให้ใช้ความสังเกตดูว่า การได้สมาธิสักครั้ง กายสังขารดับหรือไม่ ถ้าได้สมาธิจริง สังขารจะดับ สิ่งที่ ร่วมอยู่กับสังขารก็ดับด้วย ถึงจะเชื่อว่าได้สมาธิจริง ถ้าสังขารไม่ดับ ก็เป็นสมาธิโกหก ไม่จริง
    เมื่อได้สมาธิ สังขารจะดับ รูปนามก็ดับ ทุกสิ่งก็จะดับ จัดเป็นนิพพานในครั้งแรกของชีวิตเลยก็ว่าได้ แต่ครั้งต่อไปเกิดความโง่ หรือความฉลาดก็ไม่รู้ละ จึงเกิดมีวิตกวิจารณ์ตามมาอีก สมาธิจึงไม่ลงตัว เพราะปัญญามันเกิดขึ้น อยากจะรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ อีก ในสมาธิถ้าเรามีวิตกวิจารณ์อยู่ อยากจะรู้เห็นอะไรก็จะรู้เห็น มีความจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ตามแต่จะรู้เห็น ถ้าพิจารณาธรรมก็จะรู้เห็น ธรรมอย่างแท้จริง ถ้าพิจารณาโลกก็จะเห็นจริงบ้างไม่จริงบ้าง โดยมากจะไม่จริงเพราะเกิดจากนิมิตเสียโดยมาก การปฏิบัติธรรมก็จะต้องละนิมิตด้วย เพราะนิมิตจัดเป็นอุปาทานในสิ่งนั้น ๆ
    โดยมากเรื่องที่เห็นนั้นมักจะไม่จริง เห็นด้วยการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นมาก่อนจึงจัดเป็นนิมิต ส่วนการเห็นด้วยนิมิตหรือสมมุติ สองสิ่งนี้เป็นข้าศึกกับสมาธิ ผู้ใดมีนิมิต ผู้นั้นก็ไม่มีสมาธิ
    คนที่ตายแล้ว มีอะไรเหลืออยู่ โดยมากผู้คนไม่รู้กัน เข้าใจว่าคนตายแล้วจะเหลือจิต วิญญาณอยู่ ถ้าจะเรียกอีกทีก็เรียกว่าผีคนตาย แล้วเป็นผีเที่ยวหลอกคน เป็นจิตวิญญาณเที่ยวหลอกคน มีรูปร่างหน้าตาตามแต่จะพูดกัน ผีนั้น,หน้าตาอย่างไรก็รู้กันเอาเองเถิด
    ก่อนอื่นเรามามองดูให้รู้จัก “จิต” กันก่อน จิตหน้าตารูปร่างเป็นอย่างไร จิตเกิดจากอะไร พวกเราพอมองรู้เห็นจิตกันบ้างหรือเปล่า เวลาจิตเกิด จิตเกิดแล้ว จิตทำอะไรให้เรารู้ว่าจิตเกิด จิตมีอยู่กับเรา จิตมีหน้าที่เป็นผีอย่างเดียวเท่านั้นหรือ เมื่อเรามีชีวิตอยู่ จิตมีอยู่กับเราหรือเปล่า จิตมีหน้าที่อย่างไรกับเรา
    ต่อไปนี้จะพูดถึงเรื่องวิญญาณกันอีก วิญญาณมีรูปร่างอย่างไร วิญญาณมีอยู่กับเราหรือเปล่า ถ้าจิตมีอยู่กับเราและวิญญาณก็มีอยู่กับเรา เมื่อเรายังเป็นคนมีชีวิตอยู่ เรามิเป็นผีหรือ เพราะว่าผู้คนพูดกันว่า จิตวิญญาณก็ได้แก่ผี ผีที่เที่ยวหลอกคน
    คนที่ตายแล้วก็เหลือจิตวิญญาณอยู่ คนเป็นก็มีจิตวิญญาณอยู่ ขอถามว่าผีนั้นมาจากไหน คนตายเป็นผีเพราะจิตวิญญาณ ส่วนคนเป็นก็เป็นผีด้วย จิตวิญญาณมิได้หายไปไหน คนเป็น คนตายมันก็อย่างเดียวกัน เหมือนกัน ถ้าคนตายมีจิตวิญญาณ คนเป็นจะต้องไม่มีจิตวิญญาณ คนเป็นคนตายเหมือนกัน ถ้าคนเป็นมีจิตวิญญาณ คนตายจะต้องไม่มีจิตวิญญาณ คนเป็นคนตาย เหมือนกัน แล้วจะพูดว่าอะไรเป็นอะไรตาย จิตวิญญาณก็คงมีอยู่ ถ้าจะพูดให้ถูกก็จะต้องพูดว่า “คนเป็นก็เป็นผี คนตายก็เป็นผี ถึงจะถูกต้อง”
    จริง ๆ แล้วผีไม่มี ผู้ใหญ่เขาหลอกเด็ก เพราะเด็กร้องไห้ไม่หยุดจึงหลอกผี คนเป็นก็คือคน คนตายได้แค่ซากของคนเป็น ที่ตัวตนเครื่องมันผุพังแตกสลายเน่าเปื่อย เรียกว่าซากเหม็น ต้องเอาไปเผาเอาไปทิ้ง โดยมากผู้คนไม่รู้กัน เพราะไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติจึงไม่รู้ ก็เข้าใจกันว่าจิตวิญญาณคือผี
    คนตายแล้ว วิญญาณไม่มี จะมีก็แต่จิตเท่านั้น คนตายแล้ว สิ่งที่ติดไปมี เวทนา สัญญา เป็นตัวที่ไปกับจิต รูป - สังขาร - วิญญาณ สามสิ่งนี้ไม่ได้ไปกับจิตด้วย
    จิตเป็นตัวรับกรรม เวทนา สัญญา จึงติดกับจิตไปด้วย การทำความดี การทำความชั่ว จิตเป็นตัวรับเวทนา อันนั้น เพราะสัญญาเป็นตัวกรรมดับเวทนาอยู่ สัญญาเป็นตัวกำหนดให้ใช้กรรม เวทนามีต่อผู้ที่กำลังจะตาย เวทนานั้นมากน้อยแค่ไหน เป็นแรงผลักดันให้เป็นไปก่อนตาย ต่อไปเมื่อตายไปแล้วอีกด้วย จะต่อเนื่องกันไป เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชาติและภพ
    ยังมีต่อ.................
     
  2. sun2555

    sun2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +6,619
    ใครทำดีก็ไปดี ใครทำชั่วก็ไปชั่ว จะอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ จะแลกเปลี่ยนซื้อขายถ่ายเทกันไม่ได้ ผิดกฎแห่งกรรม คนที่อยู่จะช่วยกันทำบุญถ่ายโทษกันก็ไม่ได้ จะสร้างวัดหรือศาลา เอาเงินช่วยในดวงกุศล จะมากเท่าไรก็ไม่ได้ จะทำบุญหักล้างกันไม่ได้เลย
    ถ้าญาติทำไว้ให้ ก็จะต้องเอากองไว้ก่อน รอพ้นโทษแล้วจึงจะได้รับ จิตมีเวทนาติดไปเพื่อลงโทษ สัญญาเป็นตัวกำกับการลงโทษตามที่จะหนักเบา เรียกว่าชำระตามสัญญาที่กระทำไว้แล้วกัน ขอส่วนลดก็ไม่ได้ลด อย่างดีก็มีแต่เพิ่มคดีเก่า ๆ เข้าไปอีก ถ้าพลิกหาเจอะเจอคดีเก่า ๆ
    ขันธ์ ๕ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมกันเป็น ๕ ดวง หรือ ๕ ขันธ์ ก็แล้วแต่เรา เป็นชาวพุทธจะต้องรู้จักขันธ์ ๕ ให้ถ่องแท้ บาปบุญคุณโทษ มันไปจากขันธ์ ๕ นี้เท่านั้น ถ้ารู้แล้วก็ละเว้นได้ หลีกเลี่ยงไม่ประพฤติในทางที่ผิด ๆ ชีวิตก็จะเกิดความสุข พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า ขันธ์ ๕ ในตัวตนคนเราทุกคน ชอบก่อเรื่องกิเลสเข้าเหมือนกัน รูปนั้นเป็นตัวถ่วงกิเลสให้เราในทางตา เพราะว่าเราใช้ตามองอะไร ๆ ตาเห็นรูปก็เกิดความรัก ความชอบในสิ่งนั้น ๆ บางครั้งก็ไม่ชอบในสิ่งนั้น ๆ โลภ โกรธ หลง ในสิ่งนั้นเกิดขึ้น เวรกรรมจึงเกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะตัวเวทนามีกับเรา เมื่อเวทนามี สัญญา สังขาร วิญญาณก็เกิดขึ้น วิญญาณเป็นตัวรู้เห็น วิญญาณมิใช่ผีตามที่เข้าใจกัน วิญญาณตัวนี้แหละก่อให้เกิดสัญชาตญาณให้เกิดอีกด้วย
    สัญชาตญาณ หมายถึงความรู้มาก รู้ไกล รู้ได้ตลอด จะเกิดกับคนบางคนไม่เท่ากัน สัญชาตญาณจะเกิดจากการมองเพ่ง ในสิ่งนั้นนาน ๆ จะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม จะรู้เห็นต่อ ๆ กันไป สัญชาตญาณเป็นการรู้เรื่อง อาจเอามาใช้ป้องกันตัวก็ได้ จะเอาใช้ในการต่อสู้ก็ได้ สัตว์ทุกชนิดจะมีขันธ์ ๕ ไม่เท่ากัน สัตว์บางอย่างมี ๔,๓, ๒1 ๑ ตามแต่ประเภทของสัตว์ ความรู้สึกจึงแตกต่างกัน สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม จะมีอาการเหมือน ๆ กัน
    จิตใจที่รู้อะไร ๆ ก็จะต้องประกอบไปด้วยขันธ์ ๕ จริง ๆ แล้วประกอบไปด้วยขันธ์ ๔ มี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ๔ อย่าง ประกอบกันให้เกิดความรู้ขึ้น ที่พูดมานี้เป็นธรรมที่ประกอบกับทางโลกเสียเป็นส่วนมาก ส่วนทางธรรมนั้นอีกอย่างหนึ่ง
    ธรรมภาคปฏิบัติ นั้นอีกอย่างหนึ่ง จะไม่เหมือนกันจะตรงกันข้าม เป็นธรรมที่ละเว้นในสิ่งทางโลก ถ้าจะพูดตรง ๆ ก็ได้แก่ การละเว้นขันธ์ ๕ ไม่ให้เกิดขึ้น ด้วยการปฏิบัติธรรม ได้แก่ การปฏิบัติมรรค ปฏิบัติอริยมรรค ให้เกิดขึ้นภายในจิตใจของผู้ปฏิบัติ
    มรรคและอริยมรรค จะตัดจะดับขันธ์ ๕ ทั้งหมด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดับเวทนา ที่เป็นสุขทุกข์ได้ ให้เหลือแต่อทุขมสุขาเวทนา ถ้ามีเวทนาอย่างนี้ก็พ้นทุกข์อย่างชาวบ้านแล้ว ถ้าเราปฏิบัติอริยมรรค อริยมรรคก็จะตัดขันธ์ ๕ ออกไป เป็นการดับขันธ์ ๕ อย่างชะงัดนัก นอกจากอริยมรรคแล้ว ไม่มีธรรมอะไรจะดับขันธ์ ๕ ได้
    ส่วนวิธีที่จะปฏิบัติอริยมรรคนั้น มีอยู่วิธีเดียวจะได้แค่ทางสายเอก เอกายโน มัคโค
    การปฏิบัติมรรคไม่ได้ใช้วิธีการทำอย่างสมาธิ ใช้วิธีกำหนดที่ลมเข้า - ออก ตามที่เรียกกันว่า อานาปานัสสติ มีการกำหนดลมเข้าออกที่ปลายจมูก ตั้งจิตไว้ที่ปลายจมูกที่เดียว ไม่ย้ายไปที่อื่น ๆ เวลาลมเข้าก็ให้รู้ว่าลมเข้า เพียงรู้อย่างเดียวอย่าเอาจิตตามเข้าไปกับลม เวลาหายใจออกก็ให้รู้ว่าลมออก แต่ไม่ต้องเอาจิตตามลมออกไป
    การรู้ ให้จิตตั้งอยู่ที่เดียว ให้รู้ทั้งลมเข้าลมออก การปฏิบัติใหม่ ๆ มักจะตั้งจิตไม่อยู่ จิตมักจะออกไปในที่อื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา จิตมักชอบเที่ยวไปในอดีตและอนาคตอยู่ตลอดเวลา จิตจะมีการนึกคิดในเรื่องเก่า ๆ และเรื่องใหม่ ๆ จิตจะไม่ยอมตั้งอยู่ที่เดียวเพื่อกำหนดรู้ลมเข้าออก
    ถ้าเราตั้งจิตไม่ได้ ก็จะต้องหาวิธีบังคับจิตให้ตั้งให้ได้ วิธีบังคับจิตก็ไม่มีอะไรมาก ขอให้เราทำตามที่พูดบอกก็แล้วกัน
    วิธีบังคับจิต ขอให้เรานั่งตั้งมั่นกำหนดลมเข้าออก เวลา หายใจเข้า เอาจิตตามลมเข้าไปด้วย ลมเข้าถึงไหน จิตก็เข้าถึงนั่น เวลาหายใจออก เอาจิตตามลมออกมาแค่ปลายจมูกพอ ไม่ต้องตามเลยออกไปพ้นปลายจมูก เอาจิตตั้งไว้ที่ปลายจมูก รอลมเข้ามา เมื่อลมเข้าก็เอาจิตตามเข้าไปอีก ลมออกก็ตามออกมา
    ทำดังนี้อยู่ตลอดไปนาน ๆ จนจิตไม่คิดจะไปที่อื่นแล้ว ให้จิตอยู่กับลมเข้าออกสองอย่างพอ จะต้องคอยสังเกตด้วยว่า จิตคิดถึงเรื่องอื่น ๆ หรือเปล่า ถ้าจิตอยู่รู้แต่เพียงลมสองอย่างก็ใช้ได้
    ต่อไปก็ฝึกให้จิตตั้งอยู่ที่ปลายจมูกที่เดียว รู้ทั้งลมเข้าออก การทำอย่างนี้ เป็นการฝึกให้จิตตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วสัมมาสมาธิ ก็เกิดขึ้นกับจิตของเรา วิธีนี้เป็นวิธีที่เรียกว่า เอกายโน มัคโค เป็นการทำจิตให้เป็นหนึ่ง เป็นหนึ่งเดียว เป็นทางให้จิตเป็นเอก หรือเป็นหนึ่ง เมื่อจิตเป็นหนึ่งเดียวได้ก็จัดว่าจิตเป็นมรรค เข้าถึงทางแห่งมรรคหรือทางของความดับทุกข์ ก็ได้แก่ธัมมจักรกัปรัตนสูตร สูตรที่ปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง มิใช่ได้สมาธิแล้วพูดว่าพ้นทุกข์ วิธีนี้เป็นวิธีปฏิบัติเบื้องต้นโดยตรง จะไม่ต้องทำวิปัสสนาก่อน เพราะยังไม่ถึงขั้นการทำวิปัสสนาถึงทำก็ทำกันไม่ถูก
    ก่อนอื่นเราจะต้องให้มรรคเกิดขึ้นก่อน จิตจะได้เกิดสัมมาสมาธิ เมื่อจิตมีสัมมาสมาธิแล้ว ปัญญาก็เกิด เราจะต้องสะสมปัญญาให้มากก่อน ก่อนที่จะทำวิปัสสนา การทำวิปัสสนาจะต้องใช้ปัญญามาก ถ้าไม่มีปัญญามาก จะปฏิบัติวิปัสสนาไม่ได้ จะให้อาจารย์สอนบอกให้ ถึงสอนบอกให้ก็ไม่รู้เรื่อง เราจะต้องรู้ของเราเอง การรู้อรรถรู้ธรรมมิใช่จะรู้กันได้ง่าย ๆ เราจะต้องรู้เอง เห็นเอง จึงจะชื่อว่ารู้ ตามที่มีการสอนให้ปฏิบัติวิปัสสนากันนั้น มันไม่ถูกและก็ไม่มีใครได้ด้วย การปฏิบัติจะต้องปฏิบัติสมถะกันไปก่อน ไปต่อวิปัสสนาเอาในภายหลัง มันถึงจะถูกต้อง สมถะกับวิปัสสนามันคู่กัน มันไปด้วยกัน และมันก็ไม่ต้องต่อล้อต่อเถียงกันอีกด้วย การจะรู้ก็จะต้องรู้ด้วยอารมณ์ว่า อารมณ์อะไรเป็นอารมณ์สมถะ อารมณ์อะไรเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา คนไหนไม่รู้จักอารมณ์คน ๆ นั้นไม่ได้ปฏิบัติธรรม ชาวพุทธไปเอาสมาธิมาปฏิบัติได้อย่างไร ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ พวกเขาปฏิบัติสมาธิกัน สมาธิเป็นของศาสนาพราหมณ์เขา ถ้าเราปฏิบัติสมาธิ ศาสนาเราก็คงเหมือนศาสนาพวกเขา มันก็เท่านั้นเหมือนกัน แล้วศาสนาพุทธจะพูดออกได้อย่างไรว่า ศาสนาของตัวดี ดีกว่าศาสนาทั้งหลาย เพราะสามารถทำให้พ้นทุกข์ได้
    ก็คนที่ได้สมาธิกัน มันพ้นทุกข์กันหรือเปล่า ไม่ว่าพระหรือชาวบ้าน ล้วนแต่ปฏิบัติสมาธิกัน เหมือนกับศาสนาอื่น ๆ แล้วก็ อวดว่าตัวดี ของตัวดี เข้าใจว่าไม่สนคำคุย คนที่ปฏิบัติได้สมาธิ เดี๋ยวนี้ก็คุยแล้ว และอวดตัวเป็นอาจารย์ดีอีกด้วย จริง ๆ แล้วไม่รู้หรอกว่าศาสนาพุทธเขาปฏิบัติอย่างไร ถึงจะถูกต้อง พระบางองค์ได้สมาธิแล้วอวดว่าสำเร็จ เป็นพระสำเร็จ เลยไปนั่งรับจ้างทำพุทธาภิเษก เสกอะไรต่ออะไรต่าง ๆ ให้แปรสภาพเป็นพระไปทั้งหมด ถ้าใครเอาไปเคารพกราบไหว้ จะอำนวยผลประโยชน์ให้สมความปรารถนา ถ้าจริงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็คงไม่จริง จะเป็นสัจจะได้อย่างไร คำว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ควรจะเอาทิ้งได้แล้ว เลิกกราบไหว้ได้แล้ว หันไปนับถือในสิ่งที่พวกเขาพุทธาภิเษกกันดีกว่า ถึงทำชั่วก็ได้ดี ทำดียิ่งได้ดีเป็นร้อยเท่า ยังมีต่อ.................
     
  3. sun2555

    sun2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +6,619
    ใครจะว่าอย่างไรเราเฉย ๆ เราไม่เคยสนใจในพวกพระเหล่านี้ เขาจะเป็นเกจิชั้นไหนเราก็เฉย ๆ ยิ่งอาจารย์ด้วยแล้ว เปล่าเลย เพราะเราไม่รู้ว่าเขาเป็นอาจารย์อะไร ตามที่พูดอย่างนี้ ถ้าใครชังน้ำหน้าเราก็เฉย ๆ เพราะเรานับถือสัจจะของจริง
    ใครก็ตาม ที่จะปฏิบัติวิปัสสนาแต่แรกหรือเริ่มต้น ปฏิบัติวิปัสสนากันเลย ก็จะปฏิบัติได้เหมือนกัน แต่จะลำบากในภายหลัง จะไปหลงอารมณ์ เมื่อเข้าถึงแล้วจะมีอาการอย่างกับได้สมาธิ ก็อย่างเดียวกัน มักจะติดอยู่ที่ตรงนี่กันนาน บางคนก็ไปไม่ได้ติดอยู่ จะต้องได้รับคำแนะนำจากท่านผู้รู้ จึงจะไปได้ การติดธรรมก็เหมือนกับเราเดินหลงป่าใหญ่ หาทางออก ทางไปไม่ได้ ถ้าไม่พบผู้คนบอกทางให้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะไปได้แม้แต่มีคนบอกทางให้ ก็จะเกิดความงง ไม่แน่ใจเพราะไม่เคยเดินทางนี้ กว่าจะเดินทางถูก ก็จะต้องพิจารณากันอย่างมากอีกด้วย
    คนที่หลงป่าใหญ่ จะต้องใช้ความเพียรอย่างมาก จะต้องพิจารณาไตร่ตรอง ใคร่ครวญในทางต่าง ๆ ที่มีอยู่ในป่านั้น จะต้องลองเดินดูทุก ๆ ทางให้รู้ว่าทางไหนมีอะไร และทางไหนเดินไปแล้วตัน เดินต่อไปไม่ได้ก็จำไว้ ต่อไปก็ไม่เดินไปอีก เลือกเดินทางที่เดินไปได้ แต่ก็จะต้องดูด้วยว่าทางนั้น ๆ มีทางแยกหรือเปล่า ถึงทางแยกก็จะต้องหยุดพิจารณาว่า จะเดินตรงหรือจะเดินเลี้ยวแยก จะต้องรู้ด้วย พร้อมทั้งจะต้องรู้จักว่าทางหรือมิใช่ทาง ทางเดินนั้นมีแยะ แต่มันเป็นทางรกหรือทางเตียน ทางเกวียนหรือทางคนเดิน เราจะต้องรู้ว่าจะเลือกเดินทางไหน
    การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน เราจะต้องศึกษาธรรมให้รู้ไว้มาก ๆ ธรรมกับทางก็เหมือนกัน เราปฏิบัติธรรมอะไรได้ก็ลองเอามาผสมดับกิเลสดู ไม่ว่ากิเลสอะไรทั้งนั้น ถ้าธรรมนั้นกำจัดกิเลสได้ ก็จำไว้และทำต่อไปเรื่อย ๆ ถ้ากิเลสมันหดหายไปทีละอย่างสองอย่าง ทำต่อไปกิเลสก็จะหมด ถึงไม่หมดก็หาวิธีใหม่ ๆ มากำจัดมันอีก สักวันหนึ่งมันก็จะหมดไปเอง
    อย่าลืม ป่าใหญ่มีทางมาก ธรรมก็หมู่ใหญ่มีธรรมมาก ทางก็คือธรรม ธรรมก็คือทาง พูดอย่างนี้เข้าใจหรือเปล่า ก็พูดอยู่แล้ว คนที่ไม่ได้อะไร พูดบอกก็ไม่รู้เรื่อง เพราะไม่เคยรู้ไม่เคยผ่าน อย่างดีก็จะขึ้นเครื่องบินไป อีกอย่างคนไม่รู้แต่ชอบอวดรู้ รู้แล้วก็ไปไม่ได้ และไม่ยอมไป ได้แต่พูดอวดรู้
    การสอนการปฏิบัติธรรม มิใช่ของง่าย ๆ อย่าได้จำขี้ปาก ของคนอื่นเขาเอามาพูด เอามาสอน เราเอาของเขาเอามาสอน แล้วเราปฏิบัติได้ตามนั้นหรือเปล่า ถึงจะได้เอามาสอน เราจะต้องปฏิบัติได้เสียก่อน จึงจะเอามาสอนได้ มิใช่สอนกันตามลมตามแล้ง หยิบ เอาตำราของใคร ๆ มาสอน เจ้าของตำราปฏิบัติได้หรือเปล่า จะต้องดูด้วย เขียนธรรมเขียนตำรา ใคร ๆ ก็เขียนได้ แม้แต่เด็กอายุ ๔ ขวบ มันก็เขียนได้ คนบ้องตื้นเท่านั้นชอบเชื่อไม่เลือก
    พระพุทธเจ้าบอกอย่าเชื่อ ๆ แม้แต่ตัวท่านพูดบอกก็อย่าเชื่อ จะให้ดีเอาไปลองดูก่อน ถ้าดีแล้วค่อยเชื่อ นี่อะไรเชื่อดะยังกับคน กระหายน้ำ ขอให้เป็นน้ำก็แล้วกัน กินดะ
    เราจะถามธรรมสักข้อหนึ่ง คนที่เป็นเกย์ เป็นกะเทย บวช ได้หรือเปล่า ถึงเรารู้เราก็จะไม่พูด พระที่เป็นกะเทยจะปฏิบัติธรรมไม่ได้ ถึงจะปฏิบัติก็จะไม่สำเร็จ เพราะขาดความรู้สึกทางสัมผัส มโนสัมผัสไม่มีไม่เกิดแล้ว ท่านเป็นเกย์หรือเปล่า เป็นกระเทย หรือเปล่า เราเบื่อจะพูด
    การปฏิบัติวิปัสสนา จะต้องนั่งเพ่งรูป เพื่อให้นามมันดับ เพ่งแล้วนามดับก็ใช้ได้ ถ้านามยังไม่ดับ ก็จะต้องเพ่งต่อไป เพ่งจนกว่านามจะดับ เพ่งอย่างนี้เขาเรียกเพ่งรูปนาม ตามที่พูด ๆ กัน ถ้าเราจะเพ่งไปที่ลมหายใจเข้าออกก็ได้ รูปนามมันอยู่ที่ลมหายใจ
    รูป นาม กาย สังขาร สิ่งเหล่านี้อันเดียวกัน ถ้ารู้ก็จะรู้ว่าอันเดียวกัน ถ้าไม่รู้ก็จะพูดว่าคนละอย่างกัน ผู้ปฏิบัติธรรมได้แล้วจึงจะรู้ได้ในสิ่งเหล่านี้ ไม่ต้องดูอื่นไกล คำว่า มรรค โดยมากจะไม่พูดถึงกัน มรรค นั้นหมายถึงอะไร ได้เข้าถึงมรรคแล้ว มีอาการอย่างไร ทำไมจะต้องเรียกว่ามรรค มรรคเป็นตัวตัดกิเลส ถ้าใครเข้าถึงมรรค ความโลภ โกรธ หลง ก็จะเบาบางลงอย่างมาก ถ้าเราปฏิบัติมรรคอยู่เสมอหรือตลอดเวลา กิเลสก็จะไม่รบกวนเรา
    อีกอย่าง มรรคก็ได้แค่สัมมาสมาธิ เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาสติก็มีเกิดด้วย สัมมาสมาธิแก่กล้า สัมมาสติก็แก่กล้าตามกันไป สติกับสมาธิรวมอยู่ด้วยกัน จะไม่ต้องไปหาวิธีทำให้สติเกิดขึ้นด้วยวิธีสร้างสติ ตาม ๆ ที่ทำกัน เราได้สัมมาสมาธิแล้ว คนไหนไม่รู้จักสัมมาสติ ก็แสดงว่าคนนั้นเข้าสมาธิอย่างศาสนาอื่น ๆ ก็ตรงนี้แหละ คนที่ได้มรรคหรือสัมมาสมาธิแล้ว จะต้องรู้ต้องแยกว่า สัมมาสติมีหรือเปล่า บางคนก็ไม่เข้าใจ แยกไม่เป็น มันก็เป็นการเข้าฌาณสมาบัติไป จิตก็จะเฉยอย่างเดียว เฉยและเฉย จะไม่รับรู้อะไร ที่เข้ามากระทบจิต และกระทบกาย ขาดการสัมผัสด้วยมโนวิญญาณ ถ้าจิตใจเฉยจริง ๆ มโนวิญญาณสัมผัสก็จะไม่มี ไม่ว่าจะปฏิบัติอะไร จะมาทั้งถูกและผิด ดีและชั่ว สิ่งเหล่านี้เราจะรู้ด้วยญาณ หรือสัมมาสมาธิฌาณ ใครได้สัมมาสมาธิ ญาณก็จะเกิดกับผู้นั้น สัมมาสมาธิแก่กล้า ฌาณก็จะแก่กล้าตาม มีการรู้เห็นเป็นอะไรได้มาก รู้ผิดรู้ถูก ดีและชั่ว รู้จากสัมมาสมาธิญาณเป็นตัวรู้ เพราะมีสัมมาสติกำกับอยู่ สติคือความระลึกรู้
    สติ สมาธิ ญาณ สามสิ่งนี้จะเดินควบคู่กันไป วิญญาณ หมายถึง ความรู้เรื่องโลก สติ สมาธิ ฌาน หมายถึง ความรู้ใน ธรรม และอภิธรรม สติสมาธิเป็นตัวปราบขันธ์ ๕ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทำให้สิ่งเหล่านั้นไม่บังเกิดขึ้น
    ใครที่อยากจะพ้นทุกข์ ก็จะต้องเอาสติสมาธิฌาณ อันนี้แหละปฏิบัติ ปฏิบัติให้สติสมาธิฌาณ ถึงขั้นสูงเป็นขั้น ๆ ไป ถ้าปฏิบัติได้ถึงขั้นที่หนึ่ง ก็ใช้ละกิเลสในขั้นโสดาปฏิมรรคไป กิเลสในชั้นโสดาปฏิมรรคก็ได้แก่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพตปรามาศ ๓ อย่าง ก็จะได้สมความตั้งใจ พร้อมด้วยความรู้ว่าจะละได้หรือไม่ได้
    สิกขาสาม เป็นสิกขาที่จะต้องเอามาปฏิบัติก่อนใคร ๆ อื่น สิกขาอื่น ๆ ทิ้งไว้ก่อน เอาสิกขา ๓ มาปฏิบัติกันก่อน สิกขา ๓ ได้แก่ ศีล สัมมาสมาธิ ๒ อย่างนี้ก่อน ขั้นแรกควรปฏิบัติสัมมาสมาธิเสียก่อน เพื่อให้ศีลเกิดขึ้น ถ้าไม่ปฏิบัติสมาธิก่อน ศีลจะไม่ยอมเกิด ถึงจะพูดกันว่ารักษาศีลกัน ศีลจะไม่ยอมเกิดถึงเกิดก็เกิดอยู่ได้ไม่นาน ศีลขาดกันอีกแล้ว ก็จะต้องขอรับกันใหม่อยู่ตลอดเวลา ศีลนั้นมิใช่จะรักษากันได้ง่าย ๆ ถ้าจิตใจยังออดแอด โครงเครงอยู่ ศีลจะด่างจะขาดอยู่ตลอด
    ใคร ๆ ที่จะรักษาศีลมีความจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องทำ มรรคหรือสัมมาสมาธิให้ได้ก่อน จึงจะรักษาศีลได้อย่างครบถ้วน ถ้าไม่ปฏิบัติสัมมาสมาธิให้ได้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะรักษาศีลได้ ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ อย่างนี้ต่อเนื่องกัน สมาธิเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้าในธรรมทั้งหลาย
    สมาธิเป็นหัวหน้าธรรมทั้งหลาย ถ้าใครมีสมาธิ ก็จะเห็นธรรมทั้งหลายว่า หน้าตาเป็นอย่างไร ก็ตรงนี้แหละชื่อว่าเห็นธรรม ใครเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นตถาคต การที่ใครจะเอาอะไร ๆ มาบูชาก็ไม่ขัดข้อง สิ่งของที่ท่านชอบให้บูชาก็ได้แก่ ปฏิบัติบูชา การบูชาด้วยการปฏิบัติธรรม จะทำให้ศาสนาดำรงอยู่ตลอดไป ไม่มีที่สิ้นสุด บูชาด้วยสิ่งอื่น เดี๋ยวก็ทิ้งหมด ศาสนาก็ล้มละลาย จะหาแก่นสารมิได้
    ใครที่ไม่ปฏิบัติธรรม จะไม่ดำรงตนให้เป็นคนดี ถ้าคนไม่ดี จะไม่มีธรรมดำรงอยู่ ศาสนาจึงเสื่อมไม่มีอยู่ในผู้คนนั้น ถ้ามีคนอยู่อย่างนี้มาก ๆ ศาสนาก็จะไม่มีคนนับถือ ศาสนาก็จะต้องเข้าไปอยู่เป็นตัวหนังสือ ถึงแม้มีผู้พบเห็นและอ่าน แต่ไม่ได้เอาไปปฏิบัติธรรม ก็จะเป็นตัวหนังสืออยู่อย่างเก่า หาประโยชน์มิได้
    การนับถือศาสนา ที่เป็นรูปธรรมอย่างเดียวยังไม่พอ คนที่นับถือศาสนาที่เป็นรูปธรรม อาจจะไม่ใช่เป็นคนนับถือศาสนาก็ได้ การนับถือศาลนา จะต้องนับถือพร้อมกันไป ๓ อย่าง สิ่งที่เป็นรูปธรรมเราก็นับถือ สิ่งที่เป็นอรูปธรรม เราก็จะต้องปฏิบัติเป็นการนับถือ ส่วนปรมัตถธรรม เราก็จะต้องให้เกิดขึ้นกับตัวเอง การนับถือจะต้องปฏิบัติทั้ง ๓ อย่างพร้อมกันไป จึงจะชื่อว่านับถือศาสนา จบบทที่๑
    หมายเหตุ
    บันทึกคำสอนการปฏิบัติธรรม จากปากหลวงปู่พระครูธรรมเทพโลกอุดร โดยภิกษุผาด ซึ่งมรณภาพไปแล้ว และตรวจลอบความ ถูกต้องโดยพระอาจารย์พีระ ปั้นมณี เป็นผู้ตรวจทานนี้ ผมอยากขอร้องให้อ่านทบทวนกันหลาย ๆ ครั้ง ให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เหมือนดารานักแสดงท่องจำบทที่จะแสดง แล้วจึงทำการปฏิบัติ ท่านก็จะได้ตระหนักความจริงว่าหลวงปู่ใหญ่ท่านปฏิรูป ความหลงผิดที่ปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ อย่างไม่หวั่นเกรงความโง่งมของผู้ใดในสังคม
    ผู้เคารพรักหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก เท่าที่ผมจะทราบได้ ที่อยากพบและอยากนมัสการกราบไหว้ บางท่านก็มีบุญกุศลได้กราบพบด้วยตนเอง บางท่านก็พบเห็นในนิมิต บางท่านก็เคยเป็นศิษย์ใกล้ชิด ทั้งที่น่าเชื่อบ้างและไม่หน้าเชื่อบ้าง
    ท่านอาจารย์พีระ ปั้นมณี หรือพระอาจารย์มโนธรรม มนธมฺโม เป็นอีกท่านหนึ่งที่ผู้เขียนอยู่คลุกคลีกับท่าน เป็นเวลาถึง ๗ วัน และได้พบกับอุบาสกอุบาสิกาหลายต่อหลายท่าน ที่ยืนยันว่าได้กราบนมัสการหลวงปู่ใหญ่ด้วยตาเนื้อของเขา ได้เคยใกล้ชิดกับหลวงปู่มาเป็นเวลานาน
    ท่านมีข้อมูลให้เชื่อถือได้มากมาย อย่างสมุดบันทึกคำสอน ที่ท่านมอบให้ เป็นสิ่งเก็บรักษาจนเก่าครํ่า บางส่วนก็สูญหายไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำขึ้นใหม่ อาจกล่าวว่าท่านเก็บจนลืมไปแล้ว
    อย่างไรก็ตาม จากบันทึกจากปากของหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งเป็นสัจธรรมแท้แน่นอน ถ้าท่านผู้อ่านพิจารณาด้วยปัญญา ไม่ว่าจะเป็นเล่มไหน ก็จะตระหนักได้เองว่า ท่านชี้ให้เห็นความเป็นจริง และสิ่งที่ชาวพุทธจะได้ช่วยกันแก้ไข เรามาไกลจนกู่ไม่กลับแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2013
  4. half wave

    half wave เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +4,260
    วันนี้ได้มอบปัจจัยให้พี่น้ำใส จำนวน ๕๐๐ บาท เข้ากองทุนสมเด็จพระพุทธวิปัสสีโภคมหาบพิตร (ดวงแก้วบรมจักรพรรดิ์) ... ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทานของทุกท่านด้วยครับ
     
  5. world999

    world999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +1,992
    เมื่อวานวันจันทร์ที่ 25 ได้รับแก้วจันทรกาลนพเก้า ( ๙สี) ชุดที่ ๓ เรียบร้อยแล้วครับ สวยงามมากจริงๆ ขอขอบคุณมากๆและอนุโมทนาบุญกับคุณน้ำใสและทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยใจจริงครับ ขอบุญนี้จงสำเร็จแด่ทุกท่านได้เข้าถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วเทอญ สาธุ ๆ ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  6. world999

    world999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +1,992
    ช่วงเดือนเมษายน(อาจตลอดทั้ง summer นี้) ตั้งใจจะพาครอบครัวไปปฎิบัติธรรมที่วัดป่าแห่งหนึ่งอยู่ต่างจังหวัด ค่อนข้างกันดาร เป็นวัดพระอาจารย์ที่ผมนับถือมากๆครับ (เน้นสวดธรรม) อาจไม่ค่อยมีเวลาเข้าweb. อีกนาน จึงขออนุโมทนาบุญมายังทุกท่าน โดยเฉพาะท่านน้ำใส ครับ ขอขอบคุณมากๆ และยังเฝ้าคอยสิ่งดีๆเพื่อมุ่งสู่มรรค ผล อันประเสริฐต่อไปครับ ซึ่งลูกชายทั้งสองคนของผมรับปากจะบวชเณรที่วัดป่าดังกล่าวด้วย ตั้งใจจะให้ลูกๆได้ปฏิบัติธรรมและเรียนรู้สิ่งที่ดีๆติดตัวครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  7. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุโมทนาบุญกับน้องธรรมวิวัฒน์เช่นกันค่ะ พระพุทธองค์ตรัสว่า "ไม่มีใครในโลก ไม่เคยเกิดเป็นพ่อ แม่ ลูก พี่น้อง หรือสามีภรรยา"

    ดังนั้น อดีตคือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

    ขออนุโมทนาบุญกับน้องธรรมวิวัฒน์ค่ะ

    Numsai
     
  8. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขอต้องอภัยด้วยค่ะ ไม่ได้ตอบ PM เพิ่งเข้าเน็ตวันนี้ค่ะ ดวงแก้วนพเก้านั้น หากเราปฏิบัติธรรมมาก ๆ จะยิ่งใสขึ้นสีสวยยิ่งขึ้นค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

    Numsai
     
  9. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ขอเชิญร่วมประมูลดวงแก้วปุญญชินโนรส ๑๐ กก.พร้อมแก้วสิทธิอลงกรณ์..ขนาด CD ค่ะ

    แก้วปุญญชิโนรส.jpg

    ขอเชิญร่วมประมูล “ดวงแก้วปุญญชิโนรส” ขนาดกว่า ๑๐ กิโลกรัม พร้อมดวงแก้วสิทธิอลงกรณ์ ขนาด CD พร้อมกับอัญเชิญจากถ้ำแห่งหนึ่งในเทือกเขาภูพาน

    แก้วสิทธิอลงกรณ์.jpg

    ดวงแก้วปุญญชิโนรส ปรากฏในสมัยสมเด็จพระพุทธวิปัสสีพุทธเจ้า โดยมีพระสุริยชิโนรสโพธิสัตว์ เป็นหัวหน้ากายสิทธิ์ ๒๕,๒๐๐,๐๐๐ องค์ ปัจจุบันอยู่ชั้นสวรรค์ดุสิต

    ส่วนดวงแก้วสิทธิอลงกรณ์ ปรากฏในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพุทธเจ้า มีท่านสุทธิโชติเทวบุตร พร้อมกายสิทธิ์ ๓๘๐,๐๐๐ องค์ ปัจจุบันอยู่ชั้นปรนิมมิตวัตสวตี

    เริ่มต้นประมูลที่...
    ๑๗,๙๙๙ บาท

    กติกาในการประมูล

    ๑. เริ่มวันที่ ๒๗-๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ภายใน ๑๒.๕๐ น. ตรงกับวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะโรง
    ๒. หากที่มีผู้ประมูลในราคาสูงสุดเท่ากัน ๒ ท่าน จะตัดสินด้วยเวลาที่ปรากฏในเว็บพลังจิต โดยไม่เกินวันเวลาที่กำหนดไว้
    ๓. หลังจากปิดการประมูล โอนปัจจัยภายใน ๒ วัน เมื่อโอนปัจจัยแล้ว จะทำการจัดส่งดวงแก้วให้แก่เจ้าของต่อไปค่ะ

    กรุณาโอนปัจจัยไปที่......

    ชื่อบัญชี พุทธารา โรจนฤทธิกร
    เลขที่ 080-252647-2
    ธนาคารไทยพาณิชย์
    สาขาถนนศรีนครินทร์(กรุงเทพ-กรีฑา)
    ประเภท ออมทรัพย์/สะสมทรัพย์


    ปัจจัยร่วมบุญ ๒๐ % หลังหักค่าใช้จ่ายนำเข้ากองบุญสมเด็จพระพุทธวิปัสสีโภคมหาบพิตร

    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมกองบุญแก้วบรมจักรพรรดิค่ะ.283863/page-100#post6885657


    และปัจจัย ๕๐๐ บาท ร่วมบุญสร้างลายไทยหน้าบรรณโบสถ์

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  10. sereenon

    sereenon เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +7,931
    ขอโทษค่ะ ลืมดูวันที่ไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  11. winaiwon

    winaiwon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +6,577
    มีให้ประมูลถึง 2 ดวงแก้วด้วยกัน ...
     
  12. phakwipha

    phakwipha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +738
    วันนี้ได้รับเหรียญท่านปู่ท่านย่า เรียบร้อยแล้วคะ ขอขอบพระคุณพี่น้ำใสมากค่ะ
     
  13. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,334
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,280
    ครับผม พี่น้ำใส จะนำไปเป็นข้อคิดในการปฏิบัติธรรมต่อไปครับ ^^
     
  14. sereenon

    sereenon เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +7,931
    18,200 ...........................
     
  15. เพชร2545

    เพชร2545 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    454
    ค่าพลัง:
    +4,248
    ได้รับสิ่งมงคลเรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณคุณน้ำใสมากๆค่ะ
     
  16. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    "ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา"


    จริง ๆ แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ใช่ของ ๆ เรามาตั้งแต่ต้น...
    เมื่อพบว่าใครดีกว่า มีฐานันดรสูงกว่า มีทรัพย์สมบัติมากกว่า
    เราก็ปรารถนาที่จะมีดีกว่าเขา ฐานะสูงกว่าเขา หรือมีทรัพย์สมบัติมากกว่าเขา ในชาติต่อไป
    เกิดใหม่ก็ปรารถนาใหม่ เราคิดว่าถ้าเราได้เป็นผู้หญิงเราจะมีความสุข เราก็ปรารถนา
    ถ้าเราเป็นผู้ชาย เราจะมีความสุข เราก็ปรารถนาใหม่...
    เราคิดว่าถ้าเรามีลูกเท่านี้คน เท่านั้นคน เราก็จะมีความสุข เราก็ปรารถนาใหม่
    เราคิดว่าชาติหน้าเราจะเกิดมามีทรัพย์เท่านั้นเท่านี้ เราจะมีความสุขมาก เราก็ปรารถนาใหม่



    สุดยอดของความทุกข์ทั้งหลายคือความเชื่อ...


    เราเชื่อว่าเรามีสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วเราจะมีความสุข เราก็ปรารถนาสิ่งใหม่เรื่อย ๆ
    ไม่จบไม่สิ้น วนเวียนเป็นวัฎจักร เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นนี้อยู่เรื่อยไป...
    เพราะฉะนั้น...หากเราไม่ต้องการเกิดใหม่อีก เราก็ต้องหยุดความเชื่อเหล่านี้


    หากสิ่งที่เราได้มานั้น มันเป็นของ ๆ เราจริง ๆ
    เราต้องนำมันไปกับเราได้...
    เราเคยเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า มีทรัพย์สมบัติทิพย์และมีวิมานอันตระการตา
    ถ้ามันเป็นของ ๆ เราจริง เกิดมาชาตินี้ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายบนสวรรค์นั้นต้องมากับเราด้วย
    แต่ในความเป็นจริงนั้น...เราเกิดใหม่ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่ได้ติดตามตัวเรามา
    เราเกิดใหม่ เราก็ต้องหาใหม่ เราต้องสะสมใหม่อยู่เรื่อยไป....


    ไม่ใช่สิ่งภายนอกไม่มีอะไรเหลือเลยสำหรับเรา...
    แต่เราเป็นผู้ที่ไม่มีอะไรเลยต่างหากมาตั้งแต่ต้น

    ย้ำไว้นะ เราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย...



    เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นของเราอย่างแท้จริง...
    นอกจาก "จิต" ของเราเท่านั้น

    --------------------------------------
    --------------------------------------




    นำมาฝากกันค่ะ ถอดความตามความเข้าใจของตนเอง
    หากผิดพลาดประการใดขอน้อมรับความผิดนั้นทุกประการค่ะ
     
  17. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    หากต้องการฟังธรรมะจากท่านจิตโต ตามไปได้ที่นี่ค่ะ

    ธรรมะบ้านสบายใจ | ธรรมะบ้านสบายใจ | โดย ท่านจิตโต บ้านสบายใจ

    ฟังเทศน์ท่านแล้วแล้วชักอยากลาไปพระนิพพานจริง

    -Happy Smile_
     
  18. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376

    ขอโมทนาด้วยค่ะ
    และขอให้สำเร็จสมหวังดังปรารถนานะคะ


    catt10
     
  19. เอ๋ปากน้ำ

    เอ๋ปากน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +12,905

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  20. am12

    am12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +7,701
    ขอร่วมอนุโมทนาสาธุบุญกับทุกๆท่านด้วยนะครับ
    ขอร่วมประมูลด้วยที่ 18428 บาทครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...