ประสบการณ์ชีวิตจริง...วิถีแห่งจิต(พุทธะธรรมญาณ สู่ ยุคกระแสแห่งอภิญญาใหญ่)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูมิ, 9 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    อ้างอิงกระทู้เว็บพลังจิต : http://palungjit.org/8540000-post18.html

    พอผมอ่านข้อความกระทู้ข้างต้นนี้เสร็จ อารมณ์ที่ผุดขึ้นมาโดยฉับพลันในจิตอย่างแรงมาก ก็คือ ความรู้สึกเมตตาสงสารต่อวิญญาณทหารพม่าเหล่านั้น จนเกือบทำให้ผมน้ำตาคลอ ทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่า เรื่องราวเหล่านี้มันเป็นเรื่องจริง ยังมีวิญญาณทหารพม่าที่ทนทุกข์ทรมานอยู่มากมายในบริเวณนั้น ด้วยเมตตาจิตที่มี ผมจึงกล่าวคำอธิษฐานจิตอุทิศบุญตั้งแต่ในอดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติให้สรรพวิญญาณทหารพม่าเหล่านั้น รวมถึงสรรพวิญญาณของคนไทยในบริเวณนั้นด้วยครับ... การที่ผมมาเขียนบอกเล่าความรู้สึกนี้ให้ทุกท่านได้รับทราบ ก็เพราะว่า ปรารถนาที่จะให้ทุกท่านได้ร่วมอุทิศบุญกุศลเช่นกันครับ ตามเมตตาจิตของทุกท่านที่มี ผมขออนุโมทนาบุญในเมตตาจิตของทุกท่านล่วงหน้าครับ สาธุ...

    มีเมตตาซึ่งกันและกันตามวาระที่มี โดยไม่แบ่งเชื้อชาติศาสนานะครับ
    ธรรมภูมิ.
     
  2. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    วันนี้ผมไปเจอคลิปธรรมทานดีๆ มีประโยชน์ต่อผู้ฟัง แต่ยอด View เพียงแค่ 322 ครั้ง แปลว่า ผู้คนอีกมากมายที่ยังไม่ได้ฟังสิ่งดีดี ลองฟังกันดูนะครับ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=9T7ewegUJpw]คลิปเสียงอ. เจน ญาณทิพย์ บรรยายธรรมงานถือศีลกินเจ มูลนิธิเทียนฟ้า เยาวราช 6ตค56 - YouTube[/ame]
     
  3. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    (เขียน ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2013)

    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน !

    สิ่งที่ผมรู้สึกได้มาโดยตลอด แต่ไม่ชัดเจนนัก จนทำให้ผมคิดว่า มันเป็นอุปทานนิวรณ์ความฟุ้งซ่านกินใจเราเท่านั้นเอง แต่พอใกล้ปลายปี 2013 ทำให้ผมกลับมีความรู้สึกถึงวาระการเปลี่ยนแปลงของจิตผมอีกครั้ง ทำให้ผมย้อนนึกไปถึงปลายปี 2010 ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ผมหันหน้าเข้าสู่ธรรมะโดยพลัน เกิดเรื่องราวอัศจรรย์ลึกลับมากมาย และก็เจอบททดสอบทางจิตวิญญาณและอภิญญาญาณ ในคืนวัน Countdown คาบเกี่ยวมาถึงต้นเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ 2010 และหลังจากนั้น ก็จะเป็นในเรื่องของการฝึกฝนอบรมจิตหรือนั่งสมาธิเกิดณานต่างๆ ตามลำดับ โดยมีจิตพุทธะชี้นำทางมาโดยตลอด ตามประสบการณ์จริงที่ผมได้เล่าไว้ในกระทู้แล้ว ในแนวทางของ ศีล สมาธิ ปัญญา และผมได้ถือเพศพรหมจรรย์มาแล้วจะครบ 3 ปี และในช่วงวันหยุดปีใหม่และในคืนวัน Countdown ปี 2013 นี้ ผมมีความรู้สึกล่วงหน้าอย่างประหลาดว่า มันเหมือนจะต้องมีเหตุการณ์อัศจรรย์ลึกลับมากมายเกิดขึ้นกับผมอีกครั้งเหมือนในช่วงคืนวัน Countdown ปี 2010

    และในช่วงใกล้ปลายปี 2013 นั้น ผมรู้สึกถึงการเริ่มเปลี่ยนแปลงในหลายๆ อย่างภายในจิตผม แต่ที่ชัดเจน มันเกิดขึ้นตั้งแต่คืนนั้น เป็นคืนที่ผมนั่งสมาธิแล้วอยู่ๆ ก็หลุดเข้าสู่ภาวะสุญญตาสมาธิ ซึ่งตั้งแต่นั่งสมาธิมา ผมจะเข้าถึงสภาวะนี้เพียงไม่กี่ครั้งและก็ไม่สามารถกำหนดได้เลย ส่วนในเรื่องฌานสมาธิต่างๆ ของผม ส่วนตัวผมก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าใดนัก เพราะปกติก็นั่งสมาธิเพื่อให้จิตดำรงซึ่งการมีสติ สมาธิ และปัญญาเฉยๆ รวมถึงในทุกอิริยาบถด้วย ธรรมทานต่างๆ ที่เขียนลงในกระทู้นั้น มันลื่นไหลและถ่ายทอดออกมาจากจิตพุทธะภายในโดยธรรมชาติของผมเอง ย้อนกลับมา ในการนั่งสมาธิในคืนนั้น พอจิตผมหลุดเข้าสู่ภาวะสุญญตาสมาธิแล้วนั้น ผมรู้สึกได้ถึงสัจจะบารมีที่เคยให้ไว้กับสมเด็จองค์ปฐมและพระสมณโคตมพุทธเจ้าว่า “ในทุก 100 ปี เราจะมาเกื้อหนุนพระพุทธศาสนาของพระสมณโคตมพุทธเจ้าจนกว่าจะครบอายุ 5,000 ปี” พอรู้สึกถึงในสัจจะบารมีนี้แล้ว ผมก็หลุดออกจากภาวะสุญญตาสมาธิสู่ภาวะสมาธิปกติ ทำให้ผมกลับมารู้สึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยรู้สึกมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก่อนนั้นผมก็คิดว่า มันอาจจะเป็นเรื่องฟุ้งซ่านอุปทานเพียงเท่านั้น แต่ในตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฟุ้งซ่าน เนื่องเพราะผมรู้สึกว่า จิตนี้มีกำลังแห่งพุทธะและมีบารมีมากขึ้นกว่าเดิมจากการฝึกฝนอบรมจิตที่ผ่านมา ซึ่งคำถามและคำตอบที่เกิดขึ้นในจิตผมเหล่านั้น ก็คือ

    “ผมเกิดมาในชาติภพนี้ มีกิจหน้าที่อะไรทางพระพุทธศาสนา? แล้วทำไม? จิตผมมันไม่สนใจการปฏิบัติธรรมตั้งแต่เด็ก เหมือนอาจารย์มีญาณหลายๆ ท่าน แต่มีเหตุทำให้ผมเพิ่งมาสนใจในการปฏิบัติธรรมเอาตอนอายุ 37 ปี ไม่แก่เกินไปเหรอ? ชีวิตที่เหลืออยู่นี้จะทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาได้มากน้อยเพียงใด?”

    คำตอบที่ผมรู้สึกได้นั้น ก็คือ “มนุษย์เราที่เกิดมาในแต่ละภพชาตินั้น มีกรรมส่งผลและมีหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป” และหน้าที่หลักของเราในชาติภพนี้และชาติภพต่อๆ ไป ก็คือ เราจะต้องชี้แนะผู้อื่นที่มีวาระบารมีถึงพร้อมหรือใกล้ถึงพร้อม ให้เข้าถึงซึ่งธรรมแห่งพระพุทธองค์ โดยอาศัยพุทธะธรรมญาณที่มี กล่าวคือ การน้อมนำกระแสญาณบารมีตัวรู้นี้ที่เข้าถึงธรรมชาติแห่งจิตพุทธะซึ่งเป็นภาวะธรรมอันละเอียด โดยให้น้อมนำกระแสธรรมมาถ่ายทอดจากจิตหนึ่งไปสู่อีกจิตหนึ่งโดยง่ายเป็นอัศจรรย์ ผู้ที่มีวาระบารมีถึงพร้อมหรือใกล้ถึงพร้อม เมื่อรับกระแสธรรมผ่านอายตนะใดอายตนะหนึ่งแล้ว ก็จะบังเกิดการเชื่อมต่อกระแสธรรมระหว่างจิตสู่จิต ดังนั้น ในทุกอักขระทุกอักษรที่เราพิมพ์บรรยายให้เป็นธรรมทานเหล่านั้น ย่อมแฝงไปด้วยกระแสธรรมแห่งพระพุทธองค์โดยแท้ เป็นพุทธะภาวะอันบริสุทธิ์ ผู้ที่มีวาระบารมีนั้นเมื่อน้อมนำกระแสธรรมสู่จิตตนแล้ว ย่อมได้รับอานิสงค์ส่งผลทำให้จิตตนสามารถเข้าใจธรรมได้ง่ายขึ้น รู้วิถีในการฝึกฝนอบรมจิตและมีความเจริญก้าวหน้าในทางธรรมอย่างรวดเร็วเป็นอัศจรรย์ และครั้นเมื่อบารมีธรรมของผู้มีวาระนั้นแก่กล้ามั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว กระแสแห่งญาณบารมีเก่าที่เคยทำไว้ในอดีตชาติก็จะรวมตัวกันขึ้นภายในจิตปัจจุบันนั้น เมื่อกำลังจิตสั่งสมมากพอในระดับหนึ่ง ผู้มีวาระนั้นก็จักสามารถเดินจิตทำอภิญญา 6 หรืออภิญญา 5 หรืออภิญญาญาณต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้ตามภูมิจิตภูมิธรรมที่มี ซึ่งผู้ได้อภิญญาเหล่านี้จักสามารถทำประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ทั้งทางโลกและทางธรรม กล่าวคือ

    1. ทางโลก จักสามารถฉุดช่วยชีวิตของสรรพสัตว์ได้โดยคำนึงถึงกฎแห่งกรรมและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาเป็นหลัก โดยเฉพาะในยุคภัยพิบัติ

    2. ทางธรรม จักสามารถสอนธรรมะและชี้แนะผู้ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมะที่เป็นสัมมาทิฐิได้ในระดับหนึ่งตามบารมีที่มี เพื่อความหลุดพ้นแห่งจิต หรือ พระนิพพาน

    ซึ่ง ณ ขณะนี้ผมก็รู้สึกว่า ยังไม่สามารถกำหนดจิตกำหนดพุทธะธรรมญาณบารมีได้ตามปรารถนา และรู้สึกว่า ยังขาดคุณสมบัติหลายอย่างที่จะชี้แนะผู้มีวาระบารมีเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง แต่ถ้าวันใดในอนาคต ผมสามารถสร้างและเติมเต็มคุณสมบัติที่ขาดหายไปเหล่านั้นได้ ผมก็พร้อมและยินดีที่จะทำกิจหน้าที่ทางพระพุทธศาสนานี้อย่างสุดความสามารถตามภูมิรู้ภูมิธรรมที่มีครับ.

    วาระจิตที่ 2 ของธรรมภูมิ.
    ธรรมภูมิ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2013
  4. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    กระแสแห่งอภิญญาใหญ่

    (เขียน ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2013)

    ในเช้าวันนี้ หลังจากที่ผมแปรงฟันเสร็จและกำลังล้างหน้าอยู่นั้น นิมิตภาพดวงแก้วจิตประกายพรึกที่ผมเพิ่งเริ่มมาจับได้ไม่กี่วันมานี้ ซึ่งเป็นอานิสงค์จากการที่จิตผมได้ฝึกจับภาพพระธาตุบนหิ้งพระมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งภาพดวงแก้วนี้มันก็ผุดขึ้นมาในจิตผมขณะล้างหน้า ผมก็เลยล้างหน้าไปจับภาพดวงแก้วไป และทันใดนั้น จิตผมก็พิจารณาไปถึงบทความหนึ่งที่เขียนเล่าเรื่องราวที่หลวงพ่อปานสอนวิธีการเดินจิตให้กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงพ่อฤาษีท่านสามารถทำอภิญญาเดินเล่นบนแม่น้ำได้ ซึ่งวิธีการเดินจิตที่หลวงพ่อปานบรรยายมานั้นมีหลายขั้นตอนประมาณว่า ท่านให้ เข้าๆ ออกๆ ณาน หลายรอบ ทำให้ผมเกิดคำถามในจิตว่า มันต้องหลายขั้นตอนและใช้เวลาขนาดนั้นเลยเหรอ? ซึ่งคำตอบที่ผมรู้สึกได้นั้น ก็คือ หลวงพ่อปานท่านอธิบายขั้นตอนให้รายละเอียดสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยทำอภิญญามาก่อนหรือสำหรับผู้เริ่มฝึกใหม่ในชาตินั้น แต่แท้จริงแล้ว เมื่อฝึกจนคล่องตัว ขั้นตอนก็น้อยลงเหลือเพียงแค่จิตนึก ! อภิญญาก็เกิดโดยพลัน ! เพราะในขณะจิตนั้น จิตมีกำลังฌานแนบแน่นมากเป็นบาทฐาน และจิตก็แนบแน่นด้วยกระแสญาณบารมีเก่าที่รวมตัวขึ้นมาจากการน้อมนำกระแสธรรมแห่งพระพุทธองค์จนมีภูมิจิตภูมิธรรมที่แก่กล้ามั่นคงแล้วในระดับหนึ่ง

    ต่อจากนั้น จิตผมก็รู้สึกได้ว่า การฝึกจับภาพพระธาตุให้เป็นอารมณ์ของจิต จักได้รับอานิสงค์เด่นชัดทั้งในด้านกระแสฌานบารมี,กระแสญาณบารมีและกระแสธรรมบารมีจากพระธาตุ เมื่อจับภาพพระธาตุอยู่เนืองๆ จนชัดเจนเป็นประกายพรึกในทุกมุมมองของจิตแล้วนั้น ภาวะต่อไปในส่วนตัวผม คือ “ภาวะภาพนิมิตของดวงแก้วจิตประกายพรึก” ที่ผุดขึ้นมาในจิต พอจิตผมเห็นถึงสภาวะนี้ จิตผมก็รู้สึกและพิจารณาได้ว่า การจักทำอภิญญาให้เกิดขึ้นได้ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น

    ลำดับแรก จักต้องทำอภิญญาในนิมิตจิตตนให้เกิดขึ้นจนคล่องตัวเป็นวสีเสียก่อน และใช้กระแสอภิญญาจิตนั้นโยงเข้ากับธาตุดิน,น้ำ,ลม,ไฟ และธาตุต่างๆ เพื่อเข้าไปใช้กำลังจิตและปัญญาจิตในการควบคุมเปลี่ยนแปลงสภาวะโครงสร้างการจับตัวของธาตุต่างๆ เหล่านั้นในวัตถุธาตุและมิติธาตุ มีผลทำให้วัตถุธาตุที่เราควบคุมอยู่นั้นแปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นวัตถุอื่นที่เราต้องการได้ และมิติธาตุแปรเปลี่ยนสภาวะทางมิติทำให้ยืดย่นย่อสลับหรือเข้าออกมิติได้ตามปรารถนา ซึ่งโดยธรรมชาติ วัตถุธาตุและมิติธาตุจะถูกทำให้แปรเปลี่ยนไปได้นั้น ผมรู้สึกว่า แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

    1. ประเภทที่ถูกพลังงานที่ไม่ประกอบด้วยพลังแห่งปัญญา ควบคุมให้แปรเปลี่ยน กล่าวคือ รูปแบบโครงสร้างในพลังงานนั้นไม่ละเอียดซับซ้อน เช่น พลังงานทั่วๆ ไป ที่มนุษย์เราใช้งานกันอยู่ และพลังงานทั่วๆ ไปที่มีในธรรมชาติ เป็นต้น

    2. ประเภทที่ถูกพลังงานที่ประกอบด้วยพลังแห่งปัญญา ควบคุมให้แปรเปลี่ยน กล่าวคือ รูปแบบโครงสร้างในพลังงานนั้นมีความซับซ้อนละเอียดมากจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหรือไม่สามารถสัมผัสทางกายได้ จำต้องใช้พลังงานหรือธาตุที่ละเอียดมากกว่าหรือเสมอกันจึงจักรับรู้สัมผัสถึงกันได้ เช่น พลังของจิต,พลังของณาน,พลังของญาณ เป็นต้น โดยใช้การรับรู้ผ่านความรู้สึกหรือเรียกว่า “กระแส” ผ่านทางจิตหรือใจ

    ความหมายของอภิญญา ที่ผมรู้สึกได้และให้ความหมาย หมายถึง ผลของการใช้กำลังจิตและปัญญาจิตในการควบคุมเปลี่ยนแปลงสภาวะโครงสร้างการจับตัวของธาตุต่างๆ ในวัตถุธาตุและมิติธาตุ ซึ่งกำลังจิตและปัญญาจิตนั้น ย่อมได้มาจาก การฝึกสมถะและวิปัสสนาในทางพระพุทธศาสนานั้นเอง ผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงหรือเรียกว่า “มีบารมีสูง” ย่อมมีกำลังจิตและปัญญาจิตที่สูงตาม ผลแห่งอภิญญาที่สามารถจักทำได้ย่อมมีมากและหลากหลายในวัตถุธาตุและมิติธาตุ เช่น พระพุทธเจ้า,พระปัจเจกพุทธเจ้า,พระมหาโพธิสัตว์และพระอรหันต์ และอื่นๆ เป็นต้น

    ที่จิตผมบรรยายในข้างต้นเรื่องรูปแบบของพลังงานนั้น ผมรู้สึกได้ว่า มันมีส่วนเกี่ยวข้องในด้านที่ทำให้ผู้มีวาระบารมีเหล่านั้นได้เข้าใจในเบื้องต้นในทางปริยัติหรือเรียกอีกอย่างว่า “ตรรกะ” เมื่อจิตของผู้มีวาระนั้นได้พิจารณาตาม ก็จักรู้เห็นเข้าใจในสภาวะธรรมชาติของพลังงานและธาตุต่างๆ ได้ในเบื้องต้น และต่อมาจิตของผู้มีวาระนั้นจักทำการพิจารณาละเอียดลึกขึ้นจนเห็นสัจธรรมความจริงในที่สุด เมื่อจิตเห็นสัจธรรมด้วยตัวจิตเองแล้ว จิตก็จักวิปัสสนาหรือพิจารณาจนเกิดปัญญาญาณเป็นกระแสแห่งความฉลาดปราดเปรื่อง สามารถแปรเปลี่ยนสภาพและสภาวะของวัตถุธาตุและมิติธาตุได้ในที่สุด ด้วยเหตุปัจจัยที่ถึงพร้อมเหล่านี้ จิตย่อมเห็นวิถีแห่งการทำอภิญญาต่างๆ ให้เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงได้โดยแจ่มแจ้งไร้ข้อสงสัย

    - การใช้กำลังอภิญญาต่อวัตถุธาตุ ย่อมส่งผลให้วัตถุธาตุแปรเปลี่ยนโครงสร้างรูปแบบไปชั่วคราวหรือถาวรตามปรารถนา กล่าวคือ จักสามารถทำให้วัตถุหนึ่งกลายเป็นวัตถุอื่นได้อย่างสิ้นเชิง หรือที่เรียกกันว่า “การเสกของ” โดยขึ้นอยู่กับขีดความสามารถทางภูมิจิตภูมิธรรมที่มี

    - การใช้กำลังอภิญญาต่อวัตถุธาตุและมิติธาตุในเวลาเดียวกัน ย่อมส่งผลให้วัตถุธาตุและมิติธาตุแปรเปลี่ยนโครงสร้างรูปแบบไปชั่วคราวหรือถาวรตามปรารถนา กล่าวคือ จักสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุธาตุผ่านมิติธาตุไปได้ตามปรารถนา หมายถึง การเรียกวัตถุหนึ่งในสถานที่หนึ่งให้ไปปรากฏตัวในอีกสถานที่หนึ่งโดยข้ามผ่านมิติไป หรือที่เรียกกันว่า “การเสกของ” เช่นกัน ตามขีดความสามารถทางภูมิจิตภูมิธรรมที่มี (โดยปกติการไปการมาของวัตถุธาตุและมิติธาตุ คนทั่วไปจะเรียกรวมว่า “การเสกของ”)

    - การใช้กำลังอภิญญาต่อมิติธาตุ ย่อมส่งผลให้มิติธาตุแปรเปลี่ยนโครงสร้างรูปแบบไปชั่วคราวหรือถาวรตามปรารถนา กล่าวคือ จักสามารถใช้กระแสของณานบารมี,กระแสของญาณบารมีและกระแสของธรรมบารมีผ่านมิติธาตุไปเพื่อรู้เห็นได้ยินและสื่อกระแสเหล่านั้นออกมาผ่านทางอายตนะใดอายตนะหนึ่งของร่างกายเรา และสามารถทำให้สื่อผ่านไปยังร่างกายผู้อื่น ให้รู้เห็นได้ยินตามปรารถนาได้อีกด้วย

    ผมรู้สึกได้ว่า การจับภาพนิมิตของดวงแก้วจิตประกายพรึกนี้ ที่ผุดขึ้นมาให้ผมจับนั้น มันเป็นหนทางไปสู่การเสริมสร้างกำลังจิตตนให้มีกำลังเข้มข้นมากขึ้นและต่อเนื่องเพียงพอที่จักสามารถทำอภิญญาต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้ในที่สุดบนโลกแห่งความจริง และสิ่งที่ผมเน้นย้ำเสมอ ก็คือ ในเรื่องของ “กระแส” เนื่องเพราะทุกสรรพสิ่งนั้นย่อมมีกระแสพลังงานของตนเอง การที่เราจักรู้เห็นเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างแจ่มแจ้งนั้น จำเป็นจักต้องเข้าถึงกระแสของสิ่งนั้นให้ได้เสียก่อน(กระแสก็เปรียบเสมือนประตูบานหนึ่ง) โดยรับรู้กระแสต่างๆ ผ่านอายตนะใดอายตนะหนึ่งของเรา แล้ววิ่งผ่านไปสู่จิตหรือใจ เมื่อจิตรับกระแสก็จักวิปัสสนาหรือพิจารณาจนเกิดปัญญารู้เห็นเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถ่องแท้ ดังนั้น ขอให้ผู้มีวาระบารมีทั้งหลาย จงใช้จิตตนน้อมนำกระแสธรรมแห่งพระพุทธองค์ที่แฝงอยู่ภายในทุกบทความของเรา โดยให้ใช้จิตตนพิจารณาตามบทความไปด้วย ย่อมสามารถจักเป็นผู้ที่เข้าถึงกระแสธรรมในเบื้องต้น,ในระดับกลางและในระดับสูงได้ด้วยจิตตนเห็นแจ้งตาม การเข้าถึงกระแสธรรมเปรียบเสมือนได้ก้าวผ่านประตูบานแรกแห่งจิตตนแล้ว สาธุ !


    *** กระทู้ของเราขอเป็นเพียงการบอกเล่าประสบการณ์จริงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ขอถามตอบใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้ผู้มีวาระบารมีทั้งหลายนั้นรู้เห็นเข้าใจเข้าถึงโดยการน้อมนำกระแสธรรมแห่งพระพุทธองค์ที่แฝงอยู่ในบทความเท่านั้น กล่าวคือ ให้กระแสธรรมแห่งพระพุทธองค์นำทาง จึงจักก้าวหน้าเป็นอัศจรรย์ครับ ***

    กระแสแห่งอภิญญาใหญ่
    ธรรมภูมิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2013
  5. laparo

    laparo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +108
    ขอบคุณเรื่องราวดีๆ ที่มาแชร์กัน และ จะมีตอนไปมั้ยค่ะ
     
  6. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    พุทธะธรรมญาณ ---> สุญญตาสภาวะจิต ---> ยุคกระแสแห่งอภิญญาใหญ่

    (เขียน ณ วันที่ 4 - 5 มกราคม 2014)

    สิ่งที่ผมรู้สึกถึงได้ล่วงหน้าในปลายปี 2013 ก่อนจะขึ้นปีใหม่ 2014 ก็คือ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในปี 2014 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นวาระจิตที่ 2 ของธรรมภูมิ นั้นก็คือ ผมเป็นอีกผู้หนึ่งที่จักทำ “ยุคกระแสแห่งอภิญญาใหญ่” ให้เกิดขึ้น และในยุคใหม่นี้อภิญญาใหญ่จะเริ่มก่อตัวมากขึ้นในหมู่พระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอภิญญาใหญ่จะเริ่มก่อตัวมากขึ้นในหมู่ฆราวาส และจักมีจำนวนที่มากกว่าหมู่พระสงฆ์จนเห็นได้ชัด และเมื่อยุคอภิญญาใหญ่นี้มาถึงแล้ว พวกเราก็จักเริ่มเห็นปรากฎการณ์ที่แปลกประหลาดอัศจรรย์มากขึ้นในสังคมมนุษย์ ยิ่งอภิญญาใหญ่แพร่หลายมากขึ้น กล่าวคือ จำนวนผู้ที่ได้อภิญญาใหญ่(ปฏิสัมภิทาญาณและอภิญญา 6) และจำนวนผู้ที่ได้อภิญญา 5 นั้น เมื่อมีมากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งทำให้สังคมมนุษย์ฉุดคิดได้ว่า “ในโลกใบนี้ในจักรวาลนี้ยังมีความรู้ความลึกลับและความอัศจรรย์อีกมากมายนับไม่ถ้วนที่มนุษย์ไม่เคยรู้เห็นสัมผัสได้ด้วยตาเนื้อแต่ใช่ว่ามันจะไม่มี แต่สิ่งเหล่านี้สามารถจะสัมผัสได้ด้วยจิตหรือใจเรานั้นเอง และจะทำให้เกิดกระแสความนิยมในการฝึกฝนอบรมจิตมากยิ่งขึ้นในสังคมมนุษย์ และนำโลกไปสู่ความเจริญทางด้านจิตใจมากกว่าวัตถุสำหรับในยุคใหม่นี้ โดยจุดศูนย์กลางแห่งความเจริญทางด้านจิตใจหรือพระพุทธศาสนานั้น จะเริ่มจากสยามประเทศของเรา”

    สิ่งที่ผมรู้สึกได้ล่วงหน้านั้น มันเริ่มปรากฏขึ้นในช่วงปลายปี 2013 และในช่วงวันหยุดปีใหม่ 2014 ซึ่งในวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2014 เป็นวันที่ผมกลับบ้านที่พิษณุโลก แต่ในระหว่างทางผมตั้งใจไปแวะกราบสมเด็จองค์ปฐมและหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แต่ในปีนี้ผมตั้งใจอยากจะไปกราบหลวงพ่อเงินไหลมาเทมาด้วย เนื่องจากไม่เคยไปกราบท่านเลย และในครั้งนี้ หลังจากที่ผมนะโม 3 จบต่อหน้าสมเด็จองค์ปฐม ผมก็รู้สึกอยากจับนิมิตดวงแก้วจิตประกายพรึก โดยนึกให้ดวงแก้วจิตพุ่งตรงไปที่กลางอกสมเด็จองค์ปฐม ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงกระแสบารมีที่ไหลเวียนระหว่างสมเด็จองค์ปฐม,รูปปั้นในหลวงทรงผนวกที่อยู่ด้านหน้าและจิตผม ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ผมมีความคุ้นเคยและรู้จักกับในหลวงท่านมาในอดีตชาตินานมากนับไม่ถ้วน ในหลวงท่านมีกิจหน้าที่ในทางโลกเป็นหลัก ส่วนผมมีกิจหน้าที่ในทางธรรมเป็นหลัก แต่เราทั้ง 2 ต่างก็มุ่งเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาไม่เพียงแค่ในพระพุทธศาสนาของพระสมณโคตมพุทธเจ้าเพียงเท่านั้น

    และในวันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2014 ซึ่งเป็นวันที่ผมไปไหว้พระพุทธชินราชหรือสมเด็จองค์ปฐม ในวันนี้วิหารก็มีคนมากมายมากราบไหว้ เนื่องเพราะเป็นช่วงวันปีใหม่ ผมจึงไปนั่งทางโซนด้านขวาซึ่งไม่ค่อยมีคน ซึ่งเป็นโซนให้กราบไหว้สมเด็จพระสังฆราช หลังจากที่ผมนะโม 3 จบเสร็จ ผมก็รู้สึกอยากจะทำนิมิตดวงแก้วจิตประกายพรึกพุ่งตรงสู่กลางอกพระพุทธชินราชหรือสมเด็จองค์ปฐม ต่อจากนั้น ก็เพ่งกระแสจิตจับตัวองค์พระ ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกถึง กระแสแห่งณานบารมี,กระแสแห่งญาณบารมีและกระแสแห่งธรรมบารมีขององค์พระพุ่งตรงสู่จิตและกายผมโดยฉับพลัน จนผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ทั่วร่างกายผมมันซาบซ่านมีพลังที่แรงมาก ซึ่งตั้งแต่ผมกราบไหว้บูชาท่านมา ก็ไม่เคยเกิดปรากฎการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย ถือว่าเป็นครั้งแรก และในภายหลัง ผมจึงได้รู้ว่า กระแสบารมีขององค์พระสมเด็จองค์ปฐมนี้ช่วยส่งเสริมให้จิตผมเข้าถึงสุญญตาสภาวะจิตได้ในที่สุด ซึ่งตลอดระยะเวลาในช่วงวันหยุดปีใหม่ 2014 นี้ จิตผมก็เกิดวิปัสสนาญาณขึ้นมาในหลายๆ ช่วงเวลา และขณะที่ผมเขียนเล่านี้ เหมือนสมเด็จท่านดลใจให้จิตผมคิดได้ว่า ลำดับต่อไป ผมจักต้องเขียนเล่าสรุปในเรื่อง “สุญญตาสภาวะจิต” ให้ละเอียดได้ใจความ เพราะถือว่าเป็นอีกก้าวที่สำคัญที่จักทำให้ผู้มีวาระบารมีถึงพร้อมหรือใกล้ถึงพร้อมเหล่านั้น เมื่ออ่านโดยใช้จิตพิจารณาตามแล้ว จักสามารถเข้าถึงกระแสแห่งสุญญตาสภาวะจิตได้โดยง่ายเป็นอัศจรรย์ ซึ่งประสบการณ์จริงในเรื่องกระแสแห่งสุญญตาสภาวะจิตของผม มีดังนี้

    ในวันพุธที่ 1 มกราคม 2014 ขณะผมอาบน้ำอยู่นั้น อยู่ๆ ก็เกิดนิมิตดวงแก้วจิตประกายพรึกปรากฏขึ้นมาในจิตผม พอผมจับนิมิต ผมก็รู้สึกว่า ตรงกลางนิมิตดวงแก้วมีรูสีดำเล็กๆ 1 รู ปรากฏอยู่ภายใน จิตผมก็เกิดความสงสัยว่า มันคือรูอะไร? ผมก็ลังเลใจว่าจักใช้จิตพิจารณาตามรูสีดำนี้ดีไหม? ความลังเลใจที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลเป็นความกลัวให้ก่อเกิดขึ้นในจิตผมทันที ทันใดนั้น ก็มีกระแสส่งเข้ามาในจิตผม ทำให้จิตผมรู้สึกว่า “ยังจักกลัวอะไรอีก” การเตือนสตินี้ ทำให้จิตผมเกิดปัญญาคิดได้ทันทีว่า “เราจักต้องเอาชนะความกลัวในจิตตนให้ได้” พอจิตผมคิดได้แล้ว จิตผมก็เพ่งเข้าไปในรูสีดำนั้นทันที ยิ่งเพ่งเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกว่ารูสีดำนั้นมันเล็กมากๆ มันเล็กกว่าอนูใดๆ ทั้งสิ้น สุดท้ายปลายทางของรูสีดำนั้นที่จิตผมเพ่งไป ก็คือ “สุญญตาสภาวะ” มันเป็นเหมือนเราอยู่ในอวกาศคนเดียว มีดวงดาวประกายแสงล้อมรอบ จิตผมมองกลับไปยังจุดที่ออกมา ก็เห็นเป็นนิมิตดวงแก้วจิตประกายพรึกที่มีรูสีดำเล็กๆ เหมือนเดิม แต่จิตผมรู้สึกได้ว่า รูสีดำเล็กๆ ใจกลางนิมิตดวงแก้วจิตนี้มันเป็นเหมือนประตูมิติที่เชื่อมต่อระหว่างสภาวะมิติสุญญตาซึ่งเป็นสภาวะละเอียดกับสภาวะมิติภายนอกที่หยาบกว่า

    พอจิตผมเข้าสู่สภาวะมิติสุญญตา ผมก็มองเห็นจิตตนเองได้สร้างนิมิตของกายจิตเป็นองค์พระใสประกายพรึกท่านั่งขัดสมาธิลอยอยู่ในอวกาศที่เหว้งหว้าง นิมิตองค์พระที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้จิตผมรู้สึกได้ว่า ลำดับต่อไป จิตผมจักต้องสั่งสมกระแสณานบารมี,กระแสญาณบารมีและกระแสธรรมบารมีเพื่อเป็นบาทฐานเป็นกำลังให้จิตเข้าถึงการพิจารณาในพระวิปัสสนาญาณที่สูงขึ้นเพื่อก่อเกิดเป็นพระปัญญาญาณอันยิ่ง และเมื่อถึงครานั้นจิตตนจักรู้เห็นเข้าใจในทุกสภาวะของทุกสรรพสิ่งอย่างแจ่มแจ้ง แต่ทันใดนั้น จิตผมก็เริ่มพิจารณาวิปัสสนาขึ้นมาภายในว่า เราจักพิจารณารู้เห็นเข้าใจในทุกสภาวะของทุกสรรพสิ่งที่มากมายมหาศาลนี้เพื่อประโยชน์อันใด มันไม่เป็นประโยชน์ต่อจิตตนเลย และจิตผมก็นึกไปถึงคำสอนเรื่องใบไม้ในกำมือของพระพุทธองค์ ทำให้จิตผมรู้ได้ทันทีเลยว่า เราจักใช้จิตพิจารณาเพียงเพื่อความหลุดพ้นแห่งจิตเท่านั้น ความรู้ใดๆ ที่มีอยู่มากมายมหาศาลเหล่านั้น จิตเราจักหยิบยกนำมาพิจารณาเมื่อยามปรารถนา และพิจารณาเพื่อกิจหน้าที่ทางพระพุทธศาสนาที่เราได้เคยให้สัจจะบารมีไว้ นั้นก็คือ การชี้แนะผู้มีวาระบารมีถึงพร้อมหรือใกล้ถึงพร้อมให้เข้าถึง “กระแสแห่งอภิญญาใหญ่” ให้จงได้ ซึ่ง ณ ขณะจิตนี้ของเราตระหนักได้ว่า จิตที่ดำรงอาศัยอยู่ในสุญญตาสภาวะนี้ย่อมมีกำลังมากมายมหาศาล และเป็นกำลังสำคัญที่จักทำให้อภิญญาใหญ่ก่อเกิดขึ้นมาได้ในทุกสภาวะในทุกสรรพสิ่ง และในคืนวันที่จิตเราเข้าถึงสุญญตาสภาวะนั้น ในขณะหลับ จิตเราก็ยังคงพิจารณาถึงสภาวะนี้อยู่เนืองๆ และในฝันจิตเราได้เพ่งไปยังองค์พระสีขาวที่ลอยอยู่ในสุญญตาสภาวะ ต่อจากนั้น จิตเราก็ใช้กำลังเพ่งเพียงน้อยนิด กายทิพย์ก็หลุดลอยออกจากกายสังขารมาโดยพลัน แต่พอเราจักอธิษฐานจิตต่อ กายทิพย์ก็กลับสู่กายสังขารในทันใด นิมิตนี้ทำให้จิตผมรู้สึกได้ทันทีว่า การใช้กำลังจิตหรือเพ่งจิตในสุญญตาสภาวะนี้ ทำให้เราสามารถจักทำอะไรที่มนุษย์คิดว่าเป็นไปไม่ได้มากมายให้เกิดขึ้นและเป็นไปได้ จิตผมก็พิจารณาไปถึงคุณวิเศษและความอัศจรรย์ต่างๆ ที่พระพุทธองค์เคยแสดงไว้มากมายในสมัยพุทธกาลที่มีบันทึกในพระไตรปิฎกนั้น มิใช่เรื่องเกินจริงเลย

    และในทุกขณะจิตตอนนี้ของผม จิตสังขารผมมันเหมือนจักสร้างนิมิตกายจิตเป็นองค์พระส่วนหนึ่งดำรงอยู่ในสุญญตาสภาวะ เพื่อจักสั่งสมกำลังณานบารมี,ญาณบารมี,ธรรมบารมี เพื่อก่อเกิดเป็นพระปัญญาญาณบารมีอันยิ่งต่อไป และจิตสังขารเดิมก็ยังอยู่ที่เดิมของมัน และจิตผมก็พิจารณาวิปัสสนาต่อว่า สุญญตาสภาวะนี้มีในทุกอนูของทุกสรรพสิ่ง และอภิญญาใหญ่นี้เราจักทำให้พิสดารมีกำลังได้มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับภูมิจิตภูมิธรรมภูมิปัญญาที่เราจักทำให้ก่อเกิดขึ้นมาในสุญญตาสภาวะนี้ได้มากน้อยเพียงใดนั้นเอง กล่าวคือ สุญญตาสภาวะนี้เป็นสภาวะอันบริสุทธิ์ที่ปราศจากกิเลสอุปทานนิวรณ์ความฟุ้งซ่านทั้งปวงชั่วคราว จึงเป็นมิติที่เหมาะสมสำหรับผู้มีพระปัญญาญาณอันยิ่งที่จักนำความลับหรือสัญญาหรือสิ่งต่างๆ มาเก็บซ้อนไว้ ซึ่งผู้มีพระปัญญาญาณอันน้อยกว่าจักไม่สามารถค้นพบความลับหรือสัญญาหรือสิ่งต่างๆ ของผู้มีพระปัญญาญาณอันยิ่งกว่าได้ในสภาวะนี้ และสุญญตาสภาวะนี้เป็นสภาวะที่มีการเชื่อมโยงระหว่างกระแสแห่งวัตถุธาตุ,มิติธาตุและทุกระดับพลังงานอย่างใกล้ชิด เปรียบเปรยได้ว่า ถ้าจุดที่เรายืนอยู่นี้คือ โลก เมื่อเราอยู่ในสุญญตาสภาวะ ครั้นเราก้าวเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว จุดที่เราก้าวเท้าและไปยืนอยู่นั้น อาจเป็นดาวอังคาร,ดาวพลูโตหรือสถานที่อื่นๆ ที่เราปรารถนาจักไปโดยการตั้งจิตไว้ล่วงหน้าแล้ว แม้แต่มิติสวรรค์หรือมิติอื่นๆ ก็ไปได้เช่นกัน ดังนั้น สุญญตาสภาวะนี้จึงเป็นสภาวะที่เหมาะสมที่สุดที่จิตจักใช้พิจารณาวิปัสสนาก่อเกิดเป็นพระปัญญาญาณอันยิ่งโดยเหตุปัจจัยดังกล่าวนั้นเอง

    และอีกหนึ่งการค้นพบในสุญญตาสภาวะจิตนี้ ก็คือ ความหมายตัวเลขท้ายของบัตรประชาชนผม 444999 จิตผมพิจารณาวิปัสสนาถึงความหมายในทางธรรมที่เบื้องบนกำหนดตัวเลขชุดดังกล่าวให้ผม ซึ่งแปลความหมายออกมาได้ว่า

    444 หมายถึง

    “ใช้ อิทธิบาท 4 คือ จิตมีความพอใจมีความตั้งมั่นในความเพียรที่ประกอบด้วยปัญญาพิจารณา แล้วน้อมนำมาเจริญใน มหาสติปัฏฐาน 4 คือ มีสติรู้กาย มีสติรู้เวทนา มีสติรู้จิต และมีสติรู้ในธรรมทั้งปวงที่ผุดขึ้นในจิตตน เหตุปัจจัยที่เจริญใน อิทธิบาท 4 และ มหาสติปัฏฐาน 4 นั้น ย่อมนำมาซึ่ง อริยสัจ 4 คือ ความหลุดพ้นแห่งจิตนั้นเอง ถือเป็นปฏิเวธหรือผลแห่งการปฏิบัติ โดยมีรายละเอียดดังนี้ คือ ทุกข์ มีองค์ความรู้หรือมีภูมิจิตภูมิธรรมที่รู้เห็นเข้าใจว่าอะไรคือ ทุกข์ , สมุทัย มีองค์ความรู้หรือมีภูมิจิตภูมิธรรมที่รู้ในเหตุปัจจัยแห่งทุกข์ทั้งปวง , นิโรธ มีองค์ความรู้หรือมีภูมิจิตภูมิธรรมที่ใช้ในการดับทุกข์ , มรรค มีองค์ความรู้หรือมีภูมิจิตภูมิธรรมที่ใช้เป็นหนทางวิถีในการหลุดพ้นจากทุกข์”

    999 หมายถึง

    “เมื่อจิตตนเจริญถึงพร้อมใน อิทธิบาท 4 , มหาสติปัฏฐาน 4 และ อริยสัจ 4 แล้ว จิตย่อมเกิดมีกำลังเพราะเจริญในสมถกรรมฐานที่เรียกว่า “ฌาน” เกิดเป็น ฌาน 9 (รูปณาน 4 , อรูปณาน 4 , นิโรธฌานหรือนิโรธสมาบัติ 1) และเกิดมีปัญญาความรู้ในวิชชาเพราะเจริญในวิปัสสนากรรมฐานที่เรียกว่า “ญาณ” เกิดเป็น วิปัสสนาญาณ 9 (ปัญญาความรู้ในวิชชา 9 อย่าง) เมื่อจิตตนเจริญถึงพร้อมทั้งในสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน กล่าวคือ จิตมีทั้งกำลังฌานและญาณปัญญาครบถ้วนแล้ว ย่อมนำมาซึ่ง “อภิญญา 9” หมายถึง ปัญญาความรู้ยิ่งในวิชชา 9 อย่าง

    - อภิญญา 6 ถือเป็นอภิญญาใหญ่ก็จริง แต่ในโลกทิพย์แล้วถือว่าเป็นอภิญญาทั่วไปที่ใครๆ ก็ทำถึงได้เป็นสาธารณะ ในส่วนอาสวักขยญาณนั้น ในโลกทิพย์เกิดมีอริยะมากมายนับไม่ถ้วน แต่อริยะระดับพระอรหันต์นั้น ก็ยังถือว่ามีจำนวนน้อยกว่า โสดาบัน , สกิทาคามี และ อนาคามี

    - อภิญญาอีก 3 อย่าง(อภิญญาที่ 7,8,9) ถือเป็นอภิญญาชั้นสูงระดับโลกุตระ สำหรับผู้มีบารมีเข้มไปจนถึงพระพุทธเจ้า

    (เท้าความย้อนไปก่อนที่ผมจะเขียนเรื่องอภิญญา 9 เสร็จสิ้น) พอจิตผมเขียนบรรยายความรู้สึกมาจนถึงหัวข้อ “อภิญญา 9” จิตผมก็เกิดมีความรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า มันมีด้วยเหรอ? อภิญญา 9 ? ผมเคยอ่านเจอแต่เรื่อง “อภิญญา 6” ณ ขณะนั้น จิตผมก็เริ่มสับสนว่า ผมแปลความหมายที่ซ้อนไว้ผิดหรือเปล่า? สำหรับเลข 9 ตัวสุดท้ายนี้? แต่เมื่อจิตผมพิจารณาถึงเหตุปัจจัยที่ว่า เมื่อจิตเกิดมี ฌาน 9 + วิปัสสนาญาณ 9 แล้ว สุดท้ายยังไรเสีย ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวย่อมนำมาซึ่ง “อภิญญา” ที่แปลว่า ปัญญาความรู้ยิ่งในวิชชาอย่างแน่นอน แต่อภิญญาอีก 3 อย่างนี้ ณ ตอนนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร? ผมก็คิดในใจว่า แล้วบทความนี้ผมจะเขียนจบได้อย่างไร? ผมจึงลองขอบารมีพระพุทธองค์ดู ทันใดนั้น จิตผมก็รู้สึกถึงกระแสที่ตอบกลับมาได้ว่า อภิญญาอีก 3 อย่างนั้น เป็นอภิญญาระดับโลกุตระสำหรับผู้ที่มีบารมีธรรมเข้มไปจนถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้น ซึ่งผมก็ได้คำตอบเพียงเท่านี้ ผมจึงอุเบกขาปล่อยวางให้จิตอยู่แต่ปัจจุบันไม่พยายามพิจารณาต่อ เพราะจักกลายเป็นอุปทานฟุ้งซ่านเสียเปล่า

    แต่ในวันเดียวกันนี้ ขณะที่ผมอาบน้ำใกล้จะเสร็จแล้ว ทันใดนั้น จิตผมก็พิจารณาไปถึง การย้อนมิติเวลาไปในอดีตและการข้ามมิติเวลาไปยังอนาคต ผมก็รู้สึกได้ว่า สิ่งนี้คงจักเป็น “อภิญญาที่ 7” แต่จิตผมก็ยังไม่แน่ใจเท่าไร? และจิตผมก็พิจารณาต่อว่า แต่อภิญญาตัวนี้แตกต่างจากอภิญญา 6 ตรงที่ว่า อภิญญาตัวนี้สามารถจักไปได้ในทุกรูปแบบทุกสภาวะ กล่าวคือ สามารถจักนำวัตถุหรือกายสังขารของเรานี้ย้อนไปยังอดีตและข้ามไปอนาคตได้ และสามารถทำการเปลี่ยนแปลงอดีตและอนาคตได้ แต่ปกติวิสัยของผู้ที่ได้อภิญญาตัวนี้นั้น จักมีพระปัญญาญาณอยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว จักไม่ทำการเปลี่ยนแปลงอดีตและอนาคตตามใจปรารถนา จักปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมดำเนินไป เพราะการจักไปเปลี่ยนอดีตและอนาคตนั้นย่อมมีผลต่อหลายกระแสต่อหลายมิติเวลาและต่อตนเอง แต่ในกรณีที่จำเป็นจักต้องเปลี่ยนอดีตหรืออนาคตจริงๆ นั้น ผู้ที่มีพระปัญญาอันยิ่งนั้นจักต้องใช้พระปัญญาญาณพิจารณาตลอดสายของผลกระทบนั้น โดยส่วนใหญ่จักใช้เปลี่ยนอดีตอนาคตในวงแคบ หรือเฉพาะส่วนบุคคลที่บุคคลนั้นมีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาหรือมีความสำคัญต่อความเจริญในสังคมหมู่นั้น

    เมื่อพิจารณาอภิญญาที่ 7 เสร็จสิ้น ความรู้สึกใหม่ก็เกิดขึ้นในจิตผมต่อเนื่อง จิตผมนึกไปถึง จักรแก้ว , ม้าแก้ว ซึ่งเป็นของวิเศษคู่บารมีของพระพุทธเจ้า จิตผมก็รู้สึกทันทีได้ว่า “อภิญญาที่ 8” ก็คือ การเสกหรือการนิรมิตวัตถุธาตุ,มิติธาตุและพลังงานต่างๆ ให้มีคุณวิเศษกลายเป็นของวิเศษ กล่าวคือ เมื่อผู้ได้อภิญญาที่ 8 อัดพลังแห่งณานจิตและพลังแห่งพระปัญญาญาณของจิตตนแฝงเข้าไปในวัตถุธาตุ,มิติธาตุและพลังงานต่างๆ แล้ว ของวิเศษเหล่านี้ก็จักมีชีวิตขึ้นมาทันทีและมีอิสระในตนเอง จักมีพระปัญญาญาณเป็นของตนเอง สามารถดูดกลืนพลังงานต่างๆ ที่อยู่รอบตัวได้ เพื่อดำรงพลังแห่งณานและดำรงความเป็นคุณวิเศษไม่เสื่อมคลาย แต่ก็ยังจักมีสายใยโยงถึงผู้อัดพลังอยู่ ดังนั้น ผู้อัดพลังจักรู้การไปการมาและรู้เหตุการณ์สภาวะต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นหรือจักเกิดขึ้นในอนาคตกับของวิเศษเหล่านี้ได้ โดยปกติวิสัยของของวิเศษเหล่านี้ จักมีวิถีวนเวียนไปเพื่อการสร้างบารมีกับผู้ปฏิบัติธรรมที่มีบุญสัมพันธ์กันที่เคยสร้างบารมีร่วมกันกับผู้อัดพลังมาก่อน

    เมื่อพิจารณาอภิญญาที่ 8 เสร็จสิ้น ต่อจากนั้น จิตผมก็นึกไปถึง “การแบ่งดวงจิต” ผมรู้สึกได้ว่า อภิญญาที่ 9 นี้เป็นอภิญญาสูงสุดแล้ว กล่าวคือ แต่ละดวงจิตนั้นจักประกอบไปด้วยวัตถุธาตุ,มิติธาตุและพลังงาน เป็นรูปแบบโครงสร้างพลังงานที่ละเอียดซับซ้อนที่สุดแล้วในทุกสรรพสิ่งในทุกจักรวาล อันดวงจิตย่อยที่ถูกแบ่งออกไปแต่ละดวงนั้น จักถูกกลั่นออกมาให้มีคุณสมบัติหรือมีคุณวิเศษที่แตกต่างกันออกไปตามกิจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ในบางดวงจิตจักมีวิถีแห่งจิตที่คล้ายคลึงกัน และในบางดวงจิตจักมีวิถีแห่งจิตที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับตามแรงอธิษฐานของจิตหลักเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น บางดวงจิตถูกแบ่งออกมาเพื่อความเป็นมหาเทพเพียงอย่างเดียว , บางดวงจิตถูกแบ่งออกมาเพื่อความเป็นพระอรหันต์เพียงอย่างเดียว , บางดวงจิตถูกแบ่งออกมาเพื่อความเป็นพระมหาโพธิสัตว์เพียงอย่างเดียว , บางดวงจิตถูกแบ่งออกมาเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าเพียงอย่างเดียว เป็นต้น โดยจิตหลักจักคอยสอดส่องดูแลจิตย่อยทั้งหมดที่ถูกแบ่งออกมา

    เมื่อจิตผมพิจารณาอภิญญาที่ 7,8,9 ทั้ง 3 อภิญญาเสร็จสิ้น ผมก็รู้สึกในจิตตนว่า “สมเด็จองค์ปฐมกายแก้วประกายพรึกในปางพระพุทธชินราช ท่านยิ้มให้ ผมจึงก้มลงกราบท่านทันที” รอยยิ้มของท่าน ! ทำให้จิตผมรู้สึกและมั่นใจว่า อภิญญาทั้ง 3 นี้มีอยู่จริงๆ นั้นเอง สาธุ !

    ***

    บทความเรานี้ย่อมแฝงด้วย พุทธะปาฏิหาริย์ และ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ แห่งพระพุทธองค์โดยแท้ สำหรับผู้มีวาระบารมีถึงพร้อมและใกล้ถึงพร้อม เมื่ออ่านบทความแห่งธรรมนี้โดยใช้จิตพิจารณาตามแล้วนั้น จิตผู้นั้นย่อมสามารถรับกระแสบารมีธรรมแห่งพระพุทธองค์ได้ และจักเกิดมีอาการทางจิตหรืออาการทางกาย เพื่อเป็นสัญญาณยืนยันในวาระบารมีของท่านเอง โดยจักเกิดมีอาการปิติทั้ง 5 ดังนี้ คือ

    1. ขุททกาปีติ คือ ปีติเล็กน้อยพอขนชูชัน น้ำตาไหล

    2. ขณิกาปีติ คือ ปีติชั่วขณะ ทำให้รู้สึกแปลบ ๆ เป็นขณะ ๆ ดุจฟ้าแลบ

    3. โอกกันติกาปีติ คือ ปีติเป็นระลอก หรือปีติเป็นพัก ๆ ให้รู้สึกซ่าลงมาในกายดุจคลื่นซัดต้องฝั่ง

    4. อุพเพคาปีติ คือ ปีติโลดลอยเป็นอย่างแรง ให้รู้สึกใจฟู แสดงอาการบางอย่างโดยมิได้ตั้งใจ เช่น เปล่งอุทาน หรือ ให้รู้สึกตัวเบาโลดลอยขึ้นมาในอากาศเป็นต้น

    5. ผรณาปีติ คือ ปีติซาบซ่าน ให้รู้สึกเย็นซ่านเอิบอาบไปทั่งสรรพางค์อันเป็นปีติที่ประกอบกับสมาธิกระทั่งนำไปสู่จิตรวม

    - เพราะในส่วนตัวผู้เขียนเอง ก็เกิดอาการจิตโล่งโปรงสบายและผิวกายซาบซ่านทั้ง 2 วันที่เขียนเช่นกัน สาธุ !

    ***


    พุทธะธรรมญาณ ---> สุญญตาสภาวะจิต ---> ยุคกระแสแห่งอภิญญาใหญ่

    ธรรมภูมิ.

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2014
  7. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    การน้อมปิติในพระพุทธคุณ ย่อมนำพาจิตตนเข้าถึงกระแสแห่งพุทธะ

    (เขียน ณ วันที่ 7 มกราคม 2014)

    เมื่อเช้าวันนี้ ก่อนที่ผมจะไปทำงาน ในทุกเช้าผมจะเปลี่ยนน้ำบูชาพระ และในวันนี้ก็เช่นกัน ผมก็เปลี่ยนน้ำบูชาพระเป็นปกติ ซึ่งโดยปกติ ผมจะอธิษฐานทุกครั้งก่อนว่า “ลูกขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้น้ำบูชาพระนี้เปรียบเสมือนดั่งน้ำทิพย์ เพื่อถวายเป็น พระพุทธบูชา พระธรรมบูชา พระสังฆบูชา เพื่อถวายแด่ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เพื่อถวายแด่ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เพื่อถวายแด่ พระมหาโพธิสัตว์เจ้าทุกๆ พระองค์ เพื่อถวายแด่ พระอรหันต์เจ้าทุกๆ พระองค์ เพื่อถวายแด่ ครูบาอาจารย์ทุกๆ พระองค์ในชาติภพนี้ของข้าพเจ้า เพื่อถวายแด่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองจิตสังขารกายสังขารนี้ของข้าพเจ้าด้วยเทอญ” ต่อจากนั้น ผมก็นะโม 3 จบ แล้วใช้จิตผมน้อมนึกในปิติแห่งพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า โดยใช้วิธีการเพ่งทองคำเปลวบนเนื้อผิวขององค์พระจนรู้สึกเข้าถึงอารมณ์สบาย และถ้าทำอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ให้เกิดขึ้นบ่อยครั้งทั้งวันเท่าที่เราจักกระทำได้แล้วนั้น มิช้านาน จิตเราก็จักสามารถเข้าถึง “กระแสแห่งฌานบารมี,กระแสแห่งญาณบารมี และกระแสแห่งธรรมบารมีของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นกระแสบารมีแห่งพุทธะอันประเสริฐยิ่ง” ได้ และเราจักรู้ได้อย่างไรว่า จิตเรานั้นสามารถเข้าถึงกระแสบารมีแห่งพุทธะได้แล้ว เมื่อวาระนั้นมาถึง ท่านจักรู้สึกและสัมผัสได้ด้วยจิตของท่านเอง หรือเรียกว่า “ปัจจัตตัง” ในส่วนตัวของผมนั้น ช่วงเวลาที่จิตผมรู้สึกสัมผัสรับรู้และเข้าถึงกระแสบารมีแห่งพุทธะได้ชัดเจน ก็คือ ช่วงที่ผมใช้จิตเพ่งทองคำเปลวบนเนื้อผิวขององค์พระแบบรูปหล่อและแบบรูปภาพในมือถือ เมื่อเข้าถึงหรือน้อมรับกระแสบารมีแห่งพุทธะเข้ามาในจิตผมได้แล้วนั้น จิตผมที่ดำรงอยู่ในความเครียดเศร้าหมองจักรู้สึกโปร่งโล่งเบาสบายขึ้นมาโดยฉับพลัน และร่างกายรวมถึงสมองที่ดำรงอยู่ในความเจ็บปวดและป่วยอยู่ไม่มากนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งเช่นกัน

    ในเมื่อเราทุกคนรู้วิถีแห่งจิตเช่นนี้แล้ว ก็จงอย่านิ่งนอนใจ จงเร่งความเพียรในจิตตนอยู่เนืองๆ สม่ำเสมอ มินานวันก็จักสัมฤทธิ์ผลและสามารถเข้าถึงกระแสบารมีแห่งพุทธะได้ในที่สุด และถือเป็นประตูด่านแรกหรือก้าวแรกที่สำคัญ จากนั้น บารมีแห่งพุทธะก็จักเป็นดั่งแสงสว่างอันโชติช่วงนำพาจิตท่านเข้าถึงกระแสบารมีเก่าของจิตท่านเองโดยธรรมชาติ ฌานบารมี,ญาณบารมีที่เคยก่อเกิดเป็นปัญญาบารมี รวมถึงอภิญญาความรู้ยิ่งในวิชชาเหล่านั้นก็จักค่อยๆ รวมตัวขึ้นภายในจิตของท่านเอง แต่ก็จักขาดเสียมิได้ในความเพียรของจิตปัจจุบัน อันเป็นการทำเหตุปัจจัยให้ถึงพร้อมในมิติของจิตและกายเรา จึงจักถือได้ว่า เป็นวิถีแห่งจิตที่เพียบพร้อมไปสู่มรรคผลนิพพานหรือความหลุดพ้นแห่งจิตในที่สุด โดยมีกระแสบารมีธรรมอันประเสริฐของพระพุทธองค์ทรงนำพา สาธุ !
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2014
  8. yaipoo

    yaipoo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +98
    สาธุ ได้ความรู้ดีค่ะ
     
  9. เมตต

    เมตต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +240
    สาธุ ชอบมากจะนำมาอ่านบ่อยๆให้เข้าใจลึกซึ้ง เพราะสัมผัสอารมณ์สมาธิได้ดังที่กล่าวมาได้บ้างเล็กน้อย
     

แชร์หน้านี้

Loading...