ประสบการณ์ชีวิตจริง...วิถีแห่งจิต(พุทธะธรรมญาณ สู่ ยุคกระแสแห่งอภิญญาใหญ่)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูมิ, 9 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    ประสบการณ์เข้านิโรธสมาบัติครั้งที่ 2 (หลอดเลือดหัวใจหดตัว->หัวใจสูบฉีดอ็อกซิเจนน้อยลง)

    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยครับ !

    (26 กุมภาพันธ์ 2012) เวลา 00:17 am.

    ช่วงนี้ผมมีความสนใจอยากไปลองฝึกมโนมยิทธิดู เพราะรู้สึกว่าแนวทางการฝึกฝนจิตของผมคล้ายๆ แนวมโนมยิทธิ และเพิ่งเคยไปฝึกมโนเป็นครั้งแรก ซึ่งในครั้งแรกนี้ก็เกิดสภาวะแปลกกับตนเองเวลาฝึก ก็คือ ช่วงที่ท่องนะมะพะทะนั้นไปสักแป๊ปหนึ่ง อยู่ๆ จิตผมก็ดำดิ่งเข้าสู่ฌานอย่างฉับพลัน แล้วก็เกิดอาการซาบซ๋านขึ้นมาจากศูนย์กลางกายแผ่ขยายเป็นรัศมีวงกว้างไปทั่วร่างกาย จากการสอบถามครูฝึก ท่านบอกว่า เป็นอาการของการเปิดทิพจักขุญาณ และขณะฝึกนั้น ก็เห็นเป็นภาพในจิตลางๆ แต่ไม่มีสี รู้สึกได้แค่ว่ามันเป็นสีแก้วใสมีประกายแค่นั้น และแน่นอนคนที่ฝึกมโนมยิทธิแรกๆ จะต้องเกิดความลังเลสงสัยทุกคน ว่าที่เห็นนั้นจริงหรือไม่? หรือว่าเป็นแค่อุปทาน? และครูฝึกบอกว่าให้ใช้ความรู้สึกแรกในการตอบ ผมเองก็สงสัยเหมือนทุกคนที่เคยฝึกนั้นเละ แต่ทุกอย่างก็ต้องใช้ความเพียรในการเรียนรู้ฝึกฝน และพอฝึกเสร็จ ครูฝึกก็ทักผมว่าให้ระหว่างเรื่องปอดไว้นะ จะแน่นหน้าอกหายใจไม่ค่อยออก ครูฝึกก็ถามผมว่า ตอนนี้มีปัญหาเรื่องปอดไหม? ผมก็บอกว่าไม่มี ครูก็บอกให้ระวังไว้ ผมก็คิดว่า ต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรแน่ๆ เลย ซึ่งผมก็ฟังไว้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด และบอกตนเองว่าอย่านำมาคิดให้จิตสับสนเศร้าหมองและวุ่นวายใจ จะต้องรักษาอารมณ์จิตให้เป็นกุศลอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้น ครูฝึกก็ให้พระธาตุกลับมาบูชา ระหว่างทางกลับบ้านผมก็แวะไปร้านสังฆพันธ์เพื่อซื้อผอบใส่พระธาตุ อาม่าแก่ๆ เจ้าของร้านเห็นพระธาตุ ก็ขอผม ผมก็ให้อาม่าเลือกว่าจะเอาพระธาตุซองไหน พออาม่าได้ อาม่าก็อนุโมทนาบุญ และบอกว่า เปิดร้านมา 40 ปีไม่เคยได้เลย ผมก็บอกอาม่าให้บูชาด้วยน้ำเปล่าทุกวัน และควรสวดมนต์นั่งสมาธิด้วย

    พอผมกลับมาถึงห้องพัก ก็รู้สึกเหนื่อยมาก ใจหนึ่งก็คิดว่า คืนนี้คงจะนั่งสมาธิไ่ม่ได้แน่เลย ถ้านั่งสมาธิมีหลับแน่นอน แต่แปลกคืนนี้ผมกลับไม่ง่วงนอนเลยและสมาธิก็นิ่งมากอีกด้วย พอสวดมนต์เสร็จ ผมก็เริ่มนั่งสมาธิต่อ โดยก่อนหลับตาผมก็กะจะจ้องผอบพระธาตุสักแว็บหนึ่ง แต่ภาพที่ผมเห็น ก็คือ ผอบพระธาตุและอากาศบริเวณรอบๆ ผอบนั้นมันยืดยาวและบิดเบี้ยวได้ พอเห็นเช่นนั้น ผมก็กระพริบตาสองสามที เพื่อดูให้แน่ใจว่า ผมไม่ได้ตาฝาดไป พอกระพริบตาเสร็จ มันก็ยืดยาวและบิดเบี้ยวเหมือนเดิม และผมก็กระพริบตาจ้องมองเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งครั้งนี้ภาพมันก็เป็นปกติแล้ว แต่ผมก็ไม่สนใจ เพราะอาจตาฝาดก็ได้ ผมจึงหลับตานั่งสมาธิต่อ ซึ่งคืนนี้ก็นั่งสมาธิเหมือนเดิมปกติที่เคยนั่ง ไม่ได้นั่งท่องนะมะพะทะเหมือนที่ฝึกตอนกลางวัน เพราะตอนนี้ไม่อยากเห็นอะไรทั้งสิ้น กายสังขารวันนี้เหนื่อยมามากแล้ว ไม่อยากให้ใจเหนื่อยอีก ก็เลยนั่งสมาธิหาความสงบนิ่งจับอารมณ์หนึ่งเดียวเท่านั้น(เอกัคคตารมณ์) ซึ่งเริ่มนั่งเวลา 00:17 am.

    นั่งสมาธิไปได้สักพักก็รู้สึกปวดขา ก็เลยลืมตาขึ้นมาดูเวลาบนมือถือ ปรากฎว่า นั่งไป 2 ชั่วโมง(02:17 am.) ก็รู้สึกว่านั่งไปแป๊ปเดียวเอง ตอนนี้ก็เลยอยากแผ่เมตตาในฌานสมาธิ จะได้นอนซะที แต่เปลี่ยนเป็นท่านั่งเก้าอี้แทน พอนั่งไปสักพักก็หายปวดขา ก็เหมือนมีอะไรมาดลใจให้กลับไปนั่งท่าขัดสมาธิต่อเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ผมแผ่เมตตาเสร็จแล้ว(ภาวนา : มหาเมตตาไร้ประมาณ) กำลังจะอุทิศบุญกุศลเป็นขั้นตอนสุดท้าย แต่พอกลับมานั่งขัดสมาธิก็รู้สึกอยากจะภาวนาต่อ : “มหาเมตตาไร้ประมาณ” พอเริ่มภาวนาต่อ ก็รู้สึกทันทีเลยว่า หน้าอกมันแน่นๆ หน่อย จิตมันรู้สึกถึงอวัยวะภายในตรงหัวใจว่า ตอนนี้หลอดเลือดซ้ายขวาที่เข้าออกหัวใจมันกำลังหดตัวลง เพื่อลดปริมาณการสูบฉีดอ็อกซิเจนภายในร่างกาย ซึ่งหลอดเลือดมันกำลังหดตัวจากภายนอกเข้าสู่ภายในหัวใจอย่างช้าๆ ซึ่งผมก็ใช้สติปัญญามาพิจารณาอาการนี้ตามไปด้วย และผมก็รู้สึกได้อีกว่า มันเป็นอาการหนึ่งของฌาน ทำให้จิตผมนึกถึง ข้อมูลอาการของเรื่องนิโรธสมาบัติที่ผมเคยอ่านในเวป ซึ่งข้อมูลกล่าวไว้เท่าที่จำได้ประมาณว่า ในระหว่างเข้านิโรธสมาบัตินั้น เลือดภายในร่างกายของเราจะหยุดหมุนเวียนหรือหมุนเวียนช้าลง และเลือดจะถูกลดปริมาณอ็อกซิเจนลง หยุดการเผาผลาญพลังงานชั่วคราว และการเข้านิโรธสมาบัตินี้สามารถช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้ ก็เพราะออกซิเจนที่ใช้ในการหายใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของมนุษย์รวมถึงเชื้อโรคแบคทีเรียไวรัสทุกตัวนั้น ได้ถูกจิตกำหนดบังคับไม่ให้ลำเลียงอ็อกซิเจนไปในบริเวณชิ้นเนื้อหรือชิ้นส่วนโครงสร้างนั้นๆ ของร่างกาย ซึ่งเชื้อโรคแบคทีเรียไวรัสส่วนใหญ่ เมื่อมันขาดอ็อกซิเจนเป็นนาทีเป็นชั่วโมงมันก็จะตายเองโดยธรรมชาติ ส่วนชิ้นเนื้อชิ้นส่วนโครงสร้างของร่างกายนั้นจะมีความทนทานมากกว่าเชื้อโรค และในความรู้สึกของผมนั้น จิตมันมีปัญญาญาณและหาวิธีที่จะทำให้ชิ้นเนื้อชิ้นส่วนโครงสร้างเหล่านั้นได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากสภาวะการขาดอ็อกซิเจนหรือทำให้สิ่งเหล่านั้นอยู่ในสภาวะเป็นทิพย์ นี้เละคือ ความอัศจรรย์ของจิตที่ประกอบไปด้วยปัญญาญาณในสภาวะนิโรธสมาบัติ

    เมื่อผมใช้สติปัญญามาพิจารณาอาการนี้ตามไปด้วย จนกระทั่งหลอดเลือดซ้ายขวาของหัวใจมันหดตัวถึงหัวใจ ผมก็รู้สึกว่า หัวใจผมมันเริ่มเต้นช้าลงๆๆๆ จนสุดท้ายมันเต้นเบามากๆ เหมือนมันจะหยุดเต้นเลยทีเดียว ณ เสี่ยววินาทีนี้ เหมือนพุทธจิตหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดลใจให้ผมกำหนดจิตไปที่ฟันกรามซี่สุดท้ายด้านบนขวาที่กำลังเสี๋ยวปวดอยู่ ถึงแม้ว่าหมอจะรื้อของเก่าแล้วมาอุดใหม่เรียบร้อย แต่ผ่านไปสามวันแล้ว แค่ฟันมันกระทบกันเบาๆ ก็ทั้งเสี๋ยวทั้งปวดร้าวไปทั้งซี่เลย ซึ่งหมอเคยบอกว่า ถ้าอุดฟันแล้วไม่หายก็ต้องรักษารากฟัน ซึ่งต้องเสียเป็นหมื่น เพราะอาการเสี๋ยวและปวดฟันนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่รากฟัน ผมรู้สึกว่าผมกำหนดจิตไปที่ฟันกรามซี่นั้นแค่แป๊ปเดียวนะ เหมือนบอกจิตให้รู้ว่า “จุดนี้นะที่ต้องรักษา” ต่อจากนั้น ผมก็กำหนดจิตให้รู้สึกไว้ที่หัวใจที่เดียวเท่านั้น การนั่งสมาธิต่อในครั้งที่ 2 นี้ ผมก็รู้สึกว่าผมนั่งสมาธิไปแค่แป๊ปเดียวนะ พอจิตมันออกจากนิโรธสมาบัติเอง ผมก็ดูเวลามือถือ ปรากฎว่า เป็นเวลา 04:11 am. สรุปว่าเข้านิโรธสมาบัติเกือบ 2 ชั่วโมง แต่รวมแล้วคืนนี้นั่งสมาธิไปทั้งหมดประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นั่งสมาธิได้นานขนาดนี้ ครั้งที่แล้วเข้านิโรธสมาบัตินั้น ก็เป็นแค่อาการเปลือกของนิโรธสมาบัติแบบเบาบางเท่านั้น ใช้เวลาไปแค่ประมาณ 10 นาทีเอง ซึ่งการเข้านิโรธในครั้งที่ 2 นี้ ก็เป็นเพราะครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์อีกเช่นเดียวกัน

    ความรู้สึกหลังจากที่ผมออกจากนิโรธสมาบัติในครั้งที่ 2 นี้ ก็คือ

    1. หน้าอกที่รู้สึกแน่นๆ หน่อย เพราะหลอดเลือดมันหดตัว เพื่อลดปริมาณอ็อกซิเจนในกระแสเลือดในร่างกาย รวมถึงการหายใจเข้าออกที่แผ่วเบาลงมาก จากการบังคับของจิตโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยในการรักษาโรคและเพื่อวัตถุประสงค์ในการเข้าถึงสภาวะธรรมบางอย่างที่สูงขึ้นนั้น พอออกจากนิโรธแล้ว หลอดเลือดซ้ายขวาของหัวใจเริ่มคลายตัว ขณะคลายตัว เราจะรู้สึกได้ว่าจิต,หัวใจ,หัวสมองและทั่วร่างกายมันโล่งโปร่งสบาย เนื่องจากการคลายตัวของหลอดเลือดหัวใจส่งผลทำให้หัวใจสูบฉีดอ็อกซิเจนไปทั่วร่างกายได้มากขึ้น จนทำให้เกิดความรู้สึกสบายสดชื่นขึ้นอย่างมาก และเย็นๆ ตรงที่หัวใจ(ร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยมากมาทั้งวัน แต่ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย) อาการสดชื่นสบายปลอดโปร่งนี้ทำให้ผมนอนไม่หลับ เพราะไม่รู้สึกง่วงเลย ฉะนั้น ผมจึงใช้ัสมาธินอนทำให้จิตนิ่งสงบแล้วก็หลับไป และผมก็ตื่นมาตอน 07:17 am(นอนตอน 04:17 am) ซึ่งผมนอนไปแค่ 3 ชั่วโมงเอง ปกติวันหยุดผมจะนอนประมาณ 8 ชั่วโมง แต่ทำไมครั้งนี้ผมรู้สึกว่านอนเต็มอิ่มไม่ง่วง ขณะเขียนเล่าอยู่ก็ประมาณ 18:00 pm แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกปลอดโปร่งโล่งเย็นๆ ที่หัวใจไม่ง่วงเลย

    ซึ่งปกติแล้วผมก็พยายามรักษาอารมณ์จิตอารมณ์ใจให้เป็นปกติสุขและเป็นกุศลตลอด 24 ชั่วโมงทั้งยามหลับและยามตื่นอยู่แล้ว(เจริญสติทุกลมหายใจ) อาจมีบ้างที่มีปัจจัยภายนอกมาก่อกวน แต่ผมก็อบรมจิตอบรมใจให้ปล่อยวางได้ในระดับหนึ่งแล้ว คือ เมื่อผมพูดบอกกับจิตตนเองว่า “หยุดคิด ปล่อยวาง” ส่วนใหญ่มันก็ปล่อยวางได้เลย และเมื่อจิตเราอบรมมาดีพอสมควรแล้ว เมื่อมีกระแสจิตแห่งมารหรือกิเลส เข้ามาสื่อผ่านความรู้สึกของจิตเรา เราก็จะรู้เท่าทันกระแสจิตเหล่านั้นว่า เขาต้องการให้เรานึกคิดดีหรือไม่ดีอย่างไรและจะให้เราคิดในรูปแบบไหน เมื่อจิตอบรมมาจนเข้มแข็งในระดับหนึ่งเป็นธรรมชาติดีแล้ว จิตก็จะมีปัญญาญาณพิจารณาแยกแยะและปล่อยวางว่าสิ่งใดเป็นกุศลเป็นอกุศลหรือเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ต่อจิต ณ ขณะนั้น

    2. หลังออกจากนิโรธสมาบัติ ผมก็เข้าห้องน้ำและก็รู้สึกอยากจะลองกระทบฟันกรามที่เสี๋๋ยวปวดร้าวทั้งซี่ดูเบาๆ ว่ายังเสี๋ยวปวดอยู่ไหม? ปรากฎว่า ไม่เสี๋ยวไม่ปวดแล้ว แต่ยังมีอาการเหมือนกระเทือนๆ รากฟันอยู่ ซึ่งดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ผมสันนิษฐานว่า เชื้อแบคทีเรียน่าจะตายไปบางส่วนแล้ว และผมก็ต้องรีบไปหาหมอเพื่อตรวจเช็คฟันอีกที

    ประสบการณ์ชีวิตจริงที่ผมเล่ามาทั้งหมดข้างต้นนี้ เล่าเพื่อเป็นธรรมทานเป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่สนใจหาข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะนิโรธสมาบัติ เพราะก่อนหน้านี้ผมหาข้อมูลนี้ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงหรือผมหาไม่เจอก็ไม่ทราบ ที่หาเจอก็มีแต่บอกความหมายของนิโรธสมาบัติเท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึง ขั้นตอนรายละเอียดอาการหรือวิถีแห่งนิโรธสมาบัติ ในความเป็นจริงแล้ว วิถีแห่งนิโรธสมาบัตินั้น มันมีอีกมากมายหลากหลายไปตามความอัศจรรย์ของจิตและปัญญาญาณของจิต ถ้าผมมีประสบการณ์เพิ่มเติมมากขึ้นอย่างไร ผมจะมาเล่าเป็นธรรมทานเป็นวิทยาทานให้ได้ทราบกันอีกทีครับ

    จงรักษาอารมณ์จิตอารมณ์ใจให้เป็นกุศลอยู่ตลอดเวลา
    ธรรมภูมิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2012
  2. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    ความรู้สึกของจิต-->วิปัสสนาญาณ-->ปัญญาญาณ-->สุญญตาสภาวะจิต

    (5 พฤษภาคม 2555 (5/5/55) เวลา 14:01 pm.)

    เมื่อคืนนอนไปเกือบ 12 ชั่วโมง ตื่นมาล้างหน้ากินข้าว แล้วก็มาสวดมนต์นั่งสมาธิเป็นปกติสำหรับวันหยุด ก่อนนั่งก็ดูเวลาก่อนทุกครั้ง(เป็นเวลา 14:01 pm.) ซึ่งปกติผมจะนั่งสมาธิจับความรู้สึกของจิตทุกครั้ง แต่ครั้งนี้แปลกตรงที่นั่งสมาธิไปได้ไม่นานไม่กี่นาทีระดับสมาธิก็ไม่ลึกแต่เน้นมีสติ(เจริญสติ)อยู่ตลอดเวลา ซึ่งช่วงหลังๆ นั่งสมาธิก็ไม่ฟุ้งซ่านแล้วเพราะฝึกจิตได้ดีในระดับหนึ่ืง คือ สามารถรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของจิตตนเองได้ และรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่จะเกิดเป็นความคิดของจิตขึ้นมานั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเร้าภายในหรือภายนอกมาดลใจจิตให้เกิดเป็นความคิดเป็นอารมณ์แบบนั้นแบบนี้ก็ตาม ทุกอย่างถูกส่งผ่านมาทางความรู้สึกของจิตทั้งสิ้น

    ขณะนั่งสมาธิจับความรู้สึกของจิตไปไม่กี่นาทีอยู่นั้น จิตก็เกิดความรู้สึกเข้าสู่ภวังค์บางอย่าง ซึ่งเป็นภวังค์ที่ไม่ลึกเหมือนที่เคยเข้ามา แต่ภวังค์นี้เมื่อเข้าแล้วก็บังเกิดวิปัสสนาญาณขึ้นมาทันที โดยที่จิตก็ยังมีสติที่แจ่มใสอีกด้วย และขณะจิตกำลังใช้วิปัสสนาญาณพิจารณาอยู่นั้น จิตก็รับรู้ึได้ถึงสภาวะหลายอย่างที่เกิดขึ้น มีดังนี้

    1. รับรู้ได้ถึงว่า ขณะจิตใดมีสติแจ่มใสมากหรือน้อยเพียงใด


    2. รับรู้ได้ถึงว่า ขณะนี้จิตกำลังพิจารณาอยู่ที่ความรู้สึกของจิตเป็นสำคัญ สามารถรับรู้แยกแยะและเลือกสรรความรู้สึกที่เป็นกุศลและอกุศลต่างๆ ได้ สภาวะวิปัสสนาญาณนี้ทำให้จิตเกิดปัญญาญาณเลือกสรรแต่สิ่งที่เป็นกุศลเป็นประโยชน์ให้จิตคิดเท่านั้น และรับรู้ได้ว่า วิปัสสนาญาณที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้เป็นอานิสงค์จากการฝึกฝนจิตเป็นประจำสม่ำเสมอตามคำสอนของพระพุทธองค์ โดยเน้น
    การเจริญสติ” เป็นสำคัญ และการอบรมพร่ำสอนให้จิตพิจารณาแต่ “สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อจิต ณ สภาวะขณะจิตนั้นๆ เท่านั้น” และพูดสอนกับจิตตนเองบ่อยๆ ว่า “ให้หยุดคิดและปล่อยวาง” เพื่อให้จิตได้ปฏิบัติตามจนเกิดเป็นความเคยชินเป็นธรรมชาติของจิต ซึ่งการหยุดคิดและปล่อยวางในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อจิต เป็นการอบรมฝึกฝนจิตให้เกิดสมาธิที่นิ่งมีความแจ่มใสไม่ขุ่นมัวหมองเศร้ากับสิ่งที่คิดอยู่เป็นนิจตลอดเวลา ถือว่าเป็นการเจริญสติที่ทำให้จิตเกิดปัญญา เพราะถือว่าเราได้ขจัดอุปสรรคซึ่งเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้จิตไม่เป็นสมาธิไม่เกิดปัญญาโดยตรง ซึ่งสัจธรรมนี้เป็นไปตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า “เพราะเหตุปัจจัยนี้เกิด ผลนี้จึงเกิดผลนั้นจึงดับ

    3. รับรู้ได้ถึง เวทนาทางกาย รู้ว่าขณะนี้ร่างกายส่วนใดกำลังเจ็บปวดอยู่ แต่จิตรู้สึกถึงเวทนาหรือความเจ็บปวดน้อยมากหรือเกือบไม่รู้สึกเลย


    4. รับรู้ได้ถึง
    “เหตุปัจจัยแห่งการเกิดสุญญตาสภาวะจิต” อีกเหตุปัจจัยหนึ่ง จากสภาวะวิปัสสนาญาณที่เกิดขึ้นนี้ รับรู้ได้ว่า เมื่อจิตเราพิจารณาถึงแต่ความรู้สึกของจิตเป็นอารมณ์เดียวแล้ว ก็เปรียบได้เหมือนกับการพิจารณาถึงระดับปรมัตถ์ธรรมเบื้องต้นของจิต ซึ่งการพิจารณาความรู้สึกของจิตเป็นอารมณ์เดียวอย่างต่อเนื่องในสมาธิที่นิ่งในระดับหนึ่งแล้ว(หรือฌานสมาธิ) ซึ่งเหตุปัจจัยนี้นำไปสู่การเข้าถึงสุญญตาสภาวะจิต สภาวะนี้รู้สึกได้ถึง “อารมณ์ความเคว้งคว้างโดดเดี่ยวเหมือนอยู่ในอวกาศ” แต่มีสติแจ่มใส ซึ่งตัวสตินี้ได้บอกว่า “อย่ายึดติดในสภาวะใดๆ” และให้จิตรับรู้อารมณ์สภาวะสุญญตานี้ไปเรื่อยๆ จนจิตอิ่มตัวและคลายออกเอง

    5.รับรู้ได้ถึง อานิสงค์อันมหาศาลของบุญกุศลในครั้งนี้ ครั้งที่ผ่านมาเคยเข้าสู่นิโรธสมาบัติ
    2 ครั้งแต่เมื่อเข้าแล้วก็พิจารณาเพียงเปลือก คือ พิจารณาเพียงอาการและอารมณ์ภายนอกของกายสังขารนี้เท่านั้น แต่ครั้งนี้เน้นพิจารณาความรู้สึกของจิตเป็นสำคัญจนเข้าสู่สุญญตาสภาวะจิต และไม่สนใจว่าจะอยู่ในฌานสมาธิระดับใด เพราะครั้งนี้ใช้วิปัสสนาญาณพิจารณาจนเกิดปัญญาญาณเป็นหลักสำคัญ

    เมื่อจิตรู้สึกอิ่มตัวผมก็แผ่มหาเมตตาไร้ประมาณออกไป และจึงออกจากสมาธิ มาดูเวลาก็สรุปว่า ใช้เวลานั่งสมาธิไปเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น(14:01-15:02 pm.) ถือว่านั่งสมาธิน้อยมากในครั้งนี้สำหรับวันหยุด ซึ่งจริงๆ การนั่งสมาธิสำคัญอยู่ที่คุณภาพในการนั่งมากกว่าจำนวนเวลาในการนั่ง ก่อนหน้านี้กว่าจะเข้านิโรธได้ก็ต้องนั่งสมาธิตั้ง 2 ชั่วโมง และใช้เวลานั่งทั้งหมดประมาณ 4 ชั่วโมง ครั้งนี้ทำให้ผมได้รับรู้ด้วยตนเองอย่างชัดเจนว่า วิปัสสนาญาณทำให้เกิดปัญญาญาณ ซึ่งเป็นปัญญานำสู่ทุกสภาวะของจิต เป็นการพิสูจน์หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ด้วยจิตของตนเองอย่างแท้จริง สาธุ...

    หยุดคิดและปล่อยวาง...
    ธรรมภูมิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2012
  3. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    อีกความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ ผมรู้สึกได้ว่า สภาวะธรรมต่างๆ ของผมนั้นได้ถูกพระพุทธองค์ทรงกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว และยิ่งสภาวะธรรมของจิตผมละเอียดสูงขึ้นมากเท่าใด ผมก็รู้สึกว่า หายนะหรือมหาภัยพิบัติใหญ่ทั่วโลกก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเท่านั้น...

    สภาวะธรรมทุกสภาวะถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วสำหรับจิตผม

    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2012
  4. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    อ้างอิงจากกระทู้ : http://palungjit.org/threads/ทรงฌาน...ครับนี่-ไม่น่าเชื่อ.337316/page-2#post6100447

    1. การเจริญสติอยู่ตลอดเวลา = การทรงฌานอย่างอ่อนอยู่ตลอดเวลา(ฌาน คือ การทำสมาธิได้นิ่งในระดับหนึ่งและเกิดเป็นความเคยชินของจิต)

    2. ปัญญาญาณอย่างอ่อนจะเกิดจากจิตที่ว่าง จากความคิด และเมื่อฝึกจิตให้ว่างจากความคิดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหรือบ่อยครั้ง เกือบตลอดเวลาในทุกขณะจิต และเมื่อจิตว่างจากความคิด จิตจะรับรู้ทุกสิ่งผ่านความรู้สึกของจิตเท่านั้น เพราะถือว่าความรู้สึกเป็นธรรมชาติพื้นฐานของจิต ถ้าฝึกฝนได้เช่นนี้แล้วในระยะเวลาหนึ่ง จิตจะเกิดวิปัสสนาญาณพัฒนาปัญญาญาณอย่างอ่อนให้เกิดความเข้มข้นละเอียดสูง ขึ้น และปัญญาญาณที่เข้มข้นขึ้นนี้จะรับรู้ได้ถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้สภาวะของ จิตละเอียดขึ้นในแต่ละระดับ และจากการปฏิบัติฝึกฝนจิตในแนวทางนี้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ เป็นอานิสงค์ทำให้จิตบังเกิดวิปัสสนาญาณที่เข้มข้นละเอียดสูงขึ้นไปเป็น ลำดับขั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้สุดท้ายเกิดปัญญาญาณเข้มข้นในระดับที่สามารถทราบถึงทุกสภาวะของ จิต(วิปัสสนาญาณสูงขึ้น = จิตละเอียดสูงขึ้นตาม)

    หยุดคิด จิตว่าง วิปัสสนาญาณเกิด ปัญญาญาณพัฒนา !
    ธรรมภูมิ
     
  5. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> <w:UseFELayout/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> (4 มิถุนายน 2012 เวลา 2:01 am)

    ขณะที่ผมกำลังดูเวปอยู่นั้น คำๆ หนึ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดความรู้สึกของผม ก็คือ "กระแสแห่งธรรม" จิตมันก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างอัตโนมัติฉับพลันว่า จิตผมมันปรารถนาที่จะอธิษฐานจิตร่วมกับผู้ปฏิบัติธรรมผู้ซึ่งมีบุญสัมพันธ์กันกับผมในชาติภพนี้ พอผมรู้สึกได้เช่นนี้แล้ว ความคิดที่สองมันก็ผุดขึ้นมาในใจว่า "เราปรุงแต่งไปหรือเปล่านิ?" ผมก็พยายามใช้สติปัญญานั่งคิดพิจารณาอยู่ชั่วครู่ ต่อมาผมก็พูดในใจกับตนเองว่า "สิ่งที่เรารู้สึกและคิดที่จะกระทำนั้น มันก็อยู่บนพื้นฐานของจิตอันเป็นกุศลเป็นเมตตาที่จะให้ผู้ปฏิบัติธรรมผู้ซึ่งมีบุญสัมพันธ์ร่วมกันกับผมในชาติภพนี้ที่ได้อ่านข้อความนี้ของผมนั้น ได้เชื่อมสายใยกระแสแห่งธรรมซึ่งกันและกันโดยผ่านการอธิษฐานจิตร่วมกัน การอธิษฐานจิตในกาลครั้งนี้จะเป็นเหตุปัจจัยใหม่ในการเกื้อกูลผู้ที่มีสายใยกระแสแห่งธรรมซึ่งมีบุญสัมพันธ์ร่วมกันในด้านการปฏิบัติธรรม ทำให้เกิดความก้าวหน้าในด้านการปฏิบัติธรรมอย่างเป็นอัศจรรย์หรือเร็วมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมตามบุญวาสนาของตนเองที่เคยได้สั่งสมไว้ในกาลอดีต...

    เมื่อผมใช้ปัญญาพิจารณาดีแล้ว ผมก็ไปสวดมนต์นั่งสมาธิแผ่เมตตาและอธิษฐานจิต(2:01-3:30 am ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที)เพื่อทำจิตให้บริสุทธิ์และตั้งมั่นในปณิธานในครั้งนี้ ซึ่งผมได้อธิษฐานจิตดังนี้


    "ด้วยแรงอธิษฐานจิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานต่อพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต่อครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้าในชาติภพนี้และต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงที่สถิตอยู่ในทั่วสากลพิภพจักรวาลทั่วภพสามโลกัณฑ์ทั่วทุกภพภูมิมิติว่า ข้าพเจ้า "ธรรมภูมิ" ขอตั้งจิตอธิษฐานเชื่อมสายใยกระแสแห่งธรรมกับผู้ที่มีบุญสัมพันธ์และได้อธิษฐานจิตร่วมกันกับข้าพเจ้าในกาลครั้งนี้ ขอให้การอธิษฐานจิตของข้าพเจ้าจงสัมฤทธิ์ผลตั้งแต่กาลบัดนี้เป็นต้นไปในทุกภพทุกชาติตราบเข้าสู่พระนิพพาน การอธิษฐานจิตในกาลครั้งนี้เพื่อส่งเสริมเกื้อกูลซึ่งกันและกันให้มีความก้าวหน้าในด้านการปฏิบัติธรรมอย่างเป็นอัศจรรย์หรือเร็วมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมตามบุญวาสนาของตนเองที่เคยได้สั่งสมไว้ในกาลอดีต ธรรมใดที่ข้าพเจ้า "ธรรมภูมิ" สำเร็จแล้ว และธรรมใดที่ข้าพเจ้า "ธรรมภูมิ" กำลังเพียรอยู่ในกาลปัจจุบัน และธรรมใดที่ข้าพเจ้า "ธรรมภูมิ" จะสำเร็จในกาลอนาคต ขอให้กระแสแห่งธรรมเหล่านั้นจงสัมฤทธิ์ผลสู่สายใยกระแสแห่งธรรมที่เกิดจากการอธิษฐานจิตร่วมกันกับข้าพเจ้า "ธรรมภูมิ" ในกาลครั้งนี้ด้วยเทอญ สาธุ"


    ขอให้ผู้ที่มีความเชื่อเดียวกันกับข้าพเจ้าที่มีบุญสัมพันธ์ซึ่งกันและกันนั้น มาร่วมกันสร้างเหตุปัจจัยใหม่อันเป็นกุศลเพื่อเกื้อกูลซึ่งกันและกันในด้านการปฏิบัติธรรมตั้งแต่บัดนี้ไปจนตราบเข้าสู่พระนิพพาน ด้วยบทอธิษฐานจิตร่วมกัน ดังนี้

    บทอธิษฐานจิตร่วมสายใยกระแสแห่งธรรม

    "ด้วยแรงอธิษฐานจิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานต่อพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต่อครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้าในชาติภพนี้และต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงที่สถิตอยู่ในทั่วสากลพิภพจักรวาลทั่วภพสามโลกัณฑ์ทั่วทุกภพภูมิมิติว่า ข้าพเจ้า "(ชื่อจริง/นามสกุลจริง)ในชาติภพนี้" ขอตั้งจิตอธิษฐานเชื่อมสายใยกระแสแห่งธรรมร่วมกับคุณ "ธรรมภูมิ" ตั้งแต่กาลบัดนี้เป็นต้นไปในทุกภพทุกชาติตราบเข้าสู่พระนิพพาน การอธิษฐานจิตในกาลครั้งนี้เพื่อส่งเสริมเกื้อกูลซึ่งกันและกันให้มีความก้าวหน้าในด้านการปฏิบัติธรรมอย่างเป็นอัศจรรย์หรือเร็วมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมตามบุญวาสนาของตนเองที่เคยได้สั่งสมไว้ในกาลอดีต ธรรมใดที่คุณ "ธรรมภูมิ" สำเร็จแล้ว และธรรมใดที่คุณ "ธรรมภูมิ" กำลังเพียรอยู่ในกาลปัจจุบัน และธรรมใดที่คุณ "ธรรมภูมิ" จะสำเร็จในกาลอนาคต ขอให้กระแสแห่งธรรมเหล่านั้นจงสัมฤทธิ์ผลสู่ข้าพเจ้า "(ชื่อจริง/นามสกุลจริง)" ที่มีสายใยกระแสแห่งธรรมที่เกิดจากการอธิษฐานจิตร่วมกันกับคุณ "ธรรมภูมิ" ในกาลครั้งนี้ด้วยเทอญ สาธุ"

    เชื่อมสายใยกระแสแห่งธรรม~~~
    ธรรมภูมิ
     
  6. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    ถ้าเปรียบพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นดั่งน้ำทิพย์คอยหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณแล้วนั้น อานาปานุสสติกรรมฐานก็เปรียบได้ดั่งอากาศที่ร่างกายจะขาดเสียมิได้เลย

    คำเปรียบเปรยข้างต้นนี้ เป็นสิ่งที่จิตผมวิปัสสนาญาณออกมาในช่วงเย็นวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2012 หลังจากการนั่งสมาธิแบบอานาปานุสสติกรรมฐานหรือตามรู้ลมหายใจเข้าออกแบบเน้นผ่อนคลายสมองอย่างเดียว จนสมองผ่อนคลายเกือบ 100% ซึ่งใช้เวลาผ่อนคลายสมองประมาณ 1 ชั่วโมง และขณะนั้นผมก็นั่งสมาธิรวมๆ ไปประมาณ 1 ชั่งโมงครึ่งแล้ว ก็รู้สึกถึงความปวดเมื่อยบริเวณขา มันค่อยๆ ปวดมากขึ้น แต่ในขณะสมาธินั้นผมก็ตามลมหายใจเข้าออกอยู่เป็นปกติเหมือนเดิมไม่หวั่นไหว แต่ที่น่าแปลก ก็คือ เมื่อผมเกิดอาการเจ็บปวดขาขึ้นมาทันใด ไม่ว่าปวดมากหรือน้อย พอผมหายใจออกทุกครั้งก็เหมือนเป็นการผ่อนคลายสมอง ซึ่งการผ่อนคลายสมองนี้ทำให้ความเจ็บปวดที่มากมายกลับกลายเป็นลดน้อยลงหรือแทบไม่รู้สึกเจ็บเลย

    ต่อมาจิตผมก็เกิดวิปัสสนาญาณรู้ว่า อานาปานุสสติกรรมฐานวิธีนี้เป็นการละเวทนาโดยการเจริญสติในทุกลมหายใจเข้าออก และวิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้พลังของจิตที่มีความเข้มข้นและมีสมาธิในระดับหนึ่งในการควบคุมสมองอีกที ควบคุมให้สมองละปล่อยวางไม่ประมวลผลความรู้สึกหรือไม่รับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกส่งมาจากขาโดยผ่านเส้นประสาท และจิตก็วิปัสสนาญาณอีกว่า การปฏิบัติในรูปแบบนี้ คือ การนั่งสมาธิตามดูลมหายใจแบบผ่อนคลายสมองจนสมองโปร่งโล่งไร้ซึ่งความคิด เพื่อให้จิตที่มีพลังไ้ด้มาควบคุมการทำงานของสมอง ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคุณภาพสมองหรือทางการแพทย์เรียกว่า “การเพิ่มรอยหยักในสมอง” ทำให้บุคคลนั้นฉลาดขึ้น มีไอคิวสูงขึ้น

    ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นแค่การพัฒนาสมองในเบื้องต้นเท่านั้น แต่ในเบื้องกลางและปลายนั้น จะนำคุณภาพสมองของเราพัฒนาไปถึงและสามารถสัมผัสได้ถึงความถี่ที่สูงขึ้นในระดับต่อไปเรื่อยๆ ของชั้นพลังงานต่างๆ ซึ่งเทคโนโลยีในปัจจุบันยังเข้าไม่ถึง นั้นก็คือ สามารถสัมผัสกับจิตวิญญาณหรือพลังงานในรูปแบบอื่นที่มีระดับความถี่ในมิติที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และไม่เพียงแค่สมองสามารถสัมผัสรับรู้ได้เท่านั้น สมองยังสามารถทำงานควบคุมโต้ตอบได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย ซึ่งทางวิทยาศาสตร์เราเรียกว่า พลังจิต” เมื่อสมองมีคุณภาพสูง สมองก็สามารถสร้างความถี่ที่สูงขึ้นกว่าเดิมได้(หลังปฏิบัติสมาธิอย่างเข้มข้น เช่น ฤาษี,พระอรหันต์,พระพุทธเจ้า เป็นต้น) และแสดงออกมาเป็นความสามารถพิเศษต่างๆ ที่คนในปัจจุบันนี้พิสูจน์ไม่ได้ แต่ทางศาสนามีมานานแล้ว และเรียกกันว่า “ปัจจัตตัง” เช่น ณาน,ญาณ และอภิญญาต่างๆ เป็นต้น ซึ่งคำว่า พระธาตุ” นั้น ก็เกิดจากการพัฒนาคุณภาพของสมองในระดับสูงจนสมองสามารถควบคุมเปลี่ยนแปลงความถี่รูปแบบโครงสร้างของสสารของวัตถุได้ ผมจะบอกว่า เมื่อจิตดีสมองก็ดีสุขภาพร่างกายก็ดีเป็นเหตุปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างเป็นธรรมชาติ ฉะนั้น เมื่อสมองดีมีคุณภาพเยี่ยมยอดแล้วจนสามารถสร้างความถี่พิเศษหรือความถี่ที่สูงขึ้นในมิติที่สูงขึ้นได้แล้วนั้น อภิญญาต่างๆ ที่มีที่แสดงที่เกิดขึ้นจากสมองใบนี้ก็เป็นสิ่งแสดงถึงคุณภาพที่เยี่ยมยอดของสมองได้เช่นกัน เพราะเหตุปัจจัยนี้เมื่อคุณภาพสมองดีอวัยวะทุกส่วนก็ย่อมดีมีคุณภาพที่เยี่ยมยอดตามไปด้วยตามความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน แต่ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมกล่าวมานี้ จะขาดสิ่งหนึ่งไม่ได้เลย นั้นก็คือ “จิต” ซึ่งจิตเป็นพลังงานอิสระในรูปแบบหนึ่งที่คอยควบคุมการทำงานของสมองอีกทีหนึ่ง ฉะนั้น การจะพัฒนาสมองมาถึงระดับนี้หรือควรแก่การงานได้นั้น ในขั้นแรกต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังหรือมีพลังเข้มข้นมากพอเสียก่อนโดยผ่านสมาธิ(สมถกรรมฐาน) และมีปัญญาญาณมากพอที่เกิดจากวิปัสสนาญาณ จากการฝึกฝนจิตอย่างเข้มข้นในระดับหนึ่ง(แนะนำปฏิบัติจิตในทุกอริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน) ซึ่งการปฏิบัติของผมที่ผ่านมานั้น ผมเริ่มจาก การจับภาพพระเป็นอารมณ์เป็นหลัก(พุทธานุสสติกรรมฐาน แนะนำให้ช่วงแรกปฏิบัติแบบนี้ เพราะสามารถสร้างสติได้อย่างดีเยี่ยมด้วยศรัทธา เพราะวิธีนี้ใช้พลังงานของจิตในการจดจ่อมาก จึงทำให้ฟุ้งซ่านได้น้อย) แต่พอปฏิบัติมาถึงในระดับหนึ่งแล้วจิตเ้ข้าอริยมรรคอริยผลแล้วจิตบริสุทธิ์เป็นพรหมจรรย์แล้วกิเลสลดน้อยลงมากแล้ว แต่จิตยังรู้สึกว่าการปฏิบัตินั้นยังขาดหายไม่สมบูรณ์ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรเหมือนเจอทางตัน จนครูบาอาจารย์สายพระสายเทพและพระพุทธองค์ทรงเมตตาชี้แนะผ่านความรู้สึกดลใจให้ผมเริ่มปฏิบัติแบบตามลมหายใจเข้าออก ซึ่งเคยนำมาปฏิบัติแต่ไม่สำเร็จผลเท่าที่ควร ทำให้ตอนนี้ผมรู้และเข้าใจว่า สิ่งที่ขาดหายไปในการปฏิบัตินั้นก็คือ “อากาศที่ร่างกายจะขาดเสียมิได้” หรือนั้นก็คือ “อานาปานุสสติกรรมฐาน” เพราะเหตุแห่งการมีกายสังขารเช่นนั้นเอง (จิตมันมีกายต้องอยู่ร่วมกับกายนี้)

    และต่อมาจิตผมก็วิปัสสนาญาณออกมาอีกว่า จังหวะการหายใจเข้าออกของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย มีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับความถี่ของสมองและความถี่ของอวัยวะอื่นๆ ภายในร่างกาย แต่สิ่งที่ผมจะเน้นในที่นี้ ก็คือ ความถี่ของสมองมนุษย์(สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็คล้ายๆ กัน) เมื่อเราหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ความถี่สมองก็จะราบเรียบไม่ซับซ้อน และถ้าเราหายใจเร็วหรือช้าลงอย่างสม่ำเสมอ ความถี่ก็จะเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบ ซึ่งความถี่สมองของคนเรามีผลต่อความคิด,ความฉลาด,ความกระสับกระส่าย,อาการของโรคต่างๆ ที่หาสาเหตุได้บ้างไม่ได้บ้าง อันนี้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยี่ของมนุษย์เอง และรวมถึงโรคกรรม เช่น มะเร็ง,อื่นๆ เป็นต้น จิตจัดเป็นรูปแบบของพลังงานอิสระอย่างหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อความถี่สมองและต่อจิตดวงอื่นๆ ถ้าจิตที่โกรธแค้นมีพลังงานด้านลบก็จะส่งกระแสพลังงานมารบกวนหรือครอบงำจิตเราหรือเข้ามาควบคุมความถี่สมองของเรา ทำให้ความถี่สมองเปลี่ยนไปและก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้ กรณีที่ครอบงำจิตเรา ก็จะทำให้เราเกิดภาพหลอนเสียงหลอนต่างๆ เห็นเป็นรูปร่างได้ยินเสียงต่างๆ ที่จิตวิญญาณนั้นๆ ต้องการให้เห็น

    ฉะนั้น การสวดมนต์เป็นการสร้างพลังงานบางอย่างขึ้นมา ไม่ว่าพลังงานที่สร้างขึ้นมานั้นจะเป็นพลังงานจากจิตคุณเอง หรือ เป็นพลังงานจากสิ่งลี้ลับหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ (จิตวิญญาณอื่น) ซึ่งพลังงานเหล่านี้ที่ก่อเกิดขึ้นนั้นในทุกพลังงานมันมีความถี่ของตัวมันเอง พลังงานที่มากพอย่อมมีความถี่ที่มากพอที่จะส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณหรือพลังงานในรูปแบบอื่น ซึ่งพลังงานทุกอย่างย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบและความถี่ของพลังงานเองได้หรือผลกระทบจากพลังงานอื่นทำให้เปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้น การนั่งสมาธิย่อมมีผลต่อความถี่ของสมองและมีผลต่อรูปแบบของพลังงานอย่างจิตวิญญาณอย่างแน่นอน และการตามดูลมหายใจนั้น เป็นการเน้นปฏิบัติให้ตรงจุด ให้การปฏิับัตินั้นมีผลโดยตรงต่อความถี่ของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย โดยเฉพาะสมองซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมการทำงานของอวัยวะทุกส่วนในร่างกายเรา เมื่อสมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว สุขภาพร่างกายย่อมแข็งแรง โรคภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจากสาเหตุภายใน คือ โรคที่เกิดจากอวัยวะสมองผิดปกติ เนื่องจากประเภทของอาหารที่รับประทานเข้าไป จึงส่งผลทำให้ความถี่ของสมองผิดปกติ และเกิดโรคต่างๆ หรือ จะเป็นโรคที่เกิดจากปัจจัยภายนอก ก็คือ พลังงานที่มีความถี่ในรูปแบบอื่นส่งผลทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น ความถี่ของสัญญาณมือถือหรือสัญญาณจากอุปกรณ์อิเลคโทนิคต่างๆ , ความถี่ของพลังงานจากจิตวิญญาณอื่น เป็นต้น

    ผมจะบอกว่า ความรู้ที่เป็นสัจธรรมที่เกิดจากการปฏิบัติฝึกฝนจิตในแนวทางสัมมาทิฎฐิ แล้วจิตเกิดวิปัสสนาญาณกลายเป็นปัญญาญาณเห็นแจ้งด้วยจิตตนเองนั้น เป็นความรู้อย่างเดียวกันทั้งสิ้น ซึ่งสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงเห็นแจ้งในสิ่งเหล่านี้มาก่อนแล้ว แต่รายละเอียดส่วนใหญ่นั้น ก็ทรงให้เป็นเรื่องของการปฏิบัติแ้ล้วเห็นแจ้งด้วยตนเองเสียมากกว่า เพราะพูดไปก็ไม่เกิดประโยชน์เท่าใดนัก เพราะเรื่องบางอย่างไม่เห็นเองก็ไม่เชื่อ เพราะมันเป็นเรื่องของ “ปัจจัตตัง” แต่พระพุทธองค์ทรงวางแนวทางให้มนุษย์ได้เดินแล้ว อยู่ที่ว่าใครจะเลือกเดินแบบใด แต่พระพุทธองค์ก็ทรงย้ำทรงเน้นในเรื่องการให้มีสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกอยู่เสมอ(เจริญอานาปานุสสติกรรมฐาน) ซึ่งเป็นกุศโลบายในการปฏิบัติสมาธิสำหรับมนุษย์ที่มีกายสังขารที่ต้องอยู่ร่วมกับกายสังขารนี้ และสิ่งที่จะกำหนดสติของมนุษย์ได้ดีที่สุด ก็คือ ลมหายใจเข้าออก เพราะมนุษย์ต้องหายใจอยู่ตลอดเวลา และกรรมฐานกองนี้ใช้กำลังหรือพลังงานของจิตน้อยที่สุดในการจดจ่อประคองหรือเจริญสติ

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> <w:UseFELayout/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--> อานิสงค์จากการปฏิบัติข้างต้น (จังหวะความถี่ของลมหายใจกลายเป็นสมาธิเปิดทางให้จิตที่มีพลังควบคุมสมอง)

    ปกติผมเป็นคนเครียดง่าย ยิ่งเวลาทำงานด้วยแล้ว ความเครียดมันจะแสดงออกมาอย่างชัดเจนแบบไม่รู้สึกตัว ถึงแม้ว่าผมปฏิบัติสมาธิได้สักพักใหญ่แล้ว อาการเครียดก็มีลดลงบ้างแต่ก็ยังปรากฎชัดอยู่ เนื่องจากสติไม่ต่อเนื่องเวลาเกิดความเครียด ส่วนการใช้พุทธานุสสติกรรมฐานนั้นก็ได้ผลในระดับหนึ่ง แต่ว่าในความเป็นจริงนั้น เรามานั่งนึกภาพพระตลอดเวลานั้นไม่ได้ ผมเพียงจะชี้ให้เห็นถึงความถี่ของการมีสติเท่านั้น ฉะนั้น กรรมฐานวิธีนี้จึงมีข้อจำกัดในบางครั้งบางเหตุการณ์ และยังใช้พลังงานของจิตในการนึกภาพพระมากกว่าวิธีแบบอานาปานุสสติกรรมฐาน แต่ข้อดีของพุทธานุสสตินั้น ก็คือ จิตจะจดจ่อแน่วแน่มีสติเข้มข้นกว่าและฟุ้งซ่านได้น้อยกว่า แต่เป็นวิธีปฏิบัติให้มีสติที่ใช้เวลาน้อยกว่าและเป็นง่ายกว่าแบบอานาปา เนื่องจากแบบอานาปาต้องใช้เวลานานกว่าในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเคยชินในการมีสติหรือตามรู้ลมหายใจ เหตุเพราะลมหายใจอยู่คู่เรามาตั้งแต่เกิด เราต้องหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลาทุกวินาที ฉะนั้น ความยากในการปฏิบัติอยู่ตรงที่ความถี่ของการมีสตินั้นเอง(ตามความคิดเห็นของผมจากการปฏิบัติจริง) และแบบพุทธานุสสตินั้นก็ยังได้รับกระแสแห่งบารมีหนุนช่วยในการปฏิบัติจากพระพุทธองค์อีกด้วย


    หลังจากการปฏิับัติในช่วงเย็นวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2012 ขณะสมาธินั้นจิตผ่อนคลายเกือบ 100% (อาการปวดหน่วงๆ ในสมอง ซึ่งเป็นอาการความเครียดปกติของสมอง เวลาสมองเกิดอาการความคิดขึ้นมา เนื้อสมองก็จะมีอาการบีบรัดหดตัวขึ้น ซึ่งสมาธิจากลมหายใจเ้ข้าออก จะส่งเป็นความถี่ทำให้เนื้อสมองเกิดอาการคลายตัวเป็นชั้นๆ จนในที่สุดคลายตัวหมดเกือบ 100% เมื่อสมองคลายตัวหมดแล้ว จิตก็รู้่ว่าสมองคลายตัวหมด ต่อจากนั้น จิตที่มีพลังก็จะเข้ามาควบคุมดูแลสมอง ทำให้คุณภาพหรือความถี่ของสมองพัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบ) การปฏิบัติสมาธิข้างต้น จึงกล่าวสรุปได้ใจความว่า “จังหวะความถี่ของลมหายใจกลายเป็นสมาธิเปิดทางให้จิตที่มีพลังควบคุมสมองหลังจากภาวะการปฏิบัติในครั้งนี้ ทำให้สมองของผมเกิดอาการผ่อนคลายตัวอย่างอัตโนมัติ เวลาที่ผมเกิดอาการเคลียดขึ้นมาทุกครั้ง เหมือนจิตมีสติอยู่ในลมหายใจเข้าออกอย่างอัตโนมัติทุกวินาที และคอยควบคุมผ่อนคลายความเคลียดที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความถี่ของสมอง... หวังว่า การปฏิบัติข้างต้นที่เขียนเชิงแนะนำนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติสมาธิจิตไม่มากก็น้อย
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]บุญกุศลใดๆ ที่เกิดจากการให้ธรรมทานนี้ ผมขออุทิศให้กับครูบาอาจารย์,สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของผม และพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ด้วยเทอญ สาธุ !

    [/FONT]อากาศที่ร่างกายจะขาดเสียมิได้เลย ก็คืออานาปานุสสติกรรมฐาน[FONT=&quot]

    [/FONT]ธรรมภูมิ
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> <w:UseFELayout/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2012
  7. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    ขออนุโมทนากับการบำเพ็ญบารมีของพี่ต้น พรหมพันกรในชาตินี้ และขอไว้อาลัยด้วยครับ...

    อ้างอิงกระทู้ในเวปญาณทิพย์ : เชิญร่วมงานศพของ "พี่ต้น พรหมพันกร" คนดีโลกไม่ลืม วัดหัวลำโพง 29 ส.ค นี้ เชิญร่วมงานศพของ "พี่ต้น พรหมพันกร" คนดีโลกไม่ลืม วัดหัวลำโพง 29 ส.ค นี้ - ห้อง รักไร้พ่าย - หน้าแรก ญาณทิพย์ - Powered by Discuz!

    ปล. แต่ไม่นานพี่ต้นจะกลับมาใหม่ ในรูปแบบไหนในภาคไหนคอยดูกันต่อไปครับ เพราะผู้มีปัญญาย่อมไม่หยุดบำเพ็ญบารมีอย่างแน่นอน สาธุ !

    จาก กัลยาณมิตรคนหนึ่ง
    ธรรมภูมิ

    -----------------

    บทสนทนาของผมกับพี่ต้นครับ (อ้างอิงจากหน้าที่ 1 ของกระทู้นี้)
    บทสนทนาทาง MSN ระหว่างผมกับท่านผู้หนึ่งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย :
    http://www.mediafire.com/?1qcoa825ce1hnco

    อ้างอิงกระทู้ในเวปพลังจิต :
    "ได้พบ "คุณต้น พรหมพันกร" ผู้มีญาณเบิกฟ้า"
    http://palungjit.org/threads/ได้พบ-คุณต้น-พรหมพันกร-ผู้มีญาณเบิกฟ้า.201851/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2012
  8. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    อ่านเจอธรรมทานดีๆ เลยนำมาแบ่งปันให้อ่านกันครับ

    อ้างอิงกระทู้เวปญาณทิพย์ :
    รบกวนท่านที่มีญาณทิพย์ช่วยตอบข้อสงสัยทีค่ะ - ห้องญาณทิพย์ - หน้าแรก ญาณทิพย์ - Powered by Discuz!

    ผมว่าคุณหรือใครๆ ก็คงจะทราบในเรื่องหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ดีอยู่แล้ว ซึ่งคนส่วนมากจะเข้าใจหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ในด้านแนวทางความคิด เบื้องต้น แต่ทว่าจิตใจตนเองยังไม่ยอมรับหลักธรรมเหล่านั้นจริงๆ เพราะจิตขาดการฝึกฝนที่ดีและต่อเนื่อง และถึงแม้ว่า นำหลัีกธรรมเหล่านั้นมาปฏิบัติจริงๆ แล้วก็คงยากที่จิตจะยอมรับหลักธรรมนั้นโดยดี เนื่องด้วยคนเรายังมีกิเลส,โลภะ,โทสะ,โมหะ,อุปทานต่างๆ อยู่มาก ฉะนั้น การปฏิบัติธรรมฝึกฝนจิตที่ดีนั้น เราควรมีควรสร้างกุศโลบายที่ดีให้แก่จิตเราเอง เพื่อการเข้าใจในสัจธรรม,หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์และยอมรับธรรมใดๆ เข้าสู่จิต เพื่อให้จิตเข้าใจและยอมรับธรรมนั้นๆ ได้โดยง่ายยิ่งขึ้นและเกิดผลรวดเร็วในการปฏิับัติจริง

    จากประสบการณ์ฝึกฝนจิตของผม ผมจึงขอแนะนำกุศโลบายที่ว่า "ทุกอย่างคือบททดสอบของเรา"

    กุศโลบาย ในภาษาวิทยาศาสตร์ ก็คือ การใช้หลักจิตวิทยา เป็นการสร้างความเคยชินให้เกิดแก่จิต(การฝึกฝนจิต) ให้จิตคุณเองเกิดการยอมรับในสิ่งที่คุณพูดในสิ่งที่คุณคิด(สอนให้จิตคิดเป็น อย่างไรจิตก็เป็นอย่างนั้น) เมื่อจิตคุณถูกปลูกฝั่งความคิดที่เป็นกุศโลบายนี้บ่อยและนานเข้าจนกลายเป็น สัญญาภายในจิตแล้วนั้น ตัวสัญญาที่เป็นกุศลนี้จะเป็นสิ่งน้อมนำจิตคุณเข้าสู่สัจธรรมโดยง่ายและเป็น ธรรมชาติ

    ซึ่งกุศโลบายที่ว่า "ทุกอย่างคือบททดสอบของเรา" ที่ผมแนะนำคุณนี้ มัน เป็นตัวสัญญาที่ทำให้เราเกิดความคิดและอารมณ์เป็นกลางมีสติไม่หวั่นไหวต่อ สิ่งที่เข้ามากระทบจิตใจเรา เพราะเมื่อมันเป็นบททดสอบยังงัยมันก็ต้องเกิด จะเกิดอย่างไรก็ยอมรับและให้ปล่อยวางมันไป เราก็ทำใจให้เป็นกลางมีสติ แต่การพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจะดีมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับระดับปัญญาตามภูมิธรรมของคุณเอง ณ ขณะนั้น ไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านบททดสอบก็ไม่ต้องนำมาคิดจนจิตใจสับสนวุ่นวาย ไม่ผ่านก็ลองทำบททดสอบใหม่อีกครั้ง(สอนให้คิดบวก) เมื่อสอนให้จิตคิดได้เช่นนี้บ่อยๆ แล้ว อารมณ์จิตก็จะเป็นกลางจากความเคยชินจนกลายเป็นธรรมชาติของจิต และไม่หวั่นไหวเมื่อมีสิ่งต่างๆ มากระทบจิตใจ ซึ่งการจะสร้างสัญญาที่เป็นกุศลลงในจิตใจเรานั้น แน่นอนต้องใช้เวลา แต่เมื่อคุณทำได้แล้ว การปฏิบัติธรรมของคุณจะเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติในทุกๆ ด้าน เพราะหลักการปฏิบัติธรรมต่างๆ มุ่งเน้นสู่อารมณ์ของจิตทั้งสิ้น เนื่องด้วยเหตุปัจจัยที่เราสร้างขึ้นจากกุศโลบายข้างต้น อธิบายได้ดังนี้

    -- จิตที่มีอารมณ์เป็นกลางอย่างมั่นคง(เป็นเหตุ)ย่อมมีสติปัญญาที่แจ่มชัดดี กว่าอารมณ์ขุ่นมัว -- จิตย่อมเกิดการปล่อยวางกับทุกสิ่ง(ความคิดที่ไม่ดีต่อจิต,กิเลส,โล ภะ,โทสะ,โมหะ,อุปทานต่างๆ) -- และเมื่ออารมณ์เป็นกลางนี้ตั้งมั่น เราก็น้อมนำพิจารณาหลักธรรมคำสอน(เป็นปัจจัย)ของพระพุทธองค์ประกอบไปด้วย จะทำให้จิตเกิดการยอมรับหลักธรรมคำสอนต่างๆ ได้โดยง่ายและรวดเร็ว -- เนื่องเพราะจิตไม่มีอารมณ์อื่น(กิเลส,โลภะ,โทสะ,โมหะ,อุปทานต่างๆ)มาเป็น อุปสรรคขัดขวางก่อกวนต่อจิตใจเรา--

    กุศโลบาย เป็นดั่งเครื่องมือหรืออุบายทางโลกียะที่เป็นกุศล ซึ่งนำมาอบรมฝึกฝนจิตใจของเรา ให้เกิดการยอมรับในสัจธรรมได้ง่ายรวดเร็วและเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น เป็นหนทางสู่วิปัสสนากรรมฐาน ก็คือ "จิตวิปัสสนาด้วยตนเอง มิใช่การนึกคิด" ซึ่งกุศโลบายทางโลกียะนี้จะเปลี่ยนจิตให้กลายเป็นโลกุตตระในที่สุด...

    ...อริยมรรคอริยผลย่อมมิไกลเลย ถ้าเรามีเครื่องมือหรืออุบายที่ดีเป็นกุศล(เพื่อสร้างเหตุใหม่) ประกอบกับน้อมนำหลักธรรมคำสอน(นำปัจจัยมา พิจารณาประกอบ เพื่อให้เกิดผลที่ต้องการ)ของพระพุทธองค์มาพิจารณา และจะขาดมิได้ซึ่งความต่อเนื่องในความเพียร(ในทุกอิริยาบท) เมื่อเราสร้างเหตุปัจจัยใหม่ให้ถึงพร้อมแล้วนั้น จิตย่อมเข้าใจด้วยตัวของจิตเอง และพาจิตตนเองหลุดพ้นในที่สุด...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2012
  9. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    อ่านเจอธรรมทานดีๆ เลยนำมาแบ่งปันให้อ่านกันครับ

    อ้างอิงกระทู้เวปญาณทิพย์ : งานบุญ และร่วมเดินทางงานนิโรธกรรมวันที่ 30กันยานี้ - ห้อง รักไร้พ่าย - หน้าแรก ญาณทิพย์ - Powered by Discuz!

    [​IMG]

    รูปหลวงพ่อไก่ รูปนี้ ผมมองแล้วรู้สึกถึงพลังบางอย่างได้ น่าจะเป็นพลังของณานสมาธิที่เข้มข้น จึงมีปฏิสัมพันธ์กับกระแสจิตของผม ทำให้ผมต้องหยุดมองครู่หนึ่งเลย และคงนำมาไว้เป็นภาพ Desktop ช่วงหนึ่ง เพื่อเสริมอารมณ์สมาธิของผม(รู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่าณานสมาธิ หมายรวมถึง การถ่ายทอดภาวะธรรมจากจิตสู่จิต)... ผมจึงอยากแนะนำให้ผู้ปฏิบัติสมาธิทุกท่าน มองพิจารณารูปนี้ด้วยตาเนื้อหรือนึกถึงรูปนี้ในใจเป็นอารมณ์ขณะทำสมาธิด้วย จะทำให้ได้รับอานิสงส์จากกระแสพลังณานสมาธิของพระท่านรวมถึงภาวะธรรมต่างๆ (หมายเหตุ การถ่ายทอดภาวะธรรมจากจิตสู่จิตนั้น เป็นไปโดยธรรมชาติเป็นอัตโนมัติของจิตซึ่งผู้ถ่ายทอดอาจไม่รู้สึกตัวว่าตน เองกำลังถ่ายทอดกระแสพลังของณานสมาธิซึ่งถือว่าเป็นภาวะหยาบในโลกทิพย์ ส่วนการถ่ายทอดกระแสของภาวะธรรมนั้นยิ่งถือว่าเป็นภาวะละเอียดขึ้นไปอีก ซึ่งจิตของผู้ที่ถ่ายทอดภาวะธรรมให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ย่อมเป็นจิตที่มีกิเลสเหลือน้อยใกล้หลุดพ้นหรือหลุดพ้นจากภาวะัทั้งปวงแล้ว หรือเราเรียกว่า "พระอริยะเจ้า" ระดับขั้นสูงสุด เรียกว่า "พระอรหันต์" ส่วนผู้รับภาวะธรรมนั้นจะได้รับมากหรือน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับภาวะกิเลสและภาวะของสติสมาธิปัญญาของผู้รับ)

    ภาวะดังกล่าว จึุงตอบโจทย์ว่า ทำไม ข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่รอบตัวพระท่านที่พระท่านใช้สอยอยู่บ่อยครั้ง จึงแฝงไปด้วยพลานุภาพของพุทธคุณ,ธรรมคุณ,สังฆคุณปรากฎขึ้นมาอย่างเป็น อัศจรรย์ เพราะการถ่ายทอดกระแสของพลังนั้นมิใช่มีเพียงแค่การถ่ายทอดจากจิตสู่จิตซึ่ง เป็นภาวะซับซ้อนและละเอียดอย่างเดียว แต่ยังมีการถ่ายทอดกระแสพลังในภาวะหยาบจากจิตสู่วัตถุสิ่งของ และเมื่อวัตถุสิ่งของมีความศักดิ์สิทธิ์เนื่องด้วยมีกระแสพลังไหลเวียนอยู่ ก็สามารถถ่ายทอดกระแสพลังจากวัตถุสู่วัตถุ หรือวัตถุสู่จิตได้ ด้วยเหตุฉะนี้...

    ซึ่งกระแสของพลังฌานสมาธิที่คุณได้รับนั้นเมื่อระลึกถึงรูปนี้ เป็นกระแสของพลังฌานสมาธิและกระแสธรรมที่ส่งตรงมาจากภาวะอารมณ์จิตของพระ ท่านขณะปฏิบัติในทุกอิริยาบท... ขออนุโมทนากับผู้โพสรูปนี้ด้วยครับ เป็นประโยชน์มาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2012
  10. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    [​IMG] ลูกแก้ว สวยดีครับ ถ้ามองด้วยใจ อาการเหมือน จะ เขย่าเรา โยกเรา เข้า ออก และ ลูกแก้ว มีสีเหลืองเข้ม รอบลูกแก้ว แต่ วงนอก กลับเป็น สีขาว เหมือน ไข่ดาว ทำนองนั้นครับ ซ้อนกันอยู่

    ตกลง ลูกแก้ว สีขาว เหมือนไข่มุก แต่ดูข้างในเหมือนมีวงกลมเล็กสีเหลืองเข้ม รอบลูกแก้ว สีเหลืองอ่อน วงต่อจ่กเหลือออ่น เป็น เหลืองเข้ม เมือน รัศมี แสงอาทิตย์ วงนอก สีขาว สว่าง วูบวาบ แบบนี้หรือเปล่า

    ตกลง อันไหน คือ ลูกแก้ว เพราะ ดูไป ไม่เหมือนลูกแก้วเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กันยายน 2012
  11. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เป็นสิ่งที่ดีแล้ว และหาได้ยาก อยากให้นิ่ง ในความสว่างยังมีความมืด ตราบใดที่ไม่บรรลุ อาจหลงสู่บ่วงมาร จนเป้นบ้าเป็นหลังได้ ขอแนะนำให้หาครูที่เป็นพระระดับเกจิ สายวัดป่า ไม่งั้นก็นี่เลย อจ.วิริยังค์ครับ
    --ทุกศาสนารวมเป็นหนึ่ง คือคำที่เทพท่านบอกับผมมาราวๆ สาบสิบปีก่อนแล้วครับ.
    ว่างๆไปกระทู้เรามั่ง ลึกลับระดับเลยหละ ขนาดซีไอเอยังไม่รู้เพราะอ่าจไทยไม่ออก 555
    ---พออ่านอีกทีคุณได้ไปไกลมากมายในพุทธภูมิ งั้นก็ขอเดินตามแนวของคุณนะครับ ว่างๆก้ส่งจิตมาคุยกันได้ แต่เครื่องรับผมไม่ค่อยดีนักนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2012
  12. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    กระทู้ อะไรครับ
    ลึกลับจริงหรือ
    สำหรับเรา ไม่มีอะไร ลึกลับ แล้วล่ะ

    ในใจคน ก็ไม่มีอะไร ลึกลับ
    ทั้งสามโลก ก็ไม่มีอะไรลึกลับ
    จักรวาลก็ไม่มีอะไรลึกลับ

    กระทู้ท่าน มีอะไร ลึกลับหรือครับ
     
  13. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    มนุษย์ต่างดาว ก็ไม่มีอะไร ลึกลับ

    ที่ว่า ลึกลับที่สุดคือ ความพอ อันนี้ เหมือนไม่ลึกลับ

    แต่หาได้ พบเจอ ง่ายไม่

    ไม่เชื่อ ลอง ค้นหา ความพอ ของเรา กับ ทุกสิ่ง ทุกอย่างสิว่า มีมั้ย

    ความพอ ที่มีให้ กับ ทุกสรรพสิ่ง
     
  14. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ความพอ มันมาจากความเข้าใจ

    ความเข้าใจ คือ ระหว่างเรากับ ทุกสรรพสิ่ง

    มันเหมือน ความเท่ากัน ความเท่ากับ ความเสมอกัน ความเหมือนกัน
     
  15. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    มีอะไรบ้าง ที่ เป็น สิ่งที่ผู้รู้ ก็รู้ได้ เฉพาะตน

    ความหิว ความอิ่ม ปวดฉี่ ง่วงนอน เยอะแยะมากมาย ที่รู้ได้ เฉพาะตน

    ความพอ ก็ เช่นกัน คนอื่นไม่พอ เราพอ
     
  16. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ยินดีครับ กราบนมัสการหลวงพี่ ญาณโลกีย์เสีื่อมได้ กระผมทราบดี ขอขอบคูณไม้เรียวที่ช่วยกระหนาบ กระผมมันออกจะฟุ้งๆไม่ตรงแนวดี
    ลางครั้งนึกในใจคงมีพระท่านนอ่านอยุ่ เลยโดนซะ
     
  17. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234

    ไม่ลลึดกลับหริอก เพราะว่าถ้าท่านเข้าใจสรรพสิ่ง ก็เข้าใจตัวเองได้ ชาวต่างดาวก็มีร่างกาย จิตใจ ดังนั้น เข้าใจ้ราก็คือเข้าใจเค้า ไม่มีอะไรแตกต่าง รู้ใจเราคือรู้ใจเค้านะครับ มีใจ มะโนธาตุ เหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2012
  18. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ผมชอบและตามงานคุุณธรรมภูมิ อยากได้ อยากรู้ อยากเก่งเท่าคุณ
    --ลมหายใจก็รู้ตามคำภาวนา ถ้าคำภาวนาหายไปก็ จิตเข้าภวังค์เป็นเอกัคตา แต่สติควรอยู่ เพื่อวิปัสสนาญาณครับ

    ขอบคุณทุกความเห็นที่เข้ามาครับ ประดับงานเหมือนดอกไม้ สวยๆ งามด้วยธรรมมะ แต่ นาทีนี้ถ้ามีดอกไม้พระอริยะ--- วิ่งกันกระเจิงเพราะำไม่งามดังชื่อครับ ซากศพผีตาย เป็นถึงนางงามจักรวาลก็ไม่งามแล้ว 555 ยุติธรรม ธรรมมะ---มายุติ เรื่องนี้เรื่องเดียวเป็นดาบอนัตตา ฆ่ากิเลสสูญ

    --เผ่นหนีแน่บไม่เหลียวหลัง บอก"กลับมาก่อนๆ" พ่อเจ้าประคุณเผ่นแน่บไม่คิดชีวิต กิเลสมันไม่ค่อยกล้ารับกับความจริง--เรื่องจริงผ่านจอ-- ดูได้แต่ไม่ชอบเลือดแดงๆ หรือหมาเน่า ก็ไม่ค่อยชอบ เพราะอศุภกรรมฐานไม่ถูกกะกิเลสของผมนะครับ(และของทุกคน)---จิตบอกว่า "ให้ทำจิตให้เหมอนชายรักชาย ให้ดูผู้หญิงน่าเกลียดไปมทุกมิลลิเมตรของส่วนสัด"-- เกลียดกลิ่นเธอตอนเน่าๆ--- ก็เคยเห็นอยู่ไม่ใช่เกหรอ" ครับ เคยเห็นนะศพ--- จะให้ได้กลิ่นก็มากไปนะหลวงตา เดี๋ยวพาลกินข้าวกินปลาไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2012
  19. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ท่านดร.อาจองแนะให้แผ่เมตตาไปกล้างไกลในอวกาศ ผมก็ทำกตามดู เป้นคำสอนท่านไสบาบา ดีมากเพราะทำให้โลกร่มเย็นได้มาก


    ภาวนา พุทธเมตตา เจริญให้เ็นพลลัง เมตตาพละ---แผ่พลังจนเป็นแสงสีขาว เป็นก้อนแสง ผลึกแสงจะดีกับโลก
    ---ความรัก ความเมตตาไม่มีประมาณ--แด่ทุกสรรพสัตว์น้อยใหญ่
    Om Premma Anandaโอม เปรมมา อานันดา ความรักเมตตาที่ไร้ขอบเขตมากมายเป็นอนันต์ นำมาซึ่งสันติธรรม
    ขอภราดรภาพจงมีแด่ทุกศาสนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2012
  20. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เคยอ่านว่า ที่ร่างกายเราแก่ เพราะว่าสูดออกซิเจนมากไป แบบว่าหนุ่มสาว เร่งการเผาผลาญ นั่งสมาธิ ได้ออกซเจนน้อยกลับดีต่อร่างวกายมากกว่า
    ---พระฤาษีนารอท ท่านว่า อยากหายตัวได้ ก็ให้ท่อง ดินน้ำลบมไฟ--นะมะพะทะ(ภาษามอญ)อยู่กลางแจ้งซึ่งอาจไม่ได้ผลดังกล่าว แต่จะได้พลังขิองจิตมาแทน The Power of Mind
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...