ประสบการณ์การนั่งสมาธิจากการเริ่มแยกขันธ์ ๕

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พลังขาว, 4 มีนาคม 2013.

  1. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    โอโฮ้ ต้องใช้คำนี้ แต่ละท่านจัดหนักเลย น้องเจ้าของกระทู้ต้องใจเย็น ๆ (เปิดใจน้อมรับและลองทำดู ที่ทำอยู่ไม่ผิดแต่ยังเข้าไม่ถึงเท่านั้น) ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ แล้วจะรู้แจ้งตามแต่ละท่านตอบ หาอ่านยากนะ ธรรมะแบบนี้ ขออนุโมทนาน้อมรับธรรมด้วยเศียรเกล้า ด้วยกาย วาจา ใจ อย่างสูงสุด
     
  2. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ความเมา 3 อย่าง สรุปรวบยอด ไม่เยิ่นเย่อ แต่ย่นย่อ เหลือเพียงหนึ่ง คือ เมาอุปาทานขันธ์
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    สวัสดีค่ะ ชาวสมาชิกพลังจิตทุกท่าน

    ดิฉันอ่านเว็บไซต์นี้มาไม่นานมากนักประมาณ 2 ปีกว่า ร่วมบริจาคและเข้ามาสบทบอนุโมทนาบุญจากการบอกบุญด้วยกันหลายครั้ง จนกลายเป็นเว็บไซต์ทีเข้ามาอ่านเป็นประจำทุกครั้งที่มีเวลา

    ก่อนอื่นตอนนี้ดิฉันอายุ 17 ปี แล้ว:] ได้มีประสบการณ์นั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอมาเป็นเวลา 1 ปีเต็มวันนี้เป็นวันที่สมัครเป็นสมาชิกวันแรกเพราะอยากมาเเลกเปลี่ยนประสบการณ์กับทุกคนค่ะ

    ดิฉันเป็นลูกศิษหม่อมน้อยค่ะ ดิฉันทำงานในวงการบันเทิงค่ะ ทุกสัปดาห์ก็จะต้องเข้าไปเรียนอย่างสม่ำเสมอ เป็นเวลา 2 วันทุกๆอาทิตย์ บทเรียนแรกคือเริ่มจากการขยับกระดูกทีละข้อเพื่อตามดูจิตอย่างละเอียดกับร่างกายจนจับได้ทุกข้อทุกเส้นเอ็นและเลือดที่ไหลไปตามร่างกาย รู้สึกถึงทุกขณะจิตในระหว่างที่ทำและควบคู่ไปกับการนั่งสมาธิ 1 ปีที่นั่งสมาธิมาจนถึงวันนี้

    +++ หากอาจารย์ของคุณ สามารถวางหลักสูตรการฝึกนี้ได้ด้วยตัวของตัวเอง ผมเห็นว่า คุณควรฝึกต่อในชั้นละเอียดกับอาจารย์ของคุณจะดีที่สุด อาจารย์ของคุณสามารถ กำหนดหลักสูตร ใช้กายเป็นอุปกรณ์ (กายานุปัสสนา) เพื่อเข้าสู่การดูการทำงานของจิต (จิตตานุปัสสนา) ในระดับของ การอ่านวาระจิตแห่งตน ซึ่งบุคคลในระดับนี้ (วางหลักสูตรเอง) เป็นบุคคลที่หาได้ยากในยุคนี้

    +++ ผู้ที่สามารถวางหลักสูตรได้เอง ย่อมแสดงให้เห็นว่า เป็นผู้ที่ชำนาญและผ่านประสพการณ์ทางจิตมามาก ย่อมรู้จริตของศิษย์ตนเองได้ ตัวคุณเองในฐานะที่เป็นศิษย์ควรฝึกฝนกับอาจารย์ของคุณให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ นะครับ

    ดิฉันเริ่มจากการเเยกขันธ์ ๕ จับให้ถูกว่าสิ่งไหนคือ เวทนา สังขาร สัญญา วิญญาน และ รูปกาย

    +++ ปัญหาอีกประการหนึ่งที่พบเห็นอยู่ทั่วไปในสนามของการฝึกคือ เรื่องของภาษา ซึ่งควรใช้ภาษาให้ตรงกับอาการของจิต เรื่องของจิตนี้หากใช้ภาษาพลาดไปนิดเดียว อาจสื่อกันไปคนละทางได้ง่าย ๆ และผิดวัตุถุประสงค์ไปเลย เช่น "ดิฉันเริ่มจากการเเยกขันธ์ ๕" ตรงนี้ภาษาที่ตรงกับอาการควรจะเป็น "ดิฉันเริ่ม จำแนก ขันธ์ ๕ ใด้ถูกว่าสิ่งไหนคือ เวทนา สังขาร สัญญา วิญญาน และ รูปกาย" เป็นต้น

    +++ ส่วนการแยกขันธ์ 5 จริง ๆ เป็นผลลัพธ์ที่มาจาก มหาสติสามารถครองฐานได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่องแล้ว นะครับ

    เมื่อนั่งแรกๆ บางคนอาจจะพบกับเวทนาทางกายที่ว่า ปวดขาบ้างขาชาบ้างคันบ้าง แต่สิ่งที่ดิฉันเจอคือ ปวดฉี่มากๆค่ะทุกๆครั้งที่นั่งจนนั่งไป ถึงประมาณ 6 เดือน อาการนี้ไม่เคยหายไป แต่ดิฉันก็ภาวนาและไม่ได้เสวยเวทนานี้ จนถึงวันหนึ่งที่ดิฉันรู้สึกเหมือนกับว่าปัสสาวะราดเต็มกางเกงและมีอาการปวดท้องปัสสาวะมากๆนผิดปกติแต่ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดู เพราะทุกๆครั้งที่ปวดพอนั่งเสร็จก็จะลองไปเข้าห้องน้ำแต่ทุกครั้งก็จะพบว่า ไม่มีอาการปวดฉี่เลยหลังจากนั่งเสร็จ พอถึงเหตุการณ์ที่รู้สึกปัสสาวะราดนั้นจึงตามดูจิตไปเรื่อยๆ และพอเกิดเหตุการณ์นั้นอาการปวดท้องก็หายไปเลย พอนั่งเสร็จลืมตาขึ้นมา พบว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่เหมือนกับสิ่งที่เวทนานั้นหลอกเราให้เราแตกสมาธิ หลังจากนั้นอาการนั้นหายไปเลยค่ะ

    +++ ตรงนี้คุณควรสอบถามอาการกับอาจารย์ของคุณในเรื่องที่เกี่ยวกับ "เวทนา ที่เป็นผลลัพธ์มาจาก การกำหนดดู" ซึ่งอาจารย์ของคุณน่าจะเฉลยอาการตรงนี้ให้เป็นที่สิ้นสงสัยแก่คุณได้ เพราะเวทนานั้นไม่เคยหลอกใคร มีแต่ความปรุงแต่งของจิตเท่านั้น ที่หลอกตนอยู่เสมอ ลอง ๆ ถามดูเพื่อความก้าวหน้าของคุณ นะครับ

    อยากฝากทุกท่านไว้ว่าถ้าเกิดเวทนาทางกายใดๆ ให้ภาวนาไว้ว่า เวทนาหนอ อย่าเผลอไปเสวย และ ทำเป็นไม่สนใจ ให้รู้เอาไว้ว่ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่เเค่นั้นบางคนอาจจะเจอที่ทรมารกว่านี้ แต่วันนึงถ้าเรารู้ทันเวทนานั้นบ่อยๆ เค้าก็จะหายไปเอง ตามระยะเวลาที่เหมาะสม สิ่งทั้งหมดนี้ที่เค้ามาปรากฏให้เรารู้เห็นและจับ เพราะจะค่อยๆขัดเกลาเราให้เข้าใจและเเยกได้มากขึ้น

    +++ ยามใดที่เวทนาเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ท่านให้ "รู้" สภาวะแห่งความเป็นจริงนั้น ๆ (ดำรงค์ สติ มั่น รู้ ปรากฏการณ์ที่มีอยู่จริงในขณะจิตนั้น ๆ) หากนำเอาคำ ภาวนาหรือบริกรรม เข้ามาแทรกแซงในขณะนั้น จิต ย่อมเลี่ยงไปอยู่กับ คำบริกรรม แทนที่จะอยู่กับ สภาวะที่มีอยู่จริง ตรงนี้ควรสอบถามและเรียนรู้กับอาจารย์ของคุณเพิ่มเติม นะครับ

    +++ การฝึกฝนของคุณมาในทางของ มหาสติปัฏฐาน อยู่แล้ว ควรฝึกฝนจนกว่า ประสพการณ์จะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ นะครับ
     
  4. name4022

    name4022 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +5
    ถ้ายังต้องโต้เถียงกันอยู่ก็แสดงว่ายังเป็นอวิชชาอยู่ครับ
     
  5. chura

    chura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +1,971
    เวทนาใดเกิด ให้เราเป็นผู้สังเกตุการณ์ในเวทนานั้นๆ โดยไม่ต้องไปพูดว่า"เวทนาหนอ"
    "ปวดฉี่" เกิดขึ้นให้เห็น"ปวดฉี่" แล้วเฝ้าสังเกตุความปวด(เกิดขึ้นเสื่อมสลายและดับไป)
    ที่เรียกว่าพิจารณา "ทุกขลักษณ์"หรือพิจารณาเห็นไตรลักณ์ของเวทนานั้นๆ เมื่อเรา
    เห็นความปวดเกิดขึ้นเสื่อมสลายและดับไป นั่นแหละคือตัว"ปัญญา" ต้องพิจารณาเห็น
    แบบนี้บ่อยๆ ปัญญาเราจะโตขึ้นๆๆๆ จนกระทั่งแยกรูปแยกนามหรือขันธ์5ได้เอง
    ที่เข้าใจว่าแยกขันธ์5ได้ตอนนี้ยังไม่ใช่น๊ะครับ....และที่ต้องระวังคือเรื่องเอาสมมุติมาเป็น
    อารมณ์ หรือไปเอาคำพูดต่างๆเช่นพูดกำกับ"ปวดหนอ" เพราะคำพูดสมมุติ ไม่มีอารมณ์
    เกิดดับ เราต้องพิจารณาสภาวะปวดที่เกิด และเห็นความเกิดดับของสภาวะปวดจริงๆ
    ไม่ต้องมีำคำพูดไปบรรยายในใจแต่อย่างรัยน๊ะครับ....อนุโมทนาด้วยน๊ะครับ เริ่มต้นอายุ
    น้อยๆก็ก้าวหน้าได้ขนาดนี้....
     
  6. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ลองค้นเรื่องเก่าๆดูกันนะครับ "สติดีดออกจากสมาธิ"

    ขออนุญาตครับ

    ขอเชิญท่านที่สนใจในการปฏิบัติสมาธิภาวนา
    ลองค้นดูจากกระทู้เก่าๆดูนะครับ
    ลองใช้ความเพียรไล่อ่านดูบ้างนะครับ


    "สติดีดออกจากสมาธิ"

    http://palungjit.org/posts/3684636

    ขอโมทนา ขออนุโมทนา ร่วมกับญาติธรรมนักปฏิบัติทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2013
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย การคบสัปบุรุษ เป็นไปบริบูรร์แล้ว ย่อมทำการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ ..........การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์แล้ว ย่อมทำสัทธาให้บริบูรณ์ สัทธาบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำโยนิโสมนสิการให้บริบูรณ์.............โยนิโสมนสิการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำความเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ ให้บริบูรณ์.............ความเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ บริบูรร์แล้ว ย่อมทำการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรร์...............การสำรวมอินทรีย์บริบูรณืแล้ว ย่อมทำสุจริต สามประการให้บริบูรณ์ ............สุจริตสามประการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำสติปัฎฐานสี่ ประการให้บริบูรร์ สติปัฎฐานสี่ประการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำโพ๙ฌงค์ 7ประการให้บริบูรณ์ โพชฌงค์7ประการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำ วิชชาและ วิมุติให้บริบูรร์ .......................ภิกษุทั้งหลาย อาหารแห่ง วิชชาและวิมุติ นี้ ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ และ บริบูรร์แล้วด้วยอาการอย่างนี้(ต่อจากนี้ ตรัสอุปมาด้วยฝนตกลงในที่สูงแล้วใหลลงมาที่ต่ำ ย่อมทำให้เต็มบริบูรร์ต่อต่อ กันมาตามลำดับ จนกระทั่งถึงทะเล)---ทสก.อํ.24/121261....(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส หน้าที่992):cool:
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงซึ่งนิพพานคามิมรรค แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น ภิกษุทั้งหลาย ก็ นิพพานคามิมรรค เป็นอย่างไรเล่า ...กายคตาสติ ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.............สมถะและวิปัสนา ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค .............สวิตักสวิจารสมาธิ อวิตกกวิจารมัตสมาธิ อวิตักกอวิจารสมาธิ ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค..............สุญตสมาธิ อนิมิตสมาธิ อัปณิหิตสมาธิ ภิกาุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค..........สติปัฎฐานสี่ ภิกาุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค............สัมมัปธานสี่ ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค .............อิทธิบาทสี่ ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค................อินทรียืห้า ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค..................พละห้า ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค............โพชฌงค์7 ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค...........อริยะอัฎฐังคิกมรรค(มรรค8) ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค..........ภิกษุทั้งหลาย ด้วยอาการอย่างนี้ นิพพานคามิมรรค เป็นอันว่าเราแสดงแล้ว ภิกาุทั้งหลาย กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจอันนั้น เราได้ทำแปล้วแก่ พวกเธอทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ทั้งหลาย นั่นเรือนว่างทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส อย่าได้ประมาท พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นผู้ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย นี้แล เป็นวาจา เครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลาย ของเรา-----สฬา.สํ.18/441-442,450-453/674-684,720-751...:cool:
     
  9. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    วิธีการผิดเพราะเข้าใจในความหมายของขันธ์ 5 ผิด
    ควรทำความศึกษาในขันธ์ 5 เสียใหม่ให้ถูกต้อง
    เมื่อเข้าใจในความหมายของขันธ์ 5 ได้ถูกต้อง
    วิธีการพิจารณาขันธ์ 5 ดังกล่าวก็จะถูกต้องไปพร้อมกัน
     
  10. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    เวทนาคือความรู้สึก ทั้งสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เวทนาผมดับบ่อยๆตอนหลับสนิทไม่ได้สติ
     
  11. tanantachai

    tanantachai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +21
    ของลุงมหาสุดยอดมาก ทำให้ผมเข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะ "เมื่อ มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทางกาย ให้อยู่กับ "ความว่าง"
    เมื่อ มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทางจิต ให้อยู่กับ "รู้ลมหายใจ"
    เมื่อ รู้เห็น "ความคิด" เกิดขึ้น แสดงว่า กำลังสติ กำลังสมาธิ เริ่มจะมีบ้างแล้ว
    อย่าเพิ่งไปพิจารนา "ความคิด" นั้น

    เพราะถ้า กำลังสติ กำลังสมาธิ ไม่พอ จะกลายเป็น ความฟุ้งซ่าน แทน
    ความฟุ้งซ่าน คือ การที่เราคิดไปเอง ปรุงแต่งไปเอง โดยหลุดออกมาจาก
    กำลังสติ กำลังสมาธิ ที่ควบคุมอยู่

    ถ้า เรา "รู้ความคิด" มากๆจนชำนาญ ภายใต้ กำลังสติ กำลังสมาธิ ที่ควบคุมอยู่

    เราจึงจะสามารถ "พิจารนาธรรม" ได้" สาธุุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากนั้นพิจารณาธรรม ไปสังหารเวทนา
     
  12. tanantachai

    tanantachai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +21
    อยากเห็นหม่อมน้อย ทำหนังแนวตลก
     
  13. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    หลายท่านกล่าวมาแล้วเรื่องการพิจรณาขันธ์5 เป็นอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา แต่ที่ถูกต้องคือต้องภาวนาเกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ หรือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้เห็นเป็นปฏิกูลและเป็นไตรลักษณ์ก่อนครับ ค่อยไปที่ขันธ์5 เพราะกรรมฐานที่ผมกล่าวลูกผู้ชายชาวพุทธทุกคน ท่านพระอุปัชฌาย์ท่านจะประทานให้ในวันบวช เมื่อเราพิจรณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แล้วค่อยไปพิจรณา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณครับ จึงจะถูกต้องตามลำดับ..........
     
  14. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    การจะปฏิบัติให้เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมได้นั้น ไม่ใช่เพราะการแยกขันธ์ 5
    แต่การจะปฏิบัติให้เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมนั้น เพราะการที่จิตไม่เข้าไปหาขันธ์ 5 และก็ไม่ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นจากขันธ์ 5
    จิตที่กล่าวนี้คือ จิตของผู้หลุดพ้น เป็นสภาวะธรรมของผู้เข้าถึงวิมุตติ


    การที่จิตไม่เข้าไปหาขันธ์ 5 และก็ไม่ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นจากขันธ์ 5 ผู้เข้าถึงวิมุตติ จึงเป็นผู้ปราศจากซึ่งความฟุ้งซ่าน และเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยมีสติและสัมปชัญญะ
    เห็นกระทู้ท่านลุงมหา อ้างอิงถึงกระทู้ที่เคยได้อธิบายไว้ จึงใช้ชื่อ ทดสอบ1 เข้ามาสอนธรรมให้ทราบว่า ผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้วนั้นเป็นอย่างไร

    สุดท้ายนี้
    อีกไม่นานจากนี้ จะมีผู้ที่เข้าถึงธรรมและแสดงธรรมของจริงให้ได้เห็น ถ้าปรารถนามีชีวิตอยู่ได้เห็น(ไม่ตายจากภัยธรรมชาติ ที่จะเกิดขึ้น) ก็ควรทำแต่ความดี ละเว้น ความชั่วทั้งปวง ถ้าเคยล่วงเกินพระรัตนตรัย บิดา มารดา และผู้มีอุปการะคุณ ให้รีบขอขมาเสีย ให้ตั้งต้นอยู่ในศีล ในธรรม จึงจะมีโอกาสได้พบได้เห็น จะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของแต่ละท่าน
     
  15. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :cool:ถ้าไม่แยกขันธ์5..ท่านจะอยู่เหนือเวทนา รูป-นาม สมุติ-บัญญัติโลกได้อย่างไร ท่านจะเอาเหตุผลอะไรบอกกับจิต สอนจิตว่า..นี่ตัวเราไม่ใช่เรา..แค่ธาตุ4มาประชุมกัน..
    :'(การอยู่เหนือโลกก็คือการอยู่เหนือธาตุ4-ขันธ์5 นี่แหละครับจิตมันอุปทานเกาะขันธ์5มาเกิดไม่ใช่รึครับ ไม่ทำลายอุปทานหรือแยกให้เห็นชัดเจนเราจะพ้นจากุอุปทานได้อย่างไรครับ
    :'(ไม่แยกขันธ์5 แต่ไม่ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นกับขันธ์5 ควาหมายคืออะไร จะบอกอะไรครับ ท่านทดสอบ1 ผมไม่เข้าใจ
    การแยกขันธ์5..นี่คือด่านแรกของการเกิดอริยะโสดาบัน ผมเข้าใจอย่างนี้เลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2013
  16. นายกสิณ

    นายกสิณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2011
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +251
    จะเถียงกันไปทำไม เพราะทุกครั้งเวลานั่งสมาธิ มักจะเกิดอาการต่างๆ ซึ่งแตกต่างกันไปของแต่ละบุคคล เหมือนมั้งไม่เหมือนมั้งก็เป็นเรื่องปกติ สนใจทำไมถ้าเราเป็นผู้ที่ได้เรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติตัวจริง .....หรือมีแต่ผู้ปฏิบัติแบบปลอมๆ เกิดอาการนิด เกิดอาการหน่อยก็มาเล่าให้ฟังว่าอย่างนั้นอย่างนี้มาถูกทางไหม มีแต่ข้อสงสัยในการปฏิบัติอยู่เสมอ แบบนี้มักจะทำให้จิตตกอยู่ในพะวังเสมอ ไม่หลุดจากตรงนี้ ไม่เกิดความก้าวหน้าในสมาธิ มีแต่ถอยหลังลงคลอง(ทั้งที่สมาธิก็ใกล้คลองอยู่แล้ว)
    ....จะสนทำไมขันธ์ 5 ขันธ์10 พิจารณาทำไม สิ่งนี้ไว้กับพวกที่จิตไม่เกิดสมาธิเท่านั้น....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2013
  17. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    สัพเพธรรมาอนัตตา
     
  18. พระ ธรรมะ

    พระ ธรรมะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2013
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +416
    ท่านทั้งหลายเราจะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเองจากความเพียร ทำให้มากเจริญให้มาก ไม่มีมีใครเก่งเกินใคร หากแต่ความรู้ความเข้าใจยังไม่เท่ากัน ใครสงสัยก้ถามได้นะ พอตอบได้ เอาไปศึกษาดูเผื่อจะมีประโยชน์แก่ท่านที่กำลังสงสัย อายุหรือเวลามันตัดสินไม่ได้หรอกนะใครหยอดกระปุกมาเยอะทำงานน้อยก้รวย ส่วนคนที่หยอดกระปุกมาน้อยทำงานมากถึงจะรวย สมมติว่ากระปุกนี้เก็บเงินได้ร้อยนึง ชาติก่อนใครที่หยอดมา99แล้วก้หยอดอีกเพียงบาทเดียวมันก้เต็ม แต่ถ้าหยอดมาแค่บาทเดียวก้ต้องหาเพิ่มอีก99นะ
     
  19. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    เห็นความคิด กลับนึกว่า เป็นจิตฟุ้งซ่าน แล้วจะทำอย่างไร

    ขออนุญาตครับ

    มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง เป็นคนประเภทที่สติกล้าเข็งมากๆ
    เพราะเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน

    เช่น ท่านผู้มีอาชีพขับรถที่เดินทางไกลๆ ท่านที่เป็นนักต่อสู้
    ท่านที่มีอาชีพเป็นตำรวจ เป็นทหาร เป็นต้น

    ท่านเหล่านี้จะฝึกฝนอย่างหนัก หรือ ทำบ่อยๆ ทำให้สติกล้าเข็ง

    ท่านเหล่านี้ ถ้าไม่คุ้นเคยใน ศรัทธา ทาน ส๊ล สมาธิ ปัญญา
    เมื่อมาฝึกมาหัด ทำสมาธิภาวนาใหม่ๆ ท่านเหล่านี้ จะเกิดสมาธิได้ยาก
    เพราะสติกล้าแข็ง สติมีกำลังมาก แต่สมาธิกลับมีกำลังน้อย
    จึงเกิดความไม่สมดุล ระหว่าง สติ และ สมาธิ

    ในท่านนักปฏิบัติโดยทั่วๆไปนั้น การสะสมกำลังสติ กำลังสมาธิ จะเกิดการสมดุลโดยอัตโนมัติ

    แต่ในท่านกลุ่มนี้ กลับผิดแผกแตกต่าง เพราะ กำลังสติ มีกำลังมากกว่า สมาธิมากๆ
    ก็จะเกิดอาการ ฝึกนั่งสมาธิทีไร ก็เลยเห็นแต่ความคิดตัวเอง แถมยังพาลคิดไปว่า เป็นความฟุ้งซ่าน ไปโน่น

    วิธีแก้สำหรับท่านเหล่านี้คือ

    1.ให้ฝึกนั่งสมาธิภาวนา เฉพาะ ช่วงที่ตื่นนอนใหม่ๆเท่านั้น
    เพราะตอนตื่นนอนใหม่ๆ จิตยังไม่ได้ ตั้งสติที่กล้าแข็ง หรือ ยังไม่ได้คิดอะไรมามากในวันนั้น
    ซึ่งจะทำให้จิตสงบเป็นสมาธิได้มากขึ้น ได้เร็วขึ้น

    2.ให้เดินจงกลม ก่อนนั่งสมาธิภาวนา อยู่เสมอๆ
    หรือแรกๆเดินจงกลมเพียงอย่างเดียวมากๆก็ได้

    3.นั่งสมาธิภาวนามันไปเลย เมื่อเห็นความคิดตนเอง ก็ให้ตามดู ว่ามันคิดอะไรบ้าง
    แต่ระวังอย่าไปโน้มนำ ไปปรุงแต่งว่า ว่าอยากให้มันคิดอะไร
    ให้เฝ้าตามดูอย่างเดียว

    ท่านที่เป็นอย่างนี้ ท่านที่สติกล้าแข็งกว่าสมาธิ
    จะสามารถเข้าถึง "จิตตานุปัสนาสติปัตฐาน"
    คือการเห็นจิต ก็คือ การเห็นความคิด นั่นล่ะครับ

    เพราะเมื่อจิตของท่านกล้าแข็งอยู่แล้ว และ มีกำลังสมาธิ อันเหมาะสม
    เพราะเมื่อท่านเห็นความคิดของท่านอยู่แล้ว
    สิ่งจะเกิดกับท่านต่อไปก็คือ การเห็นจุดเริ่มต้นของความคิด ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไร
    และต่อไปท่านก็จะเห็น การสิ้นสุดของความคิดในแต่ละเรื่อง ในแต่ละตอน

    แล้วท่านก็จะเห็น การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไป

    เห็นการเกิดขึ้น ก็คือ การเห็น จุดเริ่มต้นของความคิด ในแต่ละเรื่อง ในแต่ละตอน
    เห็นการตั้งอยู่ ก็คือ การเห็น เรื่องราวการดำเนินไป ในแต่ละเรื่อง ในแต่ละตอน
    เห็นการดับไป ก็คือ การเห็น จุดสิ้นสุดของเรื่องราว ในแต่ละเรื่อง ในแต่ละตอน

    ในที่สุดท่านก็จะเห็น การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไป ของเรื่องราวต่างๆ
    เด่นขึ้น ชัดขึ้น ละเอียดขึ้น

    ดีไม่ดี ท่านอาจจะทะลุ ไปถึง "การรู้ตัว ทุก อิริยาบถ" โดยไม่ต้องยาก ลำบากอะไรเลย
    ดีไม่ดี ท่านไม่ต้อง ไปนั่งสมาธิภาวนาใดๆเลย

    เพียงแต่ท่านเฝ้าดูจิตของท่านเท่านั้นเอง

    เห็นหรือยังละครับ รู้หรือยังละครับ
    ที่ผมบอกเล่าว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    เห็นอันไหน รู้อันไหน ชำนาญอันไหน ให้ปฏิบัติอันนั้นก่อน
    โดยไม่ต้องไปดู ไปรู้ ไปอ่าน ธรรมกระดาษ ใดๆเลย

    เหมือนที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกท่านสอนว่า


    "การรู้ธรรม เห็นธรรม เหมือนการเดินในเขาวงกต"
    "ซึ่งมีเส้นทางหลายๆทาง มีทั้งทางสำเร็จง่ายหลายๆทาง"
    "มีทั้งทางสำเร็จปานกลางหลายๆทาง"
    "มีทั้งทางสำเร็จยากหลายๆทาง"
    "และก็ยังมีทางตัน ที่ไปแล้ว จะไม่มีวันรู้ธรรมเห็นธรรมใดๆเลย"


    "ดังนั้น เส้นทางเพื่อความสำเร็จใดๆ ก็ขึ้นกับ จริต นิสัย บุญ วาสนา บารมี เดิมของท่านเอง"
    "ท่านต้องเลือก เส้นทางให้เหมาะกับตัวท่านเอง เพื่อท่านจะได้รู้ธรรม เห็นธรรม ได้ง่ายที่สุด ได้เร็วที่สุด"


    ในลักษณะเดียวกัน เมื่อ การรู้ธรรม การเห็นธรรม การได้ธรรม ของท่าน มันหายไป มันเสื่อมไป
    ในลักษณะเดียวกัน เมื่อ การรู้อภิญาญาณ การเห็นอภิญาญาณ การได้อภิญาญาณ ของท่าน มันหายไป มันเสื่อมไป


    ท่านก็ใช้เส้นทางเดินในเขาวงกต ที่ท่านคุ้นเคยที่สุด ที่ท่านชำนาญที่สุด
    เดินเส้นทางนั้นใหม่ ปฏิบัติเส้นทางนั้นใหม่ ซ้ำแบบซ้ำรอยเดิมนั่นเอง


    ถ้าท่านไม่ใช่อัฉริยะ ผู้รู้เอง เห็นเอง โดยไม่ต้อง รับคำแนะนำสั่งสอนจากใคร

    ขออย่าได้เสียเวลาไปหาเส้นทางใหม่ๆ ให้เกิดความยาก ให้เกิดความลำบาก กับตนเอง

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับญาติธรรม ทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2013
  20. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ฮึย ถ้าลองอาจารย์อะไรนั่น กล่าวออกมาแบบนี้ สงสัยว่า จะไม่สมควรเรียก
    อาจารย์เลย น่าจะเรียกว่า นักก๊อปปี้ธรรม เสียมากกว่า

    เพราะ คนที่เป็นอาจารย์ จะต้อง รู้ทางมากกว่าคนอื่น และ ไม่มีทางที่จะเห็นทางตัน

    คนที่เห็นทางตัน อ้าย อี คนนั้น สมควรจะเรียกว่าเป็น อาจารย์เหรอ

    ดังนั้น

    ถ้าโดน "สังขารขันธ์ แหกตา รู้เห็นความเกิดดับไม่ตรงตามความเป็นจริง"
    ก็จะปรารภว่า "การรู้ธรรม เห็นธรรม เหมือนการเดินในเขาวงกต" เพราะ
    คนๆนั้นย่อมเผลอไหลไปตามความคิด แทนที่จะมีจิตตั้งมั่น

    ถ้าโดน "วิญญาณขันธ์ แหกตา รู้เห็นความเกิดดับไม่ตรงตามความเป็นจริง"
    ก็จะปรารภว่า "ซึ่งมีเส้นทางหลายๆทาง มีทั้งทางสำเร็จง่ายหลายๆทาง" "มีทั้งทางสำเร็จ
    ยากหลายๆทาง" เพราะคนๆนั้นย่อมเผลอไหลไปตามรู ช่อง การปัก แทนที่จะมีจิตตั้งมั่น

    ถ้าโดน "สัญญาขันธ์ แหกตา รู้เห็นความเกิดดับไม่ตรงตามความเป็นจริง"
    ก็จะปรารภว่า "มีทั้งทางสำเร็จปานกลางหลายๆทาง" ทั้งที่ การสิ้นกิเลส
    มันมีรสเดียว จิตพ้นขันธ์5 พ้นทุกข์มันมี รสเดียว ถ้าไปเอา โลกียปัญญา
    มาจำแนกสัญญา ก็จะคิดว่ามีความสำเร็จชื่อนั้นชื่อนี้

    ถ้าโดน "เวทนาขันธ์ แหกตา รู้เห็นความเกิดดับไม่ตรงตามความเป็นจริง"
    ก็จะปรารภ "และก็ยังมีทางตัน ที่ไปแล้ว จะไม่มีวันรู้ธรรมเห็นธรรมใดๆเลย"
    เพราะ ไม่รู้วิธีถอนเวทนา ไม่รู้จะไปยับยั้งอย่างไร เพราะมัวแต่ไปนั่งคิดนึก
    หาหนทางออก ทั้งที่ "เวทนาบางอย่างควรเสพ บางอย่างไม่ควรเสพ" นี้
    พระพุทธองค์ก็ทรงย้ำหนักหนาว่ามี และ ด้วยวิธีนี้ก็เพียงพอที่จะ ถอนเวทนา
    ได้ แถมยังเป็นทางเดียว ไม่ใช่หลายทาง ไอ้เรื่องดำริออกจากทุกข์ไม่ได้
    นี้เท่ากลับมา ย่ำยี พระพุทธศาสนา ...... คนเราหากมีความเพียร ยังไงก็
    ต้องเห็นธรรม ไม่จำกัดกาลเวลา


    คนที่เขาเป็น ครู และ สอนเป็น สังเกตเลย ท่านจะพูดให้เพียงพอกับการ
    ปฏิบัติ หลังจากนั้น ก็ไล่ให้ไปหา เรือนว่าง โคนต้นไม้ ป่า เขา ให้แยก
    ย้ายไปปฏิบัตโดยลำพัง ...... แต่ถ้า โง่สอนไม่เป็น เอะอะกล่าวข่มขู่
    ว่ามีทางตัน หยอดยาพิษให้ศิษย์ให้คอยอยู่ติดเป็นบริวาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...