บทความให้กำลังใจ( เตรียมใจรับมือความทุกข์)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,052
    ทุกข์ทุกทีเมื่อมีมานะ
    พระไพศาล วิสาโล

    ใคร ๆ ก็อยากให้ตัวเองดูดี เด่นกว่าคนอื่น ความอยากดังกล่าวทำให้เราปรารถนาความสำเร็จ อยากได้คำชม ซึ่งทำให้เราเกิดความวิตกกังวลตามมา เช่น เวลาจะทำอะไร ก็กลัวว่าทำออกมาไม่ดี กลัวล้มเหลว กังวลว่าคนอื่นจะมองฉันอย่างไร เกิดความประหม่า อันนี้บางคนก็เรียกว่าเป็นเรื่องอีโก้ ส่วนทางพุทธศาสนาเรียกว่ามานะ หลายคนทำงานแล้วไม่มีความสุขเพราะกลัวถูกต่อว่า กลัวถูกตำหนิ ความกลัวนี่แหละทำให้ทำงานไม่มีความสุข หรือบางทีก็ไม่กล้าจะทำอะไรเลย และนอกจากจะไม่มีความสุขแล้ว บางครั้งทำให้งานออกมาไม่ดีด้วย

    ในประเทศญี่ปุ่น มีเจ้าอาวาสวัดรูปหนึ่งในเกียวโตมีฝีมือมากในด้านการเขียนอักษรด้วยพู่กันที่เรียกว่า สุมิเย วัดนี้มีจุดเด่นอยู่ตรงซุ้มประตูเพราะมีคติธรรมที่เกิดจากฝีแปรงของเจ้าอาวาสท่านนี้ เป็นที่ยกย่องว่าสวยงามมาก คติธรรมนี้มีตัวอักษรเพียงแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น มีตำนานเล่าว่าตอนที่ท่านเขียนคติธรรมนี้ด้วยพู่กันขนาดใหญ่ มีลูกศิษย์คนหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ คอยทำน้ำหมึกให้ท่าน ลูกศิษย์คนนี้เป็นคนที่ตาเฉียบคมและพูดตรง พออาจารย์ตวัดพู่กันเสร็จ ลูกศิษย์ก็พูดขึ้นมาว่า ยังไม่สวย อาจารย์ไม่ว่าอะไร ก็ตวัดอีกครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์ว่าแย่กว่าเดิม อาจารย์จึงเขียนใหม่ แต่ลูกศิษย์ก็ยังเห็นข้อตำหนิ วันนั้นอาจารย์เขียนถึง ๘๐ ครั้งลูกศิษย์ก็ยังว่าไม่สวย จนอาจารย์เริ่มท้อแล้ว เผอิญลูกศิษย์มีธุระออกไปข้างนอก ในช่วงที่ลูกศิษย์ไม่อยู่นี้เอง อาจารย์เห็นเป็นโอกาสดี เพราะไม่ต้องห่วงว่าใครจะมองอย่างไร จึงตวัดพู่กันเดี๋ยวนั้นเลย พอลูกศิษย์กลับมาเห็นก็ตะลึง ชมว่าสวยมาก กลายเป็นผลงานที่ยืนยงมาจนทุกวันนี้


    นี่เป็นที่มาของศิลปะบนซุ้มประตูของวัดโอบากุ เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า การทำงานนั้นจะได้ผลดีเมื่อเรารู้สึกว่าเราได้ทำอย่างอิสระ โปร่งโล่ง ไม่ต้องคำนึงหรือกังวลกับสายตาของใคร ผลงาน ๘๐ ชิ้นแรกของอาจารย์นั้นออกมาไม่ดีเพราะอาจารย์กังวลสายตาของลูกศิษย์ แต่พอลูกศิษย์ไม่อยู่ อาจารย์ก็ไม่มีความกังวลแล้ว จึงแสดงความสามารถออกมาสุดฝีมือ ผลงานออกมาอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่ไม่มีความประหม่า ไม่มีความวิตกกังวล ตรงกันข้ามเมื่อใดก็ตามที่เรากังวลกับสายตาของคนอื่น จะเกิดตัวกูขึ้นมาอย่างชัดเจน คือเป็นห่วงว่าคนอื่นเขาจะมองฉันอย่างไร ถ้างานออกมาไม่ดี ฉันจะถูกต่อว่า ความรู้สึกว่ามีตัวกูแบบนี้แหละที่ทำให้งานนั้นออกมาไม่ดี คนที่มีตัวตนสูง หรือมีมานะมาก มักจะคาดหวังให้คนชม อยากให้คนสรรเสริญ ทำให้เกิดความกังวลขึ้นมา ไม่เป็นอิสระ เพราะเมื่ออยากให้คนชมก็ย่อมเกิดความกลัวว่าเขาจะตำหนิ ความกลัวนี้เองทำให้ผลงานออกมาได้ไม่เต็มที่ ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นอิสระ

    พวกเราที่ดูบอลโลก เคยสงสัยไหมว่า นักฟุตบอลระดับโลกหลายคนเตะบอลทำไมจึงเตะลูกตรงจุดโทษไม่เข้า ทั้งๆ ที่เป็นจุดที่สามารถเตะบอลเข้าประตูได้ง่ายที่สุด ไม่ใช่เพราะคนเฝ้าประตูเก่ง บ่อยครั้งคนเฝ้าประตูไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะอีกฝ่ายเตะลูกออกนอกกรอบ ไม่ว่าจะเป็นโรนัลโด้ โรนัลดินโญ่ เบ็คแฮม หรือเมสซี่ ล้วนมีประสบการณ์แบบนี้ทั้งนั้น ส่วนใหญ่มักจะเตะพลาดในนัดสำคัญคือนัดตัดเชือก หรือนัดชิงชนะเลิศ ถ้าเป็นการซ้อมในสนามธรรมดาหรือนัดไม่สำคัญ นักฟุตบอลเก่ง ๆ มักจะเตะเข้า แต่ถ้าเป็นนัดชี้ขาดโดยเฉพาะหากทีมของตัวเองเป็นฝ่ายตามหลังเขา ถ้าเตะเข้าก็จะเสมอหรืออาจจะได้เข้ารอบ แต่หลายคนเตะไม่เข้าทั้งๆ ที่มันง่ายที่สุด นั่นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะความกดดัน เพราะวิตกกังวลว่าถ้าเตะไม่เข้านอกจากจะแพ้แล้ว ตัวเองยังจะถูกโห่ถูกต่อว่า ว่าลูกง่ายๆ ทำไมเตะไม่เข้า คือถ้าลูกยากๆ เตะไม่เข้าก็ไม่มีใครว่าเพราะเป็นธรรมดา แต่ถ้าลูกง่ายๆ แล้วเตะไม่เข้า คนเตะก็เสียคนได้ พอมีความกังวลแบบนี้ก็เลยเครียด เกร็ง ทำให้เตะไม่เข้าจริง ๆ อันนี้เป็นเพราะมีตัวกูอยู่ มีความรู้สึกว่ากูอาจจะถูกด่า ความรู้สึกแบบนี้ให้เกิดความเครียด เพราะฉะนั้นเวลาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ หลายคนไม่อยากเตะนะ จอห์น เทอรี่ เคยเตะลูกโทษนัดชิงชนะเลิศแล้วไม่เข้า ก็เลยเลิกเตะลูกโทษเป็นปี เพราะเข็ดขยาดหรือขาดความมั่นใจ

     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,052
    (ต่อ)

    อันนี้เป็นด้านกลับของมานะ คือเมื่อมีมานะมากๆ คุณก็จะใส่ใจกับสายตาของผู้คนมาก ซึ่งทำให้คุณกลัวความล้มเหลว กลัวความผิดพลาด และถ้าคุณยิ่งกลัว ประการแรก มันทำให้คุณทำงานอย่างมีความทุกข์ ประการที่สอง ทำให้คุณทำงานไม่สำเร็จอย่างที่กลัวจริงๆ หรือผลงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ต่างจากคนที่ไม่กลัวความล้มเหลว ไม่แคร์ว่าคนอื่นเขาจะว่าอย่างไร ฉันจะทำให้เต็มที่ คนที่คิดแบบนี้มักจะทำงานได้ดี อันนี้ต่างจากความเห็นของชาวตะวันตกที่ว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้มีอีโก้เยอะๆ ต้องมีมานะเป็นแรงขับเคลื่อน จึงจะทำงานสำเร็จได้ แต่ว่าในความเป็นจริงเราก็จะเห็นว่า ถ้าการทำงานมีอัตตา มีมานะเข้ามาผลักดัน นอกจากจะให้เราเป็นทุกข์แล้ว ยังทำให้งานไม่สำเร็จด้วย


    โทษอีกประการหนึ่งของมานะ คือทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะมานะทำให้อยากได้รับความสำคัญจากคนอื่น อยากให้ตัวกูได้รับการพะเน้าพะนอหรือตามใจ แต่เมื่อตัวกูไม่ได้รับการตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นลูก หรือสามีภรรยา พอถูกพ่อแม่หรือคนรักตำหนิ ไม่ตามใจ หรือไม่ให้ความสำคัญ ก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา นี่เป็นด้านกลับของตัวมานะ เพราะว่ายิ่งอยากได้รับคำสรรเสริญชื่นชม อยากได้รับความสำคัญ แต่พอไม่ได้ บวกก็กลายเป็นลบทันที ความน้อยเนื้อต่ำใจจนเกิดการฆ่าตัวตายก็เพราะตัวมานะนี่แหละ

    ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านใช้คำว่า “ปมเขื่อง” ฝรั่งรู้จักแต่คำว่า ปมด้อย แต่ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่าปัญหาที่แท้จริงคือ ปมเขื่อง นั่นคือความต้องชูตัวตนให้สูงเด่น แต่พอไม่ได้รับการตอบสนองมันก็จะเหวี่ยงกลับ เหมือนกับรักเขามากแต่พอไม่ได้รับการตอบสนองก็กลายเป็นโกรธแล้วก็เกลียดตามมา เพราะรักกับโกรธหรือเกลียดนี้มันใกล้กันมากเลย มันเป็นด้านกลับของกันและกัน ปมเขื่องกับปมด้อยก็เช่นกัน เป็นด้านกลับของกันและกัน ความต้องการเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นชม เป็นคนสำคัญ แต่พอไม่ได้รับความใส่ใจ ไม่ได้รับการตอบสนอง มันเกิดความไม่พอใจ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา แล้วก็เกิดการทำร้ายตัวเอง

    นอกจากมานะจะทำให้เรากลัวความล้มเหลว กลัวถูกตำหนิ กลัวถูกวิจารณ์ กลัวไม่ได้รับคำชม สุดท้ายมันยังทำให้เรากลัวตายด้วย เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “รักตัวกลัวตาย” นั่นคือ เพราะรักตัวจึงกลัวตาย ลึก ๆ แล้วคนเราทุกคนล้วนรักตัว หวงแหนตัวตน มานะในด้านหนึ่งก็หมายถึงการหวงแหนตัวตน หวงแหนตัวกู เพราะฉะนั้นจึงทำให้กลัวตายมาก สังคมหรือวัฒนธรรมที่กระตุ้นให้คนเกิดมานะเยอะๆ เช่น สังคมตะวันตก หรือสังคมสมัยใหม่ ผู้คนจะรู้สึกกลัวตายมาก คนที่มีมานะเบาบาง ปล่อยวางตัวตนได้ จะสามารถยอมรับความตายได้ง่ายกว่า

    ฉะนั้นการพยายามกระตุ้นให้คนเกิดมานะมากๆ นั้นไม่เพียงแต่จะทำให้คนเรามีความทุกข์ขณะที่มีชีวิต และในเวลาทำงานเท่านั้น แม้แต่เวลาตายก็ตายไม่มีความสุข โดยเฉพาะเมื่อคุณพบว่า เวลาล้มป่วยคุณทำอะไรไม่ได้เลย แต่ก่อนเคยบังคับบัญชา สั่งการทุกอย่างได้ แต่พอล้มป่วยแล้วก็อยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม้แต่จะบังคับบัญชาร่างกายก็ทำไม่ได้ ในสภาพเช่นนี้คนที่มีอัตตาสูงจะทุกข์ทรมานมาก คนเก่งจำนวนมาก เมื่อถึงเวลาป่วย นอนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่บนเตียง อยู่ในโรงพยาบาล เขาจะรู้สึกอึดอัดมาก และจะพยายามแสดงอำนาจโดยการสั่งคนนั้นคนนี้โดยเฉพาะพยาบาลอยู่ตลอดเวลา เพราะชีวิตของเขาเคยสั่งได้ตลอด เมื่อมานอนป่วยก็ทำใจไม่ได้ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนเดิม ก็ยิ่งโกรธและแสดงออกด้วยการใช้อำนาจกับหมอ กับพยาบาล ใช้อำนาจกับคนเฝ้า พยาบาลหลายคนเล่าว่า ถ้าเจอคนไข้ที่มีตำแหน่งสูงๆ จะเจอปัญหาแบบนี้มาก เพราะเขาเคยชินกับการใช้อำนาจ คุ้นเคยกับการสั่งคนนั้นคนนี้ตลอดเวลา แต่สิ่งที่เขาลืมไปก็คือ การยอมรับความจริงว่าถึงที่สุดแล้ว เราก็ควบคุมอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งกับร่างกายตัวเราเอง
    คนเก่งๆ คนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานโดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำ ผู้บริหาร มักมีมานะหรืออัตตาสูงตามไปด้วย เมื่อถึงเวลาป่วยก็จะป่วยอย่างทุกข์ทรมานมาก เวลาใกล้ตายก็จะขัดขืนต่อสู้กับความตาย จึงมักทุกข์ทรมานมากกว่าคนทั่วๆ ไป ชาวบ้านส่วนมาก เขาทำใจได้มากกว่า เพราะตลอดชีวิตเขาต้องทำใจมาตลอด ทำใจกับดินฟ้าอากาศ ทำใจกับสิ่งที่ไม่สมหวัง เจอตำรวจหรือข้าราชการ ก็ต้องยอม ดังนั้นพอถึงเวลาจะตายก็ไม่ดิ้นรนขัดขืน ต่างจากคนที่มีมานะมากๆ ประสบความสำเร็จมากๆ ใช้อำนาจสั่งการผู้คนตลอดเวลา ถึงตอนที่ทำอะไรไม่ได้ จะรู้สึกอึดอัด กระสับกระส่าย ทุรนทุราย

    :- https://visalo.org/article/suksala14.htm
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,052
    เกื้อกูลกันฉันมือขวาและมือซ้าย
    พระไพศาล วิสาโล
    ผู้หญิงคนหนึ่งร่างกายซีกซ้ายไม่มีความรู้สึก เพราะสมองบางส่วนตายไปเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก หมอพยายามทดสอบว่าร่างกายซีกซ้ายมีความรู้สึกแค่ไหน ด้วยการนำสิ่งต่างๆ มาสัมผัสที่ร่างกายซีกซ้าย ปรากฏว่าคนไข้ไม่รู้สึกอะไรเลย ระหว่างนั้นหมอสังเกตเห็นว่า คนไข้เอามือขวาลูบแขนซ้ายอยู่หลายครั้ง หมอแปลกใจว่าคนไข้ทำเช่นนั้นทำไมในเมื่อแขนซ้ายไม่สามารถรับความรู้สึกได้ เมื่อสอบถามคนไข้ ก็ได้คำตอบว่า เวลาเธอเอามือขวาสัมผัสร่างกายซีกซ้าย เธอสามารถรับรู้ความรู้สึกได้ หมอแปลกใจมากว่าซีกซ้ายของเธอรับรู้สัมผัสจากมือขวาได้ แต่กลับไม่สามารถรับรู้เวลาหมอเอาสิ่งต่าง ๆ มาสัมผัส

    เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันระหว่างมือซ้ายกับมือขวา หรือแขนซ้ายกับแขนขวา

    เวลามือซ้ายเจ็บปวด เช่น โดนตะปูตี โดนค้อนทุบ ปฏิกิริยาแรกของเราคือ มือขวาจะรีบไปกุมมือซ้ายที่เจ็บปวดทันที มันไม่ใช่เแค่ปฏิกิริยาอัตโนมัติธรรมดา เพราะมีการทดลองมานานแล้วว่า เวลามือซ้ายปวดแล้วมือขวาไม่ได้ไปทำอะไรกับมือซ้าย ความปวดจะมากขึ้น แต่ทันทีที่มือขวาไปสัมผัสหรือกุมมือซ้ายไว้ จะช่วยลดความปวดลงได้

    ท่านติช นัท ฮันห์ ได้บรรยายเรื่องนี้ไว้เป็นคติสอนธรรมได้ดีว่า

    เมื่อมือซ้ายได้รับความเจ็บปวดขึ้นมาโดยฉับพลัน มือขวาจะรีบไปช่วยเหลือมือซ้ายทันที โดยที่ไม่ถามว่าทำแล้วจะได้อะไร ไม่ถามว่ามือซ้ายเป็นใคร ไม่มีความรังเกียจหรืออิจฉามือซ้ายว่าเวลามีงานอะไร มือซ้ายไม่ค่อยได้ทำอะไรเลย มีแต่มือขวาที่ถูกใช้งาน มือขวายช่วยมือซ้ายโดยไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าฉันถูกเอาเปรียบ ฉันทำงานหนักกว่าเธอ มือซ้ายก็เช่นเดียวกันเวลาเห็นมือขวาปวดก็ไม่ได้คิดตั้งแง่ว่า เจ้านายรักมือขวามากกว่า มีอะไรก็ใช้แต่มือขวา ไม่สนใจมือซ้าย เวลาจะใช้งานฉันก็ใช้ในทางที่ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ เวลาจะล้างก้นก็ใช้แต่มือซ้าย มือซ้ายไม่เคยคิดแบบนั้น ทันทีที่รู้ว่ามือขวาปวดก็รีบเข้าไปช่วยทันทีเป็นการช่วยแบบไม่มีเงื่อนไข

    ท่านเปรียบเทียบให้เห็นความสัมพันธ์ของมือซ้ายและมือขวา เพื่อที่จะโยงไปถึงความเมตตากรุณาที่มนุษย์พึงมีต่อกัน

    คนเราควรจะปฏิบัติต่อกันอย่างนี้ คือเข้าไปช่วยเหลือกันทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการตั้งข้อรังเกียจใดๆ ทั้งสิ้น มองให้ดีนี้คือความสัมพันธ์แบบ “ไม่มีตัวกูของกู” นั่นเอง

    ถ้ามือซ้ายและมือขวามีความรู้สึกว่าทำแล้วฉันจะได้อะไร แล้วเธอเป็นใคร ความคิดแบบนี้เป็นอาการของการยึดติดในตัวกูของกู ทำให้เกิดการแบ่งเขาแบ่งเรา

    ท่านยังสอนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันว่า ไม่ควรจะมีความรู้สึกแบ่งเขาแบ่งเรา หรือทำไปด้วยความรู้สึกติดยึดในตัวกูของกู จิตใจเช่นนี้จะเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา อยากช่วยเหลืออย่างเต็มที่โดยไม่มีเงื่อนไข ตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า ความเมตตาที่ไม่มีประมาณเกิดจากการมีปัญญาอย่างถึงที่สุด จนกระทั่งเห็นว่าตัวกูนั้นไม่มีอยู่จริง จึงไม่มีความเห็นแก่ตัวแม้แต่น้อย

    ปัญญาและเมตตากรุณามีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ปัญญา คือสิ่งที่ช่วยขจัดมายาภาพหรือความหลงเกี่ยวกับตัวกูของกู คือทำให้เห็นว่าตัวกูของกูนั้นไม่มีอยู่จริง เมื่อมีปัญญาเห็นแจ่มแจ้งเช่นนี้ ความยึดติดในตัวกูของกู หรืออัตตวานุปาทานก็หมดไป ไม่มีความเห็นแก่ตัวอีกต่อไป จึงเกิดเมตตากรุณาอย่างไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นเราเป็นเขา เห็นมนุษย์เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เหมือนกันหมด นี้เป็นอุดมคติของชาวพุทธ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทรงมีเมตาต่อพระราหุลอย่างไร ก็ทรงมีเมตตาต่อพระเทวทัตอย่างนั้น

    คนเรานั้นมีจิตใจ ที่สามารถสัมผัสหรือเข้าถึงความรู้สึกของกันและกันได้โดยเฉพาะเมื่อมีความผูกพันกันประหนึ่งมีใจดวงเดียวกัน ดังเช่นมือซ้ายของผู้หญิงคนนี้สามารถรับรู้ได้เมื่อมีมือขวามาสัมผัส ความรับรู้นี้เกิดขึ้นได้เพราะมือขวากับมือซ้ายนั้นผูกพันกันมาก ในทำนองเดียวกันคนที่ผูกพันกันก็สามารถรับรู้ทุกความรู้สึกที่อยู่ในใจของอีกฝ่ายได้ไม่ว่าสุขและทุกข์ อันนี้เป็นผลจากเมตตากรุณาที่มี่ต่อกันจนนรู้สึกเชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยที่คนอื่นอาจจะไม่สามารถหยั่งเข้าไปถึงได้

    มือขวากับมือซ้ายก็เป็นเช่นนั้น เพียงแค่มือขวาสัมผัสมือซ้าย ไม่ต้องให้ใครสัมผัส ก็ทำให้ความปวดทุเลาเบาบางได้ เรื่องนี้เป็นภูมิปัญญาที่มีมานาน และนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็รับรอง หลังจากทำการทดลองแล้วพบว่า ถ้ามือขวาไม่สัมผัสกับมือซ้าย มือซ้ายจะปวดมากขึ้นกว่าเดิม แต่พอได้สัมผัสแล้วความปวดลดลง แต่ไม่ได้เป็นเฉพาะมือขวาและมือซ้ายของตัวเองเท่านั้น การให้มือขวาของคนอื่นมาสัมผัสก็ช่วยได้ ดังนั้นประโยชน์ของการสัมผัสคือ ถ้ามีคนป่วยแล้วมีอีกคนมาสัมผัสด้วยความเมตตากรุณาก็จะช่วยบรรเทาความปวดได้
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,052
    (ต่อ)
    ความเมตตากรุณาของคนภายนอกนั้น เป็นสิ่งที่ต้องแสดงออกมาให้เห็นก่อนที่จะสัมผัส หรือในระหว่างที่สัมผัส เช่น ความอ่อนโยน นุ่มนวล ทางสีหน้าหรือน้ำเสียง เพื่อคนที่เจ็บปวดจะรับรู้ถึงเมตตาและทำให้ความเจ็บปวดนั้นทุเลาได้ แต่มือขวาไม่ต้องแสดงอาการอย่างนั้นกับมือซ้ายก็ได้ ไม่ต้องทำอะไรมากกว่านั้น มือซ้ายก็สบาย รู้สึกดีขึ้นเพราะรู้ว่าเมีความปรารถนาดี มันเป็นความเชื่อมโยงที่สัมผัสกันได้ สามารถเกิดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน
    เป็นเรื่องที่ดีมากหากเราปฏิบัติต่อกันเหมือนมือขวาและมือซ้ายได้ โดยเริ่มต้นที่คนใกล้ชิดก่อน คือเพื่อนกับเพื่อน พี่กับน้อง สามีกับภรรยา แล้วขยายไปถึงเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน เพื่อนที่อยู่ในหน่วยงานเดียวกัน หรือเพื่อนที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน ขยายออกไปแม้กระทั่งกับคนที่ไม่ใช่เพื่อนหรือเป็นเพียงแค่เพื่อนมนุษย์ก็สัมพันธ์ในลักษณะนั้นได้ แม้เป็นเรื่องยากแต่เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะนี่ก็เป็นอุดมคติของมนุษย์ที่ควรทำต่อกัน เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายได้แสดงเป็นแบบอย่างแก่เรา
    อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อย่างมือซ้ายและมือขวานี้ควรเกิดขึ้นระหว่างกายกับใจเราด้วย ถ้ากายกับใจอยู่ใกล้ชิดกัน มีความสัมพันธ์กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันแล้ว เราจะทุกข์น้อยลงมาก แต่อย่างที่เรารู้กัน กายกับใจบางครั้งก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันหรือช่วยเหลือกันเท่าไหร่ เวลากายปวด บ่อยครั้งใจกลับซ้ำเติม ทำให้กายแย่ลง เช่น พอรู้ว่าร่างกายมีก้อนมะเร็ง ใจก็ซึมเศร้า ทำให้หมดเรี่ยวแรงไปเลย หรือพอวิตกกังวลว่า “ฉันจะตายแล้วหรือนี่” กายก็ทรุดหนักลงหรือตายเร็วขึ้น เช่น คุณป้าคนหนึ่งไปหาหมอหลายครั้งโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร กระทั่งวันหนึ่งหมอบอกว่า “ป้าเป็นมะเร็งตับนะ อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน” ปรากฏว่าป้าตกใจมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ วิตกกังวลสารพัด สุดท้ายอยู่ได้แค่ ๑๒ วันก็ตาย
    อย่างนี้เรียกว่าใจไปซ้ำเติมกาย แทนที่จะช่วยพยุงให้กายให้ดีขึ้น กลับฉุดให้ย่ำแย่ลง บางคนร่างกายปกติดี แต่ใจเต็มไปด้วยความโกรธเกลียด เคียดแค้นพยาบาท ร่างกายก็เลยป่วย ความดันสูง ปวดหัว ปวดท้องเรื้อรัง รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เพราะหมอหาสาเหตุทางกายก็ไม่พบ ได้แต่รักษาตามอาการ นี่เรียกว่าใจไปซ้ำเติมกาย หรือทำร้ายร่างกาย

    หน้าที่ที่ใจควรมีต่อกาย คือช่วยให้ดีขึ้น ไม่ใช่ซ้ำเติมให้แย่ลง หากใจเป็นมิตรกับกาย ใจจะไม่ทำอย่างนั้น พอกายแย่ ใจจะช่วยให้กำลังใจ มองแง่บวก นึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เป็นกุศล หรือมีสมาธิ ร่างกายก็จะหายไวขึ้น เจ็บปวดน้อยลง อันที่จริงเพียงแค่ทำใจให้เป็นปกติ ไม่ตีโพยตีพาย ก็ช่วยความเจ็บปวดของกายทุเลาลงได้

    ถ้ากายกับใจเกื้อกูลกันเหมือนกับมือซ้ายและมือขวา เราจะมีความสุขได้ง่ายมาก ความทุกข์จะลดลงไปเยอะ เช่นเมื่อทำอะไร ใจก็รู้ มีสติ รู้ตัว ความรู้ตัวจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเดือดร้อน เวลาขับรถ ก็ถึงที่หมายโดยปลอดภัย ไม่เกิดอุบัติเหตุ ควบคุมเครื่องจักร ก็ไม่เผลอจนเกิดความผิดพลาด ถึงกับเสียมือเสียขาไป เวลาพักผ่อน ใจก็ไม่คิดฟุ้งซ่าน ทำให้หลับได้ง่าย ร่างกายก็มีสุขภาพดี

    ที่พูดมาเป็นเรื่องใจช่วยกาย ที่จริงกายก็ช่วยใจได้มากมาย ก่อนอาตมาบวชมีช่วงหนึ่งที่เซ็งสุดๆ ไม่มีความกระตือรือร้น ตื่นก็สาย แม้กระนั้นก็ซึมเซาทั้งวัน เรียกว่าถีนมิทธะครอบงำ เวลาประชุมก็จะง่วงนอนไม่มีส่วนร่วมกับวงประชุมเลย ทั้งๆ ที่อายุเพียง ๒๔ ปีเท่านั้น ทีแรกก็คิดว่าเป็นเพราะเหนื่อยอ่อน จึงพักผ่อนให้มากขึ้น แต่กลับเฉื่อยชายิ่งกว่าเดิม ทำอย่างไร ๆ ก็ไม่หาย จนได้ดูหนังเรื่องหนึ่ง ก็เกิดกำลังใจ พยายามเคี่ยวเข็ญให้ตัวเองตื่นแต่เช้า ไปวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกาย ทีแรกก็ลำบากมากเพราะไม่อยากตื่นเช้า แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็รู้สึกดีขึ้น เกิดความกระฉับกระเฉงขึ้นมาก อันนี้เป็นเพราะเมื่อร่างกายแข็งแรงตื่นตัว ก็ช่วยกดใจให้หายเบื่อหายเซ็ง

    เราจะสังเกตเห็นเรื่องทำนองนี้ได้จากชีวิตประจำวัน เช่น เวลารู้สึกท้อแท้เพราะเจออุปสรรคมากมาย หรือเหนื่ยอ่อนเพราะทำงานมาทั้งวัน แต่พอได้นอนเต็มที่ ตื่นขึ้นมาความรู้สึกจะเปลี่ยนไป มีกำลังใจมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่อุปสรรคและปัญหาต่างๆ ยังเหมือนเดิม แต่รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมา ไม่ใช่ที่กายแต่ที่ใจ ดังนั้นเวลาใจมีปัญหา กายต้องช่วยด้วย ดูแลกายให้ดีเพื่อฉุดใจขึ้นมา ไม่ใช่ไปซ้ำเติม เช่น พอจิตใจท้อแท้ห่อเหี่ยว ก็ไปเที่ยวกลางคืน กินเหล้า เพราะหวังว่าจะทำให้ลืมความทุกข์ หายเศร้า กลับทำให้แย่กว่าเดิม เพราะการใช้ชีวิตแบบนั้นทำให้ร่างกายเหนื่อยอ่อนมากขึ้น จิตใจเลยแย่ลง นี่เรียกว่าฉุดกันลง ไม่ได้ช่วยกันฉุดขึ้นมา

    เพราะฉะนั้นเวลามีปัญหาเราไม่ต้องรอคอยความช่วยเหลือจากใครเลยก็ได้ เพียงแค่กายกับใจช่วยกัน อยู่เคียงคู่กัน กายอยู่ไหน ใจอยู่นั่น มีสติตื่นรู้ อันตรายที่เกิดขึ้นกับกายกับใจก็น้อยลง
    :- https://visalo.org/article/suksala20.htm

     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,052
    เหนือโลก พ้นสมมุติ
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อขึ้นไปบนที่สูง นอกจากจะได้ความรู้สึกโปร่งโล่งเบาสบายแล้ว ทัศนียภาพหรือมุมมองต่อโลกก็จะเปลี่ยนไปด้วย เวลาเราอยู่บนยอดเขาเราจะเห็นคนที่อยู่ข้างล่าง แต่มองไม่ออกเลยว่าใครเป็นคนรวย ใครเป็นคนจน ใครจบปริญญาเอก ใครจบประถม ใครเป็นชาวพุทธ ใครเป็นชาวคริสต์ ใครเป็นคนไทย ใครเป็นคนพม่า เรียกว่าสมมติที่ติดมากับผู้คนละลายหายไปเลย รู้เพียงแต่ว่าจุดเล็กๆ ข้างล่างเป็นคนเท่านั้นเอง ความเป็นพุทธ เป็นไทย เป็นฝรั่งไม่มีความหมายอีกต่อไป และถ้าอยู่สูงขึ้นไปอีกก็แยกไม่ออกแม้กระทั่งว่าเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ด้วยซ้ำ ยิ่งอยู่สูงขึ้นไป เส้นแบ่งประเทศเราก็จะมองไม่เห็นว่าตรงไหนไทย ตรงไหนพม่า เราจะเห็นผืนแผ่นดินทั่วโลกเป็นผืนเดียวกัน มองไม่เห็นแม้กระทั่งเส้นแบ่งว่าตรงไหนเอเชีย ตรงไหนยุโรป เส้นแบ่งพวกนี้ไม่มีความหมายอีกต่อไป ถึงตรงนั้นเราจะเห็นชัดว่ามันเป็นแค่เส้นสมมุติที่ไม่มีอยู่จริง

    เมื่อเราขึ้นสูงไปเรื่อย ๆ สิ่งที่เราเห็นก็คือความจริงที่หลุดจากสมมติทีละชั้น ๆ จนสมมติเหล่านี้ไร้ความหมายไป ยิ่งถ้าอยู่สูงขึ้นไปจนถึงชั้นบรรยากาศ อย่างนักบินอวกาศ ก็จะพบว่าแท้จริงนั้นโลกทั้งโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีเส้นแบ่ง ไม่มีพรมแดน สิ่งสมมติที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากกัน แบ่งแยกประเทศออกจากกันนั้นเลือนหายไปหมด

    ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากว่าจิตของเราเข้าถึงภาวะที่เป็นโลกุตระ เราก็จะไปพ้นสมมติที่เหนือกว่านั้นขึ้นไปอีก ทุกวันนี้คนเราติดสมมติมาก ไม่ใช่ติดแค่ว่าเป็นพุทธ คริสต์ มุสลิม เป็นไทย พม่า หากยังติดสมมติเรื่องความเป็นคนรวย คนจน คนมีการศึกษา คนไม่มีการศึกษา เกิดการแบ่งชั้นวรรณะ ดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามกัน รวมทั้งการให้ค่ากับสิ่งของต่างๆ เช่นถ้าเป็นเงินทองก็มีค่า ถ้าเป็นก้อนหินก็ไม่มีค่า มนุษย์เราหลงสมมติมาก จนกระทั่งคิดว่าสมมติคือความจริง แต่ถ้าเรายกจิตขึ้นสูง จิตที่เป็นโลกุตระก็จะรู้ว่าสมมตินั้นไม่ใช่ความจริงแท้ มันเป็นแค่สิ่งที่กำหนดขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในบางแง่บางด้านเท่านั้น

    การอยู่เหนือโลกยังหมายถึงการอยู่เหนือโลกธรรม สิ่งที่เรียกว่าโลกธรรมก็คือ ความสำเร็จ ความล้มเหลว ความมียศ ความเสื่อมยศ เหล่านี้เป็นสมมติของโลก คนที่ไม่รู้ก็ถูกสมมติเข้าครอบงำ สุขหรือทุกข์ไปตามอำนาจของโลกธรรม มีลาภ มียศก็ดีใจ พอเสื่อมลาภ เสื่อมยศก็เสียใจ ผู้คนหนีความทุกข์ไม่พ้นเพราะยังติดอยู่ในโลกธรรม ยังติดอยู่ในสมมติ เพราะไปให้ค่ากับมันมาก แต่ถ้าหากว่าเราสามารถยกจิตขึ้นสูง จนกระทั่งเห็นว่าสมมตินั้นเป็นแค่สิ่งที่ใช้เรียกขานกัน เป็นชื่อที่ใช้เรียกหน่วยรวมของสิ่งต่างๆ เป็นตัวตนสมมติที่จิตปรุงแต่งซ้อนทับความเป็นจริง เราก็จะไม่หลงยึดกับสมมตินั้น

    สมมติที่มีอิทธิพลต่อคนเรามากที่สุดก็คือความเป็นตัวเราของเรา เป็นตัวตนที่สร้างขึ้นมาและปล่อยให้มันครอบงำจิตใจเรา คงจะไม่มีสมมติอะไรที่จะมีอิทธิพลผลักไสคนให้ทุกข์ หรือหลงวนอยู่ในวัฏสงสารมากเท่ากับสมมติเรื่องตัวตน เรื่องตัวเราของเรา

    ไม่มีอะไรที่จะมีอิทธิพลต่อจิตใจของคนเรามากไปกว่าความรู้สึกที่เรียกว่า “ตัวกูของกู” เวลาเพื่อนเงินหาย โทรศัพท์หาย เราไม่รู้สึกอะไร เราอาจจะแนะนำเขาด้วยซ้ำว่ามันเป็นของนอกกาย แต่ถ้าเป็นเงินหรือโทรศัพท์ของเรา มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที คนอื่นเขาจะเจ็บป่วยอย่างไร เราไม่ค่อยรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไรเลย แต่เพียงแค่เราปวดฟันปวดหัวเท่านั้นก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเลย ไม่ใช่แค่ตัวเราเท่านั้น อาจจะเป็นลูกหลานของเรา เพียงแค่ประทับตราว่าเป็นของเราเท่านั้น หากอะไรเกิดขึ้นกับเขา ก็สะเทือนไปถึงจิตใจของเราทันที
    มีพยาบาลคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี ๒๕๔๐ เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่ราชบุรี รถโดยสารชนกับรถไฟกลางเมือง ตายไปยี่สิบกว่าคน ตอนที่ได้ข่าวนั้นประมาณสี่โมงเย็น เธอนึกในใจด้วยซ้ำว่า ดีเหมือนกัน คนล้นประเทศแล้วตายไปบ้างก็ดี แต่หนึ่งชั่วโมงถัดมา พอรู้ว่าหนึ่งในยี่สิบคนที่ตายนั้นคือหลายชายของเธอ เธอถึงกับเข่าทรุดเลย ทั้งเสียใจทั้งรู้สึกผิดที่ไปคิดอกุศลอย่างนั้น ทำไมตอนที่ได้ฟังครั้งแรกเธอไม่รู้สึกอะไร ก็เพราะเธอคิดว่าคนที่ตายไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรา ไม่ใช่ลูกของเรา ไม่ใช่เพื่อนของเรา แต่พอพบว่าหนึ่งในนั้นเป็นลูกหลานของเรา มันก็ทำให้ทุกข์มาก เห็นไหมว่าความแตกต่างระหว่างความรู้สึกว่าเป็นเราเป็นของเรา กับไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรานั้นมีมากทีเดียว
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,052
    (ต่อ)
    คนทุกวันนี้เป็นทุกข์เพราะความสำคัญมั่นหมายนี้มาก นี่ขนาดเกิดขึ้นกับคนอื่น ยังทุกข์ถึงเพียงนี้ ถ้าเกิดขึ้นกับตัวเอง ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นของเราจะทำให้ทุกข์สักเพียงใด อย่างเช่นเวลาเจ็บป่วย แทนที่จะเห็นว่าแค่กายเท่านั้นที่ป่วย คนส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าฉันป่วย ผลก็คือไม่ใช่กายเท่านั้นที่ป่วย ใจก็ป่วยด้วย การไม่เห็นความจริงที่ว่ามันไม่มีตัวเรา มันมีแต่กายกับใจนั้น ทำให้คนทุกข์มาก ทุกข์ในที่นี้หมายถึงทุกข์ใจ ไม่ได้ป่วยแค่กายแต่ป่วยไปถึงใจด้วย แต่เมื่อใดก็ตามที่เห็นว่ามีเพียงแค่กายเท่านั้นที่ป่วย ถ้าเห็นอย่างนี้ ใจก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร
    อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม เคยเล่าให้ฟังว่าตอนที่พิการใหม่ๆ ทุกข์มาก พิการเมื่ออายุยี่สิบสี่ปี ตอนนั้นเป็นครูพละ สอนนักเรียนว่ายน้ำ กระโดดน้ำผิดท่าหัวไปกระแทกกับพื้นสระ ทำให้พิการตั้งแต่คอลงมา ชีวิตหมดอนาคตไปเลย รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ตอนนี้อาจารย์กำพลกำลังเขียนหนังสืออัตชีวประวัติ เพื่อนอาตมาไปสัมภาษณ์แล้วมาเขียน คิดว่าคงจะออกในเร็วๆ นี้ เป็นหนังสือที่น่าสนใจ อาตมาอ่านแล้วสัมผัสได้ถึงความรู้สึกทุกข์ทรมานของอาจารย์กำพลช่วงที่พิการใหม่ ๆ แม้พยายามดิ้นรนหาหมอทุกประเภทก็ไม่ดีขึ้น ทุกข์ทั้งกายและใจ จนกระทั่งรู้แน่ชัดว่ารักษาไม่หายก็ยิ่งทุกข์ขึ้นไปใหญ่ ชีวิตเหมือนกับรอวันตาย เพราะพึ่งพาตัวเองไม่ค่อยได้ ต้องอาศัยพ่อแม่ป้อนข้าว พาเข้าห้องน้ำ ทำอะไรให้ทุกอย่างสารพัด
    หลังจากผ่านไปนานนับสิบปีก็เริ่มหันมาสนใจธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะมากขึ้น อ่านแล้วก็สบายใจ แต่พอเลิกอ่านก็ทุกข์อีก ก็เลยสนใจจะปฏิบัติธรรม พอทราบว่ามีแนวปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน ก็เขียนจดหมายไปปรึกษาหลวงพ่อคำเขียน เพราะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อเทียน ขอคำแนะนำว่าตนเองร่างกายพิการจะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร หลวงพ่อคำเขียนก็เขียนจดหมายตอบกลับไปว่า ถ้าเดินจงกรม นั่งสร้างจังหวะไม่ได้ ให้พลิกมือไปมาก็แล้วกัน พลิกมือก็ให้รู้ว่าพลิก ถ้าใจมันคิดก็ให้รู้ทัน ให้รู้ว่าที่พลิกนั้นเป็นรูป ที่คิดนั้นเป็นนาม ปฏิบัติให้เห็นรูปกับนาม การเจริญสติเป็นการถลุงให้เหลือแต่รูปกับนาม หลวงพ่อท่านใช้คำว่า ถลุง คือแยกย่อยจนเหลือแต่รูปกับนาม

     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,052
    (ต่อ)
    อาจารย์กำพลก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงพ่อคำเขียน อยู่บนเตียงก็พลิกมือไปมา จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งก็เห็นชัดเลยว่า ที่พลิกไปมาคือรูป ที่คิดนั้นคือนาม เห็นชัดเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่รูปกับนาม พอเห็นปุ๊ปจิตสว่างวาบเลย เห็นชัดเลยว่าที่พิการนั้น มีเพียงกายแต่ใจไม่ได้พิการ หลงคิดอยู่ตั้งนานว่าฉันพิการ พอคิดแบบนี้ก็ท้อ จิตใจก็แย่ รู้สึกทุกข์ แต่พอเห็นความจริงซึ่งแสนจะธรรมดาสามัญว่า จริงๆ แล้วที่พิการคือกายพิการ แต่ใจไม่ได้พิการด้วย อาจารย์กำพลบอกว่าจิตก็ลาออกจากความทุกข์คือลาออกจากความพิการเลย กายยังพิการอยู่ แต่ใจไม่พิการแล้ว ใจสบายและเป็นอิสระ เพราะเห็นความจริงว่า ที่จริงแล้วไม่ใช่ตัวฉันที่พิการ เป็นเพียงกายที่พิการ เป็นเพียงรูปที่พิการ
    การเห็นความจริงว่ามันไม่มีตัวเรา มีแต่รูปกับนาม มีแต่กายกับใจนี้สำคัญมาก มันเป็นการทะลุทะลวงสมมติที่ทำให้เห็นความจริง และทำให้เป็นอิสระจากความทุกข์ที่เกิดกับกาย หากสามารถอยู่เหนือสมมติเรื่องตัวตนได้ ก็ถือว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มาก มีอานิสงส์มาก มันสามารถทำให้เราเจอทุกข์ โดยที่ใจไม่ทุกข์ได้
    มีเรื่องเล่าว่า หลวงปู่บุดดาสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่บุดดาท่านมรณภาพไป ๒๐ ปีแล้ว ตอนที่มรณภาพอายุ ๑๐๑ ปี ตอนนั้นท่านก็คงประมาณ ๘๐-๙๐ ปี ท่านและหมู่คณะได้รับนิมนต์ไปฉันอาหาร ปรากฏว่าอาหารมีพิษ อาเจียนกันทั้งคณะ อาเจียนกันอย่างรุนแรงมาก พระหนุ่มที่ไปด้วยก็อาเจียนจนหมดแรง นอนหมดสภาพ แต่หลวงปู่บุดดายังสามารถนั่งคุยกับโยมได้ คุยสักพักก็อาเจียนใส่กระโถน แล้วก็นั่งคุยต่อ ท่านบอกว่าอยากจะให้กำลังใจโยม เพราะโยมเสียกำลังใจมาก ตั้งใจจะทำบุญ แต่กลับจะได้บาป ก็พูดให้กำลังใจโยม โยมก็แปลกใจว่าพระหนุ่มๆ อาเจียนจนนอนหมดแรง แต่หลวงปู่บุดดายังคุยกับโยมได้ จึงสงสัยว่าหลวงปู่บุดดาไม่เป็นอะไรหรือ ท่านก็อธิบายให้ฟังว่า “ร่างกายเรานี้มันสักแต่ว่าเท่านั้น ธาตุ ๔ มันถูกยาเมา ยาเบื่อ มันก็แสดงอาการต่าง ๆ นานา ส่วนจิตใจมันไม่ได้ถูก ก็เลยไม่เป็นอะไร เหตุเพราะกายกับใจมันคนละเรื่อง รวมกันไม่ได้” ท่านแสดงให้เห็นชัดเลยว่าที่ทุกข์นั้นกายทุกข์ แต่ใจไม่ได้ทุกข์ด้วย
    อีกคราวหนึ่งท่านไปผ่าตัดนิ่ว ผ่าเสร็จพักใหญ่ท่านก็บอกว่า “ค่อยยังชั่วแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว” หมอและพยาบาลก็แปลกใจเพราะท่านเพิ่งผ่าตัดเสร็จเมื่อสักครู่นี้เอง คนอื่นผ่าตัดน้อยกว่าท่าน ยังแสดงความเจ็บปวดมากกว่า หลวงปู่ทำอย่างไรถึงไม่เจ็บ หลวงปู่บุดดาตอบว่า “ร่างกายของหลวงปู่ก็เหมือนกัน ทำไมมันจะไม่เจ็บ แต่จิตใจต่างหากที่ไม่ได้เจ็บป่วยไปกับร่างกายด้วย” ที่ท่านพูดอย่างนี้ได้เพราะท่านเห็นความจริงว่า มันมีแต่รูปกับนาม มีแต่กายกับใจ ท่านไม่ได้ไปสำคัญมั่นหมายว่ามีตัวเรา มีของเรา คนธรรมดาซึ่งยังหลงอยู่ในสมมติ ก็ยึดมั่นว่ามีตัวกูของกู เวลาปวดจึงรู้สึกว่าฉันปวดๆ ไม่สามารถที่จะแยกออกไปได้ว่าที่ปวดจริงๆ คือกายไม่ใช่ใจ
    หลวงปู่บุดดาเป็นตัวอย่างของคนที่เห็นความจริงขั้นปรมัตถ์ คือจิตของท่านอยู่เหนือสมมติแล้ว โดยเฉพาะสมมติเรื่องตัวตน ท่านรู้ความจริงระดับปรมัตถ์สภาวะว่า แท้จริงแล้วมีแต่รูปกับนามเท่านั้น การที่เราเห็นความจริงอย่างนี้ ถึงแม้เป็นความจริงขั้นพื้นฐาน แต่ก็สำคัญมากที่จะทำให้อยู่เหนือทุกข์ได้ จิตใจก็จะโปร่งโล่งเบาสบาย มีอะไรเกิดขึ้นอันเป็นธรรมดาของสังขาร ไม่ว่าจะเป็นความแก่ ความเจ็บ ความพลัดพราก แต่ใจก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนไปด้วย มีแต่ความสงบเย็นเป็นปกติ

    :- https://visalo.org/article/suksala25.html
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,052
    อย่าปล่อยให้ความหลงครองใจ
    พระไพศาล วิสาโล
    ที่โรงเรียนดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ทุกวันตอนเลิกเรียนรถจะติดมากเพราะเด็กนักเรียนแทบทุกคนมีรถส่วนตัวมารับ นอกจากรถติดแล้ว ยังหาที่จอดรถยาก ผู้ปกครองคนหนึ่งขณะที่รอรถขยับทีละนิดอยู่ภายในโรงเรียน สังเกตว่าขวามือมีที่จอดรถว่าง ตามระเบียบของโรงเรียนรถทุกคันต้องตรงไปข้างหน้าและยูเทิร์นกลับมา ถึงจะจอดรถตรงจุดนั้นได้ แต่ว่าผู้ปกครองคนนี้ แทนที่จะยูเทิร์นเสียก่อนก็หักขวาเลย รถก็เสียบเข้าที่จอดรถซึ่งเป็นจุดเดียวที่เหลืออยู่ เจ้าตัวก็ดีใจ

    แต่มีผู้ปกครองอีกคนเล็งที่จอดรถตรงนั้นไว้เหมือนกัน เขาขับรถตามกติกา ยูเทิร์นเพื่อจะมาจอดรถตรงนี้ แต่กลับถูกแย่งไปต่อหน้าต่อตาอย่างไม่ถูกต้อง เขาก็ไม่พอใจ ลงจากรถมาต่อว่าผู้ปกครองคนแรกซึ่งเป็นนายทหารยศนายพันนายพล นายทหารคนนี้ไม่เคยถูกต่อว่าแบบนี้มาก่อน ก็โกรธและพูดว่า คุณรู้ไหมว่าผมเป็นใคร ผู้ปกครองคนนั้นตอบว่าผมไม่รู้หรอก แต่คุณทำไม่ถูก ทำแบบนี้ใช้ไม่ได้ พูดเสร็จก็เดินกลับไปที่รถของตัว นายทหารถูกต่อว่าก็โกรธจึงหยิบปืนที่เก็บไว้ในรถ แล้วเดินตามหลังผู้ปกครองคนนั้นไป ผู้ปกครองคนนั้นไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะถึงฆาต

    บังเอิญบริเวณนั้น มีพนักงานขับรถของโรงเรียนคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ เขาเห็นว่าถ้าปล่อยไปต้องเกิดเรื่องแน่ จำเป็นต้องเข้าไปห้าม แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าห้ามไม่ถูก ก็อาจเจ็บตัวได้ มีตัวอย่างเยอะแล้ว ทีนี้ทำอย่างไรถึงจะห้ามไม่ให้เขาไปยิงผู้ปกครองคนนั้น พนักงานคนนี้มีปฏิภาณ เขาเดินไปแตะนายทหารคนนั้นเบา ๆ แล้วพูดว่า “คุณพ่อครับ คุณพ่อมารับลูกไม่ใช่เหรอครับ” เท่านี้แหละ นายทหารคนนั้นซึ่งกำลังโกรธจัดก็ได้สติทันที พอได้สติความโกรธหายไป เท้าชะงัก รู้ตัวเลยว่ากำลังจะทำอะไร ก่อนหน้านั้นไม่รู้ตัว คิดแต่จะไปยิงเขาให้ตาย เพราะตอนนั้นความโกรธครอบงำใจ หน้ามืด พูดง่าย ๆ คือหลงเต็มที่ พอเขาได้สติ รู้ตัวขึ้นมาก็หันหลังกลับไปที่รถ เอาปืนไปเก็บ อันนี้เรียกว่าได้สติเพราะมีคนช่วย คนเราส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ ได้สติเพราะมีคนช่วย แต่ถ้าไม่มีตัวช่วยก็เดือดร้อนไป

    อารมณ์อกุศลทั้งหลายหากครองใจเราเมื่อใดก็สามารถเป็นอันตรายได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตามอารมณ์เหล่านี้มีจุดอ่อนคือกลัวถูกรู้ถูกเห็นด้วยสติ เพราะเมื่อสติมารู้มาเห็นเมื่อไหร่ มันก็จะอ่อน เหลว และหายไปเลย เหมือนที่ยกตัวอย่างเมื่อสักครู่ นายทหารที่โกรธผู้ปกครองอีกคน เดินตามหลังหมายจะไปยิงให้ตาย แต่พอมีคนมาทัก มีคนมาแตะมือก็ได้สติ พอเขาเห็นความโกรธที่เกิดขึ้น รู้ตัวว่ากำลังโกรธ ความโกรธที่ท่วมท้นใจก็หายไปเลยทันที โดยไม่ต้องไปกดข่มมัน เพราะจุดอ่อนของมันคือการถูกรู้ ถูกเห็นด้วยสติ

    ความโกรธหรืออารมณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้น มันจะกลัวนักหนา กลัวถูกเห็น มันจึงพยายามส่งจิตออกนอก พอส่งจิตออกนอกมันก็ปลอดภัย ไม่มีสติมารู้ทันแล้ว เมื่อจิตถูกส่งออกไปข้างนอก อารมณ์ต่าง ๆ ก็จะลอยนวลต่อไป และเข้ามามีอิทธิพลบงการเราได้มากขึ้น แถมจะเพิ่มอำนาจ ขยายตัวใหญ่ขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราหมั่นรู้สึกตัวบ่อย ๆ หมั่นดูใจบ่อย ๆ อารมณ์พวกนี้จะคลอนแคลนหรือฝ่อลง ถึงแม้จะไม่หายไปทันทีแต่มันก็จะฝ่อตัว แบบนี้มันยอมไม่ได้ มันจึงพยายามล่อหลอกให้ส่งจิตออกนอก จดจ่อข้างนอกไม่ให้กลับมารู้ทันมัน

    เราต้องพยายามกลับมาตามดู รู้ใจบ่อย ๆ จนเป็นนิสัย อารมณ์ต่าง ๆ เช่นความโกรธจะยึดครองใจได้ยากขึ้น ขอให้สังเกตเวลาที่เราเกิดอารมณ์เศร้าโศก เสียใจ โกรธ จิตจะส่งออกนอกตลอดเวลา หรือไม่ก็ไหลเปิดเปิงไปกับเรื่องราวในอดีต แต่นั่นไม่ใช่อุบายอย่างเดียวของมัน มันพยายามที่จะสรรหาเหตุผลเพื่อมารองรับสนับสนุนอารมณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ใดก็ตาม คนที่ขโมยหรือคอรัปชัน คนเหล่านั้นรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ถูก ไม่ดี แต่เวลาหน้ามืดขึ้นมา ถูกความอยากหรือความหลงครอบงำ แม้จะมีเสียงเตือนในใจว่าไม่ดี ผิดกฎหมาย ผิดศีล แต่ความอยากความหลงก็จะอ้างเหตุผลสารพัด เช่น ไม่เป็นไรหรอก ใคร ๆ เขาก็ทำกัน ไม่มีใครรู้หรอก หรือไม่ก็อ้างว่าจะเอาเงินไปทำบุญ
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,052
    (ต่อ)
    หลายคนรู้ว่าเหล้าไม่ดี แต่ความอยากหรือความหลงก็จะให้เหตุผลว่า เฮ้ย นิดเดียวเอง แค่เป๊กเดียวเอง หรือให้เหตุผลว่าเป็นแค่การสังสรรค์ เพื่อนอุตส่าห์ชวนถ้าเราปฏิเสธมันน่าเกลียด มันจะมีเหตุผลมากมายมาสนับสนุนความอยากหรือความหลง

    ความโกรธก็เหมือนกัน เวลาโกรธมันจะมีเหตุผลมาสนับสนุนว่าเราควรโกรธต่อไป พยายามคิดถึงความไม่ดีของเขา รู้สึกว่าเราจำเป็นต้องสั่งสอนมัน เพราะมันชั่ว มันไม่ดี ต้องสั่งสอน ต้องทำให้มันเป็นเยี่ยงอย่าง พวกเราคงเคยดูคลิป “น็อตกราบรถกู” ตอนที่เขาต่อยและตบคนที่ชื่อบอย ซึ่งชนท้ายรถเขาแล้วหนี น็อตก็ตะคอกว่า “หนีทำไม หนีทำไม” พูดทำนองต้องการสั่งสอนว่า ชนแล้วอย่าหนี เขาต้องการสั่งสอนคนที่ชนแล้วหนี ว่ามันน่ารังเกียจ ต้องจัดการให้เป็นเยี่ยงอย่าง ที่พูดอย่างนั้นก็เพราะความโกรธมันต้องการเหตุผลรองรับว่าทำไมต้องโกรธ ทำไมต่อยและตบเขา คนเราไม่ว่าจะด่าหรือเตะต่อย ก็ต้องการหาเหตุผลมาสนับสนุนความโกรธและพฤติกรรมดังกล่าว แม้รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่ก็จะมีเหตุผลมารองรับว่า ถึงตายกูก็ไม่ยอม ต้องจัดการมึงให้ได้

    ความเศร้าก็เหมือนกัน เวลาเศร้าก็จะมีเหตุผลมารองรับว่า ทำไมเราควรเศร้า เช่นถ้าเราไม่เศร้าก็แปลว่าเราไม่รักเขา พ่อแม่ทั้งคนตายไป เราต้องเศร้าสิ ต้องร้องห่มร้องไห้สิ เพราะเดี๋ยวคนเขาจะว่าเราไม่รักพ่อรักแม่ พยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนความเศร้า นี่คือวิธีการที่อารมณ์เหล่านี้หลอกเรา ให้จม ให้ยอมรับ อยู่ในอำนาจของมัน มันจะบงการให้เราเป็นผู้รองรับอารมณ์เหล่านี้ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ดีแต่เราก็ตกเป็นทาสของมัน

    สุดท้ายเราจึงกลายเป็นองครักษ์พิทักษ์ความโกรธ เป็นองครักษ์พิทักษ์ความเศร้า รวมทั้งเป็นองครักษ์พิทักษ์ความคิด ใครจะคิดต่างจากเราไม่ได้ ต้องจัดการ ต้องด่า ต้องสั่งสอน อันนี้เป็นอุบายของอารมณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้จิตใจย่ำแย่ มันหลอกให้เราเป็นองครักษ์พิทักษ์ตัวมันเอาไว้

    เวลาเราเศร้าพอมีคนมาชวนไปทำโน่นทำนี่ จะได้หายเศร้าเราก็ไม่ยอม เขาชวนไปเที่ยวเราก็ไม่ไป จะเศร้าเจ่าจุกอยู่ที่บ้าน เวลาฟังเพลงก็จะฟังเพลงเศร้า เพลงไหนที่ฟังแล้วทำให้เกิดความกระชุ่มกระชวย เกิดความตื่นตัวก็ไม่ฟัง จะขอฟังแต่เพลงเศร้า ๆ เพื่ออะไร ก็เพื่อให้มันเศร้าหนักขึ้นไปอีก เพราะนี่คือสิ่งที่ความเศร้าต้องการ

    เวลาโกรธถ้ามีคนแนะนำว่าให้อภัยเขาไปเถอะ ความโกรธก็จะสรรหาเหตุผลว่าให้อภัยไม่ได้ บางทีกลับโกรธคนที่แนะนำเสียอีก มีรายหนึ่ง ลูกพยายามขอร้องแม่วัย ๗๐ ว่า อย่าโกรธเขาเลย ให้อภัยเขาไปเถอะ เรื่องผ่านไป ๒๐-๓๐ ปีแล้วจะไปโกรธทำไม ลูกกลัวว่าแม่จะเส้นเลือดในสมองแตก กลัวแม่จะตายแล้วไปอบาย เลยขอร้องให้แม่ให้อภัยเขา แม่กลับโกรธลูก ด่าลูก ราวกับว่าลูกมาแย่งชิงของรักของหวงไปจากแม่

    ความโกรธมันน่าหวงแหนเสียที่ไหน แต่แม่ด่าลูกเพราะอะไร เพราะความโกรธมันสั่ง ความโกรธมันต้องการครอบงำจิตใจของแม่ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ มันเหมือนกับสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่ต้องการอยู่รอดให้ได้ มันจะทำทุกอย่างเพื่อให้มันอยู่รอดและแพร่กระจาย ทำนองเดียวกับเชื้อโรคในร่างกาย เวลาเรากินยาปฏิชีวนะ เชื้อโรคก็จะสู้ มันพยายามดื้อยา ทำทุกอย่างเพื่อสู้กับฤทธิ์ยา ทำให้มันอยู่ในร่างกายได้นาน ยิ่งมะเร็งยิ่งแล้วใหญ่ ฉายแสงเข้าไป ฉีดคีโมเข้าไป มันสู้ มันพยายามอยู่ในร่างกายของเราให้นานที่สุด และต้องการแผ่ขยายให้ได้มากที่สุดด้วย

    อารมณ์ก็เช่นเดียวกัน ตัวหลงก็เช่นเดียวกัน มันพยายามทุกทางที่จะครองใจของเรา แต่ว่ามันแพ้ทางสติ มันกลัวถูกรู้ ถูกเห็น นี่เป็นจุดอ่อนที่สำคัญ ดังนั้นเราจึงควรเพียรเจริญสติ หมั่นรู้สึกตัวบ่อย ๆ หมั่นสังเกตความคิด หมั่นมองตนบ่อย ๆ เราจะรู้ทันอารมณ์ได้เร็วขึ้น และไม่เปิดโอกาสให้มันครองใจเรา หรือบงการชีวิตของเราไปตามอำนาจของมัน

    :- https://visalo.org/article/suksala30.html
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,052
    เตรียมใจรับมือความทุกข์
    พระไพศาล วิสาโล

    เราลองถามตัวเองว่าทุกวันนี้เรามีความสุขหรือไม่ ถ้าตอบว่าเรามีความสุข มีชีวิตราบรื่นทั้งส่วนตัวและการงาน ก็ควรถามต่อไปว่า เราแน่ใจหรือไม่ว่าพรุ่งนี้ชีวิตเราจะยังคงราบรื่นเหมือนวันนี้ เราแน่ใจได้อย่างไรว่าวันพรุ่งนี้หรือว่าปีหน้าจะไม่เจอกับความพลัดพราก สูญเสีย ตกงาน หรือว่าเจอความเจ็บป่วย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องภัยพิบัติซึ่งใคร ๆ ก็กำลังวิตก แค่เจอน้ำท่วมซ้ำอย่างปีที่แล้ว หลายคนก็คงคงทำใจรับได้ลำบาก หรือถึงจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้เลย แต่ก็อย่าลืมว่าในที่สุดเราก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ แล้วก็ต้องตาย ซึ่งเป็นความจริงที่เราหนีไม่พ้น

    วันนี้สุขสบาย แต่ว่าพรุ่งนี้ก็อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย หลายคนมีความเข้าใจไปว่าถ้าวันนี้ฉันมีความสุขแล้ว พรุ่งนี้ฉันก็จะมีความสุขเหมือนวันนี้หรือเหมือนเมื่อวาน อันนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด จัดว่าเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อนมีคนทำนายว่าเมืองไทยจะเกิดสึนามิ หลายคนได้ยินก็หัวเราะ เย้ยหยันว่าเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะเมืองไทยไม่เคยเกิดสึนามิ ถ้าเมืองไทยไม่เคยเกิดสึนามิก็ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้จะไม่เกิด แล้วในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ อะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราอย่าไปคิดว่าพรุ่งนี้มันจะไม่เกิด

    ชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตที่ราบรื่นตั้งแต่เล็กจนโต เรียนก็ราบรื่น ทำงานก็ราบรื่นมาโดยตลอด จนกระทั่งมีครอบครัว มีลูก แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือในวันข้างหน้าเราจะไม่เจอวิกฤต แล้วถ้าเกิดวิกฤตขึ้นมาเราจะทำอย่างไร มีหลายคนที่พบว่าชีวิตตัวเองราบรื่นมาตลอด ได้งานที่ดี ได้ครอบครัวที่ดี แต่แล้วจู่ ๆ ก็พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ปรากฏว่าทำใจไม่ได้ ตีโพยตีพายหรือตัดพ้อขึ้นมาว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน” บางคนลำเลิกว่า “ฉันทำความดีมา ทานก็ทำ ศีลก็รักษา เข้าวัดเป็นประจำ แล้วทำไมถึงเป็นมะเร็ง” คือไปคิดว่าถ้าทำความดี ให้ทาน รักษาศีลแล้วจะไม่ป่วย ลึก ๆ ก็อาจจะคิดว่าไม่ตายด้วย ซึ่งมันเป็นความหลง มันเป็นความเขลา แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังป่วยเป็นมะเร็งได้ แล้วปุถุชนอย่างเรา วิเศษมาจากไหน ทำไมถึงคิดว่าจะเจ็บป่วยไม่ได้

    ถ้าว่าเราไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้เราจะสุขเหมือนวันนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร ส่วนหนึ่งก็ต้องเตรียมตัวป้องกันด้วยการดูแลสุขภาพให้ดี กินอาหารให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เจ็บไม่ให้ป่วย หรือไม่ก็อาจจะเก็บเงินทำประกันภัย เผื่อว่าเจ็บป่วยแล้วจะได้ไม่เดือดร้อนมาก นั่นเป็นเรื่องของการเตรียมตัว แต่ว่าต้องเตรียมใจด้วย เพราะถึงแม้เราจะดูแลสุขภาพดี ออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารชีวจิต กินอาหารธรรมชาติ หลีกเลี่ยงสารพิษ ดีท็อกซ์เป็นประจำ แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าเราจะไม่เจ็บไม่ป่วย ถ้าเกิดว่ามีการเจ็บป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร อันนี้เราต้องอาศัยการทำใจหรือฝึกใจไว้รับมือกับเหตุร้ายด้วย

    ทีนี้เราก็ต้องถามตัวเองว่าเคยฝึกใจเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุร้ายเหล่านี้หรือยัง สมมติว่าไม่ป่วยเลย ชีวิตนี้ราบรื่นตลอด ในอนาคตก็ไม่ป่วย แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่เจอความพลัดพรากสูญเสีย เรามีอายุยืน แต่ว่าคนที่เรารัก ไม่ว่าลูก เมีย สามี พ่อ แม่ เขาอาจไม่ได้อายุยืนตามเราด้วย บางคนก็อายุสั้น แต่ไม่ว่าอายุสั้นหรืออายุยืน ก็ต้องตายทั้งนั้น และหากเขาตายก่อนเรา เราจะทำใจอย่างไร เราไม่สามารถที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแบบนี้ขึ้นได้ ๑๐๐ เปอร์เซนต์ อย่างมากก็ป้องกันได้แค่ ๙๐ เปอร์เซนต์ ที่เหลืออีก ๑๐ เปอร์เซนต์ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะป้องกันหรือควบคุมได้ แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจะทำอย่างไร เราจะเศร้าโศกเสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่หรือไม่ เหมือนกับคนที่มีชีวิตราบรื่น แต่พอเป็นมะเร็งก็ทำใจไม่ได้

    เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไปเยี่ยมคนป่วยที่เป็นมะเร็ง แกพูดอย่างเดียวว่าอยากตาย อยากตาย ไม่อยากอยู่แล้วเพราะว่ามันเจ็บ มันปวด มันทรมาน ก่อนหน้านั้นก็เคยมีคนป่วยมาปรึกษากับอาตมาทางโทรศัพท์ เขาพูดว่าอยากตาย ไม่อยากอยู่ ทั้ง ๆ ที่ชีวิตก็ดูเหมือนจะราบรื่น ทำงานสถานทูต งานการก็ก้าวหน้าดี ครอบครัวก็ดี แต่พอมาเจอมะเร็งก็ไม่อยากอยู่แล้ว ขอตายดีกว่า อันนี้เป็นตัวอย่างของคนซึ่งคิดว่าวันนี้สุขแล้วพรุ่งนี้ก็จะสุขด้วย ก็เลยไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับเหตุร้ายเลย

    คนเหล่านี้อาจเคยถูกชวนให้มาปฏิบัติธรรม เขาก็คงก็ให้เหตุผลคล้าย ๆ กันว่าจะปฏิบัติทำไม เพราะว่าฉันไม่ได้ทุกข์อะไร ฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว คนที่พูดแบบนี้เรียกได้ว่าประมาท เพราะคิดว่าพรุ่งนี้ก็จะมีความสุขเหมือนวันนี้ จะไม่มีความทุกข์ใด ๆ มาแผ้วพาน ครั้นเจอความทุกข์เข้า ไม่ว่า ความเจ็บป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย ไม่ต้องสูญเสียคนรักหรอก แค่ถูกน้ำกวาดเอาทรัพย์สมบัติไป เอารถไป ก็อยากจะตายแล้ว อย่างนี้ก็มี นี่ก็เพราะความประมาท ไปคิดว่าชีวิตจะราบรื่นไปได้ตลอด
    แต่ถ้าใครก็ตามที่ตระหนักว่าวันนี้สุขแต่พรุ่งนี้อาจจะทุกข์ก็ได้ เขาจะไม่ปฏิเสธหรือไม่มองข้ามเรื่องการเตรียมใจ แล้วจะเตรียมใจให้ดีได้อย่างไร วิธีหนึ่งก็คือการปฏิบัติธรรมนั่นเอง
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,052
    (ต่อ)
    ปฏิบัติธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องของพิธีรีตอง แต่เป็นเรื่องของการฝึกใจเพื่อให้เราสามารถมีจิตใจปกติ มั่นคง ไม่หวั่นไหวไปในยามที่มีสิ่งกระทบ มีเหตุร้ายมากระหน่ำย่ำยีอย่างไรก็ใจไม่ทุกข์ ถึงแม้ว่าจะเสียทรัพย์ หรือถึงแม้กายจะเจ็บป่วย แต่ว่าไม่กระเทือนไปถึงใจ เพราะว่าจิตใจมีธรรมะเป็นเครื่องรักษา การปฏิบัติธรรมนั้นทำให้เราสามารถอยู่ได้อย่างเป็นปกติสุขในทางจิตใจ ถึงแม้ว่าชีวิตจะไม่ราบรื่น อาจมีความวุ่นวายหรือไม่สมหวังเกิดขึ้นก็ตาม

    ที่จริงแล้วธรรมะไม่ได้ช่วยเพียงแค่ในยามที่เราทุกข์เท่านั้น ในยามสุขธรรมะก็ช่วยให้เราสามารถเป็นสุขได้ทั้งกายและใจด้วย คนจำนวนไม่น้อยสุขกายก็จริง แต่ใจทุกข์ ถึงแม้ว่าการงานจะราบรื่น แต่ว่าความทุกข์ในจิตใจก็เกิดขึ้นอยู่เสมอ บางทีก็กินไม่ได้นอนไม่หลับกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ

    มีพยาบาลคนมาปรึกษาว่า วันหนึ่งเห็นประกาศเกี่ยวกับการดูงานในสถานที่หนึ่ง เธอเห็นแล้วชอบเลยสมัครไปดูงานที่นั่น หัวหน้าก็อนุญาต มีคำสั่งออกมาแล้ว เธอดีใจ ก็เลยเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนฟังแล้วก็อยากไปด้วย แล้วจะทำอย่างไร ก็เลยไปคุยกับหัวหน้า พอถึงวันเดินทาง หัวหน้าก็โทรศัพท์มาบอกว่าไม่ต้องไปแล้ว ให้เพื่อนคนนั้นไปแทน เธอก็เสียใจมาก ทั้งโกรธหัวหน้า ทั้งแค้นใจเพื่อน พวกเราก็คงเคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้ ที่จริงก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตเพราะไม่ได้ทำให้ชีวิตกระทบกระเทือนอะไรเลย แต่พอมีเหตุการณ์ที่ว่านี้เกิดขึ้น เธอก็โกรธหัวหน้าและเพื่อนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เธอจึงมาปรึกษาอาตมาว่าจะทำอย่างไรดี นี่ขนาดไม่ได้เจอเหตุร้ายประเภทที่ว่าเป็นมะเร็งหรือว่าพลัดพรากสูญเสียคนรัก แค่เจอเรื่องทำนองนี้ก็ซวนเซจนเกือบจะเสียศูนย์

    อาตมาก็แนะนำไปว่าการที่เราไม่ได้ไปในที่ที่เราชอบก็ถือว่าเสียไปหนึ่งอย่างแล้ว คือเสียโอกาส ถ้าจะเสียก็ขอให้เสียแค่นี้ แต่ถ้าเราเสียใจด้วย ก็เท่ากับว่าเรากำลังปล่อยให้ตัวเองสูญเสียสองอย่าง ไหน ๆ จะเสียก็ขอให้เสียอย่างเดียวก็พอ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมเสียอย่างเดียว จะเสียสองอย่างคือเสียโอกาสที่ไม่ได้ไปดูงาน และเสียใจหรือเสียความสุขด้วย

    เสียโอกาสที่ไม่ได้ไปดูงานนั้นเป็นเพราะเพื่อนและหัวหน้า แต่ว่าความสุขที่เสียไปจากเหตุการณ์นี้ ใครทำให้ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ตัวเรานั่นแหละ ทำนองเดียวกันเวลามีคนขโมยเงินเราไป เขาก็ขโมยได้แต่เงิน เขาไม่สามารถขโมยความสุขจากเรา หรือยัดเยียดความทุกข์ให้แก่เราได้ มีสิ่งเดียวที่จะขโมยความสุขไปจากเราก็คือใจที่ยึดมั่นถือมั่นและยังหวงยังแหนสิ่งของนั้น เป็นเพราะยังยึดมั่นอยู่ ก็เลยไม่ใช่แค่เสียของอย่างเดียว แต่เสียใจด้วย แทนที่จะเสียอย่างเดียวก็เสียสองอย่าง เสียอย่างแรกคือเสียทรัพย์สมบัตินั้นคนอื่นทำ แต่เสียใจและเสียความสุขนั้นไม่ใช่ใครทำ เราทำเอง เป็นเพราะใจที่วางไว้ไม่ถูก วางไว้ไม่เป็น

    คนเราส่วนมากทุกข์เพราะใจของตนเอง แม้แต่เวลาเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็งก็ดี มันทำได้อย่างมากก็คือบั่นทอนร่างกายของเรา ทำให้หมดเรี่ยวหมดแรง อาจจะทำให้กินไม่ค่อยได้ แต่ว่าความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นนั้นมะเร็งไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ ความทุกข์ใจเกิดขึ้นจากใจของเราเอง เวลามีคนมาวิจารณ์เรา นินทาเรา มาพูดให้ร้ายเรา เขาก็ทำได้แค่นั้น แต่ก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้ แต่ถ้าเราทุกข์มันไม่ใช่ใครทำ เป็นเพราะใจของเราที่ไปเก็บเอาคำพูดของเขามาทิ่มแทงตัวเองต่างหาก

    ทุกวันนี้เราซ้ำเติมตัวเองอยู่เป็นอาจิณ อย่างคนที่มาปรึกษาอาตมาว่าถูกเพื่อนแย่งที่ไปดูงาน เธอก็ซ้ำเติมตัวเองด้วยการเอาความทุกข์มาเผาลนจิตใจ เอาความโกรธมาเผาลนจิตใจ ซ้ำเติมตัวเอง เวลาเสียของ เสียเงิน ก็ซ้ำเติมตัวเองด้วยการหมกจมอยู่กับความเสียใจหรือคับแค้นใจ คนอื่นเขาเอาเงินเราไปแล้วเราก็ซ้ำเติมตัวเองด้วยการหมกมุ่นครุ่นคิด ไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักวาง จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะความเสียดาย เพราะความเสียใจ
    ป่วยกายแทนที่จะป่วยแต่กาย ก็ป่วยใจด้วย เป็นการซ้ำเติมตัวเองเช่นกัน นี้เป็นเพราะใจไม่ได้รับการฝึกฝน ถ้าใจได้รับการฝึกฝนก็จะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้มาซ้ำเติมหรือย่ำยีบีฑาจิตใจได้ ใจที่ฝึกไว้ดีแล้วจะไม่ซ้ำเติมตัวเอง จะไม่หาความทุกข์มาใส่ตัว แต่จะหาทางออกจากทุกข์

    ความสุขที่จริงแล้วมีอยู่กับตัวเราอยู่แล้ว แต่ที่เสียไปนั้นไม่ใช่เพราะสิ่งภายนอก แต่ว่าเพราะใจของเราคอยบั่นทอนเบียดเบียนความสุขให้เหลือน้อยลงต่างหาก

    :-https://visalo.org/article/suksala19.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...