บทความให้กำลังใจ(รู้เท่าทันตัวตน)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,983
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,057
    (ต่อ)
    รู้จักคิดหรือฉลาดคิด เป็นเรื่องของปัญญา หากมีปัญญาก็สามารถเปลื้องใจออกจากความทุกข์ และเข้าถึงความสุขได้ไม่ยาก ในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน ปรวนแปร ไม่แน่นอน เราไม่สามารถควบคุมหรือแม้แต่คาดหวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจเราได้ แต่หากเรามีปัญญา ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ยังมีความสุขอยู่ได้ ดังมีพุทธพจน์ว่า “สำหรับผู้มีปัญญา แม้ตกทุกข์ ก็ยังหาสุขพบ”

    ปัญญาคือหลักประกันแห่งความสุขที่แท้จริง ในทางตรงข้ามหากขาดปัญญาเสียแล้ว แม้ร่ำรวย มีอำนาจ สูงด้วยยศศักดิ์ ก็หาความสุขได้ยาก อย่างมากก็สุขกาย แต่ใจเต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์เพราะรู้สึกว่ายังมีไม่พอ ทุกข์เพราะอยากได้มากกว่านี้ ทุกข์เพราะเห็นคนอื่นมีมากกว่าตน หรือทุกข์เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมาแย่งชิงของของตนไป เมืองไทยทุกวันนี้เต็มไปด้วยคนที่ทุกข์เพราะเหตุเหล่านี้มาก

    ทั้ง ๆ ที่มีอะไรต่ออะไรมากมาย ก็ยังเป็นทุกข์ จะกล่าวไปไยถึงคนที่ล้มเหลวในการตักตวงสิ่งต่าง ๆมาครอบครอง แต่จะมีมากหรือน้อยก็ตาม ที่เป็นทุกข์ก็เพราะขาดปัญญานี้เอง อย่าว่าแต่ปัญญาระดับสูงถึงขั้นเห็นแจ้งในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนปล่อยวางได้อย่างสิ้นเชิงเลย แม้แต่ปัญญาระดับพื้นฐาน ก็ถูกละเลยไปมาก จึงเกิดปัญหามากมายทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ไปจนถึงสังคม

    กล่าวโดยรวมแล้ว ความทุกข์ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับผู้คนในเวลานี้ มาจากทัศนคติ ๔ ประการ ซึ่งสวนทางกับวิถีแห่งปัญญาได้แก่

    ๑. คิดถึงตนเองมากกว่าผู้อื่น
    ยิ่งคิดถึงตนเองมากเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น เพราะจะมองเห็นปัญหาของตนเป็นเรื่องใหญ่อยู่เสมอ ความเห็นแก่ตัวที่เพิ่มพูน จะทำให้กลายเป็นคนทุกข์ง่ายและสุขยาก

    ๒. ยึดติดความสุขทางวัตถุ
    ทัศนคติดังกล่าวทำให้หมกมุ่นกับการเสพและแสวงหาวัตถุ ได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ เพราะคิดว่ายิ่งมีมาก ก็ยิ่งเป็นสุขมาก ชีวิตจึงไม่รู้จักกับความสงบเย็น

    ๓. หวังลาภลอยคอยโชคและมุ่งทางลัด
    ทัศนคติเช่นนี้ทำให้ขาดความเพียร แต่ผลักให้เข้าหาการพนัน การพึ่งพาไสยศาสตร์ ส่งเสริมให้เกิดการคอร์รัปชั่น และการลักขโมย ซึ่งมีแต่จะทำให้ชีวิตตกต่ำลง

    ๔. คิดอย่างไม่ถูกวิธี
    ทำให้ตัดสินใจไปตามความชอบความชัง หรือตกอยู่ภายใต้อารมณ์และอคติ ถือเอา “ความถูกใจ”มากกว่า “ความถูกต้อง” ทำให้ไม่อาจทำการงานให้สำเร็จหรือแก้ปัญหาของตนได้

    สังคมจะเจริญก้าวหน้า และผู้คนจะมีความสุข หากมีทัศนคติที่ตรงข้ามกับ ๔ ประการข้างต้น กล่าวคือมีปัญญาเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต ทัศนคติ ๔ ประการดังกล่าวได้แก่

    ๑. คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเอง
    เมื่อเราคิดถึงผู้อื่นอยู่เสมอ ตัวตนจะเล็กลง ความทุกข์ของเราจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ยิ่งช่วยผู้อื่นมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขเพราะได้เห็นผู้อื่นมีความสุขด้วย

    ๒. เข้าถึงความสุขที่ไม่อิงวัตถุ
    มีความสุขมากมายที่ประเสริฐและประณีตกว่าความสุขทางวัตถุ สามารถสัมผัสได้โดยไม่ต้องใช้เงิน เช่น สุขจากการทำความดีและมีสัมพันธภาพที่อบอุ่นราบรื่น คนที่เข้าถึงความสุขชนิดนี้ย่อมเป็นคนสุขง่าย ทุกข์ยาก

    ๓. เชื่อมั่นในความเพียรของตน
    ความสุขและความสำเร็จนั้นล้วนอยู่ในวิสัยที่เราจะทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยความเพียรของเราเอง ทัศนคติดังกล่าวทำให้เรารู้จักพึ่งตน ไม่หวังพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือโชควาสนาและห่างไกลจากการพนันและการฉ้อโกง

    ๔. รู้จักคิดอย่างมีเหตุผลและเป็นประโยชน์เกื้อกูล
    คิดดี คิดเป็น และเห็นชอบ ทำให้เราสามารถอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุข นอกจากไม่เบียดเบียนใครแล้ว ยังสามารถแก้ทุกข์ได้ด้วยตนเอง รวมทั้งเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ จึงมีชีวิตได้ด้วยความมั่นใจในตนเอง

    ทัศนคติทั้ง ๔ ประการข้างต้นเป็นพื้นฐานของสุขภาวะทางปัญญา ซึ่งสังคมไทยต้องการเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เครือข่ายพุทธิกาจึงร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทำโครงการ “สุขแท้ด้วยปัญญา” ขึ้น เพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่มุ่งส่งเสริมให้เกิดทัศนคติดังกล่าว โดยมีเงื่อนไขว่ากิจกรรมเหล่านี้ต้องประกอบด้วยกระบวนการ ๔ ขั้นตอนคือ

    ๑. การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์
    ๒. การร่วมกันทำงานเป็นกลุ่ม
    ๓. การร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็น
    ๔. การสรุปบทเรียนจากประสบการณ์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตและงาน

    เราพบว่า กระบวนการทั้ง ๔ ขั้นตอนสามารถบ่มเพาะทัศนคติและส่งเสริมให้เกิด
    ปัญญาได้ดีกว่าการฟังคำบรรยายหรือการประชุมสัมมนา เพราะเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์และการปฏิบัติโดยตรง ซึ่งให้ผลที่ยั่งยืนกว่าการฟังเรื่องราวของคนอื่น ความรู้ที่เกิดจากการบรรยายหรือการเทศนานั้น อย่างมากก็เป็นได้แค่ “ความรู้ชั้นสอง”สำหรับผู้ฟัง แม้ความรู้ดังกล่าวจะจำเป็น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “ความรู้ชั้นหนึ่ง” ที่เกิดจากการปฏิบัติและใคร่ครวญด้วยตนเอง

    โครงการสุขแท้ด้วยปัญญาเริ่มต้นเมื่อปีที่แล้ว มี ๕๔ โครงการเข้าร่วมจากทั่วประเทศ ครอบคลุมประเด็นที่หลากหลาย อาทิ สิ่งแวดล้อม การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม และศาสนา ผู้เข้าร่วมมีตั้งแต่ ภิกษุสามเณร นักเรียน นักศึกษา เด็กออทิสติค ผู้พิการ จนถึง ผู้ติดเชื้อ

    หลังจากทำกิจกรรมเสร็จ แกนนำและผู้เข้าร่วมของทุกกิจกรรมได้ส่งตัวแทนมาร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุปบทเรียน ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลายและลุ่มลึกขึ้น หลายคนได้เล่าถึงบทเรียนและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเองจากกิจกรรมเหล่านี้

    เด็กหญิงวัย ๑๓ ปีเล่าว่า เธอสมัครเข้าค่ายละครด้วยความหวังที่สดสวย แต่ทันทีที่มาเห็นค่ายเธอก็รู้สึกผิดหวังอย่างแรง เพราะค่ายตั้งอยู่กลางทุ่งนา เธอต้องนอนในเต๊นท์ อาหารการกินก็ไม่ถูกปาก ที่ร้ายกว่านั้นก็คือไม่มีโทรทัศน์และสัญญาณโทรศัพท์ เธอต้องใช้ชีวิตที่ไม่คุ้นเคยและไม่สะดวกสบายเลย แต่หลายวันผ่านไปเธอก็เพลินกับกิจกรรม เพราะมีโอกาสได้คิดและทำละครด้วยตนเอง อีกทั้งยังได้พบปะสังสรรค์กับเพื่อน ๆ เมื่อค่ายใกล้จะจบเธอก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ทำไมเธอถึงมีความสุขในค่าย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความสะดวกสบายเลย แล้วเธอก็พบว่า ความสุขไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือมีสิ่งอำนวยความสะดวก มิตรภาพกับการได้ทำสิ่งที่ตนเองรักก็เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขเช่นกัน

    นักศึกษาอีกคนเล่าว่า เธอกับเพื่อน ๆ ไปเข้าค่ายบำเพ็ญประโยชน์ที่จังหวัดลำปาง ทีแรกเธอรู้สึกไม่พอใจที่อาจารย์พานักศึกษานั่งรถไฟชั้นสาม ซึ่งมีผู้โดยสารแออัด ที่แย่กว่านั้นก็คือพอเธอกลับจากห้องสุขา ก็พบว่าที่นั่งของเธอมีชาวบ้านมานั่งแทน เธอขุ่นเคืองใจมาก แต่หลังจากที่ยืนไปได้พักใหญ่ เธอก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า เธอเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อจะไปช่วยชาวบ้านมิใช่หรือ แล้วทำไมเธอถึงโมโหที่มีชาวบ้านมานั่งที่ของเธอ แค่นี้เธอก็เสียสละไม่ได้หรือ ถึงตรงนี้เธอก็หายโมโหชาวบ้านทันที ขณะเดียวกันก็เห็นตัวเองชัดว่ายังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ ทั้ง ๆ ที่กำลังจะไปช่วยชาวบ้านแท้ ๆ

    ผู้ติดเชื้อHIV คนหนึ่งถูกชวนเข้าร่วมกิจกรรมถ่ายภาพ แต่แทนที่จะถ่ายภาพทั่ว ๆ ไป ผู้จัดให้เขาอ่านหนังสือธรรมะบทหนึ่ง จากนั้นก็ให้เขาเลือกประโยคใดประโยคหนึ่งออกมา แล้วลองคิดดูว่าจะถ่ายทอดข้อความนั้นด้วยภาพนิ่งและภาพวีดีโออย่างไร เขายอมรับว่าทีแรกนึกไม่ออก เพราะรู้สึกว่าธรรมะนั้นเป็นเรื่องยากและห่างไกลตนเหลือเกิน แต่หลังจากใคร่ครวญเพ่งพินิจ และมองรอบตัว ก็เริ่มมองเห็นว่าต้นไม้ ก้อนหิน สระน้ำ เป็นสื่อถ่ายทอดธรรมะประโยคนั้นได้อย่างไร เขาถ่ายภาพแล้วภาพเล่า จากนั้นผู้จัดก็พิมพ์และนำภาพเหล่านั้นไปติดบนผนัง รวมทั้งนำคลิปวีดีโอของเขาและเพื่อน ๆ ออกฉายให้ดูกันด้วย หลายคนชมว่าเขาถ่ายภาพสวยและสื่อธรรมะได้ดี เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองมีความสามารถอย่างนั้น ความภาคภูมิใจในตนเองทำให้เขาไม่รู้สึกต่ำต้อยในความเป็นผู้ติดเชื้ออีกต่อไป

    ผู้ร่วมโครงการคนหนึ่งพูดว่า สิ่งที่เขาประทับใจโครงการนี้ก็คือ เป็นโครงการที่กระตุ้นให้เกิด “เอ๊ะ” มากกว่า “อ๋อ” กล่าวคือทำให้เกิดการฉุกคิดและตั้งคำถามกับความคิดหรือความเข้าใจเดิม ๆ ไม่เหมือนกับการไปเข้าสัมมนาหรือฟังคำบรรยาย ที่ได้แต่ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้มากขึ้น แต่ไม่กระตุ้นให้เกิดการฉุกคิด

    เนื่องจากความสำเร็จในปีแรก โครงการสุขแท้ด้วยปัญญาจึงดำเนินการต่อเป็นปีที่สอง โดยจะให้ทุนสนับสนุนแก่กิจกรรมที่ผ่านการคัดเลือกไม่เกิน ๒ แสนบาทต่อทุน ทั้งนี้โดยมีเงื่อนไขว่า กิจกรรมที่ทำจะจัดเพียง ๑ ครั้ง ( ไม่น้อยกว่า ๕ วัน ๔ คืน ) หรือ ต่อเนื่องมากกว่า ๑ ครั้งก็ได้ แต่จำนวนผู้เข้าร่วมต้องไม่น้อยกว่า ๓๕ คน โดยเน้นผู้เข้าร่วมที่เป็นเยาวชนคนหนุ่มสาว เปิดรับโครงการระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม -๑๔ สิงหาคม
    :- https://visalo.org/article/matichon255206.htm
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,983
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,057
    สังคมที่เป็นปฏิปักษ์กับความดี
    พระไพศาล วิสาโล
    พฤติกรรมทางศีลธรรมของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับทัศนคติหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีภายในใจเท่านั้น แต่ยังถูกกำหนดโดยสิ่งแวดล้อมรวมถึงสถานการณ์และผู้คนรอบตัวด้วย หากมีใครสักคนเป็นลมอยู่บนถนนที่มีคนพลุกพล่าน ถ้าทุกคนพากันเดินผ่านผู้เคราะห์ร้ายโดยไม่หยุดช่วยเหลือเขาเลย คนที่เดินตามมาก็มีแนวโน้มที่จะเดินผ่านเขาไปด้วยเช่นกัน แต่ถ้าบังเอิญมีใครสักคนหยุดเดินแล้วเข้าไปช่วยเขา ก็จะมีใครต่อใครอีกหลายคนเข้าไปทำอย่างเดียวกัน เช่น ซื้อยาดมหรือหาน้ำให้กิน
    นักจิตวิทยาคู่หนึ่ง แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เคยทำการทดลองด้วยการมอบหมายให้นักศึกษาคนหนึ่งแกล้งทำเป็นโรคลมบ้าหมูอยู่คนเดียวในห้อง โดยมีนักศึกษาอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องติดกัน (แต่ไม่รู้ว่ามีการทดลอง) จากการทดลองทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง พบว่านักศึกษาข้างห้องเมื่อได้ยินเสียงร้องจะเข้าไปช่วย “ผู้ป่วย” ถึงร้อยละ ๘๕ ของการทดลอง แต่ถ้าหากในห้องข้าง ๆ นั้นมีคนอยู่ ๕ คน ร้อยละ ๓๑ เท่านั้นที่จะมีคนจากห้องนั้นไปช่วย
    เขายังได้ทดลองด้วยการสุมควันในห้อง ปรากฏว่าคนที่อยู่นอกห้องหากเห็นควันพวยพุ่งจากใต้ประตูจะรีบวิ่งไปบอกเจ้าหน้าที่ถึงร้อยละ ๗๕ ถ้าเขาอยู่คนเดียว แต่ถ้าอยู่กันเป็นกลุ่ม จะมีการรายงานเจ้าหน้าที่เพียงร้อยละ ๓๘ ของการทดลองเท่านั้น

    การทดลองนี้ได้ข้อสรุปว่า ผู้คนมีแนวโน้มที่จะทำตัวพลเมืองดีหากว่าอยู่คนเดียว แต่ถ้าอยู่กันหลายคน ความใส่ใจที่จะเป็นพลเมืองดีก็ลดลง

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,983
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,057
    (ต่อ)
    กล่าวกันว่าคนเรามักจะทำดีต่อหน้าผู้คน ข้อนี้มีความจริงอยู่ แต่ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ทำตัวเฉยเมย ดูดายต่อปัญหา ไม่อนาทรต่อผู้เดือดร้อน คนอื่นก็มักจะทำตามด้วย นี้คือเหตุผลว่าเหตุใดผู้หญิงจึงถูกลวนลามในรถเมล์หรือถูกฉุดกระชากลากถูเข้าพงหญ้าโดยไม่มีใครเข้าไปช่วยเหลือเลย ในสถานการณ์เช่นนี้ต่างคนต่างโยนความรับผิดชอบให้คนอื่น ( “แกทำสิ ๆ” หลายคนคงนึกเช่นนี้ในใจ) หาไม่ก็นึกในใจว่า “ถึงฉันไม่ทำ คนอื่นก็ทำ” สุดท้ายก็ไม่มีใครทำอะไรเลยสักคน อันธพาลจึงทำร้ายผู้หญิงได้สมใจและลอยนวลไปได้
    นอกจากผู้คนแวดล้อมแล้ว สถานการณ์หรือสถานภาพของแต่ละคนก็มีส่วนกำหนดพฤติกรรมของเขาด้วย เมื่อเกือบ ๔๐ ปีที่แล้วมีการทดลองที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โดยทำคุกจำลองขึ้นและมีอาสาสมัครจำนวน ๒๔ คนมารับบทเป็นผู้คุมและนักโทษ อาสาสมัครเหล่านี้ล้วนคัดมาจากผู้ที่มีสุขภาพจิตดีมาก ผู้ที่รับบทเป็นผู้คุมซึ่งมีอยู่ครึ่งหนึ่งนั้นได้รับเครื่องแบบ ใส่แว่นตาดำและมีอุปกรณ์ทุกอย่างเหมือนจริง รวมทั้งมีอำนาจเช่นเดียวกับผู้คุมทั่วไป

    การทดลองมีกำหนด ๑๔ วัน แต่หลังจากดำเนินไปได้เพียง ๖ วันก็ต้องยุติ เพราะนักโทษทนสภาพที่ถูกบีบคั้นในคุกไม่ไหว เนื่องจากผู้คุมใช้อำนาจอย่างเต็มที่ เพียงแค่คืนแรกนักโทษก็ถูกปลุกให้ขึ้นมาวิดพื้นตั้งแต่ตี ๒ และทำอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง วันต่อมาเมื่อนักโทษแสดงอาการต่อต้านขัดขืน ก็ถูกลงโทษหนักขึ้น มีการเปลื้องผ้าและจับขังคุกเดี่ยว หลังจากนั้นนักโทษหลายคนมีอาการหงอย หงอ และซึม ขณะที่ผู้คุมแสดงอาการข่มขู่ก้าวร้าวมากขึ้น ผ่านไปไม่กี่วันนักโทษ ๔ คนถูกพาออกจากการทดลองเพราะมีอาการคลุ้มคลั่งและซึมเศร้าอย่างหนัก สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิด จึงต้องยุติการทดลองก่อนกำหนด ๘ วัน

    อาสาสมัครที่รับบทผู้คุมบางคนเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า พฤติกรรมที่เขาทำในคุกนั้นตรงข้ามกับที่เขาทำในยามปกติ บางคนยอมรับว่า ไม่คิดมาก่อนว่าตนจะมีพฤติกรรมรุนแรงอย่างนั้นเพราะเชื่อว่าตัวเองเป็นคนรักสันติ ส่วนฟิลิป ซิมบาร์โดซึ่งเป็นผู้ทำการทดลองอันลือชื่อดังกล่าว ยอมรับเช่นกันว่า ไม่คาดคิดว่าพฤติกรรมของผู้คนในคุกจำลองจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและเข้มข้นขนาดนั้น

    การทดลองดังกล่าวชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสถานการณ์บางอย่างนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนได้ มันสามารถดึงเอาด้านลบหรือความรุนแรงก้าวร้าวในตัวของผู้คนออกมาอย่างคาดไม่ถึง “คนดี”ในยามปกติอาจกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัว บ้าอำนาจ หรือนิยมความรุนแรงได้หากมีอำนาจมากมายในมือ

    ดังที่คุณหมอประเวศ วะสีได้เปรียบเปรยไว้ ไก่ ๒ ตัวเมื่อถูกสุ่มครอบ จากเดิมที่เคยหากินอย่างสงบ ก็จะเริ่มจิกตีกัน คนเมื่อถูกครอบด้วยโครงสร้างที่คับแคบ ก็จะกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แสดงความรุนแรงต่อกัน สังคมเผด็จการเบ็ดเสร็จอย่างคอมมิวนิสต์ (โดยเฉพาะรัสเซียสมัยสตาลิน และจีนยุคปฏิวัติวัฒนธรรม) เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ดึงเอาด้านลบของมนุษย์ออกมาอย่างน่าเกลียด ผู้คนไม่เพียงระแวงต่อกันเท่านั้น แต่ยังพร้อมที่จะปรักปรำใส่ร้ายกัน เพื่อความอยู่รอดของตัว แม้กระทั่งสามีภรรยาก็ไม่ไว้ใจกัน เพราะกลัวว่าต่างฝ่ายจะเป็นสายให้ตำรวจ

    ที่มักพูดกันว่า “ถ้าทุกคนเป็นคนดี สังคมก็จะดีด้วย” เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว คนมิใช่เป็นผู้กำหนดสังคมฝ่ายเดียวเท่านั้น สังคมก็เป็นตัวกำหนดผู้คนด้วย นั่นก็คือ “ถ้าสังคมเลว ทุกคนก็(มีสิทธิ)เป็นคนเลว”

    อิทธิพลของสังคมมีผลทางลบต่อจิตใจของผู้คนเพียงใด พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในจักกวัตติสูตร โดยทรงชี้ให้เห็นถึงผลกระทบเป็นลูกโซ่ กล่าวคือ เมื่อ(ผู้ปกครอง)ไม่จัดสรรปันทรัพย์ให้แก่เหล่าชนผู้ไร้ทรัพย์ ย่อมทำให้ความยากจนระบาดทั่ว จากนั้นก็จะมีการลักขโมยแพร่หลาย มีการใช้อาวุธระบาดทั่ว มีการฆ่าผู้คน โกหก ส่อเสียด ประพฤติผิดในกาม ฯลฯ จนเกิดมิจฉาทิฏฐิ ความฝักใฝ่ในอธรรม ความละโมบ และมิจฉาธรรม เป็นต้น

    เห็นได้ว่าการปกครองที่ไม่ก่อให้เกิดการแบ่งปันทรัพย์อย่างทั่วถึง สามารถก่อผลกระทบต่อเนื่อง ไม่เพียงทำให้ผู้คนกินอยู่ฝืดเคืองเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อพฤติกรรมของประชาชน เริ่มจากการผิดศีลผิดธรรม ตามมาด้วยการกัดกร่อนจิตสำนึกของผู้คน ทำให้กิเลสและความหลงผิดเพิ่มพูนขึ้น
    อิทธิพลของสังคมที่มีต่อจิตสำนึกของผู้คน เป็นเรื่องที่ชาวพุทธและคนไทยทั่วไปไม่สู้ตระหนัก หรือยังให้ความสำคัญน้อยมาก ดังจะเห็นได้จากการนิยมเปลี่ยนจิตสำนึกของผู้คนด้วยวิธีการเทศนาสั่งสอน (รวมทั้งพานั่งสมาธิ) ซึ่งแม้จะมีประโยชน์ แต่ก็ยังไม่พอ เพราะได้ผลในระดับบุคคล หรือกับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่ส่งผลน้อยมากต่อสังคมโดยรวม


     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,983
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,057
    (ต่อ)
    การยกระดับจิตสำนึกหรือเสริมสร้างพฤติกรรมทางศีลธรรมของผู้คนนั้น ไม่อาจเกิดขึ้นในวงกว้างได้เลยตราบใดที่โครงสร้างหรือเงื่อนไขทางสังคมยังอยู่ในสภาพที่เป็นปฏิปักษ์กับความดี สภาพดังกล่าวได้แก่ ความยากจนที่แพร่ระบาด การมีอบายมุขทั่วบ้านทั่วเมือง สื่อมวลชนที่ถูกครอบงำด้วยบริโภคนิยม การศึกษาที่ไม่ส่งเสริมการเรียนรู้และใฝ่ธรรม ประเด็นเหล่านี้มีการพูดกันมากแล้ว แต่ที่ยังพูดถึงน้อยก็คือ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม
    ปัจจุบันมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่า นอกจากความยากจนแล้ว ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมส่งเสริมให้เกิดอาชญากรรมและความรุนแรงในสังคมโดยตรง ล่าสุดคืองานวิจัยของริชาร์ด วิลคินสัน ซึ่งเป็นที่กล่าวขานอย่างแพร่หลายในขณะนี้ เขาได้ชี้ว่าเมื่อเทียบระหว่างประเทศต่อประเทศ รัฐต่อรัฐ เมืองต่อเมือง จะพบว่า สังคมที่มีความแตกต่างทางด้านรายได้สูงมาก(เช่น สหรัฐอเมริกา) มีอาชญากรรมและนักโทษในสัดส่วนที่สูงกว่าสังคมที่มีความแตกต่างทางด้านรายได้น้อยกว่า (เช่น ญี่ปุ่น นอร์เวย์)
    ความรุนแรงนั้นเกิดจากคนระดับล่างที่รู้สึกคับแค้น ต่ำต้อย และไม่พอใจคนระดับบนที่ดูถูกตน รวมทั้งเกิดจากความรู้สึกว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบด้วย ขณะที่คนระดับบนนั้นนอกจากมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรมากกว่าแล้ว ยังใช้อภิสิทธิ์ดังกล่าวเบียดบังผลประโยชน์ของผู้ที่อยู่ต่ำกว่า ทำให้ช่องว่างทางเศรษฐกิจถ่างกว้างขึ้น

    ความรุนแรงยังเกิดจากช่องว่างทางสถานภาพ ซึ่งก่อให้เกิดความเหินห่างหมางเมินและพัฒนาไปสู่ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อกันได้ง่ายมาก งานวิจัยดังกล่าวชี้ว่าในประเทศที่มีความแตกต่างทางรายได้สูงมาก จะมีความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจสูงมาก เช่น ในสิงคโปร์ มีเพียงร้อยละ ๒๐ เท่านั้นที่บอกว่าผู้คนส่วนใหญ่ไว้ใจได้ ขณะที่ผู้ที่มีความเห็นดังกล่าวมีมากถึงร้อยละ ๖๕ ในสวีเดน เดนมาร์ค ซึ่งเป็นประเทศที่มีแตกต่างทางรายได้น้อยมาก

    ดังที่การทดลองของซิมบาร์โดได้ชี้ชัด สถานภาพที่ต่างกันสามารถดึงเอาด้านลบหรือส่วนที่เลวร้ายในใจมนุษย์ออกมา เพราะต่างฝ่ายต่างมองซึ่งกันและกันเป็นคนละพวกคนละฝ่าย แม้สังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมากจะแตกต่างจากสภาพในคุก แต่การที่ผู้คนแบ่งกันตามสถานภาพที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจน (เช่น รายได้ซึ่งเชื่อมโยงกับการศึกษาและรสนิยมการบริโภค รวมทั้งอิทธิพลทางการเมือง และ “เส้นสาย”) ก็ย่อมทำให้แต่ละฝ่ายมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมทางลบต่อกันและกัน ตรงกันข้ามกับมิตรภาพ ที่มักจะดึงด้านบวกหรือคุณธรรมออกมา (เช่น แย่งกันออกเงินค่าอาหาร)

    แม้ว่าการวิจัยของวิลคินสันเน้นเฉพาะประเทศที่ร่ำรวย ๒๐ ประเทศ ไม่รวมประเทศระดับกลางหรือยากจน แต่ก็บอกอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับประเทศไทยซึ่งมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่าประเทศเหล่านั้นมาก (เมื่อปี ๒๕๔๙ กลุ่มคนที่รวยสุดมีทรัพย์สินสูงเป็น ๖๙ เท่าของกลุ่มที่จนสุด) อย่างน้อยการศึกษาเปรียบเทียบดังกล่าวบอกเป็นนัยว่า อาชญากรรม ความรุนแรง ตลอดจนความร้าวฉานของคนไทยทั้งประเทศเวลานี้ เป็นผลมาจากความเหลื่อมล้ำของคนในสังคมไม่น้อยเลย ปฏิเสธไม่ได้ว่าความแตกต่างทางด้านสถานภาพทำให้คนไทยเกิดความไม่ไว้วางใจต่อกันมากขึ้น โดยเฉพาะชนชั้นกลางมีแนวโน้มดูแคลนคนระดับล่างที่มีฐานะและการศึกษาต่ำกว่าตนอย่างเห็นได้ชัด

    เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการเปิดเผยผลการสำรวจทัศนคติของประชาชนในเอเชีย พบว่าคนไทยเพียงร้อยละ ๑๕ เท่านั้นที่เห็นว่า คนที่มีการศึกษาน้อยหรือไร้การศึกษาควรมีสิทธิทางการเมืองเท่ากับคนที่มีการศึกษาสูง ตัวเลขดังกล่าวนับว่าต่ำที่สุดในเอเชีย นั่นหมายความว่าร้อยละ ๘๕ เห็นว่าคนที่มีการศึกษาน้อย(หรือคนจน)ควรมีสิทธิทางการเมืองน้อยกว่าคนที่มีการศึกษาสูง (หรือคนมีเงิน) ทัศนคติดังกล่าวเป็นทั้งผลพวงและสาเหตุของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในประเทศไทยในเวลานี้

    การเรียกหาความสามัคคีหรือสมานฉันท์ของคนในชาติ จะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากบ้านเมืองมีความเหลื่อมล้ำกันมากมายขนาดนี้ ในทำนองเดียวกันการหวังให้คนมีความเมตตากรุณาหรือมีศีลธรรมต่อกันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากสภาพสังคมที่เป็นอยู่มีแนวโน้มที่จะดึงเอาด้านลบของผู้คนออกมา สังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมากไม่เพียงบั่นทอนสายสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมเท่านั้น หากยังกัดกร่อนจิตวิญญาณของผู้คนด้วย มิพักต้องเอ่ยถึงการบั่นทอนสุขภาพ (การวิจัยของวิลคินสันชี้ว่าในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง มีอัตราการตายของทารก โรคอ้วน การใช้ยาเสพติด และมีความเครียดสูงตามไปด้วย)

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เกิดความสามัคคีหรือสาราณียธรรมได้แก่ สาธารณโภคี หรือการแบ่งปันกัน ในสังคมระดับประเทศ การแบ่งปันไม่อาจทำด้วยการแจกเงินแบบประชานิยม ซึ่งให้ผลชั่วคราว และมิใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด แต่จะต้องทำให้เกิดกลไกการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ทั้งโดยอาศัยกลไกตลาด กลไกรัฐ และกลไกภาษี รวมทั้งกระจายอำนาจทางการเมืองเพื่อให้เกิดโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเป็นธรรม

    ชาวพุทธพึงระลึกว่าธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจบุคคลและประสานให้ผู้คนเกิดความสามัคคี หรือสังคหวัตถุ ๔ นั้น ข้อสุดท้ายได้แก่สมานัตตตา คือความมีตนเสมอ หรือปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมกัน สิ่งที่ต้องตั้งคำถามก็คือสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมากอย่างสังคมไทยจะส่งเสริมให้เกิดธรรมข้อนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่ส่งเสริม เราจะหวังให้คนไทยมีความรักและสามัคคีกันได้อย่างไร
    :- https://visalo.org/article/matichon255210_2.htm

     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,983
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,057
    ธรรมิกชนของคนร่วมสมัย
    พระไพศาล วิสาโล
    แม้ว่าวนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ หรือ“มด”มิใช่ชาวพุทธที่ชอบเข้าวัด หรือเคร่งครัดในศีล แต่เธอก็จัดว่าเป็นธรรมิกชนผู้หนึ่งที่น่ายกย่องและถือเป็นแบบอย่างได้ ทั้งนี้เพราะมดมีองค์คุณแห่งความเป็นธรรมิกชนอย่างน้อยสามประการที่สำคัญ

    ประการแรก มดเป็นผู้ที่อุทิศตนเพื่อส่วนรวมโดยเฉพาะผู้ยากไร้ ความเสียสละดังกล่าวมิได้เกิดจากอุดมการณ์ที่ผ่านการไตร่ตรองด้วยเหตุผลเท่านั้น แต่ยังมาจากจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาและอ่อนไหวต่อความทุกข์ของผู้คน ยิ่งโลกทัศน์ของเธอเปิดกว้างขึ้นหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ความรู้สึกสงสารเห็นใจของเธอก็ยิ่งแผ่ไปไกล ครอบคลุมถึงชาวนา กรรมกร และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของโครงสร้างที่อยุติธรรม แต่เธอไม่ได้เพียงแค่เห็นใจเท่านั้น หากพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือเกื้อกูลเขาเหล่านั้นชนิดเคียงบ่าเคียงไหล่เลยทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจที่นักศึกษาปีหนึ่งอย่างเธอเข้าไปกินนอนในโรงงานนานนับเดือนเพื่อเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่กรรมกรฮาร่า ไม่ว่ากรรมกรหรือชาวบ้านที่เคยต่อสู้ร่วมกับเธอพูดตรงกันว่าเธอไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขาดังเพื่อน ยิ่งกว่าไปเป็นผู้นำของเขา แม้จะมีการศึกษาสูงกว่าเขาเหล่านั้นก็ตาม

    ประการที่สอง มดเป็นผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนน้อยมาก คุณสมบัติดังกล่าวทำให้เธอสามารถอุทิศตนเพื่อผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ แม้ตัวเองจะต้องประสบกับความยากลำบากนานาประการก็ตาม คนที่มีน้ำใจนึกถึงผู้อื่นนั้นมีจำนวนมากมายในประเทศนี้ก็จริง แต่หากช่วยคนอื่นแล้วตนเองเดือดร้อน ส่วนใหญ่ก็มักจะเลิกรา เพราะยังห่วงตนเองอยู่ แต่มดไม่ใช่คนเช่นนั้น เธอกลับมองด้วยซ้ำว่าความเดือดร้อนของเธอนั้นยังเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับคนอื่น

    เป็นเพราะนึกถึงตัวเองน้อยมาก เงินและอำนาจ ที่ใคร ๆ พยายามหยิบยื่นให้ จึงทำอะไรเธอไม่ได้ แม้จะเป็นแกนนำของขบวนการที่มีชื่อเสียงระดับชาติ แต่เธอก็ยังเป็นมดคนเดิมที่อยู่อย่างสมถะ พร้อมจะนอนกลางดินกินกลางทรายกับพี่น้องคนจน หรือหากจำเป็นก็พร้อมจะเข้าคุกโดยไม่ยอมลดราวาศอกให้กับอำนาจรัฐหรือความอยุติธรรม ความที่ไม่มีอะไรซื้อตัวเธอได้ มดจึงกลายเป็นตัวอันตรายในสายตาของผู้ที่มีอำนาจ นี้คือภาพที่ตัดกับผู้นำชาวบ้าน ผู้นำกรรมกร หรือผู้นำเอ็นจีโอหลายคนที่สยบยอมให้แก่สิ่งยั่วยวนจากผู้มีอำนาจ ยังไม่ต้องพูดถึงอดีตผู้นำนักศึกษาที่กลายไปเป็นนายทุนหรือนักการเมืองที่ไร้คุณภาพเสียเอง เพราะลึก ๆ คนเหล่านั้นยังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนอยู่มาก

    ลำพังการไม่หลงใหลกับชื่อเสียง อำนาจ สถานภาพ และความสำเร็จที่ได้รับ ก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว แต่ที่ยากกว่านั้นก็คือแม้ประสบกับสิ่งตรงกันข้ามก็ยังไม่หวั่นไหว ตรงนี้คือคุณสมบัติประการที่สามที่ทำให้มดโดดเด่นกว่าใคร ๆ ในรุ่นเดียวกัน มองตามมาตรฐานของคนทั่วไป การต่อสู้ของมดตลอด ๓๐ ปีที่ผ่านมาประสบความล้มเหลวแทบทั้งหมดก็ว่าได้ ต่อสู้เพื่อกรรมกรฮาร่าก็ไม่สำเร็จ เพื่อนกรรมกรถูกทุบตี ส่วนตนเองติดคุก ขบวนการนักศึกษาที่ตนเข้าร่วมก็ถูกบดขยี้ที่ธรรมศาสตร์ในเหตุการณ์ ๖ ตุลา ครั้นเข้าป่าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ไม่นานขบวนการปฏิวัติก็ล่มสลาย เมื่อหันมาร่วมกับชาวบ้านต่อต้านเขื่อนปากมูลก็ล้มเหลวอีก แม้จะเรียกร้องให้มีการเปิดเขื่อนเป็นบางเดือน ก็ไม่สำเร็จ ส่วนสมัชชาคนจนที่เธอร่วมจัดตั้งก็ถูกรัฐบาลชุดแล้วชุดเล่าบิดพลิ้วตระบัดสัตย์ หาไม่ก็เมินเฉยข้อเรียกร้อง

    ใช่แต่เท่านั้นตัวเธอเองยังถูกใส่ร้ายป้ายสีมาโดยตลอด ทั้งทางบัตรสนเท่ห์และตามสื่อนานาชนิด จนกลายเป็นตัวเลวร้ายในสายตาของคนทั้งประเทศ เป็นพวกหัวรุนแรงบ้างล่ะ รับเงินต่างชาติบ้างล่ะ เป็นนายหน้าค้าความจนบ้างล่ะ ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงการข่มขู่คุกคามถึงชีวิต

    แต่ทั้งหมดนี้หาได้ทำให้มดท้อแท้หรือวางมือจากการต่อสู้ไม่ แม้จะล้มเหลวหรือพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า เธอก็ยังอุทิศตนเพื่อผู้ยากไร้ต่อไป อันที่จริงหากมดต่อสู้ในประเด็นอื่นที่คนเห็นด้วยได้ง่าย เช่น ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน การอนุรักษ์ป่า เธอก็มีหวังว่าจะได้รับความสำเร็จอยู่บ้าง แต่การที่เธอเลือกต่อสู้เพื่อคนยากจน โดยมุ่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่
    อยุติธรรม และท้าทายแนวทางการพัฒนากระแสหลัก นั่นก็เท่ากับเธอกำลังทำสิ่งสวนทางกับผลประโยชน์ของชนชั้นนำรวมทั้งคนชั้นกลางโดยตรง เธอจึงประสบกับการต่อต้านอย่างเต็มที่ และลงเอยด้วยความล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่

    ในยุคที่ใคร ๆ ต้องการอยู่ฝ่ายชนะ โดยไม่สนใจว่าจะยืนอยู่บนความถูกต้องหรือไม่ มดนับเป็นบุคคลพิเศษที่หาได้ยากอย่างยิ่ง เธอเลือกที่จะยืนอยู่บนความถูกต้อง แม้ว่าจะต้องประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า แถมยังถูกใส่ร้ายป้ายสีอย่างน่าเกลียดก็ตาม ที่เธอทำเช่นนี้ได้ก็เพราะเธอคิดถึงตัวเองน้อยมากนั่นเอง อัตตาหรือความยึดติดในตัวตนจึงเบาบาง ธรรมชาติของอัตตานั้นไม่ได้ต้องการทรัพย์มาปรนเปรอ “ตัวกู”ให้มาก ๆ เท่านั้น หากยังต้องการคำสรรเสริญเยินยอเพื่อพะนอตัวตนให้พองโต ด้วยเหตุนี้มันจึงต้องการเป็นผู้ชนะเหนืออื่นใด โดยไม่สนใจว่าจะได้มาวิธีใด แต่เมื่อใดก็ตามที่อัตตาหรือความติดยึดในตัวตนเบาบาง การเป็นผู้ชนะหรือผู้สำเร็จก็มีความหมายน้อยมาก สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดคือความถูกต้องหรือธรรมะนั่นเอง

    การถือเอาความถูกต้องเป็นใหญ่ เป็นหลักการสำคัญของพุทธศาสนา เรียกอีกอย่างว่า “ธรรมาธิปไตย” ซึ่งตรงข้ามกับ “อัตตาธิปไตย” หรือการถือเอาประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ การถือเอาความถูกต้องเป็นใหญ่ โดยไม่หวั่นไหวกับความพ่ายแพ้และการใส่ร้าย ทำให้มดนับว่าเป็นธรรมิกชนโดยแท้ ความถูกต้องในที่นี้มิได้หมายถึงการถือเอาประโยชน์ส่วนรวมหรือความยุติธรรมในสังคมเป็นเป้าหมายเท่านั้น หากยังรวมไปถึงการใช้วิธีการที่ถูกต้อง ไม่ฉ้อฉลหรือเอาเปรียบผู้อื่นด้วย ผู้ที่ทำงานร่วมกับมดย่อมตระหนักดีว่าเธอให้ความสำคัญกับความถูกต้องของวิธีการไม่น้อยไปกว่าเป้าหมาย เธอจึงพยายามต่อสู้ด้วยสันติวิธีและด้วยวิธีการที่ตรงไปตรงมา โดยเฉพาะนับแต่การต่อสู้ร่วมกับชาวบ้านปากมูลเป็นต้นมา แม้จะมีการละเมิดกฎหมายบ้าง เช่น ปิดถนน ยึดหัวเขื่อน บุกทำเนียบ แต่ก็มิได้มุ่งหมายทำร้ายร่างกายผู้ใด

     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,983
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,057
    (ต่อ)
    ผู้ที่ได้ยินกิตติศัพท์ของมดผ่านทางสื่อมวลชน มักวาดภาพว่ามดเป็นคนหัวรุนแรงที่ก้าวร้าวดื้อรั้น แต่เมื่อได้พบเธอและได้สนทนาวิสาสะกัน หลายคนอดแปลกใจไม่ได้ที่บุคลิกของเธอนั้นตรงข้ามกับภาพที่วาดเอาไว้ เธอเป็นคนนุ่มนวล สุภาพ ถ่อมตน และมีน้ำใจ มองในแง่หนึ่งก็นับว่าแปลกและสวนทางกับประสบการณ์การต่อสู้อันเข้มข้นของเธอ ซึ่งเต็มไปด้วยขวากหนาม อุปสรรค ความล้มเหลว และการถูกกระทำย่ำยีจากผู้มีอำนาจ ประสบการณ์ดังกล่าวตลอด ๓๐ ปีที่ผ่านมา น่าจะทำให้เธอเป็นคนกร้าว กระด้าง ชาเย็น เจ้าอารมณ์ หรือขมขื่น แต่เธอก็ยังเป็นมดคนเดิมที่ยิ้มง่าย ใจดี มีอารมณ์ขัน และหัวเราะเยาะตัวเองได้ แม้จะต้องต่อสู้กับอำนาจรัฐ เผชิญกับเล่ห์กลและความรุนแรงจากคู่กรณี แต่คนเหล่านั้นก็ไม่สามารถยัดเยียดความก้าวร้าวและเล่ห์กระเท่ห์ดังกล่าวให้แก่เธอได้ นับว่าผิดกับคนจำนวนไม่น้อยที่แม้จะดำเนินการเพื่อความถูกต้อง แต่ระหว่างที่ต่อสู้กับความชั่วร้ายนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะซึมซับรับเอาความชั่วร้ายของคู่กรณีมาไว้กับตน คู่กรณีเป็นอย่างไร ตัวเองก็เป็นอย่างนั้นไปด้วย ไม่ต่างจากตำรวจที่สู้กับโจรปีแล้วปีเล่า สุดท้ายก็กลับมีพฤติกรรมเยี่ยงโจรเสียเอง ใช่หรือไม่ว่าเผด็จการจำนวนไม่น้อยก็เริ่มต้นจากการเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ยิ่งสู้กับเผด็จการนานเท่าไร ตนเองก็ยิ่งกลายเป็นเผด็จการมากเท่านั้น ทีแรกก็ใช้อำนาจกับคนในขบวนการ แต่เมื่อกลายเป็นผู้ปกครอง ก็เผด็จอำนาจกับประชาชนทั้งประเทศ

    แม้ว่ามดจะคิดถึงตัวเองน้อยมาก แต่ระยะหลัง ๆ เธอก็หันมาสนใจสมาธิภาวนามากขึ้น มองในแง่หนึ่งสมาธิภาวนาได้ช่วยให้เธอมั่นคงในการเสียสละเพื่อผู้ยากไร้ และรักษาอุดมคติแห่งการมีชีวิตเรียบง่ายไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ขณะเดียวกันก็คงช่วยให้เธอได้พบกับความสงบใจท่ามกลางการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความล้มเหลว เห็นได้ชัดว่ามิติทางจิตวิญญาณได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในอุดมคติของเธอ ดังมดได้บันทึกความในใจตอนหนึ่งว่า “ ฉันคือหิ่งห้อย ฉันจะเรืองแสงในยามที่ทุกสิ่งมืดมิด ฉันจะบินว่อนฉวัดเฉวียน เฝ้ามองความเป็นไปของสรรพสิ่งอย่างเงียบสงบ ฉันจะมีอุเบกขา ต่อทุกสิ่งที่พบเห็น จะไม่ยินดีหรือยินร้าย ต่อทุกข์โศกหรือรื่นรมย์”.”

    บันทึกดังกล่าวเขียนเมื่อปี ๒๕๔๖ ก่อนที่เธอจะพบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็ง ตลอด ๒ ปีที่เธอเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ มดคงได้ไตร่ตรองถึงชีวิตและความตายมากขึ้น สำหรับคนที่ประสบกับความยากลำบากและอุปสรรคมามาค่อนชีวิต การเป็นมะเร็งนับเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดที่เกิดกับชีวิตของเธอ สำหรับคนที่ต่อสู้เพื่อคนยากไร้มากว่า ๓๐ ปีโดยไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ มะเร็งคืออุปสรรคที่เหนี่ยวรั้งขัดขวางเธออย่างได้ผล แต่สมาธิภาวนาคงมีส่วนไม่น้อยที่ช่วยให้เธอทำใจได้

    การสิ้นชีวิตเพราะโรคมะเร็ง ในสายตาของคนทั่วไปก็คือการพ่ายแพ้อีกครั้งหนึ่งของมด ที่ซ้ำรอยความพ่ายแพ้อีกมากมายก่อนหน้านั้น แต่สำหรับชาวพุทธ ความตายมิใช่การพ่ายแพ้เพราะนี่คือธรรมดาของชีวิต การดำรงชีวิตก่อนตายต่างหากที่สำคัญกว่า มดเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างทรงคุณค่า เป็นแบบอย่างแห่งการเอาชนะความเห็นแก่ตัว ในยุคที่ผู้คนสยบยอมต่อเงินทอง ชื่อเสียง และอำนาจ มดเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนกล้าท้าทายสิ่งยั่วยวนดังกล่าว โดยยืนหยัดมั่นคงในความถูกต้อง ในยุคที่คนยากจนถูกย่ำยีบีฑา มดได้ช่วยให้เขาเหล่านั้นลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง และขยายไปสู่การพิทักษ์ประโยชน์ของส่วนรวม โดยไม่หวั่นเกรงผู้มีอำนาจ คนรวย หรือผู้มีวุฒิการศึกษาสูงกว่า ขบวนการคนจนวันนี้สามารถลืมตาอ้าปากและมั่นใจในตนเองได้ก็เพราะมีมดเป็นกัลยาณมิตร

    หากโกมล คีมทอง อารมณ์ พงศ์พงัน และสืบ นาคะเสถียร คือตัวแทนที่โดดเด่นที่สุดของคนรุ่นเขาในด้านอุดมคติและความเสียสละ มดก็เป็นตัวแทนที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นของเธอ เป็นธรรมิกชนที่เราควรก้มหัวและถือเป็นแบบอย่าง แม้ชีวิตเธอจะสั้น แต่ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ประเทศไทย ที่ไม่สามารถมองข้ามคนยากจนอีกต่อไป แม้วันนี้เงินและอำนาจจะขึ้นมาเป็นใหญ่ แต่หากธรรมะหรือความถูกต้องยังดำรงอยู่ในแผ่นดินและในใจของผู้คน นั่นก็เป็นเพราะคุณูปการของมดส่วนหนึ่งด้วย
    :- https://visalo.org/article/matichon255102.htm
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,983
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,057
    อยากดัง ฟังทางนี้
    พระไพศาล วิสาโล
    จอห์น เลนนอน นักร้องชื่อก้องโลก ถูกยิงจนถึงแก่ชีวิตหน้าอพาร์ทเมนท์ของเขาเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว มาร์ค แช็ปแมน วัยรุ่นที่สังหารเลนนอนมิได้มีเรื่องโกรธเคืองเขาแม้แต่น้อย ที่จริงแช็ปแมนเป็นแฟนเพลงของเลนนอนด้วยซ้ำ แต่ที่เขาก่อเหตุสะเทือนขวัญครั้งนั้นก็เพราะ “ผมรู้สึกว่า ถ้าได้ฆ่าจอห์น เลนนอน ผมจะกลายเป็น somebody”

    การฆ่าใครสักคนเพียงเพราะอยากมีชื่อเสียงนั้น เป็นการกระทำที่ดูไร้เหตุผลอย่างยิ่งในความรู้สึกของคนทั่วไป เพราะนอกจากทำให้คน ๆ หนึ่งต้องสิ้นชีวิตทั้ง ๆ ที่มิได้ทำผิดใด ๆ แล้วยังเป็นการสร้างความเดือดร้อนนานัปการมาสู่เจ้าตัว อาจถึงขั้นถูกประหารชีวิตด้วยซ้ำ แต่สำหรับแช็ปแมนแล้วการเจอโทษทัณฑ์เหล่านั้นอาจจะดีเสียกว่าการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้โดยเป็นแค่ nobody เพราะการอยู่โดยไร้คนรู้จัก หรือไม่อยู่ในสายตาของใครเลยนั้น จะว่าไปก็ไม่ต่างจากการตายทั้งเป็น สู้อยู่ในคุกถูกตีตรวนแต่เป็นที่รู้จักของคนทั้งโลกไม่ได้ อันที่จริงก่อนหน้านั้นเขาเคยพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนล้มเหลว ล้มเหลวทั้งด้านครอบครัว การศึกษา อาชีพการงาน แม้แต่จะฆ่าตัวตายก็ยังล้มเหลว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความรู้สึกไร้คุณค่าในตนเองจะรบกวนจิตใจเขามากเพียงใด

    มิใช่มีแต่แช็ปแมนคนเดียวที่รู้สึกเช่นนี้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตนมีชื่อเสียง หลังจากแช็ปแมนแล้ว ฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่งถูกจับได้ในสหรัฐอเมริกา เขาให้สัมภาษณ์ว่า “ผมจะต้องฆ่าคนสักกี่คนถึงจะมีชื่อในหนังสือพิมพ์หรือได้รับความสนใจจากคนทั้งประเทศ” เขาบ่นว่ากว่าจะได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเขาก็ต้องลงมือฆ่าไปแล้วหกคน

    คนที่สังหารผู้บริสุทธิ์เพียงเพราะอยากมีชื่อเสียงนั้น ย่อมอยู่ในข่ายเป็นโรคจิตเพราะขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีเพียงคนโรคจิตเท่านั้นที่ยอมทำสารพัดสิ่งเพื่อเป็นsomebody ในโลกทุกวันนี้มีคนมากมายที่พร้อมจะทำอะไรต่ออะไรเพื่อให้ตนเป็นที่รู้จัก จะว่าไปแล้วความอยากเป็นsomebody ล้วนมีอยู่ในทุกคน เพราะเป็นธรรมชาติของอัตตาที่ต้องการประกาศตัวตนให้ใคร ๆ รับรู้ ท่านอาจารย์พุทธทาสเรียกแรงขับชนิดนี้ว่า “ปมเขื่อง”

    ปมเขื่องทำให้ผู้คนมีความรู้สึกอยากโดดเด่นเหนือผู้อื่น แต่หากตัวเองอยู่ในสถานะที่ต่ำต้อย ถูกบดบังหรืออยู่ใต้เงาของผู้อื่น หรือยิ่งกว่านั้นคือไม่เป็นที่สนใจของใครเลย อัตตาย่อมทนไม่ได้ มันย่อมพยายามทำทุกอย่างเพื่อแสดงตัวตนให้ปรากฏ หากใช้วิธีที่ถูกต้องหรือสังคมยอมรับแล้วไม่ได้ผล ก็พร้อมทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเด่นทางดีไม่ได้ ก็ต้องเด่นทางร้าย

    สังคมทุกวันนี้ได้กระตุ้นแรงขับดังกล่าวให้รุนแรงขึ้น ในด้านหนึ่งวิถีชีวิตของสังคมสมัยใหม่ทำให้ผู้คนอยู่แบบตัวใครตัวมันมากขึ้น สายสัมพันธ์ดั้งเดิม เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือในชุมชน ถูกบั่นทอนหรือถึงกับขาดสะบั้น ทำให้ผู้คนอยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้างมากขึ้น แม้อยู่ท่ามกลางฝูงชนในเมือง แต่ก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียว ยิ่งไม่มีสถานภาพหรือความสามารถอันโดดเด่นเป็นที่รู้จักแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกเสมือนว่าถูกกลืนหายไปในฝูงชนหรือเมืองใหญ่ สภาพเช่นนี้ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเป็น nobody จึงมีความทุกข์ทรมานในจิตใจเป็นอย่างยิ่ง

    ในเวลาเดียวกันค่านิยมของสังคมที่ถูกขับเน้นผ่านสื่อนานาชนิด ก็ให้ความสำคัญอย่างมากแก่ความเป็นปัจเจกชน เช่น ความเป็นตัวของตัวเอง มีอัตลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใคร ใครที่เป็นคนเก่ง ประสบความสำเร็จในชีวิต ย่อมเป็นที่สรรเสริญ นับหน้าถือตา ค่านิยมเช่นนี้ย่อมกระตุ้นปลุกเร้าปมเขื่องของผู้คน ทำให้ดิ้นรนขวนขวายที่จะโดดเด่นเหนือผู้อื่น แต่คนที่จะทำเช่นนั้นได้ มักเป็นคนส่วนน้อยเสมอ ขณะที่คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเป็นผู้แพ้ ไร้คุณค่า รู้สึกเจ็บปวดเพราะปมเขื่องนั้นย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง

    อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ความรู้สึกเป็นผู้แพ้หรือรู้สึกด้อยกว่าคนอื่น คงไม่ถึงกับผลักดันให้คนอย่างแช็ปแมนกลายเป็นฆาตกรทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแก่ตนตามมา สิ่งที่กัดกินใจเขามากกว่านั้นก็คือความรู้สึกว่าตนเองนั้นไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ เพราะไม่เป็นที่รู้จักของใคร จริงอยู่เขาอาจมีพ่อแม่ ญาติมิตร แต่นั่นจะมีความหมายอะไรหากรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่าในสายตาของคนเหล่านั้น เมื่อไม่อยู่ในสายตาของใครเลย จะต่างอะไรกับการไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้

    การเป็น nobody มิได้หมายถึงการเป็นคนเล็กคนน้อย ไร้คุณค่า ไม่เด่นไม่ดัง ถูกกลืนหายไปในฝูงชนเท่านั้น ที่สุดของ nobody ก็คือ ความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ นั่นเป็นสิ่งที่อัตตาทนไม่ได้เลย เพราะมันเลวร้ายยิ่งกว่าความรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าคนอื่นเสียอีก จริงอยู่ความรู้สึกด้อยกว่าคนอื่น ก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยมันก็ยังให้ความรู้สึกว่ามีตัวตนอยู่ในโลกนี้
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,983
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,057
    (ต่อ)
    มักพูดกันว่าสิ่งที่คนเรากลัวมากที่สุดคือความตาย แต่ถ้าพูดให้ถูกต้องแล้ว ความรู้สึกว่าไม่มีตัวตนหรือตัวตนสูญหายไปต่างหาก ที่คนเรากลัวมากที่สุด คนจำนวนไม่น้อยเดินหน้าเข้าหาความตายโดยไม่กลัว เพราะเชื่อว่าตัวตนยังคงสืบเนื่องต่อไป เช่น ได้ไปเกิดใหม่ในสวรรค์หรือโลกหน้า แม้คนในยุคนี้เชื่อนรกสวรรค์น้อยลง แต่ก็ยังพร้อมสละชีวิตเพื่อชาติหรือเพื่ออุดมการณ์ ไม่ใช่เพียงเพราะว่าชาติหรืออุดมการณ์เป็นตัวตนอย่างหนึ่งที่ตนยึดมั่นสำคัญหมายเท่านั้น แต่ยังเพราะเชื่อว่า แม้ตายก็ตายแต่ร่างกาย แต่ตัวตนยังสืบเนื่องต่อไป ในรูปชื่อเสียง มีเกียรติประวัติจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ หรือมีอนุสาวรีย์ให้(ดังมีสำนวนว่า “ตัวตายแต่ชื่อยัง” )

    การมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขานต่อไปชั่วกัลปาวสานนั้น เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของความเป็นอมตะ ลองเฟลโลว์ กวีอเมริกัน สะท้อนทัศนะดังกล่าวอย่างชัดเจนเมื่อพูดถึงไมเคิลแองเจโลว่า “เขาจะตายได้อย่างไรในเมื่อเขาอยู่อย่างเป็นอมตะในหัวใจของผู้คน” แต่ก่อนที่จะเป็นอมตะ หรือเป็นที่กล่าวขานหลังหมดลม อย่างแรกที่ทุกคนปรารถนาก็คือมีชื่อเสียงตั้งแต่ยังมีลมหายใจอยู่ ไม่ใช่แค่เพราะอยากดังด้วยอำนาจของปมเขื่องเท่านั้น เหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การเป็นที่รู้จักของผู้คนนั้นเป็นเครื่องยืนยันว่า “ตัวกู”มีอยู่จริง

    ทำไมเราต้องการสิ่งยืนยันว่า “ตัวกู”มีอยู่จริง ก็เพราะในส่วนลึกของจิตใจนั้น ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าตัวกูมีอยู่จริงหรือ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น อธิบายแบบพุทธก็คือ แท้จริงแล้วตัวตนหามีจริงไม่ แต่เป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาแล้วก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่น จนเกิดความรู้สึกว่ามีตัวกูอยู่ โดยยึดกายและใจว่าเป็น “ตัวกู ของกู” บ่อยครั้งก็ลามไปยึดสิ่งอื่นนอกตัว เช่น ทรัพย์สมบัติ ลูกหลาน วงศ์ตระกูล พวกพ้อง หรือแม้แต่ประเทศชาติ ว่าเป็น “ตัวกู ของกู”ด้วย

    อย่างไรก็ตามในส่วนลึกของจิตใจ ย่อมมีความสงสัยว่า อัตตาหรือ “ตัวกู”นั้นมีอยู่จริงหรือ เพราะความเป็นตัวกูนั้นแปรเปลี่ยนตลอดเวลา บางครั้งกูก็เป็นลูก แต่ประเดี๋ยวก็เป็นพ่อแม่ และเป็นคนไทย บางครั้งกูเป็นชายชาติทหาร แต่ต่อมาก็กลายเป็นกูคนป่วย แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดที่ยึดว่าเป็น “ตัวกู ของกู” ก็เปลี่ยนแปลงไม่คงที่ ความสงสัยดังกล่าวเป็นสิ่งที่อัตตายอมรับไม่ได้ ด้านหนึ่งก็พยายามกดข่มเอาไว้ไม่ให้มารบกวนจิตใจ แต่อีกด้านหนึ่งก็พยายามหาสิ่งต่าง ๆ มายืนยันว่า “ตัวกู”มีอยู่จริง หนึ่งในนั้นก็คือ การเป็นที่รู้จักของผู้คน

    คนเราจะมั่นใจว่าเป็นคนเก่ง มีความสามารถ หน้าตาสะสวย หรือหล่อเหลา ก็ต่อเมื่อมีผู้คนยืนยันหรือยกย่องสรรเสริญ ฉันใด เราจะมั่นใจว่า “ตัวกู”มีอยู่จริง ก็ต่อเมื่อมีผู้คนยืนยันหรือรู้จัก ฉันนั้น ยิ่งมีผู้คนยืนยันมากเท่าไร ก็ยิ่งมั่นใจมากเท่านั้น ดังนั้นชื่อเสียงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของผู้คนโดยเฉพาะในยุคนี้ที่ส่วนใหญ่กลายสภาพเป็นปัจเจกไร้หน้าค่าตาท่ามกลางฝูงชนนับล้าน

    ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนในยุคนี้ต่างขวนขวายไล่ล่าหาชื่อเสียง พยายามทำทุกอย่างให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งมักหนีไม่พ้นการทำตนให้เป็นข่าว เป็นจุดสนใจของสื่อนานาชนิด รวมทั้งการแข่งขันกันเป็นดารา นักร้อง นางแบบ ไม่เว้นแม้แต่การเขียนชื่อตามกำแพงหรือสถานที่ท่องเที่ยวทั้งนี้เพื่อประกาศว่า “มีกูอยู่ในโลกนี้ด้วยนะ”

    เมื่อยังมีชีวิตอยู่ แรงขับส่วนลึกของผู้คนในยุคนี้ก็คือการประกาศตัวตนว่ามีกูอยู่ในโลกนี้ และเมื่อจะตายก็ปรารถนาให้คนข้างหลังไม่ลืมตน จะด้วยการทำอนุสาวรีย์ จารึกชื่อ ประกาศเกียรติคุณ หรือตั้งมูลนิธิก็แล้วแต่ ทหารคนหนึ่งเมื่อรู้ว่าตนต้องตายอย่างแน่นอน คำพูดสุดท้ายที่บอกเพื่อน มิใช่คำสั่งเสียหรือล่ำลา แต่เป็นการตอกย้ำว่า “ถ้าฉันตาย อย่าลืมฉันนะ” ในเมื่อจะตายแล้วทำไมจึงอยากให้คนอื่นจดจำตน นั่นก็เพราะตัวตนปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะดำรงอยู่ต่อไปเป็นอมตะ ตราบใดที่ผู้คนยังจดจำตัวเองได้ ก็มีหวังว่าตัวตนจะเป็นอมตะ

    แต่ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ สักวันหนึ่งเราทุกคนก็จะถูกลืม ไม่ใช่หลังตายเท่านั้น แม้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงจะมีชื่อเสียงเพียงใด ไม่ช้าไม่นานผู้คนก็จะลืมเลือน เพราะมีคนอื่นที่ดังกว่ามาแทนที่ นี้คือธรรมดาโลก แต่ถ้าหากเราเข้าถึงความจริงที่ยิ่งกว่านั้น นั่นคือตัวกูไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรก ถึงจะไม่เด่นดัง ไม่มีใครรู้จัก เป็นแค่ nobody ก็หาเป็นทุกข์ไม่ เพราะในเมื่อไม่มีตัวกูผู้ทุกข์ แล้วจะมีใครล่ะที่เป็นทุกข์
    :- https://visalo.org/article/matichon255401.htm
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,983
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,057
    เห็นนอกเห็นใน
    พระไพศาล วิสาโล
    ที่ประเทศจีนเมื่อหลายร้อยปีก่อน ชายตาบอดคนหนึ่งไปเยี่ยมเพื่อนที่บ้าน หลังจากพูดคุยกันจนค่ำเขาก็ขอตัวกลับบ้าน เพื่อนจึงยื่นโคมให้ชายตาบอด ชายตาบอดแปลกใจ บอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้มันเพราะตาบอด เพื่อนตอบว่า “ถึงคุณตาบอดก็จริง แต่คนอื่นยังตาดี ถ้าคุณถือโคมนี้เอาไว้ เขาก็จะไม่มาเดินชนคุณ” ชายตาบอดจึงรับไป แต่ระหว่างทางปรากฏว่ามีคนมาเดินชนคนตาบอดจนล้ม เขาโกรธมาก ต่อว่าคนที่เดินมาชน ว่า “ตาบอดหรือไง ไม่เห็นหรือว่าฉันถือโคมอยู่” ชายผู้นั้นก็ขอโทษขอโพย และกล่าวว่า “สงสัยโคมที่คุณถือมันดับไปนานแล้ว” เรื่องก็จบเท่านี้ เป็นนิทานสั้นๆ แต่ก็สอนใจให้ดีทีเดียว

    นิทานเรื่องนี้สอนเราว่า อย่านึกถึงประโยชน์ของตนเพียงอย่างเดียว ให้นึกถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย ขณะเดียวกันเวลามีปัญหาอะไรก็อย่ามัวโทษคนอื่นอย่างเดียว ให้ย้อนกลับมาดูตัวเองด้วย ชายตาบอดไม่จำเป็นต้องใช้โคมก็จริง แต่มันเป็นประโยชน์ช่วยให้คนอื่นมองเห็นทาง จะได้ไม่เดินชนชายตาบอด บางสิ่งบางอย่างอาจไม่จำเป็นสำหรับเรา แต่มันอาจเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น อย่างคนบางคนอาจจะอยู่กับความอึกทึกครึกโครมได้ แต่ก็ไม่ควรไปสร้างความอึกทึกให้กับใคร คนอื่นเขาอาจจะต้องการความสงบก็ได้ อันนี้เป็นคุณธรรมพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันในสังคม คือรู้จักเผื่อแผ่ถึงคนอื่น หรือมองในมุมของคนอื่นบ้าง แต่ขณะเดียวกันเวลามีปัญหา เราก็อย่ามองไปที่คนอื่นอย่างเดียว ให้ย้อนกลับมามองที่ตัวเองด้วย เพราะสาเหตุอาจเกิดที่ตัวเราเองก็ได้ อย่างชายตาบอด โทษคนที่มาเดินชนเขา แต่ที่จริงเป็นเพราะโคมของเขามันดับไปนานแล้วต่างหาก

    คนที่ชอบโทษคนอื่นโดยไม่หันกลับมาดูตัวเองก็ไม่ต่างจากคนตาบอด เวลาเกิดปัญหาขึ้นมา ผู้คนมักจะโทษว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นต้นเหตุ ไม่ได้กลับมามองว่าตัวเองมีส่วนทำให้เกิดปัญหาหรือเปล่า อันนี้รวมถึงคนที่เอาแต่มองนอกตัว แต่ไม่เห็นตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง เวลาโกรธใครก็ใช้อารมณ์เข้าใส่ มองไม่เห็นอารมณ์ความโกรธที่เกิดขึ้น คนที่ไม่เห็นความโกรธที่เกิดขึ้นในใจนั้นไม่ต่างจากคนตาบอดเลย ในที่นี้หมายถึงตาในที่สามารถเห็นความรู้สึกนึกคิดภายใน

    นิทานเรื่องนี้บอกให้เราเห็นถึงนิสัยใจคอของคนส่วนใหญ่ คือเห็นแต่ความผิดของคนอื่น แต่ไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเอง ขณะเดียวกันก็เห็นแต่ประโยชน์ของตัวเอง ลืมนึกถึงประโยชน์ของผู้อื่น ตรงข้ามกับคนดีมีธรรมะ เขาจะไม่ได้มองเพียงแค่ประโยชน์ของตัว แต่จะคำนึงถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย ส่วนเวลามีปัญหาก็จะไม่มัวโทษคนอื่นอย่างเดียว แต่จะย้อนกลับมาดูตัวเองด้วย นี้เป็นคุณธรรมพื้นฐานของคนดี

    จะว่าไปแล้วการคำนึงถึงประโยชน์ของคนอื่นนั้น ก็ส่งผลดีต่อตัวเราเองด้วย เช่น คนตาบอดถือโคมไฟส่องทางให้คนอื่นมองเห็น ก็ช่วยให้เขาไม่เดินชนคนตาบอด ขณะเดียวกันการหันมามองตนเองอยู่เสมอก็มีประโยชน์กับตัวเองด้วยเช่นกัน เพราะคนเราจะทุกข์ หรือไม่ทุกข์ อยู่ที่ใจของเราเองเป็นประการสำคัญ มีหลายคนที่สูญเสียทรัพย์สินเงินทอง แต่เขาก็ไม่มีความทุกข์ ยังยิ้มได้ แม้เขาจะเจ็บป่วย เขาก็ไม่ร้อนใจอะไร เมื่อถูกตำหนิ ใจของเขาก็ยังเป็นปกติ งานการไม่สำเร็จก็ยังกินได้นอนหลับ ก็เพราะว่าใจเขามีคุณภาพ เป็นใจที่มีธรรมะเป็นเครื่องรักษา เหตุการณ์เหล่านี้จึงไม่สามารถกระทบใจเขาจนเป็นทุกข์ได้ แม้มีปัจจัยภายนอกมากระทบ ถ้าปัจจัยภายในไม่เอาด้วย ก็ไม่เป็นทุกข์ เหมือนกับตบมือข้างเดียวย่อมไม่มีเสียงดัง

    ใจเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าวางใจเป็น ถึงแม้จะเสียทรัพย์ ประสบเคราะห์ เราก็ยังยิ้มได้ อะไรเกิดขึ้นกับเราก็ไม่สำคัญเท่าเราวางใจอย่างไร รู้สึกกับสิ่งนั้นอย่างไร ถ้าวางใจให้เป็น ความทุกข์ก็ไม่อาจเข้ามารบกวนจิตใจได้ เหมือนกับศัตรูมาอยู่รอบเมืองแล้ว แต่ถ้าเมืองมีทหารยามที่เข้มแข็ง ศัตรูก็เข้ามาก่อกวนหรือก่อวินาศกรรมในเมืองไม่ได้ แต่ถ้าทหารยามไม่เข้มแข็ง ไม่ซื่อสัตย์ ศัตรูก็เข้ามายึดเมืองได้

    ในประเทศอินเดียมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูง สร้างป้อมปราการไว้แข็งแรงกำแพงแน่นหนา เป็นการยากมากที่จะเข้ามาถึงเมืองนี้ได้ เพราะต้องปีนเขา กว่าจะไปถึงกำแพงเมืองก็อาจถูกยิงหรือโยนทรายร้อนใส่ก็ได้ นอกจากนี้เส้นทางเข้าออกสู่วังหลวงก็ซับซ้อนมาก แต่สุดท้ายศัตรูก็สามารถยึดเมืองนี้ได้ ไม่ใช่เพราะมีแสนยานุภาพเกรียงไกร แต่เพราะเขาติดสินบนทหารที่เฝ้าประตู เมื่อเขาให้สัญญาณ ทหารก็ยอมเปิดประตูและบอกทางเข้าวังหลวง ในที่สุดก็ต้องเสียเมืองให้กับศัตรู

    เมืองก็เปรียบเหมือนจิตใจของเรา ถ้าใจเรามีความโลภ ก็เปิดช่องให้ความทุกข์มาครองใจเราได้ ถ้าไม่มีสติ ลืมตัว ความทุกข์ก็เข้ามารบกวนจิตใจเราได้เช่นกัน ทำให้เกิดความโกรธ ความเศร้า ความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ถ้ามีสติรักษาใจ ก็สามารถป้องกันมิให้อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ ทำให้ใจสงบเป็นปกติ แต่ส่วนใหญ่คนเราจะมีชีวิตที่ผาสุกได้ ก็ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมิตรสหายแวดล้อมที่เรียกว่า กัลยาณมิตร บางคนมัวเมาลุ่มหลงติดเพลินในความสุขหรืออบายมุข ต้องมีเพื่อนมาเตือนถึงก็จะรู้ตัว หันมาใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง บางคนเศร้าโศกเสียใจเพราะอกหัก แต่พอเพื่อนมาเตือนก็ได้สติขึ้นมา สามารถปล่อยวางอารมณ์นั้นลงได้ บางคนโกรธแค้น อยากทำร้ายคนอื่น แต่พอมีคนมาเตือน ก็ได้สติ หยุดทำชั่วทันที
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,983
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,057
    (ต่อ)
    มีโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ คนมีฐานะนิยมส่งลูกหลานมาเรียนกันมากมาย ปัญหาที่ตามมาคือหาที่จอดรถลำบาก การหาที่จอดรถเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับพ่อแม่ที่มารับส่งลูก โรงเรียนก็พยายามจัดระเบียบ คือให้ขับรถทางเดียวกัน การจราจรก็สะดวกขึ้น แต่มีวันหนึ่งขณะที่รถติดกันเป็นแพตรงประตูเข้า มีรถอีกคันหนึ่งแล่นมาทางประตูออก จึงวิ่งเข้ามาได้สะดวก และได้ที่จอดรถอย่างง่ายดาย เผอิญเป็นที่จอดรถเดียวที่เหลืออยู่ ผู้ปกครองที่ถูกแย่งที่จอดรถไปต่อหน้าต่อตา จึงเดินมาต่อว่าคนที่ขับรถย้อนศร ชายคนที่ถูกต่อว่า ไม่พอใจมาก จึงพูดขึ้นว่า “คุณไม่รู้หรือว่าผมเป็นใคร” อีกฝ่ายตอบ “ผมไม่สนใจว่าคุณเป็นใครแต่คุณทำผิดกฎ” แล้วก็หันหลังจะกลับไปขึ้นรถ คนที่ถูกต่อว่านั้นเป็นทหารยศนายพล โกรธมากจึงเข้าไปในรถและคว้าปืนออกม แล้วเดินตาม หมายจะยิงคนที่ต่อว่าตน

    บังเอิญคนขับรถของโรงเรียนอยู่ในเหตุการณ์ พอเห็นนายทหารกำลังจะยิง ก็เดินเข้าไปจับมือเขาไว้แล้วพูดว่า “ท่านจะมารับลูกไม่ใช่หรือครับ” พอได้ยินคนทักเช่นนี้นายทหารคนนั้นก็ได้สติทันที แทนที่จะเดินไปยิงเขา ก็เอาปืนไปเก็บที่รถแล้วเดินไปรับลูก เหตุการณ์นี้จบลงโดยไม่มีใครเป็นอะไร

    นายทหารคนนี้ได้สติเมื่อมีคนมาทักท้วง ทำให้เขาได้คิดว่าถ้ายิงคนตาย ลูกของตัวจะเดือดร้อนไปด้วย พอคิดได้ความโกรธก็วูบหายไป โดยไม่จำเป็นต้องข่มใจ สติมีพลังที่สามารถทำให้ความโกรธหายไปได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถมีสติได้ด้วยตัวเองเพราะว่าอารมณ์รุนแรงมาก ต้องอาศัยคนภายนอกช่วยเตือนช่วยบอก แต่ถ้าเตือนไม่เป็นอาจทำให้อีกฝ่ายขัดใจและยิ่งทวีความโกรธ จนอาจทำร้ายคนที่เตือนก็ได้

    อย่างไรก็ตามเราจะรอให้คนมาช่วยเตือนสติอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เราต้องรู้จักสร้างสติขึ้นมาเอง เพราะทุกคนมีสติกันทุกคน แต่เป็นสติที่ถูกปล่อยทอดทิ้ง เหมือนกับต้นไม้ที่ไม่ค่อยได้รับการรดน้ำพรวนดินเท่าที่ควร การหมั่นฝึกสติทำให้สติของเราว่องไวปราดเปรียว รู้ใจได้ทันท่วงที เช่น รู้ว่าใจกำลังฟุ้ง กำลังโกรธ อันนี้เป็นหน้าที่ของสติ ถ้ามีสติไว ใจก็จะไม่แล่นไปตามอารมณ์ ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของความรู้สึกนึกคิด หรือทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” หมายความว่า กล่าวติเตียนผู้อื่นแต่ตัวเองกลับทำเสียเอง นั่นเป็นเพราะไม่มีสติ เราไม่ชอบคนนินทา แต่พอเห็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งชอบนินทา เราทนไม่ได้ ก็เลยแอบนินทาเพื่อนคนนี้ให้คนอื่นฟัง เราเคยเป็นอย่างนี้บ้างไหม นั่นเป็นเพราะไม่มีสติ จึงเผลอทำสิ่งนั้นด้วยความไม่ชอบขี้หน้าเขา ความโกรธหรือต้องการตอบโต้ก็สามารถทำให้เราทำตัวอย่างเดียวกับคนที่เราไม่ชอบได้เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์พุทธทาส เล่าว่าที่สวนโมกข์สมัยก่อนเมื่อหน่อไม้ภายในวัดเริ่มโต ชาวบ้านจากหมู่บ้านรอบวัดก็มาเก็บหน่อไม้ แต่ยังไม่ทันที่หน่อไม้จะโตเต็มที่ชาวบ้านก็แย่งกันตัด แม่ชีในวัดบอกชาวบ้านว่าให้หน่อไม้โตได้ที่ค่อยตัด แต่ก็ไม่มีใครฟัง แม่ชีจึงไม่พอใจมาก วันหนึ่งเห็นหน่อไม้ที่เพิ่งขึ้น ยังโตไม่ได้ที่ แม่ชีกลับตัดเสียเอง ทำไมแม่ชีถึงทำเช่นนั้นทั้ง ๆ ที่ห้ามคนไม่ให้ตัด นั่นก็เพราะต้องการสกัดไม่ให้ชาวบ้านตัดหน่อไม้ อันนี้ก็เข้าทำนอง “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” เช่นกัน

    คนเรามักเป็นแบบนี้ นั่นเป็นเพราะความไม่รู้ตัว เราไม่ชอบให้คนอื่นทำอะไรก็ตาม แต่เราก็กลับสิ่งนั้นเสียเอง ถ้าเรารู้ตัว นอกจากตัวเองจะไม่เป็นทุกข์แล้ว ยังสามารถทำสิ่งที่ควรทำ เพื่อประโยชน์ทั้งของตนเองและผู้อื่นด้วย

    :- https://visalo.org/article/PosttoDay25541002.htm
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,983
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,057
    รู้เท่าทันตัวตน
    พระไพศาล วิสาโล
    ในความรู้สึกของคนเรา ไม่มีอะไรที่จริงแท้และสำคัญเท่ากับ “ตัวกู” แต่ในทัศนะของพุทธศาสนา ตัวกูหรือตัวตนไม่มีจริง มันเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา และเนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมามันถึงทำอะไรแปลกๆ ได้ อย่างบางคนจะรู้สึกว่ามี 2 คนอยู่ในตัวคนเดียวกัน หรือจะเรียกว่ามี 2 ตัวตนอยู่ในคนเดียวกันก็ได้ อันนี้เราอาจเคยได้ยินมาบ้าง เช่น ในยามปกติเขาอาจจะเป็นคนธรรมดา สุภาพเรียบร้อย แต่พอมีอะไรมากระทบ ก็จะกลายเป็นคนละคน ถ้ามองแบบชาวบ้านก็คือเหมือนผีเข้า จะกราดเกรี้ยวเอะอะโวยวายด่าทอ ที่เคยเรียบร้อยพูดกับพ่อแม่เพราะๆ ก็จะด่าทอพ่อแม่เสียๆ หายๆ ทำตัวเหมือนเป็นคนละคน เป็นคนละบุคลิก บางคนถึงกับตั้งชื่อให้กับตัวตนทั้ง 2 ตัว เหมือนเป็นคนละคนกัน

    เวลาปกติ ก็เป็นคนเรียบร้อย พูดเสียงเบาๆ ไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง แต่พออีกตัวโผล่ขึ้นมา บุคลิกเปลี่ยนเลยนะ กลายเป็นคนกราดเกรี้ยว รุนแรง มั่นใจตัวเอง บางคนเวลาถูกสะกดจิตตัวตนที่ซ่อนอยู่ก็โผล่มา แต่ว่า 2 ตัวตนในคนเดียวกันยังถือว่าธรรมดานะ มีบางรายมีมากกว่า 10 ตัวตนในคนเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้มีหนังสือเล่มหนึ่งเป็นเรื่องราวของผู้หญิงชาวอเมริกันชื่อแคเร็น อายุ 34 ปี เธอไปหาจิตแพทย์เพราะเครียดมากอยากฆ่าตัวตายตั้งแต่อายุ 17 ปี ตลอดเวลา 17 ปีที่หาหมอ ปรากฏว่าหมอพบความลึกลับของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ

    หลังจากที่สนทนาพูดคุยกับเธอมาสิบกว่าปี ก็พบว่าเธอมีถึง 17 บุคลิกในคนเดียวกันแล้วแต่ละบุคลิกแต่ละตัวตนนั้นก็มีชื่อต่างๆ กัน บางคนเป็นเด็กตัวเล็กๆ อายุ 7-8 ขวบ บางคนเป็นผู้หญิง บางคนเป็นผู้ชาย และยิ่งสืบสาวไปก็พบว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้ก็เพราะเธอถูกพ่อทำมิดีมิร้ายจนมีลูก 2 คน ตัวแคเร็นเองจำไม่ได้ว่าพ่อทำอะไรเธอบ้างทั้งๆ ที่มีลูก 2 คนแล้ว มันเป็นวิธีการของจิต จิตมันซับซ้อนมาก อะไรที่มันไม่ชอบ มันก็ไม่ยอมรับ หรือทำเป็นลืมเลย และถ้ามันไม่ชอบตัวตนเดิม หรือมันทนอยู่กับตัวตนเดิมไม่ได้ มันก็หาตัวตนใหม่ขึ้นมาแทน เช่น เวลาแคเร็นถูกพ่อทำมิดีมิร้าย ตัวตนที่เป็นซิดนีย์ก็จะเข้ามาแทนที่ ทำให้แคเร็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน เพราะตอนนั้นไม่รู้สึกว่าเป็นแคเร็นแล้ว

    กรณีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับบางคน เช่น บางคนเป็นผู้หญิงเรียบร้อย แต่ว่าในส่วนลึกของจิตใจ เกลียดพ่อเกลียดแม่ที่บังคับตัวเอง แต่จะด่าพ่อด่าแม่ หรือจะเถียงพ่อเถียงแม่ก็ทำไม่ได้ ไม่กล้าทำ หรือรู้สึกว่าไม่ดี จิตมันก็มีทางออกคือสร้างตัวตนใหม่ เป็นตัวตนที่ก้าวร้าวและกล้าทำอะไรก็ได้ พอตัวตนใหม่เกิดขึ้น ก็สามารถด่าพ่อด่าแม่ได้เต็มที่เลย ไม่รู้สึกผิด รู้สึกว่าได้ระบาย ได้ทำอะไรตามใจ พอทำไปสักพักก็กลับมาเป็นตัวตนเดิม กลายเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเหมือนเดิม

    ทีนี้ก็มีคำถามว่า หลายตัวตนจะอยู่ในคนเดียวกันได้อย่างไร มันอยู่ได้ เพราะมันเป็นสมมติ มันเป็นการปรุงแต่ง ถ้าตัวตนมีอยู่จริง ก็ต้องมีตัวตนเดียว จะมีหลายตัวตนไม่ได้ แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะมันเป็นสิ่งสมมติ สมมติขึ้นมาว่าเป็นแคเร็นบ้าง สมมติว่าเป็นซิดนีย์บ้าง สมมติว่าเป็นมายด์บ้าง สุดแท้แต่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แล้วเขาก็เชื่อจริงๆ นะ เวลาเป็นซิดนีย์ก็เชื่อว่าเป็นซิดนีย์จริงๆ แล้วก็ ปรุงแต่งรายละเอียดขึ้นมาว่า ซิดนีย์อายุเท่าไหร่ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร แล้วตัวเองก็เชื่อตามนั้นจริงๆ ด้วย แต่แท้จริงแล้วนี่คือวิธีการที่จิตหลบหนีทุกข์ แต่เป็นการหนีทุกข์แบบปุถุชน ไม่ใช่เป็นการหนีทุกข์แบบคนที่เข้าใจโลก เพราะถ้าเข้าใจโลกจะรู้ว่า สุดท้ายแล้วมันไม่มีตัวตนอะไรเลยแม้แต่น้อย

    ที่พูดไปแล้วเป็นตัวอย่างของคนซึ่งมีหลายตัวตน และแสดงตัวตนต่างๆ กันในต่างเวลา แต่มีบางคนที่มี 2 ตัวตนในเวลาเดียวกันเลย เล่าไว้หน่อยก็ดี เราจะได้รู้ว่าโรคทางจิตนี่มันมีอะไรแปลกๆ เยอะ มีคนหนึ่งเขามีปัญหาทางสมองปกติสมองทั้ง 2 ซีก คือซีกซ้ายกับซีกขวา จะเชื่อมกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แต่ว่าคนนี้มีปัญหาบางอย่าง จำเป็นต้องผ่าส่วนที่เชื่อมกับสมองสองซีก สมองซีกซ้ายกับซีกขวาก็เลยแยกขาดจากกัน จึงไม่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน

    ทีนี้ก็มีปัญหาเกิดขึ้น เนื่องจากสมอง 2 ซีกทำงานไม่เหมือนกัน สมองซีกซ้ายจะเห็นภาพด้านขวา ส่วนสมองซีกขวาจะเห็นภาพด้านซ้าย สำหรับคนๆ นี้ถ้าฉายภาพไก่บนจอ ถ้าภาพปรากฏด้านขวาของตัวเขา สมองซีกซ้ายจะเห็น สมองซีกนี้ควบคุมความสามารถในการพูด มันก็จะบอกว่า เห็นไก่ แต่ถ้าฉายภาพมาที่จอด้านซ้ายของตัวเขา สมองซีกซ้ายจะไม่เห็น จึงบอกไม่ได้ว่ามีภาพอะไรอยู่บนจอ สมองซีกซ้ายมองไม่เห็นเลยนะ ตาซ้ายรับภาพได้ก็จริงแต่มองไม่เห็นอะไร แต่สมองซีกขวามองเห็น ถ้าฉายภาพบ้านไปที่จอซ้ายมือ สมองซีกขวาจะเห็น แต่พอถามว่าเห็นอะไร มันตอบไม่ได้ เพราะสมองซีกขวาพูดไม่ได้ การพูดคุยเป็นหน้าที่ของสมองซีกซ้าย

    ทีนี้คนถามรู้ได้อย่างไรว่าคนนี้เห็นด้วยสมองซีกขวา เขาก็บอกว่าถ้าพูดไม่ได้ ก็ให้เลือกของก็แล้วกัน ให้เลือกของเพื่อสื่อสารว่าเห็นอะไรบนจอด้านซ้าย เนื่องจากเขาเห็นรูปบ้าน เขาก็หยิบภาพบ้านมาให้ดู สมองซีกขวามันพูดไม่ได้ก็จริง แต่มันบังคับมือซ้ายได้ สมองซีกขวานั้นควบคุมมือซ้าย มือซ้ายก็หยิบภาพบ้านมาให้ดู ก็เลยรู้ว่าคนนี้เห็นภาพทางด้านซ้ายมือด้วยสมองซีกขวา แต่สมองซีกซ้ายไม่เห็น งงไหม
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,983
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,057
    (ต่อ)
    แต่เรื่องนี้ยังมีงงมากกว่านี้ คนๆ นี้สมองซีกซ้ายของเขาเห็นภาพไก่ขวามือ แต่ไม่เห็นภาพบ้านที่อยู่จอซ้าย ส่วนสมองซีกขวาเห็นภาพบ้าน แต่มันพูดไม่ได้ แต่สามารถหยิบภาพบ้านเพื่อบอกว่าฉันเห็นอะไร หยิบด้วยมือซ้าย เพราะสมองซีกขวาคุมอวัยวะด้านซ้าย คราวนี้เขาทดลองต่อไปด้วยการฉายภาพ 2 ภาพพร้อมกันเลย ภาพด้านขวาเป็นภาพไก่ ภาพด้านซ้ายเป็นภาพบ้าน แล้วเขาก็ให้มือซ้ายและมือขวาหยิบภาพหรือหยิบวัตถุที่บ่งบอกภาพนั้น สมองซีกซ้ายเห็นภาพไก่ จึงใช้มือขวาหยิบตัวรูปไก่ขึ้นมาอันนี้ถูก ส่วนสมองซีกขวาเห็นภาพบ้าน มันจึงใช้มือซ้ายหยิบค้อนขึ้นมา เพราะค้อนกับบ้านเกี่ยวข้องกัน ก็เป็นอันว่ามือขวาถือภาพไก่ มือซ้ายถือค้อน

    คราวนี้คนทดลองถามว่าทำไมคุณหยิบ 2 อย่างนี้ขึ้นมา เขาถามก่อนว่า ทำไมถึงหยิบภาพไก่ สมองซีกซ้ายตอบว่าก็เพราะฉันเห็นภาพไก่ เขาถามต่อไปว่าแล้วทำไมคุณหยิบค้อนล่ะ ทีนี้สมองซีกซ้ายมีปัญหา เพราะมันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมือซ้ายถึงไปหยิบค้อนนะ แต่ว่ามือซ้ายถูกสั่งโดยสมองซีกขวาซึ่งเห็นภาพบ้าน แต่สมองซีกขวาพูดไม่ได้ ส่วนสมองซีกซ้ายเห็นมือซ้ายถือค้อน มันไม่รู้ว่าทำไมก็เลยอ้างแบบน้ำขุ่นๆ ว่า ก็ไก่มันอยู่ป่า จึงต้องทำกรงให้มัน ก็เลยต้องมีค้อน สมองซีกซ้ายมันพูดเดาสุ่มไปเลยนะ ฟังดูแล้วแปลกไหม มือซ้ายของเขาถือค้อน แต่เขาบอกไม่ได้ว่าถือค้อนทำไม

    การทดลองนี้เขาต้องการชี้ให้เห็นว่า คนๆ นี้มีอากัปกิริยาเสมือนมี 2 คนในร่างเดียวกัน ร่างหนึ่งอยู่ในสมองซีกซ้าย อีกร่างหนึ่งอยู่ในสมองซีกขวา สมองซีกขวาสั่งให้มือซ้ายหยิบค้อน แต่สมองซีกซ้ายไม่รู้ว่าหยิบค้อนทำไม เพราะมันไม่เห็นภาพบ้าน มันก็เลยอธิบายไปน้ำขุ่นๆ ว่าเอาค้อนมาเพื่อที่จะทำกรงใส่ไก่

    คำถามก็คือว่า ถ้าตัวตนมีจริง มันจะมี 2 ตัวตนอยู่ในร่างเดียวกันได้อย่างไร เพราะว่าถ้ามีตัวตนจริงๆ ก็ต้องมีตัวตนเดียว แต่นี่มี 2 ตัวตนอยู่ในร่างเดียวกัน ตัวตนหนึ่งไม่รู้ว่าทำไมมือซ้ายหยิบค้อนขึ้นมา อันนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฝรั่งเริ่มสงสัยว่า ตัวตนที่เขาคิดว่ามีจริงนั้น มันมีจริงแน่หรือเปล่า เพราะเจอเหตุการณ์แบบนี้มากๆ เข้า ก็ทำให้งงไปเหมือนกัน อันนี้เป็นเหตุผลว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ฝรั่งเริ่มสนใจพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาพูดไว้นานแล้วว่าตัวตนมันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา เมื่อปรุงแต่งแล้วมันจะมีกี่ตัวตนก็ปรุงได้ทั้งนั้น หรือมันจะมี 2 ตัวตนในเวลาเดียวกันเลยก็ทำได้ แต่ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องที่เขาอาศัยการทดลองเพื่อหาคำตอบเท่านั้น

    แต่ในชีวิตจริงของคนเรา ก็พบได้ว่าความยึดมั่นสำคัญหมายว่าฉันเป็นนั่น เป็นนี่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เวลาเราอยู่ที่นี่ เราก็เป็นนักปฏิบัติธรรมหรือเป็นลูกศิษย์ แต่เวลาไปเจอลูก ความเป็นแม่ก็เข้ามาแทนที่ เวลาไปเจอเจ้านาย ความเป็นแม่หายไป ความเป็นลูกน้องเข้ามาแทนที่ เวลาเจอฝรั่ง ก็เกิดความรู้สึกว่าฉันเป็นคนไทย แต่พอเจอคนอีสาน ความรู้สึกว่าฉันเป็นคนกรุงเทพ ฯ ก็เกิดขึ้น ความรู้สึกว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามสถานการณ์หรือเงื่อนไขแวดล้อม ความรู้สึกว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่ก็ถือว่าเป็นการปรุงแต่งอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เป็นความจริง ท่านเรียกว่าเป็น อัสมิมานะ ดังนั้นเราจึงเป็นอะไรได้หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันหรือในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน

    ถ้าเราไม่รู้ความจริงข้อนี้ ก็จะยึดติดถือมั่น แล้วเราก็จะเป็นทุกข์เพราะเหตุนี้ เป็นแม่ก็ทุกข์เพราะความเป็นแม่ เป็นนักปฏิบัติก็ทุกข์เพราะความเป็นนักปฏิบัติ เป็นลูกน้องก็ทุกข์เพราะความเป็นลูกน้อง เป็นเจ้านายก็ทุกข์เพราะความเป็นเจ้านาย นั่นเป็นเพราะจิตเรามีอุปาทาน มีกิเลสแฝงอยู่ว่า คนเป็นแม่ก็ต้องได้รับความเคารพจากลูก ถ้าลูกไม่เคารพแม่ก็ทุกข์ นักปฏิบัติธรรมต้องเป็นคนดีเรียบร้อย เป็นลูกน้องก็ต้องการความยกย่องจากเจ้านาย แต่เป็นเจ้านายก็ต้องการความภักดีจากลูกน้อง แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นก็ทุกข์ และถ้าแบกความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ก็จะเป็นทุกข์สารพัด

    ดังนั้นเราจึงต้องเรียนรู้ว่านี้คือสมมติ เกิดจากการปรุงแต่ง รู้แล้วก็อย่าไปหลงเพลินกับมัน เพราะว่ามันทำให้เราทุกข์ได้ ทั้งหมดนี้ก็ต้องอาศัยความรู้สึกตัวเป็นหลัก เราจะได้ไม่เพลินในความหลง เมื่อมีความรู้สึกตัวจะไม่มีความรู้สึกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ทั้งสิ้น มีแต่ความรู้สึกตัว แต่ความรู้สึกตัวนี้ก็ต้องทำให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง ถ้าเกิดขึ้นไม่ต่อเนื่องแล้วความเป็นตัวกูก็จะผุดขึ้นมาเรื่อยๆ มีความรู้สึกตัวเมื่อไหร่ ก็ว่างจากตัวตน เป็นจิตว่างได้ จิตว่างคือว่างจากตัวตน ว่างจากความคิดเห็นว่ามีตัวตน ไม่ใช่ว่างแบบไม่มีอะไรเลย
    :- https://visalo.org/article/PosttoDay255311.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...