ท่านที่สวดพระคาถามหาจักรพรรดิ์ เป็นวัตร เชิงแบ่งบันความรู้ประสบการณ์ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย prom20, 3 กรกฎาคม 2012.

  1. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ถาม : พระโพธิสัตว์ที่รอตรัสรู้กำลังใจท่านเทียบเท่าพระอรหันต์หรือเปล่า ?
    ตอบ : ถ้าหากท่านที่บารมีเต็ม รอตรัสรู้จริง ๆ ส่วนใหญ่อารมณ์ใจจะเทียบเท่าพระอรหันต์ แต่ละเอียดกว่ากันเยอะนะ เพียงแต่ว่ารู้เท่าทันกิเลส สามารถป้องกันไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นในใจได้ของท่านเท่ากับพระอรหันต์เพียงแต่ไม่ได้ตัดขาดทีเดียว
    ถาม : แล้วเวลาบวชครับ จะรู้ได้อย่างไรว่าองค์ไหนเป็นพระกรรมวาจาจารย์ องค์ไหนเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ?
    ตอบ : องค์ไหนอาวุโสน้อยกว่าเป็นพระอนุสาวนาจารย์ องค์ที่อาวุโสมากกว่าเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ถ้าหากว่านั่งหันหน้าตามอุปัชฌาจารย์ องค์ที่อยู่ขวามือจะเป็นพระกรรมวาจาจารย์ องค์ที่อยู่ซ้ายมือ จะเป็นพระอนุสาวนาจารย์ แล้วส่วนใหญ่อนุสาวนาจารย์จะเป็นคนให้อนุศาสน์ มี ๘ อย่าง แบ่งเป็นนิสสัย คือเครื่องที่พระต้องอาศัย ๔ อย่างคือ นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ถือบิณฑบาตเป็นวัตร อยู่โคนต้นไม้ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า และอกรณียกิจ ๔ อย่างที่พระทำไม่ได้เด็ดขาดเลยก็คือ เสพเมถุน ลักของเขา ฆ่ามนุษย์ให้ตาย อวดอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตน องค์นั้นจะเป็นผู้ให้อนุศาสน์ เรียกอนุสาวนาจารย์ อีกองค์ก็เป็นพระกรรมวาจาจารย์
     
  2. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ถาม : (ถามเรื่องสร้างธงท่านปู่)
    ตอบ : สร้างก่อนได้ แต่ตอนเสกต้องทำให้ถูกพิธีกรรม โดยเฉพาะธงท่านปู่นี้มีเครื่องบวงสรวงที่ไม่เหมือนใคร คือ ต้องมีผ้าขาวคู่หนึ่ง ถ้าจะเอามาเข้าพิธีก็เอาผ้าขาวมา ๒ ผืน ใส่พานมา ซ้ายผืน ขวาผืน ทางเดียวกันก็ไม่ได้ด้วย
    ถาม : แล้วเวลาพระให้พร จะเลือกบทไหนดี ?
    ตอบ : แล้วแต่ มันจะมีจำกัดเหมือนกัน อย่างเช่นว่าอันไหนที่เป็นงานศพก็จะให้บท อะทาสิเม อะกาสิเม ญาติมิตตาฯ บางทีเขาตัดเอาครึ่งเดียว ขึ้น อะยัญจะโข ทักขิณาทินนาฯ มันก็เป็นครึ่งหลังของบทอาทาสิเม ถ้าหากเป็นงานมงคลทั่ว ๆ ไป ส่วนใหญ่ก็ใช้มงคลจักรวาฬน้อย ถ้าหากเป็นเรื่องการถวายสังฆทานใช้บท อัคะโต เว ปะสันนานัง
    ถ้าหากว่าเป็นของที่ถวายตามกาลอย่างเช่นว่า ถวายกฐิน ถวายผ้าอาบน้ำฝน ใช้บท กาเล ทะทันติ สะปัญญา ถ้าหากว่าให้พรคนป่วย มารดน้ำมนต์ ต้องการให้หายก็ขึ้นบท โส อัตถะลัทโธ เขาจะมีเฉพาะของเขาเหมือนกัน ถ้าหากว่าเขาถวายอาหารก็ กุตตา โภคาฯ แต่ละบทจะใช้ในโอกาสและวาระ เราจะมั่วก็ได้ เพราะโยมเขาไม่รู้ แต่ถ้าเจอโยมที่เขารู้เดี๋ยวเขาท้วงมาจะขายหน้าเขา
     
  3. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ถาม : แล้วเวลาที่เราให้พรจะทำอารมณ์อย่างไร ?
    ตอบ : ก็ตั้งใจนึกถึงพระเลย นึกว่าพระท่านว่าเองเลย นึกถึงภาพพระท่านสวดเองเลย ง่ายดี
    ถาม : สำหรับโยมอุปัฏฐากนี้สามารถขอทุกอย่างได้ ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วก็ เอาแค่สมควร ขอแค่ที่จำเป็นของพระ ไม่ใช่ว่าโยมอุปัฏฐากปวารณาแล้ว ก็ขอสะบั้นหั่นแหลกเลย อย่างนั้นจะไม่ใช่พระ ขอในสิ่งที่สมควรแก่สมณะวิสัย จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรให้ขอมากไปกว่าจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานะเภสัช เท่านั้นแหละ
    จีวรชุดหนึ่งก็ใช้กันจนลืมไปเลย บิณฑบาตก็บิณเองอยู่ทุกวันใช่ไหม เสนาสนะก็ที่อยู่อาศัย ให้อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น คิลานะเภสัช ยารักษาโรค ถ้าหากว่าป่วยไข้เป็นโรคเฉพาะก็ขอโยมได้ หรือไม่ก็ไปหาหมอ หมอก็จัดให้อยู่แล้ว
    ถาม : แล้วเรื่องการสอนธรรมะ จะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรมไหม ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของการสอนกัน ที่เขาว่าอุตริมนุสธรรม อย่างเช่นว่า ฌาน วิโมกข์ วิมุติ สมาธิ สมาบัติ ห้ามบอกกล่าวกัน มิฉะนั้นจะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม ถ้าหากว่าเรามีจริงกล่าวถึงได้ ถ้าเป็นการสอนธรรมกัน ถ้าไม่ใช่การสอนธรรมกัน กล่าวเพื่ออวดไม่ได้
    ถาม : (เรื่องทำน้ำอสุจิให้เคลื่อน)
    ตอบ : ถ้าหากว่าฝันไม่เป็นไร แต่หากว่าเสียดสีกับผ้าหรือกระทบกับผ้าแล้วเป็นเองไม่เป็นไร ยกเว้นตั้งใจจะทำ ถ้ามันหลุดออกมาจากปัสสาวะเองก็เรื่องของมัน ยกเว้นแต่ตั้งใจ เรื่องของธรรมะเขาตรงไปตรงมา คำว่าแกล้งทำ ก็คือตั้งใจทำ แกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ก็ตั้งใจให้ตาย แกล้งทำน้ำอสุจิให้เคลื่อน คือตั้งใจให้มันเคลื่อน
     
  4. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ถาม : แล้วถ้าเกิดเรื่องการกล่าวเตือนพระภิกษุ ?
    ตอบ : ไม่ต้องเสือกยุ่งเลย โดยเฉพาะพระใหม่ มันทะเลาะกันมาเยอะต่อเยอะแล้ว เพราะว่าต่างคนต่างรู้ดีนั่นแหละ เป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์เขาจะตักเตือนเอง
    ถาม : ของอะไรที่เราสามารถใช้เป็นส่วนตัวได้บ้าง ?
    ตอบ : ถ้าเป็นของที่ใช้ตอนเป็นฆราวาสนั้น เป็นของเราถึงเวลาสึกแล้วเอากลับมาได้ แต่ถ้าเป็นของที่เขาตั้งใจใช้ในการบวชอย่างเช่นว่า จีวรก็ดี ผ้าห่ม หมอน อะไรพวกนี้ ของทุกอย่างที่เป็นของสงฆ์ไปของทุกอย่างที่ออกจากโบสถ์มา รับจากโยมมาก็ดี เป็นของสงฆ์ทั้งหมด ถ้าต้องการต้องชำระหนี้ทำราคาปัจจุบัน
    ถาม : (ถามเรื่องการฉันเภสัชในเวลาวิกาล)
    ตอบ : ไม่ใช่อิ่มนะ เนยใส เนยข้น....น้ำอ้อย ไม่ใช่ฟาดกันพุงกาง ถ้าสมัยหลวงพ่อน้ำร้อนหนึ่งแก้ว น้ำตาลหนึ่งช้อนชาแค่นั้นแหละ ท่านให้เอาอย่างนั้นจริง ๆ ถามว่าทำไมต้องน้ำร้อนครับ ท่านบอกว่าน้ำร้อนทำให้กระเพาะมันขยายตัว มันจะไม่บีบเข้ามาทำให้ไม่รู้สึกหิว น้ำตาลก็เพิ่มสารอาหารที่มันอยากได้เข้าไปหน่อยหนึ่ง
    ถาม : เมื่อไรห่มดองกับห่มคลุม ?
    ตอบ : ห่มดองใช้กับวาระที่สำคัญ เช่นว่า สวดมนต์ ทำวัตร กรรมฐาน แล้วก็เข้าหาพระผู้ใหญ่อย่างนี้ ถ้าผ้าคลุมนี้ใช้เวลาออกนอกวัด ถ้าหากว่าออกนอกวัดห่มดองไปก็ใช้ได้ แต่เป็นทางการจนเกินไป เหมือนกับให้เกียรติเขาเต็มที่ ห่มเสียครบชุด เต็มยศ แต่จริง ๆ แล้วออกข้างนอกให้ห่มคลุม อยู่ในวัดให้ห่มเฉวียงบ่า คือ ปล่อยแขนข้างหนึ่ง ถ้าหากว่างานสำคัญของวัดก็ห่มดองพาดสังฆาฏิเข้าไป แต่ถ้าพระธรรมยุตติ เวลาออกข้างนอกท่านก็เอาสังฆาฏิซ้อนกับจีวรแล้วห่มไป แต่บางองค์ท่านห่มคลุมแล้วเอาสังฆาฏิพาดไหล่ไปด้วย
    ถาม : ถ้าจะไปข้างนอกต้องบอก ?
    ตอบ : จำเป็นต้องบอก นี่เป็นศีลพระเลย ต้องบอกผู้ปกครองเอาไว้ ถ้าเจ้าอาวาสไม่อยู่ก็ต้องบอกผู้ที่ทำการแทน ไม่อย่างนั้นก็โดนอาบัติศีลขาดเลย
    ถาม : คำว่าไม่เอื้อเฟื้อหมายถึง ?
    ตอบ : คือไม่เคารพ คำว่าเอื้อเฟื้อความหมายก็คือเคารพและปฏิบัติตาม ไม่เอื้อเฟื้อตามพระวินัยก็คือไม่เคารพ ไม่ปฏิบัติตามคือประเภทผิดแล้ว ผิดอีก
     
  5. ployyim

    ployyim Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +73
    เป็นศิษย์หลวงปู่มานานแล้ว........ขอหลวงปู่ให้เห็นเจ้ากรรมนายเวรที่จะปลดปล่อยเราแล้วให้เราได้นิมิตรเห็นหน่อย..........สุดยอดเลย .......เราเคยทำให้เขาต้องตาย...และผลพวงจากที่เราทำให้เขาตายโดยไม่เจตนา...กลับทำให้อีกชีวิตหนึ่งต้องตายด้วย...คือแม่ของเธอเป็นความจำเสื่อม...เธอต้องเลี้ยงดูแม่....

    เราเสียใจเลยนะ....สุดท้ายเธอก็อะโหสิ..ให้เราแล้ว.............สาธุ สาธุ สาธุ
     
  6. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ท่านเจ้าคุณนรฯ


    หากเอ่ยถึงนาม "หลวงพ่อธมฺมวิตกฺโก" หรือ ภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิต ที่ผู้คนเรียกกันสั้น ๆ ว่า ”ท่านเจ้าคุณนรฯ” แล้วเชื่อว่าทุกท่านต้องเคยได้ยินชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านมาไม่มากก็น้อย....
    ท่านเจ้าคุณนรฯ เป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างแท้จริง ยากที่จะหาพระผู้เด็ดเดี่ยว เฉียบขาดในการปฏิบัติธรรมเสมอด้วยท่านอีกแล้ว ท่านเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติทุกอย่าง...
    ด้วยศีลาจารวัตรอันบริสุทธิ์งดงามของท่าน นำพาท่านโดดเด่นขึ้นมาเป็นหลักชัยของหมู่ชน แม้ท่านจะเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวสุงสิงกับใคร แต่คุณความดีของท่าน ก็เจิดจ้าสว่างไสวจนปิดไม่มิด...
    ดวงจิตอันบริสุทธิ์ ด้วยได้รับการขัดเกลาอย่างวิเศษ ก่อให้เกิดอิทธิปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ สงเคราะห์ต่อหมู่ชนโดยไม่เลือกหน้า ปากต่อปากที่พากันกล่าวขาน เกียรติคุณของท่านยิ่งขจรขจายไป ไปอย่างไม่รู้จบ...
    ในที่สุดก็มีผู้สร้างรูปเหรียญของท่านขึ้นมาบูชา ท่านก็โปรดเมตตา ปลุกเสกอธิษฐานจิตให้ บุคคลผู้รับไปบูชา พบประสบการณ์พิสดารต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วน อาตมาเองก็พบกับความมหัศจรรย์นั้นด้วย...
    นายตู่ (วิจิตร แซ่ล้อ) เพื่อนของอาตมา นำเหรียญนาคปรกใหม่เอี่ยมของท่านเจ้าคุณนรฯ มาแลกกับพระนางพญาของอาตมา ตอนนั้นอาตมายังไม่รู้คุณค่า เลยถูกพี่ก้อง คุณก้องเกียรติ เพชรชื่นสกุล) หักคอเอาไปซึ่ง ๆ หน้า...
    พอทราบว่าท่านดีอย่างไร อาตมาก็เสียดายใจจะขาด จนแม่ต้องไปหาให้ใหม่ ตอนนั้นอาตมาเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ต้องนำเงินไปจ่ายค่าเทอม ๒๒๐ บาท ได้เงินทอนกลับมา ๘๐ บาท...
    อาตมาสอดเงินไว้ในสมุด ขี่จักรยานกลับบ้านเป็นระยะทาง ๖ กิโลเมตร ถึงบ้านจะนำเงินไปคืนให้แม่ แต่พอเปิดสมุดขึ้นมาไม่ทราบว่าเงินนั้นอัตรธานไปไหนแล้ว...!
    เคราะห์ดีที่อาตมาไม่เคยเหลวไหล หาไม่คงถูกฟาดก้นลายแน่ แม่ให้บนท่านเจ้าคุณนรฯ ขอให้ได้คืนมา อาตมาไม่ทราบว่าจะหันหน้าพึ่งใคร ก็เลยต้องบนท่านตามที่แม่แนะนำ แต่ไม่คิดว่าจะมีทางได้คืนหรอก...
    พอเช้าขึ้นไปโรงเรียน อาจารย์ใหญ่ประกาศหาคนทำเงินหาย อาตมาแสดงหลักฐานถูกต้องทุกอย่างจึงได้รับเงินคืนมา เพื่อนหญิงชื่อ ”ทองคำ มาสุริวงศ์” เป็นผู้เก็บได้ ได้รับการสรรเสริญความดีจากครูและเพื่อน ๆ ทุกคน...
    นั่นเป็นความเมตตาของท่านเจ้าคุณนรฯ ที่สงเคราะห์แก่อาตมา หลังจากนั้นไม่นานอาตมาเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ มีโอกาสกราบฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มหาอำพัน (พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์)แห่งวัดเทพศิรินทราวาส...
    หลวงปู่ท่านเป็นสหธรรมิกของท่านเจ้าคุณนรฯ เมตตาเล่าเรื่องปาฏิหาริย์มหัศจรรย์ต่าง ๆ ของท่านเจ้าคุณนรฯ ให้อาตมาฟังเสมอ ๆ จนกระทั่งอาตมาอยากได้พระเครื่องของท่านเจ้าคุณนรฯ รุ่นอื่น ๆ ขึ้นมาอีก...
    วันหนึ่งอาตมาอัดรูปไปถวายหลวงปู่ ๑ โหล กะว่าถ้าหลวงปู่จะให้เป็นมูลค่า อาตมาจะขอเปลี่ยนเป็นพระท่านเจ้าคุณนรฯ ด้วยทราบมาก่อนว่าหลวงปู่ท่านมีอยู่จำนวนหนึ่ง
    แต่เอาเข้าจริง ๆ อาตมากลับไม่กล้าขอ พอออกจากกุฏิของท่าน อาตมาก็เลยไปเยี่ยมคุณยายที่บางกอกน้อย น้าฟ้าบอกกับอาตมาว่าอยากได้พระอะไรไว้ใช้ ไปหาดูบนห้องพระข้างบนได้เลย...
    อาตมาพบะพระเครื่องเนื้อผงของท่านเจ้าคุณนรฯ ถึง ๔ องค์ คิดดูเถิด...อาตมาอยากได้ ท่านก็บันดาลให้ดังใจนึก แต่อาตมาเก็บของไม่อยู่ เพื่อนฝูงมาขอก็ให้เขาต่อไปจนหมด..ตัวเองมานั่งอยากต่อไป...
    มาภายหลังหลวงปู่มหาอำพันมอบเหรียญใบโพธิ์และรอยเท้าท่านเจ้าคุณนรฯ ให้อาตมาเป็นรางวัล ที่ไปเฝ้าพยาบาลท่านไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก...
    จากที่เล่ามา แสดงให้เห็นว่า ดวงจิตบริสุทธิ์ของท่านเจ้าคุณนรฯ แม้จะละสังขารไปแล้ว ก็ยังคอยอนุเคราะห์สงเคราะห์แก่ผู้ศรัทธาท่านอยู่มิได้ขาดใครเดือดร้อนอะไร ท่านก็คอยช่วยเขาอยู่เสมอ...
    คุณความดีใด ที่ท่านให้การสั่งสอนไว้ ขอศิษย์ทั้งหลายจงนำไปปฏิบัติเถิด จะเกิดสุขแก่ตน และครอบครัวอย่างหาที่เปรียบมิได้ จัดเป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน นำท่านพ้นจากที่ชั่วได้อย่างแน่นอน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 สิงหาคม 2012
  7. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ๕. คาถาชินบัญชร


    รากศัพท์ของคำว่า "คาถา" มาจากภาษาบาลีว่า ”กถา” แปลว่า ”วาจาเป็นเครื่องกล่าว” ดังนั้น...คำพูดของคนเราทุกคำก็คือคาถาทั้งสิ้น แต่คาถาในความเข้าใจของทุกคน ไม่ใช่ความหมายเช่นนั้น...
    คาถาที่เรารู้จัก คือถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถแสดงผลอันวิเศษแก่ผู้ที่ยึดถือท่องบ่น ในบรรดาคาถาที่ท่านผู้รู้ผูกขึ้นมานั้น คาถาชินบัญชร ของ สมเด็จพุฒาจารย์ หรือ หลวงพ่อโต วัดระฆัง นับว่าแพร่หลายที่สุด...
    คาถาชินบัญชรนี้เพียบพร้อมไปด้วยอรรถและฉันทลักษณ์ ทั้งยังคงความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ยิ่ง พระเครื่องสมเด็จวัดระฆังที่ลือลั่นสนั่นเมือง ก็ปลุกเสกด้วยคาถานี้เอง...
    แต่ว่า...คาถาชินบัญชรนี้ ก็ยังมีแปลกแตกต่างไปหลายฉบับ บางฉบับก็เพิ่มมาหนึ่งบทบางฉบับก็หดหายไปสองบรรทัด คาถาบางตัวก็ผิดเพี้ยนกันไป แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร...
    ความศักดิ์สิทธิ์ของคาถานั้น ขึ้นอยู่กับสมาธิจิตของผู้ท่องบ่น ต่อให้คาถาผิดพลาดเพียงไรก็ตาม หากจิตเป็นสมาธิแนบแน่นมั่นคงเสียแล้ว ผลก็เป็นไปตามการอธิษฐานทุกประการ...
    หากท่านผู้อ่านตัดความตะขิดตะขวงใจในตัวคาถาเสีย ตั้งใจท่องบ่นอย่างจริงจัง ผลดีย่อมบังเกิดแก่ท่านอย่างไม่ต้องสงสัย และต้องอัศจรรย์ใจในคาถาอันวิจิตรไพเราะ ที่เป็นผลผลิตจากอัจฉริยภาพของเจ้าประคุณสมเด็จท่านเป็นแน่แท้...
    อาตมาได้คาถานี้จาก "หนังสือลานโพธิ์" อ่านแล้วชอบใจตรงที่ว่าหากใครท่องบ่นด้วยความเลื่อมใสอย่างแท้จริง พระสมเด็จวัดระฆังที่หายากเป็นนักหนา จะเสด็จมาอยู่กับผู้ท่องบ่นเอง....
    ด้วยความอยากได้พระสมเด็จวัดระฆัง อาตมาจึงพยายามหัดท่องคาถา วันแรกก็ตะกุกตะกักไม่เป็นท่า เหนื่อยขึ้นมาเลยเอาคาถาหนุนหัวหลับไป เกิดฝันว่าท่องคาถาได้บรื๋อเลยล่ะ...!
    ตื่นขึ้นมาก็ท่องได้จริง ๆ ....! นับว่าอัศจรรย์มาก เพราะความฝันกลายเป็นความจริงไปได้ อาตมาก็เลยท่องคาถาทุกวัน ท่องไปก็อธิษฐานไป ขอให้สมเด็จวัดระฆังเสด็จมาทีเถอะ...เจ้าประคุ้ณ...!
    เวลาผ่านไป...ผ่านไป ไม่เห็นมีวี่แววว่า สมเด็จวัดระฆังจะมาซักที จนอาตมาท่องคาถาจนชิน วันไหนไม่ได้ท่องเหมือนขาดอะไรไป ความอยากได้พระหายไปจากใจ กลายเป็นหน้าที่ประจำที่จะต้องท่องอย่างน้อยวันละ ๑ จบ...
    ปีแล้ว...ปีเล่า...อาตมายังคงท่องคาถาโดยไม่เบื่อไม่หน่าย จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วในปีที่ ๑๑ ของการท่องคาถาติดต่อกันนั่นเอง สมเด็จวัดระฆังที่อยากได้เป็นนักหนาก็ได้มาสมใจนึก...
    ผู้มอบให้ เป็นนักสะสมพระเครื่องตัวยง ทั้งบ้านมีแต่ของเก่าแทบไม่มีที่จะเก็บ เขาติดหนี้บุญคุณอาตมาไม่ทราบจะทดแทนอย่างไร เลยมอบพระเครื่องสุดรักสุดหวงของตนให้อาตมา ๑ องค์...
    นี่แหละ...ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ของทุกอย่างเขาดีจริงอยู่แล้ว ขอเพียงเราทำให้จริงเท่านั้น ผลสำเร็จย่อมเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน...
     
  8. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ๙. นิมิตจากในหลวง


    ประเทศไทยของเราโชคดีกว่าทุกประเทศในโลก เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม เป็นหลักชัยของมหาชนทั้งแผ่นดิน ยิ่งองค์ภูมิพลมหาราชด้วยแล้ว เป็นสุดยอดของพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงธรรมเลยทีเดียว...
    “ท่านผู้รู้” เมตตาเล่าว่า องค์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเรานั้นเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เลิศด้วยบารมี ได้ทิพยจักขุญาน ตั้งแต่พระชนมายุ ๗ พรรษา ทรงปฏิบัติธรรมได้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก สามารถทรงสมาธิได้ทุกเวลาที่ต้องการ...!
    หลังจากออกจากพระจุฬามณีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสด็จนำอาตมาไปยังดินแดนแห่งเอกันตบรมสุข คือพระนิพพาน อาตมาได้พบเห็นเมืองแก้ว แพรวพราวงามระยับจับตา สูงส่งสง่า สงบ เยือกเย็น เป็นสุขสบายจนบอกไม่ถูก...
    อาตมาได้มีโอกาสได้เข้าไปกราบ สมเด็จพระพุทธสิขีทศพลที่ ๑ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกสุด พร้อมด้วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และพระอรหันตเจ้าทั้งหมด...
    ถ้าใครบอกว่าเป็นการสะกดจิต เป็นการนึกฝันเอาเอง อาตมาก็ยอมให้สะกดจิต ยอมเพ้อฝันเอาเอง ขอให้มีคนสามารถสะกดจิต ให้คนไปนิพพานได้จริง ๆ เถอะน่า จะยอมให้สะกดทั้งชาติเลยซิเอ้า...ถ้าท่านทำไม่ได้ ก็อย่าแสดงความโง่ด้วยการปฏิเสธเลย...!
    ออกจากวิมานขององค์สมเด็จพระบรมสุคต อาตมาก็ตรงไปยังวิมานของตน ที่หน้าวิมานนี่เอง อาตมาพบองค์ในหลวงในเพศพระภิกษุห่มจีวรเหลืองอร่าม ในพระหัตถ์ทรงบาตร ประทับยืนขวางทางอยู่...
    อาตมาถวายบังคมอย่างปลาบปลื้มใจ ทูลถามว่า เสด็จมาด้วยพระประสงค์ใด พระองค์ชี้พระดัชนีลงในบาตร อาตมาเห็นว่ามีน้ำอยู่ครึ่งบาตร และมีเรือสำเภาลำน้อยลอยวนอยู่...
    ทันใดนั้น...อาตมาลงไปอยู่ในเรือได้อย่างไรไม่รู้ น้ำในบาตรกลายเป็นมหาสมุทรกว้างสุดลูกหูลูกตา กระแสน้ำกลายเป็นวังวนมหึมาหมุนวนเชี่ยวกรากน่าสะพรึงกลัว ดูดเอาเรือสำเภาที่มีอาตมาอยู่ในนั้นเข้าไปใจกลางวังวนอย่างรวดเร็ว...!
    “ทำไมมาแกล้งกันแบบนี้...!” อาตมาตะโกนด้วยความตกใจ องค์ในหลวงมีดำรัสว่า "หาทางขึ้นมาซิ..." พริบตานั้น...ปรากฏเส้นเชือกใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนพาดจากฝั่งมายังเรือ อาตมาเลือกเชือกเส้นใหญ่ที่สุดปีนกลับขึ้นมาบนฝั่งอย่างง่ายดาย กราบทูลถามว่า "นิมิตนี้หมายถึงอะไรพระเจ้าข้า...?" ทรงตรัสว่า "นานไปแล้วเธอจะรู้เอง"....
    หลังจากนั้นหลายปี มีผู้รู้พยากรณ์นิมิตนั้นว่า เรือสำเภาหมายถึงพระโพธิสัตว์ ผู้บำเพ็ญบารมีมาเพื่อขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสารแสดงว่าอาตมาคงบำเพ็ญบารมีมาในด้านนี้ แต่การที่สละเรือขึ้นสู่ฝั่งแปลว่าอาตมาต้องลาจากพุทธภูมิ...!
    เชือกเส้นใหญ่ที่สุดที่อาตมาเลือกเพื่อปีนขึ้นฝั่ง คือหนทางปฏิบัติที่อาตมาเห็นว่ามั่นคงที่สุด ที่จะพาตนพ้นจากวัฏสงสาร เข้าสู่ดินแดนแห่งพระนิพพาน คือการที่อาตมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั่นเอง...!
    องค์ในหลวงของเราทรงปฏิบัติภารกิจ เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนทุกถ้วนหน้า อย่างมิคำนึงถึงความเหนื่อยยากของพระองค์ เกียรติคุณของพระองค์ท่าน ขจรขจายไปทั่วโลก ทุกชาติทุกภาษาทั้งอิจฉาทั้งเลื่อมใส ที่เรามีผู้นำที่วิเศษเห็นปานนี้...
    ดวงแก้ววิเศษอยู่กับเราแล้ว อีกกี่ยุคกี่สมัยจึงจะมีเช่นนี้อีก ขอทุกท่านจงคำนึงและยึดมั่นในพระองค์ท่าน สิ่งใดที่เป็นการแบ่งเบาพระราชภาระ และแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี ขอทุกคนจงทำสิ่งนั้นอย่างเต็มสติกำลังโดยถ้วนหน้ากันเถิด...
    บารมีพระมากพ้น รำพัน
    พระพิทักษ์ยุติธรรม์ ถ่องแท้
    บริสุทธิ์ดุจดวงตะวัน ส่องโลก ไซร้แฮ
    ทวยราษฎร์รักบาทแม้ ยิ่งด้วย บิตุรงค์
     
  9. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ๑๐. อานุภาพพระภูมิเจ้าที่


    พระภูมิเจ้าที่เป็นเทวดาประเภทหนึ่ง เรียกว่า ภุมมเทวดา มีหน้าที่รักษาพื้นที่ของโลกมนุษย์ และบันทึกความดีของมนุษย์ส่งต่อท้าวจตุโลกบาล เพื่อนำเสนอต่อพระอินทร์ในการประชุมเทวสภา วิมานของภุมมเทวดาเป็นทองคำหรือเงิน ทั้งหลัง ลอยสูงจากพื้นประมาณ ๑ ศอก แต่ละองค์รับผิดชอบอาณาเขต องค์ละหลายตารางกิโลเมตร...
    น่าสลดใจที่มีบุคคลจำนวนไม่น้อย ที่นอกจากจะไม่เคารพพระภูมิเจ้าที่แล้ว ยังจาบจ้วงด้วยวจีกรรม ที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เช่น ว่าท่านเป็นเทวดาตีนโรงตีนศาล ดีแต่อาศัยชาวบ้านอยู่ ควรจะทุบศาลทิ้งซะให้หมดเรื่อง ที่ใจกล้าหน้าด้านกว่านั้น ก็กล่าวว่าเลี้ยงหมาไว้ยังมีประโยชน์กว่า เพราะหมาเฝ้าบ้านได้ ถ้าภุมมเทวดาเห่าได้เหมือนหมา ก็จะตั้งศาลให้...!
    ท่านคงจะลืมไปว่าเทวดานั้น อย่างน้อยต้องประกอบด้วยคุณธรรม ๒ อย่าง คือ
    ๑. หิริ มีความละอายแก่ใจไม่กล้าทำความชั่วทุกอย่าง
    ๒. โอตตัปปะ กลัวว่าผลของความชั่ว จะทำให้ตกสู่อบายภูมิ
    และต้องมี ศีล ๕ บริสุทธิ์ จึงจะมีสิทธิ์เกิดเป็นเทวดา ไม่ทราบว่าตัวท่านผู้เหยียดหยามเทวดานั้น มีคุณธรรมสูงส่งประการใดจึงกล้ากล่าววาจาเช่นนั้น...
    พระภูมิเจ้าที่แต่ละองค์มีศักดานุภาพแตกต่างกันไป ตามแต่วาสนาบารมีที่บำเพ็ญมา มีที่สังเกตคือให้ดูที่มือขวาของท่าน จากข้อศอกลงไปจะเป็นสีแดง ยิ่งสีแดงจัดมากก็ยิ่งมีอานุภาพมาก ภุมมเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงก็มีอยู่ไม่น้อย หลวงพ่อเคยพบภุมมเทวดาที่เป็นพระอนาคามีถามท่านว่าทำไมไม่ไปอยู่ สุทธาวาสพรหม ท่านว่าอยากเป็นแค่นี้...!
    การตั้งศาลพระภูมินั้นเป็นการแสดงความยอมรับนับถือ ว่าเราขออยู่ใต้การดูแลของท่าน ไม่ใช่ไปสร้างบ้านให้ท่านอยู่ วิมานของท่านมีเองอยู่แล้ว สวยกว่าศาลที่เราตั้งให้เป็นล้านเท่า เมื่อเรายอมรับนับถือท่าน มีเรื่องอะไรที่ไม่เกินวิสัย ท่านก็ช่วยสงเคราะห์เราอย่างเต็มที่...
    หลวงพ่อเคยท้ารบกับพระภูมิเจ้าที่ ผู้รักษาวัดบางนมโคมาแล้ว ท่านมาขอให้ตั้งศาลให้ หลวงพ่อบอกว่า ถ้าเก่งจริงถึงจะยอมรับนับถือ เทวดาท่านก็รับคำท้า ปรากฎว่า วันแรกจมูกข้างซ้ายหายใจไม่ได้ วันที่สองจมูกข้างขวาตันไปอีกข้าง ตันขนาดสั่งไม่ออกเลย ต้องหายใจทางปากแทน จึงยอมตั้งศาลให้ ไม่งั้นวันที่สามคอจะตันไปด้วย องค์นี้มือขวาแดงแช้ดเลย...
    การตั้งศาลพระภูมินั้น มีหลักเกณฑ์คือ ตัวศาลต้องอยู่ทางทิศเหนือ หรือตะวันออก หรือ ตะวันออกเฉียงเหนือของตัวบ้านเท่านั้น (ทิศใต้เป็นทิศของอากาศเทวดา ห้ามตั้งทางทิศใต้อย่างเด็ดขาดอาจถึงตาย) หน้าศาลหันไปทิศใดไม่จำกัด แต่ตัวศาลต้องอยู่ในทิศดังกล่าว หลวงพ่อบอกว่า ทิศตะวันออกเฉียงเหนือดีที่สุด ทิศตะวันออกมักให้หวยแม่น (จุดธูปขอกับท่าน แล้วเอากระดาษกับดินสอใส่ไว้ในศาล ใกล้รุ่งให้รีบไปดู ถ้าสว่างตัวเลขจะเลือนหายหมด) ผู้ที่บอกว่าไม่มีที่ตั้งศาล ให้ดู คุณเซียวมิ้น กาญจนอุทัย เป็นตัวอย่าง หลวงพ่อบอกให้ตั้งศาลที่หัวเตียง งวดนั้นถูกรางวัลที่ ๕ ซะหลายใบ...!
    ที่อู่ซ่อมรถของพี่ประสิทธิ์ มีศาลพระภูมิอยู่หนึ่งหลัง อาตมาบูชาท่านทุกวัน จะออกจากบ้านก็บอกท่านว่า “ปู่ครับ...ผมกลับมาแล้ว ขอบพระคุณมากนะครับ” ทุกวันพระจะจัดข้าวปลาอาหารชุดเล็ก ๆ ถวายท่านหนึ่งชุด ท่านก็ช่วยคุ้มครองรักษา ให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขตลอดมา...
    ทำไมอาตมากล้ากล่าวเช่นนั้น...? ก็ซอยที่ตั้งอู่นั้น เป็นแหล่งรวมยาเสพย์ติดและการพนันทุกชนิด บรรดาสิงห์เฮโรอีน ทินเนอร์ กัญชา เดินชนไหล่กันทุกวัน ข้าวของชาวบ้านหายเป็นประจำ วันดีคืนดี ตำรวจก็ปิดซอยกวาดล้างกันที วิ่งหนีกันตกน้ำตกท่า ของอะไรที่พอจะเปลี่ยนเป็นเงินได้ เผลอเมื่อไรเป็นหายวับติดมือเจ้าพวกนี้ไปทันที...
    บ้านช่องของใครเจ้าของไม่อยู่ จะมีผู้ถือวิสาสะเข้าไปช่วยขนข้าวของไปอย่างหน้าตาเฉย ปิดประตูสามชั้นมันก็ปีนหลังคา งัดกระเบื้องมุดฝ้าเข้าไปแทน...ทีนี้บ้านของพี่ชายคือ พี่ก้องเกียรติ กับ พี่ประสิทธิ์นั้น มีรั้วเฉพาะด้านหน้าเท่านั้น ด้านข้างกับด้านหลังปล่อยโล่งทิ้งไว้เย้ยฟ้าท้าดินเล่นโก้ ๆ ซะอย่างนั้นแหละ...
    ทีนี้เมื่อมีการฝากกับพระภูมิเจ้าที่แล้ว ทั้งที่โล่งโถงปานนั้น แถมทิ้งเครื่องมือซ่อมรถไว้เกลื่อนอู่ ตลอดห้าปีไม่เคยหายซักชิ้น มีกางเกงที่อาตมาใส่ทำงาน ถูกสอยไปตัวเดียว อาตมาดีใจแทบแถมเงินให้มันด้วยซ้ำ เพราะใส่มาตั้งหลายปี อยากได้ของใหม่เต็มทีแล้ว...
    บ้านพี่ก้องเกียรติถูกงัดครั้งหนึ่ง โทรทัศน์ ตู้เย็น หม้อไฟฟ้า มันไม่แตะเลย เอาแต่วิทยุเทปรุ่นคุณย่ายังสาวไปเครื่องเดียว ซึ่งพี่เขาก็อยากแถมตัวแปลงไฟให้มันไปเช่นกัน ถ้าพระภูมิเจ้าที่ไม่สงเคราะห์ คงถูกขนหมดบ้านตั้งแต่ปีแรกแล้ว...!
    ก่อนนอนอาตมาบอกพระภูมิท่านว่า “ปู่ครับ...ถ้ามีเหตุร้ายปลุกผมก่อน ๑๕ นาทีนะครับ” และแล้วคืนหนึ่ง...เวลาตีหนึ่งกว่า ก้อนดินขนาดหัวแม่มือก้อนหนึ่ง หล่นป๊อกลงที่หัวนอน อาตมาคว้าลูกซองห้านัดแบบกึ่งอัตโนมัติของบราวนิงก์ติดมือ ย่องออกจากห้องอย่างเงียบกริบ แต่มาเสียท่าตรงเปิดประตูบ้าน มันลั่น...แ..อ๊...ด...ด...!
    เสียงฝีเท้าไม่ต่ำกว่าสามคู่ เผ่นออกนอกเขตบ้านไปทันที อาตมาเลื้อยตามไปดูที่นอกรั้ว เห็นแต่ไฟบุหรี่แดงวาบ ๆ อยู่เท่านั้น ซุ่มรอจนฝ่ายตรงข้ามหมดความอดทน พากันหนีกลับไปจนหมด อาตมาจึงกลับเข้าบ้าน...
    เปิดไฟหยิบเอ้าก้อนดินก้อนนั้นเก็บไว้เป็นที่ระลึก ก่อนนอนอาตมาแง้มบานเกล็ดหน้าต่างไว้นิดเดียว ต้องขว้างย้อนจากข้างล่างขึ้นบน ก้อนดินนี้จึงมีสิทธิ์เข้ามาในห้องได้ แต่ว่าเจ้าดินก้อนนี้มันตกลงมาตรง ๆ จากหลังคา...!
    หลังจากบวชแล้วไม่นาน อาตมาก็ “ฝัน” ว่าไปเยี่ยมบ้าน เห็นมีแสงสว่างล้อมรอบศาลพระภูมิ เป็นวงกลมใสสะอาด กว้างประมาณสองเมตร นอกนั้นมืดตื๋อไปทั้งบ้าน อาตมาถามพระภูมิเจ้าที่ท่าน ว่าเป็นเพราะเหตุใด...?
    พระภูมิท่านบอกว่า พี่ประสิทธิ์ไม่ทราบว่าเห็นผิดเป็นชอบประการใด เอาของขลังจากหมอไสยศาสตร์ชาวอิสลามเข้ามาไว้ในบ้าน บอกว่าช่วยให้การงานดีขึ้น ท่านเองไม่ทราบว่าจะขัดขวางอย่างไร จึงได้แต่รักษาเฉพาะตนเท่านั้น...!
     
  10. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ๑๑. คาถามหาประสาน


    คาถาแต่ละบทนั้น ผูกขึ้นโดยครูบาอาจารย์ที่ทรงอภิญญาสมาบัติอย่างหนึ่ง หรือได้มาจาก พระ หรือพรหม หรือ เทวดา ท่านมาบอกอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าหากเราเชื่อถือ และตั้งใจปฏิบัติตามด้วยความเคารพเลื่อมใสแล้ว ท่านเจ้าของคาถาก็จะแผ่บารมีลงมาช่วยให้คาถานั้น ๆ เกิดความศักดิ์สิทธิ์ สมดังความปรารถนาของเราทุกประการ...
    การเล่นคาถานั้นเป็นการทดสอบตรง ๆ ว่าเรามีความลังเลสงสัยในครูบาอาจารย์หรือไม่เพียงใด เพราะคาถาบางบท ฟังดูแล้วตลกขบขันไม่น่าเลื่อมใส บางทีก็เป็นคำด่าที่หยาบคาย ไม่น่าจะมีสรรพคุณ ดังที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลยซักนิดเดียว...!
    หลวงพ่อเล่าว่า หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ จังหวัดสุพรรณบุรี มีคาถาบทหนึ่ง ถ้าท่านขึ้นกุฏิจุดธูป แล้วด่าลั่นไปสามบ้านแปดบ้านเมื่อไร ชาวบ้านจะขนเอาผักหญ้า ข้าวสาร อาหารแห้ง มาถวายให้ท่านเลี้ยงพระเป็นหาบ ๆ เลย หลวงพ่อถามท่านว่า ทำไมต้องด่ากันหยาบคายขนาดนั้นด้วย...? ท่านตอบว่า “ก็คาถามันเป็นอย่างนั้นเองนี่หว่า...!”
    หลวงพ่อบอกว่า คาถาเป็นบาทของอภิญญา คือขั้นต้นของอภิญญา เพราะสมาธิจิตของคนเล่นคาถานั้น ต้องเข้มระดับใกล้อภิญญา ไม่อย่างนั้นเล่นคาถาไม่ขึ้น ที่สำคัญคือต้องเป็นคนจริงจังไม่เหลาะแหละมีสัจจะตั้งมั่น โดยเฉพาะตัวสัจจะสำคัญที่สุด จะเห็นได้จากบรรดาอ้ายเสือยุคก่อน ปล้นเขากินแท้ ๆ แต่กลับอยู่ยงคงกระพัน เป็นที่ปวดเศียรเวียนเกล้าของเจ้าหน้าที่ผู้ปราบปราม เหตุที่พวกนี้หนังดี เพราะเล่นของเล่นคาถา และมีสัจจะมั่นคงนั่นเอง
    ตัวสัจจะที่แต่ละคนยึดมั่น แตกต่างกันไปตามแต่ครูบาอาจารย์สั่งมา บ้างก็ห้ามลอดราวผ้า ห้ามด่าแม่คนอื่น ห้ามกินผักผลไม้บางอย่าง ที่เชื่อว่าล้างอาถรรพ์ได้ เช่นผักกระเฉด ฟัก แฟง แตง น้ำเต้า เป็นต้น ถ้าครูบาอาจารย์เป็นพระ ส่วนมากก็จะให้ลูกศิษย์ ถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด ถ้าศีลบกพร่อง คาถาก็เสื่อม เป็นต้น
    หลวงพ่อของอาตมานั้น ท่านมีกุศโลบายยอดเยี่ยม ในการสอนศิษย์ทุกประเภท ถ้าเป็นนักรบเก่าอย่างอาตมา ท่านจะหลอกให้คาถาไปภาวนา โดยกำชับว่า ต้องภาวนากันจริง ๆ และต้องรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ไม่อย่างนั้นจะทำคาถาไม่ขึ้น...
    อาตมาได้คาถาไปก็ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ภาวนากันแบบเอาเป็นเอาตาย พอได้ผลก็วิ่งโร่หน้าบานมารายงาน หลวงพ่อก็จะให้คาถาบทใหม่ ที่มีอานุภาพแปลก ๆ ไปภาวนาใหม่ กว่าจะรู้ตัวก็ติดการภาวนาและรักษาศีลจนเป็นนิสัย ทีนี้หลวงพ่อก็เปลี่ยนให้ใช้การภาวนาพิจารณาตามแบบ กรรมฐาน ๔๐ มหาสติปัฏฐานสูตร หรือ วิปัสสนาญาณ ๙แทน ผลก็คือสามารถทำได้เร็วกว่าการปฏิบัติตรง ๆ ตามปกติ...
    วันหนึ่ง...หลวงพ่อบอก “คาถามหาประสาน”ให้ คาถาบทนี้หากทำถึงที่สุด ต่อให้เกิดบาดแผลใหญ่ขนาดไหน ก็สามารถเป่าให้แผลนั้น ประสานติดเป็นเนื้อเดียวกัน โดยไม่มีแผลเป็นหลงเหลืออยู่ ซึ่งดีกว่าศัลยกรรมใหม่หลายเท่า เพราะไม่ต้องเสียเงินซักบาท...
    คาถานี้มีเคล็ดสำคัญ คือต้องใช้ใบตองสดปิดแผล แล้วกลั้นใจว่าคาถาเป่าลงไป ตัวคาถาว่าดังนี้...
    “วะโรวรัญญู วะระโท วะราหะโร อนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ”
    อาตมาภาวนาคาถานี้อยู่เป็นนาน แต่โอกาสทดลองไม่ค่อยมีเพราะไม่ได้รับบาดแผลบ่อยนัก แรก ๆ เป่าลงไป พอเปิดใบตองดู เลือดก็ยังไหลโกรกเหมือนเดิม กว่าจะได้เป่าอีกหน อาจจะสองเดือนครึ่งปีไปโน่น พยายามแล้วพยายามเล่า ในที่สุด ก็สามารถเป่าให้เลือดหยุดไหลได้...
    หลังจากทบทวนว่า ใช้กำลังใจอย่างไร ใช้สมาธิระดับไหน พอแน่ใจแล้วอาตมาก็นอกครู เพราะขี้เกียจไปหาใบตองสด เอามือปิดแผลว่าคาถาเป่าไปเลย...มันง่ายดี...ผลก็คือเป่ากี่ทีก็เลือดนองอย่างเก่า กลั้นใจซะหน้าเขียว เป่าจนตาเหล่ก็ไม่เป็นผล...!
    เลยต้องยอมแพ้ไปหาใบตองมาปิดแผล เป่าปุ๊บเปิดดู เลือดหยุดแล้ว เฮ้อ...แปลว่าคำสั่งครูบาอาจารย์คือพรอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ต้องเทิดไว้เหนือเศียรเหนือเกล้า อย่าได้บังอาจฝ่าฝืนเป็นอันขาด ถ้าเป็นบาดแผลขนาดใหญ่ หัวรั้นนอกครูอย่างอาตมา คงวายชีวาไปแล้ว...
    แต่อาตมาทำคาถาบทนี้ไม่ถึงที่สุด เพียงเป่าให้เลือดหยุดไหลเท่านั้น บาดแผลต้องไปให้หมอเย็บกันเอาเอง เลยไม่ใช่คาถามหาประสาน กลายเป็นคาถาห้ามเลือดไปซะฉิบ...และ ห่างต้นกล้วยไม่ได้เลย ขาดใบตองสดเมื่อไร ต้องปล่อยตามเวรตามกรรมเมื่อนั้น...
     
  11. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    ลิงลม


    ลิงลมที่กล่าวถึงในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง เจ้าตัวน้อยตาโตแสนจะขี้อายนั่นหรอก หากแต่หมายถึงวิชาไสยศาตร์ประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้คาถาหัวใจลิงลม ปลุกตัวเองขึ้นมา หรือให้ครูบาอาจารย์ที่ชำนาญในคาถานี้ทำการสักอักขระหรือรูปลิงลม แล้วปลุกเสกให้...
    วิชาประเภทนี้ ต้องหมั่นปลุกตัวเองอยู่เสมอ หาไม่แล้วเวลาฉุกเฉินขึ้นมา มักถูกเขาเหยียบอาน เพราะของดันไม่ขึ้น ทีตอนไม่ต้องการให้ขึ้น กลับขึ้นได้ขึ้นดี อาตมาเองอยากรู้อยากเห็นมาก ว่าเวลาของขึ้นแล้ว มันจะแน่จริงซักแค่ไหน...!
    นิสัยเชื่อยากแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก กว่าจะยอมเชื่ออะไรซักทีต้องลองแล้วลองอีก ถ้าไปเจอที่เขาดีจริงก็เสมอตัว ถ้าเจอพวกดีแต่คุยโม้เราไม่ติดคุกก็ได้ศัตรูเพิ่มขึ้น การทดลองบางทีก็เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง พลาดพลั้งขึ้นมาตายโหงเอาง่าย...!
    เช่นหลวงพ่อบอกว่า ข้าวตอกพระร่วง มีอานุภาพกันงูได้ อาตมาเชื่อน่ะเชื่ออยู่ แต่ก็ขอลองให้หายคันหัวใจหน่อย คว้าคองูเขียวหางไหม้ตัวเบ้อเริ่ม ปรากฎว่ามันไม่กัดจริง ๆ ตั้งแต่นั้นมา งูอะไรเจออาตมาเป็นเผ่นกระเจิง เพราะถูกไล่จับเล่นเป็นของสนุกไปเลย...!
    เมื่อขึ้นเปลี่ยนกำลังพลที่ฐานหน้าตาพระยา ผบ.ร้อยสั่งทหารทุกนายว่า "อย่ารับของกินของใช้ทุกอย่างจากชาวบ้านที่นี่ พวกนี้เลี้ยงผีและเล่นไสยศาสตร์กันทุกบ้าน...!" อาตมารับทราบ แต่ไม่รับปฏิบัติ ก็มันไม่เชื่อนี่ครับ...!
    ด้วยบารมีหลวงพ่อคุ้มหัว ทำให้อาตมารอดจากยาพิษ ยาสั่ง และอาถรรพ์มืดที่หมอผีพวกนี้ตั้งใจจัดการกับอาตมา เหตุเพราะนำกำลังพลไปปิดตลาดมืด ทำให้พวกเขาหมดทางทำกิน จึงมีหนี้แค้นที่ต้องชำระกัน และทหารโดนเวทย์มนต์ลี้ลับเล่นงานปางตายไปหลายคน...
    เมื่อเข้าเวรดึก อาตมาและเพื่อน ๆ ได้ยินเสียงหวืดหวือ เหมือนกับมีตัวแมลงขนาดใหญ่ บินฉวัดเฉวียนไปมารอบฐาน พอมองไปยังต้นเสียงทั้งที่มืดสนิทก็ยังมองเห็น วัวขี้ผึ้ง ตัวเล็ก ๆ ควบตะบึงอยู่บนอากาศอย่างคึกคะนอง...!
    อาตมาพกธงมหาพิชัยสงครามของหลวงพ่อ จึงไม่ได้หวั่นเกรงเจ้าวัวอาคมแม้แต่น้อย เพียงแต่บอกเพื่อน ๆ ว่า "อย่าทัก" เจ้าวัวร้ายก็หมดช่องทางทำอันตราย ต้องย้อนกลับไปหาเจ้าของในที่สุด อีกคราวหนึ่ง...ทหารยามของร้อย ร.๙๑๐๒ เข้าเวรดึกเช่นกัน...
    เห็นนกประหลาดตัวมหึมา บินพึ่บพั่บมาจับยอดไม้ข้างฐาน ด้วยความกลัวสุดขีดเลยซัดด้วย ปืนกล ๙๓ เป็นชุด เจ้านกยักษ์ตกพลั่กลงมา ผบ.ร้อย และเพื่อนทหารที่ตกใจตื่น แห่กันไปดูแล้วก็พบกับสิ่งสยองขวัญ...!
    เป็นร่างของชายฉกรรจ์ที่มีร่างกายท่อนบนกำยำล่ำสัน กล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ อย่างกับนักมวยปล้ำ ท่อนล่างตั้งแต่หัวเข่าลงไป ถูกมัดติดกันจนเล็กลีบนิดเดียว หน้าตาเหี้ยมแสยะอย่างกับยักษ์มาร แขนสองข้างคล้องกระด้งที่ใช้เป็นปีก..."ผีกระหัง"...!
    แม่นแล้ว...ผีกระหังที่เขาเล่าลือกันนั่นแหละ เห็นแล้วต้องยอมเชื่อว่า มันบินด้วยกระด้งได้จริง ๆ ก็แขนมันแข็งแกร่งออกปานนั้น คว้าคอใครเข้าคงหักทันที ร่างกายมันไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย แต่โดนแรงปะทะของกระสุนปืน กระแทกจนกระดูป่นไปทั้งตัว...!
    จบภารกิจจากแนวหน้า กลับมาพักผ่อนยังที่ตั้งปกติที่ส่วนหลัก เนื่องจากการรบติดพัน ทำให้ทหารเกณฑ์ผลัดที่ ๒ ปี ๒๕๒๒ ค้างปลดเป็นเวลาสามเดือน อาตมาที่เข้าเวรอยู่ จึงผ่อนผันให้พวกเขาหาความสำราญกันได้ อย่าให้มีเรื่องเดือดร้อนก็แล้วกัน...
    อาตมานั่งคิดเบี้ยเลี้ยง ขณะที่ทหารตั้งวงชนแก้วกัน กำลังลงบัญชีเพลิน ๆ เสียงตึงตังโครมคราม และเสียงเอะอะโวยวายไม่ได้ศัพท์ อาตมาพรวดเข้าไปจะห้ามทัพ เพราะคิดว่ามีการเมาแล้วตีกัน กลับเห็นพวกเขาล้อมวงดูอะไรบางอย่าง...!
    ที่กลางวงนั่นเอง...พลทหารสมศักดิ์ หกคะเมนตีลังกาอย่างคล่องแคล่ว บางทีก็หงายหลังเอาหัวชนส้นเท้า แต่มันกลับเดินได้ ปากก็ร้องว่า "อาจารย์...อย่าทำผม...อย่าทำผม" ถามดูจึงรู้ว่าเขาสักลิงลม และฝืนคำครูกินเหล้าเหลือเดนคนอื่น เลยถูกครูเล่นงาน...!
    วิธีแก้ง่ายมาก แค่ตบบ้องหูผัวะเดียวก็หายแล้ว พรรคพวกมันมัวแต่กลัวกันอยู่ ส่วนอาตมานั้น อยากลองดูกับของอย่างนี้มานานแล้ว เลยโดดเข้าล็อคคอ แบกเจ้าตัวดีลอยขึ้นมาทั้งตัว คิดว่าเขาพ้นพื้นจะใช้แรงไม่ได้ มันกลับดิ้นตูมเดียวกระเด็นไปคนละทิศละทาง...!
    ฮ่า...แบบนี้ก็มันสิขอรับ...! ตามปล้ำตามฟัดกันแทบกองร้อยถล่ม พวกทหารเห็นดังนั้นก็เอาด้วย ช่วยกันจับช่วยกันคว้า แต่พ่อเจ้าประคุณเอาแรงบ้ามาจากไหนไม่รู้ เหวี่ยงเอา ออกหัวออกก้อยไปตาม ๆ กัน พลทหารถวิล โมโหเข้า เอาน้ำสาดโครมลิงลมหายจ้อยเลย...!
    รุ่งขึ้น...อาตมาระบมอย่างกับชกมวยไทยมาห้ายก แต่เจ้าตัวแสบไม่เป็นอะไรเลย บอกแค่ว่า "เมื่อคืนผมคงเมามาก หลับไปตอนไหนไม่รู้ตัวเลย..." เออ...ฝากไว้ก่อนเถอะน่า...ของขึ้นอีกเมื่อไหร่เจอกัน...อูย...ระบมทั้งตัวเลยเรา...!
    เครื่องรางของขลังทุกชนิด เป็นที่พึ่งชั่วคราวเท่านั้น ที่พึ่งแท้จริงของเราคือ ทาน ศีล ภาวนา เร่งใช้ปัญญา พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความทุกข์ ความตั้งอยู่ไม่ได้ของร่างกายนี้ ถอนความพอใจในมันเสีย ตั้งใจไปนิพพานกันดีกว่า...!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 สิงหาคม 2012
  12. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ปัตตานุโมทนามัย



    ใน บุญกิริยาวัตถุ ๑๐คือ หนทางแห่งการทำบุญ ๑๐ ประการ ได้บอกวิธีทำบุญทั้งสิบอย่างไว้ ดังนี้...
    ๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน
    ๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการภาวนา
    ๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน
    ๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลืองานบุญผู้อื่น
    ๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้อื่น
    ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการยินดีในผลบุญของผู้อื่น
    ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
    ๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการสอนธรรม
    ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ บุญสำเร็จด้วยการมีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
    โอ๊ย...! เวียนหัว...มีใครจำไ้ด้หมดมั้ยเนี่ย...? ถ้าไม่ชอบของยากจะอ่านข้าม ๆ ไปก็ได้ ในบุญทั้ง ๑๐ อย่างที่ว่ามา การโมทนา บุญคนอื่นน่าจะทำได้ง่ายที่สุด แต่ถ้าลองทำดูแล้วจะทราบว่า มันยากเย็นเข็ญใจเหลือกำลัง เพราะลึก ๆ ในใจแล้ว เรามักมีความอิจฉาริษยา ซ่อนอยู่ เหมือนที่ หลวงวิจิตรวาทการ ท่านกล่าวไว้ว่า..."อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่เราเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้"
    การโมทนาบุญคนอื่นนั้น เจ้าของบุญเขาได้ดีเพียงไร ผู้โมทนาก็จะได้อย่างนั้นด้วย ตัวอย่างคือ พระนางพิมพาราชเทวี ตามโมทนาผลบุญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาทุกชาติ ชาติสุดท้ายพระพุทธเจ้าบรรลุมรรคผล พระนางก็บรรลุไปด้วย...
    ผลบุญชนิดเดียว ที่ผู้รับไม่ต้องโมทนาก็ได้รับ จัดเป็นผลบุญที่พิเศษจริง ๆ คือ บุญจาก การบรรพชาอุปสมบท กล่าวกันว่า แม้ลูกเกิดมาในวันนั้น พ่อแม่ก็แยกทางไป ผู้อื่นเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ ถ้าลูกบวชเมื่อไหร่ พ่อแม่จะได้รับส่วนบุญทันที (ง่ายดีจัง...) ส่วนบุญอื่นต้องโมทนาทั้งสิ้น (ถ้าแค่โมทนายังขี้เกียจ ก็อย่าเอามันเลย...!)
    หลวงพ่อเคยอุทิศส่วนกุศล ให้แก่ผีที่นายนิรยบาลคุมมา พอโมทนาก็พ้นจากการทรมานทุกอย่าง กลายเป็นเทวดาสบายไป นายนิรยบาลเห็นอย่างนั้นก็ขอบ้าง หนีไปเป็นเทวดา ไม่ต้องมาเหนื่อยยาก กับการทรมานสัตว์นรกอีก...(เอาเปรียบกันนี่หว่า...!)
    ผู้ที่มีสิทธิ์โมทนาบุญ (ไม่มีชื่อ ไม่มีบัตร ไม่มีสิทธิ์ นะจ๊ะ) นั้นประกอบด้วย เปรต ๑๒ จำพวก ที่เรียกว่า ปรทัตตูปชีวีเปรต อสุรกาย ๔ ประเภท สัมภเวสี เทวดาทุกชั้น พรหมทุกชั้น (เว้นอสัญญีสัตตาพรหม และ อรูปพรหม ๔ ชั้น) และ พระบนนิพพาน นอกเหนือจากนี้ไม่มีสิทธิ์จ้ะ ต้องรอแก้รัฐธรรมนูญเอ๊ย..ไม่ใช่...รอจนกว่าจะมีสิทธิ์...ฮิ...ฮิ...!
    ผู้ที่โมทนาบุญเขารู้จักเลือก ต้องเป็นการทำบุญที่เป็นบุญจริง ๆ เขาจึงจะโมทนา ถ้าเป็นบุญผสมบาป เขาไม่โมทนาให้โง่หรอก เพราะผลบาปมันจะพาเขาไปทุกข์หนักขึ้น อาตมาเจอมากับตัวเองเลย ตอนนั้น ไปงานทำบุญ ๗ วันของแม่ยายแจ๋ว (เด็กที่ร้านค้าในวัด)
    กำลังสวดมนต์อยู่ดี ๆ แม่ยายแจ๋วก็เดินเข้ามาหา (อย่าลืมว่าแกตายแล้วนะ...แฮ่...) มาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ขอส่วนกุศลเลย อาตมาบอกว่า เขากำลังทำบุญให้ เดี๋ยวโมทนากับลูกหลานก็แล้วกัน ยายผีทีเด็ดตอบว่า "ไก่ที่ท่านจะฉัน มันไม่ได้ตายเองเจ้าค่ะ...!"
    หลวงพ่อท่านไปเจอเทวดาที่หลังวัดคุยกัน หัวหน้าเทวดาถามบริวารว่า "บ้านโน้นเขากำลังมีงานบุญกัน มีใครไปโมทนาบุญกับเขาบ้าง...?" บรรดาลูกน้องทำหน้าเบ้...รายงานว่า "ไม่ไหวหรอกครับ มันเมากันทั้งงาน แถมล้มหมูล้มวัวกันอีกต่างหาก ไม่รับประทานละครับ"...
    อาตมาไปเข้าใจคำว่า โมทนาบุญ ตอนที่พาโยมแม่ไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลราชวิถี ขากลับโหนรถเมล์กลับ มีหญิงสาวคนหนึี่ง กำลังท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที ขึ้นรถที่หน้าห้างโรบินสัน ดูท่าทางเธอแล้วสงสารใจจะขาด ถ้ามีที่นั่งอาตมาคงสละให้เธอทันที...
    ก็พอดี...มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่ง สละที่นั่งให้แก่เธอ อาตมารู้สึกเย็นวาบเข้าไปในอก มันสว่างไสวไปทั้งโลก...โอหนอ...ขณะที่เราอยากทำบุญใจจะขาด แต่โอกาสไม่เปิดให้ ก็มีท่านผู้ใจบุญได้ทำบุญส่วนนั้นแทนเรา...!
    มันชื่นอกชื่นใจบอกไม่ถูก รู้สึกเป็นมิตรกับคนทั้งหมดในโลก อิ่มอกอิ่มใจไปหลายวัน ที่แท้การโมทนาบุญผู้อื่นเป็นสุขเช่นนี้เอง...!
     
  13. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ปัตตานุโมทนามัย



    ใน บุญกิริยาวัตถุ ๑๐คือ หนทางแห่งการทำบุญ ๑๐ ประการ ได้บอกวิธีทำบุญทั้งสิบอย่างไว้ ดังนี้...
    ๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน
    ๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการภาวนา
    ๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน
    ๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลืองานบุญผู้อื่น
    ๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้อื่น
    ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการยินดีในผลบุญของผู้อื่น
    ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
    ๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการสอนธรรม
    ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ บุญสำเร็จด้วยการมีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
    โอ๊ย...! เวียนหัว...มีใครจำไ้ด้หมดมั้ยเนี่ย...? ถ้าไม่ชอบของยากจะอ่านข้าม ๆ ไปก็ได้ ในบุญทั้ง ๑๐ อย่างที่ว่ามา การโมทนา บุญคนอื่นน่าจะทำได้ง่ายที่สุด แต่ถ้าลองทำดูแล้วจะทราบว่า มันยากเย็นเข็ญใจเหลือกำลัง เพราะลึก ๆ ในใจแล้ว เรามักมีความอิจฉาริษยา ซ่อนอยู่ เหมือนที่ หลวงวิจิตรวาทการ ท่านกล่าวไว้ว่า..."อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่เราเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้"
    การโมทนาบุญคนอื่นนั้น เจ้าของบุญเขาได้ดีเพียงไร ผู้โมทนาก็จะได้อย่างนั้นด้วย ตัวอย่างคือ พระนางพิมพาราชเทวี ตามโมทนาผลบุญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาทุกชาติ ชาติสุดท้ายพระพุทธเจ้าบรรลุมรรคผล พระนางก็บรรลุไปด้วย...
    ผลบุญชนิดเดียว ที่ผู้รับไม่ต้องโมทนาก็ได้รับ จัดเป็นผลบุญที่พิเศษจริง ๆ คือ บุญจาก การบรรพชาอุปสมบท กล่าวกันว่า แม้ลูกเกิดมาในวันนั้น พ่อแม่ก็แยกทางไป ผู้อื่นเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ ถ้าลูกบวชเมื่อไหร่ พ่อแม่จะได้รับส่วนบุญทันที (ง่ายดีจัง...) ส่วนบุญอื่นต้องโมทนาทั้งสิ้น (ถ้าแค่โมทนายังขี้เกียจ ก็อย่าเอามันเลย...!)
    หลวงพ่อเคยอุทิศส่วนกุศล ให้แก่ผีที่นายนิรยบาลคุมมา พอโมทนาก็พ้นจากการทรมานทุกอย่าง กลายเป็นเทวดาสบายไป นายนิรยบาลเห็นอย่างนั้นก็ขอบ้าง หนีไปเป็นเทวดา ไม่ต้องมาเหนื่อยยาก กับการทรมานสัตว์นรกอีก...(เอาเปรียบกันนี่หว่า...!)
    ผู้ที่มีสิทธิ์โมทนาบุญ (ไม่มีชื่อ ไม่มีบัตร ไม่มีสิทธิ์ นะจ๊ะ) นั้นประกอบด้วย เปรต ๑๒ จำพวก ที่เรียกว่า ปรทัตตูปชีวีเปรต อสุรกาย ๔ ประเภท สัมภเวสี เทวดาทุกชั้น พรหมทุกชั้น (เว้นอสัญญีสัตตาพรหม และ อรูปพรหม ๔ ชั้น) และ พระบนนิพพาน นอกเหนือจากนี้ไม่มีสิทธิ์จ้ะ ต้องรอแก้รัฐธรรมนูญเอ๊ย..ไม่ใช่...รอจนกว่าจะมีสิทธิ์...ฮิ...ฮิ...!
    ผู้ที่โมทนาบุญเขารู้จักเลือก ต้องเป็นการทำบุญที่เป็นบุญจริง ๆ เขาจึงจะโมทนา ถ้าเป็นบุญผสมบาป เขาไม่โมทนาให้โง่หรอก เพราะผลบาปมันจะพาเขาไปทุกข์หนักขึ้น อาตมาเจอมากับตัวเองเลย ตอนนั้น ไปงานทำบุญ ๗ วันของแม่ยายแจ๋ว (เด็กที่ร้านค้าในวัด)
    กำลังสวดมนต์อยู่ดี ๆ แม่ยายแจ๋วก็เดินเข้ามาหา (อย่าลืมว่าแกตายแล้วนะ...แฮ่...) มาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ขอส่วนกุศลเลย อาตมาบอกว่า เขากำลังทำบุญให้ เดี๋ยวโมทนากับลูกหลานก็แล้วกัน ยายผีทีเด็ดตอบว่า "ไก่ที่ท่านจะฉัน มันไม่ได้ตายเองเจ้าค่ะ...!"
    หลวงพ่อท่านไปเจอเทวดาที่หลังวัดคุยกัน หัวหน้าเทวดาถามบริวารว่า "บ้านโน้นเขากำลังมีงานบุญกัน มีใครไปโมทนาบุญกับเขาบ้าง...?" บรรดาลูกน้องทำหน้าเบ้...รายงานว่า "ไม่ไหวหรอกครับ มันเมากันทั้งงาน แถมล้มหมูล้มวัวกันอีกต่างหาก ไม่รับประทานละครับ"...
    อาตมาไปเข้าใจคำว่า โมทนาบุญ ตอนที่พาโยมแม่ไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลราชวิถี ขากลับโหนรถเมล์กลับ มีหญิงสาวคนหนึี่ง กำลังท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที ขึ้นรถที่หน้าห้างโรบินสัน ดูท่าทางเธอแล้วสงสารใจจะขาด ถ้ามีที่นั่งอาตมาคงสละให้เธอทันที...
    ก็พอดี...มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่ง สละที่นั่งให้แก่เธอ อาตมารู้สึกเย็นวาบเข้าไปในอก มันสว่างไสวไปทั้งโลก...โอหนอ...ขณะที่เราอยากทำบุญใจจะขาด แต่โอกาสไม่เปิดให้ ก็มีท่านผู้ใจบุญได้ทำบุญส่วนนั้นแทนเรา...!
    มันชื่นอกชื่นใจบอกไม่ถูก รู้สึกเป็นมิตรกับคนทั้งหมดในโลก อิ่มอกอิ่มใจไปหลายวัน ที่แท้การโมทนาบุญผู้อื่นเป็นสุขเช่นนี้เอง...!
     
  14. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พบพระองค์ที่ ๑๐

    พระองค์ที่ ๑๐ เป็นใคร...? มาจากไหน...? มีความสำคัญอย่างไร...? หลวงพ่อท่านเล่าให้พวกเราฟังว่า...
    ครั้งหนึ่ง...มีโยมนิมนต์ท่านไปงานทำบุญบ้านที่จังหวัดราชบุรี พระที่ได้รับนิมนต์มีอยู่ด้วยกัน ๙ องค์ มีท่านเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน แต่พอไปถึงบ้านงาน ปรากฏว่ามีพระอีก ๑ องค์ ไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว...
    พระองค์นั้นเป็นพระหนุ่ม ดูแล้วอายุคงจะไม่เกิน ๓๐ ปี รูปร่างหน้าตาดีมาก ผิวขาวอมเหลือง ดูผ่องใสอย่างประหลาด ท่านนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน แม้พระองค์อื่นมากันครบแล้ว ท่านก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกจากที่ ท่านเจ้าคณะจังหวัดจึงนั่งถัดมาเป็นคอสอง ตามลำดับไป จนถึงหลวงพ่อ ที่นั่งปิดท้ายอยู่...
    พอพระองค์นั้นให้ศีล หลวงพ่อเล่าว่า ได้ยินแล้วทึ่งมาก เสียงท่านแจ่มใสกังวาน ฟังไพเราะรื่นหู ชื่นใจจนบอกไม่ถูก อักขระทุกตัวถูกต้องชัดเจน เสียงอย่างนี้ในตำราเรียกว่า “โฆสัปปมาณิกา” คือ มีเสียงไพเราะเป็นที่ชอบใจ ของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย...
    เมื่อกำลังฉันอยู่ ท่านเจ้าคณะจังหวัดถามว่า บวชมากี่พรรษาแล้ว...? พระองค์นั้นส่งหนังสือสุทธิให้ดู ปรากฏว่า ท่านบวชมากว่า ๓๐๐ ปีแล้ว...! ท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีถึงกับพูดไม่ออก เรื่องอื่นที่คิดจะถามเลยไม่กล้าถามต่อ...!
    พอให้พรญาติโยมเสร็จท่านก็ลากลับ หลวงพ่อถามเจ้าของบ้านว่านิมนต์พระองค์นี้มาจากไหน...? เจ้าของบ้านตอบว่า ผมคิดว่ามาด้วยกันกับท่านซะอีก...! เอาละซี...มีเรื่องจนได้แล้วไหมล่ะ... หลวงพ่อบอกให้เจ้าของบ้าน วิ่งลงไปดูซิว่าท่านไปทางไหน...?
    เพิ่งคล้อยหลังลงบันไดไปแท้ ๆ บ้านก็อยู่กลางทุ่งโล่ง ไม่มีที่ให้หลบมุมซักหน่อย แต่พระองค์นั้นหายไปทางไหนไม่มีใครรู้ อย่างกับท่านเหาะเหินเดินอากาศ หรือว่าดำดินได้อย่างนั้นแหละ เนื่องจากเจ้าของบ้านนิมนต์พระ ๙ องค์ แล้วท่านมาเพิ่มเป็นองค์ที่ ๑๐ หลวงพ่อจึงเรียกท่านว่า พระองค์ที่ ๑๐ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา...
     
  15. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    หลวงพ่อเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังนานมากแล้ว จนชักจะลืม ๆ กันหมด อยู่ ๆ ก่อน งานประจำปีของวัดท่าซุง ปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อก็บอกกับลูก ๆ ทั้งหลายว่า งานนี้พระองค์ที่ ๑๐ จะมาโปรด พร้อมกับบรรยายรูปร่างลักษณะให้พวกเราได้ทราบเอาไว้ อาตมาตื่นเต้นมาก ที่จะได้พบกับพระพิเศษอย่างนี้ ชวนพรรคพวกไปวัดก่อนงานตั้ง ๓ วันแน่ะ...!
    หลวงพ่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า จะมีพระดีมาเป็นจำนวนมาก “หลวงตาลา” กับ “หลวงตาบุตร” ก็มาด้วย หลวงตาลารูปร่างสูงใหญ่ผมหงอกประปราย หลวงตาบุตรผอมเล็ก ผิวดำ อาตมากับพรรคพวกยิ่งตื่นเต้นใหญ่...
    วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘ เวลาเช้ามืด...มาตมาตื่นตั้งแต่ตีสาม อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตั้งใจเจริญกรรมฐานตามปกติ แต่วันนี้อารมณ์มันแกว่ง ๆ พิกล นั่งกรรมฐานไม่ได้เอาเลย จึงนั่งแกล้งพรรคพวกจนตื่นนอนไปตาม ๆ กัน พร้อมกับร้องเพลงงึมงำอยู่คนเดียว...
    ธรรมนูญ(อาจารย์ธรรมนูญ นาคส่องแสง) ร้องว่า “โอ้โฮพี่ร้องเพลงเชียวหรือ?” แมมมี (ร.ท.หญิงรมณีย์ พยุงเวช) ที่นอนอยู่ใกล้ ๆ หัวเราะคิก เพราะอาตมาถือศีล ๘ จนผอมกะหร่อง อยู่ ๆ ยอมศีลขาดร้องเพลงเล่น นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก...!
    ทำอย่างไรใจก็ไม่ยอมสงบ อาตมาจึงทิ้งเพื่อน ๆ ให้นอนต่อ เปิดประตูออกไปเพื่อจะเดินเล่น ก็พบกับ สามเณรบุญชุ่ม ทาแกง ยืนจ้องเป๋งอยู่หน้าห้อง...อาตมาถามว่า “หลวงพี่เณรมีธุระอะไรกับผมหรือครับ...?” ท่านไม่ตอบ หันหลังเดินจากไปเฉย ๆ...
    สำหรับเณรองค์นี้ (ปัจจุบันคือ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร วัดพระธาตุดอนเรือง) อาตมาเลื่อมใสท่านมานานแล้ว ทราบว่าท่านเก่งแน่ แต่มาจ้องอยู่ที่หน้าห้องแต่เช้ามืดแบบนี้ ท่านมีอะไรจะบอกใบ้หรือเปล่าหนอ...? อาตมาคิดว่า “วันนี้ต้องมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน” มันรู้สึกสังหรณ์ใจผิดปกติ ตั้งแต่ตอนที่นั่งกรรมฐานไม่ได้แล้ว...
    ประมาณ ๑๗.๓๐ น. เลิกจากการงานของวัดแล้ว พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยอาตมาก็ชวนพรรคพวก ประกอบด้วย ธรรมนูญ แมมมี ติ๋ว (ร.ท.หญิงสิริพร จอมผา ยศในขณะนั้น) ตุ้ม (จำชื่อจริงไม่ได้) นัน (นันฑิญา เหลือถาวรกุล) แข (ดวงแข คชภูมิ) นิพพา (นิพพา สืบสิงห์) คิ้ม (จงกล แจ่มแจ้ง) ออกลาดตระเวนกัน...
     
  16. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    จุดมุ่งหมายคือ ตามหาพระที่หลวงพ่อบอกไว้ ตอนนี้พระอาคันตุกะมาเป็นร้อยองค์แล้ว ลองสำรวจเผื่อจะโชคดี ได้พบองค์ที่เหมือนกับที่หลวงพ่อบอก จะได้ทำบุญกับท่านก่อนคนอื่น (ขนาดเรื่องทำความดีนะเนี่ย ยังไม่ยอมให้คืนอื่นเกินหน้าเล้ย...ตูละหน่าย...)
    จากพระจุฬามณี เดินลัดเลาะเรื่อยมา พบพระหลายองค์แต่ไม่เข้าเค้า บางองค์โดนหมากัดซะเหวอะ ต้องเข้าไปช่วยทำแผลให้กับท่าน (ติ๋วกับแมมมีเป็นพยาบาลทหารอากาศ) จนข้ามมาฝั่งวัดเก่า ซึ่งตอนนั้นยังเป็นป่าอยู่ (ปัจจุบันคือบริเวณที่ตั้งตึกรับแขกทั้งหมด)
    ขึ้นไปปฏิสันถารกับพระหลายองค์ ที่กางกลดอยู่บนศาลาไม้สัก (ปีถัดมาศาลาหลังนี้ถูกไฟเผาซะเรียบเลย) พอสมควรแก่เวลาก็กราบลาท่าน ลงจากศาลาเพื่อไปหาพระที่ตั้งใจไว้ พอเดินมาถึงหน้าโบสถ์เก่า อาตมาก็เห็น...
    พระหนุ่มองค์หนึ่ง ลักษณะท่าทางดีมาก อายุประมาณ ๓๐ ปี นั่งตัวตรงอยู่บนตอไม้ ที่ซึ่งท่านนั่งอยู่เป็นที่เด่นมาก อยู่ห่างจากศาลาไม้สักไม่ถึง ๑๐ เมตร อาตมาเป็นคนสายตาดีเป็นพิเศษ (พวกมือปืนต้องสายตาดีกันทุกคน) แต่เชื่อหรือไม่...? อาตมาเดินมาจนเกือบถึงองค์ท่านแล้ว ถึงได้มองเห็นท่านนั่งอยู่กับลูกศิษย์ ๓ คน...!
    ในสายตาอาตมา พระที่จะขลังต้องแก่ ๆ หน่อย (แบบนี้มีหวังถูกต้มทั้งชาติ) เมื่อเห็นเป็นพระหนุ่ม อาตมาก็จะเดินหลีกไป แต่เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้น...คือ เท้ามันไม่ยอมเชื่อฟัง สั่งให้มันเดินหนี แต่มันกลับพาเลี้ยวเข้าไปหาท่าน โดยที่อาตมาฝืนอย่างไรก็ฝืนไม่ได้...!
    อาตมานั่งลงกราบท่านอย่างเสียไม่ได้ ท่านก็โอภาปราศรัยด้วย ประโยคแรกซึ่งท่านถามอาตมาคือ “เธอมาจากไหน...?” พรรคพวกทุกคนฟังแล้ว สะดุ้งกันแปดตลบ เพราะไปเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสถามเปสการีธิดาเปี๊ยบเลย...!
    อาตมาตอนนั้นทั้งมืดทั้งบอดอย่างสนิท ไพล่ไปตอบท่านว่า “หลวงพี่ต้องการแบบไหนละครับ...? ถ้าจากวัดผมมาจากจุฬามณี ถ้าจากบ้านผมมาจากพระโขนง...” ท่านยิ้มน้อย ๆ พลางว่า “นี่เธอรวนฉันก่อนนะ ขอถามอีกที เธอจะไปไหน...?”
    เพื่อนพ้องทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก...แต่อาตมาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ตอบท่านว่า “ผมมาหาพระดีครับ” “แล้วเจอไหมเล่า...?” อาตมาตอบเป็นเชิงกระทบกลาย ๆ ว่า “ยังครับ” ความหมายคือ พระดีที่ตามหา ไม่ใช่ท่านอย่างแน่นอน...!
    เพราะอะไรจึงมั่นใจอย่างนั้น...? ก็ทันทีที่กราบท่าน อาตมาใช้วิธีดูใจแบบที่หลวงพ่อสอนเอาไว้แล้ว มืดสนิทอย่างนี้เป็นพระดีก็เกินไปละ...(ภายหลังหลวงท่านชมว่าโง่ดีมาก คนที่เราจะดูใจได้ คือคนที่เสมอกันหรือต่ำกว่าเท่านั้น คนที่มีคุณธรรมสูงกว่าถ้าตั้งใจปกปิด เราจะไม่มีวันได้รู้กำลังใจที่แท้จริงของท่านเลย)
     
  17. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    เมื่ออาตมาประกาศสงคราม ท่านก็ลงสนามรบด้วย ลีลาของท่านแม้จะนุ่มนวล แต่ก็สง่างาม เหมือนราชันย์สู่สงคราม ถึงลูกถึงคน เปี่ยมไหวพริบปฏิภาณ มีทั้งลูกล่อลูกชน หากว่าอาตมาไม่มีไม้ตาย คือยามคับขันอ้างว่า “หลวงพ่อยังไม่ได้สอน” มีหวังจอดตั้งแต่ยกแรก ท่านต้อนจนฉิว บ่นว่า “ไอ้ลูกลิงนี่เหลือเกิน ติดมุมแล้วมุดดินหนีก็ยังเอา...!”
    ลูกเล่นลูกฮาของท่านก็เหลือเกิน พรรคพวกส่งเสียงเฮชอบอกชอบใจ นาน ๆ ถึงจะมีพระยอมเล่นด้วยซักที ความเกรงท่านแต่แรกหายไปหมด เหลือแต่ความปีติอิ่มเอิบใจ จึงนั่งเชียร์พระโต้ธรรมะกับฆราวาสอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน...
    จนเกือบสองทุ่ม ฝนเริ่มลงเม็ดเปาะแปะ ท่านก็ขอตัวไปพักผ่อน อาตมาพาพรรคพวกกลับที่พัก ทุกคนแจ่มใสเบิกบานโดยทั่วหน้ากัน อารมณ์ขุ่นมัวแต่เมื่อเช้า หายขาดเป็นปลิดทิ้ง ยังข้องใจกับคำพูดประหลาด ๆ บางประโยคของท่านที่ว่า...
    “ฉันมาจากวัดที่มีพระ” “ฉันมาที่นี่บ่อย แต่เธอไม่ได้เห็นฉันหรอก ฉันมาหาฤๅษีเขา” “ฉันเป็นผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ทุกวันนี้ก็ยังทำหน้าที่พระโพธิสัตว์อยู่” “ฉันคิดว่าคงจะช่วยใครให้พ้นนรกไม่ได้ ฉันมีหน้าที่บอกทางให้เท่านั้น”...ฯลฯ
    รุ่งเช้า... วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๒๘ เป็นวันงานประจำปี พระเถรานุเถระทยอยกันมาตั้งแต่เมื่อคืน บางองค์ เช่น พระพรหมคุณาภรณ์ วัดสระเกศ ถึงกับลงไปฉันก๋วยเตี๋ยว ร่วมกับพระทุกองค์ในวัด อย่างไม่ถือองค์เลย...
     
  18. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    อาตมาทำหน้าที่ประเคนอาหารพระ พอครบถ้วนดีแล้ว นึกถึงหลวงพี่องค์เมื่อคืนขึ้นมา จึงบอกพี่ประทุม (แม่ครัวกองทุน) ว่ามีพระอาคันตุกะกับลูกศิษย์ อยู่ทางฝั่งวัดเก่า ไม่เห็นท่านมาฉันที่นี่ ขออาหารไปถวายท่าน และขอเผื่อลูกศิษย์ท่านด้วย...
    พี่ประทุม (เสียชีวิตไปประมาณ ๓-๔ ปีแล้ว) ก็แสนดี รีบจัดอาหารให้โดยเร็ว เป็นเกาเหลาแห้ง ๘ ชาม อาตมาก็ไม่ทราบว่า ขนไปได้เรียบร้อยในเที่ยวเดียวได้อย่างไร ? (แต่ก็เอาไปแล้วล่ะ) ไม่เห็นท่านบนศาลา จึงชะโงกไปดูข้างนอก แล้วก็ได้เห็น...
    ข้างศาลาที่อาตมาเพิ่งเดินผ่านมานั่นแหละ ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่...อะไรกันวะ? เมื่อกี้เดินมาเราไม่เห็นใครเลยนี่หว่า...รอบศาลาก็ว่างโล่งไม่มีอะไรบัง เราผ่านท่านมาโดยไม่เห็นเลยได้อย่างไรกัน ? ตาถั่วแล้วมั้งตู...?!?
    แต่ว่างานกำลังยุ่ง กระทั่งเวลาสงสัยยังไม่มี กราบเรียนท่านว่า “อาหารวางไว้บนอาสน์สงฆ์ จะฉันเมื่อไรหลวงพี่หาคนประเคนด้วยนะครับ” ท่านตอบยิ้ม ๆ ว่า “เดี๋ยวก็มีคนมาประเคนให้เองแหละ...” อาตมาจึงโกยแน่บไปช่วยงานที่ศาลา ๒ ไร่...
    บนศาลานั้น หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม หลวงพ่อบุญรัตน์ วัดโขงขาว กำลังช่วยหลวงพ่อรับแขกอยู่ อาตมากราบท่านทุกองค์ แล้วไปช่วยงานที่ข้างองค์หลวงพ่อ...
    หลวงพ่อกำลังคุยกับ พล.ท.พิจิตร กุลละวณิชย์ และพล.ท.เทียบ กรมสุริยศักดิ์ สองแม่ทัพภาคอยู่ อาตมาแจกหนังสือของขวัญวันรับสมณศักดิ์ แก่ญาติโยมที่มาทำบุญกัน ผู้คนมากันแน่นขนัดไปทั้งวัด ศาลา ๒ ไร่เล็กเกินไปซะแล้ว...!
    พระเถรานุเถระมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธาน กำลังจะเริ่มเจริญพระพุทธมนต์ พี่สุนันท์ (คุณสุนันท์ เจียรกูล) มากระตุกแขนเสื้อกระซิบว่า “พระองค์ที่ ๑๐ มาถึงแล้ว อยู่ที่ฝั่งวัดเก่าแน่ะ...!”
     
  19. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    อาตมาขนลุกด้วยความดีใจ รีบถามว่าท่านมีลักษณะอย่างไร ? อยู่ตรงไหน ? พอได้รับคำอธิบาย อาตมาก็งงเป็นกำลัง ลักษณะที่บอกมา มันตรงกับหลวงพี่องค์นั้นนี่นา...! ถามด้วยความไม่มั่นใจว่า “แน่ใจแล้วหรือพี่...?”
    “แน่ซิน่า...เมื่อคืนหลวงพี่วัชรชัย (พระวัชรชัย อินทวํโส) เห็นท่านเดินจงกรม เท้าลอยพ้นพื้นตั้งสูง...แล้วตาใหญ่ (คุณอรรถวุฒิ ภาณุพินทุ) ขอถ่ายรูปท่าน เห็นรัศมีออกมาเป็นประกายรุ้งเลย...!” พี่สุนันท์ยืนยันขันแข็ง ขณะที่อาตมายังลังเลใจอยู่...
    เรื่องของเรื่องก็ต้องพิสูจน์กันหน่อย อาตมาลากพี่น้องฝาแฝดมาทำหน้าที่แทน เหลียวมองหาพรรคพวก เห็นแต่ติ๋วกับแมมมีสองคนเท่านั้น คว้าแขนได้ก็ลากวิ่งลิ่วไปเลย อธิบายให้ทราบคร่าว ๆ ว่า พระองค์ที่ ๑๐ มาแล้ว มีคนพบท่านที่ฝั่งวัดเก่า...
    ที่หอกลองข้างศาลาการเปรียญ ซึ่งอยู่ติดกับหอฉันหลังใหม่นั่นเอง “หลวงพี่” นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ มีญาติโยมเข้าแถวยาวเหยียด เพื่อเข้าไปทำบุญกับท่าน อาตมาขี้เกียจเข้าคิวจึงทิ้งเพื่อนทั้งสองเอาไว้ข้างล่าง ตัวเองปีนต้นมะม่วง ขึ้นไปนั่งแปะอยู่ข้างองค์ท่านเลย...
    ท่านเหลือบมาดูนิดเดียว แล้วกล่าวคำพูด ที่อาตมาเข้าใจคนเดียวว่า “มาแล้วรึ...? ตอนนี้ไม่เล่นด้วยแล้วนะ...!” อาตมากราบท่านแล้วมองไปรอบข้าง เห็นท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) พี่ปี๊ด (คุณกัลยาณี ไชยะโท) และใครต่อใครมากันจนแน่นหอกลอง ติ๋วกับแมมมีก็แสดงปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นมานั่งอยู่ข้าง ๆ เมื่อไรก็ไม่รู้...!
    ตรงหน้าท่านมีถุงใบใหญ่ ญาติโยมที่ทำบุญกับท่าน ต่างเอาปัจจัยหย่อนใส่ถุงจนแทบล้น อาตมาหมายมั่นปั้นมือว่า ถ้าท่านไม่เอาไปถวายหลวงพ่อ แบบหลวงปู่หลวงพ่อองค์อื่น ๆ ทำละก็ อาตมาจะ “อัด” ท่านให้หนัก ท่านหันมาพูดยิ้ม ๆ ว่า “ไม่มีทางหรอก...!”
    อาตมาถึงกับสะดุ้ง ท่านรู้วาระจิตผู้อื่นจริง ๆ หรือนี่...? เห็นพี่ปี๊ดถือกล้องถ่ายรูปอยู่ อาตมาเลยอาสาถ่ายรูปท่านให้ รับกล้องมาแล้ว อธิษฐานขออนุญาตในใจ ท่านหันมาบอกว่า “ขอให้คนอื่นเขาได้ยินด้วยซิ...!” อาตมาสะดุ้งกล้องแทบหลุดมือ...!
    พอถ่ายรูปท่านเรียบร้อย อาตมาก็กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระบรมครู ขอ “ดู” ท่านอีกวาระหนึ่ง คราวนี้เห็นแสงสีทองเป็นกรวยสามเหลี่ยม พุ่งจากข้างบนมายังศีรษะของท่าน มันชักจะยังไง ๆ ซะแล้ว ก็เมื่อคืนไม่เห็นแบบนี้นี่นา...
     
  20. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    อาตมามองเห็นใต้สังฆาฏิของท่าน มีลูกประคำโผล่ออกมาจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าท่านคือพระองค์ที่ ๑๐ จริง ๆ และวาสนาบารมีของลูกสามารถเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้จริง ๆ ขอให้ท่านแสดงออก ด้วยการมอบลูกประคำให้แก่ลูกด้วยเถิด...”
    ท่านยิ้มพลางกล่าวเบา ๆ พอได้ยินว่า “ได้ซิ...แต่ไม่ใช่ตอนนี้นะ...คนเยอะ...” ได้ยินแล้วอาตมาหัวใจพองคับอก เป็นท่านจริง ๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อเลย...ท่านมาโปรดลูกหลาน ตามที่สัญญาไว้กับหลวงพ่อจริง ๆ อาตมานั่งดูท่านรับแขกอย่างเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีตอนท่านสั่งให้กันคนออกไปก่อน แล้วยกอาหารมาประเคนด้วย ท่านจะได้ฉันซะที...!
    อาตมารีบขอร้องทุกคน ให้ถอยออกไปชั่วคราว แล้วยกอาหารมาจะประเคนท่าน คนอื่นเห็นอาตมาได้ถวายอาหารท่าน ต่างก็เอาอาหารที่ตนมีอยู่ใส่ถาดร่วมถวายด้วย...ท่านดูถาดที่พะรุงพะรังด้วยอาหารแล้ว ถามยิ้ม ๆ ว่า “นั่นเธอจะเลี้ยงลิงหรือ...?!”
    อาตมาตีหน้าไม่ถูก ท่านรับประเคนแล้ว ไล่อาตมาไปเฝ้าทางขึ้นเอาไว้ อย่าให้ใครขึ้นมารบกวนตอนนี้ อาตมา ติ๋ว แมมมี นั่งเรียงหน้ากระดาน ขวางอยู่ตรงทางขึ้น สับสนไปหมด เหมือนฝันไปทั้งกำลังตื่นอยู่ (ลองกัดลิ้นตัวเองซักทีซิ...จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝัน)
    กำลังคิดเพลินอยู่ ก็มีหลวงตาร่างผอมบางองค์หนึ่ง เดินหลีกคนขึ้นมาข้าง ๆ อาตมา แล้วกราบพระองค์ที่ ๑๐ อย่างนอบน้อม อาตมามีคำถาม ๑๐๘ อยู่เต็มสมอง แต่หลุดปากไปแบบโง่สุดขีดว่า “หลวงตาชื่ออะไรครับ...?”
     

แชร์หน้านี้

Loading...