จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    "พ้นทุกข์แบบฆราวาส" ดร.สนอง วรอุไร

    https://www.youtube.com/watch?v=EfI1xs8U9X4

    Uploaded on Mar 16, 2011

    บรรยายที่งานแสดงธรรม-ปฏิบัติธรรมเป็นธรรม­ทาน ครั้งที่ ๑๙
    จัดโดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ร่วมกับ ชมรมกัลยาณธรรม
    อาทิตย์ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๔
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    จิตคือพุทธะ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (Full.)

    https://www.youtube.com/watch?v=ENslxqWJd1s

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ตามรอยพระพุทธเจ้า 1... แม่น้ำคงคา

    https://www.youtube.com/watch?v=pEMZmvHm4fY&list=PLA034EDF863C178D0
    ตามรอยพระพุทธเจ้า 2...กบิลพัสดุ์

    https://www.youtube.com/watch?v=hnWM6vjYTas&list=PLA034EDF863C178D0&index=2
    ตามรอยพระพุทธเจ้า 3...พุทธคยา

    https://www.youtube.com/watch?v=vj9Ic4m_2ic&list=PLA034EDF863C178D0&index=3
    ตามรอยพระพุทธเจ้า 4...พาราณสี

    https://www.youtube.com/watch?v=YrWGeoz06CA&list=PLA034EDF863C178D0&index=4
    ตามรอยพระพุทธเจ้า 5... กรุงราชคฤห์

    https://www.youtube.com/watch?v=MxgkZGa3qGQ&index=5&list=PLA034EDF863C178D0
    ตามรอยพระพุทธเจ้า 6...ปรินิพพาน

    https://www.youtube.com/watch?v=WO5y0y9KnaA&list=PLA034EDF863C178D0&index=6
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ความเป็นมาของการจาริกแสวงบุญไปยังสังเวชนียสถานของชาวพุทธ

    การแสวงบุญ หรือการจาริกไปเพื่อทำการบูชาสังเวชนียสถาน เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยในสมัยนั้นชาวพุทธจะจาริกแสวงบุญโดยเดินทางมาเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า แต่ในภายหลังมีผู้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ผู้มีศรัทธาควรไปยัง ณ สถานที่ใด เพื่อยังให้เกิดความเจริญใจ (ด้วยศรัทธา เสมือนเข้าเฝ้าพระพุทธองค์) พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบว่า สถานที่ควรไปเพื่อยังให้เกิดความแช่มชื่น เบิกบานใจ เจริญใจ และสังเวชใจเมื่อได้ไป คือ สังเวชนียสถานทั้ง 4 ตำบลดังพระพุทธพจน์ดังต่อไปนี้[1]


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สถานที่ควรเห็น ควรให้เกิดความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธา ๔ แห่งนี้ ๔ แห่งเป็นไฉน คือ สถานที่ควรเห็น ควรให้เกิดความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธาว่า พระตถาคตประสูติ ณ ที่นี้ ๑ พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ที่นี้ ๑ พระตถาคตทรงประกาศธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ณ ที่นี้ ๑ พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ณ ที่นี้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สถานที่ควรเห็น ควรให้เกิดความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธา ๔ แห่งนี้แล ฯ


    พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต - ตติยปัณณาสก์ - ๒. เกสีวรรค - สังเวชนียสูตร

    โดยพระพุทธองค์ได้ตรัสถึงอานิสงส์ของการจาริกแสวงบุญไปยังสังเวชนียสถานด้วยความศรัทธาว่า


    "ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ (สังเวชนียสถาน) มีจิตเลื่อมใสแล้ว จักทำกาละลง ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ"


    — พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร

    หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธาทั้งหลายก็ได้นิยมเดินทางมานมัสการสถานที่สำคัญเหล่า นี้ ดังปรากฏหลักฐานของสมณทูตจากประเทศจีน (เช่น หลวงจีนฟาเหียน พระถังซำจั๋ง เป็นต้น) ที่ได้เดินทางมาจากประเทศจีนเพื่อสักการะสังเวชนียสถานและสถานที่สำคัญใน พุทธประวัติอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงเรื่องราวการเดินของชาวไทยที่จาริกไปพุทธคยาด้วย (พงศาวดารเหนือ) (ซึ่งผู้จาริกได้นำรูปแบบสถาปัตยกรรมของพระมหาโพธิเจดีย์มาสร้างเป็นเจดีย์วัดเจดีย์เจ็ดยอดในตัวเมืองเชียงใหม่) แต่หลังจากพระพุทธศาสนาได้เสื่อมไปจากอินเดีย สังเวชนียสถานและสถานที่สำคัญอื่น ๆ ก็ได้ถูกทิ้งร้างไป ซึ่งในระยะนั้นก็มีชาวพุทธเข้ามาบูรณะบ้างเป็นครั้งคราว แต่สุดท้ายก็ได้ถูกปล่อยทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 จนอนุทวีปอินเดีย (ยกเว้นศรีลังกา) ถูกอังกฤษเข้ามาปกครองเป็นอาณานิคม จึงได้เริ่มมีการเข้าไปบูรณะขุดค้นทางโบราณคดียังสถานที่สำคัญต่าง ๆ ซึ่งถูกทิ้งร้างเป็นเนินดินจำนวนมาก และมีการบูรณะเรื่อยมาโดยศรัทธาทุนทรัพย์ของชาวพุทธบ้าง รัฐบาลอินเดียบ้าง จนในช่วงหลัง พ.ศ. 2500 จึงได้เริ่มมีชาวพุทธทุกนิกายจากทั่วโลกนิยมมานมัสการสังเวชนียสถานและสถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนาในดินแดนพุทธภูมิมากขึ้นจนปัจจุบัน

    ************************************
    การแสวงบุญของชาวพุทธในดินแดนพุทธภูมิ - วิกิพีเดีย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2014
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    อารมณ์ขันพระพุทธเจ้า


    https://www.youtube.com/watch?v=DePijU62P20


    Published on Jan 19, 2013

    ธรรมเทศนา โดยพระอาจารย์ชยสาโร เรื่อง อารมณ์ขันพระพุทธเจ้า ณ บ้านบุญ ปากช่อง นครราชสีมา วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    อารมณ์ขันพระสงฆ์
    พระอาจารย์เสริมเทศน์ตลกมาก

    https://www.youtube.com/watch?v=gpIjX8HHOyI

    พระอาจารย์บุญเสริม เทศน์ตลกเด้อ2

    https://www.youtube.com/watch?v=-RVW5fTcII0
    Published on Jul 13, 2012

    โดย พระครูวิมลธรรมรัตน์( หลวงพ่อบุญเสริม ธมฺมปาโล ) วัดป่ากัลทลิวัน(วัดป่าสวนกล้วย) สาขาที่ 6 วัดหนองป่าพง
    ตำบลสวนกล้วย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    เรื่องตลก ( จากในหลวง )

    ๑.

    ..เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ

    และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด

    แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ"

    แม่ค้าตอบว่า "ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ"
    เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
    ๒.

    ...อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง

    ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลาย ออกแปลกใจ ในการกราบบังคมทูล
    ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน
    เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถาร ถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดี

    จึงมีคำกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า
    บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า. ."
    มาถึงตอนสำคัญ ที่ทรงพบนกในกรง ที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน

    ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า "มีทั้งหมดสามตัว
    พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย

    และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว" เรื่องนี้ ดร.สุเมธ
    เล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะ ไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
    ๓.

    ...เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น
    เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาติ
    นำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกา เป็นรุ่นพิเศษ
    ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"
    ๔.

    ...เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน
    และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้า เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน

    ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่ง กราบบังคมทูลรายงาน ว่า "ขอเดชะ
    ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าพลตรี ภูมิพลอดุลยเดช

    ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"
    เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า

    "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..." ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย
    เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
    ๕.

    ...มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตร ให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
    ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้

    ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า" ในหลวงทรงชะงัก
    ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับอธิการบดีว่า "เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"
    ๖.

    ...เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร
    มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว

    แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า "ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"
    ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"
    ๗.

    ...วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด
    ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท

    ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท แล้วก็เอามือของแกมาจับ
    พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่า ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง

    แล้วก็พูดว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ
    มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่

    กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่
    แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว
    เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า

    "เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"
    ๘.

    ...ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน
    มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา

    คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยว ชาญทางราชาศัพท์
    ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง...อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ" พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า
    "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง" แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า
    หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า
    เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังก ฤษไป
    ๙.

    ...เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์ ของฟ้าหญิงองค์เล็ก
    ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง

    ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์
    นางสนองพระโอฐก็ งง...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า

    แต่ พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ก็ที่แบงค์จริงๆนะ
    ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ... ขนลุกเลย
    ๑๐.

    ..มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร
    อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน

    ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้
    ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า "เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"

    และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ...
    ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป

    พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท
    ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทาน อีกครั้ง

    เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

    ปล. ที่มา คุณบุหงาแป้งล่ำ จาก Bloggang
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ raming2555 อ่านข้อความ
    เรื่องเล่าสไตล์ป๋าToplus99 น่าสนุกดีนิ...อ่านเม้นท์แล้วก็เห็นใจ...
    หลายๆคนยังกลัวตายกันอยู่ ทั้งที่จริงๆแล้วในที่สุด มันก็ตายกันทุกคน
    ภัยพิบัติที่กลัวกันนักหนา มาไม่มา มาเมื่อไร ไม่รู้ แต่เห็นตายกันอยู่ทุกวัน...

    อยากจะบอกว่า ภัยพิบัติที่น่ากลัวมากๆ และควรจะกลัวด้วยจริงๆคือ ภัยแห่งวัฏฏะสงสารนี่แหละนะ...ภัยแห่งการเกิดนี่แหละ...แล้วเวลาที่กำลังหมดไปทุกวัน ทุกชั่วโมง นี่แหละ น่ากลัวมาก...เพราะความประมาท จะพากันหนีไม่พ้นภัยพิบัติอันใหญ่หลวง...สุดท้ายก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดกันไปอีกนับชาติไม่ถ้วนอีก...

    ว่าแต่ภัยพิบัติแบบที่ผมว่านี่ ไม่ค่อยมีใครยักจะกลัว...เห็นมีแต่อยากเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มากมายเต็มไปหมด...อยากจะเกิดมาเป็นใหญ่เป็นโต มีสมบัติมากมาย มีบริวารมากมาย มีฮาเล็มมากมาย...
    สนุกดีเหมือนกันนะ...ตัณหานี่เขาเก่งมาก...มันอิ่มเอิบไปทั่ว มากมายดั่งน้ำในมหาสมุทร ยากจะไปถึงยังที่แห้งได้จริงๆ...

    มหาภัยพิบัติ มันกัดกินจิตวิญญาณและเวลาของชีวิตเราอยู่ตลอด...แต่เรากลับไม่เคยที่จะกลัว ไม่เคยที่จะคิดหนีไปจากมัน...มากลัวแต่น้ำท่วม แผ่นดินไหว...แปลกใจจัง...

    http://palungjit.org/threads/ซูกระแท้ว-แซวกระทู้.529105/
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ..อิทธิพลของสมาธิ...
    ขณะใดที่เราภาวนา แล้วจิตของเราสงบ นิ่ง สว่าง
    หรือไปรู้สึกนิ่งแจ่มๆ อยู่ในจิตในใจก็ตาม

    นั่นแสดงว่า จิตใต้สำนึกของเรากำลังเริ่มตื่นขึ้นแล้ว
    ทีนี้เมื่อเราฝึกต่อเนื่องกันทุกวัน จนคล่องชำนิชำนาญ
    เราสามารถทำจิตให้สงบได้ ตามที่เราต้องการ

    เมื่อจิตสงบลงนิดหน่อย เราจะน้อม
    ไปใช้ประโยชน์ในทางไหนก็ได้
    อยากจะเป็นหมอรักษาคนไข้
    ก็สำรวมจิต อธิษฐานแผ่เมตตาให้คนไข้

    แม้เพื่อนฝูงของเราเจ็บไข้ อยู่ในที่ห่างไกล
    เรานั่งสมาธิสำรวมจิต แล้วอธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้เพื่อนของเรา
    ที่กำลังป่วยไข้ ก็สามารถที่จะหายได้


    โ ด ย : พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
    วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา
    แสดงกระทู้ - อิทธิพลของสมาธิ : พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) • ลานธรรมจักร
    __________________
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    การปฎิบัติจิตเกาะพระ
    พวกเรามอง/จับ/จ้อง/เพ่ง/เกาะ/นึก/ระลึกถึงพระกัน อย่างไร?

    ตรงนี้ผู้เขียนคิดว่า มีอีกหลายคนที่นึกไม่นึก และไม่รู้จะถามว่าอย่างไรดี
    เพราะความไม่ค่อยจะเข้าใจ
    สำหรับผู้ที่ยกจิตไปแล้ว หรือคนที่กำลังปฎิบัติกันอยู่ในเวลาอยู่นี้
    เขาทำกัน
    อย่างไรไม่รู้

    แต่สำหรับผู้เขียนจะปฎิบัติแบบนี้ และขอแนะนำผู้มาใหม่/ปฎิบัติใหม่พร้อมกันไปด้วย คือ
    1.เมื่อเราเลือกภาพพระที่เรารัก ที่เราชอบได้แล้ว
    2.สำหรับผู้มาใหม่/ทำใหม่ๆ ให้มองภาพพระด้วยตาเปล่า มองแบบสบายๆ อย่าไปเพ่งมาก
    แล้วก็หันหน้าไปทางอื่น แล้วลองหลับตาดู และกำหนดจิตดูว่า เป็นอย่างไร
    พอจะจำภาะพระกันได้ไหม๊
    แต่ถ้ายังก็ทำแบบเดิมไปเรื่อยๆ จนกว่าภาพพระนั้นจะเปลี่ยนไป คือเมื่อจิตเป็นสมาธิ
    หรือจิตทรงฌานสูงไปตามลำดับ ภาพพระก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
    ตามความละเอียดจิตของผู้ปฎิบัติ เช่น
    ถ้าจิตทรงฌาน1-2 ภาพพระจะเปลี่ยนไป หรือจิตเขาอาจจะเปลี่ยนภาพพระใหม่ไปเลยก็มี
    แต่ขอให้เราตามใจจิตตนเองนะ เราก็ไปตามหาภาพพระ ที่จิตเขาจับมาได้นั้น
    แล้วให้เรากำหนดจิตดูภาพนั้น ที่จิตเขาเลือก ส่วนจิตจะเลือกดูส่วนไหนของภาพพระก็ต้องตามใจจิตตนเองอีก เราแค่มีสติตามดูเฉยๆ อย่านำสติไปขัดขวางจิตเขา ตามดู ตามรู้จิตเท่านั้น
    อย่างอื่นไม่ต้องทำอะไร
    จิตทรงฌาน3 ภาพพระจะเปลี่ยนสีใสเหมือนแก้ว อันนี้จิตคุณเป็นคนเห็น
    ไม่ใช่ตาเปล่าของคุณแล้ว ตอนนี้ภาพพระจะปรากฎขึ้นเองบ้างแล้ว เป็นระยะๆ
    เรามีแค่สติเท่านั้น
    ใครถึงช่วงนี้ให้เร่งสร้างสติให้มาก โดยให้เราระลึกถึงภาพพระบ่อยๆ
    พอสติมากขึ้นภาพพระก็จะเป็นเป็นสีรุ้ง หรือประกายพรึก
    นี่จิตทรงฌาน4 แล้ว และขอให้เราประคองอารมณ์จิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ
    กระทำทั้งหลับตาและก็ลืมตานะ ทำจิตเกาะพระไม่ทำเฉพาะตอนนอน หรือหลับตา
    3.สำหรับลักษณะการมอง หรือระลึกถึงพระนั้น เป็นอย่างไร ข้อนี้สำคัญมากที่สุด
    ขอให้พวกเรามองพระด้วยปัญญา(วิปัสสนา) มิใช่มองแบบเฉยๆ(สมถะ)
    คือในขณะที่เราจ้องมองภาพพระอยู่นั้น ให้ตาเนื้อมองไปที่ภาพพระ แล้วให้จิตของเรา
    ระลึกไปถึงพระพุทธเจ้าจริงๆ และก็ให้ระลึกถึงคุณงามความดีของพระองค์ท่านด้วย
    แต่ถ้าใครจ้องมองพระแถมน้ำตาไหลนองหน้า อันนี้คุณทำถูกต้องมากที่สุด
    เพราะการจ้องมองภาพพระนี้ เราจะต้องให้เกิดปิติให้ได้ พอเลยปิติไปเล็กน้อย
    จิตจะเข้าสมาธิมากไปจนถึงจิตทรงฌาน
    แต่จะต้องระวังสำหรับผู้ที่เกิดปิติมาก คือน้ำตาจะไหลออกมามากเกินไป
    ขอให้เรามีสติมาก หรือให้นึกถึงลมหายใจ เดี๋ยวน้ำตาค่อยๆหายไปเอง
    มองพระต้องมองให้ลึกซึ้งแบบนี้ ไม่ใช่ให้มองก็มองไปแบบเม่อลอย อันนี้ไม่ถูก
    อันนผู้เขียนจะเจาะลึก ลงรายละเอียดให้มากกว่านี้ เผื่อคนหลังไม่ค่อยเข้าใจ
    คือมองดูภาพพระตั้งนานแล้ว ทำไมจิตไม่รวม ไม่เป็นสมาธิ ไม่เข้าถึงฌานสักที
    4.ผู้เขียนขอผ่านเข้ามาข้อสุดท้ายเลย ก็คือ หลังจากจิตทรงฌานสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
    ตามที่สติเราเกิดมาก และต่อเนื่อง จิตก็จะยิ่งนิ่งมาก จิตก็จะละเอียดมากไปตามลำดับ
    พอจิตฟักตัว(จิตทรงฌานสูงต่อเนื่อง)ได้สักระยะนึง จิตเขาจะเข้าสู่วิปัสสนาเอง
    อันนี้สำคัญระยะตอนปลาย หรือก่อนที่จิตจะยก แต่ถ้าจิตติดสุขจากฌาน
    แต่ถ้าสติผู้ปฎิบัติมีน้อยเกินไป จิตก็จะติดฌานอยู่นานมาก คือทำไมจิตเราถึงไม่ยกสักที
    อย่ากังวล แก้ง่ายนิดเดียว ก็คือ เร่งสติให้เกิดมากๆ จิตจะได้นิ่งนาน
    พอจิตนิ่งนาน จิตก็จะทรงฌานนานตามไปด้วย
    ในขณะที่จิตทรงฌานสูงขึ้นไปเรื่อยนี้ จิตเขาจะทำวิปัสสนา โดยที่ตนเองก็ยังไม่ทราบ
    อย่าลืมนะว่า เราเคยอยู่กับร่างกาย(กายหยาบ)มานาน เรานึกว่าเรามีเราคนเดียวในร่างกาย
    คุณเคยสงสัยกันบ้างไหม๊ว่า เหมือนเรามีสองคนในร่างเดียวกัน
    บางคนยิ่งมากมากกว่าสองคนในร่างเดียวกัน อันนี้ไม่ต้องไปสงสัย
    ผู้เขียนจะเฉลยให้ฟังว่า
    คนนึงก็คือ ตัวคุณ(สติ) คนที่สองที่ว่านี้ก็คือ จิตของคุณเอง
    ส่วนคนที่สามนั้นก็คือ จิตที่แยกตัวออกมา(จิตเกิด-ดับ) ก็คือ เจตสิก
    หรือตัวจิตไปคิดฟุ้งซ่าน
    แต่สำหรับจิตที่ฝึกมาดี หรือจิตพระอรหันต์ ท่านจะเหลือดวงเดียว คือ
    สติรวมกับจิตเป็นหนึ่งเดียวกัน(จิตพุทธะ หรือจิตเข้าถึงสภาวะแห่งธรรมชาติ)
    และตัวจิตจะไม่เกิด-ดับ เพราะจิตปราศจากอาสวะกิเลส
    และข้อสุดท้ายนี้เอง ที่ผมก็ไม่เคยเฉลยให้กับใครฟังมาก่อนเลย
    นอกจากครูเพ็ญ แต่นานมากแล้ว แต่ไม่ทราบว่าท่านจะจำได้ไหม
    สำหรับผู้ที่ยกจิตใหม่ๆจะงงมาก เหตุที่งงก็คือ จิตตนเองยกแบบไม่รู้ตัว
    และตรงนี้นี่ไง ขนาดคนที่จิตยกไปแล้ว ก็ยังรู้สึกงงๆ
    เพราะจิตยกเหนือขันธ์5ตนเอง ก็ยังไม่รู้ตัว
    เพราะเราคือสติ สติก็คือเรา ต่อมาเมื่อสติรวมกับจิต เราถึงจะเห็นจิตตนเองได้
    ต่อไปเมื่อสติ+จิต= ก็จะรู้สึกตัวมากขึ้น นี่คือตัวเราหรือนี่
    สำหรับจิตที่ยกแล้ว อาการ อารมณ์ของสติ+จิต=ตัวเรา จะเปลี่ยนไป
    คือจะยอมทำใจยอมรับสภาพ ยอมรับทุกข์ เข้าใจทุกข์ ไปจนถึง
    ละ ปล่อย วาง กับคำว่า สิ่งสมมุติมากขึ้น โดยที่ตนเองก็ยังงงๆต่อไป
    อีกสักพักหนึ่งเมื่อเรา หรือร่างกายเราปรับตัวได้ง่ายขึ้น
    จิตยกนี่ เรามานั่งนึกยกจิตเองไม่ได้นะ เหมือนคนที่อยากมีดวงตาเห็นธรรมกันน่ะ
    เขาก็ทำไม่ได้กันนะ เพราะเรื่องที่จะเข้าไปเรียนรู้เรื่องทุกข์นั้น เป็นเรื่องของจิตตนเอง
    เวลาเราปฎิบัติธรรม เราจะต้องเอาสติเข้าไปให้ถึงจิตตนเอง
    ตอนนี้สำหรับผู้ที่จิตยังไม่ยกนั้น คุณก็ลองถามตนเองดูกันสิว่า จิตของคุณนั้น
    อยู่ที่ไหน กำลังทำอะไรอยู่?
    ผู้เขียนท้าเลยว่า ตอบไม่ได้กันสักคนเดียว เพราะอะไร
    ก็เพราะว่าคนที่จะเห็นจิตตนเองได้นั้น จะต้องผ่านการฝึกดูจิตมาอย่างช่ำชอง
    แต่ถ้าฝึกดูจิตแล้ว ฝึกแบบสติน้อยกันนะ ชาตินี้ก็ไม่ได้เห็นจิตของตนเอง
    ทำจนตายก็ไม่เห็นจิต เพราะขาดความเพียร+ความต่อเนื่อง นั่นเอง
    แต่ถ้าคุณไม่สามารถมองเห็นจิตประภัสสรของคุณได้นะ ชาตินี้ก็จะไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม

    บางคนถามว่า แล้วดวงจิตเดิมแท้ของตนเองอยู่ที่ไหน อันนี้คนถามหนักเข้าไปอีก
    แค่จิตธรรมดาๆ ก็ยังมองไม่เห็นกัน
    นี่จะมาดู มารู้จิตดวงเดิม หรือจิตประภัสสรกัน ไม่มีทาง

    ฟังให้ดีๆนะ ถ้าพวกเราอยากรู้ว่าจิตตนเองนั้นอยู่ที่ไหน ทำอะไร
    พวกเราจะต้องมีสติมากๆ คือสร้างสติให้มากที่สุดกันก่อน
    เพราะสติเกิดมาก จิตก็เริ่มนิ่ง สติก็จะเริ่มมองเห็นจิต
    ที่แท้ตัวสตินี่เอง คอยไปรับอาสา รับหน้าที่เป็นผู้รายงานเรื่องจิตให้กับเราี่
    เพราะจิตเป็นนาม เราจะเอาตาเปล่าไปมอง ก็มองไม่เห็น
    เพราะฉะนั้น เราจะต้องเอานามไปดูนาม เราจึงจะมองเห็น
    นั่นก็คือ สติตนเอง
    ใครอยากได้บุญใหญ่กัน ก็หัดสร้างสติกันมากเข้าสิ!

    ***ผู้เขียนคิดว่า ได้อ่านบทความอันนี้แล้ว อาจจะหายโง่ หายงงไปหลายคน
    ไม่เข้าใจ ถามมาใหม่ ผู้เขียนจะได้ตอบให้ตรงประเด็น


    ภูทยานฌาน2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2014
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    อดีตชาติในหลวงของเรา
    (คัดลอกบางตอนจากหนังสือธัมมวิโมกข์ หน้า ๙๒-๙๕ ฉบับที่ ๒๑๒ พย. ๒๕๔๑)
    https://sites.google.com/site/sphrathewtheph/Home-31
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
  14. บุญ+ทา

    บุญ+ทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +664
    ขอบคุณมากค่ะอาจารย์ สาธุ อนุโมทามิ ดิฉันเป็นอย่างที่อาจารย์สอนจริงๆ แต่ปิติของดิฉันคือ ขนลุกอย่างแรงมากมายตั้งแต่ศีรษะตลอดตัวทุกครั้งที่มองภาพท่านพ่อ หรือแค่เพียงนึกถึงท่านก็เป็นอย่างที่อธิบาย แค่เขียนถึงอาจารย์ตอนนี้ก็ขนลุกตั้งแต่ศีรษะเหมือนกันค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2014
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    วิธีปฏิบัติจิตเกาะพระ
    ...ธรรมทานจากคุณอุษาวดี จิตบุญ ๓๑
    วิธีการทำจิตเกาะพระ ในแนวทางตนเอง


    1. นึกถึงภาพพระสมเด็จองค์ปฐมสีทอง แว๊บไปนึกถึงตลอดทั้งวัน

    2. ก่อนนอน นึกถึงภาพพระ จนหลับไป

    3. ตื่นนอน นึกถึงภาพพระ จนอารมณ์ใจสบาย จึงลุก

    4. เมื่อภาพพระเปลี่ยนเป็นแก้ว ก็ save ภาพพระที่ใกล้เคียงกับที่เห็น ไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ติดรูปพระไว้ที่โต๊ะทำงาน ในรถ ใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์

    5. อธิษฐาน ขอบารมีท่านพ่อ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ช่วยให้บรรลุ มรรคผลนิพพาน โดยเร็ว ทุกคืน หลังสวดมนต์ และขอให้อย่าลืมนึกถึงพระ ถ้าจะลืมขอให้มีสติระลึกได้

    6. ถวายดอกบัวแก้ว แด่ท่านพ่อ และพระพุทธเจ้า ตอน ก่อนนอน ตื่นนอน ระหว่างวัน ก่อนกินอาหาร

    7. ก่อนกินอาหาร แผ่เมตตาให้ผู้ที่ผลิตอาหารให้เรากิน ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง

    8. ส่วนใหญ่พอนึกถึงภาพพระแล้วอารมณ์ใจสบาย ก็แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร ผู้ที่เราอยากแผ่ให้

    9. รักษาศีล แต่ถ้าเผลอ เช่น บังเอิญไปปัดมดตาย (ไม่ ผิดศีลเพราะไม่เจตนา แต่ขาดสติ เลยไม่ระวัง) ก็ขอขมาพระรัตนตรัย ลูกจะสำรวมระวังในครั้งต่อไป และพยายาม รักษาสัจจะให้เป็นไปตามนั้น

    10. ขอ ขมา พ่อแม่ผู้มีพระคุณที่เราได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ด้วยประการใดๆก็ตาม ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็โทรไปขอขมา ถ้าล่วงลับไปแล้วก็ขอขมากับพระประธานในโบสถ์

    อุษาวดี

    จบ. ๓๑

    ยินดีให้เผยแพร่เป็นธรรมทาน โดยไม่ต้องขออนุญาต
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,466
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037

แชร์หน้านี้

Loading...