จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

วิชั่นของจิต

จิตหยาบย่อมมองเห็นแต่สิ่งหยาบ จึงนิยมแต่เรื่องสมมุติ
จิตละอียดย่อมมองเห็นแต่สิ่งละเอียด จึงนิยมแต่เรื่องสารธรรม

แต่อย่าเพิ่งไปดูถูกคนจิตหยาบเขานะ...

เพราะคนจิตหยาบวันนี้ จะกลายเป็นคนจิตละเอียดในวันข้างหน้า [ASAP]
เพราะก่อนที่จิตละเอียดนั้น เป็นจิตหยาบมาก่อนแทบทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น มหาวิทยาลัยธรรมะของเราก็คือ ขันธ์๕ หรือ รูป๑ นาม๔

โดยมีกิเลสเป็นศาสตราจารย์ ตัณหาเป็นรศ. อุปาทานเป็นผศ.เป็นผู้สอน เป็นผู้ทดสอบ
โดยมีจิตเป็นนิสิตนักศึกษา เป็นผู้สอบ เป็นผู้ถูกทดสอบ

และจะต้องสอบให้ผ่านด้วย แต่มหาวิทยาลัยนี้ไม่มีประกาศนียบัตร
แต่จะมีปฎิเวธ(ผล) หรือมรรคผลนิพพาน เป็นรางวัลตอบแทน

ภูทยานฌาน

 

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า สตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม
ควรพิจารณาเนือง ๆ ถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากบุคคล และของรัก และผู้ที่ทำความดีความชั่วแล้วได้รับผลดีและผลร้าย
เห็นคนแก่ชราภาพ ให้นึกว่า เราก็จะต้องแก่อย่างนั้น จะช่วยบรรเทาความมัวเมาในวัย
เห็นคนเจ็บทุกข์ทรมาน ให้นึกว่า เราก็จะต้องเจ็บอย่างนั้น จะช่วยบรรเทาความมัวเมาว่าตนไม่มีโรค
เห็นคนตาย ให้นึกว่า เราก็จะต้องตายอย่างมากไม่เกิน ๑๐๐ ปี จะช่วยบรรเทาความมัวเมาในชีวิต คิดว่าตัวเองจะอยู่ค้ำฟ้า
เห็นคนประสบความวิบัติจากคนรักและทรัพย์สินเงินทอง ให้นึกว่า ความจากกันนั้นมีแน่ ไม่เขาจากเรา ก็เราจากเขา จะช่วยบรรเทาความยึดติดผูกพันในคนรักและของรัก
เห็นคนผู้ทำความดีและความชั่วแล้ว ได้รับผลดีและผลร้าย ให้นึกว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของตน จะช่วยบรรเทาความทุจริตต่าง ๆ ได้
ดังหลักธรรมดังนี้

อภิณหปัจจเวกขณะ ๕
๑. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
๒. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้
๓. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
๔. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น
๕. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตัว เราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว
อภิณหะ แปลว่า เนือง ๆ เสมอ หรือเป็นประจำ
ปัจจเวกขณะ แปลว่า การพิจารณา คือเก็บเอามาคิดเพื่อให้เข้าใจความจริง
อภิณหปัจจเวกขณะ จึงมีความหมายว่า การพิจารณา หรือการคิดเนือง ๆ เพื่อให้เข้าใจความจริง ครับ สาธุ

 

ว่าแล้ว โดนเข้าให้เต็มๆ นึกแล้วต้องเอามาลง

ขอโมทนาธรรมาทานของคุณแนทด้วยครับ สาธุ

และลูกคนนี้ ก็(กำลัง)พยายามจะช่วยหลวงพ่อฯให้ถึงที่สุด
แต่ตอนนี้ ลูกขอฝึกจิตให้เข้มแข็งและออกจากภัยวัฎฎสงสารของตนเองก่อน
แล้วลูกจะทำตามสัญญา จะทำตามสัจจะ

ลูกขอน้อมจิตก้มกราบแทบเท้าหลวงพ่อฯ ด้วยเศียรเกล้า..สาธุๆๆ

 

ขอโมทนาธรรมาทานของคุณก้องด้วยครับ สาธุ

ทุกครั้งที่นอนดึกดื่นค่อนคืน เพราะจิตปักอยู่แต่คำสอนของพระพุทธองค์
โดยเฉพาะ พระพุทธคุณ คือคุณของพระพุทธองค์นั้น หาที่สุดมิได้

ลูกขอน้อมจิตก้มลงกราบแทบพระบาทพระพุทธเจ้า ด้วยเหนือเศียรเกล้า สาธุๆๆ

 

ภั ย ข อ ง จิ ต

นักปฏิบัติ...ห้ามพลาด !

[ame=http://www.youtube.com/watch?v=BCIN_MtPgxk&sns=em]"ธรรมหลวงตา"...014_ ภัยของจิตคืออะไร - YouTube[/ame]

 

(หากพิจารณาให้ดี จะพบจุดสังเกต ๒ ข้อ )

คือ ๑. เมื่อถูกถามลงไปในขั้นตอนโดยละเอียด ว่าอะไร อย่างไรเกี่ยวกับ ดูกาย ดูใจ

ดูจิต แล้วคำตอบที่ได้ มีความหลากหลายต่างกันไป แต่มีสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ

ต่างก็อ้างว่า มาจากมหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งเป็นทางเอก เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า.

๒. ในแง่ความแตกต่างดังกล่าวนั้น สวนมากมักบอกกันว่า เป็นเรื่องธรรมดา

"แล้วแต่จริต" จะปฏิบัติกันอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ "ไปถึงที่หมายเดียวกัน"

เมื่อมาใคร่ครวญดูแล้วจะพบความแปลกประหลาดช้อนทับอีกครั้งหนึ่ง คือ ทั้ง ๒ ข้อ

นั้นเป็นสิ่งที่ถูก อีกเช่นกันเสมือนเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่าการปฏิบัติที่แตกต่างกัน

นั้นเป็นเรื่องธรรมดา "แล้วแต่จริต" และ "ไปถึงที่หมายเดียวกัน" โดยละเลยการทำความ

เข้าใจที่ถูกต้องชัดเจน ว่าอะไร อย่างไรในความแตกต่างนั้น เหตุการณ์ทั้งสองอย่างนี้

จะไม่มีทางเกิดขึ้นกับอริยสาวก ผู้ประกอบพร้อมด้วยสตาปัตติยังคะ ๔ ผู้ถึงความศรัทธา

อย่างไม่หวั่นไหว ในการตรัสรู้ของ พระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์เป็นอริยสาวกใน

ธรรมวินัยนี้ ถึงการนับว่าเป็นคนของพระพุทธเจ้าโดยไม่มีข้อสงสัยแล้วย่อมที่จะรู้ด้วย

อสาธารณญาณ โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกจากใครอื่นว่าธรรมะที่ถูกบัญญัติโดยพระ

พุทธเจ้านั้น จะมีคุณลักษณะคล้องเกลี่ยวเชื่อมโยงเป็นหนึ่ง.

"ภิกษุทั้งหลาย นับแต่ราตรี ที่ตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาโพธิญาณจนกระทั่ง

ถึงราตรีที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ตลอดเวลาระหว่างนั้น ตถาคต

ได้กล่าวสอน พร่ำสอน แสดงออกซึ่งถ้อยคำใดถ้อยคำเหล่านั้น ทั้งหมด

ย่อมเข้ากันได้โดยประการเดียวทั้งสิ้น ไม่แย้งกันเป็นประการอื่นเลย"

คัดจากหนังสือพุทธวจน อินทรียสังวร (ตามดู ไม่ตามไป)

 

ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 10 คน ( เป็นสมาชิก 6 คน และ บุคคลทั่วไป 4 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]

Natcha@uk, มาลินี UK, Golden Sky, UFO393, Pugsley+, ladylamb


Hello ! Everyone ...

Wow ! It's UK time ...มีแต่ สมาชิก ใน UK เฝ้ากระทู้นะเนี่ย...

 

ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
Kim_UoonSo, Natcha@uk+, มาลินี UK, Golden Sky, UFO393

ที่เมืองไทยตอนนี้ตีสามแล้ว พี่แนทไฟเขียวรออะไรอยู่รึเปล่าน๊า???
คิคิ
หมูเพิ่งสมัครสอบผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเสร็จค่ะ
กำลังคัดภาพลงนะคะ
อดใจรอสักครู่ (ใหญ่) ค่ะ​

 

เราเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณหกโมงเช้าค่ะ
สภาพอากาศก็มีเมฆฝนเต็มท้องฟ้า แต่ฝนไม่ตกตลอดทาง
ระหว่างอยู่บนรถก็สนทนาธรรมกัน
เมื่อใกล้ถึงวัด รอข้ามแพ ก็นึกว่ารถจะรออยู่เยอะมากกว่าปกติ
แต่ผิดคาดค่ะ รถไม่เยอะเท่าไร
และก็รอข้ามแพไม่นานเหมือนคราวที่แล้ว
แถมยังไปถึงวัดเร็วกว่าที่คาดไว้
เหมือนฟ้าฝนเป็นใจ
เทวดาเปิดทางตลอดการเดินทาง

เมื่อมาถึงวัดก็วนหาที่จอดรถอยู่สักพักใหญ่ค่ะ
รถเยอะมาก แต่คนเยอะกว่า... ฮ่าๆ
ผู้คนมาทำบุญเยอะ มหาศาล
อากาศก็ร้อนอยู่พอตัว แต่บรรยากาศในวัดน่าชื่นใจ
คลายร้อนได้เลยค่ะ











บริเวณวัดก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่
แถมยังมีน้องนักเรียนกลุ่มใหญ่มาช่วยเจ้าหน้าที่อีกแรง
เมื่อเรายังหาที่จอดรถไม่ได้เลยขอลงที่หน้าวิหารร้อยเมตร
และก็ไม่รอช้า เดินเข้าโรงทานก่อนเลยค่ะ
สำรวจค่ะ สำรวจ... คิคิ
แม้จะยังไม่ได้ทานอาหารเช้า แต่ก็ไม่อยากพลาดโอกาสสำคัญ
เดินดูรอบๆ งาน
แล้วก็มุ่งหน้าไปยังวิหารร้อยเมตร
ซึ่งก็มีลูกหลานพระทยอยเข้าไปในวิหารเป็นระยะค่ะ













​

 

เมื่อเข้ามาในวิหารก็ไปกราบพระ และกราบสรีระสังขารของหลวงพ่อฯ
ก่อนจะเจอพี่เกษ (Dhammanee) ที่รอพวกเราอยู่ก่อนแล้ว









เข้ามาแล้วก็เจอลูกหลานพระเยอะไปหมดเลยค่ะ
ที่นั่งก็จัดกันเป็นระเบียบ เว้นระยะไว้ให้เดิน
และมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ทุกจุด







​

 

หลังจากนั้นเราก็สอบถามเจ้าหน้าที่
จึงได้ความว่า ได้จัดลำดับไว้ให้แล้ว
ซึ่งมีหมายเลขกำกับอยู่หน้าอาสนะ
เราก็สามารถไปนั่งหน้าหมายเลขที่เราจองไว้ได้เลยค่ะ
(สมาคมจิตเกาะ ได้ลำดับที่ 52 รอบที่ 2)


















พอได้ที่นั่งแล้วระหว่างรอพระมายังพิธี
ก็ถ่ายรูปรอไปพลางๆ ค่ะ
สาธุชนทั้งหลายก็ทยอยกันเข้ามานั่งกันเนืองแน่น
จนแทบจะเบียดกันเลยค่ะ
พลังศรัทธามากมายจริงๆ
​

 

เวลาประมาณ 10.40 น. เริ่มพิธีค่ะ
เจริญพระพุทธมนต์ และถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุ










จากนั้นก็ถึงเวลาถวายเครื่องไทยธรรมของเจ้าภาพชุดแรก














​

 

พิธีรอบแรกเสร็จสิ้นประมาณบ่ายโมงครึ่ง
เพราะหลังจากที่ได้ถวายฯ รอบแรกเสร็จ
สาธุชนก็จะร่วมทำบุญถวายปัจจัยใส่ย่าม
ก็แถวยาวมาก ทำให้เสียเวลาไปเยอะค่ะ
กว่าจะได้เริ่มพิธีถวายเครื่องไทยธรรมรอบที่สอง
จากกำหนดการ 12.30 น. ก็เป็นเวลาประมาณ 13.30 น.

เมื่อคณะพระภิกษุสงฆ์ คณะที่สอง (50 รูป) พร้อมแล้ว
เจ้าภาพก็จุดเทียนบูชาพระรัตนตรัย
และเจริญพระพุทธมนต์
แล้วถวายเครื่องไทยธรรมค่ะ

คณะเราได้ถวายพระสงฆ์รูปที่ 2 นะคะ
เพราะเจ้าภาพถวายมีเยอะ
จึงต้องตัดแถวมา เพื่อประหยัดพื้นที่และเวลาค่ะ



















​

 

ภาพในโพสท์นี้คือ เจ้าภาพรอบที่ 2 ชุดที่ 2 กำลังถวายผ้าฯ
และเราถวายพระสงฆ์รูปที่ 2 โดยพี่เมศ (newwave1959) กับพี่เกษ (Dhammanee)
เป็นตัวแทนคณะของเราถวายฯ นะคะ














​

 

เสร็จพิธีประมาณ 14.30 น. เราก็มาถ่ายภาพหมู...
เย้ย!!! ถ่ายภาพหมู่กันสักเล็กน้อย
จะสังเกตได้ว่าทุกท่านอิ่มบุญกันมาก
โดยเฉพาะพี่เมศ เพราะพุงโตกว่าใคร... คิคิ
(รักดอก จึงหยอกเล่นนะคะ)


(ซ้ายไปขวา - น้องชายพี่เกษ, พี่เกษ, พี่เมศ, พี่ก้อง, พี่เกียรติและครอบครัว)



จากนั้นก็ไปกราบสรีระสังขารของหลวงพ่อฯ กันค่ะ







​

 

แล้วเราก็ออกมาด้านนอก มีคนเดินเต็มไปหมด
ทั้งคนมาทำบุญ ถวายสังฆทานก็มีเยอะเลยค่ะ










พี่เกษ (ผู้ดูแลเรื่องเงินทำบุญของคณะฯ) ก็ไปแลกบัตรทำบุญสังฆทาน
เมื่อได้บัตรแล้วก็ไปยื่นกับน้องนักเรียนค่ะ
น้องๆ ก็จะจัดชุดสังฆทานให้
หลังจากนั้นก็นำบัตรไปยื่นรับพระพุทธรูปมาด้วย
ซึ่งคณะเราถวายสังฆทาน 2 ชุด (ชุดละ 2,000 บาท) ค่ะ





​

 

เมื่อรับชุดสังฆทานพร้อมองค์พระพุทธรูปมาแล้ว
เราก็ตั้งจิตอธิษฐานกันค่ะ

















แล้วเราก็นำถวายพระค่ะ









​

 

หลังจากถวายสังฆทานเสร็จแล้ว เราก็เข้าไปถวายปัจจัย
(เงินทำบุญที่เหลือจากการไทยเครื่องไทยธรรมและสังฆทาน)
ถวายเจ้าอาวาสวัดท่าซุง เพื่อทำบุญทุกกองค่ะ

ท่านเจ้าอาวาสวัด ท่านจำคณะเราได้ด้วยนะคะ
เมื่อครั้งก่อนก็ได้สนทนากันอยู่พอสมควรค่ะ













ร่วมทำบุญแล้วก็ได้รับหนังสือธรรมะ
พร้อมเข็มกลัดรูปหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาคนละชุด
แล้วเราก็แจกจ่ายให้กับทุกคนในคณะฯ ค่ะ
เสร็จแล้วก็สนทนากันสักครู่
ก่อนจะแยกย้ายกันไปทานข้าวที่โรงทานค่ะ
ซึ่งบรรดาแขกทั้งหลายก็ทยอยกันกลับบ้านแล้ว
อาหารก็เหลือน้อยค่ะ
แต่ถึงจะทานไม่อิ่มอะไรมาก
แต่ก็อร่อยค่ะ เพราะอิ่มบุญกันถ้วนหน้า
มีความสุขกันมากๆ ค่ะ ถึงแดดจะร้อนก็ตามที



​

 

หลังจากทานอาหารกันแล้วเราก็ไปกราบพระที่วิหารสมเด็จองค์ปฐมค่ะ
ก่อนจะแยกย้ายกันเดินทางกลับที่พัก













​

 

กว่าจะเดินทางถึงกรุงเทพก็แทบเพลีย
เพราะรถติดช่วงขาเข้า คนที่ไป ตจว. ก็ทยอยกันกลับมาทำงาน
ถึงวันนี้จะเพลียมาก (และหมูได้กินน้อยไปหน่อย ฮ่าๆ) แต่ก็อิ่มบุญมากๆ ค่ะ
รู้สึกเต็มอิ่มมากกว่าครั้งที่แล้ว (ซึ่งครั้งก่อนก็สุดยอดแล้ว)
แต่ครั้งนี้ก็เป็นเพราะเราได้เข้าร่วมพิธีตั้งแต่แรกจนนาทีสุดท้าย
ก็เป็นอะไรที่เราอยากส่งต่อความรู้สึกนี้ให้ทุกท่านที่ร่วมบุญนี้ได้สัมผัสกันค่ะ

ไม่รู้ว่าได้รับบุญจุใจกันรึยังน๊าาาาา พี่ภู พี่แนท พี่เพ็ญ ทุกท่าน??
คนก็เยอะ เวลาก็จำกัดเลยถ่ายภาพมาได้เท่านี้ล่ะค่ะ
หวังว่าคงพอจะถ่ายทอดให้ทุกท่านได้สัมผัสกันได้บ้างนะคะ

โมทนาสาธุกับทุกท่านที่ได้ร่วมโอนเงินทำบุญเข้ามากับทางคณะฯ
และทุกๆ ท่าน ทุกๆ ดวงจิตที่ได้ร่วมโมทนาบุญนี้
ขอบุญนี้จงส่งถึงท่านทั้งหลายให้มากด้วยปัญญา บารมี อริยทรัพย์
และถึงพระนิพพานในปัจจุบันชาติด้วยเทอญ... สาธุ​