จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  2. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    (หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า (วะยะธัมมา สังขารา)สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา(อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ) ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด (อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมา วาจา)นี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้ายของพระตถาคตเจ้า.....
     
  3. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ทางดำเนินสายกลางคือมรรคมีองค์8 เป็นไปเพื่อปรินิพพาน อริยสัจ คือความเป็นจริงอันประเสริฐ 4ประการ ทุกข์คือความไม่สบายกายไม่สบายใจควรกำหนดรู้ สมุทัยคือความอยากอันเป็นเหตุของทุกข์ ควรละ นิโรธคือความดับทุกข์ ควรทำให้แจ้ง และมรรคคือข้อปฏิบัติของความดับทุกข์ ควรทำให้แจ้ง....ท่านทั้งหลายผู้รักษาศีลย่อมไปสู่สุคติ ผู้รักษาศีลย่อมเพียกพร้อมด้วยโภคสมบัติ ผู้รักษาศีลย่อมไปสู่พระนิพพานได้.....ขออนุโมสาธุกับผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทุกท่าน ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆๆขึ้นไปด้วยเทอญ.....
     
  4. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การทำบุญควรมุ่งหมายเพื่อชำระสะสางชีวิต สันดานให้สะอาด

    ให้สะอาดจากความโลม...โกรธ หลง ความตระหนี่ ความริษยา ความเห็นผิด จะได้บุญชั้น

    สูงสุด ได้มากที่สุด ดีที่สุด เลศที่สุด รุดตรงไปถึงนิพพาน สิ้นชาติ สิ้นภพ สิ้นทุกข์ไม่มีทุกข์

    เสียบแทงใจ ร้อยรัดมัดใจ และเผาผานอีกต่อไป...

    -ถึงเวลาแล้วมิใช่หรือ ที่พวกเราชาวพุทธ ควรรีบลุกขึ้นมาทำบุญ สร้างบุญ ให้เกิด

    ในตน ในครอบครัว ในหมู่คณะ ในประเทศชาติ ให้เป็นคนใจบุญ.....

    ...ใจบริสุทธิ์ทั่วกันเถิด...

    -ขอเชิญชวนชวน...มวลมนุษย์...ชาวพุทธเอ๋ย

    -อย่าละเลย ...บุญทาน...การกุศล

    -จงตั้งหน้า ...หาบุญ ...ค้ำจุนตน

    -จะเป็นคน ...ล้ำเลิศ ...ที่เกิดมา

    ...ในที่สุดนี้ อาตมาภาพขออวยพรให้ท่านนักบุญทั้งหลาย จง

    ได้พ่อแม่ใจบุญ...ลูกสาว ลูกชายใจบุญ สามีภรรยาใจบุญ ...ญาติมิตรใจบุญ และมีบุญ

    เป็นเรือนใจไปตลอดชาติคน ตลอดชีวิตคนโดยทั่วกันทุกท่านเทอญ...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงพ่อจรัญ คัดจากหนังสือแสงเทียนสองธรรม...

    ...น้อมกราบนมัสการหลวงพ่อจรัญ และกราบน้อมรับน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนเจ้าค่ะ.
     
  5. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    บุคคล เมื่อยังยึดมั่นอยู่ เพลิดเพลินอยู่ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ต้องถูกมารมัดไว้ ต้องจมอยู่ในกองทุกข์ทั้งมวน เมื่อไม่ยึดมั่นไม่เพลิดเพลิน จึงพ้นจากบ่วงมาร และพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง.......รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเขา ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ ....ขอเสริมเพิ่มอีกนิดหน่อยว่า ขอทุกท่านฝึกสติให้เป็นสติสัมปชัญญะให้รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่กับปัจุบันให้มากๆๆเพราะก็รู้กันอยู่แล้วว่าทุกอย่างมันไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน ลองนึกดูซิว่าขณะที่ตนจะตายนะ ตายในปัจจุบัน หรือตายในอดีต หรือตายในอนาคต ก็เหมือนการที่เรามีสติคอยดึงจิตไม่ให้ออกไปคิดฟุ้งซ่าน กับอดีตที่เอามาเป็นปัจจุบันก็ไม่ได้ และก็อนาคตก็มาเป็นปัจุบันก็ย่อมไม่ได้เช่นกัน เพราะฉนั้นต้องฝึกสติให้รู้เท่าทันจิตแต่ทำเท่านั้นไม่พอหรอกหยุดจิตไม่ได้จริงสิ่งที่จะทำให้จิตนิ่งคือกรรมฐานทำสมาธิให้จิตได้วิปัสนานำสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราในเหตุการที่ผ่านมาหรือปัจจุบันก็ได้ตอนทำสมาธิลองนำมาวิปัสนาดูมองให้เห็นเป็นกฏไตรลัักษณ์ความไม่เที่ยงเราฝึกบ่อยๆให้จิตเห็นว่าทุกอย่างเป็น อนิจัง ทุกขัง อนัตตา อันนี้สำหรับผู้ที่ตัดรูป ตัดนามได้แล้ว จิตผู้นั้นย่อมเข้าถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆ์คุณ เมื่อถึงซึ่งอนัตตาแล้ว คำว่าทำเพื่อตนเองไม่มีหรอก มีแต่อยากจะทำความดีช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากวัฏสังสารเพื่อตอบแทนความดีที่ท่านพ่อ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ หลวงพ่อฤษีลิงดำ ที่ท่านทรงพระบารมี ทรงพระมหาเมตตา ทรงพระมหากรุณาธิคุณ ให้ได้ค้นพบดวงจิตที่แท้จริง......ลูกขอก้มกราบเเทบฝ่าพระบาททุกๆพระองค์ด้วยเศียรเกล้าพระพุทธเจ้าค่ะ...ลูกไม่เคยลืมสัจจะ วาจา ที่ลูกได้ถวายไว้กับท่านพ่อและเบื้องบนว่าจะช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากวัฏสังสารตามสติกำลังที่ลูกมีอยู่ ขอกราบอาราธนาพระบารมีโปรดหมู่มวลมนุษย์วิญญาณทั้งหลายทั่วสากลโลก ให้พ้นทุกข์ มีความสุข มีธรรมมะที่สูงยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ สาธุๆๆๆ
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความสุขภายใน
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายนอกจิตนั้น ซึ่งหาความสงบสุขแท้จริงมิได้เลย
    แถมไม่เป็นบุญกุศล เพราะจิตมีแต่ความสับสนและความวุ่นวาย


    พวกเราอย่าหลงไปตามหาความสุขข้างนอกจิตตน อย่าฝากความสุขตนไว้กับผู้อื่นหรือสิ่งอื่น
    นั่นเท่ากับเราตั้งอยู่บนความประมาทแล้ว เพราะไม่มีใครหรือสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอนนั่นเอง
    ความทุกข์คนเราเกิดขึ้นได้ เพราะสังขารขันธ์หรือความคิด+ปรุงแต่งของตนเป็นหลัก
    นี่เป็นเป็นธรรมดา นี่เป็นธรรมชาติแห่งจิต มิได้ผิด มิได้บาปแต่อย่างใด
    แต่ถ้าพวกเราปฎิบัติธรรมแล้ว จิตย่อมนิ่งสงบสุขได้ จะมากหรือน้อยก็ตามแต่
    และจิตย่อมมีปัญญา ส่วนจะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของตนเอง
    สุดท้ายเมื่อผู้ปฎิบัติเกิดมีดวงตาเห็นธรรม หรือบรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งก็ตาม
    การมองเห็นธรรม มองเห็นทุกข์ มองเห็นกิเลสตน แม้นแต่แยกจิตออกมาจากทุกสิ่ง
    โดยเฉพาะ แยกจิตออกจากขันธ์๕ตน จิตย่อมมองเห็นต่างกันไป
    เพราะจิตมีปัญญญาหรือปัญญาญาณต่างกันนั่นเอง
    เหมือนคนที่ยืนอยู่ที่สูงย่อมมองเห็นมากกว่าคนที่อยู่ต่ำกว่า เป็นต้น
    ผู้ปฎิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน ผู้ปฎิบัติท่านใดอยากรู้ธรรมมากก็ให้ปฎิบัติมาก คืออยู่กับกายใจตนมากๆนั่นเอง
    อย่าไปดู อย่าไปสนใจที่มิใช่เรื่องจิตตนเอง เพราะสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งสมมุติแทบทั้งสิ้น
    แถมไม่เป็นบุญ เป็นกุศล จิตไม่ผ่องใส เพราะมีปลายทางแห่งทุกข์เป็นทีุ่สุด

    ธรรมะ มิใช่ของแปลก มิใช่โฆษณาให้เชื่อ แต่ธรรมก็คือ ความจริงที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติอยู่แล้ว
    แต่มีเอกมหาบุรุษได้ค้นพบ ผู้นั้นก็คือ พระพุทธเจ้าของพวกเรานี่เอง
    ธรรมะ มิใช่ปฎิบัติยากเลย แต่ที่ยากก็คือ การทำให้จิตใจตนนิ่งสงบนี่แหล่ะ
    นี่ไง จึงเป็นที่มาของพระกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองของพระพุทธเจ้า ให้ชาวพุทธทั้งหลายได้มีโอกาสเข้าถึงความนิ่ง ความสงบสุขภายในจิตตนเองได้
    จิตที่ไม่นิ่งสงบย่อมไม่พบความสุขภายในแน่นอน และเข้าไม่ถึงธรรมะอย่างแน่นอน
    เพราะจิตที่มีปัญญาเท่านั้นที่จะเข้าถึงหรือเข้าใจอย่างลึกซึ้ง อย่างคำว่าธรรมะได้
    แต่จิตจะรู้หรือเข้าถึงธรรมะได้นั้น เราจะต้องเจริญสติทำให้จิตใจตนเป็นสมาธิหรือนิ่งสงบให้ได้เสียก่อน

    ***ขออนุญาตเน้นย้ำบ่อยๆกับคำว่า สมาธิจิต หรือจิตนิ่งสงบก่อน เราจึงจะพบตัวปัญญาของตนได้

    ที่สุดของการปฎิบัติธรรมนั่นก็คือ แยกจิตออกมาจากทุกสิ่งให้ได้ โดยเฉพาะขันธ์๕ตนเอง
    ผู้ปฎิบัติจะไปถึงนิพพานหรือไม่ ก็อยู่ที่จิตผู้นั้น สามารถละปล่อยวางตัดหรืออยู่เหนือขันธ์๕ของตนได้ไหม

    ผู้ปฎิบัติธรรมทุกท่าน จงพยายามเรียนรู้และเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังมากระทบจิต
    หรือสิ่งที่กำลังมาทดสอบจิต มองให้เป็นธรรมดาให้ได้
    ในขณะที่จิตตนนิ่งสงบอย่างต่อเนื่องอยู่นั้น จิตกำลังมีปัญญา
    แต่ถ้าจิตนิ่งสงบดีพอแล้ว เดี๋ยวจิตจะไปเรียนรู้ธรรมะภายในจิตของตนเอง
    โดยธรรมะนั้นจะผุดขึ้นมาใหเพิจารณาเป็นเรื่องๆ หรือทีละอย่างๆของเขาเอง
    ซึ่งปราศจากความคิดนึกหรือจิตปรุงแต่งแต่อย่างใด
    และต่อไปนี้ก็อย่าเข้าใจผิดกันผิดๆอีก เพราะการเรียนรู้ธรรมะนั้นต้องอาศัยจิตนิ่งสงบอย่างต่อเนื่อง
    (ขอละหรือเลี่ยงที่จะกล่าวถึงเรื่องฌาน แต่จะเน้นย้ำคำว่าสมาธิหรือจิตนิ่งสงบแทนก็แล้วกัน)

    เพราะฉะนั้น การเรียนรู้ธรรมะจึงต่างกับการเรียนรู้ทางโลก หรือที่เราเรียนรู้มาจากโรงเรียน มหา'ลัยมากนัก ราวฟ้ากับเหวทีเดียว
    การเรียนรู้ทางโลกนั้น อย่างมากใช้แค่สติหรือสมาธิเล็กน้อยเท่านั้น
    ทุกท่านคงเคยได้ยินคำว่า ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด เป็นต้น มันหมายถึงอะไร ทุกท่านเข้าใจหมดแล้ว
    เพราะท้ายที่สุด คนเก่งก้ยังมีความทุกข์อยู่ดี ถึงมีครบในทางโลก แต่ดูเหมือนมันจะขาดอะไรไปอย่างนึง
    นั่นก็คือ จิตนิ่งสงบนั่นเอง ความสุขภายนอกกับความสุขภายในจึงต่างกันมากนัก หาประมาณมิได้
    ผู้เข้าถึงธรรมจริงๆย่อมเข้าใจสิ่งที่กล่าวมาเป็นอย่างดี
    นึกว่ากระผมมาสนทนาธรรม มาแลกเปลี่ยนธรรมปฎิบัติซึ่งกันและกัน
    จิตอยู่กับธรรม อยู่กับพระรัตนตรัยทุกวันนาทีแล้ว คำว่าทุกข์จะไม่ปรากฎเลย
    ผู้ปฎิบัติทั้งหลาย สุดท้าย ต้องก้าวข้ามทุกข์ตนเองให้ได้ก่อนอื่น จึงค่อยมาละคำว่า ปิติ สุข
    และต่อไป จิตเราค่อยๆทรงเอกัคคตารมณ์+อุเบกขาได้เมื่อนั้น
    หรือรวมสติกับจิตให้เป็นหนึ่ง หรือทรงอารมณ์ให้เป็นหนึ่งเดียวเหมือนดั่งพระอริสงฆ์ทั้งหลายนั้นให้ได้
    เมื่อมั่นใจว่าจิตเราสามารถทรงเอกัคคตารมณ์กันได้แล้ว ต่อไปค่อยน้อมจิตเข้าหาพระรัตนตรัย
    โดยเฉพาะ น้อมจิตอยู่กับพระพุทธคุณบ่อยๆ แต่ถ้าผู้ใดสามารถปฎิบัติได้ดังที่กล่าวมาแล้ว
    จิตใจของท่านก็จะพบความมหัศจจรย์แห่งจิตตนเองได้ มิใช่เป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด
    อานิสงส์ตรงนี้ก็คือ จิตจะมั่นคงมาก นิ่งมากกว่าเดิมเยอะทีเดียว เหมือนได้พลังอะไรบางอย่างเข้ามาแทนที่
    และตรงนี้แหล่ะ ที่อยากให้นักภาวนาทั่วไปเข้าถึงกันเยอะๆ
    เพราะในขณะที่จิตเราทรงเอกัคคตารมณ์อย่างต่อเนื่องนี้แหล่ะ ก็คือ การเจริญปัญญาอย่างแท้จริง
    โดยมิต้องมาทำสมาธินั่งหลับตาให้เสียเวลาทำมาหากินเลย สติก็แน่น ปัญญาก็แน่น แล้วจิตใจจะไม่แน่นเชียวหรือ
    บุญกุศลตรงนี้ก็มาก เพราะจิตยิ่งเข้าเขตความนิ่งสงบมากเท่าใด จิตเราก็ตั้งอยู่เฉพาะฝ่ายบุญกุศลตลอดเวลา
    ตราบใดที่จิตของตนตั้งมั่น หรือทรงเอกัคคตารมณ์อย่างต่อเนื่อง
    แล้วจะพบว่าจิตค่อยละหรือชำระล้างอะไรบางอย่างออกไปจากจิต แม้นกระทั่งบุญกุศล จิตก็ค่อยๆละออกมาได้
    นิพพานแห่งจิตก็จะอยู่ตรงนี้แหล่ะ มิใช่ที่ไหนหรือที่อื่นใดเลย คือนิพพานที่จิตตนเอง

    ขอให้ทุกท่านเข้าถึงความสงบแห่งจิตตน เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
    โมทนาสาธุ

    ปล.พยายามพร่ำให้มันสั้นที่สุดแล้วนะ ก็ได้แค่เนี๊ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2013
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระพุทธพจน์ แม้เพียงคำสองคำ

    ...ถ้านำไปใช้นำไปปฏิบัติ ถือว่าได้ทรงพระไตรปิฏก...

    ...หากเราเรียนมามาก ศึกษามาก แต่ไม่ได้ปฏิบัติ...

    ...ก็ได้ชื่อว่าเป็นใบลานเปล่า...

    ...ฉนั้น ขอให้ฟังธรรมแล้วนำมาปฏิบัติ...

    ...จะมีประโยชน์...และชีวิตจะมีคุณค่ามากขึ้น...

    ...คัดจากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ หลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง ช.ม...

    ...กราบนมัสการหลวงปู่เจ้าค่ะ และกราบขอบพระคุณในพระธรรมคำสั่งสอนเจ้าค่ะ.
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เพราะจิตตัวเดียว
    ธรรมะ ที่เราได้รับจะบริสุทธิ์หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับจิตตน
    ธรรมะ ที่เราได้เราจะเยือกเย็นหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับจิตตน
    จะดีหรือจะชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับจิตตนเองทั้งนั้น


    เชื่อหรือไม่ จิตของคนส่วนใหญ่ มิได้อยู่กับปัจจุบัน
    แต่มักจะชอบจมอยู่กับสัญญาหรืออดีต และมักชอบนึกถึงแต่อนาคต

    เชื่อหรือไม่ จิตพระอริยเจ้า ถูกฝึกอยู่กับปัจจุบันมาก โดยไม่สนในอดีตหรืออนาคต
    ย่อมมักจะไปรู้เห็นในอดีตหรืออนาคตได้

    แต่ผู้ที่ไม่เคยฝึกจิตให้อยู่กับปัจจุบันนั้น ก็เลยวิ่งหาแต่อดีตกับอนาคต
    ถามว่าเคยพบอดีตหรืออนาคตของตนเองจริงๆกันสักทีไหม ไม่เลย ใช่ไหม
    ทั้งอดีตหรืออนาคตไม่สำคัญเท่ากับปัจจุบัน เพราะอดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
    มีทั้งดีหรือไม่ดี หรือว่าดีก็นำมาใช้ปัจจุบันก็ไม่ได้
    ส่วนอนาคตก็ยังมาไม่ถึง อนาคตจะดีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับกรรมในปัจจุบันของตน

    แต่ถ้าทุกคนรู้และเข้าใจธรรมะสักหน่อย อาชีพหมอดูคงจะหมดความหมาย
    เพราะคนที่ชอบให้หมอดูทายทักนั้นจะมีประโยชน์อะไร มันจะดีขึ้นไปได้ไหม ถ้าใจเรายังเป็นอยู่แบบนี้
    กรรมในอดีต ไม่มีผู้ใดจะไปเปลี่ยนแปลงได้ เพราะที่เราเป็นอยู่นี้ รับกรรมกันอยู่นี้ คงไม่เป็นเพราะกรรมในครั้งอดีตของตนหรือ

    ส่วนอนาคตจะดีหรือไม่ดี ก็บอกกล่าวกันไปแล้ว
    สังเกตให้ดี คนที่เข้าใจหรือเข้าถึงธรรมะ ย่อมเข้าใจและยอมรับกฎแห่งกรรมเป็นธรรมดา
    แต่คนที่ยังไม่ยอมรับกรรมนั้นก็เพราะว่า ยังไม่เข้าใจธรรมะดีพอ เป็นต้น

    ผมเชื่อว่าจิตใจทุกคนดีหมด เพียงแต่ว่า..มิได้ฝึกจิตกันเท่านั้นเอง
    หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ท่านก็เคยพูดเรื่องจิตใจของคนเราว่า..
    จิตใจคนจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี หรือถูกต้อง ถูกธรรมนั้น มีอยู่ทางเดียวก็คือ..
    จะต้องเจริญพระกรรมฐานเท่านั้น นอกนั้นจะเปลี่ยนให้ดีขึ้นนั้นก็ยาก
    ที่กล่าวมานั้น เฉพาะจิตไม่ดี แต่จิตดีๆนั้นก็มีเยอะ แต่ไม่ได้กล่าวถึงเพราะว่าดีอยู่แล้ว
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ..ขอทำบุญร่วมกับ..
    "โครงการหุ้มทองคำยอดฉัตรพระมหาเจดีย์พุทธคยา"

    ในนามจิตบุญทุกท่าน และทุกๆท่านในกระทู้นี้ด้วยครับ
    ขอโมทนาบุญพร้อมกันครั้งนี้ด้วยนะครับ..สาธุ​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    การปฏิบัติจะก้าวหน้า ถ้าอยู่กับปัจจุบัน


    ถาม : การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้าเลย ?

    ตอบ : ก็มัวแต่กังวลแล้วจะก้าวหน้าได้อย่างไรเล่า
    วิธีที่ดีที่สุดคืออยู่กับปัจจุบัน อย่าไปคิดฟุ้งซ่านกับเรื่องเก่า เขาทำอย่างไรกับเรา เขาจะทำอย่างไรกับเรา ไม่ต้องไปคิด
    ที่ผ่านมาแล้วช่างมัน ยังมาไม่ถึงช่างมัน อยู่กับลมหายใจเข้าออกในปัจจุบัน
    ถ้ารักษาอารมณ์นี้ได้ความก้าวหน้าจะมี ถ้าหลุดจากตรงนี้เมื่อไรจะเริ่มทุกข์ ความก้าวหน้าจะหาไม่ได้อีกต่างหาก

    ถาม : เวลาอยู่คนเดียวไม่มีอะไรให้ยึด ?

    ตอบ : นึกถึง พระพุทธเจ้า ที่ไหนก็ได้สักองค์หนึ่งที่เราเคารพมากที่สุด
    บารมีพระครอบคลุมอยู่ทุกอณูในจักรวาลนี้
    เพียงแต่เราระลึกถึงท่านหรือเปล่า ? ถ้าเราระลึกถึงท่าน ท่านก็อยู่ในจิตในใจเรา พร้อมที่จะสนับสนุนช่วยเหลือเรา ต่อให้เรารู้หรือไม่รู้ก็ตาม
    ขอให้เราเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นแล้วยึดท่านเป็นที่พึ่ง

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม
    (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖
     
  11. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การปฏิบัติในอริยสัจธรรมทั้งสี่ ซึ่งเป็นหลักธรรมอันถูกต้องดีงาม

    และเป็นที่พึ่งอันอุดมสูงสุด ผู้ปฏิบัติด้วยความเข้ทแข็ง ย่อมรู้แจ้งสัจธรรมทั้งสี่โดยรอบ

    ภายในใจถึงความบริสุทธิ์ คำว่า "บริสุทธิ์" นี้ เราเคยได้ยินมานานอะไรบริสุทธิ์เราก็

    ชอบ ยิ่งจิตใจบริสุทธิ์ด้วยแล้วเป็นสิ่งที่ "ร่ำลือ" มาก ประหลาดอัศจรรย์ หาอะไรเสมอ

    เหมือนไม่ได้ในโลกทั้งสาม เพราะฉนั้น พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี

    ซึ่งธรรมชาติบริสุทธิ์ด้วยกัน จึงเป็น "สรณะอันประเสริฐของโลก" โลกได้กราบไหว้บูชา.

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน. ๒๐ ธันวาคม ๒๕๑๘...

    ...คัดจากหนังสืออริยสัจ. กราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงตาเจ้าค่ะ..
     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    เมื่อเราปฏิบัติธรรมนั้น อย่าได้ขาดหลัก ๓ อย่าง คือ

    -ยังความเพียรให้เร่าร้อน

    -การรู้เท่ทัน มีสติอยู่ทุกเมื่อ

    -พยายามยกจิตขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนา อย่าท้อถอย

    ...รู้อารมณ์ กำหนดอารมณ์...

    -ตัวกิเลสก็จะละลายเสื่อมไปเบาบางไปจากขันธสันดานของเรา

    ...คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกไปจากจิตใจของเรา...

    ...ดังคำบาลีที่พระพุทธองค์ทรงตัดไว้ว่า...

    "อาตาปี สัมปะชาโน สติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง"

    ...คำสอนของหลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่...

    ...กราบน้อมรับพระธรรมคำสอนของหลวงปู่เจ้าค่ะ กราบนมัสการเจ้าค่ะ...
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตเปลี่ยน ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปหมด

    แน่นอนที่สุด ถ้าจิตคนเราเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีแล้ว
    ทุกอย่างย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี และถูกต้องไปหมด

    เพราะแน่นอนที่สุด คนเราจะดีได้ด้วยภายในเท่านั้น นั่นก็คือ จิต
    และตอนนี้ก็มีอยู่หนทางเดียวที่พอจะเปลี่ยนแปลงจิตใจของคนเราให้ดีได้ นั่นก็คือ พระกรรมฐาน ๔๐ กอง หรือการเจริญสติภาวนานั่นเอง

    เพราะฉะนั้น จึงใคร่อยากให้พวกเราสนใจจิตของตนเองมากๆ
    เพราะชีวิตเราจะเป็นอย่างไร จะสุขหรือทุกข์ ต่างก็เกิดขึ้นที่ภายในจิตใจของเราทั้งสิ้น

    แต่ทำไม คนส่วนใหญ่หลงไปให้ความสำคัญที่มิใช่เรื่องจิตตนเอง หรือมัวแต่ไปหาความสุขนอกจิตกัน
    เพราะความสุขแบบคนทางโลกนั้น อยากมากก็เป็นแค่ความสุขชั่วครั้งคราวเท่านั้น
    แต่ความสุขที่แท้จริงของจิตคนเรานั่นก็คือ ความสงบ

    อยากให้พวกเราหาเวลาอยู่กับตนเองบ้าง และก็ลองตั้งคำถามให้กับตนเองว่า...
    ตอนนี้จิตใจของเรามันเป็นยังไง สุขหรือทุกข์หรือว่าเฉยๆ
    หัดหยุดคิด หัดสำรวจจิตตนเองกันดูบ้าง ว่าท้ายที่สุด เรา(จิต)ต้องการอะไรหรือไม่ต้องการอะไร
    วันๆนึง คนส่วนใหญ่สนใจแต่เรื่องที่มิใช่จิตตนซะมาก วันๆนึงเอาสติไปวิ่งตามสิ่งสมมุติมากเกินไป
    ที่สุดจิตเราก็เผลอไปยึดเกาะกับสิ่งเหล่าจนเคยชิน(ติดนิสัย)
    เมื่อสติกับจิตเราไปวิ่งตามสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะจิต
    หารู้ไม่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่อน เพียงแต่เรามิได้สังเกตหรือไม่สนใจ
    เพราะสติตามไม่ทัน หรือมีสติไปอยู่กับสิ่งสมมุติซะมากกว่า
    แต่ถ้าคนเราสนใจเรื่องกายใจของตนเองมากสักหน่อยก็จะดีกว่านี้แน่
    เพราะฉะนั้น ถ้าหากผู้ใดนำสติห่างจิตมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความทุกข์เท่านั้น เป็นเพราะอะไร
    ก็เพราะว่า..สติก็เรา จิตก็เราอีก
    แต่พระอริยสงฆ์ท่านเอาสติกับจิตมารวมกัน ที่เรียกว่า เอกัคคตารมณ์
    และตรงนี้แหล่ะ เป็นจุดเดียวที่รวมอารมณ์จิตของคนเราได้ดี หรือเรียกว่า การสำรวมจิตนั่นเอง
    พระอริยสงฆ์ท่านจึงไม่ค่อยทุกข์ร้อนอะไรกับใคร เพราะจิตท่านตั้งมั่น ไม่แยกพลังงานจิต
    จิตเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา ในเวลาเดียวกันนี้ จิตก็จะผ่องใสมาก จิตก็ตั้งอยู่ในแดนบุญกุศลด้วย
    ความปลอดโปร่ง หรือความสบายใจก็เกิดขึ้นทันที เพราะเนื่องจากได้อานิสงส์ที่ทำจิตตนเองนิ่งหรือสงบนั่นเอง

    จุดนี้เมื่อคนเรามีความทุกข์มากก็มักจะหาทางออกไม่เจอ เพราะเรายังช่วยเหลือตนเองไม่ได้
    เพราะยังปฎิบัติธรรมไม่ หรือปฎิบัติธรรมยังไม่สำเร็จ
    ก็เลยไปพึ่งพระสงฆ์ แต่ก็ยังดีที่ไปหาพระหาเจ้า นั่นแสดงว่ายังพอมีบุญค้ำอยู่บ้าง ถึงได้ดลจิตไปหาผู้รู้
    แต่ต้องไปเกาะแต่เฉพาะธรรมะของท่านนะ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง เพราะพวกเรากำลังอยู่ในโลก(ไม่เที่ยง)
    การปฎิบัติธรรมสอนให้เรา(จิต)รู้จักละ ฉลาดละกิเลสตนเอง จิตปัญญาเท่านั้นที่จะพาละทุกสิ่งทุกอย่างได้
    หรือแยกจิตออกมาจากทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ โดยเฉพาะขันธ์๕หรือร่างกายของตนเอง
    เมื่อผู้ปฎิบัติยังละขันธ์หรือร่างกายตนยังไม่ได้ จึงเท่ากับละอย่างอื่นไม่ได้เช่นกัน
    อย่าไปพยายามละอย่างอื่นหรือสิ่งอื่น ไม่มีทาง ตราบใดเรายังละขันธ์๕หรือร่างกายของตนยังไม่ได้
    เพราะต้นตอแห่งกิเลส แห่งทุกข์คนเรานั้นก็คือ ขันธ์๕หรือร่างกายนั่นเอง

    การปฎิบัติจึงเน้นที่ตัวจิตอย่างเดียวเท่านั้น การปฎิบัติธรรมอย่าไปเน้นลีลาหรือท่าทางเยอะ
    โดยเฉพาะมีอัตตาเต็มกำลัง สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของการปฎิบัติธรรมนั่นก็คือ วางตัวตนชั่วคราวก่อน
    มิฉะนั้นจะจบยาก มีดวงตาเห็นธรรมยาก เพราะยังวางตัวกูของกูไม่ลง
    การปฎิบัติธรรม เขาให้ลด-ละกิเลสตน เมื่อจิตวางกิเลสได้มากเท่าไร เราก็จะรู้สึกสบายใจมากเท่านั้น คอยสังเกตดู

    จาก..ป้ายรถเมล์
    (จิตบุญแท้ ต้องไม่ลืมธรรมะป้ายรถเมล์)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 สิงหาคม 2013
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    น้ำพระธรรมนั้นประเสริฐยิ่งกว่าน้ำธรรมดาในโลกนี้

    -น้ำธรรมดาที่มีอยู่ในภาคพื้นในโลกนี้ก็ดี ตกลงมาจากฟากฟ้าก็ดี

    -เขาเอามาดื่มยังเย็นชื่นใจได้ ส่วนน้ำพระธรรมย่อมมีความเย็นยิ่งกว่านั้น

    -น้ำพระธรรมจะตกลงมา ณ ที่ใด อันมนุษย์และเทพย่อมควรบูชา

    ...ใครก็ตามได้แสดงธรรม...เราต้องเคารพ...

    -แม้แต่พระพุทธองค์...ก็ยังเคารพพระธรรม-

    ...ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นธรรมราชาแห่งธรรม...

    ...คัดจากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ พระธรรมมังคลาจารย์ วิ.(หลวงปู่ทอง สิริมังคโล)

    ...กราบนมัสการหลวงปู่ และกราบขอบพระคุณในธรรมะธรรมทานเจ้าค่ะ...
     
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    โทษของการจาบจ้วงพ่อแม่

    ปี 2500 มีนิสิตปริญญาโทจุฬา 30 คนไปที่อ.ค่ายบางระจัน สิงห์บุรี ไปให้แม่ทำครัวเลี้ยงเพื่อนๆ บอกว่า

    "เลี้ยงวันเกิดผม แม่รู้ไหม วันเกิดผม ทำครัวต้องอร่อยด้วยนะ ผมพาเพื่อนมาจากกรุงเทพฯ"

    ก็ทำแบบบ้านนอกจะไปอร่อยอะไร ก็ว่าแม่ เสียดสีแม่ ว่าแม่เสียใจร้องไห้ไปเลยนะ แล้วก็กลับกรุงเทพฯ

    อาตมาจดไว้เลย ดูซิ ลูกจะเกิดอันตรายไหม ไปจ้วงจาบกับแม่เห็นชัด ดูซิว่าจะได้รับกรรมอะไรบ้าง

    ต่อมารับราชการได้แค่ 3 ปี โดนไล่ออก นี่ปริญญาโท เมื่อปี 2500 นานมาแล้ว

    แล้วไปเข้างานบริษัทฝรั่งก็โดนไล่ออก ไปเข้างานบริษัทญี่ปุ่นก็โทนไล่ออกอีก นี่แหละ

    กฎแห่งกรรมจากการกระทำของหลักกรรมเปลี่ยน

    พฤติการณ์ของชีวิตได้ ทำให้เขากลายเป็นคนเหลวไหลไปเลย เรียนที่จุฬาฯ ปริญญาโท เป็นหมันไปเลย

    ทรัพยากรของชีวิตก็หมดไปด้วยตามสภาพของกฎแห่งกรรมจากการกระทำของเขา

    พ่อแม่ตาย น้องสาวยังอยู่ น้องสาวเคยมานั่งกรรมฐานที่วัด -ถามเขาว่าพี่ชายเธอเป็นอย่างไร

    "หลวงพ่อคะ เข้ากับใครไม่ได้เลย" นี่เขาเถียงแม่ อาตมาถึงสอนเด็กอย่าเถียงพ่ออย่าเถียงแม่



    อริโยปวาอันตราย

    -อันตรายเกิดจากการจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล ทรงธรรม

    เช่นพระสงฆ์องค์เจ้า เป็นต้น แล้วก็จ้วงจาบกับครูบาอาจารย์ที่สอนหนังสือ เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้

    จ้วงจาบกับคุณพ่อคุณแม่ เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้แน่นอน

    ยกตัวอย่างให้เห็น มาเล่นกองไฟกินเหล้าเมายากัน นี่ปริญญาครุศาสตร์ เกิดต่อยปากครู ลงไปชกปากครูเลย

    ดูซิ อย่างนี้จะมีอริโยปวาอันตรายเกิดขึ้นไหม -ครูก็ใจดี ครูก็เป็นมหาเปรียญ 6 ประโยค ตอนบวชเณร

    แล้วก็ไปเรียนวิชาความรู้ วิชาครูแล้วมาบรรจุที่วิทยาลัยเทพสตรีนั้น เดี๋ยวนี้ปลดเกษียณไปแล้ว

    "ผมไม่โกรธเขาแล้วครับ เขาต่อยปากผมไม่เป็นไร เขาเมา"

    เราก็เรียกเด็กมาบอก "หนูเป็นบาปไปแล้ว นี่อริโยปวาอันตราย เธอไปขออโหสิกรรมกับครูเสีย"

    ไม่ยอมไปขอ เปลี่ยนพฤติกรรมไปทางเมา เมาแล้วก็เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงชีวิต กลายเป็นคนเหลวไหล

    นี่มันเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เพราะหลักกรรมอันนี้ออกมานี่ชัดเจนมาก ขอเจริญพรนะ อยู่มาไม่ถึง 7 วัน

    ขับมอเตอร์ไซค์ที่ท่าวัง ถูกรถสิบล้อขยี้เลย มอเตอร์ไซต์พังหมด หัวเละ ตายคาที่เลย นี่แหละ อริโยปวาอันตราย

    อันตรายเกิดจากที่จ้วงจาบผู้มีบุญคุณ

    *-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

    วิธีขอขมาพ่อแม่

    ผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข

    ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ ฯ

    ถึงวันเกิดของเราให้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พ่อแม่ คนละ 1 ชุด

    ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ 1 ผืน ตื่นเช้ามาไหว้พระสวดมนต์จบแล้ว

    จัดหาอาหารอย่างดีที่สุดที่พ่อแม่ชอบ ให้พ่อแม่รับประทาน

    เมื่อรับประทานแล้วให้ท่านนั่งบนเก้าอี้พร้อมกัน เอากะละมังใส่น้ำอุ่นมาล้างเท้าพ่อแม่

    เอาสบู่ฟอกให้สะอาดแล้วล้างด้วยน้ำให้สะอาด

    เอาผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ ที่ซื้อมาเช็ดให้แห้ง เอาแป้งโรยให้ทั่วให้หอม เอาเสื้อผ้าที่ซื้อมาให้ท่าน

    เสร็จแล้วพูดว่า "กรรมใดที่ลูกได้ล่วงเกินคุณพ่อคุณแม่ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี

    ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้แก่ลูกด้วยเทอญ"... เสร็จแล้วกราบเท้าท่าน 3 ครั้ง

    เอาเท้าท่านทั้ง 2 คน คนละข้างเหยียบที่ศรีษะเรา แล้วให้ท่านให้พรเรา

    นั่นแหละถึงจะล้างกรรมกันได้ ฟังดูแล้วเห็นว่าไม่ยาก ลองไปทำดูเถอะง่ายนิดเดียว


    Cr...Fb พุทธธรรมนำใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2013
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ระดมพลลูกหลานหลวงพ่อฤๅษี



    พระอาจารย์เล็ก เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เมตตาเป็นประธานนำสวด "พระคาถาเงินล้าน ๑๐๐ จบ" น้อมถวายพระกุศลสมเด็จพระสังฆราชฯ ในโอกาส ๑๐๐ ชันษา ณ มณทป ลานเซ็นทรัล เวิร์ล กรุงเทพมหานคร

    งานนี้จัดโดยสภาศิลปินเพื่อพระพุทธศาสนาฯ ครับ โดยในงานจะมีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่สมเด็จพระสังฆราชประทานมาให้พวกเราได้กราบนมัสการด้วยครับ

    (ย้ำนะครับ ถ้าพลาดงานนี้คงหาโอกาสแบบนี้ยากมากครับ)

    วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2556 เวลา 17.30 น.
    (วันนี้ฤกษ์ 2 ดาว ฤกษ์มหาสิทธิโชคด้วยนะครับ)
    ณ ลานหน้าเซ็นทรัล เวิร์ล เรามีนัดกันครับ


    สิ่งที่คุณจะได้รับ คือ
    1. ได้สวดคาถาเงินล้านเพื่อบูชาพระคุณครู
    2. ได้ถวายกุศลแด่สมเด็จพระสังฆราชฯ (ครบ 100 ชันษา)
    3. หลังสวดเสร็จได้ทำบุญกับพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบครับ (อานิสงส์ประเมินไม่ได้ครับ)

    การเตรียมตัว :
    1. การแต่งกายชุดสุภาพ ถ้าสวมเสื้อขาวได้จะเป็นภาพที่สวยงามมากครับ
    2. เตรียมร่มไปด้วยนะครับ เผื่อฝนตก
    3. เตรียมใจไปครับ

    ใครจะไปช่วยลงชื่ออีกรอบนะครับ (จะประเมินคนคร่าว ๆ ครับ)

    โมทนา


    ***แจ้งข่าวดีให้ทราบ***
    (ร่วมด้วยช่วยกันแชร์ ครั้งหนึ่งในชีวิตครับ)

    *ท่านใดไม่สะดวกลงชื่อไปเจอกันในงานเลยครับ*


    Cr. Fb Motanaboon Palungjit
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2013
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]



    เรื่อง การรับศิษย์ของหลวงพ่อ

    คนที่ต้องการเป็นศิษย์ ไม่ต้องขออนุญาต ขอให้ปฏิบัติตามนี้ อยู่ที่ไหน ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็รับเป็นศิษย์ คือ

    1. ศิษย์ชั้น 3

    พยายามรักษาศีล 5 เสมอ อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง แต่ก็พยายามรักษาให้ครบถ้วนให้มากที่สุดที่จะทำได้ อย่างนี้ ขอรับไว้เป็นศิษย์ชั้น 3 คือ ศิษย์ขนาดจิ๋ว

    2. ศิษย์รุ่นกลาง มีปฏิปทาดังนี้

    มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงสมาธิเสมอตามสมควร ไม่ละเมิดศีลเป็นปกติ อย่างนี้ ขอรับไว้เป็นศิษย์รุ่นกลาง

    3. ศิษย์เอก มีปฏิปทา ดังนี้

    ก. รักษาศีล 5 ครบถ้วนเป็นปกติ
    ข. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่สงสัยในความดีของท่าน
    ค. มีอารมณ์ตั้งมั่นว่า ถ้าตายไปจากคนชาตินี้ ขอไปนิพพานจุดเดียว
    พยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นปกติ

    คำสอน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


    Cr..Fb ลูกสมเด็จพ่อองค์ปฐม
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จัดให้ จัดไป..ธรรมะจัดสรร

    ยังไงๆ ขันธ์๕ หรือร่างกายของเรามันก็เสื่อมลงไปทุกวันๆอยู่แล้ว
    และท้ายที่สุด ก็ต้องถึงคราวตายของเราอย่างแน่นอนที่สุด

    ที่พูดนี่ไม่ใช่อะไรหรอก ชวนมาบวชจิตกันเยอะๆ
    เอาจิตรอดก่อนดีไหม เพราะถึงอย่างไรกายหยาบของเรานี้ต้องถึงกาลอวสานแน่นอน
    ตายแต่กาย แต่จิตมิได้ตายตามไปพร้อมกับจิต เพราะจิตต้องไปต่อ ถามว่า..ไปไหน
    ไปตามกรรมครั้งที่เรายังมีชีวิตอยู่ ทำคุณงามความดีมากจิตย่อมไปสุคติภูมิแน่นอน
    แต่ถ้าทำความชั่วมากกว่าทำคุณงามความดี ที่ไปของจิตหรือวิญญาณเราก็คือ ทุคติภูมิแน่นอน
    เพราะฉะนั้น เมื่อเราเห็นตายที่ตายไปแล้ว มีแต่คนชอบพูดว่า ขอให้ไปสุคติด้วยเถิด
    แล้วมันจะไปไหม เพราะถ้าผู้ตายนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ทำแต่กรรมชั่วทั้งนั้นเลย
    แต่ถ้าผู้ตายทำคุณงามความดีมาก ยังไงๆเขาย่อมไปดี หรือไปสุคติภูมิอย่างแน่นอน พวกเราไม่ต้องไปให้พรก็ได้
    อย่าไปหลอกตัวเราเอง แถมยังไปหลอกกับผู้ตายอีก ส่งบุญให้กับผู้ตายดีกว่าไหม
    แต่ถ้าจิตผู้ตายหยาบมากก็รับบุญไม่ได้อีก เพราะกรรมบดบังมิให้ได้รับ เพราะทุกคน ทุกดวงจิตต้องไปตามกฎแห่งกรรม

    เพราะฉะนั้น ยามที่ยังมีลมหายใจอยู่ก็อย่าติดสุขทางโลก หรือเพลินเพลินจนเกินไป เพราะเรายังไม่ได้ฝึกจิต
    หรือฝึกการไปของจิต เมื่อเราละขันธ์ หรือตายไปแล้วนั้น จะกลายเป็นสัมภเวสีหรือผีเร่ร่อน ไปไหนไม่ได้ไกล
    เพราะตอนมีชีวิตอยู่มิได้สร้างกำลังใจ(บุญบารมี) หรือพลังจิต แล้วจะไปไหนไกลได้
    เพราะเห็นมีแต่บุญหรือบาปเท่านั้นที่ติดตัวเรา(จิต)ไป นอกนั้น(สมมุติทั้งปวง) มิได้ติดตามดวงจิตหรือวิญญาณไปเลย

    เพราะฉะนั้น พวกเราก็อย่าหลงกับความเจริญทางโลกมากนัก อย่าหลงทำอะไรจนเพลิน เช่น ทำงานหาเงิน เลี้ยงดูครอบครัว เป็นต้น
    ปล่อยให้ร่างกายทำงานทางโลกไป แต่ให้เรานำจิตมาเดินมรรคหรือฝึกจิตให้นิ่งสงบ จิตจะได้อยู่กับทางธรรมหรือความจริงบ้าง
    ขอให้ทำคู่ขนาดกันไประหว่างทางโลกกับทางธรรม จะได้ไม่เสียเวลา
    ปฎิบัติอยู่กับทางโลกนี่แหล่ะถึงจะได้ผลไวดี เพราะมีสิ่งกระทบจิตหรือคอยมีสิ่งทดสอบจิตเราไปด้วย
    ไม่ใช่ทำแต่สมาธิหลับตาปี๋ หรือทรงฌานทั้งวันทั้งคืน อันนั้นเสียเวลาแน่ เพราะถ้าเข้าฌานลึกแล้วเราจะทำงานทางโลกไม่ได้เลย
    พอกลับมาทำงานทางโลก ฌานก็จะถดถอดอีกแล้ว กลับไปทางโลกเช่นเคย ฌานก็แค่หินทับหญ้า ผู้ปฎิบัติก็ทราบกันดี
    ปฎิบัติธรรมแบบฆราวาสแหล่ะดี เพราะผลของการปฎิบัติก็คือ ภาคสนาม ไม่ใช่แค่สอบผ่านทฤษฏีเพียงอย่างเดียว

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านด้วยเทอญ..สาธุ
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สอบไม่ผ่าน อย่าหลงไปโทษมาร

    สิ่งที่มาทดสอบจิต หรือสิ่งที่มากระทบจิตของเหล่านักภาวนานั้น มิใช่มาร
    แต่เป็นครู เป็นข้อสอบของเราเองโดยตรงต่างหาก


    ถ้าไม่มีสิ่งใดมาทดสอบจิตเลย แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสอบผ่านหรือไม่ผ่าน เมื่อเจอกับเหตุการณ์จริงๆ

    ทำสมาธิแบบลืมตานี่แหล่ะดีมากๆ เพราะว่าทำไปก็เจอสิ่งทดสอบหรือกระทบจิตทันทีเลย
    ในขณะที่จิตของเรานิ่งได้ที่แล้ว ซึ่งจุดตรงนี้จิตจะมีปัญญาและวิปัสสนาหาความจริงได้เลย
    เพราะการปฎิบัติธรรมก็อย่าเน้นสมถะหรือสมาธิเพียงอย่างเดียว
    เมื่อไหร่จิตเราเป็นสมาธิ ก็หัดวิปัสสนาต่อเลย
    ไม่ว่าเราจะรู้หรือเห็นอะไรมาก็ตาม ให้พิจารณาธรรมคือตัดลงไตรลักษณ์ให้หมดเลย
    เดี๋ยวเมื่อเราฝึกอย่างนี้บ่อยๆแล้ว จิตจะเกิดความเคยชิน
    แล้วเราค่อยๆมองเห็นสิ่งต่างๆ เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไปเอง
    เพราะฉะนั้น นักภาวนาก็อย่าไปเอาแต่สมาธิอย่างเดียว (หมายถึงผู้ที่จิตเป็นสมาธิแล้ว)
    ก็อย่าไปเอาแต่ปิติหรือสุข ติดปิติสุขได้ แต่อย่านาน เพราะเราจะต้องเจริญในธรรมให้สูงขึ้นยิ่งๆขึ้นไป
    การปฎิบัติเขาให้เราละไปทีละอย่างๆ เมื่อจิตเราพบเจอกับสิ่งใด ก็ค่อยๆละไปตามกำลังใจ
    อย่าลืม จิตจะละทุกสิ่งทุกอย่างได้นั้นก็ด้วยปัญญา เราจะมาละที่ปากหรือคำพูดของเราไม่ได้
    เพราะผู้ที่ทำหน้าที่ละ-ปล่อย-วางกับทุกสิ่งนั้นก็คือ จิต มิใช่เรา

    สำหรับหูไม่กระดิกในธรรม หรือไม่เข้าใจธรรมะนั้น ไม่มีผู้ใดผิดหรือถูก
    แต่จะให้หูกระดิกในธรรมหรือเข้าใจธรรมอย่างลึกซึ้งได้นั้นก็คือ ต้องทำให้จิตตนเป็นสมาธิก่อน
    ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็ยากที่จะเข้าหาธรรมหรือเข้าใจธรรมได้
    เพราะจิตตัวเดียว
    ใครอยากจะออกจากทุกข์ของตนได้ ใครอยากเข้าถึงธรรมหรือเข้าใจธรรมอย่างลึกซึ้ง
    โน้นเลย ไปค้นหากองกรรมฐานที่ถูกจริตตนแล้วนำมาปฎิบัติ
    ปฎิบัติจนจิตนิ่งสงบเมื่อไหร่ เราถึงจะพบจิตหรือดวงจิตของตนเอง
    เมื่อพบจิตตนเองแล้ว จิตย่อมมีความละเอียดหรืออ่อนนุ่ม
    ต่อไปจิตจึงจะยอมรับธรรมะหรือความจริงได้ ทุกท่านคงได้ยินจนชินหูว่า..สติมาปัญญาเกิด
    เมื่อปัญญาเกิดเราก็จะรู้ธรรมะหรือความจริงนั้นๆได้ แล้วจิตจะค่อยๆเรียนรู้ไป
    สักวันหนึ่งจิตก็จะค่อยเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่มากระทบจิตตนเองได้ อย่างสบายเลย

    นี่ก็คือที่มาของจิตละปล่อยวาง
    แต่กว่าจิตจะละปล่อยวางหรือยอมรับกับสิ่งกระทบจิตได้ มิใช่เรื่องง่าย
    เพราะจู่ๆเราจะมายอมรับอะไรง่ายๆไม่ได้ เวลาเจอบททดสอบจริงๆ ไม่เห็นจะสอบผ่านกันได้ง่ายๆเลย
    ยกเว้น จิตอรหันต์หรือพระอริยสงฆ์หรือผู้ที่ฝึกจิตมาดีแล้วย่อมสอบผ่านได้ง่าย
    ดูเหมือนละปล่อยวางง่าย แต่ถ้าผู้ใดมิได้ฝึกจิตมาดีย่อมละปล่อยวางทันทีทันใดมิได้
    ก็ด้วยเหตุผลนี้
    ส่วนการปฎิบัติจริงต้องนำจิตมาเดินตามมรรค หรือศีล สมาธิ ปัญญานี้เท่านั้น
    จึงจะออกจากทุกข์ของตนเองได้ เกิดมีดวงตาเห็นธรรม
    โดยเฉพาะ เรื่องศีลธรรมจะสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับการปฎิบัติ หรืออยู่ที่ความละเอียดแห่งจิตตนเอง

    ไม่มีผู้ใดหลุดพ้นกฎแห่งกรรม แต่อย่าลืม เหนือฟ้ายังมีฟ้า
    แต่กรรมจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีได้เฉพาะผู้ปฎิบัติธรรม
    กรรมจะค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีก็เพราะธรรม ธรรมเขาค่อยๆเปลี่ยนจิตใจไปทางที่ดี
    อนาคตจะดีหรือไม่ก็อยู่ที่กรรมปัจจุบัน ส่วนกรรมอดีตนั้นอย่าไปคิดแก้ไข
    เพราะธรรมจะค่อยๆเปลี่ยนกฎแห่งกรรมของตน

    คนที่จะอยู่เหนือโลกหรือเหนือกฎแห่งกรรมนั้นได้ก็คือ ยกจิตให้พ้นจากขันธ์๕
    กฎแห่งกรรมจะมีผลแค่กายหยาบเท่านั้น
    มีแต่ทุกขเวทนาทางกายเท่านั้น ไม่มีทุกขเวทนาทางจิต
    นี่คือที่มาคนเหนือโลก

    โมทนาสาธุกับผู้ปฎิบัติธรรมทุกท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
    หรือตามที่จิตตนปรารถนาทุกประการด้วยเทอญ...สาธุ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อมตะแห่งธรรม
    เพราะไม่มีสิ่งใดมีค่าเท่ากับพระธรรมของพระพุทธเจ้าอีกแล้ว

    ขอให้ทุกท่านอย่าเป็นเหมือนไก่ได้พลอย ลิงได้เพชร เพราะไม่เห็นค่า
    เมื่อเกิดเป็นคนก็อย่าเสียชาติเกิด อย่าหลงไปให้ความสำคัญกับเงินทอง เพชรพลอย หรือสิ่งสมมุติอื่นๆ
    เพราะสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งกว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือ พระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง
    นี่คือความจริง นี่คือสิ่งที่นำติดตัวไปใช้ได้ทั้งทางโลกและทางโลกทิพย์(โลกแห่งวิญญาณ) นอกนั้น ไม่มี

    จิตอยู่กับธรรม(ความจริง) อยู่กับพระรัตนตรัยให้มากแล้วจะไร้ทุกข์ไปเอง
    เป็นชาวพุทธ ไม่รักษาศีลก็เป็นได้แค่ชาวพุทธครึ่งเดียว
    เป็นชาวพุทธไม่ปฎิบัติตามพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็เห็นมีแต่จะทุกข์เท่านั้นเอง


    ยามว่างก็ลองถามตนเองกันดูนะว่า...เราเป็นชาวพุทธแบบไหน
    รักพระพุทธเจ้าไหม รักมากแค่ไหน
    ปากก็พร่ำว่ารักๆๆ เคารพๆๆ เลื่อมใสๆๆ ศรัทธาๆๆ
    แต่ทำไม..ไม่ปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    เหมือนเราบอกว่ารักลูกรักเมีย แต่การกระทำกลับสวนทาง
    เหมือนเราบอกว่ารักพ่อแม่ แต่กลับไม่ไปเหลี่ยวแล ดูแลท่านเลย

    อยากให้ชาวพุทธมีสติเยอะๆ มิใช่มีตังค์เยอะๆ แต่ไร้สติ มันก้หมดความหมาย
    เรารู้วันเกิด แต่ไม่รู้วันตาย ทุกคนรู้ว่าเกิดมาแล้วจะต้องตายแน่ แต่ไม่รู้จะตายวันไหน เวลาใด
    แต่ถ้าหมดลมเมื่อใด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปทั้งหมด มันก็หมดความหมาย
    มีฐานะร่ำรวย มีเกียรติ มีลาภยศ มีสรรเสริญก็นำไปไม่ได้ ต้องทิ้งไว้ชาตินี้
    มีคนรักหรือมีคนที่รักเรา อย่างมากพวกเขาก็ส่งเราแค่ เมรุ หรือหลุมฝังศพเท่านั้น
    พอรู้ว่าเราตายแล้ว ทุกอย่างก็หยุดหมด บุญกุศลก็หมดโอกาสสร้างแล้ว

    อย่าลืม ให้นึกถึงตอนเกิดมาลืมตาดูโลก เราไม่มีอะไรติดตัวมาเลยสักชิ้นเดียว
    เวลาไป(ตาย)ก็ไปแต่ผู้เดียวอีก
    แต่โลกหลังความตายนั้นมันช่างน่ากลัว เพราะเมื่อเราตายไปแล้ว นั่นหมายถึงเราไม่มีกายหยาบแล้ว
    เมื่อไม่มีกายหยาบ การที่จะมองเห็น การรับรู้ การได้ยินนั้นก็ต้องจบลง นั่นหมายถึงอายตนะทั้ง ๖
    ยามมีชีวิตเรามิได้ฝึกจิตให้แข็งแรง หรือมีพลังจิตที่จะเคลื่อนไปยังดินแดนสุคติภูมิ หรือนิพพาน
    เมื่อไม่ได้ฝึกจิต จิตก็ไม่มีพลัง ไม่มีบุญกุศล จิตจึงไปไหนไม่ได้ไกล
    แค่คิดก็สยองขวัญแล้ว เพราะฉะนั้นจึงอยากมาเตือนผู้ที่ไม่รักษาศีล หรือไม่ยอมลงมือปฎิบัติ
    ให้รีบเร่งไวๆ เพราะเวลาหายใจของคนเรานั้นเหลือน้อยลงไปทุกทีๆแล้ว
    รีบๆสร้าง รีบๆสะสมบุญกุศลให้มาก
    เพราะโลกทิพย์หรือโลกแห่งวิญญาณนั้น เห็นมีแต่บุญกับบาปเท่านั้นที่ติดตัวเรา(จิต)ไปเท่านั้น
    นอกนั้น ไม่มี ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป จบกันชาตินี้ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กคือ ตายหมด ตายไม่มีเหลือ

    ผู้ที่ยังพอมีสติหรือปัญญา ย่อมนำพาจิตหรือดวงจิตออกจากขันธ์๕ตนเองเสียให้ไวๆ
    เพราะหนทางที่พวกท่านกำลังดำเนินกันอยู่นั้น ผู้เขียนได้หลงไปในทางโลกก็มากแล้ว
    ตอนนี้ก็ได้แต่เมตตาให้ธรรมาทานกันเท่านั้น เพราะปฎิบัติแทนกันไม่ได้
    มีดวงตาเห็นธรรมแทนกันก็ไม่ได้ ไปนรก สวรรค์ พรหมหรือนิพพานแทนกันก็ไม่ได้
    เพราะฉะนั้น ท่านจะต้องลงมือปฎิบัติเอง มีดวงตาเห็นธรรมเอง ไปสุคติเอง ไปนิพพานเอง

    ขอโมทนาบุญล่วงหน้ากับผู้ที่เอาจิตรอดก่อนตาย...สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...