จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    รูป คือสิ่งที่ไม่รู้อารมณ์...สิ่งที่รับรู้อารมณ์เรียกว่า นาม

    ...รูปกับนามนี้มันมีอยู่อย่างหนึ่งที่คุมรูปนามอยู่...

    ...ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...

    ...คือ พระไตรลักษณ์นั่นเอง...เมื่อรู้จักรูป รู้จักนาม...

    ...ก็จะเห็นพระไตรลักษณ์...

    -เหมือนกับการเห็นเสือ เมื่อเห็นตัวเสือก็เห็นลายของเสือ ลายของเสือมันอยู่ที่ตัวเสือ...

    ...ดังนั้นเมื่อเราเห็นรูป เห็นนาม ก็เห็นพระไตรลักษณ์...

    ...คัดจากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ (พระธรรมมังคลาจารย์ วิ.หลวงปู่ทอง...

    ...วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ. เชียงใหม่...

    ...กราบนมัสการหลวงปู่ทอง และกราบขอบพระคุณในพระธรรมคำสั่งสอนค่ะสาธุๆๆ.
     
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนาสาธุ กับธรรมทาน ที่คุณพี่มาลินี นํามาลง เพราะถ้าเราเห็นแต่รูป แต่ไม่เห็นนาม ก็ยังไม่เห็นตัวเสือ ที่แท้จริง เพราะเสือจะมาทางไหน? ก็ตามถ้าเรารู้มันแล้ว เราก็พ้นจากปากของมันได้...คือ เราเห็นนาม เพราะนามตัวนี่แหละที่จะมาก่อกวนเรา เพราะเราจะรู้ทันมันหรือไม่นั้น ก็ต้องมีอาศัยการเข้าถึงซึ้ง"ไตรลักษณ์"นั้นเอง...สาธุค่ะ
     
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    นักปฏิบัติจะต้องรู้จักรูป- นาม -รู้จักพระไตรลักษณ์ก่อน

    -จึงจะได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม-

    ...ชีวิตวิตที่มีค่ามาก คือ ชีวิตที่เห็นความแปรปรวนในร่างกายในชีวิต...

    ...เป็นอนิจจัง ไม่เที่แท้แน่นอน เห็นเป็นทุกข์ เห็นว่าไม่ใช่ของเรานั่นแหละ...

    ...เป็นความรู้ที่ยอดเยี่ยมคุ้มค่าในชีวิตที่เกิดมา...

    ...เป็นความรู้จริงในสิ่งที่มีในตัวเราของเรา...รู้จักความจริงของชีวิต...

    "ความจริงของชีวิต คือ รูป กับ นาม

    -แล้วรูปกับนามก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

    ...ชีวิตเราทุกคนนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ความเปลี่แปลงนั้น มันไม่เที่ยง ไม่แน่นอน

    -บางครั้งก็ทุกข์ บางครั้งก็สุข ไม่แน่ไม่นอน เพราะมันเป็นของคู่กันมา...

    ..แต่ถ้าเราใช้สิ่งที่แปรปรวนนั้นมาเป็นมาศึกษาหาความรู้ แล้วใช้มันให้เป็นประโยชน์

    -สิ่งแปรปรวนเหล่านั้นก็จะมีประโยชน์กับเรา ให้เรานั้นได้พิจารณาว่าที่ผ่านมานั้น

    ...มันคุ้มค่า...เพราะมันทำให้เราได้รู้จักตัวตนของเราเอง รู้จักความจริงของชีวิตจาก

    -ตัวเราเอง...จาก รูป จากนามของเรานี่เอง แล้วรู้ว่ารูป นามนี่แหละมันคือ...

    -อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งถ้าทำความรู้จักกับมัน มันอยู่กับเรามาตลอดเวลา เราสามารถ

    ...นำมันมาเป็นครูสอนเราให้มันได้วิชาอันยอดเยี่ยมและคุ้มค่า ก่อนจะรู้จัก...

    -พระไตรลักษณ์ ต้องรู้จักรูป กับนาม เสียก่อนขออนุโมทนากับท่านผู้อ่านทุกๆท่านค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ให้เร่งรัดปรารถความเพียร

    ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมองเข้าข้างใน แล้วจะไม่เอาอะไรเลย
    ของสวยงามข้างนอกจะไม่เอา เพราะพวกเหล่านี้มันไม่เที่ยง
    ไปยึดถือไม่ได้ ไปเห่อไม่ได้ ไม่ต้องการอะไรมาก
    ทำแต่สิ่งที่ควรทำ ที่ไม่จำเป็นไม่แตะต้อง ไม่เกี่ยวข้อง
    มุ่งแต่เรื่องในจิตในใจ ที่จะดับทุกข์ดับกิเลสเป็นจุดสำคัญที่สุดของชีวิต...

    การปฏิบัติธรรมนี่มันไม่ลำบากอะไรเลย ให้อยู่นิ่งๆ มีสติทุกอิริยาบถ
    ทำในสิ่งที่ควรทำนิดหน่อย ไม่ให้ใช้กำลังกายไปทุ่มเททางอื่น
    ฉะนั้นจึงต้องหยุดงานภายนอก จิตใจจึงจะมีกำลัง ถ้าเอากำลังกายไปทุ่มเท
    กับงานข้างนอกเสียหมดแล้ว จิตมันก็อ่อนเพลียไป
    เราต้องมุ่งทางจิตเป็นใหญ่ มีงานทางจิตเป็นใหญ่...

    กว่าจะรู้ตัวของตัวเองได้ มันไม่ใช่ของง่าย ที่ไม่มีใครมาติมาด่า
    แต่ตัวเองนี่แหละต้องว่าต้องด่าตัวเอง ต้องตำหนิติเตียนตัวเองจึงจะได้
    ถ้าไม่มีกัลยาณมิตรมาช่วยว่าตัวเองแล้ว ก็ต้องว่าตัวเอง ต้องด่าตัวเอง
    ของจริงที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตานี้ก็มีให้มอง ก็ไม่เป็นการยากลำบากอะไร
    ไม่เหมือนการทำงานทางกาย เป็นแต่นั่งอยู่เฉยๆ ก็ได้ นั่งหลับตาดูก็ได้ ลืมตาดูก็ได้
    หรือยืนก็ได้ เดินก็ได้ โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไร คอยพิจารณาดูว่ามันเกิดขึ้นมาอย่างไร
    มันดับอย่างไร มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร มันปรุงแต่งขึ้นมาอย่างไร ดูได้ทุกอิริยาบถไปหมด ...

    ถ้าหยุดได้แล้วมันจะรู้ได้ไม่ว่าใคร เมื่อหยุดแล้วเป็นต้องรู้
    อย่าไปเที่ยวคิดนึกปรุงแต่ง หยุดเสีย นิ่งเสีย สงบเสีย แล้วจะรู้
    ถ้าเที่ยวคิดฟุ้งซ่านไปมันจะหลง ถ้าหยุดมันรู้ ไม่มีอะไร จะคิดไปให้มันเหนื่อยทำไม
    ที่ให้มันหยุดเพราะมันไม่มีอะไร เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไปเท่านั้นเอง จะดูอะไรก็ดับ เหลือแต่จิตว่างจิตสงบอยู่เดี๋ยวนี้


    ธรรมะ ท่าน ก.สวนหลวง
     
  5. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    " ปฏิบัติธรรมแล้วถ้ารู้สึกเบื่อ "​


    ปฏิบัติธรรมแล้วถ้ารู้สึกเบื่อครอบครัว เบื่อโลก เบื่อสงสาร
    อย่าไปเชื่อความรู้สึกของตัวเอง

    ถ้ามันเบื่อ ดูไปจนมันหายเบื่อ
    แต่ถ้าหากพอปฏิบัติธรรม ได้ธรรม เห็นธรรมแล้วนี่
    มันทำให้รู้สึกเคารพบูชาพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เมตตาสงสารครอบครัว

    แล้วความรักระหว่างครอบครัวของเรานี่ ทีแรกเรารักด้วยกิเลสตัณหา
    แต่มาภายหลังจะเหลือแต่ความเมตตาปราณี
    แล้วเราจะทอดทิ้งซึ่งกันและกันไม่ได้

    ยิ่งปฏิบัติไปเท่าไร ความเมตตาปราณีมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
    เราจะอยู่ด้วยกันโดยไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับทางเรื่องของกิเลส
    เราจะมีอะไรต่อกัน หรือไม่มีอะไรต่อกัน เราจะอยู่กันได้อย่างสบายเพราะความรักและความเมตตาปราณี
    นี่เป็นความรักที่บริสุทธิ์สะอาด

    ถ้าความรู้สึกอันนี้เกิดขึ้นในบรรดาพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายแล้ว
    สันนิษฐานได้ว่าเราปฏิบัติธรรมได้ผล

    แต่ถ้าปฏิบัติแล้วเบื่อโลกสงสารอยากโกนหัวไปบวช อย่าเพิ่งเชื่อมัน อันนั้นแหละตัวมารร้ายที่สุด
    บางทีเราหลงเชื่อมัน เราทิ้งครอบครัวไป ไปแล้วในเมื่อมันหายเบื่อ แล้วมันก็ไปเจอ(เบื่อ)ข้างหน้า ไปมี(เบื่อ)ข้างหน้าอีก

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อย่าดูนะ..เดี๋ยวเห็นธรรม!
    ไม่มีคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น


    เจาะใจ 3 - YouTube

    เครดิต: แพทUK
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โคตรภูญาณ

    "ความจริงเรื่องของพระนิพพานนี่ ถ้าเราแม้จะได้ทิพจักขุญาณก็ดี จะได้มโนมยิทธิก็ดี จะได้อภิญญาก็ดี จำไว้ด้วยนะ ถ้าหากว่าจิตของเราเข้าไม่ถึงโคตรภูญาณ เราจะไม่สามารถเห็นพระนิพพานได้เลย เว้นไว้แต่พระโพธิสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์ทำได้ ถ้าพระโพธิสัตว์มีบารมีตั้งแต่อุปบารมีขึ้นไป อันนี้สัมผัสนิพพานได้เป็นปกติ อันนี้เป็นกำลังใหญ่ สำหรับสาวกภูมินี่ ถ้ามีอารมณ์ไม่ถึงโคตรภูญาณ คือระหว่างโลกีย์กับโลกุตตระ คืออยู่กลางๆ จิตอยู่กลางๆ เป็นปุถุชนก็ไม่ใช่ เหมือนกับคนยืนคร่อมลำรางเล็กๆ เท้าซ้ายอยู่ฝั่งนี้ เท้าขวาอยู่ฝั่งโน้น ยังไม่ยกเท้าซ้ายมาหรือว่ายังไม่ยกเท้าขวามา อารมณ์ตอนนี้เป็นอารมณ์กลางๆ ท่านเรียกว่า โคตรภูญาณ ถ้าอารมณ์เข้าถึงตอนนี้จึงจะจับสัมผัสกับพระนิพพานได้ ถึงแม้ว่าจะได้ทิพจักขุญาณ มโนมยิทธิหรืออภิญญาก็ตาม เว้นไว้แต่พระโพธิสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์ ไม่มีโอกาสได้เป็นพระอริยเจ้าจนกว่าจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณด้วยตนเอง ดังนั้น จงจำไว้ว่าถ้าท่านผู้ใดสามารถฝึกมโนมยิทธิหรือว่าทิพจักขุญาณ ถ้าได้แล้ว ถ้ากำลังใจของท่านหยั่งเข้าสู่พระนิพพานได้ คือเห็นพระนิพพานได้ ถ้าเป็นพวกทิพจักขุญาณ หรือว่าพวกที่ได้มโนมยิทธิ สามารถเข้าไปสู่แดนพระนิพพานได้ พึงทราบว่ากำลังใจของท่านเวลานั้น อย่างเลวที่สุดอยู่ในเขตโคตรภูญาณหรือพระโสดาบันแล้ว จึงจะไปได้"

    ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า
    พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษี)
     
  8. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    ~นิพพานเป็นของไม่ยาก แต่การวางจิตให้มีกำลังใจตัดกิเลส
    เพื่อให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เป็นของยาก
    ถ้าไม่ตั้งใจตัดจริง ๆ ก็บรรลุยาก คนทำความเพียรเพื่อพระนิพพาน
    ก็อุปมาเหมือนการหยดน้ำใส่ในตุ่มถ้าหากขยันตักมาหยดใส่ประจำโดยไม่ขี้เกียจ
    ก็จักเต็มได้ในไม่ช้า แต่ถ้าขี้เกียจก็ไม่รู้จักเต็มตุ่มสักที

    กำลังใจของการปฏิบัติก็เช่นกัน ถ้าปักแน่นในความตั้งใจแล้ว
    ตรวจจิตดูหาจุดบกพร่องตรงไหน หมั่นอุดรูจุดนั้น ทำให้จริง ๆ จัง ๆ
    ก็จักประสบผลสำเร็จ การตรัสนี้เป็นการชี้แนะเท่านั้น
    ทำได้หรือไม่ได้ ก็อยู่ที่ตัวเจ้าของเอง~

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๑๕ หน้า ๑๐๒
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

    พระราชพรหมยานมหาเถระ
    หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
  9. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    -ถ้าเรามีเพียงแต่ความคิด เพียงแต่ฟังก็รู้เท่านั้นเอง...

    ...แต่ตัวขัดเกลาไม่มี ตัวสำคัญที่สุด คือ การปฏิบัติธรรม...

    ...เพื่อที่จะทำตัวภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นแก่เรา...

    ...การดำเนินชีวิตก็จะมีความสุข ความเจริญ...

    ...มีสุคติเป็นที่ไปอย่างแน่นอน...

    ...บุคคลผู้ที่ไม่เกียจคร้าน...ย่อมพบทางอันประเสริฐ ด้วยปัญญาอย่างแน่นอน-

    ...ดังนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงพากันพอกพูนปัญญาบารมี...

    -ด้วยการสนใจการปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เถิด...

    ...คัดจากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ (พระธรรมมังคลาจารย์ วิ. หลวงปู่ทอง)

    ...วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ. เชียงใหม่. กราบนมัสการหลวงปู่เจ้าค่ะ กราบ กราบๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2013
  10. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    มีสาธุชนหลายท่านถามว่า "สีลัพพตปรามาส" คืออะไร สีลัพพัตปรามาสคือ
    ความเชื่ออย่างเห็นผิดในอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกตัว, ความยึดมั่นในความดี

    เพียงขั้นศีลของตน และความเชื่อว่าการบำเพ็ญทางกายวาจาเท่านั้นที่จะสามารถทำให้คนบริสุทธิ์จากกิเลสหรือหลุดพ้นได้ ความเห็นเหล่านี้ถูกจัดเป็นความเห็นที่ผิดพลาดในทาง พระพุทธศาสนาเพราะเนื่องด้วยพระพุทธศาสนาเน้นเรื่องภายในจิตใจคือ "การหลุดพ้นด้วยปัญญาภายในเป็นสำคัญ"นอกจากนี้

    พระพุทธเจ้าตรัสหลักสีลัพพตปรามาสไว้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ปฏิบัติหลงผิดจากแนวทางหลักในพระพุทธศาสนา กล่าวคือไม่ให้มัวแต่หลงยึดมั่นแค่เพียงความบริสุทธิ์ของศีลที่มีเฉพาะด้านกายและวาจา โดยละเลยความบริสุทธิ์ด้านจิตใจไป ซึ่งความยึดมั่นถือมั่นเช่นนี้จัดเป็นอัสมิมานะซึ่งจัดเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง

    ที่มา fb ธรรมะโดยพระอาจารย์พระอ๊อด วัดสันติวงศาราม เบอร์บิ่งแฮม
    ขอน้อมกราบนมัสการพระอาจารย์ด้วยความเคารพค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2013
  11. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    คำถามที่สองตามมาด้วย "วิจิกิจฉา" คือความลังเลสงสัยไม่แน่ใจในพระรัตนตรัย โดยเฉพาะในพระธรรม อันคือ ธรรมคำสอนโดยพระพุทธองค์ ที่มีพุทธประสงค์สูงสุดล้วนเป็น

    เรื่องของสภาวธรรม (ธรรมชาติ) ที่เกี่ยวกับความทุกข์ ดังเช่น การเกิดขึ้นของทุกข์ ไม่ใช่เพื่อให้เป็นทุกข์ แต่เพื่อให้รู้เหตุ ก็เพื่อนำไปใช้ในการดับไปแห่งทุกข์ต่างๆนั่นเอง จึงยังให้เกิดความสุขจากการหลุดพ้น อันสุขยิ่งกว่าสุขทางโลกนั่นเอง, อันวิจิกิจฉาหรือความลังเลสงสัยนี้ ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เนื่องจากความไม่เข้าใจในธรรมของพระองค์ท่านอย่างถ่องแท้ในเบื้องต้นเนื่องด้วยอวิชชา

    ดังนั้นเมื่อปฏิบัติไปย่อมต้องเกิดการติดขัดเป็นธรรมดา ก็เกิดความสงสัย ลังเล ไม่เชื่อถือ, ค้นหาการปฏิบัติใหม่, ลัทธิใหม่, วิธีใหม่, อาจารย์ใหม่, ที่ยึดถือใหม่ ฯลฯ. จึงเป็นการค้นหา, วิ่งเข้าหาสิ่งผิดๆด้วยอวิชชาเสียก็มี หรือเป็นการเริ่มต้นกันใหม่อยู่เสมอๆ จึงไม่สามารถบังเกิดความรู้ความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งแท้จริง, ถ้าไม่มีวิจิกิจฉาความลังเลสงสัยอันจักบังเกิดขึ้นจากความเข้าใจแจ่มแจ้งในธรรมพื้นฐานอย่างถูกต้อง

    เมื่อเกิดอุปสรรคในการปฏิบัติ จิตจะไม่เกิดความลังเลสงสัย แต่จิตจะพลิกไปพิจารณา, ครุ่นคิด, คิดค้นคว้า แก้ไขให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่กระจ่างสว่างขึ้นไปเป็นลําดับ กล่าวคือเจริญวิปัสสนาจนเกิดความรู้ความเข้าใจให้หลุดพ้นขึ้นนั่นเอง, วิจิกิจฉาจึงเป็นอุปสรรคสําคัญที่บั่นทอนสัมมาปัญญาหรือญาณไม่ให้เกิด

    จึงทําให้ร้อยรัดสรรพสัตว์ไว้กับทุกข์, แต่การไม่ลังเลสงสัยก็ต้องไม่เป็นไปในลักษณะของความมัวเมาด้วยอธิโมกข์ จึงต้องประกอบด้วยปัญญาหรือการเจริญวิปัสสนา

    ที่มาfd ธรรมะโดย พระอาจารย์พระอ๊อด วัดสันติวงศาราม เบอร์บิ่งแฮม
    ขอน้อมกราบพระอาจารย์ด้วยความเคารพค่ะ
     
  12. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    *-*-* หลวงพ่อ เตือนสติ ลูกหลาน*-*-*-

    ...เมื่อรู้สภาวะตามความเป็นจริงของโลก และโลกธรรม จงตั้งใจไว้ว่า โลกนี้มันเลวอย่างนี้ เพื่อนเราชมต่อหน้า ลับหลังนินทาว่าร้าย อย่าโกรธเขา ใครกลั่นแกล้ง เราไม่โกรธ ตั้งจิตแผ่เมตตา ให้อภัยเขาไป เป็นอภัยทาน ทำจิตวางเฉย ถือว่า เป็นธรรมดาโลก ฉะนั้น เราจะคบกับทุกคนได้ แต่ไม่ยอมรับนับถือเขา ถ้าเขาเลว เรายอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์เท่านั้น

    ...การมี ทิพจักขุญาณ หรือ มโนมยิทธิ มิได้ช่วยให้ หนีนรก และอบายภูมิได้ ต้องทำใจท่านให้มีอารมณ์จิตเป็นพระอริยเจ้า จึงจะหนีนรกได้ถาวร อารมณ์จิตของพระอริยเจ้าเบื้องต้น ที่ท่านแนะนำไว้ เพื่อการหนีอบายภูมิอย่างถาวร ได้แก่

    - ไม่ลืมว่า ชีวิตนี้ต้องตาย ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ฯลฯ

    - ไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และยอมรับนับถือด้วย ความจริงใจ

    - ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์สำหรับฆราวาส ส่วนภิกษุสามเณรก็ทรงศีลตามพระธรรมวินัย

    - คิดไว้เสมอว่า การเกิดเป็นทุกข์ เป็นมนุษย์เทวดาพรหมเราไม่ต้องการ เราต้องการเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว ตายเมื่อไรขอไปนิพพานทันที

    อย่าประมาท อย่าทะนงตนว่าดีกว่า เก่งกว่าใครเขา(หรือคิดว่าตนเองเลวกว่าเขา) ถ้าคิดว่าเราดีเมื่อไร แสดงว่าจิตเราเลวเมื่อนั้น นักปฏิบัติต้องกระทำเพื่อละ อย่าคอยจ้องจับผิดผู้อื่น สนใจเรื่องของตน แม้ตนจะเข้าถึงความดี ระดับ “เปลือก สะเก็ด กระพี้ หรือแก่น” ก็ยังเป็นแค่ฌานโลกีย์ ยังไม่ดีพอ ต้องปฏิบัติให้ถึงขั้นโลกุตตระ ระดับพระอริยเจ้า จึงจะพอวางใจได้

    คำสอน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    *-*-*-*-*-*-*-*-*


    ลูกขอน้อมรับใส่จิตมาปฏิบัติตามเจ้าค่ะ ...กราบแทบเท้า หลวงพ่อที่เคารพ ด้วยเศียรเกล้า ...กราบ กราบ กราบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2013
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    "รอยแตกบนแก้ว"
    ธรรมะจากหลวงปู่ชา สุภัทโท เล่าโดยท่านพรหมวังโส



    หลวงพ่อชา ยกแก้ว แล้วถามอาจารย์พรหมว่า “เธอเห็นรอยแตกในแก้วใบนี้ไม๊ พรหมวังโส?”

    อาจารย์พรหมคิดว่า “แก้วก็ดูปรกติ ไม่มีร้อยราว”

    ... หลวงพ่อชาพูดต่อว่า “ดูให้ดีๆ ซิ มันมีรอยแตกเล็กๆ บนแก้วใบนี้
    สักวันแก้วใบนี้มันต้องแตก” ในตัวเราทุกคน ล้วนแต่มีรอยแตกเล็กๆ

    นับตั้งแต่เราเกิด มันบอกให้เรารู้ว่า สักวัน ชีวิตของเราทุกคนต้องจบสิ้น มันจะจบแน่นอน

    เรารู้ดี แต่เพราะเราโดนอวิชชาครอบงำเอาไว้ทำให้เราไม่ได้คิดถึงมัน

    สักวันเราต้องจากกัน ความจริงข้อนี้ที่พระบอกให้เราตระหนัก มิได้ให้เรากลัว

    หรือ คิดว่าฉันจะไม่รักใครอีกแล้ว!! ฉันจะได้ไม่ต้องเสียใจ

    ตอนฉันต้องสูญเสีย เขาหรือจากเขาไป แต่ท่านบอกเพื่อที่ว่า

    เราจะได้รู้เท่าทันความเป็นจริงของโลกและชีวิตว่า ทุกสิ่งที่อยู่ตอนนี้มันไม่เที่ยง

    มันจะเปลี่ยนแปลง

    เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เรามีเราอยู่

    มันจะไม่อยู่กับเราชั่วนิรันดร์ เวลาของเรามีจำกัด

    เราจะได้ มีท่าทีที่ถูกต้องกับสิ่งที่เรามีอยู่ ณ เวลานี้ เราจะมีเมตตา

    ต่อคนที่อยู่ด้วยในทุกวันนี้มากขึ้น เพราะเรารู้ว่าเราอยู่ด้วยกันแค่ช่วงเวลาสั้นๆ

    เราจะหยุดความใจร้าย หยุดทำร้าย หยุดความเอาชนะ หยุดการกดดัน

    หรือบังคับให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจของเรา เราจะผ่อนปรน เราจะใจเย็น

    และรับฟังมากขึ้น เราจะเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ และ ให้อภัยมากขึ้น

    เพราะเรารู้ว่าเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกัน มันหมดลงไปทุกวัน

    เวลาติดปีกบิน และพรุ่งนี้อาจจะไม่มีอีกแล้วสำหรับเรา

    เมื่อถึงวันที่เราต้องจากกัน เราจะไม่ต้องเสียใจว่า ทำไมเราถึงไม่ทำดีกับเขา

    เราจะเก็บความทรงจำที่ดีต่อกันเหลือไว้ให้คิดถึง ยามเมื่อเขา หรือ เรา ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

    ในวันสุดท้าย เราจะเช็ดน้ำตา และพูดกับตัวเองว่า

    “ฉันรู้อยู่แล้ว ว่าวันนี้ต้องมาถึง
    เพราะฉันเห็นรอยแตกเล็กๆ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว.....”


    Cr:Facebook สาขาวัดหนองป่าพง
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    (ความเชื่อในเรื่องกรรม)

    -ตามคำสอนในพุทธศาสนา ชาวพุทธควรมีศรัทธา ๔ อย่าง คือ

    ... ๑. คถาคตโพธิสัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ เชื่อว่า

    -พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง เป็นผู้ประกอบด้วยพระปัญญาคุณ พระวสุทธิคุณ และ

    -พระกรุณาคุณ...

    -๒. กัมมสัทธา เชื่อเรื่องของผลกรรม คือเชื่อว่ากรรมมีจริง

    -๓. วิปากสัทธา เชื่อเรื่องผลของกรรม คือเชื่อว่ากรรมที่บุคคลทำนั้น

    ...ไม่ว่าดีหรือชั่ว...ย่อมได้ผลเสมอ...

    -๔ กัมมัสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน คือเชื่อว่าผลที่เราได้รับเป็น

    ...ผลของการกระทำของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นกรรมที่ทำในปัจจุบันชาติหรืออดีตชาติ...

    ...หลายๆคนคิดว่ากฏแห่งกรรมไม่มีจริง จนถึงประชดประชันว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน...

    -ทำชั่วได้ชั่วมีถมไป ด้วยความเห็นว่าคนทำกรรมชั่วได้รับผลเป็นคนร่ำรวย เป็นคนมี

    ...วาสนา มีคนเคารพยกย่องตรงกันข้ามกับคนที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต

    -ขยันขันแข็ง กลับต้องชีวิตที่ยากลำบากหรือคนที่ทำงานไม่เป็น เลี่ยงงาน ประจบ

    ...สอพลอ กลับได้เลื่อนขั้น เลื่อนชั้น เลื่อนตำแหน่ง...

    ...กรรมให้ผลไม่เหมือนกัน ให้ผลทันเวลาและให้ผลระยะยาวต่อไป...

    -ฉนั้นทุกคนจึงมีโอกาสรับกรรมไม่เหมือนกัน...ความดีที่ทำไว้นั้นยังมาไม่ถึง...

    ...ความชั่วหนักกว่าก็มาให้ผลก่อน ส่วนความดีนั้นเขาก็จะให้ผลภายหลัง...

    ...คนที่เชื่อเรื่องกรรม ย่อมสามารถอดทน ยอมรับความทุกข์ยากลำบาก

    -ความผิดหวัง ขมขื่น และเคราะห์ที่ที่เกิดแก่ตนได้ ไม่ตีโพยตีพายว่าโลกนี้ไม่มีความ

    -ยุติธรรม...ทำดีต้องได้รับผลดีแน่นอน และทำชั่วก็จะได้รับผลชั่วอย่างหนีไม่พ้น...

    ...กรรมบางอย่างอาจให้ผลในชาตินี้ บางอย่างอาจให้ผลในชาติหน้า หรือ

    -ชาติต่อๆ ไป เช่นเดียวกับการปลูกพืช บางอย่างให้ผลในไม่กี่เดือน บางอย่างก็เป็นปี

    ...พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อจรัญ พระธรรมสิงหบุราจารย์ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี

    -คัดจากหนังสือแสงเทียนส่องธรรม กราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนเจ้าค่ะกราบ กราบๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2013
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนไว้ มีความสำคัญดังนี้


    กำลังใจที่เข้มแข็ง ไม่ใช่กำลังใจที่เคร่งเครียด หากแต่เป็นกำลังใจที่ปฏิบัติธรรมแบบสบายๆ แต่มีความต่อเนื่องอยู่ในจิตใจเป็นปกติ คำว่าต่อเนื่องจักต้องมีทั้งสมถะ และวิปัสสนาควบคู่กันไป ความสุขและความทุกข์อันเกิดจากอายตนะสัมผัส จักต้องฉลาด นำมาเป็นกรรมฐานได้ตลอดเวลา จิตจักต้องทรงสติให้ทรงตัว โดยโจษจิตตนเองเอาไว้เสมอๆ ระลึกให้ได้ว่ายังบกพร่องอยู่อย่างไรบ้าง

    ๒. รักษากำลังใจให้ตั้งมั่น การท้อแท้คือ การห่อเหี่ยวของจิตใจ ไม่พึงมีในจิต ให้พยายามผลักอารมณ์นี้ออกจากจิตไปให้มากๆ เพราะมีแล้วจิตโง่ ไม่มีปัญญาพิจารณาธรรม

    ๓. นักปฏิบัติธรรมต้องรู้อารมณ์ตนเองตลอดเวลา และปรับได้เสมอ เป็นนักปฏิบัติธรรมตลอดเวลาที่ทวารใจเป็นอกาลิโก

    ๔. อารมณ์ท้อแท้ หรือห่อเหี่ยวของจิตใจ เป็นอารมณ์หลงการหลงติดกาย หลงยึดอายตนะสัมผัส คือสักกายทิฏฐิ การหลงยึดทุกสิ่ง-ทุกอย่างว่าเป็นเรา เป็นของเราคือสักกายทิฏฐิ คนที่ไม่รู้ธรรมจุดนี้จึงเพิ่มสักกายทิฏฐิ แทนที่จะลดสักกายทิฏฐิ

    ๕. กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดในการทำงาน ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม เพราะฉะนั้นพึงรักษากำลังใจไว้ให้ดี บารมี ๑๐ จึงทิ้งไม่ได้ ต้องหมั่นทบทวนอยู่เสมอ เช่น ทานบารมีเต็ม ตัดโลภได้ ศีลบารมีเต็มตัดโกรธ เนกขัมมะเต็มตัดกามารมณ์ได้ ปัญญาเต็มตัดกิเลสได้ขาด วิริยะเต็มหมดขี้เกียจ ขันติเต็ม ก็ทนต่อความชั่วที่เข้ามากระทบได้ สัจจะเต็ม ก็ตัดความโลเลในการปฏิบัติธรรมได้ อธิษฐานเต็มก็ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว เมตตาเต็ม ก็พ้นภัยตนเอง คือภัยจากอารมณ์จิตตนเอง ทำร้ายจิตตนเอง อุเบกขาเต็ม ก็ตัดทุกข์ที่เกิดแก่กายและจิตได้ มีอารมณ์วางเฉยได้
    บารมี ๑๐ จึงเป็นธรรมขั้นสูงที่ตัดสังโยชน์ ๑๐ ลงได้เด็ดขาด

    ๖. การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นครูทดสอบจิต ของจริงจักต้องถูกทดสอบก่อน จึงจะเข้าถึงอารมณ์ธรรมดาได้ เพราะผู้ที่เกิดมามีร่างกายทุกคน ย่อมหนีความแก่-ความเจ็บป่วยไข้ ไม่สบาย-ความตาย-ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจและต้องพบกับความปรารถนาไม่สมหวังด้วยกันทุกคนเป็นของธรรมดา ทำกำลังใจให้ดี จงอย่าท้อใจกับสุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงไปตามวัย จงคิดว่านี่เป็นของดีที่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย จักได้เป็นครูทดสอบจิต

    ๗. กายเหนื่อยมากเท่าไหร่ ก็จงอย่าทำใจให้เครียด จงเห็นเป็นธรรมดาของขันธ์ ๕ ที่เกิดมาแล้วจักต้องมีกิจการงานอย่างนี้จนกว่าจักตาย เมื่อมีการทำงานก็ต้องมีความเหน็ดเหนื่อยเป็นธรรมดา จงตั้งใจไว้ว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่จักต้องมาเหน็ดเหนื่อยอย่างนี้ ต่อไปคำว่าชาติและขันธ์ ๕ จักไม่มีสำหรับเราอีกต่อไป ตั้งใจทิ้งขันธ์ ๕ เพื่อมุ่งพระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น จงอย่าปรารภทำอื่นใดให้เป็นหนทางขัดขวางพระนิพพาน


    รวบรวมคำสอนโดย
    พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2013
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ปฎิบัติธรรม พยายามเรียนรู้ความจริงของโลก โดยเฉพาะโลกธรรม๘ ก้าวข้ามให้พ้นด้วยสติปัญญาของตนไวๆ
    ต่อไป เราก็จะมองเห็นธรรมดาๆ เท่านั้นเอง
    และให้สติกับจิตเราสนใจ หรือยึดแต่พระรัตนตรัยนั่นแหล่ะดี
    โดยเฉพาะคำสอนของหลวงพ่อ ลูกหลานต้องจดจำไว้ให้ดีเลยกับคำว่า...

    ...ถ้าคิดว่าเราดีเมื่อไร แสดงว่าจิตเราเลวเมื่อนั้น
    อย่าคอยจ้องจับผิดผู้อื่น สนใจเรื่องของตน
    แม้ตนจะเข้าถึง ความดี ระดับ “เปลือก สะเก็ด กระพี้ หรือแก่น” ก็ยังเป็นแค่ฌานโลกีย์ ยังไม่ดีพอ
    ต้องปฏิบัติให้ถึงขั้นโลกุตตระ ระดับพระอริยเจ้า จึงจะพอวางใจได้...


    ลูกคนนี้ก็จะปฎิบัติตามคำสอนหลวงพ่ออย่างเคร่งครัด และจะปฎิบัติเป็นตัวอย่างที่ดีกับชนรุ่นหลังต่อไป
    ลูกขอน้อมจิตก้มกราบแทบเท้าหลวงพ่อฤาษีฯด้วยเศียรเกล้า..สาธุๆๆ

    ขอโมทนาบุญธรรมาทานของคุณแนทUKด้วยครับ สาธุ
    ขอโมทนาบุญธรรมาทานของคุณแนทUKด้วยครับ
    เพราะคนที่ให้ธรรมาทานก็สุขใจ ผู้อ่านหรือผู้รับก็สุขใจเช่นเดียวกัน
    หรือเรียกได้ว่า ทั้งผู้ให้และผู้รับย่อมได้บุญ ได้กุศลทั้งสองฝ่ายเลย สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 สิงหาคม 2013
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อยากเตือน!!!
    อย่าหลงไปดู...อริยบุคคล ทั้งฝ่ายสงฆ์หรือฆราวาส เป็นอรหันต์หรือไม่
    ทำไม ไม่หวนกลับมาถามตนเองกันบ้างว่า...
    ตัวของเรานั้นเป็นอรหันต์หรือไม่
    อย่างต่ำๆ เอาแค่รักษาศีลหยาบของตนให้ครบเสียก่อนเห่อ
    หรืออย่างมากเป็นอริยบุคคลชั้นต่ำ เช่น พระโสดาบันหรือยัง?
    โดยเฉพาะ ผู้ปฎิบัติอย่าได้หลงไปดูจริยา หรือความดี ความชั่วของผู้อื่น เพราะไม่เกี่ยวมรรคผลของตน
    มิใช่หน้าที่ของเรา ปล่อยเป็นหน้าที่ของกฎแห่งกรรม
    กรรมของตนก็มีมากกันอยู่แล้ว ยังตามใช้หนีไม่หมดเลย ยังจะไปรับเอากรรมของผู้อื่นมาอีก
    แล้วเมื่อไหร่ จะเลิกล่วงเกินกรรมกันสักที ก็เข้าไปต่อกรรมกันเข้ามาอย่างต่อเนื่องอย่างนี้
    พวกเรา โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ก็อย่าหลงไปวิพากษ์ วิจารณ์ในกรณีพระดังเป็นข่าวฉาวทุกวันนี้
    มีเสียกับเสีย มีแต่ขาดทุน ไม่มีคำว่ากำไร นอกจากจิตจะตกไปอยู่ฝ่ายบาปหรืออกุศล
    เพราะสติเราไปสนใจแต่เรื่องที่ไม่เป็นบุญ เป็นกุศล ท้ายที่สุดจิตเราย่อมไม่ผ่องใสแน่นอน
    ผู้ปฎิบัติธรรมจริง แม้นกระทั่งพระสุปฎิปันโนเอง ท่านเลี่ยงจะไม่พูดถึง
    เพราะของจริงย่อมเงียบอย่างกะเป่าสาก!


    ชาวพุทธทั้งหลาย จงจดจำคำๆนี้ว่า...
    พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีวันเสื่อม
    เห็นมีแต่..จิตใจของผู้คนเสื่อมไปเท่านั้นเอง

    เพราะอะไร...

    ชาวพุทธทั้งหลายถ้าเข้าถึงธรรมะจริง
    ประการแรก ต้องรักษาศีลของตนเองก่อน สำหรับผู้เริ่มปฎิบัติธรรม
    โดยเฉพาะ ผู้ปฎิบัติที่มีจิตละเอียดย่อมเข้าถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นอย่างดี

    ชาวพุทธทั้งหลาย คงเคยได้ฟังธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์หรือเหล่าสาวกของพระพุทธองค์ไว้ว่าอย่างไร
    พระองค์ทรงตรัสว่า..มิให้ไปยึดในตัวบุคคล
    แม้นกระทั่ง ก็เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า..อย่าไปยึดในสังขารของพระพุทธองค์เลย
    ศาสดาของพวกท่าน(ชาวพุทธ)ทั้งหลายก็คือ พระธรรมหรือคำสั่งสอนนั้น

    ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ย่อมแยกแยะผิดถูก ย่อมแยกแยะพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    และย่อมรู้ว่าจะวางกำลังใจอย่างไร ให้ถูกต้องกับครูบาอาจารย์ของตน
    เราจะต้องไม่ยึดถือในตัวบุคคล หรือครูบาอาจารย์ แต่ภายในจิตใจเราต้องรักเคารพเป็นนิจอยู่แล้ว
    แต่พร้อมหรือน้อมจิตยอมรับถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคล หรือครูบาอาจารย์ของตน
    เพราะข้างนอกจิตนั้น เป็นอนิจจัง คือไม่มีอะไรเที่ยงหรอก ใครไปหลงยึดก็เห็นมีแต่จะทุกข์ใจไปเท่านั้น
    เพราะตัวจิตเองก็ยังไม่เที่ยง เพราะตราบใดยังมีสองอารมณ์มาตราฐาน เช่น ดีใจเสียใจ ยินดียินร้าย เป็นต้น
    ยกเว้น ผู้ปฎิบัติที่สามารถแยกจิตออกมาจากขันธ์๕ตนเองเด็ดขาดแล้ว ย่อมมีจิตปัญญาหรือญาณ คือหยั่งรู้ได้เอง
    โดยเฉพาะ เป็นผู้ออกจากจิตในจิตตนเองได้แล้ว นิวรณ์หรือกิเลสมักรบกวนจิตย่อมถือเป็นเรื่องธรรมดา หรือไม่มีผลแล้ว
    แต่กิเลสมิได้หายไปไหน ยังอยู่ในร่างกายครบเหมือนเดิม
    เพียงแค่แยกจิตออกมาจากขันธ์๕เด็ดขาด จึงเท่ากับแยกจิตออกมาจากกิเลสตนได้นั่นเอง

    เมื่อจิตกลายเป็นปัญญาญาณย่อมเป็นผู้รู้ ผู้เข้าใจและผู้ยอมรับ หรือละปล่อยวางได้กับทุกสิ่ง อย่างไม่มีเงื่อนไข
    หรือเอาธรรมะเข้าข่ม แต่อย่างใด
    แต่จิตเป็นผู้รู้ เป็นผู้ดูเฉยๆ หรือสังขารุเบกขาญาณ ก็คือวางใจเป็นกลางในขันธ์๕ตนเอง
    ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายของตนเองได้ก็ย่อมเห็นทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นธรรมดาไปโดยปริยายเอง
    เพราะร่างกายตนนี้ต้องเสื่อม ต้องแก่และต้องตายไปอย่างแน่นอนที่สุด โดยไม่มีผู้ใดหนีพ้น
    เมื่อจิตมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนจนชินแล้ว จิตจึงจะเห็นธรรมดาง่าย
    เมื่อเป็นอย่างนั้น จิตเราก็ปล่อยวางกับสิ่งต่างๆก็ง่ายตามไปด้วย
    ต่อไป ดูสิว่า จะไปตำหนิ นินทาหรือว่าร้ายกับใครเป็นอีก เพราะจิตกลายเป็นธรรม หรือจิตถึงธรรมแล้ว
    โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติย่อมจะรู้จิตตนเป็นอย่างดี

    ส่วนกฎแห่งกรรมอย่างมากก็ลงที่ขันธ์๕ หรือร่างกายเท่านั้นเอง
    เช่น เห็นมีแต่เวทนาทางกาย แต่ไม่มีเวทนาทางจิต เป็นต้น

    เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้ที่อยู่เหนือโลกก็คือ เหนือขันธ์๕ตนนั่นเอง
    จิตอาจจะหนีกฎแห่งกรรมพ้น แต่กายยังหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น
    แต่ถ้าจิตหลุดพ้นและละขันธ์หรือสังขารไปแล้ว ถึงจะพ้นโลกและพ้นกฎแห่งกรรมไปในที่สุด
    หรือนำจิตเข้าวิมุตติ(นิพพาน)...เป็นอันว่าจบกัน
    โมทนาสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 สิงหาคม 2013
  18. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ทำไว้ตั้งแต่วันนี้

    การปฎิบัติธรรมควรทำไว้ตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้ หากไม่ฝึก ไม่รู้จักเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ตอนจะตายมันจะทรมาน เพราะจิตไม่ได้มีการเตรียมพร้อม จิตจะเคว้ง ไม่รู้จะไปไหน เมื่อตายไปแล้วจะลำบาก เพราะไม่ได้สะสมพลังงานบุญไว้ ไม่ได้ฝึกจิตให้ละเอียดไว้ เพราะฉะนั้นคนที่ได้มีบุญเข้าหาธรรมะตั้งแต่ตอนนี้ ถือว่าได้เตรียมตัวตายก่อนตาย เพราะเราต้องตายกันทุกคน

    เราควรที่จะเข้าหาธรรมะไว้ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว เพราะต่อไปในการดำเนินชีวิต เราจะต้องพบเจอกับทั้งความสุข ความทุกข์ ความดีใจ ความเสียใจ หากเราไม่มีธรรมะประจำใจแล้ว ก็เหมือนเราขาดภูมิคุ้มกันที่ดีในการดำเนินชีวิต เมื่อพบเจอกับสิ่งต่างๆมากระทบ

    เรานักปฏิบัติทั้งหลาย อย่าปล่อยเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ ให้หมั่นภาวนาไว้ตลอดเวลา พอลืมตาตื่นก็ให้ภาวนาไปจนถึงเวลานอน ให้คำภาวนานั้นหายไปพร้อมกับการหลับ ทำเช่นนี้ให้เคยชิน ไม่ว่าขณะนั้นกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในรถ ในเรือ หรือเดินอยู่ ก็ต้องภาวนา อย่าประมาท การภาวนานี้นอกจากจะเป็นบุญ และทำให้จิตได้ทำงานแล้ว ยังช่วยให้เราไม่ประมาทในความตายด้วย เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่า ตัวเองจะตายเมื่อไหร่ นอกจากพระอรหันต์ท่านเท่านั้น ฉะนั้น จงภาวนาไป ไม่เสียหาย ไม่เสียตัง มีแต่กำไร..

    . . .


    เรียบเรียงจากคติธรรมของ หลวงตาม้า
    วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
    ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

    วัดถ้ำเมืองนะ (วัดพุทธพรหมปัญโญ) บารมี หลวงปู่ทวด, หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ, หลวงตาม้า, พระผง บท
    www.facebook.com/watputtaprompanyo
     
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    องค์หลวงตายืนยันมรรคผลนิพพาน

    -พวกเราทั้งหลายได้เกิดมาในท่ามกลางแห่งพุทธศาสนา รู้สึกว่าเป็นเลศทีเดียว

    ถ้าพูดถึงในชาติมนุษย์แดนมนุษย์ด้วยกัน เราอย่าเข้าใจประเทศนั้นเจริญ ประเทศนี้เจริญ

    ประเทศนั้นฉลาด ประเทศนั้นโง่ เราอย่าไปคิดอย่างนั้นเอาหลักความจริงแห่งกรรมที่พระ

    พุทธเจ้าทรงสอนนี้มาเป็นเครื่องยืนยันกันศาสนานี้เป็นศาสนาที่แน่ร้อยเปอร์เซนต์ไม่มีสงสัย

    ผมเอาคอคอขาดเข้าว่าเลยเพราะอะไร

    -ขอพูดตามความสัตย์ความจริงต่อหมู่เพื่อนว่า ได้ยืนยันในหัวใจเจ้าของเองซึ่ง

    แต่ก่อนไม่สามรถยืนยันได้เลย การปพฤติปฏิบัตินั้นแหละเป็นข้อที่จะทำให้ยืนยันได้

    .....ไปฟังครูฟังอาจารย์ก็ฟัง แต่เมื่อไม่ถึงใจแล้วก็ต้องเป็นอยู่อย่างนั้นล่ะ ความสงสัยว่า

    บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี ท่านสอนความจริงไว้ขนาดไหน ธรรมะมีแต่ความจริง

    ล้วนๆ ท่านว่าอริยสัจๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนนอกจากอริยสัจไปไหน ครูบาอาจารย์ผู้รู้จริง

    เห็นจริง สอนนอกจากอริยสัจไปไหน แต่เรามันไม่รู้อริยสัจว่าไง เมื่่อยังไม่ถึงวาระที่จะรู้

    -แต่เพราะความอุตส่าห์พยายามนั่นแหละ ตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลานหลาย

    ครั้งหลายหน ค่อยถลอกปอกเปิกไปเรื่อยๆ แล้ว ต่อไปก็ค่อยเข้าอกเข้าใจไปโดยลำดับลำ

    ดา จนปรากฏว่า สาธุ ไม่ได้ประมาท กระจ่างขึ้นภายในจิตใจ หายสงสัยถึงเรื่องว่า บาปมี

    บุญมีหรือไม่มีหายสงสัย บาปมียอมรับร้อยเปอร์เซนต์ ตายก็ตายไม่เสียดายชีวิต...

    ...เราได้ยืนยันในขณะนั้น เพราะความเชื่อในหัวใจนี่แหละ ซึ่งแต่ก่อนไม่เคย

    เชื่ออะไรถึงขนาดนี้ เชื่อก็เป็นเชื่อธรรมดาสัญญาอารมณ์ ตามหมู่ตามเพื่อนหรือตามตำรับ

    ตำราท่านสอนไว้ก็เชื่อ นั้นเป็นเชื่ออันหนึ่งเป็นเชื่อด้วยการเดาการคาดคะเนไปอันหนึ่ง...

    ...แต่ก็เป็นความดีเพื่อให้เป็นความเชื่ออันสำคัญฝังอยู่ภายในตนที่เป็น.......

    -พระธรรมคำสั่งสองของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.๒๔ สิงหาคม ๒๐๓๙...

    -น้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงตามหาบัว และน้อมกราบองค์ท่านเจ้าค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2013
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ก้าวข้ามโลกธรรม๘ ไม่พ้น
    ไม่ว่าพระสงฆ์หรือฆราวาสก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้น คำว่า เสื่อม


    ทุกคนย่อมเข้าถึงพระธรรมหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างเท่าเทียมกัน
    ไม่จำเป็นต้องเป็นพระสงฆ์ที่จะเข้าใจ เข้าถึงพระธรรมของพระพุทธองค์
    โดยเฉพาะ ฆราวาส ขอเพียงแค่บวชจิตก็พอ เพราะบวชเรียนก้เพื่อฝึกจิต มิใช่ฝึกกาย
    ถ้าจะให้ร่างกายแข็งแรงก็ต้องออกกำลังกาย
    แต่ถ้าจะให้จิตใจแข็งแรงต้องหมั่นเจริญกรรมฐาน(เท่านั้น)
    นอกจากจิตใจเป็นบุญ เป็นกุศลแล้ว อานิสงส์จากการเจริญกรรมฐานก็คือ ความสงบสุขภายใน
    ขอเพียงแค่เข้าถึงความนิ่ง ความสงบของจิตตนให้ได้ ส่วนตัวปัญญาเดี๋ยวก็จะตามมาเอง
    ด้วยเหตุนี้ ที่พระพุทธเจ้าทรงอยากให้ชาวพุทธทั้งหลาย เข้าถึงตัวปัญญา
    ถ้าผู้ปฎิบัติเข้าถึงตัวปัญญาของตน เราย่อมจะรู้ไปเสียหมดทุกอย่าง โดยมิต้องมีคำอธิบายใดๆ หรือต้องไปถามใคร
    แต่ถ้าผู้ใดยังเข้าไม่ถึงตัวปัญญาของตนเองก็จะเต็มไปด้วยอวิชชา หรือความไม่รู้จริง ย่อมจะมีความลังเลหรือสงสัย เป็นธรรมดา
    เพราะฉะนั้น คำว่า พระกรรมฐาน หรือการเจริญสติภาวนานั้น สำคัญยิ่ง
    ถ้าผู้ปฎิบัติยังเข้าไม่ถึงสมถสมาธิ จิตใจย่อมไม่นิ่ง ไม่สงบสุขอย่างแน่นอน
    สมถกรรมฐานเป็นบาทฐานของคำว่า วิปัสสนา ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว ชอบแล้ว
    ผู้ที่จะเข้าถึงธรรมหรือรู้แจ้งในธรรมนั้นได้ จิตจะต้องเข้าสู่ความนิ่ง ความสงบสุขเสียก่อน

    เมื่อจิตเข้าถึงสมถสมาธิแล้วย่อมมีความอ่อนนุ่มพอที่จะน้อมรับหรือเข้าใจธรรมะของพระพุทธองค์ได้
    เมื่อจิตเข้าถึงสมาธิขั้นสูง คำว่า วิปัสสนาญาณ ก็จะเกิดขึ้นไปตามลำดับเอง

    ชาวพุทธทั้งหลาย จำเป็นจะต้องเข้าให้ถึงพระรัตนตรัย หรือแก้ว ๓ ประการ
    โดยเฉพาะพระพุทธ หรือพระพุทธคุณ คือพยายามเข้าให้ถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า
    ส่วนพระธรรมหรือคำสอนนั้น ชาวพุทธทุกท่านย่อม(พยายาม)ปฎิบัติตามให้ได้กันอยู่แล้ว
    ส่วนพระสงฆ์ ตามคำบัญญัติของพระพุทธเจ้าหรือพระไตรปิฎกนั้นหมายถึง พระสงฆ์ที่มีจิตเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ
    แต่ถ้าจิตยังไม่เป็นพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าให้เรียกว่า สมมุติสงฆ์
    พระสุปฎิปันโน หรือพระสงฆ์ที่ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ คือปฎิบัติตามพระพุทธเจ้าเท่านั้น
    ถึงจะเรียกว่า พระสงฆ์หรือสาวกของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง หนึ่งในพระรัตนตรัย
    ตรงนี้พวกเราชาวพุทธจึงจะยึดถือและปฎิบัติตามได้
    แต่ถ้าวันหนึ่งพระสงฆ์องค์ใด ปฎิบัติที่พระพุทธเจ้ามิได้สั่งสอน พวกเราชาวพุทธคิดซะว่า
    อะไรๆก็ไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และบังคับบัญชาให้เป็นไปตามใจตนก็ไม่ได้
    ถ้าพวกเราขืนไปยึดในตัวบุคคล หรือสิ่งต่างๆ เห็นมีแต่ทุกข์ใจเท่านั้นเอง
    เพราะฉะนั้น อย่าไปดูถูกหรือดูหมิ่นสมมุติสงฆ์ เพราะท่านยังมีโอกาสเป็นพระสงฆ์ อริยสงฆ์ หรือสาวกของพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลได้

    เมื่อเรามีปัญญาเป็นของตนตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ย่อมไม่เป็นทุกข์เพราะหลงไปตำหนิสมมุติสงฆ์หรือพระสงฆ์
    คำว่า ผิดหวัง รู้สึกเสียใจ ที่พระมีส่วนทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมลง
    พระพุทธศาสนาเสื่อม เพราะจิตเข้าไม่ถึงธรรม
    สติกับจิตปักอยู่กับสิ่งสมมุติ หรือตามความเจริญในโลกวิทย์+เทคโนฯมากเกินไป
    เมื่อพวกเราฝึกสติกับจิตให้อยู่กับสิ่งสมมุติทุกๆวัน แล้วจะเข้าถึงธรรมหรือความจริงกันได้อย่างไร

    หรือมองเห็นได้ชัดเจนก็คือ...
    จิตปุถุชนถูกสอน ถูกฝึกให้วิ่งตามสิ่งสมมุติ สนใจที่มิใช่เรื่องจิตทุกวัน ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความหลงหรือความไม่รู้จริง
    แต่พระสงฆ์หรือพระอริยสงฆ์ ท่านฝึกจิตมาดี คือแยกจิตออกมาจากคำว่าสมมุติทุกวัน ท่านจึงเข้าถึงธรรมหรือความจริงได้
    คนส่วนใหญ่จะต้องยอมรับความจริงสิ่งเหล่านี้ให้ได้

    จิตที่มิได้ถูกฝึกฝนนั้นก็เหมือนเด็ก เราฝึกจิตแบบไหนย่อมได้แบบนั้น เป็นเรื่องธรรมดา
    ทุกคนชอบ ทุกคนแอบบูชา บุคคลที่รักษาศีล ทำภาวนา ชอบตามหา ชอบทำบุญกับพระอริยเจ้า
    แต่ทำไม๊ ไม่ยอมลงมือปฎิบัติธรรมเอง อย่าไปหวังพึ่งผู้อื่น พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พึ่งตนเอง
    แต่ผู้ที่พอพึ่งตนได้นั้นก็คือ ผู้ที่มีปัญญาเป็นของตน รู้เฉยๆ รู้แล้ววางนั่นแหล่ะ ปฎิบัติเพื่อละ
    สรุป อย่าไปยึดในสังขารของพระสงฆ์ ให้ยึดคำสอนจะดีกว่าเพราะจะได้ไม่รู้สึกคำว่าผิดหวัง เสียใจ
    เพราะในโลกนี้ ต่างไม่พ้นกฏไตรลักษณ์ จงมองความแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดาเสีย คือเข้าใจและยอมรับมันเสีย
    ให้ยึดในพระธรรม หรือคำสอนของพระองค์ เป็นดีที่สุด
    พระธรรม เป็นคำสอนอมตะ ยังคงรอผู้ปฎิบัติมาพิสูจน์ แล้วจะเข้าใจคำว่า ปัจจัตตัง

    เมื่อจิตผู้ใดถึงธรรม ถึงพระรัตนตรัย โดยเฉพาะพระพุทธคุณ จิตใจย่อมมีแต่ความเยือกเย็น
    สิ่งภายนอกที่ว่าเย็นแล้ว ก็ยังสู้จิตเราเองถึงธรรมไม่ได้
    เพราะฉะนั้น อย่าสนใจที่มิใช่กาย+ใจของตนเอง เพราะความสุขที่แท้จริงมันก็อยู่ภายในจิตตนทั้งนั้น
    อย่าหลงตามหาความสุขภายนอกจิต เพราะท้ายที่สุดก็ต้องพบกับความทุกข์เป็นที่ตั้ง
    โมทนาสาธุ

    ปล. ที่กล่าวไปทั้งหมดนั้น มิได้เพื่อจะมาสอนสั่งผู้ใด พร่ำให้ฟังกันเฉยๆ
    แต่คิดว่ายังมีกายหยาบก็ถือว่ายังเลวอยู่ พยายามแยกจิตออกมาจากทุกสิ่งให้ได้
    จิตอยู่กับธรรมย่อมเห็นแต่ธรรม จิตอยู่กับพระพุทธคุณย่อมเห็นแต่คุณงามความดีของพระพุทธเจ้าตลอด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 สิงหาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...