จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ...สวัสดีค่ะทุกท่าน วันนี้หมูไปแสดงความยินดีกับเพื่อนบัณฑิตที่ศาลายา แต่ไหนๆ จะไปนครปฐมทั้งทีก็ขอให้ได้ไปกราบพระที่พุทธมณฑลสักครั้งหนึ่งในชีวิตก็ยังดี ไปถึงก็กำหนดจิตขอถวายบุญบารมีของเราแด่องค์พระ เป็นพุทธบูชา แต่อากาศร้อนมากค่ะ โล่ง กว้าง แต่ไม่ร่ม


    ..."พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์" เป็นพระพุทธรูปยืนปางลีลาขนาดใหญ่ พุทธลักษณะทรงยกพระบาทขวาจะก้าว ห้อยพระหัตถ์ขวาท่าไกว พระหัตถ์ซ้ายยกเสมอพระอุระป้องไปเบื้องหน้าเป็นกิริยาเดิน หล่อด้วยทองสำริดหนัก 17,543 กิโลกรัม โดยแบ่งหล่อเป็นชิ้นต่างๆ ขององค์พระ รวม 137 ชิ้น แล้วจึงนำไปประกอบกับโครงเหล็กบนฐานพระพุทธรูป เพื่อเชื่อมรอยต่อ และปรับแต่งให้เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นพระพุทธรูปสูง 15.875 เมตร ถือเป็นพระพุทธรูปลีลา หล่อด้วยทองสำริดที่มีลักษณะงดงาม และมีขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์

    ...โดยประยุกต์พุทธลักษณะ มาจากพระพุทธรูปปางลีลาสมัยสุโขทัย โดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ชาวอิตาลี เป็นผู้ออกแบบ ซึ่งในตอนแรกที่ออกแบบไว้นั้น พระพุทธรูปมีความสูงเพียง 2.14 เมตร แต่เพื่อให้สอดคล้องกับโอกาสที่พระพุทธศาสนาอายุครบ 2,500 ปี จึงได้มีการขยายขนาดเพื่อให้ได้เป็น 2,500 กระเบียด (1 กระเบียดเท่ากับ 1/4 นิ้ว) ดังนั้นพระศรีศากยะทศพลญาณฯ ในปัจจุบัน จึงมีความสูงถึง 15.875 เมตร ใหญ่กว่าขนาดต้นแบบ 7.5 เท่า

    ...ความเป็นมาของพระพุทธรูปปางนี้มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษา ณ ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ไม้ปาริฉัตตกะ ณ ดาวดึงส์เทวปโลก เมื่อออกพรรษามหาปวารณาแล้ว จึงเสด็จลงจากเทวโลก ในการเสด็จลงจากเทวโลกนั้นเรียกกันว่า "เทโวโรหณสมาคม"




    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2013
  2. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ...สถานที่ต่อมาที่เราได้ไปเยี่ยมชม คือ "พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย" อยู่ถัดจากพุทธมณฑลไม่ไกลนัก ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งที่หล่อจากไฟเบอร์กลาสแห่งแรกของประเทศไทย เกิดจากแรงดลใจของผู้สร้างสรรค์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งนำโดย อ.ดวงแก้ว พิทยากรศิลป์ มีวัตถุประสงค์ในอันที่จะส่งเสริม เผยแพร่ อนุรักษ์ไว้ซึ่ง ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีของไทย อันจะเป็นประโยชน์ ในการศึกษาค้นคว้าของเยาวชนสืบไป

    ...การจัดแสดงจะจัดหุ่นไว้เป็นชุดๆ อาทิเช่น ชุดพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี ชุดพระอริยสงฆ์ ชุดสมเด็จพระปิยมหาราชกับการเลิกทาส ฯลฯ หุ่นแต่ละรูปนั้นจะมีลักษณะเหมือนคนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นผิว ดวงตา แขน เส้นผม ซึ่งในการจัดแสดงภายในมีการจำกัดเรื่องแสง เวลาเข้าชมหากมาคนเดียวก็หลอนได้ เพราะหุ่นขี้ผึ้งทุกตัวเหมือนคนมากๆ ค่ะ

    ...เข้าไปเยี่ยมชมก็รู้สึกประทับใจกับรูปแทนหลวงพ่อหลายๆ ท่านที่จัดแสดงให้ลูกหลานได้ชื่นชมบารมีท่าน และโดยเฉพาะบูรพมหากษัตริย์ไทย ทั้ง ๙ พระองค์ พระบารมีปกเกล้าฯ ยิ่งใหญ่มากค่ะ



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2013
  3. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ...สถานที่สุดท้ายสำหรับวันนี้ กว่าจะไปถึงก็เกือบห้าโมงเย็นแล้ว เพราะขับรถวนหลงไปหลายเมตร ฮ่าๆ... แต่ขอบอกว่า เพียงแค่ได้เห็นยอดองค์พระปฐมเจดีย์ก็รู้สึกตื้นตัน ปิติใจเป็นอย่างมาก จึงได้กำหนดจิตขออุทิศ แผ่บุญบารมีของเรานำโดยพระบารมีแห่งพระพุทธเจ้านำทาง นำพาบุญไปสู่ทุกดวงจิตทั่วบริเวณค่ะ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    ...องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นปูชนียสถานอันสำคัญของประเทศไทย อยู่ภายในวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร มีประวัติความเป็นมายาวนานในแผ่นดินสุวรรณภูมิ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และประดิษฐาน "พระร่วงโรจนฤทธิ์" ด้วยเจ้าค่ะ

    ...รอบๆ เจดีย์จะมีพระพุทธรูปปางต่างๆ อยู่รอบ และมีบรรยากาศที่ร่มรื่นมากค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรามาตอนเย็นด้วยรึเปล่า ภายในบริเวณดูเงียบสงบ และสุขใจมากค่ะ สุดท้ายก็ขอลาด้วยภาพที่เราถ่ายรูปกับองค์พระสยามเทวธิราช ซึ่งในความรู้สึก (ส่วนตัวล้วนๆ) พระพักตร์ท่านคล้ายกับท่านพ่อมากจึงรู้สึกเคารพและปีติใจกับองค์พระปางนี้เป็นพิเศษค่ะ



    [​IMG]
     
  4. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ...วันนี้ทั้งเหนื่อย เพลีย แต่อิ่มเอิบใจเป็นอย่างมากค่ะ แม้อากาศร้อนเพียงใดแต่ในสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปให้ได้ คือการไปกราบองค์พระฯ ที่พุทธมณฑล และที่พระปฐมเจดีย์ ก็เป็นที่สุขใจอยู่ไม่น้อย เพราะในชีวิตนี้น้อยครั้งที่จะได้ไปเยี่ยมชมพระบารมีแห่งองค์พระเปี่ยมบารมี และมีชื่อเสียงทั้วทิศได้มากนัก


    [​IMG]

    [​IMG]


    ...คืนนี้หมูขอส่งทุกท่านเข้านอน ดื่มนมอุ่นสักแก้ว (แล้วอย่าลืมบ้วนปากนะ คิคิ) แล้วเข้านอน... นอนหลับพักผ่อน ให้จิตใจสงบร่มเย็น มีแต่ศีลและธรรมอยู่ในใจและนำจิตใจตลอดไป ขอพระบารมีแห่งสมเด็จองค์ปฐมและพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อำนาจพระพุทธคุณแห่งพระรัตนตรัย ขอจงเสด็จ สถิตย์ ณ กระทู้แห่งนี้, ณ เว็บแห่งนี้ และสถิตย์ในดวงใจ ดวงจิตของทุกคนที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมกระทู้ และเคยได้ไปเยี่ยมชมสักการะ "องค์พระพุทธรูปแทนพระพุทธเจ้าทุกองค์" ให้ได้รับพลังบุญอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันตราบจนดวงจิตผู้นั้นเข้าสู่พระนิพพานตลอดไป... สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2013
  5. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
  6. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]
    "ขอจิตเจ้า...อยู่กับพ่อนะลูก"
     
  7. katoonuk

    katoonuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2013
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +135
    สวัสดีคะ พี่ชาวจิตบุญทุกๆท่าน และเพื่อนๆร่วมโลกทั้งหลายที่แวะเวียนมาอ่านกระทู้นี้ จากที่ตูนได้ปฏิบัติจิตเกราะพระ จนปัจจุบันจิตยกแล้วก็ตาม ทุกๆวันนี้ตูนก็ยังคงปฏิบัติต่อไป จนหมดสิ้นอายุของตูนนะคะ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนว่า สิ่งที่ท่านสอนนั้นจงอย่าเชื่อทั้งหมดต้องนำไปปฏิบัติแล้วพิจารณาเอาเองนะว่าน่าเช่ือถือหรือไม่ เช่นกันนะคะตูนได้นำข้อความบางตอนของหนังสือที่ตูนได้อ่านมาแบ่งให้เพื่อนๆและพี่ๆได้แบ่งบันความคิดนะคะ ซึ่งข้อความนั้นก็มีอยู่ว่า ในปายาสิสูตร (พระไตรปิฏกเล่มที่10 ) มีการกล่าวถึงวาทกรรมเรื่องแนวความคิดนี้ของบุคคลสำคัญ2 ท่าน ก็คือ พระกุมารกัสสปะกับเจ้าผู้ครองนครปายาสิ(ซึ่งได้เป็นอรหันต์) เมื่อศึกษาแล้วพบว่า ทั้งสองท่านถือเป็นตัวแทนของแต่ละแนวคิดในยุคนั้นได้ดี พระเจ้าปายาสิ เจ้าผู้ครองนครเสตัพยะ ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ในปกครองของแค้วนโกศล มีความเห็นหรืแนวความคิดในทางที่เชื่อว่า ตายแล้วสูญ ปรโลกไม่มี ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี
    วันหนึ่งได้มีโอกาสสนทนาเรื่องความเห็นของพระองค์กับพระกุมารกัสสปะผู้เป็นอรหันต์รูปสำคัญรูปหนึ่ง ซึ่งพาพระลูกศิษย์จำนวน 500 รูปจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาถึงเมือเสตัพยะ
    การสนทนานั้นน่าสนใจ มีลักษณะโต้แย้งหาเหตุผลทางวิชาการ มีคุณค่าควรแก่การศึกษาของคนยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุควิทยาศาสตร์ ที่เน้นว่า สิ่งที่เป็นจริงต้องสัมผัสได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หากสัมผัสไม่ได้ตามทางดังกล่าวก็แสดงว่าไม่จริงตลอดการสนาทนา พระเจ้าปายาสิยืนยันความเห็นหลักของพระองค์อยู่แต่ว่า
    ปรโลกไม่มี สัตว์ประเภทโอปปาติกะ(ตายแล้วเกิดทันทีรวดเร็วเหมือนผุดขึ้น)ไม่มี ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี ส่วนพระกุมารกัสสปะก็พยายามอธิบายให้พระองค์เห็นว่า
    :ปรโลกมี สัตว์ประเภทโอปปาติกะมี ผลของกรรมดีกรรมชั่วมี:
    การสนทนาครั้งนี้ถือเป็นวาทกรรมครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง มีขึ้นต่อหน้าพราหมณ์(ผู้เป็นนักวิชาการ)และคหบดี(ผู้เป็นเศรษฐี) ชาวเมืองเสตัพยะจำนวนมาก อีกทั้งยังมีพระลูกศิษย์ จำนวน 500รูป
    ปายาสิ:พระคุณเจ้า โยมมีความเห็นว่า ปรโลกไม่มีจริง สัตว์ประเภทโอปปาติกะไม่มีจริง ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มีจริง
    พระเถระ: ขอถวายพระพร อตมาเคยได้เห็นได้ฟังคนมีความเห็นอย่างนี้มาแล้ว ทำไมเขาจึงกล้ากล่าวว่า ปรโลกไม่มีจริง สัตว์ประเภทโอปปาติกะไม่มีจริง ผลของกรรมดีกรรมชั่วไมีมีจริง อาตมาขอถามกลับว่า ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ที่เห็นกันอยู่นี้มีอยู่ในโลกนี้หรือในปรโลก ผู้ที่อยู่ในดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เป็นเทวดาหรือมนุษย์เล่า
    ปายาสิ: ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ที่เห็นกันอยู่นี้มีอยู่ในปรโลก ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ส่วนผู้ที่อยู่ในดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เป็นเทวดา ไม่ใช่มนุษย์
    พระเถระ: ขอถวายพระพร เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ขอให้เชื่อเถิดว่า ปรโลกมีจริง สัตว์ประเภทโอปปาติกะมีจริง ผลของกรรมดีกรรมชั่วมีจริง
    ปายาสิ: พระคุณเจ้า พูดมาก็จริง แต่อย่างไรเสีย โยมก็คงยืนยันความเห็นเดิมว่าปรโลกไม่มีจริง สัตว์ประเภทโอปปาติกะไม่มีจริง ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มีจริง
    ตกนรกเหมือนติดคุก
    ปายาสิ: โยมมีเหตุที่ทำให้ยืนยันความเห็นนั้น ก็คือว่า สมณะและพราหมณ์เคยสอนกันว่า คนที่มักฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดหยาบคาย พูดเพ้อเจ้อ อยากได้ของผู้อื่น มีจิตพยาบาท มีความคิดเห็นผิด ตายแล้วก็จะเกิดในนรก เมื่อคราวที่มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตที่เป็นคนอย่างนั้นของโยมเกิดเจ็บป่วยหนัก โยมก็เข้าไปหาแล้วอ้อนวอนเขาว่า เมื่อตกนรกแล้วก็กลับมาบอกโยมด้วย เพื่อเป็นการยืนยันว่า ปรโลกมีจริง คนเหล่านั้นรับปากแต่ไม่มีใครเลยมาบอกโยมด้วยตัวเอง ทั้งไม่ได้ส่งฑูต(ตัวแทน)มาบอก ดังนั้นโยมจึงสรุปว่า ทั้งหมดที่ว่าไม่มีจริง
    พระเถระ: ขอถวายพระพร คนตกนรกเหล่านั้นไม่กลับมาบอก ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่สามารถขออนุญาตนายนิรนบาล(คนเฝ้าประตูนรก) กลับมาบอกได้ อาตมาจักอุปมาถวาย มีโจรร้ายถูกจับได้ เจ้าหน้าที่จึงปฏิบัติตามพระราชอาชญา คือเอาเชือกเหนียวมัดแขนไพล่หลัง โกนหัว เคาะบัณเฑาะว์เสียงกร้าว พาตระเวณไปตามถนนตายซอยเป็นการประจานแล้วพาตัวออกไปทางประตูด้านทิศใต้ แล้วให้นั่งที่แดนประหารทางทิศใต้ของเมือง ยามนั้นโจรจะสามารถขอโอกาสจากเพชฌฌาตไปเยี่ยมมิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตที่หมู่บ้านเดิมก่อน แล้วจึงกลับมาให้ท่านประหารได้หรือไม่ หรือว่าเขาจะถูกตัดศีรษะทั้งที่ยังคร่ำครวญอยู่เล่า
    ปายาสิ: พระคุณเจ้า โจรไม่สามรถขอโอกาสจากเพชฌฆาตได้เลย มีแต่จะถูกตัดศีรษะถ่ายเดียว
    พระเถระ: สัตว์นรกก็เช่นกัน เขาก็ไม่สามารถจะขอโอกาสมาได้
    พระคุณเจ้าพูดมาก็จริง แต่อย่างไรเสียโยมก็ยังยืนยันความเห็นเดิมว่าปรโลกไม่มีจริง สัตว์ประเภทโอปปาติกะไม่มีจริง ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มีจริง
    สุดท้ายนี้ตูนก็ขอสรุปว่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางตอนที่ตูนได้อ่าน เพราะเนื้อหานั้นเยอะพอสมครว ยิ่งอ่านก็ยิ่งทำให้คิดได้ว่า ปัญญาของผู้ที่ฝึกแล้วปฏิบัติมาดีนั้น ท่านมีทั้งเหตุและผลจริงๆ ซึ่งเราสามารถนำมาปฏิบัติและคิดตามได้ด้วยจิตของตนเองว่าถูกหรือผิด ซึ่งในตอนสุดท้ายของบทสนทนานั้น
    พระเจ้าปายาสิ ได้กล่าวกับพระเถระว่า พระคุณเจ้า โยมชื่นชมยินดีพระคุณเจ้าตั้งแต่ได้ฟังอุปมาข้อแรกแล้ว แต่ที่โต้แย้งก็เพราะอยากฟังการกล่าวแก้คำถามที่งดงามของพระคุณเจ้า คำพูดของพระคุณเจ้าไพเราะยิ่งนัก พระคุณเจ้าแสดงธรรมด้วยการบรรยายต่างๆ เหมือนคนหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดภาชนะที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดให้คนตาดีเห็นรูป โยมขอถึงพระพุทธเจ้า(พระศาสดาของพระคุณเจ้า)พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์เป็นที่พึ่งตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระคุณเจ้าจงจำโยมไว้ว่าเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต และเช่นเดียวกันกับตูนคะเพราะยิ่งได้อ่านทั้งหมดนั้นตูนก็มีความรู้สึกเช่นดังพระปายาสิ
    ปล. จากหนังสือคนตายกลับบ้านได้ โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บรรจบ บรรณรุจิ เพื่อพี่ๆบางท่านหรือผู้ที่เข้ามาอ่านในกระทู้สนใจที่จะอ่านทั้งหมด นะคะ (ที่สำคัญอย่างยิ่งนะคะ ต้องใช้จิตกับสิตอ่านไปพร้อมๆกัน พระว่าเล่มนี้ตูนอ่านครั้งแรก รู้สึกเฉยๆนะคะ แต่รอบสองนั้นรู้สึกเหมือนอย่างที่บอกนะคะ คล้ายท่านปายาสิ นะคะ)
    สาธุ
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การปฏิบัติในอริยสัจธรรมทั้งสี่...ซึ่งเป็นหลักอันถูกต้องดีงาม

    และเป็นที่พึ่งอันอุดมสูงสุด...ผู้ปฏิบัติด้วยความเข้มแข็ง ย่อมรู้แจ้งสัจธรรมทั้งสี่โดยรอบ

    ภายในใจถึงความบริสุทธิ์...คำว่า "บริสุทธิ์" นี้ เราเคยได้ยินมานานอะไรบริสุทธิ์เราก็ชอบ

    ...ยิ่งจิตใจบริสุทธิ์ด้วยแล้วเป็นสิ่งที่ "ร่ำลือ" มาก ประหลาดอัศจรรย์...หาอะไรเสมอ

    เหมือนไม่ได้ในโลกทั้งสาม...เพราะฉนั้น พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ซึ่ง

    เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ด้วยกัน...จึงเป็น "สรณะอันประเสริฐของโลก" โลกได้กราบไหว้บูชา

    ...พระธรรมคำสั่งขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี...

    ...น้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ...
     
  9. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    -ผู้ไม่ประมาทแล้วในกาลก่อน...ภายหลังไม่ประมาท-

    ...ชื่อว่ายังตนในโลกนี้ให้สว่างได้...

    ...เหมือนพระจันทร์ที่ออกแล้วจากเมฆ...

    ...เพราะฉนั้นที่แล้วก็แล้วไป...อนาคตอย่าไปคิดถึง...ให้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด...

    ...แล้วจิตของเราก็จะมีความบริสุทธิ์...

    ...คำสอนของหลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่...

    ...กราบนมัสการ และกราบขอบพระคุณหลวงปู่ขอน้อมรับคำสอนของหลวงปู่ค่ะ...
     
  10. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    เอ๊ะ... นายแบบ นางแบบ สองคนนี้หน้าคุ้นๆ .... นายแบบ นางแบบ ของสมาคมจิตเกาะพระ นี่เอง ... ไปทัวร์ไหว้พระ ทำบุญ...โมทนาสาธุด้วยค่ะ ที่นำเอาภาพสวย มาฝากให้พวกเราได้ชมกัน แหม ! ยิ่งทำให้เรา คิดถึงเมืองไทยมากขึ้นเลยเนี่ย.;aa21
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2013
  11. บุญ+ทา

    บุญ+ทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +664
    ทำไมยิ่งมองยิ่งชัด

    เรียน ท่านอาจารย์ ทำไมดิฉันยิ่งมองนานๆ ภาพนี้จึงยิ่งชัด มีอาการหัวใจเต้นเร็ว มีปฏิกิริยาภายในฐานของจิต หัวใจ ใต้ลิ้นปี ศูนย์กลางกาย ซาบซ่านเหมือนรับพลังงาน ขนลุกทั่วตัวค่ะ ยิ่งมองนานๆ ภาพยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ ควรใช้ภาพนี้ในการฝึกเกาะพระหรือไม่ค่ะ ขออนุโมทนาบุญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2013
  12. รรรรรรฤ

    รรรรรรฤ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +9
    ลองปรับBrightness-Contrastที่จอคอม จะยิ่งเห็นชัดขึ้นกว่าเดิมครับ
     
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    " ทาน ๓ อย่างที่ได้จากการเจริญกรรมฐาน"

    ถ้าได้สติสัมปชัญญะแล้วจะพบทาน ๓ อย่าง...

    ...ทานที่ ๑ คือ ให้แล้วไม่หวังผลตอบแทน...

    ...ทานที่ ๒ คือ ธรรมทาน ให้ธรรมะเป็นทาน...พิมพ์หนังสือสวดมนต์บ้าง...

    ...พิมพ์หนังสือธรรมะแจกกัน...เรียกว่าธรรมทาน มันก็ได้ผล ทานข้อแรกคงไม่ใช่

    -สัปปุริสทาน มันเป็นสังฆทานนะ ทานกรรมฐานเป็นสังฆทานแน่เพราะจิตไม่หวังผล

    ...ก็ต้องเป็นสาธารณประโยชน์สาธารณชนทั่วไป...

    ...ทานข้อที่ ๓ ของกรรมฐาน คือ อภัยทาน ให้อภัยได้ อภัยโทษไม่โกรธ

    -กันเรียกว่าทานกรรมฐาน ถ้าโยมไม่เจริญกรรมฐาน รับรองหมื่นเปอร์เซ็นต์ จะให้อภัย

    ...ใครไม่ได้...ผูกพยาบาทตลอดเวลา ถ้าไม่มีกรรมฐานแล้วท่านจะอภัยทานได้ยาก...

    ...อโหสิกรรมกันได้ยากมีแต่ผูกใจโกรธ ผูกพยาบาท ฆ่ารันฟันแทงกัน ถึงคนนั้นจะ...

    ...บริจากทาน สร้างวัดสร้างวากี่วัดก็ตาม...ก็ยังให้อภัยทานไม่ได้ ท่านต้องมีจิตสูงใน...

    ...กรรมฐาน...ต้องมีสติปัฏฐานกำหนดจิต รู้หนอ ๆ รู้อย่างไร...รู้ว่าเราโกรธเขา รู้หนอๆ

    ...อย่าโกรธเลย...ให้อภัยเขาเถอะ มันด่าเรากำหนดต่อไป ด่าเรายังโกรธ ก็โกรธหนอๆ

    ...อ๋อบัดนี้ ข้าพเจ้าไม่โกรธแล้ว เพราะข้าพเจ้ามีกรรมฐาน ข้าพเจ้าไม่ขอโกรธท่าน...

    ...เรียกว่าอโหสิกรรม...คัดจากหนังสือแสงเทียนส่องธรรม หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมุโม.

    ...กราบน้อมรับพระธรรมคำสอนของหลวงพ่อเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...
     
  14. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    "ความยึดติดของใจคน" มันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนเราเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถ่องแท้ เพราะว่าการศึกษาพระธรรมวินัยไม่ได้เรียนรู้ได้ด้วยตำราหรือพระไตรปิฎกอย่างเดียว ต้องปฏิบัติด้วย ฉะนั้นจึงเห็นคิดเห็นที่แตกต่างกันไปทั้งๆ ที่เป็นธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าสอนแท้ๆ บางครั้งก็ทะเลาะกันเรื่องพระธรรมวินัย หรือยึดติดกับตัวบุคคลเพราะว่าความรักความศรัทธาที่มีอยู่มาก เลยตัดไม่ได้ ว่าเขาเป็นครูบาอาจารย์เราเขาไม่น่าเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ การที่เอาคนหรือปุถุชนมาทำพระ ต้องมีวันเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน "จะว่าแต่เอาคนมาทำพระเลย ขนาดเอาหิน ปูน ทราย ทองเหลืองหรือไม้หรือวัตถุอะไรก็ตามมาทำเป็นรูปพระ คนที่ใจปล่อยวางไม่เป็นยังเอาไปฝังดินหรือเอาน้ำกรดราดก่อนฝังและเผาให้สิ้นซาก ทั้งๆ ที่สะสารไม่ได้สูญหายไปจากโลกนี้แค่เปลี่ยนสภาพไปเท่านั้นเอง" ถ้าใจเข้าถึงธรรมเมื่อไร เขาก็จะเห็นโลกทั้งโลกเพียงสักแต่ว่า เท่านั้นเอง สาธุุๆๆ
    ที่มา ธรรมะของพระอาจารย์พระอ๊อด วัดสันติวงศาราม เบอร์บิ่งแฮมuk
    ขอน้อมกราบนมัสการพระอาจารย์ และในธรรมทานที่ท่านได้เมตตาแสดงธรรมในครั้งนี้ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูงค่ะ
     
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    มรณานุสสติในชีวิตจริง

    มรณานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานสำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พึงหมั่นระลึกอยู่เสมอ ดังที่ พระองค์ทรงตรัส กับ พระอานนท์ ว่า "ตถาคตระลึกถึง ความตายอยู่ ทุกลมหายใจ " เป็นข้อธรรม ที่สามารถหยุดยั้ง ความไม่ประมาทในชีวิต ได้อย่างชะงักเลยทีเดียว.... ในการปฏิบัติธรรม เพื่อให้ จิตเข้าสู่ ความเป็นพระอริยะ ได้นั้น จิตจะต้องยอมรับความเป็นจริงข้อนี้ ว่า "ชีวิตนั้นเป็นของไม่เที่ยง แต่ ความตายเป็นของเที่ยง" เรามักได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆ ครูบาอาจารย์ ต่างก็ย้ำเตือนกันอยู่เสมอ ... แต่ก็นั่นแหละ มันมักจะไม่ค่อยซึมเข้าสู่ จิต สักเท่าไหร่ ...
    ถ้าหากว่า ไม่ได้ประสบพบเองกับเหตุการณ์ ที่ความตายเข้ามาเยือนตัวเรา หรือ บุคคลใกล้ชิดของเรา เราก็มักจะไม่คิด หรือคิดแต่ก็เพียงแต่ท่องเอา ผิวเผิน เท่านั้น ...แล้วเราก็มักจะปล่อยชีวิต ให้ดำเนินไปตาม กระแสโลก กระแสกิเลส เหมือนปล่อยตัวลอยตามน้ำตามยถากรรม โดยลืมคิดว่า เราจะตายได้นะ เราตายเดี่ยวนี้ นะ ไม่ใช่เดี่ยวหน้า...ลมหายใจนี้เท่านั้น แค่ ลมหายใจเข้าและออก เท่านั้น ... อย่าคิดว่า มันเกิดขี้นกับ คนอื่นแล้วจะไม่เกิด
    ขี้นกับเรา ...เพราะ ความตายนั้น ไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมายบอกให้รู้ล่วงหน้าใดๆ ทั้งสิ้น ...

    เหมือนอย่างเหตุการณ์จริง ที่เกิดขี้น กับ คนใกล้ชิด ของเพื่อนจิตบุญ ท่านนึง เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ... ดิฉันได้รับโทรศัพท์ จากเพื่อนคนนี้ ว่าเขาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของครอบครัว ไปอย่างไม่มีวันกลับ และเกิดอย่างกระทันหันมาก ไม่มีวี่แววใดๆ เลย ...คุณแม่สามี หัวใจวายตายกระทันหัน ...คุณแม่ อายุ 77 ปีแล้ว แต่ก็ยังดูแข็งแรงอยู่ มีโรคประจำตัวนิดหน่อย เป็นคน ร่าเริง สดชื่น แต่งตัวสวย สมาร์ท อยู่ตลอดเวลา กำลังเตรียมตัว จะออกไปข้างนอก งานกิจกรรม โรงเรียนของหลาน ในบ้านพักอาศัย กัน 4 คน เป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดกันมาก เหตุเกิดเช้าวันเสาร์ หลังรับประทาน อาหารเช้าเสร็จ เตรียมแต่งตัวจะไปข้างนอก (ซึ่งขณะนั้น อยู่กัน3 คน คุณย่า ลูกสาว และเพื่อน ส่วนสามีไปทำงาน..). เพื่อนสังเกตุเห็นความผิดปกติ ว่า คุณแม่หายตัวไป คงประมาณ 30 นาที เพราะยังสังเกตุ ถ้วยน้ำชา ของคุณแม่ยังตั้งไว้ ยังไม่ได้ดื่ม แต่น้ำชาเย็นแล้ว ... ก็สงสัย ออกตามหาทั่วบ้าน ...ก็พบคุณแม่ นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น ตรงระเบียงบ้าน สิ้นลมแล้ว ... นาทีนั้น เธอเล่าว่า ...ตกใจ... แต่ สติ ที่ได้รับการฝึกมาดี ... ช่วยเธอได้ เธอตั้งสติ ทันที เรียก 999 รถพยาบาลฉุกเฉิน ...เธอเล่า ให้ฟังว่า เธอทันทีที่สัมผัส ร่างกายของคุณแม่ เมื่อธาตุลมดับ ตัวเย็นแล้วตั้งแต่ ปลายเท้ามา เนื่องจากเป็น คนผอมด้วย สีของผิว ก็ซีดแบบซากศพแล้ว แต่ช่วงบน ยังพออุ่นอยู่บ้าง สภาพศพ ของคนที่ขาดอากาศ หายใจ เป็นอย่างไร..คงจะนึกภาพกันออกนะคะ ... ทั้งหมดที่เธอเล่าให้ฟัง ก็คือ เธอประคอง ร่างกาย ของ คนที่ไร้วิญญาน คนที่จิตออกจากร่าง ไปแล้ว ไว้ในอ้อมแขน เธอ ทำให้เธอได้ พิจารณาอสุภะกรรมฐาน อย่างชัดๆ ไอ้ที่เห็น ตามภาพ หรือ เคยพิจารณา ในสมาธิ นี่ มันไม่เท่ากับ เห็นของจริง ...

    สติ... คำนี้ คำเดียวจริงๆ ที่ต้องมีไว้เสมอ... แต่ด้วยความที่ ฝึกสติ ฝึกจิต มาดี เธอผ่านการยอมรับกฏของธรรมดา ข้อนี้ อย่างไม่ต้องสงสัย ... มาเล่าให้พี่แนทฟังเป็นธรรมทานว่า นี่คือ เหตุการณ์จริง ที่เกิดขี้นกับหนู ..มันแค่นี้ จริงๆนะ ...ถ้าสิ่งที่เกิดขี้น ไม่ใช่ คุณแม่สามี ...คนนั้นอาจเป็นหนู ก็ได้ แล้วยังไง ...ชีวิตมันแค่นั้นจริงๆนะ ..มันไม่มีอะไรเลย เราเอาอะไรไปไม่ได้เลยจริงๆ....เขาก็มาเก็บเอาไอ้ร่างกายนี้ ใส่ถุงพลาสติก รูดซิป เก็บไปทันที ไปรอชันสูตรศพ ไปไว้ในห้องเย็น ที่โรงพยาบาล ....แค่นี้ จริงๆ

    เหตุการณ์ที่เกิดขี้นครั้งนี้ ทำให้ได้สัมผัส สัจธรรมของจริง... ได้ข้อธรรม มาพิจารณา น้อมเข้ามาหาตัวเราทันที ถึง สอง กรรมฐาน มรณานุสสติกรรมฐาน และ อสุภกรรมฐาน
    แล้วเรายังจะมัวหลงเพลิดเพลินอยู่กับ ความเป็นมนุษย์ กันอยู่อีกอย่างนั้นหรือ? ...และถ้าเหตุการณ์ ที่ว่านี่ เกิดขี้นกับเราล่ะ? เรากำหนดที่ไป ของเราชัดเจนแล้วหรือยัง? ...ตอนที่จิตจะออกจากร่างกายนี่นะ... เราจะมี สติสัมปัชชัญญะ รู้ตัวหรือเปล่า? แล้วอารมณ์จิตเราขณะนั้น อยู่ในฝ่ายกุศล หรือ อกุศล ? ...ไอ้ที่เราทั้งหลาย ฝึกกันอยู่เนี่ย ก็เพื่อ เสี้ยวนาที ที่สำคัญนี่ เท่านั้นเอง ...


    ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลและ ผลบุญ ในธรรมทานครั้งนี้ อุทิศให้แก่ ผุ้ตาย คุณแม่ Novella Highland ขอดวงวิญญานของคุณแม่ จงสู่สุขคติภพด้วยเทอญ...

    ขอบคุณ จิตบุญ น้องเป้ ที่เล่าเรื่องนี้ เป็นธรรมทานค่ะ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2013
  16. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=5DZFxBeoE9Y]หลวงตาพระมหาบัว ตอบธรรมะ ห้ามพลาด - YouTube[/ame]


    นาทีที่ 17:15 ขอให้ตั้งใจฟังให้ดีๆ น่ะค่ะ

    โมทนาสาธุ

    ลูกขอน้อมกราบหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ _/\_
     
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย เสียงทำวัตรสวดมนต์จบไปแล้ว วันนี้ทั้งวันที่ผ่านมาท่านพยายามใคร่ครวญอารมณ์จิตของท่านหรือเปล่า ว่าเวลาไหนจิตตก อยู่ในจริตอะไร และก็ใช้พระกรรมฐานถูกต้องกับอารมณ์จิตหรือเปล่า

    ถ้าบังเอิญลืมไปละก็ จงอย่าลืมนึกถึงพระพุทธภาษิตว่า "อัตตนา โจทยัตตานัง" จงเตือนตนด้วยตนเองไว้เสมอๆ อย่าพลาด! เรื่อง "สติสัมปชัญญะ" นี่มีความสำคัญมาก

    และการเจริญพระกรรมฐานในพระพุทธศาสนา เราจะเอาดีได้ก็อาศัย "สติสัมปชัญญะ" เท่านั้น หรือว่าเราจะทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เหมือนกัน ถ้าขาด "สติสัมปชัญญะ" เสียแล้วก็หมดดีกัน
    "สติ" แปลว่า อารมณ์ที่คอยนึกเข้าไว้ นึกว่าเราจะทำอะไร
    "สัมปชัญญะ" แปลว่า รู้ตัว เราต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเวลานี้เรากำลังทำอะไร ทำแล้วหรือยัง เสร็จหรือไม่เสร็จ ทำถึงอันดับไหน

    นี่เราจะต้องใช้ "สติสัมปชัญญะ" ควบคุมอยู่ตลอดเวลา ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็น "ศากยบุตรพุทธชิโนรส" เป็นลูกของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเองพระองค์ก็ตรัสว่า
    "พระองค์ก็ทรงมากไปด้วยอานาปานุสสติกรรมฐาน"

    เคยตรัสกับ พระสารีบุตร ไว้อย่างนั้น นี่หมายความว่าการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกนี้มีความสำคัญ มีการทรงตัวดีมาก ทำให้จิตทรงสมาธิ การทรงลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ละเอียด เมื่อทรงลมหายใจเข้าออกได้แล้วจิตก็ไม่ฟุ้งซ่าน แล้วก็ตัดนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจะ คือตัวฟุ้งซ่านและรำคาญใจเสียได้

    นี่อีกข้อหนึ่งที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสกับ พระอานนท์ ว่า
    "ตถาคตเองนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก"แล้วเวลานี้ท่านทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา คิดเหมือนพระพุทธเจ้าบ้างหรือเปล่า วันๆ หนึ่งเรานึกถึงความตายกี่ครั้ง วันๆ หนึ่งเรานึกถึงลมหายใจเข้าออกบ้างหรือเปล่า แล้วเอา "สติสัมปชัญญะ" คุมใจไว้หรือเปล่า ว่าเวลานี้อารมณ์ใจของเราเป็นยังไง หลงในความสดสวยงดงามหรือเปล่า ถ้าหลงในความสดสวยงดงามก็อย่าลืม "กายคตานุสสติกรรมฐาน" กับ "อสุภกรรมฐาน" ใช้ทันทีเป็นเครื่องปราบปรามกัน ให้เห็นตามความเป็นจริง ใช้ปัญญาควบคุมด้วย อย่าใช้แต่อารมณ์สมาธิธรรมดา เพราะกรรมฐานทั้ง ๒ ประการ เป็นกรรมฐานพิจารณา

    และอารมณ์ของท่านมีความหงุดหงิด มีความกลุ้ม มีความโกรธ มีความขัดข้องบ้างหรือเปล่า เวลาไหนถ้ามีอารมณ์อย่างนี้เกิดขึ้นใช้ "พรหมวิหาร ๔" หรือ "กสิณ ๔" อย่าง คือ กสิณสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว อย่างใดอย่างหนึ่งเอาเข้ามาทับจับใจเข้าไว้ แทนอารมณ์ความโกรธ ความโกรธก็จะสิ้นกำลังไป

    นี่ถ้ามีความหลงว่านี่เป็นเราเป็นของเรา มีการตัดสินใจไม่ตกลงในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างหรือเปล่า ถ้ามีอยู่ใช้ "อานาปานุสสติ" คือกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว ตัดอารมณ์นั้นเสีย

    ท่านมีความเชื่อมีศรัทธาในพระพุทธเจ้า มั่นใจในพระพุทธเจ้าบ้างหรือเปล่า ถ้ามั่นใจในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อารมณ์นี้ก็สนับสนุนไม่ใช่ตัด คือใช้สนับสนุนด้วยการนึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณศีล คุณทาน หรือความดีของเทวดา อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการสนับสนุนใจ

    เวลานี้ท่านมีอารมณ์ฉลาดไหม เวลานี้มีใจปลอดโปร่งไหม ว่าของสวยไม่มีในโลก และสิ่งที่น่าเกลียด น่าโกรธ น่าทำร้ายไม่มีในโลก เพราะมันต้องพังต้องตายทั้งหมด วัตถุก็พัง คนก็ตาย สัตว์ก็ตาย จะไปฆ่าเขาทำไม จะไปโกรธเขาทำไม และความจริงในโลกมีหรือเปล่า ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน "ชาติปิ ทุกขา" ความเกิดเป็นทุกข์ เกิดขึ้นมาแล้ว เกิดนำเอาอะไรมาทุกอย่างที่เคยพูดมาแล้วเป็นเหตุให้ทุกข์ เคยคิดถึงบ้างหรือเปล่า เวลานั้นถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ ถ้าเคยคิดว่ามันเป็นอย่างนั้นก็แสดงว่าความฉลาดเกิดขึ้น
    เห็นความเกิดเป็นทุกข์ อาการทั้งหมดของโลกทุกอย่างทุกสิ่งไม่ว่าอะไรทั้งหมดเป็นของไม่เที่ยง แล้วก็สลายตัวไปในที่สุด โลกเป็นแดนของความทุกข์ โลกไม่ใช่แดนของความสุข เราไม่ต้องการโลกนี้ เราต้องการอย่างเดียวคือ..."พระนิพพาน"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2013
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ผู้มีจิตใจสูงจะอดทนต่อผู้ที่มีความรู้ต่ำกว่าตน

    -เราอย่าไปถือคำตนที่เขาไม่รู้...อดทนต่อคนที่ไม่รู้นั้น...

    ...ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตใจสูง...ตามคติโบราณที่ว่า...

    "อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา จงดูใจเราเอง...

    ...คัดจากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ (พระธรรมมังคลาจารย์ วิ.อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะหลวงปู่ทอง)

    ...วัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร อ.จอมทอง จ. เชียงใหม่...

    ...น้อมรับพระธรรมคำสอนของหลวงปู่เจ้าค่ะ กราบนมัสการหลวงปู่ค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2013
  19. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ความไม่เที่ยงของกระทู้

    ตอนแรกที่เข้ากระทู้เดิม กลายเป็นของต่างชาติไป ก็งงๆอยู่ คิดว่ากระทู้จิตพร้อมก็คงหายไปด้วย แต่ก็ยอมรับในความจริงอันนั้น เพราะมันไม่เที่ยง...

    พอมาเจอกระทู้อีกครั้ง ความคิดวูบว่าดีใจ แต่ดูจิตยังนิ่งๆอยู่

    ขอบคุณ ครูบาอาจารย์และกระทู้จิตพร้อม ที่ช่วยเตรียมจิตให้...ในระดับหนึ่ง

    สิ่งสำคัญ สุดท้ายทุกท่านคงต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอสำหรับการละขันธ์ ของตัวเอง
     
  20. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ศีล
    “…ถ้ารักษาศีลดีแล้ว เมื่ออบรมสมาธิเข้า มันจะมีความสงบ มันลงเร็ว ถ้ามันขัดข้อง ก็หมายว่าศีลของเราข้อใดข้อหนึ่งผิดพลาดไป มันจึงขัดข้อง ไม่ลง ถ้าศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้ว เหมือนกับเขาจะปลูกบ้านปลูกช่อง เขาจะปราบพื้นที่เสียก่อน ฉันใดก็ดี ศีล พวกเรารักษาดีแล้ว ก็เหมือนปราบพื้นที่จนไม่มีหลักมีตออะไรแล้ว ปลูกบ้านมันก็ได้ดี ไม่มีความเดือดร้อน จิตมันก็ไม่มีความเดือดร้อน มันก็สงบอยู่ จะลงอยู่ เพราะมันเย็น มันราบรื่น ไม่มีสิ่งลุ่มดอน

    พากันทำไป อุตส่าห์ทำไป อิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน พระพุทธเจ้าไม่ห้าม แล้วก็ไม่ใช่เป็นของหนักของลำบาก นึกเอาแต่ในใจ จะเอาอะไรก็ตาม แล้วแต่ความถนัด แล้วแต่จริตของเรา มันถูกอันใด สะดวกใจ สบายใจ หายใจดี ไม่ขัดข้อง ไม่ฝืดเคือง อันนั้นควรเอามาเป็นอารมณ์ของเรา เอา พุทโธ ๆ หมายว่าให้ใจหยุด เอาพุทโธเป็นอารมณ์นั่นแหละ

    ต้องการไม่ให้จิตมันออกไปสู่อารมณ์ภายนอก อารมณ์ภายนอกมันก็ไปจดจ่ออยู่กับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความถูกต้องทุกสิ่งทุกอย่าง มันไปจดจ่ออยู่ที่นั่น จิตมันจึงไม่ลง พวกนี้เรียกว่านิวรณ์ เรียกว่าเป็นมาร จึงว่าให้มีสติ อย่าให้มันไป กุมไว้ให้มันอยู่กับที่นี้ ให้เอาพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ พระธรรมเป็นอารมณ์ พระสงฆ์เป็นอารมณ์ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ตาม หรือจะเอาอัฐิ ๆ กระดูก ๆ ก็ตาม

    ให้นึกอยู่อย่างนั้น ยืนอยู่ก็ตาม เดินอยู่ก็ตาม นั่งอยู่ก็ตาม นอนอยู่ก็ตาม เอามันอยู่อย่างนั้นแหละ หลับไปแล้วก็แล้วไป อุตส่าห์ มันก็เป็นของไม่เหน็ดไม่เหนื่อย พระพุทธเจ้าก็ว่าไว้อยู่ ผู้ที่ภาวนา จิตสงบลง แม้ชั่วเวลาช้างพับหู งูแลบลิ้น อานิสงส์ก็อักโขอักขัง ทำไป มันมีสามสมาธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ขณิกสมาธินี่เราบริกรรมไป บริกรรมไป ว่าพุทโธก็ตาม อะไรก็ตาม รู้สึกว่าสบาย ๆ เข้าไปสักหน่อย จิตสงบเข้าไปสักหน่อย ถอนขึ้นมา ก็กลับเป็นอารมณ์ของเก่ามัน นี่ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ลงไปนาน ๆ สักหน่อย ถอนขึ้นมาอีก ไปสู่อารมณ์อีก ภาวนาไป ๆ มา ๆ อย่าหยุดอย่าหย่อน แล้วมันจะค่อยเป็นไปเอง

    ทำไป ๆ จะให้มันเสียผล มันไม่เสีย ต้องทำไป เป็นก็ไม่ว่า ไม่เป็นก็ไม่ว่า แล้วแต่ อย่าไปนึกว่าเมื่อไรมันถึงจะลง จิตนี่ อย่าไปนึก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำความเพียร เราทำเพื่อจะเอาเนื้อและเลือด ชีวิตจิตใจถวายบูชาพระพุทธเจ้า ถวายบูชาพระธรรม บูชาพระสงฆ์ต่างหาก

    ความอยากนี่ให้เข้าใจว่า นั่นแหละคือหน้าตาของตัณหา อยากให้มันเป็น อยากให้มันลงเร็ว ๆ อันนั้นมันตัวร้ายละ หน้าดำละ ความอยากของมันมืดละ ให้ตั้งใจไว้ เจตนาไว้ว่า เป็นก็ไม่ว่า ไม่เป็นก็ไม่ว่า จะเอาเลือดเนื้อชีวิตจิตใจถวายบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้าตลอดวันตาย อย่างนี้ได้ชื่อว่า มชฺฌิมา ปฏิปทา..”

    หลวงปู่ขาว อนาลโย
    Cr: ธรรมโอสถ

    น้อมกราบ หลวงปู่ขาวด้วยเศียรเกล้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...