จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มันเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติน่ะน้องเอ๊ย
    เป็นปกติของมันมาอย่างนี้ ตั้งแต่พวกเรายังไม่ได้เกิดเสียอีกนะ
    ดีแล้วที่ฟ้ามืดบ้างน่ะ แต่ถ้าจิตของคนเรามืดมนมืดมิดจิตตกนี่สิ เป็นเรื่อง
    ฟ้ามืด ฟ้าสว่างหรือฝนจะตกก็ไม่เกี่ยวกับจิตใจของคนเรา แต่ถ้าจิตมืดมนหรือจิตตกนี่สิแย่แน่
    มันเริ่มเผาผลาญทั้งกายใจของเราแร๊ะ แต่ถ้าผู้ใดตกอยู่ในสภาวะแบบนั้นให้รีบออกมาไวๆ
    เพราะถ้าตายตอนนั้นแล้วจิตเราจะไปไหนนอกจากทุคติภูมิ หรือสัมภเวสีเท่านั้นเอง
    แต่ถ้าใครอยากไปทางหลง เอ๊า..ส่งจิตออกนอกกันเข้าไว้

    ท่องคาถานี้ไว้นะ...
    "นอกจิตคือของปลอม ในจิตคือของจริงๆ"
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ทำไมต้องบุญ+ทาด้วย นั่นไปสงสัยเขาอีก
    โมทนาสาธุกับจิตของคุณด้วยนะครับ ท่านนี้จิตเป็นบุญ จิตปฏิปทา
    ปฏิปทาก็หมายความว่า..เป็นคนมีความประพฤติที่ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
    เพียงแต่จะหาจิตเดิมแท้ของตนไม่พบเจอเท่านั้นเอง
    คุณต้องหมั่นตรวจตราเรื่องศีลของตนให้ครบถ้วน อย่างต่ำคือศีล๕
    ต่อพยายามสร้างสติหรือทำความรู้สึกตัวให้มาก และต้องต่อเนื่องด้วย
    เวลาปฎิบัติขอให้เลือกรรมฐานที่คิดว่าถูกจริตตนเองมาเพียงหนึ่งกอง
    จิตเกาะพระมี2กอง(พุทธานุสสติ+กสิณ) แต่ถ้าใครอยากรู้ว่าทำไม กำหนดจิตถามท่านพ่อเอง
    พยายามฝึกปฎิบัติให้ตนเองรอดก่อน ต่อไปมีบารมีถึงจะไปช่วยลูกหรือคนอื่นๆได้
    ศีลธรรมจะละเอียดตามจิตของผู้ปฎิบัติ สติปัญญาเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการละปล่อยวาง
    คุณจะพบธรรมในจิตของตนได้ หลังจากพบจิตหรือดวงจิตของตนก่อน
    สำหรับเรื่องการละปล่อยวางคุณอย่าได้ห่วง เพราะจิตจะปล่อยวางกับทุกสิ่งได้นั้นด้วยปัญญา
    แต่จะเป็นปัญญาในทางธรรมเท่านั้น ที่ได้มาจากจิตเป็นสมาธิหรือฌาน
    พูดง่ายๆก็คือ คอยหมั่นเจริญสติให้ต่อเนื่องลูกเดียว กรรมฐานใดก็ได้คุณเลือกมาปฏิบัติ
    ทำไปๆเดี๋ยวก็ค่อยๆรู้ จะเรียนเองก็ตามใจ เอากำลังใจของตนเข้าว่า
    ไม่ต้องถามในPMก็ได้ ถามข้างนอกนี้ก็ดีเพราะมีคนอ่านเยอะ เขาจะได้เข้าใจ
    คนเราไม่หัดเดินเองก็เดินไม่เป็น ลงมือทำเองเลยนี่แหล่ะดี ผิดถูกพยายามแก้ไขให้ถูกทาง
    ตามที่คุณเล่ามานั้น นั่นจิตไปถึงอุปจารสมาธิแล้วบางครั้งก็เลยไปถึงฌานแล้ว
    เอ๊า งั้นไปอ่านเรื่องฌานและองค์ฌานทั้ง๕ คุณจะได้เข้าใจระดับจิตตนเองมากกว่านี้
    และพยายามอธิบายผลการปฎิบัติ หรืออารมณ์จิตปัจจุบันมาเรื่อยๆนะครับ
    ในขณะปฎิบัติให้ดับกิเลสชั่วคราวก่อน อย่าเพิ่งส่งจิตไปห่วงลูก
    แต่ถ้าคุณปฏิบัติได้แล้วบุญบารมีของคุณก็จะแผ่ไปถึงลูกๆตามที่คุณปรารถนา
    อย่าพยายามบอกลูกให้มาปฏิบัติตอนนี้ เพราะคนเรามีสาระกรรมไม่เหมือนกัน
    แต่จะให้ได้ผลจริงๆ เธอส่งบุญไปให้กับเทวดาหรือพรหมประจำตัวลูกๆ
    บอกท่านว่าขอโมทนาสบุญกับผม/ดิฉันด้วย เมื่อโมทนาบุญแล้วก็ให้ช่วยดลจิตลูกๆด้วย
    จะให้ลูกๆไปในทางทิศทางไหนก็ขอให้คุณพร่ำในใจ ในขณะที่จิตนิ่งเป็นสมาธิหรือฌานยิ่งดีใหญ่
    ในขณะจิตนิ่งเป็นสมาธิหรือฌานจะมีพลังจิตสูง ถ้าจะส่งบุญไปให้ใครๆหรือเจ้ากรรมนายเวรก็ตรงนี้
    มักจะได้ผลดีมาก แต่ถ้าจิตไม่นิ่งไม่เป็นสมาธิหรือฌาน จิตไม่มีกำลัง ไม่เป็นบุญกุศลด้วย
    เวลานี้จิตติดเฉย อย่าให้ไปติดเฉยหรือติดสุขจากฌาน เพราะฌานเป็นโลกกียะเป็นหินทับหญ้า
    แต่ในที่สุดก็ไม่มีอะไรเที่ยง พอรู้ตัวว่าจิตเป็นสมาธิให้พี่สติพาน้องจิตวิปัสสนาหรือพิจารณาธรรม
    เริ่มต้นที่ส่วนไหนของร่างกายก็ได้ ถ้าจิตรู้แล้วย่อมละความสงสัย ความอยากรู้ อยากเห็นทันที
    แต่จิตเขาจะไปรับรู้เรื่องราวใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ การแก้ไขความลังเลหรือสงสัยของจิตนั้น
    จะต้องนำจิตมาเดินมรรคเท่านั้น(ศีล สมาธิ ปัญญา)
    เอ๊างั้นเรียนกันบนกระทู้นี่แหล่ะ ตามใจลูกค้าทุกอย่าง สะดวกปฏิบัติดี
    เอาขันธ์๕ หรือร่างกายเรานี่แหล่ะ เป็นครูสอนเราเอง มีไรถามาอีกก็ว่ามาเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มิถุนายน 2013
  3. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ทางแห่งความหลุดพ้น​

    เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่า ชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่าช้า ดังนั้น จึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสองครั้ง เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์ ยุคปัจจุบันเศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดัน ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคมความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน​
    ....



    ทีมา...บารมีธรรม By อมิตตา พุทโธ​
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สาวใหญ่เมืองกระบี่เครียดซดยาฆ่าแมลงดับคาบ้าน
    สาววัย 42 ปี เครียดปัญหาครอบครัว คว้ายาฆ่าแมลงผสมน้ำตาลกรอกปาก
    สามีกลับมาผิดสังเกต พบบ้านล็อกปิดเงียบ
    เปิดประตูหลังบ้านพบสิ้นใจตายคาบ้านไปแล้ว...
    ที่มา

    สาวใหญ่เมืองกระบี่เครียดซดยาฆ่าแมลงดับคาบ้าน - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

    นี่คือ อีกหนึ่งปัญหาของชีวิตจริง และยังมีอีกมากมายหลายคน หลายปัญหา
    เพราะฉะนั้น ถึงอยากบอกกับพวกเราว่า อย่าประมาท!
    สำหรับผู้ที่ยังปล่อยวางไม่เป็น โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ยอมพากันรักษาศีล ทำภาวนา
    แค่สติคนธรรมดาๆ ไม่มีทางตั้งรับปัญหาได้ทันแน่ๆ เพราะมันชอบมาทีเผลอ
    ถามว่าทำไม? เดี๋ยวนี้คนเราถึงได้คิดสั้นหรือฆ่าตัวตายกันง่ายนัก
    ตอบว่า..สติไงครับ เราเผลอสติกันเมื่อไหร่ โดยเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติธรรมก็ยิ่งทุกข์ใหญ่
    ขนาดนักปฏิบัติธรรมก็ยังทุกข์กัน เพราะยังวิปัสสนาไม่ขาด ต้องเจริญสติอย่างต่อเนื่อง
    จะเลิกทุกข์หรือดับทุกข์ตนสนิทถึงจะเลิกทุกข์นั่นก็คือ แยกจิตออกมาจากขันธ์๕(เด็ดขาด)
    อย่าลืมๆนะว่า ตัวทุกข์คืออะไร ไปหาอ่านเรื่อง อริยสัจ๔กันเอง
    ต้นเหตุของทุกข์คือ ตัณหา (คืออะไร มีกี่อย่างอะไรมั่ง ไปหาอ่านเอง)
    ดับทุกข์อย่างไร เมื่อดับทุกข์ได้แต่ยังไม่ตาย ต้องแบกขันธ์๕ต่อไป
    และจะต้องอยู่อย่างไร จึงไม่ทุกข์ จึงไม่ต้องมารู้สึกว่าเราเป็นทุกข์อีก
    สำหรับคนที่จะมีทุกข์มากหรือน้อยย่อมแตกต่างกันไป
    ตอบว่าจิตใครจิตมัน ที่สามารถจะปล่อยวางกับสิ่งทั้งปวงได้มากน้อยแค่ไหน
    แต่การปล่อยวาง จิตที่มีปัญญาเท่านั้นจะเป็นผู้ทำหน้าที่ปล่อยวาง มิใช่เรา มิใช่สติเรา
    ตราบใดจิตที่ยังไม่มีปัญญา(ในทางธรรม) ย่อมไม่สามารถละปล่อยวางกับสิ่งทั้งปวงได้แน่
    ฝึกสติกันให้ต่อเนื่องนะครับ เป็นห่วง เป็นใย
    เพราะอันตรายจริงๆ คนเราเกิดมาแล้วต้องตายแน่ ตายทุกคน
    แต่การตายครั้งนี้ของเราต้องมีความหมายนั่นก็คือ ตายแบบไม่หลง
    ตายแบบไม่หลงก็คือ จิตต้องไม่ไปยึดติดกับสิ่งใดหรืออะไรทั้งสิ้น
    เมื่อไหร่ ถ้าเราขาดสติมักจะทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ เช่น ทำร้ายตนเอง
    โดยเฉพาะทำร้ายผู้มีพระคุณยิ่งแล้วใหญ่เลย เพราะเป็นกรรมหนักมาก

    ข้าพเจ้าขอยกธรรมนี้เพื่อธรรมาทานให้กับผู้อ่านทุกท่านและขออุทิศบุญกุศลทั้งหมดนี้
    ที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาดีตั้งแต่อดีตชาติจนปัจจุบันให้กับคุณรินนภา(ผู้เสียชีวิต)
    ขอให้นำบุญกุศลของข้าพเจ้าได้นำทางไปสุคติภูมิและในภพภูมิหรือชาติหน้าที่ดีโน้นด้วยเทอญ
    ขอให้เกิดใหม่มีดวงตาเห็นธรรม พบพระธรรมของพระพุทธเจ้า และนำแสงพระธรรมนำทางชีวิต
    ให้ออกจากทุกข์ของตนได้อีกครั้งหนึ่งด้วยเทอญ สาธุๆๆ

    ขอให้ผู้เจริญทั้งหลาย จงตั้งหน้าปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นกันด้วยเทอญ
    แต่ถ้าไม่ทำใจ เดี๋ยวใจเราก็จะพาไปทุกข์อีก
    ผู้คนส่วนใหญ่ที่ยังปล่อยวางหรือทำใจหรือยอมรับไม่ได้ เพราะจิตยังไม่มีปัญญา
    เพราะเราไม่ขยันสร้างสติ จิตจึงไม่มีปัญญานำพาให้เราออกจากทุกข์ได้

    ธรรมะไม่ต้องไปหาไกล ตัวเรานี่แหล่ะก็คือ ธรรมะคือความจริงทั้งหลาย
    ผู้ที่มีสติพร้อม ปัญญาพร้อม จิตพร้อมย่อมมักได้เปรียบผู้อื่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มิถุนายน 2013
  5. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    จากประสบการณ์ของการปฏิบัติธรรมของผู้เขียนเองนั้น ที่ได้รู้ว่าเวลาเราเข้ามาปฏิบัติเอาจริงเอาจังนั้น เราต้องเป็นผู้มีความเพียรอย่างจริงจัง และต้องเชื่อว่าเราต้องทําเพื่อเราจะได้พ้นจากทุกข์ เพราะถ้าเรามีความศรัทธาอย่างแรงกล้า ภายในตัวเราก็จะมีพลังจิตพิเศษที่เราสามารถเอาชนะความขี้เกียจ ขี้กร้านไปได้ต้องเป็นคนเอาจริงเอาจัง เพราะศาสนาพุทธเป็นของจริงที่ผู้ปฏิบัติต้องเห็นได้ด้วยตนเองเท่านั้น การทานนั้นเป็นบันไดที่ก้าวเดินเท่านั้น แต่ตัวที่จะฆ่ากิเลสให้หลุดพ้นไปได้ก็คือ "การภาวนาและวิปัสนา" เพราะการภาวนาคือ การเข้าไปเรียนรู้ในความจริงที่มีอยู่ในร่างกาย แล้วรู้ความคิดปรุงของตัวเองนั้นเอง หรือ เรียกว่าเข้าไปศึกษา"นามธรรม"ที่เป็นตัวละเอียดที่เป็นการก่อภพก่อชาติให้เรามาเกิดอีก ผู้ไม่อยากเกิดต้องเข้ามาศึกษาตัวนามธรรมให้เห็นความเป็นจริง เพราะนามตัวนี้แหละที่ทําให้เราสุข ทุกข์เพราะเราไปยึดมั่นถือมั่นก็ทุกข์ ถ้าเราปฏิบัติจนเข้าใจเราก็ไม่ยึด เพราะจะไปยึดในสิ่งไม่มีไม่ใช่มันจะถูกต้องแล้วหรือ? ผู้ปฏิบัติต้องให้เห็น"อริยสัจ๔" อย่างชัดเจนนั้นแหละจิตจึงจะมีปัญญาอย่างแท้จริง แล้วปัญญาตัวนี่ที่จะทําให้เรามาเกิดมาตายอีกก็อยู่ที่ตัวนี้เอง...สาธุค่ะ
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นักปฎิบัติธรรมที่ดีต้องมีวินัยตนเอง เดินมรรคให้ถูกให้ตรง
    สำหรับผู้ที่กำลังเดินหลงทางหรือเดินอ้อม ก็ให้เริ่มนับหนึ่งกันใหม่นั่นก็คือ สติ
    แต่ถ้าปฎิบัติธรรมมาก็นมนานแสนนานแล้ว ป่านนี้ทำไม๊เรายังไม่มีดวงตาเห็นธรรมสักที
    ก็ขอให้เราเริ่มต้นที่ศีลของตนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ศีลพร่อง ศีลด่าง ศีลพร้อยไหม
    สำหรับจิตบุญที่ยังรู้สึกว่าทำไมเรายังเป็นทุกข์อยู่ เพราะตั้งตนประมาทอยู่มาก
    ตราบใดที่จิตยังไม่ถึงวิมุตติย่อมทุกข์เป็นธรรมดา เพราะจิตยังไม่ยอมรับ ยังไม่ปล่อยวางจริง
    วิมุตตินะ ไม่ใช่ละมุด อย่าเข้าใจผิด

    มีผู้ปฏิบัติธรรมหลายท่าน ที่สามารถเข้าถึงธรรม เข้าถึงความละเอียดแห่งจิต
    มักหลงปลายทาง ทางสามแพร่ง คือหลงนิมิตหรือหลงอภิญญา เป็นต้น
    เมื่อมาถึงตรงนี้กันแล้ว ไม่มีใครสอนกันได้เพราะถือว่าตนมีปัญญา
    แต่จะออกจากตรงนี้อีกนานแค่ไหน ขอตอบว่าจะพัฒนาปัญญาเป็นปัญญาญาณ
    หรือถ้ายังปฏิบัติไม่ได้ นอกจากจะมีครูบาอาจารย์มาสั่งมาสอนภายในจิตของตนโน้นแหล่ะ
    ถึงจะออกจากจุดตรงนั้นได้

    ขอให้เราจดจำสิ่งที่ผิดพลาด หรือพยายามเดินมรรคให้ตรง
    พยายามปฏิบัติตามในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย
    อย่างเช่น มีหลายท่านไปเรียนมโนยิทธิเพื่ออยากได้ฤทธิ์ พอได้กลับมาอวด เป็นผู้วิเศษ
    เพราะอื่นเขาทำไม่ได้ หลงตัวหลงตนก็ยังไม่รู้
    อย่าลืมนะ หลวงพ่อสอนให้พวกเรานั้น เพื่อให้เรามาทำอาสวะให้สิ้นคือดับกิเลสตนเอง
    บ้างก็ไปเป็นหมอดู บ้างก็บ้าฤทธิ์อำนาจ นั่นถือเป็นโลกีย์ มิใช่หนทางโลกกุตตระแต่อย่างใด
    เพราะวัตถุประสงค์ของนักปฏิบัติธรรมก็คือ เพื่อความหลุดพ้น
    อย่าลืม มโนยิทธินั้นถึงท่านจะไปเยี่ยมนรกหรือพระนิพพาน แต่นั่นท่านยังไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์
    แค่เป็นนักท่องเที่ยวเท่านั้น อย่าลืม มโนยิทธิไปด้วยฌานสี่ แต่ชีวิตความเป็นจริงคือต่ำกว่าฌาน
    ตราบใด เรายังไม่นำพลังจิตไปละสังโยชน์ แต่ถ้าดับขันธ์ไปก่อน ขาดทุนแน่
    ถ้าชาติหน้าเกิดมาพวกเราไม่พบหลวงพ่อ นอกจากผู้ที่เข้าถึงความละเอียดแห่งจิต
    หลวงพ่อท่านจึงมาโปรดสอนเราได้
    แต่ถ้ารักเคารพหลวงพ่อจริงได้โปรดอย่าพากันทำแบบนั้นเลย
    และอย่าเอาธรรมะของหลวงพ่อเพื่อนำไปสอนสั่งใครๆ ทั้งที่ตัวของเรายังทำไม่ได้
    ไม่มีผู้ใดเล็ดลอดสายตาของหลวงพ่อได้ เพราะฉะนั้นก็อย่าไปทำ
    ท่านพ่อ หลวงพ่อท่านทรงสรรเสริญสำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานจริงๆ มิใช่แค่เป็นนักท่องเที่ยว
    หลวงพ่อให้พากันปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเพียงถ่ายเดียว ไม่อยากเห็นลูกหลานกลับมาเกิดมีกายเป็นทุกข์
    แต่ปฏิบัติไม่ถึงพระนิพพานชาติมนุษย์นี้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผู้มีหน้าที่เขาจะนำพาดวงจิตเราไปปฏิบัติต่อ
    อย่ากังวล เพียงขอทำชาตินี้ให้เต็มที่ ตั้งจิตปัจจุบันอยู่แต่ฝ่ายบุญกุศลเท่านั้นก็พอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มิถุนายน 2013
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "ความเป็นพระอรหันต์ต้องพากเพียรอยู่ตลอดเวลา"

    "พระอรหันต์ท่านบำเพ็ญเพื่อความเป็นอรหันต์นะ ท่านมีความแก่กล้าสามารถ

    ขณะไหน ท่านจึงเอื้อมถึงภูมินั้นได้ ทั้งนี้ท่านต้องเป็นนักรบจริงๆ เหนือคนธรรมดาอยู่มาก

    ต่างองค์ก็มีความเพียรสมเหตุสมผล ความเพียรมีมาก กิเลสก็ตายไปเรื่อยๆ ตามทางจง

    กลม...สถานที่นั่งที่นอนมีแต่ป่าช้าของกิเลส ที่ท่านฟาดฟันหั่นแหลกกัน อยู่เป็นลำดับไม่

    ลดละความเพียร...เพราะสติอันเป็นความพากเพียรนี้ทำงานอยู่ตลอดเวลา ยืนอยู่ท่านก็

    ทำ เดินอยู่ท่านก็ทำ นั่งอยู่ท่านก็ทำ...เข้าไปเดินจงกลมอยู่ท่านก็ฆ่ากิเลส นอนอยู่ท่าน

    ก็ฆ่ากิเลส...เว้นแต่เวลาหลับเท่านั้น แม้แต่เวลาขบฉันอยู่ ท่านก็ฆ่ากิเลสด้วยสติปัญญา

    ซึ่งทำงานอยู่ตลอดเวลา...ในอริยาบถต่างๆ เป็นอริยาบถของนักรบเพื่อฆ่าแต่กิเลส

    อาสวะทั้นนั้น ไม่ได้นั่งสั่งสมกิเลส ยืนสั่งสมกิเลส นอนสั่งสมกิเลส แม้ขณะเดินจงกลมอยู่

    ก็สั่งสมกิเลสเหมือนอย่างพวกเรา...เพราะความไม่มีสติมันผิดกันอย่างนี้แหละ...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ. อุดรธานี

    ...กราบน้อมรับพระธรรมคำสอนขององค์ท่านด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ กราบ กราบๆ...
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ผู้มีสติ ย่อมทำอะไรๆ ด้วยความระมัดระวัง รอบคอบไม่ประมาท

    ...จะทำการสิ่งใดก็มีสติคอยเตือน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและความทุกข์ให้กับผู้อื่น...

    ...และตัวเองและบุคคลรอบข้าง นี่แหละเราถึงต้องฝึกให้มีสติอยู่คู่กับเราอยู่ตลอดเวลา

    ...สัมปชัญญะ...ก็จะเตือนให้เรารู้สึกตัวในการประพฤติปฏิบัติให้ทำสิ่งที่ดีที่ชอบ

    ...ถูกต้อง ไม่ทำอะไรให้เสียหาย ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี...

    ผู้มี สติสัมปชัญญะ ประจำตัว จะทำการสิ่งใดนั้นย่อมมีความผิดพลาดน้อย ถูกต้องมาก

    ...เพราะฉนั้นเราถึงต้องฝึกให้มีสติและสัมปชัญญะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการประมาท...

    ...จะทำสิ่งใด ถ้ามีสติความระลึกได้ พร้อมกับสัมปชัญญะความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอด

    .เวลา จะทำสิ่งใดๆ ก็จะไม่ทำให้เกิดทุกข์และเกิดปัญหา สองอย่างนี้ ถ้าเราฝึกให้เรา...

    ...นั้นมี ความระลึกได้ และความรู้ตัวทั่วพร้อม ก็จะเป็นปัจจัยนำไปสู่ความเจริญมั่นคง...

    ...ขอฝากไว้กับผู้อ่านทุกๆท่านค่ะ สวัสดีค่ะ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  9. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    “สติสัมปชัญญะ” (Mindfulness and Awareness) จัดเป็นธรรมที่เกื้อกูลในกิจหรือในการ
    ทําความดีทุกอย่าง เรียกว่า “ธรรมมีอุปการะมาก” ดังนั้น ในการพิจารณาความหมายของคําว่า
    “สติสัมปชัญญะ” นั้น จึงแยกออกเป็น ๒ ความหมาย คือ (๑) “สติ” (Mindfulness) หมายถึง ความ
    ระลึกได้ นึกได้ สํานึกอยู่ไม่เผลอ สํานึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง รู้จักกําหนดจดจํา
    ระลึกการที่ทําคําที่พูดไว้ได้เป็นอยู่อย่างไม่ประมาท มีระเบียบ และเหตุผลกล่าวโดยสรุป มีจิตอยู่
    ในขณะที่เป็น “โยนิโสมนสิการสัมปทา” (ข้อ ๗ ในบุพนิมิตแห่งมรรค ๗)คือ ความถึงพร้อมด้วย
    โยนิโสมนสิการด้วยความฉลาดคิดแยบคายให้เห็นความจริงและหาประโยชน์ได้และ (๒)
    “สัมปชัญญะ” (Clear Comprehension) หมายถึง ความรู้ชัด ความรู้ชัดในสิ่งที่นึกได้ ความตระหนัก
    และเข้าใจชัดยิ่งตามความเป็นจริงและมีเหตุผล ฉะนั้น เครื่องธรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนา
    “สติสัมปชัญญะ” ให้เกิดขึ้น คือ “สติปัฏฐาน ๔” หมายถึง ที่ตั้งของสติการตั้งสติกําหนดพิจารณา
    สิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามที่สิ่งนั้นๆ มันเป็นของมัน ด้วย “สติสัมปชัญญะ”
    จัดเป็น “สัมมาสติ”

    จากคําถามตอบ (FAQ) ของ อาจารย์นิธี ศิริพัฒน์
    Ref.: สติสัมปชัญญะคืออะไร

    ทุติเคลัญญสูตร

    ว่าด้วยควรเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ

    [๓๘๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคาร-
    ศาลาป่ามหาวัน กรุงเวสาลี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเจ้า
    เสด็จออกจากที่หลีกเร้น เสด็จเข้าไปยังศาลาคนไข้ แล้วประทับนั่งบน

    อาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ รอกาลเวลานี้เป็นคำเราสั่งสอนพวกเธอ.
    [๓๘๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุย่อมเป็นผู้มีสติอย่างไร ดู
    ก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายอยู่
    มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
    ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย ฯลฯ ในจิต ฯลฯ ย่อมพิจารณา
    เห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด
    อภิชฌาโทมนัสในโลกเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเป็นผู้มีสติอย่าง
    นี้แล.
    [๓๘๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะอย่างไร
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้มีปรกติทำความรู้สึก
    ว่าในการก้าวไป ในการถอยกลับ ฯลฯ ในการพูด ในการนิ่ง ดูก่อนภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุย่อมเป็นผู้มีสัมปชัญญะอย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
    พึงเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ รอกาลเวลา นี้เป็นคำเราสั่งสอนพวกเธอ
    [๓๘๕] ถ้าเมื่อภิกษุมีสติสัมปชัญญะ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความ
    เพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้ สุขเวทนาย่อมเกิดขึ้น เธอย่อมรู้อย่างนี้ว่า
    สุขเวทนาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็สุขเวทนานั้นแล อาศัยจึงเกิดขึ้น ไม่อาศัย
    ไม่เกิดขึ้น อาศัยอะไร อาศัยผัสสะนี้เอง ก็แต่ว่าผัสสะนี้ไม่เที่ยง ปัจจัย
    ปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ก็สุขเวทนาซึ่งอาศัยผัสสะอันไม่เที่ยง ปัจจัย
    ปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นแล้วแก่เรา จักเที่ยงแต่ที่ไหน ดังนี้ เธอย่อม
    พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง เธอย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไป พิจารณา

    เห็นความคลายไป พิจารณาเห็นความดับไป พิจารณาเห็นความสละคืน
    เมื่อพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความเสื่อมไป พิจารณา
    เห็นความคลายไป พิจารณาเห็นความดับไป พิจารณาเห็นความสละคืน
    ในผัสสะและในสุขเวทนาอยู่ ย่อมละราคานุสัยในผัสสะและในสุขเวทนา
    เสียนี้.
    [๓๘๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุนั้นมีสติ มีสัมปชัญญะ
    เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้ ทุกขเวทนาย่อม
    เกิดขึ้น ฯลฯ อทุกขมสุขเวทนาย่อมเกิดขึ้น เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า อทุกขม-
    ขเวทนานี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็อทุกขมสุขเวทนานั้นแล อาศัยจึงเกิดขึ้น
    ไม่อาศัยไม่เกิดขึ้น อาศัยอะไร อาศัยผัสสะนี้แลบังเกิดขึ้น ก็ผัสสะนี้แล
    ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ถ้าภิกษุนั้นเสวยสุข-
    เวทนา เธอย่อมรู้ชัดว่า สุขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าหมกมุ่น ไม่น่า
    เพลิดเพลิน ถ้าเธอเสวยทุกขเวทนา ฯลฯ ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา
    เธอย่อมรู้ชัดว่า อทุกขมสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าหมกมุ่น ไม่น่า
    เพลิดเพลิน ถ้าเธอเสวยสุขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสเสวยสุขเวทนา
    นั้น ถ้าเธอเสวยทุกขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสเสวยทุกขเวทนานั้น
    ถ้าเธอเสวยอทุกขมสุขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสเสวยอทุกขมสุข-
    เวทนานั้น ภิกษุนั้นเมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด ก็รู้ชัดว่า เราเสวย
    เวทนามีกายเป็นที่สุด เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ก็รู้ชัดว่า เราเสวย
    เวทนามีชีวิตเป็นที่สุด รู้ชัดว่า เมื่อตายไป เวทนาทั้งปวง อันไม่น่า
    เพลิดเพลิน จักเป็นความเย็นในโลกนี้ทีเดียว.

    [๓๘๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน อาศัย
    น้ำมันและไส้จึงติดอยู่ได้ เพราะสิ้นน้ำมันและไส้ ประทีปนั้นไม่มีเชื้อพึง
    ดับไป ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุเมื่อเสวย
    เวทนามีกายเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด เมื่อเสวย
    เวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ย่อมรู้
    ชัดว่า เมื่อตายไป เวทนาทั้งปวง อันไม่น่าเพลิดเพลิน จักเป็นความเย็น
    ในโลกนี้ทีเดียว.
    จบ ทุติยเคลัญญสูตรที่ ๘

    Red.: จากเวปเรานี่แหล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=eFOEzwgrK8g]หลวงปู่ชา::ปัจจุบันธรรม - YouTube[/ame]

    ธรรมะเขาปฏิบัติกันง่ายๆ ง่ายกว่าคนที่ไม่ปฏิบัติเสียอีก
    ธรรมะเป็นของจริง เป็นของเบา เป็นของสบายใจ
    แต่มายาเป็นของปลอม เป็นของหนัก เป็นของไม่สบายใจ
    ถามว่าใครเป็นคนเลือกเอาแต่ของมายา ของหนัก ของไม่สบายใจ หาสิ่งที่เป็นทุกข์เข้ามา
    ก็ตัวเรานี่ไงที่หลงไปเลือกเอามาเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มิถุนายน 2013
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เจโตปริยญาณ มีไว้สำหรับดูใจตัวเอง
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    เจโตปริยญาณ พระพุทธเจ้าสอนไว้
    คือ หนึ่ง มีไว้ให้เปลื้องความสงสัยว่ากิเลสมีจริงไหม
    สอง รู้จิตของตนเองว่า เวลานี้กิเลสอะไรมันเข้ามาสิงอยู่
    อะไรเข้ามาทับอยู่ แล้วเราจะแก้อารมณ์
    ของกิเลสนั้นด้วยประการใด
    นี่ท่านมีไว้ให้ดูใจตนเองนะ
    ใจของชาวบ้านชาวเมืองจะเป็นอย่างไร
    ก็ช่างเขาอย่าไปยุ่ง
    ยกเว้นบุคคลนั้นเป็นบุคคลที่เราจะต้องสงเคราะห์
    จึงค่อยรู้เขา แต่เวลาอยากจะรู้
    ของเขาก็รู้เถอะ รู้แล้วนิ่ง ๆ ไว้
    อย่าทำปากบอนไป ถ้าเขายังไม่ปรารถนา
    จะรับฟังก็อย่าพูด เขาไม่เลื่อมใสไม่ศรัทธา
    จงอย่าพูด อย่าเป็นขี้ข้าของชาวบ้าน
    อย่าเอาความรู้ของตนที่มีอยู่ไปเป็นเครื่องมือ
    เป็นลูกจ้างชาวบ้าน ให้ชาวบ้านชมว่าดี
    คำชมของชาวบ้านไม่มีความหมาย
    ถ้าเราเลวเสียอย่างเดียว
    เขาจะชมอย่างไรเราก็ดีไม่ได้
    ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว
    เขาจะนินทาว่าร้ายอย่างไร
    เราก็เลวไม่ได้เหมือนกัน

    ที่มา
    http://buddhasattha.com/category/ธรรมะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มิถุนายน 2013
  12. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    เรื่องขันธ์ไม่ว่าขันธ์คนหนุ่มคนแก่ แม้แต่ของเด็กก็เป็นขันธ์ของทุกข์เสมอภาคกัน ในโลกนี้ไม่มีขันธ์ใดเป็นขันธ์พิเศษ ซึ่งไม่อยู่ในข่ายของกองทุกข์ ต้องอยู่ในวงเดียวกัน เช่นเดียวกับนักโทษ ไม่ว่าครุโทษ หรือลหุโทษ ต้องอยู่ในเรือนจําเสมอกัน ไม่มีนักโทษคนไหนได้รับเกียรติเป็นพิเศษ จะกินอยู่หลับนอนนอกเรือนจําต้องอยู่ในวงเดียวกัน ฉะนั้นจึงเห็น"กองขันธ์คือกองทุกข์" ทั้งของท่านและของเราไม่มีใครได้เปรียบกัน นับแต่สัตว์เดรัจฉานขึ้นไป ถึงมวลมนุษย์ทุกๆชั้นอยู่ในกองทุกข์เสมอกัน...
    ที่มาธรรมะขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า
     
  13. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคามี และพระอรหันต์ ท่านไม่ใด้รู้ธรรมนอกเหนือจาก"กายกับจิต"ซึ่งพวกเรากําลังหลงอยู่นี้ คําว่า"ยํ กิญจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํนิโรธธมฺมํ "สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา" ที่พระอัญญาโกณฑัญญะ รู้ก็ดี "วุสิตํ พรฺหมฺจริยํ กตํ กรณียํ"เสร็จกิจในพระศาสนา"ที่พระอรหันต์ก็รู้ดี ท่านก็รู้ในสิ่งเกิด-ดับภายในกายในจิตนี้เอง และท่านทําการปราบปรามกิเลสจบสิ้นลงได้...ก็สิ้นเสร็จในจุดเดียวกัน เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในกายในจิตอย่างสมบูรณ์ อย่าไปสงสัยว่าอยู่ที่อื่น การพิจารณาวิธีใดก็ตาม ถ้าเป็นไปเพื่อความสงบสุข ภายในใจไม่เป็นไปเพื่อความเดือดร้อน ถือว่าถูกทางเดินที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ทั้งนั้น โปรดอย่าสงสัยจะเสียเวลา โปรดพิจารณาไปเรื่อยๆอย่าลดละความเพียร...
    ที่มาธรรมะขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พวกเรารู้สึกตัวแบบนี้กันบ้างไหม
    ว่า..เวลาที่มีลมหายใจของเรามันเหลือน้อยลงไปทุกวันๆแล้ว
    ตอนมาก็มาคนเดียว เวลาไปก็ไปคนเดียว
    คนเราทุกคนเกิดมาเห็นมีแต่ตัวล้อนจ้อน ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย
    แล้วเวลาจะตายดันไปห่วงนั่นนู้นนี่กันทำไม
    เวลาจะดับขันธ์ก็อย่าไปห่วงกับสิ่งใด เพราะห่วงแล้วจิตมันไปไหนไม่ได้ไกล
    ไปเกิดใหม่ก็ไม่ได้ ไปสุคติก็ไม่ได้ ต้องรอเจ้าหน้าที่มารับไปชำระโทษเท่านั้นเอง
    ปฎิบัติธรรมก็เพื่อแยกระหว่างความจริงกับสิ่งสมมุติเท่านั้น
    ปฎิบัติธรรมก็เพื่อแยกจิตออกมาขันธ์๕ ถ้าแยกได้หมดจดก็มีสิทธิ์ไปพระนิพพาน
    ปฎิบัติธรรมก็เพื่อละ-ปล่อย-วาง-กิเลส-ตัณหา-อุปาทานของตน
    ไม่ปฎิบัติธรรมย่อมมองไม่เห็นจิต ไม่เห็นธรรม ไม่เห็นพระพุทธเจ้า
    ไม่ปฎิบัติธรรมย่อมมองไม่เห็นเกิด-ดับเป็นธรรมดา ไม่เห็นกฏธรรมดา
    เมื่อมองไม่เห็นเกิด-ดับเป็นธรรมดาย่อมไม่พบความว่างนั้นมีจริงๆ
    ไม่ปฎิบัติธรรมย่อมทำผิดศีลเป็นนิจ เป็นทุกข์ เป็นธรรมดา
    ผู้เจริญทั้งหลายหรือผู้ที่ใฝ่รู้ใฝ่ธรรมย่อมหาหนทางหลุดพ้นของตนเอง
    ด้วย ทาน-ศีล-ภาวนา หรือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา เป็นต้น
    ทางนี้ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า...
    ผู้ใดเดินตามมรรคมีองค์แปดมักไม่ม่คำว่า"หลง" หรือมารติดตามไม่ได้

     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จริงไหม
    ถ้าเราไม่มีตัวตนจริง แล้วเราจะเอาอะไรมาโกรธกัน
    ถ้าเรามีพรหมวิหารจริง แล้วทำไมเราจะให้อภัยคนอื่นง่ายๆไม่ได้

    คนส่วนใหญ่เป็นทุกข์กันก็เพราะสนใจแต่สิ่งภายนอกจิตตนเองทั้งนั้น
    แต่พระอริยเจ้าท่านไม่เป็นทุกข์ก็เพราะว่าสนใจแต่สิ่งภายในกายในใจตนเองเท่านั้น
    ยิ่งขยันดูกายดูจิตมีแต่บุญกุศลและความสบายใจ
    แต่ถ้าคนขยันผิดที่คือดูแต่มายา สนใจแต่สมมุติเห็นจะมีแต่บาปอกุศล
    สุดท้ายมันก็พาเราไปพบกับความทุกข์จนได้
    จิตมีธรรมนี่มันเท่จริงๆไหมคุณเพ็ญUK คิดอะไรก็ออก ถึงกายทุกข์แค่ไหนก็ไม่มีปัญหา
    นอกจากสมองจะปลอดโปร่งโล่งใสเบาว่างบางเย็น แถมน้ำหนักตัวได้สัดส่วน
    จากคนที่ขี้เหร่ภายนอก แต่ภายในสดใสต๊ะติ๊งโหน่ง
    รูปสวยภายนอกยังไงๆก็สู้จิตสวยไม่ได้ เพชรยังเรียกพี่ เขาเรียกว่าสวยปลอดภัย
    พูดแล้วไปนอนดูจิตดีกว่า กลัวสายUKเรียกหา โดยเฉพาะคุณสำรวยUK
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มิถุนายน 2013
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    -ใจ เปรียบเหมือนเด็ก-

    -สติเปรียบเหมือนผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่นั้นมีหน้าที่ต้องดูแลควบคุมเด็กให้ดี เด็กจึงจะได้

    -กินอิ่มนอนหลับ แล้วก็จะไม่ร้องอ้อน - เราต้องดูแลมีอาหารดีๆ คือ พุทธะ ธัมมะ สังฆะ

    -ให้เป็นอารมณ์... มีของเล่น มีตุ้กตาตัวโตๆ ตุ้กตามีอยู่ ๔ ตัว คือ ธาตุดินก็เป็นตุ้กตา

    -ตัวหนึ่ง...ธาตุน้ำก็เป็นตุ้กตาตัวหนึ่ง...ธาตุไฟก็เป็นตุ้กตาตัวหนึ่ง...ธาตุลมก็เป็นตุ้กตาตัว

    -หนึ่ง...เมื่อเราเลี้ยงดู และดูแลเขาอย่างดี มีอาหารดีๆ มีของเล่นดีๆ เขาก็จะไม่เที่ยวไป-

    -วิ่งหาของเล่นนอกบ้าน...เพราะการออกไปเล่นนอกบ้านนั้นมันอันตราย มีแต่สิ่งที่อัน

    -ตราย...ถ้าอยู่แต่ในบ้าน ภายในบ้านของเรา ถึงแม้มีอันตรายบ้างมันก็ไม่มากนัก...

    -เด็กบางคนเขามีความสนใจกับของเล่นของเขาที่มีอยู่. เขาก็ไม่อยากไปไหนเขาคอยดู-

    -และพิจารณาของเล่นของเขาจนเกิดสติปัญญา อยู่ในบ้านของเขา ทำบ้านของเขาให้

    -เป็นสถานที่อบรมบ่มนิสัยของเขาเอง...จนเกิดความรู้มี สติปัญญา และพิจารณามันให้เกิด

    -ความรู้สึก รู้ทุกข์ รู้สุข รู้ตื่น รู้เบิกบาน นี่แหละ เขาใช้ของเล่นของเขาด้วยความระมัด

    -ระวังไม่ประมาท เล่นด้วย สติ และปัญญา จนกว่าจะเกิดเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในที่สุด

    ...เช่นเดียวกับผู้เขียนที่เขียนด้วยความ สุข และความเบิกบานที่ได้เขียน ได้อ่านธรรมะ

    -ในกระทู้นี้ ขอขอบพระคุณในธรรมะธรรมทานของทุกๆท่านที่นำมามอบให้ ซึ่งก็เหมือน

    -กับท่านได้นำของฝากของเล่นใหม่ๆมาให้ได้พิจารณาเพิ่มขึ้นยิ่งๆขึ้นไป. ขออนุโมทนาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    โอ้โห... บ่อธรรมะของ แม่นี นี้ช่างใสสะอาด สุดยอด จริ๊ง จริง ค่ะ... มีธรรมะผุด ขึ้นมาแต่ละวันนี้ ไม่ซ้ำกันเลย ...โมทนาสาธุ นี่แหละน่ะ ผลแห่งการปฏิบัติที่ท่าน พบแล้ว เข้าถึงแล้ว ท่านก็เอามาแบ่งปัน ให้ทุกคนได้ ลิ้มรส น้ำสะอาดแห่งธรรมะ ที่ผุดขี้นมา จากบ่อของท่าน ซึ่งผ่านการกลั่นกรอง มาเรียบร้อยแล้ว... :cool::cool:

    คราวนี้ ขนาด ผู้ใหญ่ เด็ก กับ ของเล่น และ อาหาร.... ท่านยังเอามาเปรียบเปรย เป็นธรรมะ ซะเห็นภาพ ได้ชัดเจน เลย ...สาธุธรรม ค่ะ แม่นี ...
     
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "ศีลธรรมกลับมาเถิด"

    กลับมาเถิด...ศีลธรรม....กลับมาเถิด...

    ...กำลังเกิด ภัยร้าย อันใหญ่หลวง...

    ...แก่สัตว์โลก ทั่วถิ่น จักรวาลปวง...

    ...น่าเป็นห่วง ความพินาศ ฉกาจเกิน...

    ...กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด...

    ...ในโลกเกิด กลียุค อย่างฉุกเฉิน...

    ...หลงวัตถุ บ้าคลั่ง เกินบังเอิญ...

    ...มัวเพลิดเพลิน สิ่งกาลี มีกำลัง...

    ...กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด...

    ...ความเลวร้าย ลามเตลิด จวนหมดหวัง...

    ...รีบกลับมา ทันเวลา พาพลัง...

    ...มายับยั้ง โลกไว้ ให้ทันกาล...

    ...คำสั่งสอน และความห่วงใย ของท่านพุทธทาสภิกขุ ขอกราบน้อมรับเจ้าค่ะ
     
  19. บุญ+ทา

    บุญ+ทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +664
    เรียน อาจารย์เกษ
    ดิฉันใช้จิตเกาะพระดั่งที่อาจารย์สอน มีอาการปิติ ขนลุกตลอดเวลา และก็เหมือนมีภาพเห็นครูบาอาจารย์หลายท่านสลับกันมา แล้วต่อมาท่านก็รวมกันเป็นองค์เดียว ใช้วิธีแยกจิตนึกในขณะที่ปฏิบัติงานประจำทางโลก ถ้าฝึกก้าวหน้ามากกว่านี้จะมารายงานให้ทราบค่ะ ขออนุโมทนาบุญ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ขอฝากน้องเจนนี่กับท่านพ่อ หลวงพ่อดูแลนางฟ้าตัวน้อยๆนี้ต่อข้าพเจ้าด้วยเทอญ สาธุ
    เหล่าจิตบุญทั้งหลาย พี่ภูขอฝากนางฟ้าตัวน้อยๆช่วยกันดูแลด้วยนะครับ
    จาก..สมาคมจิตเกาะพระ
     

แชร์หน้านี้

Loading...