จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    เรื่องดีๆมีสาระ ให้ข้อคิดมาฝากทุกท่าน เป็นการคั่น รายการธรรมะ ประจำวันหยุดสุดสัปดาห์ค่ะ...:cool:



    มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก
    คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน
    เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย
    ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน
    ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า
    คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน
    โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
    เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมาก
    ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

    เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ
    ไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น
    ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น
    มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา
    เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน
    แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู
    เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ
    จึงบอกว่า " ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า"

    หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า
    "อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย
    อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อยไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว"
    เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่า
    ตัดสินใจเองไม่ได้ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน
    เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่า
    "อยากเข้ามา ก็เข้ามา!"

    เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า
    ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง
    สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ
    เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น
    หลวงตายิ้มแล้วพูดว่า "อาการหนักเลยนะ"

    ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด
    หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า
    "โทรมมากเลยนะ" ชายคนนั้นไม่สนใจ
    หลวงตาบอกว่า "ไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ"
    ชายคนนั้นไม่สนใจ

    แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน
    เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น
    ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป
    กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

    ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา
    ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น
    เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด

    เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
    เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ
    แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

    ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา
    เขามองเห็นศพนั้น
    เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุม
    ร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป

    พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา
    เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู
    เมื่อพบว่า เป็นศพ ด้วยใจสงสาร
    จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด
    เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆ
    กอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
    จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร
    จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

    จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพ
    ของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก
    เขาได้เห็นก็ตกใจ
    พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2
    แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

    ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า
    "ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ
    ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา
    ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี
    วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน"

    เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา
    เด็กรับใช้ตกใจมาก
    หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า "โยมรอดแล้ว
    เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว"

    ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชติดตามหลวงตาองค์นั้นในที่สุด

    ^_^ คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
    ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,
    ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย
    เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน
    เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่

    ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้
    คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง
    เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน
    ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า
    ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้
    ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า
    เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่ ^_^ ​



    ทุกๆวจีกรรม กายกรรม และมโนกรรม ที่เรานึกคิด พูด
    ล้วนเป็นกรรมหมด อยู่ที่เจตนาเป็นบุญหรือบาป
    ล้วนส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคตทั้งนั้น
    ---------------------------------------------------
     
  2. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    [๗๐] ครั้งนั้น เมื่อวัสสการพราหมณ์อำมาตย์ผู้ใหญ่ในมคธรัฐหลีกไป
    ไม่นาน พระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เธอจงไป
    จงสั่งให้ภิกษุทุกรูปซึ่งอยู่อาศัยพระนครราชคฤห์ ให้มาประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา
    ท่านพระอานนท์รับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว สั่งให้ภิกษุทุกรูปซึ่งอยู่อาศัย
    พระนครราชคฤห์ให้ประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา แล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
    ถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควร
    ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้วได้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว ขอพระองค์ทรงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด ฯ
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐาน-
    *ศาลา แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นประทับนั่งแล้ว รับสั่งกะภิกษุ
    ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ แก่พวกเธอ
    พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มี
    พระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักหมั่นประชุมกันเนืองๆ อยู่เพียงใด
    พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อมเพียงนั้น ฯ
    ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักพร้อมเพรียงกันประชุม จักพร้อม
    เพรียงกันเลิกประชุม และจักพร้อมเพรียงช่วยกันทำกิจที่สงฆ์พึงกระทำ อยู่เพียงใด
    พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้แล้ว
    จักไม่ถอนสิ่งที่ได้บัญญัติไว้แล้ว จักสมาทานประพฤติอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
    ตามที่ได้บัญญัติไว้แล้ว อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม
    เพียงนั้น ฯ
    ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุ
    ผู้เป็นเถระ ผู้รัตตัญญู บวชนาน เป็นสังฆบิดร เป็นสังฆปริณายก และจักเชื่อฟัง
    ถ้อยคำของท่านเหล่านั้นอยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม
    เพียงนั้น ฯ
    ๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่ลุอำนาจแก่ตัณหาอันจะก่อให้เกิด
    ภพใหม่ซึ่งบังเกิดขึ้นแล้ว อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม
    เพียงนั้น ฯ
    ๖. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักเป็นผู้ยินดีในเสนาสนะป่า อยู่เพียงใด
    พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ๗. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักเข้าไปตั้งสติไว้ในภายในว่า ไฉนหนอ
    เพื่อนพรหมจรรย์ผู้มีศีลเป็นที่รักที่ยังมิได้มา พึงมาเถิดและที่มาแล้ว พึงอยู่เป็นผาสุก
    ดังนี้ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ นี้ จักตั้งอยู่ในหมู่ภิกษุ และ
    หมู่ภิกษุจักสนใจในอปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ นี้ อยู่เพียงใด หมู่ภิกษุพึงหวังได้ซึ่ง
    ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=10&A=1888&Z=3915
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คุณภาพสติ-จิตของคนเราต่างกัน!
    ก็ไม่เป็นไร

    แต่หลักใหญ่ใจความมันอยู่ที่ว่า..ก่อนจะละขันธ์ ๕
    เราควรกำหนดการไปของจิต(ดวงจิต)ให้ชัดเจน ตามกำลังใจของตน
    อยากให้พวกเรามองเห็นประเด็นหลักๆ ดังนี้ ก็คือ
    ๑.ชาตินี้เราไปถึงฝั่งพระนิพพานไหม
    ๒.แต่ถ้าไปไม่ถึง ตกสวรรค์ ตกพรหม ก็ยังดี
    ๓.ปิดประตูนรก ปิดประตูอบายภูมิของตนเองได้ไหม ทันไหม

    สติคือ ตัวแปร(Variable)สำคัญของจิตโดยตรง
    เพราะฉะนั้น เราต้องสนใจเรื่องสติของตนเองมากๆ
    คุณภาพจิตขึ้นอยู่กับการเจริญสติภาวนา
    เพราะฉะนั้น นักภาวนาอย่าได้เผลอสติเด็ดขาด!
    ถ้าเราเผลอสติเท่ากับเผลอกาย เผลอใจ
    คนเราจะดีได้ด้วยก็เพราะภายใน ก็คือ จิต
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สติก็เหมือนมือคนเรา
    มันอยู่ที่ว่าเราจะจับเอาอะไร เช่น บุญหรือบาป กุศลหรืออกุศล

    เมื่อสติของคนเราอยู่กับสิ่งไม่ดี หรือบาป หรืออกุศลนานๆ จิตเราก็จะได้รับสิ่งนั้น
    โดยที่เราไม่รู้ตัว แต่จะมารู้ตัวกันอีกทีก็จิตนิ่งแล้ว
    ตราบใด จิตยังไม่นิ่ง เราก็ไม่มีวันรู้ แต่ถ้าจิตนิ่งเมื่อไหร่ ก็รู้เมื่อนั้น
    หรือ ทุกข์เมื่อไหร่ ก็รู้เมื่อนั้น

    อยากรู้ธรรมะ อยากรู้ความจริง อยากมีดวงตาเห็นธรรม ต้องนำจิตมาเดินมรรคหรือปฎิบัติธรรม
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อย่าไปคิดว่าธรรมะ น่าเบื่อ!
    แต่หารู้ไม่! ธรรมก็คืออากาศ(O2)ที่มีอยู่รอบกายทุกคน
    ธรรมก็คือลมหายใจเข้าออก ธรรมก็คือร่างกาย ธรรมคือธรรมดา ธรรมะก็คือธรรมชาติ นี่เอง

    การปฎิบัติธรรม การเรียนรู้ธรรมะ อย่าไปรอ
    รอให้แก่ก่อน รอให้ลูกโตก่อน รอให้ลูกเรียนจบก่อน รอเกษียณก่อน
    แต่ถ้าใครรอ ก็เท่ากับกำลังเปิดประตูนรกให้กับตนเอง เพราะมันเสี่ยงเกินไป

    ผู้ที่ไม่รักษาศีล ทำภาวนา เหมือนขาเราข้างหนึ่งไปอยู่ในคุกในตะรางหรือนรก
    การปฎิบัติธรรมนั้นไม่ยาก แต่จะยากเฉพาะคนที่ไม่ตั้งใจ เท่านั้น
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คนที่เข้าใจและเข้าถึงธรรม
    ย่อมปฎิบัติตามได้ทันที ทันใด ปล่อยวางได้สนิทใจ
    มีพรหมวิหารครบ ให้อภัยคนง่าย แม้นกระทั่งศัตรู โดยไม่ต้องคิด
    ย่อมมองคนหรือโลกเฉพาะในแง่บวกเสมอและตลอดไป
    เข้าใจตนเองก็ย่อมเข้าใจผู้อื่นได้ด้วย
    คำตอบที่ดีที่สุดก็คือ ตนเอง เพราะตนเป็นที่พึ่งแห่ง
    แต่ถ้าในโลกนี้ไม่มีผู้คนเหลืออยู่เลย แต่เราก็ต้องอยู่ได้โดยลำพัง

    ปล.อย่าไปคิดว่าผู้เขียนคือ ผู้วิเศษ เป็นคนแสนดี(เหลือเกิน)เลยนะครับ
    ขอให้เราทุกคนเป็นเพื่อนหรือกัลยาณมิตรกัน
    (เพื่อนที่คอยช่วยเหลือเพื่อนอย่างจริงใจ โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน)
    โลกของเราจะได้น่าอยู่กว่านี้กันนะครับ
    ด้วยความปรารถนาดี
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อุเบกขา
    แปลว่า ความวางเฉย ความวางใจ เป็นกลาง
    (ความรู้รอบเอว ไม่ต้องท่อง แต่ขอเพียงเอาจิตอ่านรอบเดียว)


    อุเบกขา หมายถึง ความวางเฉยแบบวางใจเป็นกลางๆ โดยไม่เอนเอียงเข้าข้างเพราะชอบ เพราะชัง
    เพราะหลงและเพราะกลัว เช่นไม่เสียใจเมื่อคนที่ตนรักถึงความวิบัติ หรือไม่ดีใจเมื่อศัตรูถึงความวิบัติ
    มิใช่วางเฉยแบบไม่แยแสหรือไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งๆ ที่สามารถช่วยเหลือได้เป็นต้น

    ลักษณะของผู้มีอุเบกขา คือเป็นคนหนักแน่นมีสติอยู่เสมอ ไม่ดีใจไม่เสียใจจนเกินเหตุ เป็นคนยุติธรรม
    ยึดหลักความเป็นผู้ใหญ่ รักษาความเป็นกลางไว้ได้มั่นคงไม่เอนเอียงเข้าข้าง
    ปฏิบัติหน้าที่ด้วยเหตุผลถูกต้องคลองธรรมและเป็นผู้วางเฉยได้เมื่อไม่อาจประพฤติเมตตา กรุณา หรือมุทิตาได้

    อุเบกขา10ประเภท

    1.ฉฬงฺคุเปกขา อุเบกขาประกอบด้วย องค์ 6 คือ การวางเฉยในอายตนะทั้ง 6
    2.พฺรหฺมวิหารุเปกฺขา อุเบกขาในพรหมวิหาร
    3.โพชฺฌงฺคุเปกฺขา อุเบกขาในโพชฌงค์ คือ อุเบกขาซึ่งอิงวิราคะ อิงวิเวก
    4.วิริยุเปกฺขา อุเบกขาในวิริยะ คือ ทางสายกลางในการทำความเพียร ไม่หย่อนเกินไป ไม่ตึงเกินไป
    5.สงฺขารุเปกขา อุเบกขาในสังขาร คือการไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5
    6.เวทนูเปกฺขา อุเบกขาในเวทนา ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุข
    7.วิปสฺสนูเปกขา อุเบกขาในวิปัสสนา อันเกิดจากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    8.ตตฺรมชูฌตฺตุเปกขา อุเบกขาในเจตสิก หรืออุเบกขาที่ยังธรรมทั้งหลาย ที่เกิดพร้อมกันให้เป็นไปเสมอกัน
    9.ฌานุเปกฺขา อุเบกขาในฌาน
    10.ปาริสุทฺธุเปกฺขา อุเบกขาบริสุทธิ์จากข้าศึก คือมีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา


    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2
     
  8. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    [๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ อีกหมวดหนึ่ง
    แก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับ-
    *พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้ชอบการงาน ไม่ยินดีแล้ว
    ในการงาน ไม่ประกอบตามซึ่งความเป็นผู้ชอบการงาน อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่ง
    ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้ชอบการคุย ไม่ยินดีแล้ว
    ในการคุย ไม่ประกอบตามซึ่งความเป็นผู้ชอบการคุย อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่ง
    ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้ชอบการนอนหลับ ไม่ยินดี
    แล้วในการนอนหลับ ไม่ประกอบตามซึ่งความเป็นผู้ชอบการนอนหลับ อยู่เพียงใด
    พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้ชอบคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ยินดี
    แล้วในความคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ประกอบตามซึ่งความเป็นผู้ชอบความคลุกคลีด้วย
    หมู่ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ไม่
    ลุอำนาจแก่ความปรารถนาอันลามก อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว
    ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ๖. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักเป็นผู้ไม่มีมิตรชั่ว ไม่มีสหายชั่ว
    ไม่คบคนชั่ว อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม
    เพียงนั้น ฯ
    ๗. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่ถึงความนอนใจในระหว่าง เพราะ
    การบรรลุคุณวิเศษเพียงขั้นต่ำ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว
    ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ นี้ จักตั้งอยู่ในหมู่ภิกษุ และ
    หมู่ภิกษุจักสนใจในอปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ นี้ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญ
    อย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=10&A=1888&Z=3915
     
  9. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    [๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ อีกหมวดหนึ่ง
    แก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ
    พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ๑. พวกภิกษุจักเป็นผู้มีศรัทธา...
    ๒. ...มีใจประกอบด้วยหิริ...
    ๓. ...มีโอตตัปปะ...
    ๔. ...เป็นพหูสูตร...
    ๕. ...ปรารภความเพียร...
    ๖. ...มีสติตั้งมั่น...
    ๗. พวกภิกษุจักเป็นผู้มีปัญญา อยู่เพียงใด
    พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว
    ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ นี้ จักตั้งอยู่ในหมู่ภิกษุ และ
    หมู่ภิกษุจักสนใจในอปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ นี้ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญ
    อย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=10&A=1888&Z=3915
     
  10. จิตพบธรรม

    จิตพบธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +49
    จิตบุญ ดวงที่ 135 ขอรายงานตัวครับ

    --------------------
    ;aa24
    --------------------
    ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม
    ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์


    สาธุ สาธุ สาธุ
    บุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าปฏิบัติดีแล้วทั้งปวง รวมถึงอานิสงส์จากการอนุโมทนาบุญของทุก ๆ ท่าน แก่ข้าพเจ้าในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญทั้งหลายเหล่านี้แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า ทุก ๆ พระองค์ รวมถึงเทพพรหม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และให้บุญเหล่านี้เพิ่มทวีคูณหาที่สุดมิได้ ถึงแก่ครูผู้ชี้แนะ เปี่ยมด้วยเมตตา อันได้แก่ครูก้อง ครูลูกพลัง
    ครูเกษและครูน้องปุ้ย (แฟนข้าพเจ้า) รวมถึงทุก ๆ ท่าน ที่มิได้เอ่ยนามที่อนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้ามา ณที่นี้ ด้วย สาธุ สาธุ สาธุ


    ข้าพเจ้า (นายอ๊อดหรือนายวีรพันธุ์) ขอใช้กระทู้นี้ แบ่งปันข้อคิด ประสบการณ์ จากการฝึกจิตเกาะพระของข้าพเจ้า เพื่อเป็นธรรมทานแก่กัลยาณมิตรทางธรรม หรือใครก็ตามที่ยังหาทางออกจากกองทุกข์ ไม่เจอ ...

    วังวนแห่งกิเลส ห่างไกลธรรมะ
    เมื่อมองย้อนผ่านไปยังวันวาน ในอดีตที่จิตของข้าพเจ้าต้องตกอยู่ภายใต้การครอบงำของกิเลส ศีลพร่อง มันก็ยาวนานหลายปี ใช้ชีวิตด้วยความประมาท ไม่รู้ ไม่เข้าใจในกฎธรรมชาติ ไม่เข้าใจตัวเอง แล้วถามว่าคลุกคลีกับธรรมะมากน้อยแค่ไหน ก็คงรู้แค่ผิวเผิน เปลือกนอก
    รู้ว่าธรรมะคือการถือศีล เข้าวัด ทำบุญตักบาตร ให้ทาน ถวายสังฆทาน สวดมนต์ ทำสมาธิ รู้ตามที่เคยเรียนมาว่าต้องละเว้นชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส พูดง่าย ๆ คือรู้ด้วยสมอง ปฏิบัติแบบหยาบ ๆ ไม่ได้ถึงแก่น พอรู้แค่เปลือก เราก็อยู่ไปวัน ๆ ใช้ชีวิตทางโลก คลุกคลีด้วยกิเลสอย่างสม่ำเสมอเป็นนิจ นานวันเข้ามันกลายเป็นความเคยชิน เห็นชอบว่าสิ่งที่คิด ที่ทำเป็นสิ่งถูกต้อง เพราะไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้เดือดร้อนใคร ทำให้กิเลสสะสมมากขึ้น ปะทุออกมาเป็นทุกข์ให้เราได้เดือดเนื้อ ร้อนใจบ้างเป็นครั้งคราไป ไม่ได้ชำระล้างจิตให้สะอาดเลย รู้ธรรมะแค่ผิวเผิน ไม่เคยปฏิบัติจริง

    หนีทุกข์ไปวัน ๆ
    จังหวะใดที่ชีวิตต้องเจอกับทุกข์ อันทำให้เราไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เราก็ต้องหาทางเยียวยาก่อน ถ้าเป็นโรคก็หาหมอรักษา แต่ไม่สบายใจละจะทำยังงัยดี วิธีเดิม ๆ ก็ไปหาหมอดู ไปถวายสังฆทาน ให้พระรดน้ำมนต์ให้ สวดมนต์พอสบายใจก็เลิกสวด ทุกอย่างที่ทำเพื่อให้สบายใจ จะได้รอดพ้นผ่านไปเป็นครั้ง ๆ ไป นี่คือการเอาตัวรอด หนีทุกข์ ที่ต้องเรียกว่าหนีเพราะพอเจอใหม่ก็ต้องหนีอีก เป็นวังวนเรื่อยไป ไม่จบสิ้น

    เจอพญามาร จะหนีต่อดี หรือจะทำยังงัยดี ?
    ชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยคิดว่าจะต้องเจอกับปัญหาหรือทุกข์หนักขนาดแทบเอาตัวไม่รอด เกือบตาย (จิตเกือบโดนสยบแทบเท้ามาร) เพราะอะไรจึงเป็นแบบนี้ ก็เพราะกิเลสที่สั่งสมมานาน พอกพูนหนา จนปะทุออกมานั่นแหละ นี่คือนรกบนดินจริง ๆ ไม่เจอก็คงไม่รู้ว่ากฎแห่งกรรมมันมีจริง ไม่ต้องรอไปชดใช้ในชาติภพหน้า เกือบครึ่งปีได้มั้งที่ผมต้องใช้ชีวิตแบบสุข ๆ ดิบๆ (ทุกข์เบา หนัก ตามแต่เวลา แล้วแต่พญามารจะโผล่ขึ้นมาหยอก มาหลอน) ทำไมมันไม่จบสิ้นเสียที ? ได้แต่คิด ไม่รู้จะทำยังงัย วิธีการหนีแบบเดิม ๆ ก็ทำหมดแล้ว เอ๊ะไม่มีไรดีขึ้น แล้วจะทำยังงัยดี ขืนเป็นแบบนี้ต้องตายแน่ ๆ

    ดั่งน้ำทิพย์มาโปรดสัตว์
    เมื่อมันหมดหนทางด้วยวิธีเดิม ๆ แล้วก็คงต้องหาวิธีใหม่ ๆ แล้วละ ก็เป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะ หรือบุญมันเพิ่งจะมาโปรดให้คนที่จิตมันตกอยู่ในความมืดบอดอย่างข้าพเจ้าจะได้เรียนธรรมะจริงจังเสียที แฟนข้าพเจ้า (น้องปุ้ย) ที่อยู่แคนาดา ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ไกลโพ้นจากข้าพเจ้าซึ่งอยู่ที่ฉะเชิงเทรา ได้รับทราบจากครูเกษเรื่องการสัมมนาจิตเกาะพระที่ไทย และเธอก็บอกข้าพเจ้าว่าจะมีการสัมมนาจิตเกาะพระครั้งที่ 1 ที่โรงแรมเอเชีย ที่กรุงเทพ วันที่ 17 พย. 2555 ข้าพเจ้าก็ลองไปฟังดู ไม่เสียหลาย โห คนล้นหลามเลย ก็ได้แนวคิดการปฏิบัติธรรมที่ดี น่าลองดูแฮะ วันนั้นใจผมรู้สึกว่าโล่งปรอดโปร่ง เบามากเลย เอ๊ะทำไมหนอ ก็เราปล่อยวางเรื่องทุกเรื่องที่เคยแบกไว้งัย วันนั้นได้ขอเบอร์โทรครูลูกพลังไว้ด้วย เพราะข้าพเจ้าปลื้ม ศรัทธาในสิ่งที่ท่านพูด เล่าให้ฟังทุกอย่าง ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้คุยกะแฟนบอกว่าอยากฝึกแล้ว เธอก็ให้อีเมลครูลูกพลัง ซึ่งเป็นครูฝึกจิตเกาะพระของเธอ นอกจากครูเกษซึ่งเป็นครูหลัก ผมก็เขียนไปหาครูลูกพลัง ท่านก็แนะนำครูก้องให้เป็นครูของผมโดยตรง ก็เริ่มฝึกวันที่ 24 พย. ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องรู้ธรรมะจริง ๆ เสียทีหลังจากที่รู้แบบงู ๆ ปลา ๆ แบบโง่ ๆ มาตลอดชีวิต การกล้าตัดสินใจที่จะปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ คือด่านแรกของการชนะใจตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าข้างหน้า จะเจออะไรบ้าง

    แสงแรกแห่งธรรม จากจิตเกาะพระ
    การฝึกปฏิบัติจิตเกาะพระในช่วงแรก ก็ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรมาก ตรงไหนที่ครูพูด เราไม่เข้าใจ ก็ต้องไปถามอากู๋ (กูเกิ้ล) ก่อน อย่างน้อยจะได้รู้จำด้วยสมอง คิด ไตร่ตรองด้วยจิต ว่ามันเป็นเช่นไร สิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นพื้นฐานคือการมีสติอยู่ ตลอดเวลา รักษาศีลห้าให้ครบ ให้บริสุทธิ์เสมอ ช่วงแรก ๆ ก็ปฏิบัติตามแนวทางที่ครูสอน แนะนำทุกอย่าง แต่ข้าพเจ้า ไม่ได้ทำจริงจัง เพราะมัวแต่คิดว่า เดินทางสายกลางคือทำแบบไม่เครียด เดินห้าง ซื้อของ ดูละคร ก็เป็นสิ่งที่ทำต่อไปได้ แบ่งเวลาปฏิบัติไปแล้วงัย ครูคนที่สามก็เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ก็แฟนข้าพเจ้านั่นแหละ ด้วยความหวังดี อยากให้ข้าพเจ้ามีความก้าวหน้ามากขึ้น เธอก็บอกข้าพเจ้าว่า “หากพี่ยังใช้ชีวิตประจำวันแบบนี้ ก็อย่าหวังว่าจิตจะยกเลย” เจอของจริงเลยครับ มันเหมือนโดนตบอย่างจัง ตรงจิตนะครับ ไม่ใช่ตบหน้า นับตั้งแต่บัดนั้น ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากหลังมือเป็นหน้ามือ สิ่งที่เธอพูดในวันนั้นทำให้เกิดปัญญากระแทกจิตว่า เหมือนที่หลาย ๆ ท่านพูดไว้ว่า “ถ้าไม่ทำจริงจัง ก็จะไม่ได้ธรรมะจริง ๆ ของพระพุทธเจ้าไป” ทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตประจำวันใหม่ทั้งหมดแบบหักดิบ คือไม่เปิดทีวีที่ห้องเลย ไม่เดินห้างถ้าไม่จำเป็นต้องซื้อของที่จำเป็น หันมาเรียนรู้ธรรมะจากการอ่าน ฟังธรรม สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน ช่วงนั้นจิตเราก็ได้มีการเรียนรู้ พัฒนามากขึ้นในธรรมะ

    อาบจิตด้วยธรรม
    การปฏิบัติฝึกจิตเกาะจากรู้ธรรมะแค่เปลือกนอก บาง ๆ ก็ได้เข้าใจ ได้ฟัง ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติ รู้ด้วยจิตตัวเองมากขึ้น ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าประเสริฐยิ่ง เป็นจริงทุกอย่างตามหลักอริยสัจสี่ ธรรมะของพระพุทธองค์เป็นเครื่องหล่อหลอมจิตให้คลาย ปล่อยวางจากอุปาทานขันธ์ห้า ให้จิตเข้าถึงกฏไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พอจิตสงบ มีสมาธิ มีกำลังมากขึ้นก็ย่อมเกิดปัญญาที่จะรู้จักวิธีที่จะจัดการกับกิเลสได้ เพียงแค่ให้เรารู้ สนใจเฉพาะตัวเรา ไม่สนใจคนอื่นหรือสิ่งรอบข้าง ให้รู้หรือกระทบ แต่ไม่รับเข้ามาในจิต ไม่ปรุงแต่ง ให้รู้ตามสภาวะที่เป็นไปของแต่ละอารมณ์ เพราะทุกอย่างสุดท้ายเกิดมา ตั้งอยู่ และดับไป การทรงรักษาไว้สภาพแห่งการมีสติตลอด การสมบูรณ์พร้อมด้วยศีล การศึกษาหลักธรรมของพระพุทธองค์ การเจริญในธรรม การเจริญสมาธิ ภาวนาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ สุดท้ายก็ทำให้จิตมีอิสระเหนือขันธ์ห้า ไม่เกิดความทุกข์ในจิตได้ ถึงแม้ว่ากิเลสยังคงอยู่รอบ ๆ ตัวเราในโลกนี้ แต่จิตเราไม่ลงไปเกลือกกลั้ว ไม่ไปสนใจกับมัน ไม่ปรุงแต่งมัน “สุดท้ายกิเลสมันก็นอนแน่นิ่งสยบแทบจิตเรา แทนที่จิตเราจะสยบในกองทุกข์อันเกิดแต่กิเลส”

    จิตเหนือขันธ์ห้า
    การฝึกจิตเกาะพระได้สำเร็จ (พอเอาตัวรอดได้แล้ว) จิตยกแล้ว(ในระดับนึงตามอินทรีย์ 5 ของตนเอง) ก็ใช้เวลาเพาะบ่มจิตประมาณ 100 วัน ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิด เพราะมีชีวิตหายใจอยู่ในชาตินี้ก็ 14,600 วัน (ที่ผ่านมา หายใจทิ้ง เฉย ๆ น่าเสียดายจริง ๆ ) เทียบเป็นอัตราส่วนก็เพียง 0.7% มันบอกอะไรหรือ ข้าพเจ้าใช้เวลาเพียงแค่ 0.7% ของชีวิตที่เกิดมา เพื่อให้บรรลุธรรมเบื้องต้น ที่จะเอาชนะจิตของตัวเอง เพื่อไม่ให้เผลอตกเป็นทาสของกิเลส ไม่ให้ทุกข์เกิดในจิตได้ คือให้เรารู้วิธีที่จะจัดการรับมือและชนะทุกข์ที่เกิดขึ้นได้

    จิตศรัทธาครู
    การที่จิตจะพัฒนาสู่สภาวะที่มีพลังเช่นนี้ คงต้องขอโมทนาบุญแด่คุณครูก้อง คุณครูลูกพลัง ที่ชี้แนะ สอน ให้กำลังใจ ตอกย้ำจิต คุณครูเกษที่มาช่วยชี้แนะ เสริมธรรมะ ให้กำลังใจ และคนสำคัญที่ขาดไม่ได้คือแฟนข้าพเจ้าเอง ที่เป็นทุกอย่าง ทั้งเพื่อน แฟน ครู ที่คอยเคี่ยวเข็ญ เป็นห่วงอย่างใกล้ชิด ให้กำลังใจ ชี้แนะธรรม เติมเต็ม ให้ความเมตตา อภัย อโหสิกรรมกับข้าพเจ้า (เธอคือนางเอกตัวจริงผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ) ในอดีตที่ข้าพเจ้าเคยถูกกิเลสครอบงำ ให้จิตอยู่ในความมืดแห่งอวิชชา ถ้าไม่มีทุกข์ครอบงำถึงที่สุด ข้าพเจ้าคงไม่เจอธรรมะที่แท้จริง

    บุญสองเด้ง
    นอกจากนี้ทุกข์ของข้าพเจ้าก็ช่วยทำให้แฟนของข้าพเจ้าได้กระจ่างแจ้งในธรรม จิตยก ได้สำเร็จฝึกจิตเกาะพระวันที่ 23 มกราคม 2556 ก่อนข้าพเจ้า สรุปว่า ได้สองเด้ง การที่คนที่เป็นแฟน หรือเป็นสามี ภรรยากัน ได้ปฏิบัติธรรมร่วมกัน ย่อมเกิดผลดี เพราะอย่างน้อยได้ช่วยเหลือกัน เมตตากัน การมีศีลเสมอกัน เห็นแจ้งในธรรมเหมือนกันย่อมทำให้การใช้ชีวิตคู่เป็นไปด้วยความสมบูรณ์ (เพราะจิตเข้าใจเหมือนกัน พูดภาษาธรรมเหมือนกัน)

    กล้าแกร่งที่จิต
    กว่าจะถึงวันที่จิตเป็นอิสระได้ มันเป็นการวัดใจกันจริง ๆ อาศัยความกล้าที่จะปฏิบัติ มีความศรัทธาอย่างสุด ๆ ไม่มีข้อสงสัยในพระรัตนตรัย มีกำลังแห่งสติ ศีล สมาธิและปัญญา เพื่อให้เกิดกำลังจิตที่ต่อเนื่อง การมีระเบียบวินัยในตัวเอง การเอาจริงเอาจัง ทำจริงจัง อดทน เพียรพยายาม ไม่ย่อท้อ ไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายก็ย่อมทำให้ “จิตพบธรรม” จนได้ อันหมายถึง รู้ ตื่น และเบิกบานในธรรมในที่สุด

    ความว่าง
    พอย้อนกลับไปมองทุกข์หรือปัญหาที่เราต่อสู้กับมันที่ผ่านมา ด้วยจิตที่เป็นอิสระ จะพบว่าไม่มีแก่นอะไรเลย นอกจากความว่างเปล่า ด้วยเหตุนี้ “ทุกข์เกิดขึ้นได้เพราะจิตของเราเอง” นี่แหละหนา “จิตที่โง่ด้วยอวิชชา ย่อมไม่หลุดพ้นจากทุกข์”


    “ศีล- ฝึกสติ
    สมาธิ- ฝึกจิตให้สงบนิ่ง เยือกเย็น
    ปัญญา- ฝึกรู้-วาง ว่าง เข้าใจในธรรมชาติของสรรพสิ่งต่างๆ”


    อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2013
  11. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ถ้ามีนิวรณ์อยู่อย่าหวังฌาน

    "ขณะใดที่นิวรณ์ ๕ ประการกินใจตอนใดตอนหนึ่งก็ตาม เวลานั้นจิตไม่มีสมาธิ นิวรณ์ ๕ ประการก็คือ

    ๑. กามฉันทะ มีความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อยสัมผัสระหว่างเพศ
    ๒. อารมณ์ไม่พอใจ
    ๓. ความง่วง
    ๔.ฟุ้งซ่านเกินไป
    ๕. สงสัยผลการปฏิบัติ

    แต่ว่านิวรณ์ ๕ ประการนี้ บรรดาพุทธบริษัทจะชนะมันไม่ได้ ในเมื่อเรายังไม่เป็นพระอนาคามี ถ้าเป็นพระอนาคามีจะชนะได้ ๒ ตัว คือ ข้อ ๑ ข้อ ๒ อีก ๓ ข้อ จะชนะได้ก็ต่อเมื่อเป็น พระอรหัตผล แต่ว่าขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคน พยายามชนะคราวละเล็กละน้อย คือว่าขณะที่เรารู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออก เวลานั้นให้สนใจเฉพาะลมหายใจเข้าหายใจออกเฉพาะ แล้วก็คำภาวนาควบ จะภาวนาว่าอย่างไรก็ตามใจชอบ สักประเดี๋ยวหนึ่งมันก็จะเผลอ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาแทรก ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา พอเรารู้ตัวใหม่เราก็เริ่มต้นใหม่ หายใจเข้ารู้อยู่หายใจออกรู้อยู่ อย่างนี้เป็นต้น

    ถ้าต่อไปพุทธศาสนิกชนทำจนชิน คำว่า ชิน ก็คือ อารมณ์ฌาน จิตจะทรงตัวมากขึ้น อันนี้หมายถึงเบื้องต้นนะ"

    คำสอน หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  12. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    นางสิริมา

    นางสิริมาเป็นหญิงที่มีรูปร่างงดงาม และมีอาชีพเป็นนครโสเภณี อีกคนหนึ่งของพระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ (เล่ากันว่า นางสิริมาเป็นธิดาของนางสาลวดี โดยเมื่อมารดาคลอดนางแล้วรู้ว่าเป็นเพศหญิงจึงเลี้ยงไว้ เพราะหวังจักให้สืบอาชีพเป็นนครโสเภณีต่อไป ฉะนั้น เมื่อนางสิริมาเติบโตขึ้นจึงได้รับการฝึก อบรมจนฉลาดและชำนาญในคณิกาศิลป์) และมีอาชีพเป็นนครโสเภณีเมื่อเป็นสาวแล้ว

    เนื่องจากนางมีรูปร่างงดงาม และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในศิลปะอันเป็นวิชาชีพ จึงมีพวกบุรุษทั้งหลายรับนางไปบำเรอและสมสู่ด้วย โดยจ่ายทรัพย์ให้นางเป็นค่าตอบแทนตามราคาที่นางกำหนดไว้ นางสิริมาจึงร่ำรวยด้วยอาชีพเช่นนั้น ต่อมา....นางสิริมาผู้นี้ยังบรรลุคุณธรรมพิเศษ คือโสดาปัตติผล อีกด้วย.......นางสิริมาผู้ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผลแล้ว พร้อมด้วยหญิงบริวารจำนวน ๕๐๐ คน ต่างประกาศตนเป็นเป็นอุบาสิกาผู้มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

    มีพระภิกษุรูปหนึ่งตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกไปบิณฑบาตตอนเช้าวันนั้นเผอิญนางสิริมามาใส่บาตร พระภิกษุองค์นั้นรับบาตรจากนางสิริมาแล้วก็ได้มองหน้าทรวดทรงองเอวทั้งอาภรณ์เครื่องประดับแต่งกายของนางสิริมานั้นงดงามมากก็ให้เกิดนึกรักนาง พอกลับถึงวัด ปิดฝาบาตรและวางบาตรไว้ในที่แห่งหนึ่ง ปูจีวร นอนหลับตา ไม่พูดไม่จากับผู้ใดทั้งสิ้น หลับตา นั่งนอนก็ให้นึกถึงแต่ภาพนางสิริมา ทั้งไม่ยอมฉันอาหารอีกเลย ถึงภิกษุผู้เป็นสหายสนิทอ้อนวอนให้ฉันเมื่อถึงเวลาฉัน ก็ไม่ลุกจากที่นอน และไม่ฉัน นอนอดอาหารอย่างนั้นต่อไปในวันอื่นอีกด้วย

    เมื่อนางสิริมาใส่บาตรวันนั้นแล้วนางถึงแก่กรรม เพราะโรคที่เกิดแก่นาง พระพุทธเจ้าทรงทราบ เพราะพระพุทธเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญูวิสัย เรื่องที่พระองค์ไม่ทรงรู้นั้นไม่มี พระองค์ทรงทราบแต่ก็นิ่งเฉยไว้ให้เวลากาลผ่านไปสักสองสามวัน นางสิริมาตายสัก ๒- ๓ วัน ก็ปรากฏว่าศพของนางสิริมาก็ขึ้นอืด

    ขณะที่นางตายพระเจ้าพิมพ์สารก็ส่งข่าวให้พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า “ นางสิริมา น้องสาวหมอชีวก” ถึงแก่กรรมแล้ว พระเจ้าข้า ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ได้ทรงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงให้จัดการกับศพของนางสิริมาอย่างไร ? เนื่องจากนางเป็นโสดาบันอริยบุคคล ผู้เป็นสาวิกาของพระผู้มีพระภาคเจ้าคนหนึ่ง

    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพระพุทธดำรัสให้ราชบุรุษนั้นไปกราบทูลพระเจ้าพิมพิสารว่า

    “ อย่าให้มีการฌาปนกิจ ( กิจคือการเผาศพ) นางสิริมาในระหว่างนี้แต่อย่างใด ขอจงทรงเก็บศพของนางสิริมานั้นไว้ อย่าเพิ่งทำอะไรจนกว่าตถาคตจะสั่ง”

    พอถึงวันที่ ๒-๓ วัน ศพของนางสิริมาก็ขึ้นอืด พระองค์จึงได้ทรงรับสั่งกับพระเจ้าพิมพ์สารว่าวันนี้พระตถาคตจะไปเยี่ยมศพของนางสิริมา เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบก็จักสั่งให้การศพไปตั้งไว้ที่กลางแจ้ง

    พระพุทธเจ้าก็ทรงรับสั่งกับพระอานนท์ว่า “ อานนท์วันนี้ตถาคตจะไปเยี่ยมนางสิริมาท่านไม่บอกว่าจะไปเยี่ยมศพ ให้ไปบอกพระทั้งหมดว่าใครจะไปเยี่ยมนางสิริมากับเราบ้างก็ให้ไปได้ พระอานนท์จึงไปบอก พอพระองค์นั้นทราบว่าจะไปเยี่ยมนางสิริมาก็ให้ดีใจ ลุกขึ้นล้างบาตร ข้าวปลาที่บูดเน่ามาหลายวันก็จัดการเก็บล้างเช็ดให้สอาดแต่งตัวห่มผ้าสดสวย พอเเต่งตัวเสร็จพระพุทธเจ้าก็ทรงเสด็จไป

    พอเสด็จไปถึงเขาก็เอาศพออกมาให้ดู พระพุทธเจ้าก็ทรงบอกว่านี้นางสิริมาที่เมื่อก่อนเป็นหญิงที่สวยที่สุดของเมืองราชคฤห แต่เวลานี้นางได้ตายแล้ว พวกเธอดูสิว่ามีความสวยงามตรงไหนบ้าง พระทุกองค์ท่านไม่ต้องดูก็ได้ เพราะท่านทราบแล้วว่าไม่สวย อนิจจงฺ วตสงฺขารา ทุกคนเมื่อตายไปแล้วก็ต้องขึ้นอืด แต่พระพระองค์นั้นท่านก็คิดในใจว่า “ เออ..เมื่อวานซืนนางได้ใส่บาตรแก่เรา นางมีรูปร่างสวยสดงดงาม แต่พอเวลานี้ใช้การอะไรไม่ได้ พองอืดมันขึ้นเต็มที่ น้ำเหลืองน้ำหนองมันไหลออกจากปาก และมีหมู่หนอนไต่ออกจากปากทางทวารทั้ง ๙ คือตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ๑ ช่องทวารหนัก ๑ และช่องทวารเบาอีก ๑ รวม ๙ ทางหรือเรียกกันว่าทวารทั้ง ๙

    ก็เลยคิดในใจว่าร่างกายของคนมันเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าว่าทรงท่านเทศน์ว่าร่างกายของคนมันเป็นอย่างนี้คือหาความดีไม่ได้ ไอ้สิ่งทั้งหลายที่ปรากฏเวลานี้นะความจริงมันไม่ได้มาจากทางอื่น มันอยู่ในร่างกายของเรานั้นเอง นางสิริมานั้นเป็นหญิงสวยประจำกรุงราชคฤหแต่ทว่าในเวลานี้นางสิริมาหมดแล้วซึ่งความสวย แม้แต่ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งคนทั้งหลายปรารถนาจะเตะต้องก็ไม่มี

    พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งให้พระเจ้าพิมพิสารประกาศว่า จะมีผู้ใดต้องการนางสิริมาไปก็ได้ โดยไม่จ่ายทรัพย์หนึ่งพันกษาปณ์ ( เมื่อนางยังมีชีวิตอยู่ถ้าใครต้องการนางไปร่วมด้วยจะต้องจ่ายทรัพย์หนึ่งพันกษาปณ์ ) ก็ไม่มีผู้ใดต้องการ

    พระเจ้าพิมพิสารก็สั่งให้ลดลงมาเรื่อย ๆ เหลือห้าร้อยกษาปณ์ สองร้อย หนึ่งร้อย ห้าสิบ ยี่สิบ สิบ ห้ากษาปณ์ หนึ่งกษาปณ์ ครั้งกษาปณ์ หนึ่งบาท หนึ่งสลึง หนึ่งเฟื้อง ก็ไม่มีผู้ใดรับ และในที่สุดก็ประกาศยกให้เปล่าๆๆ ก็ไม่มีไม่ผู้ใดรับศพของนางสิริมาเลย พระพุทธเจ้าก็เลยรับสั่งให้พระเจ้าพิมพิสารประกาศว่าถ้าใครต้องการร่างกายของนางสิริมาเราจะยกให้เอาไปครองและแถมเงินให้อีกหนึ่งพันกษาปณ์ ก็ไม่มีใครต้องการอีก

    พระพุทธเจ้าก็เลยเทศน์โปรดว่าร่างกายคนของเรานี้มันไม่มีประโยชน์แบบนี้ ฉะนั้นคนเราถ้าต้องการความดีคือความสุขใจ ว่าให้ใช้ปัญญาพิจารณาหาตามความเป็นจริง ว่าร่ายกายของผู้ชายก็ดีผู้หญิงก็ดีของสัตว์ทั้งหลายก็ดีมันเต็มไปด้วยความสกปรกเต็มไปด้วยความโสโครก ที่เรามีความต้องการในร่างกายของบุคคลและสัตว์ทั้งหลายก็เพราะว่าด้วยอำนาจกิเลสตัญหาเข้ามาบังตาบังใจอวิชชาเป็นตัวต้น หรือว่าไอ้ความตัวโง่มันเป็นตัวบังเป็นสมุฐาน พระองค์นั้นพอได้ฟังพระผู้พิชิตมารกล่าวดังนี้ก็เลยเป็นพระอรหันต์ในบัดนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2013
  13. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    [๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ อีกหมวดหนึ่ง
    แก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ
    พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ๑. พวกภิกษุจักเจริญสติสัมโพชฌงค์....,
    ๒. ...ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์....
    ๓. ...วิริยสัมโพชฌงค์...
    ๔. ...ปีติสัมโพชฌงค์...
    ๕. ...ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์...
    ๖. ...สมาธิสัมโพชฌงค์...
    ๗. พวกภิกษุจักเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์

    อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ นี้ จักตั้งอยู่ในหมู่ภิกษุ และ
    หมู่ภิกษุจักสนใจในอปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ นี้ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความ
    เจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=10&A=1888&Z=3915
     
  14. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    [๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ อีกหมวดหนึ่ง
    แก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ
    พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ๑. พวกภิกษุจักเจริญอนิจจสัญญา...
    ๒. ...อนัตตสัญญา...
    ๓. ...อสุภสัญญา...
    ๔. ...อาทีนวสัญญา...
    ๕. ...ปหานสัญญา
    ๖. ...วิราคสัญญา...
    ๗. พวกภิกษุจักเจริญนิโรธสัญญา
    อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว
    ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรมทั้ง ๗ นี้ จักตั้งอยู่ในหมู่ภิกษุ และ
    หมู่ภิกษุจักสนใจในอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ นี้ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญ
    อย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=10&A=1888&Z=3915
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ระหว่างกิเลสกับธรรมต้องมีอุบายแก้กันอยู่ตลอดเวลา...เพราะกิเลสมันจะคอยส่งเสริมจิตให้หลงคล้อยตามอยู่ตลอดเวลาเพราะมันคอยขัดขวางธรรม คือไม่อยากให้ธรรมเกิดขึ้นได้นั้นเอง...โดยเฉพาะช่วงเรามีกําลังอ่อนลงกิเลสจะคอยเข้าแทรกได้อย่างง่ายดายเพราะกิเลสมันเป็นของมันอยู่อย่างนี้เพราะมันทําหน้าที่ตรงข้ามกับธรรม...เพราะกิเลสกับธรรมก็อยู่บนหัวใจเราๆท่านๆคือ "อาศัยใจเป็นสนามรบ"ว่าแต่ฝ่ายใดจะมีกําลังใจต่อสู้เพื่อจะได้ชัยชนะมาครองใจได้นั้นเอง...ถ้าฝ่ายธรรมมีกําลังมากฝ่ายกิเลสก็หมอบราบไปหรือแพ้ไป... แต่ถ้าธรรมมีน้อยกิเลสก็เข้าครองหัวใจเราได้...เราผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะเป็นผู้ต่อสู้กับกิเลสผู้ปฏิบัติต้องมี"สติ"เพราะสติเป็นตัวที่จะบังคับให้จิตเป็นฝ่ายเดินด้าน"ปัญญา"เพราะถ้าไม่มีสติธรรมก็เกิดขึ้นไม่ได้และปัญญาก็จะเกิดไม่ได้เหมือนกัน...ผู้ปฏิบัติต้องคอยสอดส่องดูความคิดแล้วคอยตั้งคําถาม ถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า...สิ่งไหนที่ควรแก้และสิ่งไหนมีความบกบร่องอยู่ก็ต้องคอยถามคอยแก้นั้นคือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญานั้นเอง...
    ที่มาจากเทปธรรมะขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำสมาทานพระกรรมฐาน
    ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)
    ศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา

    (ตั้งนโม ๓ จบ)
    อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิ​

    ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอมอบกาย ถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออาราธนาบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง เป็นที่สุด
    ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะพระกรรมฐานทั้ง ๔๐ ทัศ พระปีติทั้ง ๕ และวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ ขอพระกรรมฐานทั้ง ๔๐ ทัศ พระปีติทั้ง ๕ และวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ จงมาบังเกิดปรากฏ ในกายทวาร ในวจีทวาร ในมโนทวาร ของข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะแห่งเมฆจิต สามารถกำหนดจิต รู้ภาวะการณ์ต่างๆ ทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบัน ได้ทุกขณะจิต ที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้ว ขอให้เห็นภาพนั้น ได้ชัดเจนแจ่มใส และพยากรณ์ได้ตามความเป็นจริงทุกประการ เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น ได้โดยมิต้องกำหนดจิต แม้แต่ประการใด ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด


    คิดถึงพ่อขึ้นมา น้ำตามันก็ไหล อยากกลับไปซบลงที่ตรงตักพ่อ!
    _/l\_ _/l\_ _/l\_​
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089

    สุดซึ้ง พ่อลูกได้พบหน้ากันอีกครั้ง ดูกี่ทีก็น้ำตาไหล คลิปพ่อลูกเจอกัน ของขวัญสุดพิเศษ ที่สุดในชีวิต พ่อลูกกลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง หลังจากที่ พ่อต้องไปรับใช้ชาติมาเป็นเวลานาน ทิ้งครอบครัวให้เฝ้าคิดถึงอยู่ทุกวันและช่วงเวลาที่พิเศษสุดๆเมื่อ พ่อลูกพบหน้ากัน ถือเป็นของขวัญสุดพิเศษ ที่สุดในชีวิต ของครอบครัวเหล่านี้เลยก็ว่าได้ ถึงคลิปนี้จะเก่าแต่เมื่อกลับมาดูอีกครั้งทำน้ำตาแทบไหลทุกที

    พวกเราช่วยกันนำพาดวงจิตพี่น้อง
    กลับบ้านเก่ากันได้อย่างไร
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มีความเด็ดเดี่ยวจริงใจ และมีอารมณ์เนื่องด้วยมรณานุสสติกรรมฐานมีเป็นปกติ
    การคิดแบบนี้เป็นปัจจัยให้บรรลุอรหันต์ง่าย


    จากหนังสือ ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๓๔ หน้า ๔๒
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    ***ขออนุญาตคัดมาบางช่วง บางตอน เท่านั้น***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มีนาคม 2013
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสกับพาหิยะ
    เพราะเหตุฉะนั้น เธอพึงศึกษาในศาสนานี้ว่า เมื่อรูปเราได้เห็นแล้ว รูปจักเป็นเพียงแค่เราเห็นเท่านั้น
    หมายความว่า เราเห็นรูปแล้วจงอย่าสนใจในรูป เอาแต่เพียงแค่เห็น อย่าเอาใจเข้าไปติด
    ท่านพาหิยะกำลังฟังธรรมสั้นๆ อยู่นั้น ก็สามารถทำอาสวกิเลสให้หมดไปเป็นสมุจเฉทปหาน
    เป็นพระอรหันต์ พร้อมไปด้วยปฎิสัมภิทาญาณในขณะนั้นนั่นเอง


    จากหนังสือ ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๓๔ หน้า ๔๓
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    "เรื่องของฉัน"
    อันดับแรกในการเจริญพระกรรมฐาน สิ่งที่มีความสำคัญที่สุด ก็คืออารมณ์ของสมาธิ
    สมาธิหรือฌานมันก็อันเดียวกัน ขณิกสมาธิก็เรียกว่าขณิกฌาน อุปจารสมาธิเรียกว่าอุปจารฌาน
    อัปปนาสมาธิเรียกว่าตัวฌาน คำว่า "ฌาน" แปลว่า เพ่ง
    คำว่า "เพ่ง" แปลว่า การตั้งใจจดจ่อ จิตจับไว้โดยเฉพาะเพ่งหรือจ้อง ก็มีสภาพเป็นอันเดียวกัน
    ถ้ามองด้วยตาเปล่าก็เรียกว่าจ้องด้วยตา ถ้าใช้กำลังจิตจับก็เรียกว่าเพ่ง หรือจ้องด้วยจิต จ้องหรือเพ่งเหมือนกัน
    คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์เอกัคคตารมณ์ โดยจะยึดอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามที่เป็นกุศล
    พื้นฐานจริงๆที่จะทำให้จิตเข้าถึงพระนิพพานนั้น หลักใหญ่จริงๆก็คือกรรมฐาน๔๐ หรือ มหาสติปัฎฐานสูตร
    สิ่งที่เป็นอันตรายกับสมาธิ นั่นก็คือ นิวรณ์๕ ถ้าเราไปสนใจกับนิวรณ์ ๕ ว่ามีอะไรบ้างมันก็เสียเวลาอีก
    เสียเวลาจิตที่จะเข้าทรงความดี
    สิ่งที่สนใจในเบื้องต้นหรือถึงปลาย นั่นก็คือ รู้ลมหายใจเข้าออก..

    จิตทรงตัว
    สติ นึกไว้เสมอว่า เราหายใจเข้าหรือหายใจออก
    สัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวว่าลมที่กระทบที่จมูก กระทบที่หน้าอก กระทบที่ศูนย์เหนือสะดือ
    กระทบหน้าอก กระทบที่จมูกหรือริมฝีปาก ถ้าเอาจิตไว้ใช้อย่างนี้โดยเฉพาะ เรื่องกังวลอย่างอื่นมันก็ไม่มี
    จิตก็จับเฉพาะสายของลมที่เดินไป แล้วความรู้สึกทางกายที่ลมกระทบมันละเอียดมาก มันเบามาก
    เราก็ต้องระวังมากอันนี้เป็นฝึกทรงสติสัมปชัญญะ ก็คือเป็นการฝึกฌาน

    พระอรหันต์
    เป็นผู้หนักไปด้วยอานาปานุสสติกรรมฐาน คือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก
    เพราะว่าเป็นกรรมฐานสำหรับทำให้ร่างกายพระอรหันต์เป็นสุข
    คำว่า ร่างกายเป็นสุขหมายถึง ไม่ได้หมายความว่าร่างกายจะไม่ป่วยไข้ ไม่สบาย
    ร่างกายเป็นสุข เพราะจิตไม่น้อมไปกับร่างกายที่มันเสื่อมไป
    อะไรก็ตามที่มันเกิดกับร่างกายเป็นทุกขเวทนา ใจมันไม่สนใจ มันมีความรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของขันธ์ ๕


    จากหนังสือ ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๓๔ หน้า ๔๕
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...