จิตบังคับบัญชาได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้...จะอบรมจิตได้อย่างไร???

คุณเกสท์ครับ

คุณกำลังสบประมาทลมหายใจซึ่งเป็นเครื่องมือชั้นสูงอยู่ครับ
ลมหายใจเป็นกายสังขารชนิดหนึ่งที่เป็นเครื่องมือทำให้จิตเกิดความสงบตั้งมั่น

คุณยังไม่รู้จักลมหายใจดีพอ ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย
รู้มั้ยครับ จิตที่มีสติตั้งมั่นไม่หวั่นไหวสงบได้เท่านั้น
ที่จะทำให้ลมหายใจละเอียดตามไปด้วยครับ

คุณรู้มั้ยครับว่าขณะนั้นจิตได้สลัดเวทนาออกจากจิตได้แล้ว
คุณไม่ต้องยกรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณมาบอกหรอกครับ
ขณะนั้นที่กำลังฝึกฝนอรบมอยู่นั้นจิตพิจารณารู้เห็นสิ่งเหล่านั้น(ขันธ์๕)อยู่แล้ว

อย่าลืมครับว่า
ลมหายใจ(อานาปานสติ)เมื่อเราทำให้บริบูรณ์
ย่อมยังสติปัฏฐานให้บริบูรณ์ไปด้วย เป็นพุทธพจน์ครับ
คุณยังกล้าพูดอีกหรือครับว่าเป็นเพียงวงนอก อย่าคิดเองสิครับ
แล้ววงในเป็นอย่างไรครับ???

ผู้ที่ผ่านการปฏิบัติกรรมฐานสายพระอาจารย์ใหญ่มั่น
ทุกคนรู้คุณค่าของลมหายใจครับ
คนที่รู้จากการอ่านตำราแล้วย่อมไม่รู้จักคุณค่าของลมหายใจ(อานาปานสติ)


;aa24

 

คุณขันธ์ครับ คุณยังสับสนอยู่ครับ
ระหว่างอวิชชาครอบงำกับ
ยังมีอวิชชาอยู่ครับ

คนที่มีอวิชชาครอบงำอยู่ไม่สามารถข้ามฝากมาฝั่งอริยภูมิได้หรอกครับ
ยังละอกุศลธรรมไม่เป็น ส่วนพระอริยเจ้านั้นละเป็น แต่ยังละได้ไม่หมด


เวลาหมดครับ
ไปละ

;aa24

 

ผมว่า คุณยังไม่เข้าใจระหว่าง อวิชชาครอบงำ และ การเห็นแจ้ง
คำว่า พระโสดาบัน ยังถูกอวิชชาครอบงำ แต่ เห็นแจ้ง มีทัสนะเกิด มีปัญญาเกิด มันไม่ได้วัดกันที่อวิชชาครอบงำหรือไม่ครอบงำ

พูดง่ายๆ คือ ถ้าอวิชชา ไม่ครอบงำแล้ว จะเข้าถึงพระอรหัตตผล ทันที
ก็พูดมาเท่านี้ ผมก็รุ้แล้วว่า ธรรมภูติ ยังโดนสมมติบัง และเข้าใจผิดๆ อยู่มาก ยังอีกนาน ธรรมภูติ

 

คุณ ธรรมภูต ครับ

ผมอ่านข้อความของคุณแล้วก็รู้ครับ
คุณไม่รู้จักขันธ์ 5 อย่างแท้จริง
เพราะฉนั้นการพิจารณาไตรลักษณ์ในขันธ์ 5 จึงเป็นไปไม่ได้

เฮ้อ....ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ก็แค่นั้น
แล้วยังมาตะแบงอีก
น่าอายจริง ๆ

นี่เหรอครับตอบอย่างถนัดใจ
เป็นอย่างนี้เหรอครับ

 

ผมไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อยหรอกคุณธรรมภูต
เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาผมสนทนาธรรม
กับนักปฏิบัติท่านหนึ่ง
เธอบอกว่าเธอเจริญอานาปานสติจนกระทั่งลมหายใจหายไปเอง
แต่พอผมถามถึงเรื่องสติเธอกลับไม่รู้จัก

ผมถึงได้บอกยังไงว่าสมาธิสำคัญที่สติ

ลมหายใจหายไปขณะทำสมาธินั้นเป็นเพียงแค่อาการของการทำสมาธิเท่านั้น
ไม่ได้หมายความว่าผู้นั้นมีสมาธิที่แนบแน่นมั่นคง
เป็นเพียงอาการสงบของใจเท่านั้นเอง คือกระแสจิตรวมตัวเข้ามาก็เท่านั้น

แค่ลมหายใจหายไปทำเป็นโม้ใหญ่โต
คนอื่นเค้าได้ธรรมมากกว่านี้เค้ายังไม่พูดอะไรเลย

นี้ไม่ได้เรียกว่าโอ้อวด ดอกหรือ

ผมบอกแล้วไงพูดมาก กิเลสแทรกได้ ธรรมที่ได้มาจะเสื่อมนะจะบอกให้

 

มีทู

 

คุณ 00000 ครับ

คุณก็แวะมาทักทายไม่จบไม่สิ้นเช่นเดียวกันนะครับ

 

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ] ​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>วิษณุ12, วิมุตติ

มาแต่เช้านะครับครูวิมุต
</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

เห็นด้วย อิอิ

แถวบ้านผมเขาเรียก เสียดสี...

 

เด็กๆมารอเรียนครับ คุณครูต้องรีบมาเป็นธรรมดา อิอิ

 

เหตุใดจึงยังติดอยู่ภพเดิมๆ
เหตุใดไม่มองประโยชน์ของการถกธรรม
เหตุใดจึงปล่อยวางไม่ได้
ท่านติดอะไรอยู่หรือ...?

 

มีปลาทู

 

เกสท์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัว ไม่มีตน

ไม่ต่างอะไรกับ TVJ และ ธรรมภูต

ไม่ต่างกัน ไม่ต่างกัน.........

 

คุณผีฯครับ คุณจะเป็นร่างทรงของใครก็แล้วแต่ ผีฯก็คือผีฯครับ
ดีครับที่คุณประเมินผมว่ามีภูมิธรรมเพียงน้อยนิด
ไม่ผิดหรอกครับเมื่อเทียบกับจอมศาสดาแล้วเหมือนหิ่งห้อยอันน้อยนิดจริงๆครับ

คุณตอบเรื่องปัญญาทางโลกกับทางธรรมได้ดีนิครับ
ในเมื่อภูมิธรรมคุณมีมากมายช่วยไปขึ้นกระทู้อบรมสั่งสอนผมหน่อยสิครับ
ตามกติกาที่ผมใช้อยู่เป็นประจำครับ

ท่านที่เคยสนทนากับผมแล้วย่อมรู้กติกานี้ดีครับ
ผมจะตอบช้าตอบเร็ว ผมตอบแน่นอนครับ
และก็ไม่เคยใช้วิธีที่คนอื่นชอบทำกัน
ไม่ตอบตรงคำถามชอบแถออกเป็นเรื่องอื่นเป็นประจำ
วันหลังขอครับอย่าใช้วิธีตีหัวเข้าบ้าน สุภาพชนคนพุทธศาสนาเค้าไม่ทำกันครับ

;aa24

 

คุณเกสท์ครับ ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณถึงได้โอ้อวดถึงเพียงนี้
แถมยังตะแบงเสียงดังโดยไม่รู้จักละอายใจตนที่ลบหลู่พุทธพจน์ด้วยความเขลา
เพราะคุณคิดว่าตัวเองเก่ง
สิ่งที่รู้มานั้นถูกต้องโดยไม่ต้องมีอะไรมารองรับหรือเทียบเคียงเลย เก่งจริงๆ
แล้วเอาตนเองเป็นจุดศูนย์กลางของความถูกต้องที่คิดขึ้นเอง ทำไปได้ เฮ้อ!!!

ทำไมผมถึงบอกว่าคุณโอ้อวดและอวดดี
เพราะคุณทำตัวเก่งยิ่งกว่าจอมศาสดาของพวกเราชาวพุทธเสียอีก
สิ่งที่จอมศาสดาพูดคุณยังมองเห็นว่าเป็นเรื่องกระจอก
ผมเตือนคุณแล้วครับว่า เมื่อถึงวาระที่ต้องจากกายเน่าๆนี้
คุณจะต้องระลึกถึงคำพูดผม
ที่เคยพูดถึงเรื่องลมหายใจ(อานาปานสติ)เป็นกายสังขาร(ชนิดหนึ่งในขันธ์๕)
ที่ทำให้เห็นไตรลักษณ์ได้ชัดเจนที่สุด

คุณอย่าเอาแค่ตัวอย่างเด็กๆแบบนั้นเพื่อมารองรับความถูกต้องให้กับตนเองสิครับ
อานาปานสติความหมายก็บอกชัดเจนอยู่แล้วครับ
เอาลมหายใจมาสร้างสดิ ไม่ใช่สร้างสติธรรมดาครับต้องเป็นสติปัฏฐานเท่านั้น
เลิกแถได้แล้วครับ คุณไปเอาสติมาจากไหนครับในการทำสมาธิ???

คำถามเดิมๆที่ผมเคยถามไปคุณไม่เคยตอบเพราะไม่รู้หรือโอ้อวดไม่ออก
เอาที่ล่าสุดผมถามว่า แล้วที่ว่ารู้จักขันธ์๕ วงในเป็นอย่างไร???

คุณเกสท์ครับ การสนทนาธรรมที่ถูกต้องควรเลิกใช้วิธีกล่าวร้ายคนอื่นได้แล้วครับ
มันไม่ช่วยให้คุณรู้ธรรมมากขึ้น มีแต่จะหลงตัวเองมากขึ้นครับ
คุณไม่เคยสมาทานอานาปานสติที่ถูกต้องแท้จริงและยังทำไม่ได้
เลยมองว่าการพิจารณาอานาฯเพื่อสร้างสัมมาสตินั้นเป็นเรื่องเหลวไหล
เป็นการดูหมิ่นและลบหลู่พระพุทธองค์อันเป็นจอมศาสดาของเรา
ไม่ใช่ว่าท่านอื่นจะทำไม่ได้ครับ อย่ามัวแต่วางก้ามเลยครับ ถ้าคิดว่ารู้มากกว่า เชิญครับ

เอาพุทธพจน์มาให้พิจารณาเพื่อให้เข้าถึง เมื่อเพียรจนเข้าถึงแล้วได้
อย่าลืมไปกราบขอขมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ครอบครัวจะได้รับแต่ความสุขความเจริญ

พุทธพจน์

 

ขันธ์เอย ทู้นี้ผมขอใช้ขันธ์เอยเพียงทู้เดียวครับ

ขันธ์เอยเคยจำที่คุณคุยไว้มั้ยครับว่า คุณมีกิเลสเหลือน้อยใช่มั้ยครับ???
ผมขอถามว่าทำไมกิเลสถึงเหลือน้อยเพราะอะไร???
ใช่เพราะอวิชชาไม่ครอบงำให้คุณไปทำกรรมชั่วเพิ่มขึ้นอีกใช่มั้ยครับ???

ถ้ายังมีอวิชชาครอบงำอยู่ กิเลสเหลือน้อยไม่ได้ครับ
เพราะอวิชชาครอบงำให้สร้างกิเลสเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ
แสดงว่าที่คุณพูดนั้น คิดเองเออเองใช่มั๊ยครับ???

ส่วนที่เหลือน้อยเป็นส่วนที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานของผู้ปฏิบัติใช่มั้ยครับ???
ใช่มั้ยครับว่าเป็นเพียงแค่อารมณ์ที่ประทับใจมานมนานไม่ใช่อกุศลกรรม???

ขันธ์เอยยังอีกนานหนะใคร ของแค่นี้ไม่รู้ก็อย่าเที่ยวไปข่มใครเลยเป็นบาปเปล่าๆครับ
ผมยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนขึ้นระหว่างคำว่า

 

ยิ่งพูดยิ่งแสดงทัสนะที่ผิด ออกมานะ ธรรมภูติ
ที่บอกว่า พระโสดาบัน กิเลสน้อยลง ก็เพราะว่า ไม่ใช่ว่า อวิชชาไม่ครอบงำ แต่ ลูกของอวิชชาครอบงำไม่ได้ เพราะทวนกระแส และ ตัดกิเลส อันเป็นผลมาจากอวิชชาได้ส่วนหนึ่ง ก็คือ สังโยชน์นั้นแหละ
เดิมที อวิชชา ปรุงไปได้ตลอดสาย แต่เมื่อ มีปัญญาแจ้งระดับหนึ่ง ก็ตัดไม่ให้มันปรุงเป็น สักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา และสีลพตรปรามาส
ก็ สกิทาคา ก็เช่นเดียวกัน ปรุงไปเป็น ราคะโทสะ น้อยลง
ทั้งนี้มาจากอวิชชาทั้งสิ้น

ยิ่งเถียงยิ่งตลก ไม่ศึกษาให้ดีก่อนมาเถียง แล้วก็เถียงคอเป็นเอ็นเลยนะ ไปศึกษาให้ดีก่อน แล้วค่อยมาเถียงใหม่ ไม่เช่นนั้นมันจะขมวดปมให้เถียงไม่ออกไปเรื่อยๆ

 

ที่พระโสดาบัน ตัดกิเลสได้ ก็เพราะว่า มีปัญญา ความมีปัญญานี้ต้องมีเป็นขั้นๆ เรียกว่า ต้อง ศึกษาต่อ ยังเป็น เสขบุคคล
ศึกษาต่อเพื่อให้ทัน ต่ออวิชชาไปเรื่อยๆ ตัดสายปฏิจสบุปบาทได้มากขึ้น ก็เรียกว่า สายแห่งการปรุงแต่ง หดสั้นลง เรื่อยๆ

อยากจะรู้ต้องถามผุ้รู้ไม่ใช่งูๆปลาๆ แล้วมาเถียง

 

ผมลบหลู่พุทธพจน์ตรงไหน
คุณอย่ามาใส่บาปใส่กรรมผม
คุณกลับไปพิจารณาดูให้ดี ๆ
อย่าให้กิเลสจูงจมูกสิ

ผมเป็นอย่างที่คุณกล่าวหาหรือเปล่าคุณคิดให้ดี ๆ นะ
ไม่ใช่จะมากล่าวหากันลอย ๆ อย่างนี้

ผมลบหลู่พุทธพจน์ตรงไหนคุณยกมาเป็นคำ ๆ เลย
ถ้าผมไม่ได้ลบหลู่พุทธพจน์
สิ่งใดที่คุณกระทำคุณต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นนะจะบอกให้

นี่ล่ะขาดสติยับยั้งใจ
พาตนเองทำบาปทำกรรม

 

ขออนุญาติแทรกความเห็น ตอบคุณเกสท์ หน่อยนะคะ
เท่าที่ตามอ่านโพสท์ของคุณธรรมภูติ อาจเข้าใจผิดก็ได้ (ขออภัยคุณธรรมภูติไว้ล่วงหน้า)
เราเห็นว่า คุณธรรมภูติเมื่ออ่านธรรมะของพระพุทธองค์ แล้วตัวเองเข้าใจอย่างไรก็แสดงความเข้าใจธรรมตามภูมิธรรมของตนออกมา พอมีคนเห็นต่างจากที่คุณธรรมภูติเข้าใจ คุณธรรมภูติ ก็จะเข้าใจว่าผู้ที่เห็นต่างออกไป คือผู้ที่มีความเห็นขัดกับพระพุทธองค์หรือลบหลู่พระพุทธพจน์

ถ้า คุณธรรมภูติ เห็นว่า เราเข้าใจท่านผิดไป ก็ขอให้ท่านอภัยและแจ้งสิ่งที่ถูกให้เราทราบด้วย สิ่งที่เราตอบมานี้ก็คือสิ่งที่เราเห็น เราอาจจะเห็นผิด เข้าใจท่านผิดไปเองก็ได้ ที่อยากตอบ เพราะอยากให้คุณธรรมภูติ ทราบว่าบางทีความเห็นขัดกันนั้น ไม่ใช่เห็นขัดกับพระพุทธพจน์ แต่เป็นเพราะเข้าใจพระพุทธพจน์ต่างกันก็มี แล้วพอเข้าใจต่างกัน ก็เป็นเหตุให้ขัดแย้งกันก็มี