@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    "จำไว้ให้แม่น ๆ ใครก็ตามที่ทำแล้วประสบกับการทดสอบแรง ๆ แบบนี้แปลว่าบุคคลนั้นถ้าทำต่อไปจะเกิดผลเร็วมาก เขาเกรงว่าเราจะหนีรอดไปได้ ก็เลยพยายามขัดขวางแบบรุนแรงเช่นกัน ในเมื่อขวางแรงก็ทำให้เราเข้าใจผิดได้ง่าย ถ้ากำลังใจไม่มั่นคง หลายรายหลุดวงโคจรไปเลย

    พี่ชายของอาตมาเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่วัยรุ่นมาตั้งใจอย่างเดียวว่าจะบวชปฏิบัติธรรม ดำเนินตามรอยครูบาอาจารย์ ทำทุกอย่างไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย ทำเพื่อพี่เพื่อน้องหมด คราวนี้ตอนที่เขาตัดสินใจจะบวช ก็ไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนนั้นหลวงพ่อท่านอยู่ที่บ้านสายลม คนมาก ๆ อย่างนี้แหละ เข้าไปถึงก็กราบถามด้วยความฉะฉานว่า “หลวงพ่อครับ ถ้าผมบวชจะได้เป็นพระอรหันต์ไหมครับ ?”

    หลวงพ่อท่านบอกว่า “โคตรแม่มึงปฏิบัติเอง..แล้วกูจะตอบได้อย่างไร..?!” ก็คือถ้าตั้งใจปฏิบัติจะให้เป็น ทุ่มเทไปก็มีโอกาสเป็น แต่ถ้าบวชไปแล้วไม่ยอมทำอะไร จะเป็นได้อย่างไร ?"

    "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่เกรงใจลูกศิษย์หรอก ท่านทดสอบหนัก ๆ อย่างนี้ทุกคนแหละ ปรากฏว่าพี่ชายของอาตมาตีความผิด ว่าตัวเองบวชไปก็ไม่ได้อะไร ก็เลยไปแต่งงานมีครอบครัวแทน ตั้งแต่นั้นมาก็หลุดวงโคจรไปไกล จนกระทั่งท้ายสุดเป็นมะเร็ง

    ก่อนจะตายอยู่ที่โรงพยาบาล อาตมาเข้าไปไล่อารมณ์การปฏิบัติให้ จนกระทั่งไปถึงจุดที่ว่าเขาเข้าใจและเกิดความมั่นคงในอารมณ์แล้ว ก็บอกว่าให้รักษาอารมณ์ตรงนั้นไว้ หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ตาย ถือว่ายังมีบุญอยู่

    กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    ถาม : มีหรือไม่ ฆราวาสที่ปกติไม่ได้นึกถึงนิพพาน แต่พอก่อนตายนึกถึงพระนิพพานแล้วเข้าสู่พระนิพพานเลย?
    ตอบ : มีเยอะ ถ้าสิ่งที่สั่งสมมาแต่เดิมมีเพียงพอ เราต้องดูผู้ที่ไปพระนิพพานว่า เป็นผู้ที่มีจิตสะอาดปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีความปรารถนาที่จะเกิดอีก อย่างคนป่วยใกล้ตายจะไปรักใครไหว ถ้าไปโกรธเขา บอกเขาหามไปตีกับเขาที จะไปตีไหวไหม? ป่วยขนาดนั้นย่อมเห็นว่าร่างกายไม่ดี ก็ไม่หลงในร่างกาย ก็แปลว่าจริง ๆ แล้วรัก โลภ โกรธ หลง ขาดไปโดยอัตโนมัติแล้ว

    เพียงแต่ว่าคิดให้เป็นว่า สภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยแบบนี้ เราไม่ต้องการอีก ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาบนโลกนี้ หรือเกิดมามีร่างกายเราไม่ต้องการอีก ถ้าจิตตัดได้ถอนออกจริง ๆ ก็ไปพระนิพพานได้ กลัวอยู่อย่างเดียวว่า การที่จิตไม่เคยทำความดีมาก่อนก็จะไม่นึกถึงตรงนี้ จะไปเกาะกรรมเก่า ๆ ที่ตนเองเคยทำเอาไว้

    หลวงพ่อพระครูวิชาญไชยคุณ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านเล่าไว้ว่า โยมเขามีอาชีพหาปลามาทั้งชีวิต ถึงเวลาใกล้ตายก็ไปแนะนำเขา ให้ภาวนาว่า อะระหัง ๆ ปรากฏว่าเขาพูดไม่ได้ พูดได้แต่ "ไอ้โด" (ปลาชะโด) ก็บอกอีกว่าถ้าอย่างนั้นพุทโธนะพ่อ เขาก็พูดว่า "ไอ้ช่อน" เขาได้แค่นั้นจริง ๆ ถ้าสภาพอย่างนั้นรับรองว่าไม่พลาดแน่ ต้องบอกว่าเป็นนิยตบุคคล ผู้มีคติอันแน่นอน แต่ไม่ได้แน่นอนข้างบน แน่นอนข้างล่าง

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    [๓๗๘] กตเม เทฺว ธมฺมา พหุการา ฯ สติ จ สมฺปชญฺญญฺจ ฯ อิเม เทฺว ธมฺมา พหุการา ฯ
    http://www.84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=11&A=6159
    (ก) ธรรม ๒ ประการที่มีอุปการะมาก คืออะไร
    คือ
    ๑. สติ (ความระลึกได้)
    ๒. สัมปชัญญะ (ความรู้ตัว)
    นี้ คือธรรม ๒ ประการที่มีอุปการะมาก
    ………………
    ข้อความบางตอนใน ทสุตตรสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑
    http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=11&siri=11
    หลายบทว่า อิเม เทฺว ธมฺมา พหูการา ความว่า ธรรมคือสติและสัมปชัญญะ ๒ เหล่านี้มีอุปการะ คือนำประโยชน์เกื้อกูลมาให้ในที่ทั้งปวง เหมือนความไม่ประมาทมีอุปการะในกิจทั้งหลายมีการบำเพ็ญศีลเป็นต้น ฉะนั้น.
    ………………
    ข้อความบางตอนใน เทฺวธมฺมวณฺณนา อรรถกถาทสุตตรสูตร
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=364
    yMcWADDFm0-6ZU8DXRKGVDXgjX7PmYSbH1CUK6lR4FYq&_nc_ohc=HyxrJBHgWvUAX9vcrC6&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    พระไตรปิฎกศึกษา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ลูกศิษย์ของท่านแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท

    ประเภทที่ ๑ เป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่
    ประเภทที่ ๒ เป็นลูกศิษย์รุ่นกลาง
    ประเภทที่ ๓ เป็นลูกศิษย์รุ่นจิ๋ว

    ท่านบอกว่า ลูกศิษย์รุ่นใหญ่ของท่าน ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันขึ้นไปเป็นอย่างน้อย ลูกศิษย์รุ่นกลาง อย่างน้อยต้องทำมโนมยิทธิหรือทรงฌานสมาบัติได้ ส่วนลูกศิษย์รุ่นจิ๋ว อย่างน้อยต้องรักษาศีล ๕ ได้

    อาตมาเองก็อยากจะแบ่งลูกศิษย์ตัวเองเป็น ๓ รุ่นเหมือนกัน รุ่นที่ ๑ เรียกว่า รุ่นเป็นง่อย...! คือ ไม่คิดจะช่วยตัวเองอะไรเลย นอกจากโดดเกาะอย่างเดียว เกาะเฉย ๆ ก็ไม่ว่า รัดคออีกต่างหาก...! อาจารย์ไม่ตายก็บุญโขแล้ว พยายามจะถีบจะผลักให้เดินอย่างไร ก็ไม่สนใจทั้งนั้น กูจะเกาะอย่างเดียว แถมยังมีการไปต่อว่าอีกว่าพระอาจารย์ใจร้ายใจดำ ไม่ยอมให้เกาะ

    ประเภทที่ ๒ กึ่งเป็นง่อย...! ก็คือ ช่วยงานอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เป็นภาระมากนัก ก็ถือว่าพอใช้ได้อยู่

    ส่วนประเภทที่ ๓ มาช่วยงาน แต่ก็ยังแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ประเภทยิ่งช่วยยิ่งยุ่ง มีน้ำใจแต่ไร้ฝีมือ ยิ่งช่วยยิ่งมีปัญหา กับประเภทช่วยแบ่งเบาภาระงานได้จริง ประเภทที่ ๓ นี่มักโดนประเภทที่ ๑ และประเภทที่ ๒ มาอิจฉาอยู่เสมอ หาว่าทำไมรุ่นนี้ถึงใกล้ชิดได้ ทำไมเขาใกล้ไม่ได้ ฟังแล้วเครียด...!

    การที่จะทำตัวเป็นภาระให้กับครูบาอาจารย์นั้น ในความรู้สึกของเขารู้สึกว่าดีเหลือเกิน โดยที่ไม่ได้รู้ว่าการที่แบกภาระนั้นหนักแค่ไหน จนกว่าจะเป็นครูบาอาจารย์เองนั่นแหละ"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    -pGxKtXSBVx3D-AZldCNJRUF2z_r0MTKiDNQreblrAQu&_nc_ohc=IgWq3Mcz0m8AX-TRVh7&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    “เงินต่อเบี้ย”
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยสอนไว้ในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรว่า ให้นำธนบัตรอะไรก็ได้ไว้ที่หน้าตักหรือด้านหน้าของเรา เมื่อถึงเวลาเป่ายันต์ พระท่านจะสงเคราะห์เสกให้ และธนบัตรนั้นจะเป็นเงินที่ต่อเบี้ยเป็นเงินขวัญถุง ให้เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ เพื่อดึงดูดเงินเข้ากระเป๋าเรา... แต่โยมต้องทำสัญลักษณ์เอาไว้ให้ดีด้วย เพราะมีหลายคนเผลอหยิบออกไปใช้ แล้วมาเสียดายทีหลังก็ไม่ทันแล้ว..!

    คำสอนของพระอาจารย์เอ บ้านสุมโน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    ถาม : พอจะอธิบายลักษณะของฌานใช้งาน ตั้งแต่อุปจารสมาธิจนถึงฌานสี่อย่างคร่าว ๆ ได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ไปเปิดตำราดูดีกว่า อาตมาอธิบายไว้เยอะแล้ว

    ถาม : ไม่เหมือนกับทั่วไปไม่ใช่หรือคะ ?
    ตอบ : บางทีก็มีรายละเอียดที่เราจะต้องทำให้ถึงจริง ๆ จึงจะเข้าใจในสิ่งที่อาตมาพูดไป ถ้าทำไม่ถึงก็จะไม่เข้าใจในสิ่งที่ว่ามา ได้แต่คิดว่า คาดว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น..ทำไปเถอะ พอทำถึงเดี๋ยวก็จะเข้าใจเอง

    ความจริงอุปจารสมาธิของพวกเราก็คือตอนนี้ ตอนที่เราตั้งใจทำอะไรบางอย่างโดยที่สติจดจ่ออยู่ตรงหน้า กรณีนี้หมายถึงคนทั่ว ๆ ไปนะ ถ้าคนที่เขาคล่องตัวแล้ว สติที่จดจ่ออยู่เฉพาะหน้าบางทีเขาเลยอุปจารสมาธิไปถึงไหน ๆ แล้ว

    กำลังใจจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า ไม่ได้เคลื่อนไปไหน นั่นคืออุปจารสมาธิ หลังจากนั้นถ้าสามารถกำหนดรู้ลมได้ตลอดสามฐานก็จะเป็นปฐมฌาน ถ้าลมหายใจเริ่มเบาลง ความรู้สึกเหมือนกับว่าเราหายใจน้อยลง หรือจับลมไม่ได้ บางทีคำภาวนาก็หยุดไปด้วย ก็เป็นฌานสอง ตรงนี้เป็นหลักที่คนส่วนใหญ่จะต้องเจอ

    พอเริ่มเป็นฌานสาม บางคนก็รู้สึกว่าตัวแข็ง แข็งเหมือนกับกลายเป็นหิน บางคนก็รู้สึกเหมือนว่าชา เหมือนกับกลายเป็นหินไปทั้งตัวแล้ว บางคนก็รู้สึกว่าเหมือนกับโดนมัดติดกับเสาจนแน่น ตั้งแต่หัวถึงเท้ากระดิกไม่ได้เลย อาการแรกเริ่มก็อาจจะเริ่มจากจุดใดจุดหนึ่ง อย่างเช่นปลายจมูกหรือปาก บางคนนั่ง ๆ อยู่เหมือนกับเม้มปากแน่นขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความจริงไม่ใช่ นั่นเป็นอาการที่สมาธิเริ่มทรงตัวมากขึ้น

    ถ้าหากเราไม่ตกใจและไม่กลัว เอาใจกำหนดดูกำหนดรู้ไปเรื่อย ตอนนั้นเราจะลืมไปด้วยซ้ำว่ามีลมหายใจหรือมีคำภาวนาหรือเปล่า ความรู้สึกของเราจะรวมอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งในร่างกาย สว่างโพลงอยู่เฉพาะที่ ไม่รับรู้อาการภายนอก ถ้าอย่างนั้นจะเป็นฌานสี่ ถึงตอนนั้นแล้วเวลาจะผ่านไปโดยที่เราไม่รู้ตัว บางทีเรารู้สึกว่าเดี๋ยวเดียว ลืมตาขึ้นมาผ่านไปตั้งหลายชั่วโมง

    บางอย่างมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เฉพาะตัวอยู่ พอทำถึงก็อ๋อ..ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง

    เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔
    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "การเจริญวิปัสสนาญาณ"

    .. การพิจารณาท่านบอกว่า อันดับแรก "ทำจิตให้เป็นสมาธิเสียก่อน" จะมีสมาธิอันดับไหนก็ช่าง ทำใจให้สบาย ควบคุมจิตให้อยู่ในขอบเขต พิจารณาว่าร่างกายอันดับแรก ความเกิดเมื่อเราเกิดมาแล้ว
    เวลาที่ทรงอยู่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ "ตอนต้นต้องหาทุกข์ให้พบ" หากิจการงานต่างๆ ที่เราทำ หรืออารมณ์ที่เราทรงอยู่เป็นอารมณ์ของความทุกข์ ไม่ใช่อารมณ์ของโลกีย์วิสัย อันนี้ยังไม่อธิบายเวลามีน้อย
    ต่อไปเมื่อหาทุกข์พบ การหาทุกข์พบนี่ต้องหากันจริงๆ หาทั้งทุกข์ในตัวเราหรือทุกข์ในคนอื่น ถ้าเรายังเห็นว่า ใครคนใดคนหนึ่งในโลกที่ยังเดินไปเดินมา ซึ่งมีกิริยาหรือความประพฤติปฏิบัติ หรือว่าทรงชีวิตอยู่ในโลก
    มีความสุขด้วยอำนาจของร่างกาย ยังใช้ไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า "อารมณ์ยังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า" ความจริงอารมณ์แค่นี้ก็ตาม ยังไม่ถือว่าเป็นพระอริยเจ้า ต้องเอาอารมณ์คือ "ปัญญาเข้าพิจารณาให้เห็นความทุกข์จริงๆ ของร่างกาย"
    คือว่าคนที่กำลังทรงร่างกายอยู่นี้มีทุกข์อยู่ตลอดเวลา เราก็ตาม เขาก็ตาม หาความสุขอะไรไม่ได้ รวมความว่า "โลกทั้งโลกไม่มีจุดใดจุดหนึ่งที่เป็นความสุขเลย" อย่างนี้เรียกว่า "มีปัญญาเข้าถึงระดับวิปัสสนาญาณ"
    เมื่อเห็นทุกข์แล้ว "มิใช่ว่าทำใจให้หดหู่" ต่อไปก็แสวงหาเหตุของความทุกข์ ค้นคว้าขึ้นมา เมื่อความทุกข์มีอยู่ เหตุที่จะสร้างความทุกข์ไม่มี มันก็ไม่เกิด มันต้องไม่มี ถ้าไม่มีเหตุ ผลมันก็มีไม่ได้
    ตอนนี้เราก็มาพบกับ "ตัณหา คือ ความอยาก" อยากอะไรก็ช่าง เว้นไว้แต่อยากไปนิพพานอย่างเดียวก็หมดปัญหา อยากรวย อยากดี อยากมีทรัพย์ อยากเป็น อยากมียศถาบรรดาศักดิ์ เป็นความอยากของโลกอันจัดว่า "เป็นอำนาจของตัณหา"
    ตัณหานี่พูดสั้นๆ เราก็หาทางกำจัดตัณหา "ด้วยการพิจารณาขันธ์ ๕ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา" เมื่อขันธ์ ๕ มันจะพัง มันจะทำลายตัวของมันเอง และอะไรมันจะมีในโลก ที่เป็นเรา ที่เป็นของเรา
    เมื่อพิจารณาเห็นแล้ว โลกเต็มไปด้วยความทุกข์ เราอยู่นี่เราก็มีความเป็นทุกข์ ทุกข์ด้วยอำนาจของตัณหา จนอารมณ์ของเราเกิดเป็น "นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่าย" เบื่อที่ร่างกายนี่มันไม่ดี
    เห็นว่าร่างกายนี่เอาดีอะไรไม่ได้เลย มีแต่ความทุกข์ ลืมตาขึ้นมาก็มีแต่ความทุกข์ จนกว่าจะถึงเวลาหลับตาใหม่ ไม่มีอะไรพ้นจากความทุกข์ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยความทุกข์
    แต่เห็นว่า "ความทุกข์เป็นของธรรมดาที่มีสังขารอยู่" ฉะนั้นจึงหาทางตัดเหตุของความทุกข์ คือ "ความทะยานอยาก" ทำใจให้เป็นสันโดษ พอใจในกฎของธรรมดา เห็นคนแก่ก็นี่เป็นเรื่องของความเป็นธรรมดาของคนเกิด เห็นคนตายก็ถือว่า คนตายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเกิดมามันก็ตาย
    การป่วยไข้ไม่สบายก็ถือว่า เป็นเรื่องของธรรมดา ความแก่ ความตายจะมีกับเราก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใจสบายไม่เดือดร้อน ไม่หวั่นไหว ก็ตกใจบ้างเหมือนกัน แต่ว่ามันปลดออกไปได้ง่าย คือว่า "ธรรมดา เป็นเรื่องของกรรม"
    และระยะนั้นก็เชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าทรงได้สั่งสอนไว้ "ให้ทานและรักษาศีล เจริญภาวนา" ว่าเป็นของดีแน่ เป็นการแก้อารมณ์ของชาวโลก เป็นการแก้ของอารมณ์ที่ติดอยู่ภายใต้อำนาจของตัณหา
    คือว่าคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสอนถูก "เราไม่สงสัย" แล้วก็ "ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์" เรารักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต คือว่าตายเสียดีกว่าที่จะยอมให้ศีลขาด คือว่ามีอารมณ์เข้มข้นแบบนี้แล้วจิตใจดีเป็นปกติ
    "ไม่ใช่ฝืนนะ" เข้าใจว่ามี ไม่ใช่ขืนใจ มีอารมณ์ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่เข้ามากระทบเรา จะเหน็ดเหนื่อยด้วยการงานก็ดี หรืออาการป่วยไข้ไม่สบายก็ตามที คือว่าความเจ็บความไข้เข้ามาทับถม หรือว่าความตายเข้ามาหาเราก็ตาม
    "เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา" การถูกนินทาว่าร้ายก็เป็นเรื่องธรรมดา ใครเขานินทาเราก็ไม่หนักใจ ใครเขาสรรเสริญเราก็ไม่ดีใจ เราจะดีจะชั่วได้ก็การกระทำของเรา ไม่ใช่ผู้อื่นมาพูดให้เราดี หรือผู้อื่นมาพูดให้เราชั่ว
    ทำใจให้สบายมีศีลบริสุทธิ์ พร้อมกันนั้น "มีอารมณ์จับอยู่ในพระนิพพานเป็นอารมณ์" อารมณ์อย่างอื่นที่เราต้องการไม่มี ภาระหน้าที่ทำตามหน้าที่ทุกอย่าง ความต้องการของเราต้องการอย่างเดียวคือ "ความไม่เกิด"
    ไม่เกิดเป็นมนุษย์ ไม่เกิดเป็นเทวดา ไม่เกิดเป็นพรหม ต้องการอย่างเดียวคือ "พระนิพพาน" นี่โดยย่อกล่าวมาอย่างนี้ พระพุทธเจ้ากล่าวว่า "ท่านเข้าถึงพระโสดาบัน" ..


    (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
    ที่มาจาก..รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑ หน้า ๒๓๓-๒๓๕
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    OpU96HwyYMhPssgY1fxdlkUK1D_b5XOZbJ1AgemMAIAz&_nc_ohc=HutjAPNuJJIAX_fbk3y&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    พระอาจารย์กล่าวว่า ช่วงนี้ภาคใต้ของเรากำลังลำบาก สองวันก่อนน้ำป่าท่วมคีรีวง ซึ่งก่อนหน้านี้หลายปีก็โดนน้ำป่าและดินถล่มไปทีหนึ่งแล้ว ฟื้นกันขึ้นมา จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ คราวนี้น้ำป่ามาถึง ก็กวาดไปอีกหลายศพ..!

    ทางด้านนครศรีธรรมราชนั้น ช่วงนี้จะมีมรสุมเข้าหนักมาก ถ้าหากว่าใครอายุมากหน่อยอาจจะยังจำได้ ที่ทะเลซุงถล่มหมู่บ้านกะทูนเหนือ ตำบลกะทูน อำเภอพิปูน คราวนี้มาเป็นอำเภอคีรีวง ซึ่งคีรีวงนั้นเคยโดนไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้มาโดนอีก ในข่าวบอกว่าหนักสุดในรอบ ๓๐ ปี

    เรื่องของวัตถุมงคลวัดท่าขนุนนั้น ส่วนหนึ่งที่อาตมาขอพระท่านไว้เสมอก็คือ ถ้าหากว่ากฎของกรรม หรือวาระของกรรมเข้ามาถึง ขอให้รอดชีวิตไว้ ถึงทรัพย์สินจะเสียหายก็ไม่เป็นไร คือคนเราถ้าเอาตัวรอดได้ ทรัพย์สินอื่นก็หาใหม่ได้ แต่ถ้าหากว่าถึงแก่ชีวิตไป โอกาสที่จะแก้ตัวก็ไม่มี

    โดยเฉพาะวัตถุมงคลรุ่นล่าสุด ที่พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ท่านมาสงเคราะห์ ญาติโยมส่วนหนึ่งก็มัวแต่ไปหาที่เป็นเนื้อเงิน เนื้อนาก เนื้อทองคำ อันนั้นอาตมาถือว่าขาดปัญญาไปหน่อย เนื้อเงิน เนื้อนาก เนื้อทองคำ แม้ว่าจะมีส่วนของมหาสะท้อนอยู่ แต่ถ้าคุณใช้วัตถุมงคลเนื้ออื่นที่ราคาถูกกว่า แล้วภาวนาคาถามหาสะท้อน ก็มีผลเหมือนกันนั่นแหละ ตะเกียกตะกายไปหาแต่ของแพงกัน อาตมาเองสมัยก่อนไม่พกสักชิ้นหนึ่ง ภาวนาคาถามหาสะท้อนอย่างเดียวก็มีผลเหมือนกัน

    ดังนั้น...เอาวัตถุมงคลรุ่นไหนก็ได้ เพราะว่าอาตมาเอาไปเข้าพิธีใหม่ทั้งหมดเลย เพียงแต่ว่าท่านที่ต้องการอานุภาพมหาสะท้อน ก็ไปเสาะหาแต่เนื้อแพง ๆ กัน
    วัตถุมงคลชุดนี้ ที่ขอพระท่านไว้หลัก ๆ เลยคือ

    ความคล่องตัวในการเป็นอยู่...จุดนี้ต้องใช้ประกอบกับพระคาถาเงินล้าน
    ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน...เหล่านี้ต้องประกอบกับ อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๓ จบ
    แล้วก็ป้องกันในเรื่องของโรคระบาด...ให้ภาวนาว่า ทุกขา ทุกขัง ปะติฏฐิตัง สัมปะฏิจฉามิ
    ส่วนด้านอื่น ๆ ที่ท่านให้มาเยอะแยะไม่ต้องไปสนใจ เอาหลัก ๆ แค่นี้ไว้ก่อน

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๓
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    โอวาทจากพระอาจารย์ ในงานสวดพระคาถาเงินล้าน "บางเรื่องสมควรจะพูด แต่ถ้าไม่พูดพวกเราก็จะไม่มีการเตรียมพร้อมกัน

    บ้านเราเมืองเราอยู่ในช่วงของการสูญเสียและได้รับ การสูญเสียของเราก็คือ การสูญเสียพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ อันเป็นที่รักยิ่งของเรา ความดีของพระองค์ท่านเป็นสิ่งที่ทั่วโลกได้ประจักษ์

    ในส่วนที่เราได้รับก็คือ มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เป็นในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ต่อมา เพียงแต่ว่าภาวะกรรมของคนไทย ตลอดจนกระทั่งชาวโลก ถึงวาระที่เราจะต้องมีการชดใช้ คราวนี้การชดใช้นั้นจะมาในรูปแบบของสงครามก็ดี หรือ ในส่วนของภัยธรรมชาติก็ตาม ถ้าเรามีความมั่นคงในคุณพระรัตนตรัย อันตรายเหล่านี้ก็จะมาถึงเราได้น้อย เพราะบารมีของพระท่านก็ดี พรหมเทวดา หรือครูบาอาจารย์ก็ตาม ท่านจะปกปักรักษาผู้ที่ยึดมั่นอยู่ในคุณความดีทั้งหลายเหล่านี้

    เหมือนดังในพระอภิธรรมได้กล่าวไว้ถึงฐิตกัปปีบุคคล คือ บุคคลผู้ยังกัปให้ตั้งอยู่ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ขนาดไหนว่า กัปของเรานี้อยู่ใน สังวัฏฐายีอสงไขยกัป ก็คือจะต้องดับสลายเสื่อมทรามลงไป แต่ถ้ามีบุคคลที่ทรงคุณความดี ตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลแม้แต่คนเดียว โลกนี้ก็ยังจะไม่สลายไปด้วยอำนาจของ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่แปรปรวน เขาเรียก ฐิตกัปปีบุคคล เป็นบุคคลที่ยังกัปให้ตั้งอยู่ได้"
    __________________

    https://www.watthakhanun.com/webboa...N7k63GjX8daftnbGKsr4dqfhOyoU_E9Mglcts8pDRrJ6U
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    การรื่นเริงในธรรม ขณะเดียวกันให้ระมัดระวังจิตใจของเราด้วย อย่าให้ฟูมาก ถ้าหากว่าฟูมาก ถึงเวลาฟุบก็ฟุบแรง ต้องคอยระมัดระวังกำลังใจของเรา กระทบสิ่งที่ดีอย่าให้ฟู กระทบสิ่งที่ไม่ดีอย่าให้ฟุบ พยายามทรงกำลังใจเป็นกลาง ๆ ให้ได้ ถ้าทรงกำลังใจเป็นกลาง ๆ ได้ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย โอกาสที่เราหลุดพ้นก็จะมีมาก แต่ถ้าเรายินดียินร้ายกับอะไรง่าย โอกาสที่จะหลุดพ้นก็ยาก

    เพราะทันทีที่ไปยินดีหรือยินร้ายก็ตาม จะตกเป็นทาสกิเลสทันที ยินดีเป็นโลภะกับราคะ ยินร้ายเป็นโทสะกับโมหะ กินเราทั้ง ๒ ฝั่งเลย ต้องผ่ากลางไปอย่างเดียวถึงจะรอด เพราะฉะนั้น..มัชฌิมาปฏิปทาต้องกลางทุกอย่าง ในขณะเดียวกันคำว่า "กลาง" ในหลักการปฏิบัตินั้น ไม่มี ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับกำลังใจ ขึ้นอยู่กับบารมีที่เราสั่งสมมา

    เรานั่งกรรมฐาน ๓๐ นาที จิตก็เริ่มรู้สึกว่าหนัก ไปไม่ไหวแล้ว เราก็เลิกได้ ผ่อนอารมณ์แล้วคอยประคับประคองเอาไว้ ในขณะเดียวกันบางคนเขาสร้างบารมีมาเข้มข้น นั่ง ๓ วัน ๓ คืนก็สบายมาก เพราะฉะนั้นมัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน

    แต่ถ้าร่างกายบอกไม่ไหวแล้วให้ลองฝืนดูนิดหนึ่ง ถ้าฝืนแล้วไปได้ แปลว่าเมื่อครู่นี้กิเลสหลอกให้เราขี้เกียจ ถ้าฝืนแล้วฝืนอีกไปไม่ได้จริง ๆ แล้วค่อยเลิก ให้รู้ว่ากำลังของเรามีแค่นี้ แต่ถ้าเราทำบ่อย ๆ เราก็จะมีเยอะเหมือนเขา เราทำครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวพรุ่งนี้อีกครึ่งชั่วโมง มะรืนนี้อีกครึ่งชั่วโมง ไล่ไปเรื่อย หรือไม่ก็เช้าครึ่งชั่วโมง กลางวันครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง รวม ๆ เข้าก็ได้เป็นวันเหมือนเขา

    ปฏิปทาในการปฏิบัติของคนไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าท่านแบ่งเป็น ๔ อย่าง ก็คือ
    ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติก็ลำบาก บรรลุก็ยาก
    ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่บรรลุง่าย อย่างสายหลวงปู่มั่น เดินจงกรมจนทางลึกถึงแข้งเลย แต่ว่าบรรลุกันเยอะ
    สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติง่าย สบาย ๆ แต่บรรลุยาก เพราะว่าส่วนใหญ่มัวแต่ไปหลงกับความสบาย
    สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติสบาย บรรลุง่าย สบายแค่ชาติปัจจุบันนะ เพราะว่าอดีตลำบากมาตั้งเท่าไรก็ไม่รู้

    แบบเดียวกับพระพาหิยะทารุจีริยะ ท่านฟังเทศน์สั้น ๆ แค่“ตาเห็นรูปอย่าไปสนใจ หูได้ยินเสียงอย่าไปสนใจ” สั้น ๆ เท่านั้น ท่านบรรลุมรรคผลเลย ใคร ๆ ก็ว่าท่านบรรลุง่ายสบายเหลือเกิน ที่ไหนได้ชาติก่อนท่านอดตาย เพราะว่าขึ้นไปปฏิบัติบนหน้าผา กะว่าถ้าหากบรรลุไม่ได้ก็ให้ตายไปเลย เพื่อนของท่านบรรลุแล้วเหาะไปบิณฑบาตมาเลี้ยง ท่านก็ไม่เอา เพราะถือสัจจะไว้แล้วว่า ถ้าหากว่าไม่บรรลุจะไม่ยอมกินอะไร ท้ายสุดก็เลยอดตาย

    แต่ด้วยความมุ่งมั่นขนาดนั้นแหละ กำลังใจข้ามชาติข้ามภพมา กลายเป็นอุปนิสัย เป็นปัจจัยนำส่ง ทำให้ชาติปัจจุบันท่านบรรลุเร็วมาก ฟังแค่หัวข้อธรรมสั้น ๆ ก็บรรลุเลย เราจะไปว่าท่านปฏิบัติง่าย บรรลุง่ายก็ไม่ใช่ เราเห็นง่ายชาตินี้ แต่ก่อนนั้นยากถึงขนาดอดตายมาแล้ว

    ในเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา หลวงพี่หนูท่านให้ขยายความอีกนิดหนึ่ง จริง ๆ แล้วมัชฌิมาปฏิปทาก็อยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา เพียงแต่ว่าศีล สมาธิ ปัญญาที่เราทำนั้น ความพอเหมาะพอดีของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน อย่างเรื่องของการรักษาศีล บางคนรู้สึกเหมือนแบกข้าวสารทั้งกระสอบ รู้สึกหนักเหลือเกิน ต้องระมัดระวังเหลือเกิน ตัวลีบกลัวศีลจะขาด

    แต่ทำไมบางคนรู้สึกสบาย ๆ รู้สึกรื่นเริงบันเทิงใจมาก เหมือนไม่ต้องใช้ความพยายามเลย เพราะว่าการสั่งสมมาไม่เท่ากัน บารมีไม่เท่ากัน ท่านที่สั่งสมมามากกว่า ความพอดีของท่านในชาตินี้กลายเป็นของง่าย เป็นของสบายของท่าน แต่เป็นของยากลำบากของเรา ขณะเดียวกันเรื่องของสมาธิที่ได้ว่ามาแล้ว เรานั่ง ๓๐ นาทีก็แย่แล้ว แต่เพื่อนนั่งกันที ๓ - ๔ วันสบาย ๆ

    เรื่องของปัญญาก็เหมือนกัน บางคนแค่มองไปก็เห็นแทงตลอดเลย นั่นเด็กนะ นี่กลางคน นั่นคนแก่ เห็นความไม่เที่ยงเป็นปกติแล้ว เขานั่งอยู่ก็เมื่อยก็ปวดเหมือนกับเรา เห็นเป็นทุกข์อีกแล้ว ท้ายสุดทุกคนก็ตายหมด ไม่มีใครดำรงทรงขันธ์อยู่ได้ก็เป็นอนัตตาหมด เรามองให้ตายก็มองไม่เห็น มองไม่เห็นไม่พอ ยังไปหลงไปยึดอีก ไอ้นี่ตัวกู ของกู คนนั้นก็สวย เดี๋ยวจีบมาเป็นแฟนกู เผลอไปมีลูกเข้าก็ลูกกูอีก เพิ่มขึ้นไปเรื่อย

    เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของความพอดีมีไม่เท่ากัน คนที่สั่งสมมาน้อย ต้องใช้ความพยายามมากขึ้น คนที่สั่งสมมามากก็ประคับประคองตัวเองให้เดินหน้าไปเรื่อย ๆ อย่าไปประมาทแล้วปล่อย ไม่อย่างนั้นแล้วจะหนักเหมือนคนอื่นเขา ถ้าหากว่าเราพลาดแล้วจะถอยหลัง เรื่องของการปฏิบัติธรรมเหมือนกับว่ายทวนน้ำ ถ้าไม่จ้วงเอาไว้ตลอดเวลา เราก็จะไหลตามน้ำไป

    เราจำเป็นต้องใช้ความอดทน มานะพยายาม พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสประโยคแรกของโอวาทปาฏิโมกข์ว่าขันตี ปรมัง ตะโป ตีติกขา เอาความอดทนอดกลั้นขึ้นมาก่อนเลย ต้องทนถึงจะประสบความสำเร็จ ถ้าหากว่าขาดความอดทน ถึงเวลาลำบากหน่อยก็ท้อ อย่างนั้นไม่มีหวังประสบความสำเร็จแน่
    __________

    เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕
    เว็บวัดท่าขนุน
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    ygVwWPpLlgdGdecbHYYlbLzZ241OZKBSGHX-liv7WeOU&_nc_ohc=rd62sY7RNaQAX-q4ytH&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ถ้าพูดถึงเรื่องดูจิตในสมัยปัจจุบัน

    เราเห็นแต่หลวงพ่อเยื้อน เราลงใจหลวงพ่อเยื้อน พระราชวิสุทธิมุนี (เยื้อน ขนฺติพโล) เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ (ธรรมยุต) เจ้าอาวาสวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร
    เราเคารพรักท่าน นอกนั้นเราไม่ลงใจเลย สิ่งที่หลวงพ่อเยื้อนสอนคือ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน แต่ท่านเรียกว่า “สมาธิ เรามาทำสมาธิ” คือท่านถ่อมองค์ตามวิสัยนักปราชญ์ของท่านนั่นเอง
    หลวงพ่อเยื้อนหรือหลวงตาเยื้อน ท่านมีปัญญามากนะ น่ารักมากด้วย ใครมาแง่ไหนมุมไหน หลอกท่านไม่ได้ มีแต่ลวดลายนักปราชญ์วาดออกมารับกันตลอดเวลา รวดเร็วมาก แหลมคมมาก
    เราพูดตามประสาคนเคยหลงทางมาก่อน เห็นใจคนทุกข์คนยากด้วยกันนะ เเสวงหาครูบาอาจารย์ ไม่รู้ใครเป็นใคร ตื้นลึกหนาบางอย่างไร อะไรจริงอะไรเท็จ
    เคยมีหลวงพ่อ…มาหาคุณแม่จันดี ก็ใช้ลวดลายมากมายกว่าจะมาถึงคุณแม่ ซื้อใครได้ก็ซื้อ พวกหิวเงิน หิวเปลือกก็หลงเเทะเปลือกมะพร้าว แทะกะลามะพร้าวที่เขาโยนมาให้กัน เราดูยังกับหมารุมแทะกระดูก ใจมันว่างั้นเลยนะ สลดสังเวชมาก
    มากันเป็นซีรี่ย์เลย ค่อยๆ ทอดสะพาน ค่อยๆ วางเรื่องกล่อมคุณแม่จันดีท่าน ท่านก็ฟัง ท่านก็สาธุหมดทุกคนทั้งพระ แม่ชี ฆราวาสญาติโยม คุณแม่จันดีท่านสาธุหมดทุกคน พวกมาเล่าให้ท่านฟัง ท่านไม่ได้พบเจอด้วยตนเองท่านจะไม่ค้านใครเลย แต่ท่านก็ไม่ลงใจเลยเช่นกัน คนอื่นไม่ทราบเเต่เราทราบ เราทราบอัธยาศัยท่านนี่นะ แค่คุณแม่ท่านหันมามองตาเรา แม่กับลูกก็รู้กันแล้ว เราก็รอดูอยู่ ไม่ได้มีความวางใจ หรือประมาทเลย อันนี้นิสัยเรานะ สำหรับเรื่องทางโลกเราไม่มีความรู้ก็ขอยกไว้ เเต่ถ้าเป็นเรื่องภาวนาเราไม่ใช่คนวางใจอะไรง่ายๆ โดยขาดการพิจารณาอย่างละเอียด
    วันนั้นทางหลวงพ่อ…เข้ามาหาคุณแม่ เป็นการมาพบกันครั้งแรก หลังจากที่อ้างชื่อคุณแม่จันดีมานาน ก็อย่างที่บอก ฝากอะไรมาถวายคุณแม่ คุณแม่ท่านก็สาธุทุกคน ทีนี้ก็เอาไปปรุงแต่งตีความตามกิเลสต่างๆนานา แถมมีพวกคอยสรรเสริญเอาใจก็ยิ่งพาไปเสียหาย กลายเป็นคุณแม่รับรองภูมิจิตภูมิธรรม คุณแม่ว่าอย่างนั้น ว่าอย่างนี้ เลยบ้าไปกันใหญ่โต
    หลวงพ่อ…มาพบคุณแม่ตอนเวลาประมาณสองทุ่มครึ่งที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ วันนั้นเรากับหมู่พระอยู่ด้วยกันรวม ๗ รูป กำลังจะกลับพอดี พอทราบจากพวกลิ่วล้อว่าหลวงพ่อ…กำลังมา ก็เลยอยู่ต่อ มีพวกโยมหลายคนนั่งรอฟังอยู่ด้วย
    หลวงพ่อ…มาพูดถึงเรื่องธรรมะขั้นสูงต่างๆนานา คุณแม่ตัดลงหมดเลย ท่านมีสีหน้าเมตตาผสมความเอือมระอาปรากฏชัด
    คุณแม่ท่านค้านเลย
    “แม่ไม่เชื่อ แม่ไม่เชื่อ”
    ทางนั้นจะประจบประเเจงอะไรมา
    คุณแม่ตัดหมดมีแต่
    ”แม่ไม่เชื่อ แม่ไม่เชื่อ”
    คุณแม่ท่านชี้ชัดๆ ขนาดว่า
    “ยังไม่ผ่านฐานกามราคะเลย
    จะผ่านพ้นทุกข์ได้อย่างไร”
    ทีนี้พวกแม่ชี ลิ่วล้อ รอบๆ หน้าซีดเหลือสองนิ้ว
    หลวงพ่อ…ก็พูดแต่
    “ลูกผ่านแล้ว ลูกผ่านแล้ว”
    คุณแม่ท่านไม่พูดอะไรต่อ จึงตัดลงด้วยหลวงพ่อ…ถวายเงินคุณแม่ ซึ่งหลวงพ่อนั้นก็ดีนะ ท่านทำตามที่เราแนะนำว่า ให้ระบุไปเลยว่าซองไหนถวายส่วนองค์ท่าน ซองไหนถวายจุดประสงค์อะไร เพราะถ้าถวายคุณแม่จันดีแบบไม่เจาะจง คุณแม่จะรวบรวมนำขึ้นถวายหลวงตามหาบัว สมทบเข้าผ้าป่าช่วยชาติทั้งหมด
    หลังจากนั้นคุณแม่จันดีท่านก็พูดกับเราอีกหลายอย่าง ที่นำมาเล่าคือเรื่องย่อพอสังเขปให้เข้าใจเท่านั้น ส่วนใครจะถนัดอย่างไร รู้เห็นเช่นไร ได้มรรคผลขั้นไหน เราไม่รู้เรื่องด้วย เรารู้แต่ใจตัวเองผู้เดียว
    ช่วงนั้นเราก็ได้แต่บอกคนที่มากราบคุณแม่จันดีว่า เวลาพบครูบาอาจารย์ก็ต้องพิจารณานะ คนที่ไม่ทราบ หรือทราบงูๆปลาๆ คิดแต่ว่ามาคุยธรรมะกับคุณแม่ คุณแม่คงรื่นเริงดี อันนี้ต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป ที่ปฏิบัติจริงได้ผลจริงก็อย่างหนึ่ง ที่จำมาพูดก็อย่างหนึ่ง หรือหาเรื่องคุยทั้งที่ไม่มีอะไรจะคุย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าท่า เป็นการรบกวนธาตุขันธ์ท่าน กลายเป็นเรื่องน่ารำคาญไร้สาระไปเลย อยากให้ท่านเมตตาต้องภาวนาเยอะๆ ถึงแม้เราจะไม่พูด กระแสธรรมจะดึงดูดให้ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาเอง
    ครั้งที่เราอยู่เฝ้าไข้หลวงพ่อบุญช่วย ปุญฺญวนฺโต เจ้าอาวาสวัดภูริทัตตปฏิปทาราม (วัดหลวงปู่เจี๊ยะ) ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ตอนนั้นกว่าหลวงพ่อบุญช่วยท่านจะเมตตารับนิมนต์มาเข้ารับการรักษาได้ก็ยากเย็นเหลือเกิน ท่านอดทนมาก มีขันติอย่างสูงยิ่ง ช่วงที่ท่านพักในโรงพยาบาล ท่านเมตตาเปิดโอกาสให้คนเข้าเยี่ยมกราบสนทนาธรรมได้ มีคณะแพทย์ พยาบาล และนิสิตต่างๆ มากราบมากมาย ช่วงนั้นกระแสดูจิตของหลวงพ่อ…ดังมาก มีแต่คนมาถามถึงเรื่องดูจิต มีทั้งที่สงสัยจริงๆ และที่จะอวดความรู้ความเข้าใจของตน หลวงพ่อบุญช่วยท่านเมตตาแก้ให้ทุกคน แก้ความรู้ความเห็นนี้แก้ยากมาก มันฝังรากลึกด้วยมิจฉาทิฏฐิแล้วแก้ยาก แต่ถ้าแก้เป็นสัมมาทิฏฐิได้ก็เกิดมหากุศลใหญ่
    หลวงพ่อบุญช่วยท่านปรารภว่า
    “สมัยนี้มันจะเอาแต่ง่ายๆ กันหมด ถูกใจกิเลสมันน่ะสิ ดูจิตแบบไหนกันกิเลสอยู่ครบทุกตัว ดูจิตของครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้สอนแบบนี้ สัมมาสติ สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่แบบนี้”
    หลวงพ่อบุญช่วยพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า อธิบายอย่างละเอียดกับทุกคณะที่มากราบเรียนถาม ทำให้ทุกท่านได้สติ แก้ตนเอง และเจริญในทางดำเนินที่ถูกต้องต่อไป
    การปฏิบัติธรรมขึ้นอยู่กับจริตนิสัยผู้เคยสั่งสมอบรมมา ความเกี่ยวข้องกับครูบาอาจารย์ และความเพียรเจริญสติให้ต่อเนื่อง ทำเหตุให้ถึงพร้อม เดี๋ยวถึงเวลามรรคผลจะปรากฏขึ้นมาเอง
    โอวาทธรรม พระอาจารย์คม อภิวโร
    วัดป่าธรรมคีรี (จันดีอนุสรณ์)
    ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
    ……………………………………
    มีอยู่คราหนึ่ง
    หลังจากหลวงพ่อเยื้อนสอนภาวนาโยมเสร็จ ท่านก็นั่งพักคลายอริยาบถ
    หลวงพ่อก็เปรยธรรมะให้ฟัง พร้อมกับนึกขึ้นได้ แล้วบอกว่า
    “มีหลวงพ่อ......มาหาเรา
    เขามาบอกว่า เขาโดนโจมตีเรื่องสอน ”ดูจิต”
    ไม่ถูกต้องตามหลักของหลวงปู่ดูลย์
    เขาก็เลยมาขอร้องให้เรารับรองการสอนของเขา
    ว่า “ดูจิต” ของเขาถูกต้องแล้ว
    เราเลยบอกเขาไปว่า
    ถ้าท่านสอนให้โยมเขา “สร้างสติ” ก็ใช้ได้
    แต่ถ้าท่านสอนเรื่องอื่น นอกเหนือจากการ “สร้างสติ” แล้ว
    อันนั้น ผมถือว่า “ผิด” ทั้งหมด
    ผมรับรองให้ท่านไม่ได้หรอก
    ท่านต้องรู้และรับรองตัวเองได้
    แล้วเขาก็กราบลากลับไป”
    หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
    วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร
    อ.บัวเชด
    จ.สุรินทร์
    บักทึกโดย เขมปัญโญคฤหัสถ์
    ที่มา เพจ ลูกศิษย์หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
    ……………………………………………
    กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมความดีงามนี้ ทุก ๆ ท่านครับ
    #ดูจิต #พระอาจารย์คมอภิวโร
    #วัดป่าธรรมคีรี #จันดีอนุสรณ์
    #วัดป่าธรรมคีรีสถานที่เจริญสติปัญญา
    #สถานที่บำเพ็ญบุญบารมี
    #ที่นี่ไม่วุ่นวาย #วัดแท้_วัดใจคุณ
    Cr.วัดป่าธรรมคีรี

    -----------------------------

    ขอบคุณ
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    ACmmFoCej480wT_a6XF7W5kgt9mfPCGt6SJOlBZ8YRcX&_nc_ohc=DgCqIwRO56YAX8xalgg&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร ขาศาลาอตุลฐานะจาโร อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ (พระพิศาลศาสนกิจ)
    หลวงพ่อเยื้อน ขนฺติพโล พระนักอนุรักษ์ป่า

    หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล บวชเมื่อปี 2515 เมื่อท่านอายุได้ 20 ปี
    เมื่อท่านได้บวชแล้ว วันแรกหลวงปู่บอกว่าให้ไปนั่งภาวนากับหมู่เพื่อน โดยบอกว่าให้กำหนดลมหายใจเข้าพุท ออกโธ เหมือนปกติที่ตามแบบวัดป่า
    หลวงพ่อท่านได้เล่าให้ฟังว่า ท่านก็กำหนดตามที่หลวงปู่สอน แต่ในจิตลึกๆ มันบอกท่านว่า ถ้ามัวจะตามลมหายใจเข้า และออกอยู่อย่างนี้มันจะสงบได้อย่างไร ท่านจึงเปลี่ยนใหม่ว่า เมื่อกำหนดลมหายใจเข้าแล้ว เวลาลมหายใจออกท่านไม่ตามลมออก กลับกำหนดเข้าไปข้างใน
    ท่านบอกว่าท่านนั่งกำหนดได้ไม่นาน มันกลับดิ่งเข้าไปจนมันทะลุ แล้วจิตท่านก็เปลี่ยนเลย ท่านบอกว่า
    ครั้งแรกที่นั่งมันเหมือนตาย ตายแล้วเกิดใหม่
    เช้าวันรุ่งขึ้น หลวงปู่เรียกหาเณรให้ไปดูพระที่เพิ่งบวชใหม่ให้มาหาหลวงปู่
    หลวงปู่ก็ถามว่า ภาวนา เป็นยังไง
    หลวงพ่อบอกว่า ไม่ทราบว่ายังไงนะครับหลวงปู่ แต่จิตผมมันว่าพุทโธเองอยู่ในใจนี่แม๊บๆๆ ไม่ยอมออก หลวงปู่ช่วยเอาออกที
    หลวงปู่จึงได้นั่งกำหนดดูอยู่ แล้วก็บอกว่า เอาออกไม่ได้หรอก จิตเขาว่าพุทโธเอง ตอนนี้คุณน่ะเปลี่ยนแล้ว
    หลวงตาเยื้อน ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านบอกว่าตอนนั้นจิตมันว่าแต่พุทโธเอง จะคิดถึงบ้านก็ไม่ได้ จะนึกถึงแม่ก็ไม่ได้ ตาที่มองไปทางไหนมันก็ทะลุไปหมด เห็นอะไรก็ละลายไปหมด ตอนนั้นท่านบอกว่า ท่านอยากนั่ง ใจมันก็สั่งให้เดินจงกรม เดินจงกรมรอบโบสถ์วัดบูรพารามอยู่อย่างนั้น เห็นโบสถ์... โบสถ์ก็ละลายหายไปหมด ท่านบอกว่า ท่านยังไม่ได้เรียนหนังสือธรรมเลย อ่านหนังสือก็ไม่ค่อยออก เพราะจบ ป.4 ไม่รู้จักคำว่าไตรลักษณ์ แต่เข้าใจว่า ทุกอย่างมันละลายหมด
    วันที่สอง หลวงปู่สั่งไม่ให้ไปภาวนากับหมู่เพื่อน ให้ไปภาวนาเดี่ยวเลย
    ท่านก็นั่งภาวนาตั้งแต่หัวค่ำ วันที่สองนี้จิตมันได้พิจารณาธาตุ ขันธ์ กลับไปกลับมาเองจนไม่เหลืออะไร ท่านได้เคยพูดให้ผู้เขียนฟังว่า
    "จิตมันตัดสินของมันเอง จิตมันเอาความว่างแยกความว่าง เอาจิตแยกจิต ท่านจับเอาความว่างตรงนั้นชนความว่าง เพราะจิตมันคิดว่า ให้มีความว่าง มันก็ยังมีตัว ยังเป็นอวิชชา ท่านก็เลยเอาตรงที่เห็นมันใสๆ ว่างๆ ตรงนั้นจับชนกัน จนแตกละเอียด จิตจึงลอยเด่น เหมือนพระจันทร์เต็มดวง
    วันรุ่งขึ้นหลวงปู่ดุลย์ก็เรียกอีกครั้ง คราวนี้ท่านนั่งกำหนดดูนานทีเดียว แล้วก็บอกว่า
    "ต่อจากนี้ไป ออกพรรษาแล้ว ผมจะส่งคุณไปอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด ไปอยู่กับพระอาจารย์มหาบัว ไปเอาข้อวัตรหลวงปู่มั่น"
    หลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงพ่อเยื้อนท่านจึงไปอยู่กับหลวงตามหาบัวที่บ้านตาด เป็นเวลา 4 ปี ท่านทำหน้าที่อุปฐากหลวงตา หลวงตาท่านจะเรียกหลวงพ่อเยื้อนว่า “ธรรมสุรินทร์”
    ปี 2519 ทางกองทัพภาคที่ 2 ต้องการพระมาอยู่เป็นขวัญกำลังใจทหารในบริเวณชายแดน เนิน424 จึงได้ไปขอพระจากสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระสังฆราชจึงบอกว่าให้มาขอจากหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์จึงทำหนังสือไปขอตัวพระเยื้อนมาจาก หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด อย่างเป็นทางการ
    พื้นที่ป่าสงวนเกือบ 20,000 ไร่นี้ทางกรมป่าไม้ได้มอบให้วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโรเป็นผู้ดูแล โดยกำหนดให้เป็นพื้นที่พุทธอุทยาน ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในอีสานใต้ ที่เต็มไปด้วยไม้ที่สำคัญทางเศรษฐกิจคือ พยุง และประดู่ และมีสัตว์ป่าที่ยังคงเหลืออยู่หลายชนิด เช่น เสือปลา กวาง เก้ง หมาไน หมูป่า กระจง ค่าง ลิง ชะนี นกยูง เป็นต้น
    ทุกวันนี้มีทหารพรานจากกองกำลังสุรนารี และตำรวจตระเวนชายแดนมาอยู่ประจำวัดเขาศาลาฯ เพื่อพิทักษ์ป่าร่วมกับหลวงพ่อและพระสงฆ์ของวัด เพราะมีคนพยายามลอบตัดไม้และล่าสัตว์ ทั้งหลวงพ่อ พระและทหาร ตำรวจต่างก็ต้องทำงานหนักกันเกือบทุกวัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    ถาม : ครอบครัวประกอบอาชีพปศุสัตว์โคนมภายในบริเวณบ้าน การที่ผมบูชาวัตถุมงคลมีอำนาจมหาสะท้อน ควรพกหรือบูชาห่างจากโรงเลี้ยงมากเพียงใด ?
    ตอบ : ติดตัวได้ตามปกติ นอกจากมีสัตว์เลี้ยงกำลังคลอดก็อย่าเข้าไปใกล้ ถ้าเอาแบบแน่ใจก็ต้องพ้นจากโรงเรือนที่เลี้ยงสัตว์นั้นไปเลย

    ถาม : มีวัตถุมงคลประเภทใดที่ช่วยให้คนหรือสัตว์คลอดลูกได้ง่ายขึ้นไหมครับ ?
    ตอบ : น้ำมนต์ครรภ์รักษา หรือทำน้ำมนต์เองด้วยพระคาถา "โสตถิ คัพภัสสะ"
    __________________
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๓
    ภาพและที่มา : เว็บวัดท่าขนุน
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    ?temp_hash=3d1d405d93fa05c45aab6f5fc7b07a31.jpg


    “หลวงปู่มั่นเราปรารถนาพุทธภูมิ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ทีนี้เวลาจะเข้าด้ายเข้าเข็ม จิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไรสายโพธิญาณผ่านเข้ามาๆ แล้วก็ถอยเสีย พอจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไรสายโพธิญาณที่ท่านเคยปรารถนาผ่านเข้ามา ท่านก็ถอยเสียๆ คือความเคารพความเสียดายโพธิญาณ ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป ทีนี้ความอยากพ้นทุกข์มันก็เร่งเข้า ท่านว่างั้น ความอยากหลุดพ้นจากทุกข์เร่งเข้าๆ ก็มาคำนึงคำนวณถึงเรื่องความเป็นพระพุทธเจ้ากับเป็นสาวก ความสุขเป็นอันเดียวกัน แต่เป็นพระพุทธเจ้ามีอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภาร ประกาศธรรมสอนโลกได้มากมาย มันพลิกแตกต่างกันตรงนั้น ท่านเทียบนะ
    .
    บทเวลาท่านอยากจะพ้นจากทุกข์หนักเข้าๆ เลยเอามาเทียบ ความพ้นจากทุกข์เป็นหลักใหญ่ พระพุทธเจ้าก็พ้นจากทุกข์ สาวกของท่านก็พ้นจากทุกข์ หลักใหญ่อยู่ตรงนี้ ส่วนการมีอำนาจวาสนากว้างขวางลึกซึ้งในการแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกนั้นมันเป็นภายนอก ท่านว่างั้น บทเวลาท่านจะหมุนกลับ ภายในแท้ๆ ขอให้พ้นจากทุกข์ เอาเท่านี้ก็พอแล้ว เลยขอเปลี่ยนคำอธิษฐาน คำอธิษฐานนี้ถ้าหากว่าได้รับลัทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งก็ตาม ทรงทำนายไว้แล้วแก้ไม่ได้นะ แก้ไม่ตก แต่นี้ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์ แก้ตก เมื่อแก้ตกจิตมันก็พุ่งเลยท่านว่า
    .
    คือมันจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไรสายโพธิญาณผ่านเข้ามาๆ พอความอยากพ้นจากทุกข์มากเข้าก็เลยตั้งสัจจะอธิษฐานขอเปลี่ยนเป็นสาวก ไม่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พอว่างั้นจิตมันก็พุ่งเลยท่านว่า นี่ละท่านเล่าเองน่าฟังนะ”
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
    www.luangta.com
    www.facebook.com/siangdhamluangta
    ช่วยกันเผยแผ่เป็นธรรมทาน Line ID : siangdham, siangdhamfb
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    HZR6g5idYWJGgYJTRCxHwktshNKz2B177FqeUErpWBK2&_nc_ohc=_5WHiIc8XjcAX9g1C2v&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี

    1f64f.png ถาม : เขาบอกว่าวัตถุมงคลทางด้านลาภผล จะต้องภาวนาคาถาเงินล้านประกอบด้วย ใครทำมากก็ได้มาก จริงหรือเปล่าคะ ?

    1f496.png ตอบ : จริง...ยกตัวอย่างพระครูแสงก็แล้วกันนะ สมัยก่อนบวช พระครูแสงขับรถกระบะนิสสัน ส่วนอีกคันหนึ่งที่ขับคู่มาด้วยเป็นจี๊ปเชอโรกี ของตัวเองเครื่องยนต์ ๒,๐๐๐ ซี.ซี. กับอีกคันเครื่องยนต์ ๔,๐๐๐ ซี.ซี.ต่างกันมากเลย

    พระครูแสงเห็นเขาวิ่งเข้าโค้งแตะเบรกทั้ง ๒ โค้งเท่านั้น เขาบอกว่า "อีกโค้งหนึ่งผมแซงได้เลย" แล้วเขาก็ทิ้งโค้งแซงเชอโรกีไปลิ่วเลย แถมมีการบ่นกลาย ๆ ว่า “กระบี่ดี..แต่คนใช้บัดซบก็ได้เท่านั้นแหละ..!”

    คราวนี้เข้าใจหรือยังว่า ของดีแค่ไหนก็อยู่ที่คนใช้ ถ้าคนใช้มีความสามารถ ต่อให้มีดผ่าฟืนก็ดีกว่ากระบี่วิเศษอีก ขึ้นอยู่กับความขยันและระดับสมาธิ ถ้าทำแล้วสามารถปล่อยวางได้ ลาภผลจะไหลมาเทมาเอง

    ของดีแค่ไหนก็ไม่ได้อยู่ที่ของ ของดีแค่ไหนอยู่ที่คนใช้ ถ้ามีความขยันมาก ตั้งใจทำจริงสม่ำเสมอ ทุกอย่างก็จะดีทั้งหมด

    อาตมาท่องคาถาเงินล้าน ท่องไปท่องมาจากเงินงอก จนกระทั่งทองคำก็งอกแล้ว ครั้งที่แล้วงอกมา ๕ บาท เพราะเป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านโดยตรง คราวนี้สร้างพระนาคปรก ทองคำงอกมา ๒ บาทกว่า ทอง ๒ บาทกว่าก็ราคา ๕๐,๐๐๐-๖๐,๐๐๐ บาทเข้าไปแล้ว

    ครั้งที่แล้วงอกมา ๕ บาท ยังหาเจ้าของไม่ได้จนทุกวันนี้ อยู่ ๆ หย่อนให้มาได้อย่างไรตั้ง ๕ บาท

    .........................................
    ๖๐ ปี พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    ..........................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    qIqGq9cMJPHLlr-b__7JGecxv9E6kaWKyIiIA7pAgRy6&_nc_ohc=BNafGIyd9KwAX__pBqo&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    อภินิหารรูปหล่อรุ่นแรกหลวงพ่อกวย

    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2518 พ.ศ.ที่สร้างรูปหล่อบูชารุ่นแรก นายปิ่น นาเอก บ้านอยู่โคกโพธิ์ สามเอก อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี นายปิ่นอายุมากแล้ว อายุคงพอ ๆกับหลวงพ่อ รู้ข่าวว่า หลวงพ่อสร้างรูปหล่อก็มาขอเอาไปบูชา หลวงพ่อไม่เต็มใจจะให้มากนัก เพราะอายุก็พอ ๆ กัน ไม่เชื่อว่านายปิ่นจะเอาไปบูชาจริง หลวงพ่อเกรงว่าจะเอาตั้งไว้เป็นตุ๊กตา ท่านถามว่า

    "มึงจะเอาไปทำไม" นายปิ่นตอบว่า "ผมจะไปไว้บูชา"
    หลวงพ่อถามว่า "มึงจะบูชาอย่างไง" นายปิ่นได้ตอบว่า
    "ผมก็จุดธูปเทียนบูชา" หลวงพ่อก็พูดว่า "ก็ได้" พร้อมทั้งหยิบรูปหล่อ 5 นิ้ว ส่งให้นายปิ่น แต่ท่านกำชับว่า
    "ถ้ามึงผิดคำพูด กูจะเอาเรื่องมึง"

    วันเดือนเครื่อนคล้อยนานเป็น 10 ปี นายปิ่นก็จุดธูปเทียนบูชาทุกวันทุกคืนไม่เคยขาด วันหนึ่งตอนมืด นายปิ่นจะจุดธูปเทียนบูชา ปรากฏว่า ธูปบูชาพระหมด ครั้นจะให้หลานไปซื้อก็มืด ทางก็เปลี่ยวไกลด้วย แถมไฟฉายก็ไม่มี นายปิ่นเลยจุดเทียนบูชาพระเฉย ๆ

    ผลปรากฏว่า นายปิ่นเห็นหลวงพ่อออกมาจากรูปหล่อถือหวาย 1 อัน ไม่พูดอะไรเลย หลวงพ่อได้ตีนายปิ่นด้วยหวาย ตีไม่เลือกที่ ตีหัว ตีหลังตีขนาดร้องสุดเสียงเลย นายปิ่นก็ดิ้นไปมา แต่ลูกหลานไม่เห็น นายปิ่นพอโดนตี ก็นึกขึ้นได้ว่าผิดคำพูดกับหลวงพ่อ และต่อว่าลูกหลานว่าทำไมไม่ช่วย ลูกหลานพูดว่า เห็นตาร้องสุดเสียงเลย ดิ้นไปมา แต่ไม่เห็นใคร นายปิ่นเลยเปิดเสื้อให้ดู ผลคือทั้งหลังทั้งไหล่ของนายปิ่น มีรอยโดนตีจริงๆ ต้องเอายาหม่องมาทาจึงค่อยยังชั่ว

    เรื่องนี้นายปิ่นเล่าไว้ด้วยความเคารพ เขากลับดีใจที่หลวงพ่อไม่ลืมเขา แม้หลวงพ่อจะมรณะภาพไปแล้วเป็นสิบปี

    เรื่องนี้เคยลงตีพิมพ์ในนิตยสาร มีคนมาให้ราคาลุงปิ่น บูชามา 500 บาท เขาให้ราคา 500×1000 บาท

    (บันทึกโดย อ.เฒ่า สุพรรณ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    dLlsWZG47WuoQsIWtZIinVWdITJ3Eut4QDk7lfPEv7mq&_nc_ohc=gPKxJ90yZmMAX8ljTIb&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    1f33b.png "พระนันทะ" เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า ท่านรูปหล่อมาก และก่อนจะบวชท่านมีนิสัยรักสวยรักงาม จนเกินพอดี เมื่อบวชแล้ว ท่านยังชอบเขียนขอบตาให้ดำ จนเป็นเหตุให้เกิดสิกขาบทห้ามพระทาตา
    ท่านมีศรัทธาออกบวชก็จริง แต่ในช่วงแรกๆ ท่านก็ยังไม่คิดเรื่องที่จะพ้นทุกข์จริงๆ จังๆ พระพุทธเจ้าจึงหาอุบายที่จะช่วย

    1f539.png พระองค์จึงพาท่านนันทะเหาะไปสวรรค์ ได้พบนางฟ้าสวยงามมากๆ 500 องค์กำลังเก็บดอกไม้ ระหว่างรอคอยสามีที่ยังไม่มาเกิดบนสวรรค์ เหล่านางฟ้าเล่าว่า

    "นางฟ้าห้าร้อยนี้ล้วนรอคอยสามีคนเดียวกัน ชื่อ "นันทะ" ซึ่งขณะนี้บวชเป็นพระอยู่ในโลกมนุษย์ ท่านกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ เมื่อมีคุณธรรมสูงขึ้น ตายแล้วจึงจะมาอยู่กับพวกนาง"

    พระนันทะตื่นเต้นดีใจ และเกิดกำลังใจที่จะปฏิบัติธรรมจนเต็มความสามารถ
    1f538.png ต่อมาพระพุทธเจ้าได้พาพระนันทะลงไปเที่ยวนรก เห็นกระทะทองแดงใหญ่มากแต่คนเฝ้าทั้งสองคนกลับสัปหงกทั้งๆ ที่ไฟกำลังจะดับ พระนันทะรีบสะกิดให้ตื่น เพราะเป็นห่วงว่ายมบาลจะมาเห็นแล้วคนเฝ้าจะโดนดุ แต่คนเฝ้ากลับบอกว่า

    "ไม่จำเป็นต้องเร่งไฟตอนนี้ กำลังประหยัดไฟอยู่เพราะยังมีเวลาอีกนาน คนที่กำลังจะมาตกกระทะทองแดงนี้ ตอนนี้เป็นพระชื่อ "นันทะ" ตายแล้วต้องไปเสวยสุขบนสวรรค์ อีกนานกว่าจะถึงคราวตกลงมาอยู่ในหม้อนรกใบนี้"

    พระนันทะได้ยินดังนั้นก็คิดว่า โอย.. มันน่ากลัวมากๆ.. ไม่เอาแล้ว… สวรรค์ก็ไม่เอา… นรกก็ไม่เอา… ขอตั้งใจปฏิบัติเพื่อพระนิพพานดีกว่า

    โอวาทธรรม : พระอาจารย์ชยสาโร
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    ITqEJ5BiSXntRwB0srStkMjIQLahpCkM2qW0XfVxPlZ4&_nc_ohc=FdqfOtG26a4AX-uG1s9&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    #มองออกเห็นง่ายกว่ามองเข้า
    1f539.png ถาม : เมื่อก่อนฟังหลวงพ่อพูด กิเลสกินเราตลอดเวลา ก็แค่รับรู้แบบสมองรู้ เวลาพูดว่าตัวเองเลว ไม่ดี ก็พูดไปอย่างนั้น อาจทั้งเพื่ออวดว่าตนรู้หรือดีเท่านั้น มาขณะนี้จึงรู้สึกสงสัยว่า #ทำไมคนเราถึงเห็นกิเลสของตัวเองยากกว่าเห็นกิเลสคนอื่นหลายเท่านัก จะมีวิธีจัดการกับกิเลสอย่างไร ? ในแต่ละวันรวมถึงตอนนอนหลับ รู้สึกว่ามีกิเลสเยอะมาก

    1f538.png ตอบ : "โทษคนอื่นมองเห็นเป็นภูเขา โทษของเรามองเห็นเท่าเส้นขน ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเหลือจะทน ตดของตนถึงเหม็นไม่เป็นไร" เป็นเรื่องธรรมชาติ

    “มองออก” เห็นง่ายกว่า “มองเข้า” เห็นยาก การมองเข้ามาในกายต้องประกอบไปด้วย สติ สมาธิ โดยเฉพาะปัญญาอย่างสูงจึงจะมองเห็นได้ เพราะฉะนั้น..พยายามเร่งในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิภาวนาให้มากขึ้น ถ้าเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริงจนปัญญาเกิดขึ้น ก็จะแก้ไขตรงนี้ไปได้
    _______________________________________
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ที่มา www.watthakhanun.com

    ———————————————————-
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...