ความรู้แห่งปัญญา+บทเรียนแห่งแสงสว่าง :=: บันทึกลับของนักเรียนโรงเรียนจิตวิญญาณโบราณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย MASTERCLASS, 27 เมษายน 2012.

  1. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    14 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวต
    ารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก:
    จริงไหมครับที่พวกเราสามารถหยุดความแก่ มีชีวิตเป็นอมตะเหมือนมนุษย์โลกใต้ดินได้
    อวตารบอย :
    คุณอยากจะให้เป็นจริงไหมล่ะครับ
    หากคุณต้องการอยากให้เป็นจริง มันก็เป็นจริงสิครับ

    มนุษย์โลกใต้ดินไม่มีอะไรแตกต่างจากพวกมนุษย์บนดินอย่างเช่นเราๆเลยครับ
    พวกเขามีจิตวิญญาณและพระเจ้าองค์เดียวกันที่อยู่ในตัวเราครับ
    พวกเขาอาจแตกต่างกันในร่างกาย เหมือนกันที่ร่างกายแตกต่างกันบนโลกมนุษย์

    แต่สิ่งที่พวกเขามี และพวกเราไม่มีคือ การตระหนักรู้ครับ
    แล้วพวกเขาตระหนักรู้อะไรกันหรือครับ
    พวกเขาตระหนักรู้ว่าพระเจ้าอยู่ในตัวพวกเขา
    พวกเขาสามารถโปรแกรม ร่างกายเนื้อให้ หยุดแก่ หยุดตายได้
    พวกเราก็มีพระเจ้าอยู่ในตัวเราองค์เดียวกันที่ทำให้พวกเขาเป็นอมตะ
    แต่พวกเราไม่ตระหนักรู้พระเจ้าในตัวเราเองไงล่ะครับ
    นั้นแหละคือข้อแตกต่าง
    ความเชื่อของสังคมโลกมนุษย์ เชื่อว่า เมื่อพวกเราเกิดมา
    เมื่อเวลาผ่านไป พวกเราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
    พวกเราเชื่อกันมาอย่างนั้น
    จากบรรพบุรุษจนถึงปัจจุปัน และ ความเชื่อนั้นได้ฝังรากลึกลงในดีเอ็นเอพันธุกรรม
    ทุกๆคนเชื่อกันเช่นนั้น ทุกๆๆคนก็เป็นกันเช่นนั้น จนลืมไปว่ามันเป็นผลมาจากความเชื่อ
    จำได้ไหม ความคิด และ เชื่อ กันอย่างไร มันก็เป็นอย่างนั้น
    สังคมโลกมนุษย์กำลังนอนหลับ หลงในโลกวัตถุกันอยู่

    มนุษย์โลกใต้ดิน ไม่มีอะไรแตกต่างจากพวกเรา
    แต่พวกเขาเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
    และพวกเขาคิด และเชื่อสิ่งนี้
    พวกเขาก็เลยมีประสบการณ์กับสิ่งที่พวกเขาเชื่อ
    ฉะนั้น การหยุดอายุ
    การมีชีวิตเป็นอมตะเป็นเรื่องปรกติธรรมดามาก
    ในชีวิตประจำวันสำหรับพวกเขา

    ท่องเอาไว้เลยครับ
    "ไม่จน ไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่ตาย ตลอดกาลและตลอดไป"
    จงเป็นเช่นนั้นทุกประการ และมันก็เป็นเช่นนั้น สาธุ อาเมน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ตุลาคม 2012
  2. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    15 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก:
    คุณอวตารบอย คุณรู้ไหมว่าผมนั่งฟังคุณมาหลายชั่วโมงแล้ว
    ผมฟังคุณตอบคำถามและอธิบาย
    ผมเริ่มมีมุมมองเกี่ยวกับจักรวาลแตกต่างจากเดิมมาก
    บางครั้งทำให้ผมตัวลอยแบบตื่นเต้นดีใจ
    เหมือนกับว่าชีวิตผมทั้งชีวิตอยู่ในโลกแคบๆ น่าเบื่อหน่าย
    พอคุณอธิบายสิ่งต่างๆ ผมมีความรู้สึกว่าผมลอยได้
    คุณอธิบายสิ่งต่างๆทำให้ง่ายต่อความเข้าใจ เป็นเหตุเป็นผลดี
    ตอนเด็กผมเคยแอบคิดแบบว่าทุกๆอย่างเป็นไปได้เหมือนกัน
    พอโตขึ้นมาโลกมันไม่เป็นเหมือนความคิดตอนผมเป็นเด็ก
    อวตารบอย :
    นิ่งเงียบสักพัก
    ลองหลับตาและจินตนาการ...ถึงความว่างเปล่าดูนะครับ
    มันโล่งโปร่ง เบาสบายไหมครับ ??
    ลองจินตนาการกันดู...ตามความเข้าใจของแต่ละคน
    โล่งสบายไม่มีอะไรเลย
    มันเป็นความว่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้
    ต่อไปนี้ผมให้พวกเราคิดว่า
    ธรรมชาติของความโล่งโปร่ง เบาสบายคือตัวคุณเองนะครับ
    จดจ่อโฟกัสใจว่าพวกคุณเป็นความว่างเปล่า โปร่ง เบา สบาย สัก 5 นาที

    เอาล่ะ
    ทีนี้ผมให้พวกคุณแต่ละคนจำความรู้สึกนั้นในช่วง 5 นาทีที่ผ่านมาให้ดีๆนะ
    ทีนี้ผมอยากให้พวกเราแต่ละคนหลุดออกมาจากความว่างเปล่า
    มาเป็นตัวเป็นตนและลอยได้ในความว่างเปล่า
    ใครจะจินตนาการเป็นอะไรก็ได้แล้วแต่ความเข้าใจและชอบส่วนบุคคล
    หากใครหาไอเดียไม่ได้
    ผมแนะนำว่าให้จินตนาการเป็นแสงสว่างก็ได้ครับ
    แสงสว่าง สว่างไสวจ้ามาก สวยด้วย แวววาว วิบๆวับๆ
    ล่องลอยในความว่างเปล่าที่หาที่สุดไม่ได้
    คุณคือแสงสว่างล่องลอยไปไหนก็ได้ตามใจปราถนาในความว่างเปล่า
    ลองจินตนาการกันดูสัก 5 นาที

    โอเคทีนี้
    ผมให้พวกคุณทุกคนจดจำความรู้สึกที่สองให้ดีนะครับ
    เอาล่ะ ทีนี้ผมให้พวกเราทุกๆคนจินตนาการว่า
    มีขวดวิเศษขวดหนึ่งมีฝาปิดแต่ไม่แน่นมากนัก
    ผมขอย้ำว่าฝาปิดไม่แน่นมากนักแค่หลวมๆ

    โอเคไหม
    โอเคดีมาก
    ทีนี้ผมให้พวกเราแต่และคนที่เป็นแสงสว่าง หรือ
    อะไรก็ได้ที่แต่ละคนคิดจินตนาการเมื่อ 5 นาทีที่แล้ว

    ตอนนี้ให้จินตนาการว่า
    ตัวตนที่เป็นแสงสว่างที่เคยลอยล่องสบายๆในความว่างเปล่า
    มาอยู่ในขวดวิเศษขวดนี้ที่มีฝาปิดแบบหลวมๆมาก
    จดจ่อโฟกัส อย่าวอกแวกคิดเรื่องอื่นๆให้กลับมาปัจจุบั
    นแล้วให้จำความรู้สึกว่า
    มีความรู้สึกว่าเป็นอย่างไรในขวดวิเศษขวดนี้
    ทำอย่างนี้สัก 5 นาที
    เอาล่ะ ทีนี้ให้
    จินตนาการว่าพวกเราที่เป็นแสงสว่างออกมาจากขวดที่หนึ่ง
    และเข้ามาอยู่ใน
    ขวดที่สอง สาม สี่ ห้า หก และ เจ็ด
    ทำเหมือนกันทุกๆอย่างเหมือนขวดที่หนึ่ง แต่ ขวดที่สอง ให้จินตนาการว่ามีฝาปิดเริ่มแน่นกว่าขวดที่หนึ่ง
    ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
    จนถึงขวดที่เจ็ด ขวดวิเศษที่เจ็ดมีฝาปิดแน่นที่สุด

    ให้จดจำความรู้สึกเมื่อแสงสว่างเข้าไปอยู่ในแต่ละขวดวิเศษ
    จดจำความรู้สึกแห่งความแตกต่าง
    เอาล่ะทีนี้ ขวดวิเศษที่เจ็ดมีฝาปิดมากที่สุด
    เมื่อตัวเราเองที่เป็นแสงสว่างเข้าไปอยู่
    อึดอัดกันมากไหมครับ ???
    มากกว่าขวดแรกๆๆไหม ???
    ขวดอันไหนรู้สึกอึดอัดน้อยที่สุด ???
    และขวดอันไหนอึดอัดมากที่สุด ??
    ผมให้แต่ละคนตอบคำถามตัวคุณเองในใจของพวกคุณ !!!

    ถูกต้องไหมครับ ???
    หากผมพูดว่า ขวดวิเศษสุดท้ายขวดที่เจ็ดที่มีฝาปิดแน่นที่สุด
    เมื่อพวกเราเข้าไปอยู่มีความรู้สึกว่าแน่น อึดอัดมากที่สุด
    และ ไม่สบายที่สุด ถูกไหมครับ ???
    แน่นอนครับผมพูดถูกต้องเสมอแหละครับ (หัวเราะ)

    ทีนี้ผมลองให้ทุกคนลองจินตนาการกลับกันครับว่า
    ขวดวิเศษคือร่างกายที่มีความหนาแน่นน้อยที่สุด ไปยังมากที่สุด
    ขวดที่มีฝาปิดน้อยที่สุด ร่างกายมีความหนาแน่นน้อยที่สุด
    และขวดที่มีฝาปิดแน่นที่สุดมีความหนาแน่นมากที่สุด

    ทีนี้ผมไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมกันอีกต่อไปแล้วว่า
    ผมต้องการสื่ออะไรแก่พวกเราทุกๆๆคนที่นั่งฟังกันวันนี้
    ผมคิดว่าพวกเราเริ่มอ่านใจผมออกแล้วว่า
    ผมต้องการบอกว่า

    ครั้งหนึ่งพวกเราทุกๆคน และ ผม และ คนอื่นๆด้วยที่ไม่ได้อยู่ในที่นี้
    เคยอยู่ในความว่างเปล่ากันมาก่อน
    จากนั้นพวกเราก็เป็นจิตวิญญาณมีรูปร่างเป็นแสงสว่าง
    ลอยเวิ้งว่างในความว่างเปล่าอย่างสนุกสนานบานฤทัยกันเลยครับ
    ลอยไป ลอยมา บินไป บินมา
    ในความว่างเปล่าที่ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีที่สิ้นสุด

    แล้วพวกเราก็มาเล่นหรือมาหาประสบการณ์ ในมิติต่างๆ
    จากสววรค์ชั้นหนึ่ง ลงมาเรื่อยๆมาสู่สวรรค์ชั้นเจ็ด
    ที่ผมเราทุกๆๆคนอยู่กันตอนนี้
    ลองจับร่างกายเนื้อกันสิครับ หนาแน่นมากไหม ???
    ลองจับหยิก ใช้สายตากวาดตามองดูรอบๆห้อง
    ทุกอย่างมีความหนาแน่นมาก ใช่ไหม ???
    ไม่ค่อยโปร่งโล่ง เบา สบายเลยนะ (หัวเราะ)

    พวกเราทุกๆคนเคยมีความทรงจำที่เคยเป็นแสงสว่าง
    โปร่งโล่งสบาย
    พอพวกเราเข้ามาอยู่ร่างกายที่มีความหนาแน่นมากที่สุดเท่าไหร่
    พวกเรามีความรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง ใช่ไหมครับ ???
    มันอึดอัด ไม่โปร่ง ไม่โล่งสบาย ไม่ล่องลอยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
    แต่พวกเราก็อยู่กันจนชินจนลืมความรู้สึกนั้นกันมานาน
    แต่ลึกๆแล้วพวกเรายังมีความทรงจำนั้นได้ดีว่าพวกเรา
    เคยเป็นอิสระ โล่งโปร่ง เบา สบาย
    นั้นแหละครับ
    คือความรู้สึกครั้งหนึ่งของจิตวิญญาณบริสุทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์
    ที่เคยมีความคิดทุกๆอย่างเป้นไปได้
    เคยคิดสิ่งใดได้สิ่งนั้นสมปราถนา
    ยิ่งมาอยู่บนโลกมนุษย์
    ความคิดที่พวกเรามีกันปรากฎกันช้ามากๆ
    ทุกๆอย่างช้าและอืดอาด หนักอึ้งด้วย ไม่รวดเร็ว
    ไม่โปร่งโล่งสบายเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

    พวกเราเมื่อมาเล่นเป็นมนุษย์
    มีข้อจำกัดต่างๆมากมาย
    จาก สังคม ศาสนา การเมือง ประเพณี วัฒนธรรม
    ห้ามทำโน้น !!! ห้ามคิดนี้ !!!
    สิ่งนี้ทำไม่ได้ !!! สิ่งโน้นเป็นไปไม่ได้ !!!
    พระเจ้าบอกว่าห้ามทำนะไม่ดี เดี่ยวไม่ได้ขึ้นสววรค์นะ !!
    พระพุทธเจ้าบอกว่าห้ามคิดสิ่งนี้นะเดี่ยวตกนรก !!!

    ทำให้จิตวิญญาณพวกเราที่เคยเป็นอิสระ
    ที่เคยไม่มีขีดจำกัด ไร้ขอบเขต
    รู้สึกไม่สนุกสนานเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
    แต่พวกเราก็พยายามทำตามกฎระเบียบที่วางเอาไว้
    แต่ลึกๆกันแล้ว
    พวกเราต้องการความรู้สึกครั้งหนึ่งที่เคยโปร่ง โล่ง ลอย เบาสบาย
    พวกเราลืมตัวพวกเรากันเอง
    พวกเราหาทางออกกันไม่ได้ เลยหาทางออกจากภายนอก
    โดยการกิน
    โดยการมีเซ็กส์
    โดยการใช้สารเสพติดเข้าช่วย
    โดยการสูบบุหรี่ หรือ สิ่งของมึนเมา
    เพื่อให้ได้ความรู้สึกนั้นอีกครั้ง
    บางคนก็ใช้วิธีเล่นโยคะ
    ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ
    เพื่อให้มีความรู้สึกดีขึ้น
    บางคนก็ติดการช้อปปิ้ง และ อื่นๆมากมาย
    พวกเราขวนขวาย ความรู้สึกนั้น
    ความรู้สึกที่เรียกว่า
    สนุกสนาน รื่นเริง บันเทิงใจ ความสุขสุดๆ บรมสุข
    ที่ทำให้การหายใจพวกเราลึกและยาวนานๆ

    ทีนี้ลองจินตนาการ
    การถึงจุดสุดยอดตอนที่พวกเรามีเซ็กส์ หรือช่วยตัวเราเอง
    ไม่ต้องอายกันครับ นั้นเป็นธรรมชาติของร่างกายมนุษย์
    ลองจินตนาการว่า
    หากความรู้สึกจุดสุดยอดนั้น อยู่ได้นานๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ......
    ความรู้สึกนั้นจะเป็นเช่นไรกันนะ
    โล่ง โปร่ง สบาย ใช่ไหม ???

    ทีนี้ ลองจินตนาการว่าความรู้สึกจุดสุดยอดนั้นมีมากกว่า
    หลาย ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน ล้านนนนนน เท่า
    อย่างไม่มีขีดจำกัด
    ความรู้สึกนั้นจะเป็นเช่นไรนะ ???

    เอาล่ะทีนี่
    ผมอยากบอกพวกเราทุกๆคนว่า
    สภาวะแห่งจุดสุดยอดแห่งความสุขและรื่นเริงปลื้มปีติ ECSTASY
    เป็นสภาวะธรรมชาติของจิตวิญญาณของพวกเราทุกๆๆคน
    เป็นพลังงานสูงสุด พลังความรักสูงสุด เป็นจุดสูงสุด
    จิตวิญญาณทุกๆดวงถูกสร้างมาจากจุดสุดยอดของจักรวาลในสภาวะนี้
    ไม่ต้องสัยกันเลยว่าทำไม
    พวกเราขวนขวายความรู้สึกนี้จากภายนอกเท่าที่พวกเราหากันได้

    คำว่า "พระเจ้า" ไม่ใช่ เป็นเพียงแค่คำพูด
    แต่เป็นความรู้สึกที่มาจากภายในตัวเราเองทุกคน
    ยิ่งพวกเราตระหนักรู้และเข้าใจตัวตนแท้จริงของพวกเราเองมากเท่าไหร่
    พวกเราจะมีความรู้สึกโล่งโปร่งสบาย
    สุขสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจ ปลื้มปีติ
    และยิ่งมีความรู้สึกนั้นยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่
    นั้นแหละคือสภาวะอารมณ์ ที่เรียกกันว่า... "พระเจ้าสูงสุด"

    นมัสเต ครับ พระเจ้าที่รักทั้งหลาย
     
  3. MasterOfSuccess

    MasterOfSuccess Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +44
    ไม่รู้จะเขียนบอกอะไรดี อ่านไป จุกเลย ลึกมาก น้ำตาจะไหลพรากๆ
     
  4. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    16 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก:
    พวกมนุษย์โลกใต้ดินอยู่กันได้ยังไงครับ หลายพันปี
    ไม่เบื่อกันบ้างหรือครับ
    ขนาดผมมีอายุ 32 ปี เบื่อจะแย่อยู่แล้ว
    ไม่รู้จะอยู่นานๆไปทำไม สงสัย
    อวตารบอย :
    เป็นเพราะว่าคุณหนุ่มยังไม่รู้จักตัวคุณหนุ่มเอง และจักรวาลดีพอ
    เลยมีมุมมองแบบแคบๆเกี่ยวกับโลก ชีวิตและจักรวาล

    ลองเปิดใจมาฟังมุมมองใหม่ๆ
    มุมมองกว้างๆกันดีกว่าไหมครับ
    เผื่อทีคุณหนุ่มอาจเปลี่ยนใจ
    อยากมีชีวิตหลายพันล้านปีเหมือนกับพวกเขาบ้าง (หัวเราะดังลั่น)

    หากใครเคยอ่าน "ความลับของโรงเรียนโบราณ"
    ที่ผมเขียนเป็นภาษาอังกฤษ และแปลบทความได้ยอดเยี่ยมโดยคุณชยุต
    กันแล้วจะเข้าใจมุมมองใหม่
    ตอนนั้นมีหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องผมเขียนเท่าไหร่
    บางคนเอาไปปรึกษาพระในวัดแห่งหนึ่ง พระท่านนั้นบอกว่า
    ข้อความที่ผมเขียนเพี้ยนและไม่จริง เขาเลยมาต่อว่าผมใหญ่เลย
    ว่าผมเป็นมนุษย์คนไทยซาตานบ้าง คนไทยพุทธเพี้ยนบ้าง
    โชคดีตอนนั้นผมยังอยู่ออสเตรเลีย
    และเป็น คนออสซี่ และไม่มีศาสนา
    สิ่งที่เขาต่อว่าผมไม่เข้าผมเลย (หัวเราะ)

    และห้ามผมหยุดเขียนในเวปพลังจิต
    ผมก็หยุด และ กลับมาเขียนใหม่ ความจริงไม่มีวันตาย (หัวเราะ)
    มนุษย์สามารถควบคุมร่างกายได้ แต่
    ไม่สามารถควบคุมและฆ่าความคิดที่อยู่ในสมองของพวกเราได้
    (หัวเราะ กันดังลั่นในห้อง)
    จริงๆครับ หากว่าคุณคิดสิ่งเหลือเชื่อ หรือ พูดสิ่งใดที่เกินกว่าสังคมโลกจะยอมรับได้
    พวกเขาสามารถจับคุณเข้าคุกได้ ใช่ไหมครับ ???
    (หมายเหตุ พี่อวตารพูดแบบเปรียบเปรย
    แต่ว่าพวกเขาไม่สามารถจับความคิดคุณเข้าคุกได้
    (หัวเราะ กันดังลั่นในห้องอีกแล้ว)
    คุณก็ยังสามารถคิดได้เหมือนเดิมในคุกและ
    ไม่มีใครสามารถเห็นคุณคิดได้ ใช่ไหม ??? ใช่แล้วครับ ???
    ฟังผมพูดไปแล้ว อาจตลกและขำขันกันไปบ้าง
    แต่ทุกๆๆคำที่ผมพูดมีความหมายลึกซึ้งนะครับ
    ขอให้จับใจความสำคัญกันให้ดี ๆ (ตรงนี้น้ำเสีงพี่อวตารบอยเริ่มซีเรียส)
    (หมายเหตุ พี่อวตารบอยไม่ได้พูดไทยมานาน
    บางครั้งการพูดหรือการใช้ประโยคจะเป็นแบบฝรั่งปนไทย)

    ความคิดที่อยู่ในสมองพวกเราไม่มีใครสามารถฆ่าได้ครับ
    และก็ไม่มีใครเห็นด้วย จริงไหมครับ ???
    จริงอยู่แล้วครับ ผมพูดจริงเสมอแหละ (หัวเราะ กันดังลั่นในห้อง)ถึงผมพูดให้หัวเราะกันบ้าง แต่มีความหมายลึกซึ้งในแต่ละคำพูดนะ

    ดังนั้นไม่มีใครสามารถหยุดความคิดได้
    ไม่ว่าพวกเขาจะมีอำนาจทางทหาร การเมือง
    แม้แต่พวกมนุษย์ต่างดาวที่มีเทคโนโลยีอาวุธระดับสูงเพียงใดก็ตาม
    ก็ไม่มีจิตวิญญาณหรือพระเจ้าองค์ไหนในจักรวาล
    ไม่ว่ามีพลังอำนาจเทียมไหนก็ตาม
    สามารถ ฆ่าและทำลาย ความคิดได้ครับ

    นี้แหละคือความเรียบง่ายและสุดยอดอัจฉริยะของธรรมชาติของจักรวาล
    ร่างกายและสิ่งภายนอกอาจถูกทำลายไปหมดสิ้น
    แต่จิตวิญญาณ ความคิดยังคงอยู่เป็นอมตะตลอดกาลและตลอดไป
    นี้คือสุดยอดอัจฉริยะของจักรวาล !!!

    หากใครจับคุณขังเพราะคุณคิดเรื่องเหลือเชื่อ
    หรือเป็นไปไม่ได้ หรือ อะไรก็ตามแต่
    (หมายเหตุ พี่อวตารบอยพูดเปรียบเปรย)
    ปล่อยให้เขาจับเลยครับ แล้ว พวกเราก็แอบคิดในใจสิครับ
    เห็นไหมไม่มีใครรู้ใครเห็นความคิดในสมองของพวกเรากันเลย
    (หัวเราะดังลั่น และยาวนานมาก
    พร้อมเสียงปรบมือโค้งคาระวะแก่พี่อวตารบอยกันหมดทุกคนในห้อง)

    ความคิดเป็นอมตะ และ ศักดิ์สิทธิ์ครับ
    และจะอยู่ตราบชั่วฟ้าดินสลาย ตลอดกาลและตลอดไป
    (หมายเหตุ :
    พอพูดมาถึงตรงนี้พี่อวตารบอยเอาใจจดจ่อที่จักระที่เจ็ด
    น้ำเสียงสั่นคลอ น้ำตาจะไหล
    ดูเหมือนพี่อวตารบอยให้ความศรัทธาแก่
    พระเจ้าที่อยู่จักระที่ 7 อย่างสุดซึ้ง
    บางครั้งการอ่านและการเข้าฟัง อารมณ์การสื่อความหมายอาจต่างกัน
    นอกจากเข้าฟังมีประสบการณืตรงด้วยตนเอง )

    (เดี่ยวมาต่อ ภาคสอง คำถามนี้ มีคำตอบยาวมากๆ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤศจิกายน 2012
  5. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    16 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    ภาคสองต่อจากภาคแรก

    แม้กระทั่งคุณชยุตผู้แปล งานเขียนของผม "ความลับของโรงเรียนโบราณ" ได้สุดยอดในปีนั้นก็ไม่เข้าใจและไม่เชื่อกับงานที่ผมเขียนเท่าไหร่นัก
    พยายามไปหาความรู้ที่อื่นๆมาต่อยอดมาพิสูจน์
    ไปหาเรื่อง เกี่ยวกับ "อดีต ปัจจุบัน อนาคต"
    เร่องการสร้างต่างๆในรูปแบบวิทยาศาตร์ไปกันใหญ่
    เดี๋ยวรอดูนะให้คุณชยุตหาความรู้กว้างๆจากภายนอกโลก
    ที่เขาเก่งหากันได้ อีก 5 ปี เขาเหนื่อย
    และกลับมาเห็นคุณค่างานที่เขาแปลของผมเอง
    เพราะทุกๆอย่างต้องกลัมาที่ศูนย์ ว่างเปล่า

    ตอนนั้นผมพยายามอธิบายเรื่อง
    สิ่งที่ง่ายและเล็กที่สุดที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด
    นั้นคือ ความไม่มีอะไรเลย
    แล้วจากความไม่มีอะไรเลย
    สร้างจิตวิญญาณได้อย่างไร และทำไมต้องสร้าง
    จากนั้นผมก็พยายามอธิบายว่าการสร้างจักรวาล
    และโลกและธรรมชาติว่าเป็นอย่างไร

    ปีนั้นผมได้รับอีเมลย์จากคุณชยุต
    ให้ผมดำเนินเรื่องการเขียนแบบเร็วๆหน่อย ผมก้ไม่รู้ว่าคุณชยุตจะเร่งรีบกันไปถึงไหน
    ผมเข้าใจแล้วว่าเขาอยากรู้มากกว่านี้
    คือใจเขาพยายามอยากรู้เกี่ยวกับโลกไกลโพ้น ยิ่งเรื่องมนุษย์ต่างดาว
    ความรู้ไกลนอกโลก คุณชยุตจะชอบ
    แต่ความตั้งใจผมพยายามเขียนและอธิบายจากสิ่งใกล้ตัว จากภายใน
    จากสิ่งง่ายๆ ธรรมดา มาสู่ภายนอก

    คิดกันดูสิครับ ความเรียบง่าย และธรรมดา จากภายในความว่างเปล่า
    ไม่มีอะไรเลยนี้แหละ เป็นสุดยอดความอัจฉริยะ
    เมื่อพวกเราเข้าใจว่าความว่างเปล่าสร้างโลก และ
    จิตวิญญาณและ จักรวาลอย่างไร
    มันก็เป็นการสร้างแบบเดียวกันกับ
    ที่พวกเราสร้างชีวิตส่วนตัวของพวกเราเอง และ
    เป็นแบบเดียวกันกับที่นักวิทยาศาตร์สร้างเทคโนโลยีเช่นคอมพิวเตอร์
    อินเตอร์เน็ต ไอโฟน เดี๋ยวในอนาคต จะมีไอโฟนกันมากี่รุ่นนะ
    เดี่ยวพวกเราลองดู จะมี ไอโฟน สอง สาม สี่ ห้า จนถึงสิบกันไหม
    (หมายเหตุ : พี่อวตารบอยพูดเรื่องนี้ สามปีที่แล้ว)

    ทำไมผมอธิบายเรื่องนี้ เพราะว่า
    การทำงานของจักรวาลในการสร้างเหมือนกันหมด
    ไม่ว่า จากความว่างเปล่า จากการสร้างจักรวาลอันมหึมา
    การสร้างปิระมิด หรือ ซูปเปอร์ คอมพิวเตอร์ หรือ
    การสร้างชีวิตส่วนตัวของพวกเราเอง
    ใช้หลักการเดียวกันหมด เห็นยังล่ะว่า
    นี้เป็นสิ่งง่ายๆที่อยู่ใกล้ตัวเราเองมากที่สุด

    นี้แหละคือความเรียบง่ายและอัจฉริยะของธรรมชาติของจักรวาล
    แต่มนุษย์ส่วนใหญ่เก่งกันเกินไป คิดว่าเก่งกว่าจักรวาลเสียอีก
    (หัวเราะดังลั่นเลย)
    แต่คนแปลและคนอ่านจับใจความไม่ได้
    เก่งกันเกินไป ต้องการสิ่งที่ยากๆจึงเห็นคุณค่า
    (หัวเราะดังลั่นเลย)
    เผื่อทีผมให้อ่านกันฟรี ไม่ค่อยมีใครเห็นหรือเข้าใจผมต้อง
    ขายหนังสือเล่มนั้นกันดีกว่าไหม ???
    โอเค หนึ่งล้านบาท สำหรับ "ความลับของโรงเรียนโบราณ"
    ทีนี้คงเห็นคุณค่ากันเลยนะ
    "แหมตั้ง หนึ่งล้านบาท คงมีอะไรดีๆแน่ๆเลยในหนังสือนั้น"
    (หัวเราะกันดังลั่น)

    คนแปลและคนอ่านส่วนใหญ่
    ไม่มีใครเข้าใจและเห็นคุณค่ากันน้อยมาก
    ผมดีใจที่กลุ่มเล็กๆอย่างเช่นพวกคุณ
    เห็นคุณค่ากับงานเขียนของผม

    ผมขอบอกพวกคุณทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ว่า
    สุดยอดแห่งความรู้ และ ความลับของจักรวาล
    เป็นเรื่องภายใน และ
    ใกล้ตัวมากที่สุด และ
    เรียบง่ายที่สุด และ
    ธรรมชาติมากที่สุด และ
    มาจากศูนย์ หรือ ความว่างเปล่า นี้แหละ

    เป็นความรู้สุดยอดที่สุดในจักรวาล ดีกว่า ทฤษฎีของนักวิทยาศาตร์ชั้นสูง
    ดีกว่าบทเรียนที่เขียนกันเรียนกันในโรงเรียน
    ไม่ว่าปริญญาตรีหรือโทหรือเอก หรือ ซูปเปอร์เอก (หัวเราะ)

    เพราะทุกๆอย่างเริ่มจากศูนย์ หรือความว่างเปล่า
    หากรู้ความรู้นี้แล้ว ไม่ต้องไปเรียนอย่างอื่นกันแล้ว
    ทุกอย่างมาจากนี้หมด
    นี้แหละสุดยอดอัจฉริยะ และเรียบง่ายของความว่างเปล่า
    มีน้อยคนนักที่จะเข้าใจ และ เห็นประโยชน์
    ความรู้แห่งสุดยอดความรู้ทั้งปวง
    เพราะทุกอย่างมาจากศูนย์หมด
    เมื่อเข้าใจสามารถนำไปประยุกต์ใช้ทุกๆอย่างในชีวิต
    และในมิติอื่นๆและทุกๆๆจักรวาล มหาจักรวาล ตราบเท่าชั่วฟ้าดินสลาย
    ไม่ว่าการสร้างโลกใหม่อีกี่ครั้ง
    โลกแตกอีกกี่ครั้ง
    ทุกอย่างก็เริ่มจากศูนย์ และ
    ต่อยอดจากไม่มีอะไรเลย เป็นมีทุกๆสิ่งๆที่เห็นกันอยู่
    และจาก เรียบง่ายนี้แหละกลายเป็น
    สิ่งที่สลับซับซ้อนมากมายอยู่จนถึงทุกวันนี้

    หากธรรมชาติของจักรวาลไม่มีความเรียบง่ายและสลับซับซ้อน
    ผมบอกพวกคุณได้เลยว่า โลกและจักรวาลจะสร้างต่อไปได้ไม่มากนัก
    เพราะต้องอยู่ในกฎเกณ์ของความยากและสลับซับซ้อน
    แต่โชคดีที่ธรรมชาติของจักรวาลเรียบง่าย
    และ ไม่มีกฎเกณ ไม่สลับซับซ้อน
    ทุกๆอย่างจึงถูกสร้างขึ้นมาอย่าง
    ไม่มีขอบเขต และ ไม่มีที่สิ้สุด ตลอดกาลและตลอดไป โอมมมมม

    ความว่างเปล่านี้แหละ
    จากความที่เรียบง่ายจนเกินไปเลยเกิดเป็นโลกมายา
    ที่พวกเราหลงกันหัวหมุนมาหลายชาติกันแล้ว (หัวเราะ)

    (ภาคสามยังมีต่อ)
     
  6. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    ถึงคนที่แอบอ่าน และ อ่านตรงๆ ทุกๆท่าน

    ขอคั่นหน่อย พี่อวตารบอยได้พูดเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว
    บทความถาม-ตอบ เป็นการบทความส่วนตัว และเกิดมานานหลาบปีแล้ว
    และไม่ได้หลบลู่ดูหมิ่นคุณชยุต และผู้แปลคนอื่น และกระทู้อื่นๆ
    พวกเราในกลุ่ม (หัวเราะ) กันอีกมุมมองหนึ่ง
    ไม่ใช่หัวเราะแบบเยาะเย้ย
    แต่เป็นการมองโลกอีกมุมหนึ่ง
    ใครอ่านอย่าแปลความหมายกันผิดนะครับ
    (ช่วยมองโลกในแง่ดี)

    อีกอย่างหนึ่ง
    กลุ่มนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกระทู้ของคุณชยุต นะครับ
    หรือผู้แปลกลุ่มแสงสว่างในอดีต
    คนละกลุ่มกัน ใครชอบอย่างไหนก็เลือกกันอย่้างนั้น เราไม่ว่ากัน
    และพวกเราก็ไม่ต้องการพาดพิงถึงกันและกัน

    จิตอิสระทางใครทางมัน จักรวาลกว้างมากมายครับ
    พี่อวตารบอย อธิบายบางสิ่งอาจเชื่อมโยงเหตุการณ์ในอดีตถึงบางคน
    ก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี หรือ ร้าย เพียงเป็นการอธิบายให้เข้าใจแต่ละคำถาม
    กระทู้คุณชยุต หรือ ของคนอื่นๆ
    พวกเราก็ไม่ค่อยมีเวลาอ่านกันมานานแล้วครับ
    มีสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่ต้องโฟกัสครับ

    สำหรับคนที่เคยอ่านและชอบกระทู้คุณชยุต
    อย่าเพิ่งตีความหมายกันผิด
    หากมาเจอบางส่วน การ ถาม ตอบ อาจอ้างอิงคุณชยุตและคนอื่นๆไปบ้าง

    ในอดีตใครก็ตามไม่ชอบ หรือ มีอคติที่ไม่ดี กับสไตลย์ของพี่อวตารบอย
    ก็อย่าเข้ามาอ่านกันเลยครับ
    มีเรื่องอื่นๆดีๆที่ทำให้อารมณ์ดีๆอีกมากมายในเน็ต
    ไม่ได้ว่ากันนะครับ แค่เสนอแนะ

    อีกอย่างหนึ่ง กระทู้ของพวกเราไม่ได้ตั้งมาแข่งขันกับกระทู้คุณชยุต
    แต่เรื่องจริงก็คือเรื่องจริง ความรู้ดั้งเดิมทุกๆอย่าง
    พี่อวตารบอย เป็นคนเริ่มจุดประกายคุณชยุต ทั้งสิ้น
    ไม่ว่าเป็นเรื่อง แสงสว่าง โลกใต้ดิน ชีวิตอมตะ โลกมิติที่ 5 และอื่นๆ
    และถูกเอาไปต่อยอด
    พวกเราไม่ได้มาทำตามหลัง แต่พวกเราคือกลุ่มเริ่มต้น
    แต่ใครจะเอาไปต่อยอดเท่าไหร่ พวกเราไม่ว่ากัน จักรวาลกว้างมากครับ

    กระทู้คุณชยุตที่เอาไปต่อยอด ดีกว่า และ สุดยอดกว่ากระทู้นี้ ก็ไม่เป็นไรครับ
    พวกเราดีใจด้วย แต่ ทางเดินคนละทางครับ จักรวาลกว้างมากมาย

    ขอให้เข้าใจตามนี้ด้วย

    ขอความสงบเกิดขึ้นแก่ทุกคน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤศจิกายน 2012
  7. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    16 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    ภาคสาม

    สามชั่วโมงที่พวกเราทุกๆคนฟังผมกันมา
    พวกคุณเห็นไหม ทุกๆคำถาม ผม ตอบง่ายๆ
    เชื่อมโยงจากภายใน และสิ่งใกล้ตัวที่สุด สู่ภายนอก
    เพราะทุกๆอย่างมาจากง่ายๆนี้แหละครับ
    พวกเราเลยไม่อยากเชื่อกันว่า มันง่ายแบบนี้เลยหรือ ???

    พวกเราอยากได้คำตอบแบบวิจิตรพิสดาร สลับซับซ้อนมากมาย
    ทำอย่างนั้นผมก็ทำได้ครับ
    แต่ผมเห็นว่า ความว่างเปล่านี้แหละ สุดยอด
    และ ผมทึ่งกับ ธรรมชาติของความสุดยอดนี้แหละ ครับ
    จะหาว่าผมโง่ บ้า เพี้ยนก็ได้นะครับ แต่ความว่างเปล่านี้แหละ
    ที่ทำให้ผมไม่รู้อะไรเลย และได้รู้ไปทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง (หัวเราะ)

    ความว่างเปล่า เป็นธรรมชาติแห่งความเรียบง่าย บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา
    และมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว และมันก็ยังคงเป้นอย่างนั้นตลอดไป

    ผมมาเมืองไทย
    ผมเห็นมีโรงเรียนกวดวิชากันมากมาย
    เด็กๆนักเรียนก็แย่งแข่งขันกันมากมาย
    แข่งขันกันเรียน แข่งกันทำงาน แข่งกันหาแฟน
    แล้วในที่สุด แข่งกัน ตายในที่สุด (หัวเราะ)

    ยิ่งร่ำเรียนสูงมากเท่าไหร่
    ผมขอบอกตามตรงว่า ยิ่งโง่มากเท่านั้น
    ในมุมมองของมนุษย์ดูเหมือนว่าใครจบปริญญาเอก นี้สุดยอด
    แต่สำหรับผมเห็นว่าสุดโง่จริงๆเลยครับ (หัวเราะดังลั่น)

    คิดกันดูสิครับ
    ความรู้ต่างๆที่บรรจุในโรงเรียน และมหาลัย มาจากไหนกัน
    ส่วนใหญ่วิชาหลักๆมาจากฝรั่ง ใช่ไหมครับ ???
    แล้วความรู้ของฝรั่งต่างๆมาจากไหนกัน
    ก็มาจากความคิดภายในของฝรั่ง นั้นเอง !!
    มาจากการเอาความรู้นั้นมาจากพระเจ้าภายใน
    แล้วไอเดีย และ ความรู้ต่างๆก็เกิดขึ้น
    จากนั้นนำความรู้นั้น
    มาบันทึกเขียนเป็นหนังสือให้พวกเราแย่งกันเรียน (หัวเราะ)

    เวลาผ่านไป พวกเขาก็คิดอย่างอื่น
    เอาความรู้อย่างอื่นมาเสนอกันอีก
    ความรู้เก่าๆก็ใช้ไม่ได้
    ต้องมานั่งเรียนความรู้ใหม่ๆกัน
    ทีนี้พวกเราก็ดีใจกันยกใหญ่
    แข่งกันเรียนกันแทบเป็นแทบตายอีกแล้ว
    ต่อไปนี้ หลัง ปี 2012 ความรู้ที่เรียนๆกันมาใช้กันไม่ได้อีกแล้วครับ
    จะมีวิชาฟิสิกส์สมัยใหม่
    ชีววิทยาสมัยใหม่
    เคมีสมัยใหม่
    เลขคณิตสมัยใหม่
    ทุกๆวิชาจะเป้นแบบมีวิชาจิตวิญญาณเข้าผสม
    เรียกว่า ควอนตั้มจิตวิญญาณ
    ที่เมืองฝรั่งเขาเรียนกันนานแล้ว แอบเรียนกัน

    ขนาดควอนตั้มฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์ออกมาเผยแพร่
    ก็มีคนจำนวนน้อยจะเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิญญาณ นี้ขนาด
    นักวิทยาศาตร์ออกมายอมรับเรื่อง พลังจิตกันแล้วนะ
    แต่มีน้อยคนจะเข้าใจกัน

    ความรู้เก่าๆก็หมดไป ล้าหลัง ที่เรียนๆกันมาก็ใช้ไม่ได้
    ต้องตามล่ากันอีกกับความรู้สมัยใหม่ๆ
    แล้วฝรั่งเขาเอามาจากไหนกันล่ะครับ ก็มาจากภายในเขานั้นแหละ
    แล้วฝรั่งขาคือใคร เขาก็คือจิตวิญญาณอย่างเช่นพวกเราๆทุกๆคน
    เพียงแต่รูปร่างอาจต่างจากพวกเราเท่านั้น
    คำถามคือทำไมพวกเราไม่ยอมหาความรู้จากภายในกันเองล่ะครับ
    อืม คนฟังเงียบ !!!

    ความรู้จริงๆมาจาก ความว่างเปล่า
    แล้ว ขยายต่อยอดแต่ละความรู้ไปเรื่อยๆ สลับซับซ้อน
    นี้แหละ เป็นการละเล่นของ มนุษย์
    ไม่มีอะไรผิดหรือถูก แต่ทุกๆอย่าง เป็นทางเลือก

    ความรู้ที่ผมให้ไว้เรื่องความว่างเปล่า
    หากพวกเราฉลาดพอ สามารถนำไปสู่นิพพานก็ได้
    หรือ หากไม่ต้องการเข้านิพพาน อยากเป็นผู้สร้างก็ได้
    ใครป่วยโรคอะไรก็สามารถรักษาหายหมด
    ใครไม่มีเงินแต่อยากรวย หรือ ทำธุรกิจ เอาไปใช้ได้หมด
    หรือว่าเอาไปหาความรู้ หรือ ไอเดียการสร้างสรรค์สิ่งๆใหม่ๆ
    เอาไปทำได้หมด
    ไม่มีจบไม่มีสิ้นไม่มีขอบเขต
    หากว่าเข้าใจสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า
    ความว่างเปล่า หรือ ความไม่มีอะไรเลย
    แต่ในความว่างเปล่าแฝงด้วยศักยภาพอย่างนับไม่ถ้วน

    ลองเรียนรู้กับธรรมชาติสิครับ
    ธรรมชาติสอนเรื่องความว่างเปล่าและจักรวาล ได้ดีที่สุด !!!
     
  8. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    16 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    ภาคสี่

    โอ้มาย ก็อด!!!
    ผมร่ายเสียยาวเลย ยังไม่ได้ตอบคำถามที่ได้ถามกันเลย (หัวเราะ
    ผมให้ทายกันนะครับว่า ผมอายุเท่าไหร่แล้ว
    ยี่สิบกลางๆ
    สามสิบต้นๆ

    ผมเกือบจะห้าสิบปีแล้วครับ (หัวเราะกันยกใหญ่)
    (ดูเหมือนเด็กลูกครึ่งไทยเลยครับ หล่อด้วยครับ )
    ผมดูเหมือนคุรุแห่งจิตวิญญาณที่พวกคุณจินตนาการไหม
    ไม่เลย !!! ( หัวเราะ )
    ผมไม่ใช่คุรุแห่งจิตวิญญาณ แต่นิสัยผมอาจดูจริงจังแบบนั้น (หัวเราะ)
    ส่วนใหญ่ คนทั่วไป
    จะหวังว่าคุรุแห่งจิตวิญญาณต้องห่มขาว นุ่งขาว แก่ๆ
    วันๆไม่ต้องทำอะไร
    ได้แต่นั่งสมาธิ แล้ว ยิ้มแฉ่ง มีความสงบและสงบ (หัวเราะ)

    นั้นเปล่าเลยครับ !!
    นั้นคือสิ่งที่พวกคุณต้องการ
    หากพวกเราจินตนาการเป้นแบบนั้น
    พวกเราทุกคนไม่สามารถรู้แจ้งกันเลยครับ
    ไม่มีใครสามารถทำกันได้ครับ
    ทุกๆคนคาดหวังกันไว้ แต่ไม่มีใครทำได้
    รู้ไหมว่าเพราะอะไรกัน ???

    ทำไมไม่เป็นตัวของตัวเอง
    ทำไมไปเลียนแบบพระพุทธเจ้า หรือ พระแม่กวนอิม
    ทำไมไม่เลียนแบบตัวของพวกคุณเอง
    แบบสไตลย์ของพวกคุณเอง เป็นธรรมชาติง่ายๆ
    ไม่เหมาะกว่าหรือ ชอบแบบไหนก็เป็นแบบนั้น ไม่โล่งใจกว่าหรือ

    พระพุทธเจ้าก็เป็นแบบพระพุทธเจ้า
    พระเยซูก็เป็นแบบพระเยซู
    พระรามก็เป็นแบบพระราม
    พระศรีอาริย์ก็เป็นแบบพระศรีอาริย์
    ทุกๆองค์ที่ตรัสรู้กันแล้วก็
    มีสไตลย์ และ นิสัยใจคอ และความคิดต่างๆกัน
    ทำให้จักรวาลมีสีสัน (หัวเราะ)

    ย้อนกลับมาที่คำถามเดิม เดียวผมไปไกลเรื่อยอีก (หัวเราะ)
    แต่ไม่ต้องกลัวผมโฟกัสเก่ง ผมไม่เคยลืมว่าถามอะไร
    ผมรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไร (หัวเราะ)

    ผมได้เขียนบอกไปแล้วว่า พวกเราเกิดมาเพราะ ความว่างเปล่าต้องการรู้จักตัวมันเอง
    ต้องการหาประสบการณ์ตัวมันเอง
    ต้องการเรียนรู้ และรู้จักตัวมันเอง ตัวมันเอง
    ผ่านจิตวิญญาณทุกๆดวง
    พวกเราทุกๆคนคือความว่างเปล่า ในรูปแบบส่วนตัวของจิตวิญญาณ

    พูดง่ายๆว่า
    ทุกๆประสบการณ์ที่พวกเราประสบการณ์
    จักรวาลจะได้รับประสบการณ์จากพวกเราในรูปแบบพลังงาน
    อ๋อ การเป็นคนถูกโกง เป็นอย่างนี้หรือ
    การโมโหคนอื่นเป็นอย่างนี้เองหรือ
    การโกรธเป็นอย่างนี้เองหรือ
    การมีความรักเป็นอย่างนี้เองหรือ
    การเป็นโสเพณี ขายตัว เป็นแบบนี้เองหรือ
    การเป็นคนใจบุญเป็นแบบนี้เองหรือ
    การเป็รโจรลักโขมยเป็นแบบนี้เองหรือ
    การเป็นคนร่ำรวยเป็นแบบนี้เองหรือ
    การเป็นคนถูกหักหลังเป็นแบบนี้เองหรือ
    และอื่นๆมากมาย นับไม่ถ้วน...

    และประสบการณ์นี้แหละที่จักรวาลต้องการ
    ไม่ใช่ตื่นเช้ามา กินข้าว กินเสร็จ ทำงาน มีเซ็กส์ เข้านอน
    วันหยุด ไปเที่ยว แล้วไปค็อฟฟี่ช้อปนั่งนินทา แล้ว นอน
    แล้ววนเวียน จนแก่ตาย แล้วจบ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย
    สิ่งนี้เป็นของสังคมที่ยังไม่รู้แจ้ง หรือ ยังนอนหลับไหลอยู่

    จักรวาลเป็นจิตสำนึก
    แห่งไม่มีขีดจำกัด และ มีความเป็นไปได้ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น
    ต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ ไอเดียใหม่ๆ
    เพื่อจักรวาลได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ
    และนี้ แหละครับ
    สังคมที่มีการรู้แจ้งกันแล้ว
    พวกเขา นำความรู้ใหม่ๆ ไอเดียใหม่ๆ
    ออกมาจากจักรวาล และประสบการณ์
    ทำให้ทุกๆวันในชีวิตของพวกเขา ตื่นเต้น!!!
    ที่จะได้ประสบการณ์สิ่งใหม่ๆ
    ทำให้ร่างกายของพวกเขากระชุ่มกระชวย
    มีกำลังวังชา เหมือนเด็กๆที่กำลังรอของขวัญจากพ่อแม่
    ร่างกานพวกเขาเลยยังหนุ่ม สาว
    ได้เวลายายวนาน กี่พันๆๆๆปีก็ไม่ที่สิ้นสุด
    เพราะทุกๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    ไม่มีการเบื่อกันเลยก็ว่าได้
    เมื่อก่อนผมคิดว่าหลังจากที่ตรัสรู้แล้ว ทุกอย่างจบเหมือนกัน
    ผมก็มีความสุขนั่งยิ้มแฉ่งตลอดกาลที่ไหนสักแห่ง (หัวเราะ)
    แต่หาใช่เลย
    ขนาดพระพุทธเจ้ายังเล่นบทบาทเป็นพระเจ้าแห่งโลกเลย
    พระเยซูยังวิวัฒนาการกันต่อไป
    พระรามยังเป็นครูสอนให้แก่โลกมนุษย์ และจักรวาลอื่นๆ
    และสร้างจักรวาลอื่นๆ

    ในรูปแบบที่ต่างจากโลกมนุษย์
    มีอื่นๆมากมายครับ ไม่ใช่หลังตรัสรู้แล้ว ทุกอย่างจบ !!!

    จักรวาลไม่เคยจบไม่เคยสิ้น
    แต่ ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว
    รู้วิธีการอยู่ปัจจุบัน ชั่วขณะ ที่นี้ เดี่ยวนี้ ตลอดกาลและตลอดไป

    แล้วพวกเราจะรีบเบื่อ หรือ จะรีบไปไหนกันล่ะครับ
    ใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ ตอนนี้ เดี่ยวนี้ ตลอดกาลและตลอดไป ไม่ดีกว่าหรือ
    E T E R N I T Y !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
     
  9. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    17 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก
    โอ้ มายก็อด คุณอวตารบอย
    ตีปัญหาเรื่องศาสนา
    เรื่องการเมือง
    เรื่องการศึกษา
    เรื่องเศรษฐกิจ
    เรื่องสังคม
    เรื่องเซ็กส์
    เรื่องจักรวาล
    แตกดังโพละ เลยครับ แบบทะลุปรุโปร่งเลย

    อวตารบอย
    โอ้ มายบุดดาห์
    มีความรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ ???หลังจากที่ที่ผมตอบและให้ความรู้ต่างๆหลายชั่วโมงที่ผ่านมา

    สมาชิก
    รู้สึกโล่งอกสิครับ ตื่นเต้น แบบเป็นอิสระและบินได้ไปทั่วเลยครับ (หัวเราะ)
    จิตวิญญาณผมขยายใหญ่ขึ้น มีมุมมองกว้างขึ้น

    อวตารบอย
    แล้วความรู้สึกเมื่อก่อนล่ะครับ ???

    สมาชิก
    เป็นแบบอยู่ในที่แคบๆ อยู่ภายใต้แรงกดดัน ต้องอยู่ในกฎเกนณ์
    มีความกลัว รู้สึกผิด

    อวตารบอย
    แล้วไม่ดีหรือครับ
    หากธรรมชาติของจักรวาลเป็นอย่างที่ผมได้อธิบายไป

    สมาชิก
    ดีสิครับ มันโล่ง โปร่ง สบาย ไร้ขีดจำกัด สุขสุดๆสิครับ
    อยากมีชีวิตแบบนี้อีกหลายปีเลย (หัวเราะ)

    อวตารบอย
    อืม คุณพูดเองนะครับ จำคำพูดคุณเองไว้นะครับ
    นั้นแหละ
    คำตอบที่พวกเราวิ่งตามหากัน
    ผลแห่งการรู้แจ้ง แดงแจ๋ (หัวเราะ)
    จดจำความรู้สึกนี้กันไว้
    ชีวิตจริงๆในโลกแห่งผู้ตื่นแล้ว ก็เป็นแบบนี้แหละครับ

    ทุกๆอย่างคือการเล่น และทางเลือกครับ
    แล้วแต่จะเลือกเล่นทางไหนกัน
    ทำไมไม่เลือกทางตรงและ
    หัวเราะมีความสุขกับจักรวาลตลอดกาลไปเลยล่ะครับ (หัวเราะกันใหญ๋เลย)

    มาจบกันด้วยการทำมหาสมาธิ HA HA HA
    ด้วยการหัวเราะอย่างยิ่งใหญ่กันเถอะ

    ผมขอจบแค่นี้นะครับ
    แล้วเจอกันอีก สามปีข้างหน้า แล้วแต่โอกาสจะอำนวย
    สิ่งที่ผมสอนฝึกปฎิบัติ และนำไปใช้กัน
    เปลี่ยนทฤษฎีให้เป็นความจริง และประสบการณ์ตรง

    โชคดีครับ สวัสดีครับ
    มีความสุขกันทุกๆคน ตลอดกาลและตลอดไป เลยนะครับ

    ไม่ได้พูดไทยมานาน
    มาเจอกลุ่มพวกคุณ
    ผมได้ฝึกไทยเยอะเลย ผมต้องมาฝึกบ่อยๆนะ
    (หัวเราะอย่างยาวนาน...ตลอดกาลและตลอดไป HA HA HA)
     
  10. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    [​IMG]
     
  11. MASTERCLASS

    MASTERCLASS Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +45
    ขอบคุณ คุณDorado ที่เอามาลงกันเกือบหมด

    ปล่อยเธอไปเถอะครับ เธอคนนั้น ในกลุ่มสมาชิกรู้กันมานานแล้ว
    เธองอนและโกรธแค้นพี่อวตารบอย เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
    พี่อวตารบอยไม่อนุญาติให้เธอแปลหนังสือ
    " ความลับของโรงเรียนโบราณ" และทำขาย
    เธอคนนั้นเลยขาดรายได้เลี้ยงชีวิต รวมกลุ่มกับคนอื่นๆในอดีต
    พยายามทำลายพี่อตารบอย ทุกวิถีทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม
    ใช้มารยาของผู้หญิง ตาม ปั่นป่วน กวนใจมานาน
    แอบมาอ่านในแฟสบุ๊ค แอบมาอ่านในเวปพลังจิต
    แอบส่งอีเมลย์ส่วนตัวปลอมมากวนตลอดเวลา
    แต่ลึกๆแล้วเธอชอบความรู้ของพี่อวตารบอยมาก แต่เข้าไม่ถึง
    เธอพยายามเรียกร้องความรัก ความสนใจ
    ความต้องการ ความสงสาร จากภายนอกตลอดเวลา

    กลุ่มสมาชิก "IMMORTAL THAILAND" ได้ส่งความรัก
    ให้แก่เธอผู้นั้น เผื่อเธอมีความสุขสงบใจในชีวิตบ้าง

    เสียดายพื้นที่ดีๆ ความรู้ดีๆ บรรยากาศดีๆในห้อง
    ต้องมาให้ความสนใจ ความต้องการของเธอผู้นั้นเพียงคนเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2012
  12. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    18 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก
    ผมอยากถามว่าพวกเราควรรักพระเจ้าอย่างไรครับ
    พวกผมไม่เข้าใจเรื่องนี้เท่าไหร่
    เติบโตมาไม่เคยถูกสอนเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า

    อวตารบอย
    อ่า ดีใจด้วยครับที่พวกเราไม่เคยถูกสอนเรื่องพระเจ้ากันมาก่อน แสดงว่ายังไม่ได้ถูกล้างสมองจากความเชื่อของสังคมโลกเหมือนมนุษย์ทั่วๆไป (หัวเราะ)
    ก่อนที่พวกเราสามารถรักและเข้าใจพระเจ้าได้
    พวกเราต้องรักและเข้าใจตัวของพวกเราเองกันก่อนครับ

    เคยได้ยินคำกรีกโบราณไหมที่เขียนว่า
    เมื่อพวกเรารู้จักตัวเราเอง เมื่อนั้นพวกเรารู้จักพระเจ้าและ จักรวาล
    "when you know thyself, you know god and universe"

    (เงียบไปนาน)
    อืมไม่เคยได้ยินกันใช่ไหม ??? (หัวเราะ)
    งั้นไม่เป็นไร นั้นเป็นข้อเขียน
    คำคมของยุคกรีกโบราณที่ได้สอนแก่มนุษย์โลกในสมัยนั้น

    เอาอย่างนี้ก็แล้วกันแบบง่ายๆและใกล้ตัวกันเลย
    พวกเราทุกๆคนไม่สามารถรักพระเจ้า จักรวาล และคนอื่นๆได้เลย
    หากพวกเราไม่มีความสุขในจิตใจ
    คิดดูสิครับ
    หากชีวิตความเป็นอยู่ ของพวกเราต้องดิ้นรน ขวนขวาย หาเช้ากินค่ำ
    หรือไม่มีจะกิน มีหนี้สินรุงรัง มีปัญหาชีวิตมากมาย
    ลึกๆแล้วพวกเราไม่มีความสุข และสงบ และอารมณ์ไม่ดีเลย
    ใช่ไหมครับ ???
    ผมอยากถามว่า
    พวกเราสามารถรักพระเจ้า รักจักรวาล รักคนอื่นๆได้จริงแท้หรือครับ
    รักแบบหมดหัวใจเลยนะ !!!
    เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ
    ไม่มีเงิน ไม่มีอาหารกิน ท้องร้องแทบแย่ ปัญหาโน้น ปัญหานี้
    จะเอาอารมณ์ไหน จะเอาเวลาไหนมารักพระเจ้า หรือ คนอื่นๆได้ล่ะ
    หากทำได้ ต้องแสเสร้งทำกันแล้ว ทำเพื่อพระเจ้า (หัวเราะดังลั่น)
    ดังนั้นมันเป็นการยากที่จะรัก และเข้าใจพระเจ้า จักรวาล
    และคนอื่น และ สิ่งอื่นภายนอกได้

    ทีนี้พวกเราทุกๆคนได้ฟังคำตอบผมมามากแล้ว
    น่าจะเดาออกว่าผมอยากบอกพวกเราทุกคนว่าอะไร
    ใช่แล้วครับ ภายใน แล้วอะไรอยู่ภายในเรา ก็ใจเรานั้นไงครับ
    พวกเราต้องรัก ต้องเข้าใจ ต้องมีความสุข กับตัวพวกเราเองกันก่อน
    ต้องมาจากภายในก่อน
    ต้องเห็นแก่ตัวก่อน ตามที่สังคมได้ว่ากันไว้
    นั้นแหละครับ

    แต่พวกเราต้องการเป็นที่รัก ให้สังคมยอมรับ
    และเป็นคนดีของสังคม
    พวกเราเลยไม่ยอมเห็นแก่ตัวกัน (หัวเราะ
    พยายามที่จะหนีตัวพวกเราเองและเอาใจหาสิ่งอื่นภายนอก
    มาแทนที่ ในขณะที่ภายในใจของพวกเราว่าง ไม่อิ่ม ไม่สุข

    ผมอยากเขียนคำคมนี้เสียใหม่
    "ความเห็นแก่ตัวและความรักตัวเอง เป็นบ่อเกิดแห่งการรู้แจ้ง"
    (หัวเราะดังกันดังลั่น)

    เมื่อไหร่พวกเรารักและเข้าใจตัวพวกเราเอง
    เมื่อไหร่พวกเราสามารถยอมรับ สิ่งดี และไม่ดี ของพวกเราเอง
    เมื่อไหร่พวกเราสามารถเข้าใจ สิ่งที่พวกเราได้ทำชั่ว หรือ ผิดพลาดในอดีต
    เมื่อไหร่พวกเราเลิกตัดสินพิพากษา
    เลิกดุด่าตัวเราเอง และ ยอมรับและเข้าใจ ความชั่วที่พวกเรามี ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่...

    "อืม ผมก็เป็นอย่างนั้นเอง... ฉันก็เป็นอย่างนั้นเอง..."
    มองดูตัวเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง
    โดยไม่ตัดสินว่าถูก หรือ ผิด ดี หรือ ชั่ว
    หากพวกเราทำกันได้พวกเราจะเข้าใจ และ ยอมรับตัวของพวกเราเอง
    "เออ มันก็เป็นเช่นนั้นเองแล..."
    แล้วอะไรจะเกิดขึ้นภายในจิตใจของพวกเราล่ะครับ
    ความสงบ ใช่ไหมครับ ???
    แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อ... ความสุข ใช่ไหม ???

    ทุกๆครั้งที่มีความสงบ ในใจ ความสุขลึกๆก็จะตามมา
    เมื่อความสุขลึกๆเกิดขึ้นในหัวใจ ความรัก ก็ตามมาโดยไม่รู้ตัว !
    นี้แหละจุดเริ่มต้นแห่งความเข้าใจ และ ยอมรับ และ ความรัก ในตัวพวกเราเอง !!!

    หากพวกเราไม่สามารถเข้าใจ และ ยอมรับ ตัวพวกเราเองได้
    เกี่ยวกับ ความชั่วของพวกเราเอง
    ผมไม่แคร์ และไม่สนใจว่า
    ความชั่วของพวกคุณจะเล็ก น้อยใหญ่ มากเพียงใดเลยนะ
    ไม่ว่าพวกคุณจะเคยเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายที่ไปถล่ม เวิร์ดเทรด
    แล้วมีคนตายนับไม่ถ้วน หลายปีที่แล้วก็ตามนะ (หัวเราะกันใหญ่)
    ทุกๆความชั่ว ความไม่ดี ความผิดต่างๆ ที่ผมกำลังพูดถึง
    ไม่มีใครเปอร์แฟค สมบูรณ์พร้อม 100 เปอร์เซ็นต์หรอกครับ

    หากพวกเราสามารถเข้าใจตัวพวกเราเอง และ ยอมรับมันได้
    ว่าตัวเราเองเป็นเช่นนั้น
    ด้วยความเข้าใจจากภายในของตัวเราเอง
    การยอมรับตัวเราเองว่าเป็นเช่นนั้น
    การให้อภัยตัวเราเองก็ตามมาอย่างง่ายดาย
    ความสงบ และสุขจะเกิดขึ้นในใจเราโดยธรรมชาติของตัวมันเอง

    แต่หากเมื่อไหร่พวกเราไม่สามารถเข้าใจ
    และยอมรับความชั่ว หรือความไม่ดี ต่างๆของพวกเราเอง
    หรือต้องการหนี
    พวกเราก็ดุด่าตัวเอง
    โกรธโมโหตัวเอง
    พิพากษาตัวเราเอง
    แล้วอะไรจะเกิดขึ้นในหัวใจภายในของพวกเรากันล่ะครับ ???
    กระวนกระวายใจ ใช่ไหม
    ความรู้สึกผิด รู้สึกไม่ดี ใช่ไหม
    ความโกรธ และเกลียดชังตัวเอง ใช่ไหม
    ความไม่สบายใจ ไม่สงบ ไม่เป็นสุข ใช่ไหม
    นี้แหละ ที่เรียกว่านรกเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเรากันแล้ว

    เมื่อพวกเราไม่ยอมเข้าใจตัวพวกเราเอง
    ไม่ยอมรับตัวพวกเราเอง
    ไม่อภัยแก่ตัวพวกเราเอง
    พวกเราก็ไม่สามารถสุขสงบได้
    และแน่นอนความรักก็ไม่สามารถเกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา
    ส่วนเรื่องการรักคนอื่น รักพระเจ้า ไม่ต้องพูดถึงกันเลย

    ทีนี้ผมถามพวกเราว่าพวกเราสามารถรักคนอื่น
    รักพระเจ้า รักจักรวาลได้แท้จริง จนหมดหัวใจได้หรือ
    แน่นอนครับเป็นไปไม่ได้ครับ

    ทำไมล่ะครับ ???

    มาครับ ฟังกันให้ดีๆตอนนี้ ผมจะบอกอะไรให้ฟัง
    ในโลกมายาที่พวกเราอยู่นี้
    ทุกๆครั้งที่พวกเราเห็นคนอื่นๆ สิ่งอื่นๆ จากภายนอก
    สิ่งที่เราเห็น ไม่ใช่คนอื่น หรือ สิ่งอื่น แต่สิ่งที่เราเห็น คือ
    "พวกเราเห็นตัวพวกเราเองในตัวคนอื่น"
    เข้าใจกันไหมครับ ???

    "พวกเราเห็นตัวพวกเราเองในตัวคนอื่น"
    "พวกเราเห็นตัวพวกเราเองในตัวคนอื่น"
    "พวกเราเห็นตัวพวกเราเองในตัวคนอื่น"

    พวกเราไม่สามารถเห็นคนอื่น
    และเข้าใจคนอื่นว่าทำไมเขาทำ พูด สิ่งต่างๆเป็นเช่นนั้น
    พวกเราไม่สามารถเห็น
    และเข้าใจว่าคนอื่นภายนอกเขามีประสบการร์ในอดีตผ่านมาเป็นเช่นไร
    และทำไม และอะไรเป็นสาเหตุแห่งการจูงใจให้พวกเขาทำเช่นนั้น
    หรือเป็นเช่นนั้น ???
    พวกเราไม่สามารถเข้าใจได้
    จริงๆแล้ว สิ่งที่พวกเราเห็นในตัวคนอื่น คือ
    "การเห็น ตัวพวกเราเอง ในตัวคนอื่น"
    ชัดขึ้นไหมครับ ???

    สิ่งที่พวกเราชอบและรักคนอื่น
    ก็เพราะว่า พวกเราชอบและรักในตัวเราเอง
    พวกเราเลยเห็นตัวเราเองในคนอื่น
    พวกเราเลยรักและชอบพวกเขา

    สิ่งที่พวกเราไม่รักและไม่ชอบคนอื่น
    ก็เพราะว่าพวกเราไม่สามารถรักและยอมรับและไม่ชอบในตัวพวกเราเอง
    พวกเราเลยเห็นตัวเราเองในคนอื่น พวกเราเลยไม่รักและไม่ชอบพวกเขา

    กระจ่างไม่ครับ???
    สว่างขึ้นมาไหมครับ???
    รู้แจ้งกันแล้วหรือยังครับ???

    ยังไม่จบ เดี่ยวมาต่อภาคสอง...
     
  13. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    18 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    ภาคสอง

    นั้นมันหมายถึงอะไรล่ะครับ ???
    นั้นหมายถึงว่า...
    จริงๆแล้วไม่มีใครอื่นๆในโลกและจักรวาลใบนี้ นอกจากตัวเราเอง

    สิ่งที่พวกเรารักและชอบคนอื่น
    เพราะพวกเรารักและชอบตัวพวกเราเอง
    สิ่งที่พวกเราไม่รักและเกลียดคนอื่น
    เพราะพวกเราไม่รักและเกลียดตัวพวกเราเอง

    พวกเราจริงๆแล้ว
    ไม่เคยรัก หรือ ชอบ หรือเกลียดคนอื่น หรือสิ่งอื่นภายนอกกันเลย
    พวกเราจริงๆแล้วรัก ชอบ หรือ เกลียด พวกเรากันเอง
    ทุกๆอย่างมาจากภายในใจเรานั้นเอง ทางแก้ก็มาจากภายในใจเรา

    ทีนี้เริ่มเห็นกันชัดแล้วยังครับ
    ทุกๆอย่างมาจากภายในใจเรานั้นเอง

    นั้นไง
    การที่พวกเราสามารถรักพระเจ้าได้แบบหมดหัวจิตหัวใจ
    พวกเราต้องรักตัวพวกเราเองก่อนด้วยความจริงใจ
    เมื่อพวกเราสามารถรักตัวพวกเราเองจากภายในแล้ว
    เรื่องรักคนอื่นภายนอกไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป อีกเลย

    พระเจ้าจริงๆไม่ได้มานั่งตัดสินพิพากษา ถูก ผิด ชอบชั่วดี
    อย่างที่มุมมองมนุษย์คิดๆกัน
    ไม่งั้นพระเจ้าคงหัวหมุนบ้าตาย
    กับการกระทำของมนุษย์หลายยุคหลายสมัยแน่ๆเลยๆ (หัวเราะกันดังลั่น
    พระเจ้า และ จักรวาล ฉลาดมากว่ามนุษย์หลายเท่านะครับ
    (หัวเราะกันดังลั่นอีกแล้ว)
    เพราะคนดีจริงๆ แบบบริสุทธิ์ผุดผ่อง หายากมากครับ
    แต่จริงๆแล้วไม่มีกันเลยก็ว่าได้ (หัวเราะกันดังลั่นแบบสุดๆ)

    นั้นคือเหตุผลหนึ่งว่าทำไม
    พวกเราต้องรักตัวเองก่อน และเหตุผลอื่นคือ
    พระเจ้าคือตัวพวกเราเองครับ
    พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า
    พวกเราคือความว่างเปล่า
    ที่ถูกสร้างมาด้วยความรักให้เป็นจิตวิญญาณเฉพาะตัว
    สิ่งที่พวกเราคิด สิ่งที่พวกเราทำ
    ไม่ว่าพวกเราตัดสินว่าดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด พระเจ้าก็ทำและคิดกับพวกเราไปด้วย
    เพราะพวกเราคือส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของพระเจ้า
    และแยกกันไม่ออกกันเลย

    และก็พระเจ้าไม่สามารถตัดสิน
    หรือมีอีโก้แบบมนุษย์มาตัดสินว่าสิ่งที่มนุษย์ทำกันนั้น
    ที่คิดกันนั้นถูกหรือผิด ชั่วหรือดี
    ในมุมมองของพระเจ้าทุกๆอย่างมันเป็นเช่นนั้นเอง
    เพราะๆทุกๆอย่างคือพระเจ้า
    ไม่ว่าสิ่งที่พวกเราคิดว่า ดีหรือถูก ชั่วหรือเลว
    สวยหรือน่าเกลียด เก่งหรือโง่ ธรรมดา หรือ ปรกติ
    ในมุมมองของพระเจ้า
    พระเจ้าเห็นตัวพระเจ้าเอง ว่าเป็นอย่างนั้น เช่นนั้นเอง
    มุมมองแบบบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา
    และตัวพระเจ้าไม่สามารถแบ่งแยก ออกมาได้
    เพราะทุกๆอย่างคือตัวมันเอง
    และหากเราบอกว่า สิ่งนี้ดี พวกเราอาจพูดว่า
    พระเจ้า เป็นสิ่งดี
    หรือบางทีพวกเราอาจบอกว่า
    สิ่งนี้ไม่ดี แสดงว่าพระเจ้าไม่ดี
    พระเจ้าไม่ใช่สิ่งดี หรือชั่ว
    พระเจ้าเป็นอยู่อย่างนั้นเอง ไงล่ะครับ!!!

    และเหตุผลอื่นคือสิ่งที่เราคิดและทำ
    เพื่อการหาประสบการณ์ในชีวิตแบบมนุษย์
    พวกเราเป็นจิตวิญญาณมาหาประสบการณ์ของมนุษย์
    พวกเราไม่ใช่มนุษย์มาหาประสบการณ์ทางด้านจิตวิญญาณ
    พวกเราเป็นจิตวิญญาณกันอยู่แล้ว ไงครับ
    เมื่อพวกเราสามารถเข้าใจจุดนี้ได้แล้ว
    แลัยอมรับและเข้าใจตัวพวกเราเอง
    พวกเราสามารถให้อภัยตัวเราเอง
    สิ่งที่พวกเราทำผิดพลาด หรือ สิ่งไม่ดี หรือสิ่งที่ชั่ว
    ก็เป็นประสบการร์สอนใจพวกเรา และถูกเก็บไว้
    บันทึกไว้ในจิตวิญญาณของพวกเราเอง
    และเมื่อนั้นพวกเราก็จะไม่ทำสิ่งไม่ดีนั้นอีกต่อไป
    เพราะพวกเรามีประสบการณ์สิ่งนั้นเรียบร้อยแล้ว
    แต่หากพวกเรายังรู้สึกผิด รู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่พวกเราเคยทำในอดีต
    พวกเราก็จะยังไม่เรียนรู้บทเรียนนี้
    พวกเราก็ไม่สามารถรักพระเจ้า และเข้าใจพระเจ้าเลย
    เพราะพวกเราไม่สามารถรักและยอมรับ และเข้าใจในตัวของพวกเราเอง

    ผมร่ายเสียยาวเลยนะ คำถามนี้
    คำถามนี้สุดยอด หากใครฟังกันให้ดี
    สามารถรู้ความลับแห่งการรู้แจ้งกันเลยครับ

    ผู้ที่ตรัสรู้กันแล้ว
    พวกเขาก็ไม่ได้ 100 เปอร์แฟคมากกว่าคนอื่นๆ
    เพียงแต่พอมาถึงจุดหนึ่งในชีวิตพวกเขา
    พวกเขาสามารถเข้าใจและยอมรับและรักตัวของเขาเอง
    พวกเขาก็เลยสามารถรู้แจ้งกันได้
    หากพวกเขาไม่สามารถรักและเข้าใจตัวเองแล้ว
    จะรู้แจ้งตัวเองกันได้ยังไงล่ะครับ ใช่ไหมครับ (หัวเราะดังลั่นเลย)

    (มีต่อภาคสาม)
     
  14. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    18 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    ภาคสาม

    เมื่อความเข้าใจ การยอมรับ และ รักตัวเราเองบังเกิดขึ้น จากขั้วหัวใจอย่างแท้จริง
    พวกเรารักพระเจ้าแล้วครับ
    เพราะตัวเราเองคือส่วนหนึ่งของพระเจ้า
    เมื่อพวกเรารักพระเจ้าในตัวพวกเราเอง
    ความสุขลึกๆๆและความสงบก็บังเกิดขึ้นในหัวใจเรา
    ความรู้สึกนั้นจะแผ่ขยายไปสู่ภายนอก
    เพราะสิ่งที่พวกเราเห้นนั้นคือพวกเราเห็นตัวพวกเราเอง
    หากพวกเราสามารถรักตัวพวกเราเองจากภายในได้แล้ว
    สิ่งที่พวกเราเห็นตัวพวกเราเอง
    จากคนอื่นๆ จากสิ่งอื่นๆ จากจักรวาลนอกตัว พวกเราก็รักได้หมด
    เพราะอย่างอื่นที่พวกเห็นกันคือพวกเราเอง นั้นเอง !!!

    เมื่อความรักแท้บังเกิดขึ้นในหัวใจ มันเป็นการง่ายมากที่จะรัก
    ดวงอาทิตย์ ต้นไม้ ผู้คน ดวงดาว จักรวาล มนุษย์ต่างดาว
    และสิ่งสร้างสรรค์ของพระเจ้าทุกๆอย่าง
    เมื่อนั้น ความสุข รื่นเริงบันเทิงใจเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเรา
    นั้นแหละสภาวะเดียวกันกับ ที่เรียกว่า "สภาวะแห่งการเป็นพระเจ้า"

    มุมมองของพวกเราจะเป็นแบบพระเจ้า และรู้สึกแบบพระเจ้า
    ยิ่งพวกเรามีความสุขลึกๆมากเท่าไหร่
    เมื่อพวกเราอยู่ในห้วงกระแสสภาวะนี้มากเท่าไหร่
    มันเป็นการยากที่พวกเราจะ
    เกลียด หรือ อิจฉา หรือ โกรธ หรือ ทำร้าย หรือ ทำสงครามกับคนอื่นๆ
    เพราะคนอื่นๆ สิ่งอื่นๆ ที่พวกเราเห็นคือตัวพวกเราเอง

    เมื่อพวกเราอยู่ในกระแสแห่งความรักความสุข สนุกสนานร่าเริง
    พวกเราจะรักและเห็นทุกๆสิ่งทุกๆอย่างเป็นพระเจ้าไปหมด

    และพวกเราเริ่มหลงรักพระเจ้า และจักรวาลเข้าแล้ว
    พวกเราไม่ได้รักพระเจ้าเพราะพวกเราอยากขึ้นสวรรค์ หรือ
    หนังสือตำรานั้น ตำรานี้บอกกันเอาไว้
    แต่พวกเราเริ่มเข้าใจธรรมชาติของพระเจ้า
    พวกเราเลยหลงรักพระเจ้า รักตัวเราเอง และคนอื่นๆ และสิ่งภายนอกโดยไม่รู้ตัว

    ในสภาวะแห่งอารมณ์ของความรักนี้แหละครับ
    เป็นสภาวะอารมณ์ของพระเจ้า
    ทุกๆอย่างช่างงดงามไปเสียหมด
    ในสภาวะเช่นนี้แหละ
    สิ่งที่พวกเราต้องการทุกๆอย่างจะรีบวิ่งมาหาพวกเรา
    อย่างโดยมหัศจรรย์ใจ
    เป็นสภาวะแห่งความมหัศจรรย์

    ความรู้หรือไอเดียต่างๆจะวิ่งสู่กระแสมาแก่พวกเรา
    พวกเราอยู่ในกระแสแห่งความรื่นรมย์
    ทุกๆอย่างน่ารื่นรมย์ ทุกอย่างที่พวกเราเห็นจะเข้มข้นขึ้น
    ช่างสวยงามตระการตายิ่งนัก น่าพึงพอใจยิ่งนัก
    เมื่อพวกเราอยู่ในสภาวะนี้
    พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง

    โอ้พระจ้า !!!
    ในสภาวะนี้แหละพวกเราจะเจอสววรค์ในอุดมคติ
    ที่พวกเราใฝ่ฝันกันมานาน...
    สวรรค์โลกมิติที่ 5 กันไงล่ะครับ
     
  15. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    ต้อนรับสู่ โลกมิติที่ 5

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 พฤศจิกายน 2012
  16. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 พฤศจิกายน 2012
  17. Vking

    Vking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2011
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +1,555
    คุณ Dorado คะ... ภาพต้อนรับสู่โลกมิติที่ 5
    ช่างน่าประทับใจจริง ๆ

    รู้สึกพิศวง เหมือนมีความหมาย
    พอจะอธิบายได้บ้างมั๊ยคะ ... ในภาพนี้ ... ขอบคุณค่ะ
     
  18. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    พี่อวตารบอย ได้เคยอธิบายให้พวกเราฟังกันว่า

    โลกมิติที่ 5 คือ...
    โลกแห่งความรัก ความสุข ความสงบ
    มาจากจิตวิญญาณส่วนลึกภายใน
    แผ่ขยายมาสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก
     
  19. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    20 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก :
    พอมาฟังคุณอวตารบอย ขยายความเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
    พวกผมสามารถเข้าใจได้มากขึ้นกว่าก่อนมาก
    การอ่านหนังสือ ความลับของโรงเรียนโบราณอย่างเดียว
    บางครั้งก็เข้าใจระดับหนึ่ง
    แต่พอมาฟังการชี้แนะเพิ่มเติม
    รู้สึกว่าเริ่มมีมุมมองและความเข้าใจลึกซึ้งมากกว่าเดิม
    อวตารบอย :
    คนเขียน คนแปล คนอ่าน จะมีการสื่อและเข้าใจความหมายแตกต่างกัน
    แล้วแต่ระดับปัญญาของแต่ละบุคคลในเวลานั้นๆ เมื่อเวลาผ่านไปพวกเราสามารถเข้าใจได้มากขึ้น
    การสื่อสารยังมีข้อจำกัด ทั้งภาษา วิธีการ และรูปแบบ
    การพูดถึงเรื่องการรู้แจ้ง เรื่องจักรวาล เรื่องพระเจ้า
    จึงเป็นเรื่องยาก และเป็นไปไม่ได้

    ผมพยายามเขียนเพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจจักรวาลและจิตวิญญาณ
    มาจากระดับภายในและใกล้ตัวให้มากที่สุด
    ซึ่งผมรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า ไม่ใช่ทุกๆคนมีความเข้าใจเหมือนกันหมด
    ขนาดตัวผมเองใช้เวลาศึกษาเรื่องพวกนี้มามากกว่า 20 ปี
    อ่านหนัวสืออย่างเดียวไม่สามารถรู้แจ้งได้
    แต่ก็เป็นการเบิกทาง
    จุดประกายไอเดียในสมองในระดับสติปัญญา

    เมื่อตะกี้ยังจำได้ไหม
    ผมอธิบายเรื่องปิระมิด มีฐานต่างๆกัน มี7ฐานได้ไหม
    การเรียนรู้เรื่องทางจิตวิญญาณส่วนใหญ่ที่เราเห็นกัน
    มีมนุษย์ทั่วๆไปสอนกัน หรือ มีการสื่อสารทางจิตกับเทพต่างๆ
    มนุษย์ต่างดาวต่างๆ พระเจ้าต่างมิติต่างๆ
    ส่วนใหญ่อยูในระดับฐานที่ 3ถึง7
    ส่วนใหญ่มุ่งเน้นสอนเรื่อง
    ความรัก
    ทุกๆสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียว
    ความขอบคุณซาบซึ้งใจ
    การสร้างสรรค์
    พลังจิตใต้สำนึกต่างๆ
    เป็นต้น

    เรื่องพวกนี้พวกเราสามารถเห็นได้ทั่วๆไป
    แต่เรื่องที่บอกว่าคุณคือพระเจ้า
    หรือการเป็นพระเจ้าฉันเองนะ มีน้อยมาก ใช่ไหม ???
    ที่กล่าวถึง หรือมีคนมาสอน
    รวมทั้งเรื่องความว่างเปล่าจุดกำเนิดของทุกๆสิ่ง
    ก็มีน้อย หรือมีการพูดถึงกันน้อย

    โลกมิติที่ 5
    ก็ไม่ใช่ว่าทุกๆคนจะวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ
    ในระดับสูงเหมือนกันทุกๆคน
    บางครั้งพวกเรารอความรู้
    รอเทคโนโลยี ต่างๆ
    จากพวกมนุษย์ต่างดาว หรือพระเจ้าต่างมิติต่างๆ

    ในโลกอื่นๆ พระเจ้าอื่นๆก็มีการเล่นกันแตกต่างกันออกไป
    มีกฎและระเบียบแตกต่างกันออกไป
    มีความรู้มากมายเหมือนที่พวกเราเรียนกันตอนเด็กๆกัน
    แล้วมาเลือกเรียนวิชาเฉพาะในมหาลัย แตกสาขาไปมากมาย
    ในระดับจิตวิญญาณ ที่พระเจ้าอื่นๆ มนุษย์จิตวิญญาณอื่นๆก็มีการเล่น
    มีความรู้มากมายนับไม่ถ้วน มากมายจนถึงระดับอินฟินิตี้กันเลย

    แต่สิ่งที่ผมนำมาเสนอให้กลับไปยังจุดเริ่มต้นกันดีกว่า
    จุดเริ่มต้นของทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง
    มันว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีกฎเกนณ์
    นี้แหละจุดที่กำเนิด จักรวาลแห่งมหึมา
    จากความไม่มีอะไรเลย กลายมาเป็นมีทุกๆสิ่ง
    จากความเรียบง่าย กลายมาเป็นความสลับซับซ้อนวุ่นวาย
    จากความไม่มีกฎเกนณ์ กลายมาเป็น ศาสนา ปรัชญา ความเชื่อ ความรู้ต่างๆ

    เมื่อพวกเราเข้าใจความว่างเปล่าเป็นจุดเริ่มต้น
    พวกเราสามารถเข้าใจ และมีมุมมองได้กว้างไกลมากมาย
    แบบ โปร่งโล่ง สบาย ไม่มีขีดจำกัด ไร้ขอบเขต

    พวกเราสามารถเลือกทางเดินแห่งจิตวิญญาณของพวกเราได้กันเอง
    กลุ่มของนักเรียนโบราณจะไม่เลือกเล่นแบบ
    กลุ่มแสงสว่างที่เราเห็นกันทั่วไป

    เป็นคนละกลุ่มกันและการเดินทางทางจิตวิญญาณแตกต่างกัน
    ของโรงเรียนโบราณจะเป็นแบบการเป็น หรือ
    เข้าให้ถึงพระเจ้าฉันเองที่อยู่ภายในเราเอง
    จึงไม่มีการสอนจากมนุษย์ต่างดาว
    หรือมีการเตรียมพร้อมเพื่อสู่โลกมิติที่ 5 หรือโลกยุคใหม่
    เพราะเมื่อนักเรียนโบราณสำเร็จในการเข้าถึงพระเจ้าภายในกันแล้ว
    นักเรียนโบราณไม่ต้องอยู่ภายใต้มิติที่3 หรือ 5 หรือ มิติอื่นๆเลย
    สามารถไปทั่วมิติเป็นอิสระเสรี จากทุกๆมิติ ทุกๆเงื่อนไข

    จักรวาลมีมากมายครับ
    และมีพระเจ้าในแต่ละจักรวาล ในแต่ละมิติ
    และทุกๆดวงจิตวิญญาณก็เล่นหรือมีพันธะสัญญากับพระเจ้า
    ในแต่ละจักรวาล
    ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้ถูกหรือผิดแต่เป็นทางเลือก

    แต่ของพระรามจะเป็นแบบ
    ออกมาจากการเล่นของทุกๆพระเจ้า ของแต่ละจักรวาล
    แล้วมาค้นพบ
    ความว่างเปล่า เป็นพ่อแม่ผู้กำเนิดอย่างแท้จริง
    ความว่างเปล่าเป็นผู้สร้างพระเจ้าในตอนแรก
    แล้วพระเจ้าก็สร้าง จักรวาลและสรรพสิ่งและโลก
    มากมายนับไม่ถ้วน

    จักรวาลและสรรพสิ่งและโลก
    เกิดขึน ตั้งอยู่ ดับไป หลายยุค หลายสมัย
    แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่
    เป็นอมตะ ตลอดกาลและตลอดไปคือ อะไรล่ะครับ ???
    คือความไม่มีอะไร ความว่างเปล่า !!! นั้นเอง !!!


    [​IMG]
     
  20. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    21 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)


    สมาชิก
    1 กลุ่มแสงสว่างแตกต่างจากกลุ่มโรงเรียนโบราณอย่างไร
    ช่วยอธิบายให้ฟังอีกทีครับ
    มีหลายเวปไซต์ของฝรั่งได้พูดถึงสิ่งนี้มากเหลือเกินครับ
    แม้กระทั่งกลุ่มคุณชยุตก็มีการเแปลกันมามากมาย
    จนพวกผมขี้เกียจอ่านกันแล้วครับ
    2 พวกผมเคยได้ยินความว่าง หรือ จิตว่างกันมาแล้วในศาสนาพุทธ
    ความว่างแตกต่างจากโรงเรียนโบราณตรงไหนกันครับ
    อวตารบอย
    คำถามที่หนึ่ง
    กลุ่มแสงสว่างในออสเตรเลีย และอเมริกามีเยอะมากมายครับ
    หากพวกคุณอยู่ที่ ออสเตรเลีย หรือ อเมริกา
    ไม่ต้องมาอ่านมาแปลกันทางเวปไซต์
    พวกคุณสามารถเข้าฟังกันได้โดยตรง
    วิธีการคือมนุษย์ได้ทำการเชื่อมต่อกระแสจิตกับ
    จิตวิญญาณอื่นๆนอกโลก
    บางครั้งก็เรียกตัวเองกันว่า
    มนุษย์ต่างดาว จากดาวต่างๆ หลายชื่อกันมากมาย
    พระเจ้าต่างๆ มหาเทพต่างๆ
    ความรู้ต่างๆก็นำมาเสนอในรูปแบบวิจิตรพิศดาร
    การอธิบายแบบแปลกๆใหม่ อีกหลายมุมมอง
    พวกเราก็เลยหลงกันอีกแล้ว ตื่นเต้นกันอีกแล้ว

    พอพูดถึงกันเรื่อง
    มนุษย์ต่างดาว พระเจ้านอกโลก โลกยุคใหม่ จานบินยูเอฟโอ
    พวกเราชอบพวกเราตื่นเต้น
    ยิ่งอะไรก็ตามที่พูดเรื่องนอกตัว
    เอาใจออกห่างจากใจ พวกเรายิ่งชอบกันใหญ่ (หัวเราะ)

    ผมอยากให้พวกเราที่นั่งฟังกันที่นี้
    รู้สึกตื่นเต้น หรือ เห่อ กับ คำนี้ที่ผมจะพูดต่อไป
    เหมือนที่พวกเรารู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินพวก
    เรื่องนอกโลก มนุษย์ต่างดาว และ จานบินยูเอฟโอ
    คำๆนั้นคือ
    "พระเจ้าในตัวเราเอง"
    "ใจที่อยู่ภายใน ตัวเราเอง"
    "เข้าหาตัวเอง"
    "ธรรมชาติ"
    "ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย"

    ช่วยกันรู้สึกตื่นเต้น และสนใจ
    กับคำพวกนี้ที่อยู่ใกล้ตัวเหมือนกับที่
    พวกเราให้ความสนใจเรื่องนอกตัวกันหน่อย
    ได้ไหมครับ ???
    ขอร้องกันล่ะครับ !!! (หัวเราะกันใหญ่เลย)

    พวกเราเคยคิดบ้างไหม ???
    หากผมไม่จุดประกายแห่งความรู้พวกนี้ในอดีต
    (เรื่องจิตวิญญาณ แสงสว่าง โลกใต้ดิน โลกมิติ5
    ชีวิตอมตะ และ สิ่งมีชีวิตต่างๆนอกโลก)
    ตอนนั้นมีความรู้ที่มาจากเวปบอร์ด
    ของกลุ่มโนวา อนาลัย ที่ผมเห็นว่าค่อนข้างใช้ได้ดีเลยทีเดียว

    และผมลบทิ้งกระทู้นั้นทิ้งไป
    เลยทำให้กลุ่มพวกคุณชยุตโกรธ ผมและมีอคติกับผมเป็นการใหญ่เลย
    พวกเขาเหล่านั้น คงไม่ขยัน และมุมานะแปลกันมากมาย
    ที่เราเห็นกันจนทุกๆวันนี้ (เมื่อสองสามปีที่แล้ว)

    เคยได้ยินไหมคำว่า
    "ชีวิตคือการต่อสู้ และ ศัตรูคือยากำลังเป็นตัวผลักดัน"

    พวกเขาเหล่านั้นควรขอบใจผมเสียด้วยซ้ำนะ
    ที่ผมเป็นผู้จุดประกายความรู้ใหม่ๆ และ เป็นตัวผลักดัน
    ทำให้พวกเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจ
    ในการแปลหาความรู้ต่างๆออกมามากมายกัน (หัวเราะและปรบมือดังลั่น)

    ผมก็เคยผิดหวังกับกลุ่มนั้น
    และผมต้องขอบคุณกลุ่มนั้นเหมือนกัน
    หากพวกเขาไม่ขยันแปล ขยันหาความรู้มาแปล
    ป่านนี้ความรู้ผมก็ยังไม่มีคนมาสนใจกันมากเหมือนเมื่อก่อน
    มีหลายคนส่งอีเมลย์มาหาผมว่าอ่านเรื่องแปลกระทู้คุณชยุต
    มีความสัมพันธ์กับเรื่องของ
    "ความลับของโรงเรียนโบราณ" จริงๆ เห็นไหม
    เลยมาสนใจกันจริงๆจังๆมากขึ้น
    อย่างน้อยๆ เรื่องโลกใต้ดิน ก็มีหลายคนเริ่มเชื่อแล้วว่า
    มนุษย์โลกใต้ดินเหมือนพวกเราี่ที่รู้แจ้งกันแล้วมีอยู่จริงๆ

    หากมองจากมุมมองที่สูงและมองโลกในแง่ดี
    ทุกๆกลุ่มก็ช่วยกันผลักดันให้แต่ละกลุ่มมีแสงสว่างกันมากขึ้น
    พวกคุณว่าจริงไหม
    (หัวเราะและปรบมือดังลั่น)

    แต่ยิ่งพวกเรารู้มากจากภายนอกเท่าไหร่
    หากไม่รู้จากภายในตนเอง
    จิตของพวกเราก็ไม่เคยอิ่ม
    พวกเราก็ยิ่งมึความอยากรู้กันต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด

    คำถามที่สอง
    จุดกำเนิดของทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง
    มาจากความไม่มีอะไรเลย หรือ ความว่างเปล่า
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ถึงสิ่งนี้ และเลือกเดินทางเข้าสู่ความว่างเปล่า

    ส่วนโรงเรียนโบราณ พวกมนุษย์ใต้ดิน พวกอียิปต์โบราณ
    ก็รู้เรื่องความว่างเปล่าเหมือนกัน
    แต่ไม่เลือกทางเดินเข้าสู่ความว่างเปล่า
    แต่คงยังสร้างสรรค์กันต่อไป มาจากความว่างเปล่า

    "ความว่างเปล่า"
    เหมือนกันแต่เลือกเดินทางแห่งจิตวิญญาณต่างกัน
    ผมสรุปแบบง่ายๆ คงเข้าใจกันนะครับ

    ส่วนมนุษย์คนอื่นๆที่ยังไม่รู้เรื่องนี้
    ก็ยังคิดว่าโลกมนุษย์นี้จริงๆแล้วเป็นโลกจริง
    ก็มีการเล่นมีการหลงลืมกัน

    มาดูคำว่า "การตรัสรู้" หรือ "การรู้แจ้ง"ว่า
    หมายความว่าอะไรกัน
    "การตรัสรู้" หรือ การรู้แจ้ง คือ
    "รู้" "รู้จากภายใน" "การหยั่งรู้จากภายในด้วยตนเอง"
    หากยังไม่รู้แจ้ง ก็เรียกกันว่า "ไม่รู้ อวิชชา"
    ถุกต้องไหม ง่ายๆแค่นี้เอง (หัวเราะกันใหญ่เลย)

    แต่คำว่า "ตรัสรู้"
    ยังคงมีความหมายพิศวงให้คิดต่อไปว่า
    จริงๆแล้ว ความหมายซ่อนอยู่ภายใน
    หากเช่นนั้นแล้ว...พวกเราก็รู้กันอยู่แล้ว ใช่ไหม ???
    อ่า... ใช่แล้วครับ !!!
    จริงๆแล้ว พวกเราทุกๆคนก็รู้กันอยู่แล้ว
    แต่พวกเรา เลือกเล่นเกมส์หลงลืมกันแบบสุดๆ
    แล้วมาถึงจุดหนึ่งของการเล่นเกมส์นี้
    พวกเราก็ตั้งคำถามกันว่า
    "ชีวิตมีแค่นี้เองหรือ โลกคืออะไร
    จักรวาลคืออะไร แล้วฉันคืออะไร"
    นี้คือเกมส์การค้นหาความจริงของโลก และตัวเราเอง

    เกมส์จาก"การรู้"ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างอยู่แล้ว
    แล้วมา"ไม่รู้" และกลับไป"รู้" กันอีกครั้ง
    สนุกกันไหมครับ ??? (หัวเราะกันใหญ่เลย)
    จริงๆแล้ว ไม่ได้รู้สิ่งใหม่ๆเลย
    เป็น "การรู้"สิ่งที่เคยรู้กันมาแล้วก่อน"การไม่รู้" นั้นเอง (หัวเราะกันใหญ่เลย)
    ไม่งงและสับสนกันนะครับ !!!

    ผมพูดอาจฟังดูแบบแปลกๆ
    แต่ความหมายที่ผมพูดไปง่ายๆ แต่ลึกซึ้ง
    เพราะมันก็ง่าย ธรรมดาอย่างนั้นอยู่แล้ว
    ไม่รู้จะให้ผมพูดอย่างไรกันอีก !!! (หัวเราะกันใหญ่เลย)

    สิ่งง่ายๆ และ ธรรมดามันเป็นอมตะ
    ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
    มันก็ยังคงอยู่ ยังคงเป็น อย่างนั้น ตลอดกาลและตลอดไป

    ยังจำกันได้ไหมครับ ???
    มีผู้ตรัสรู้ท่านหนึ่งบอกกับพวกเรามานานมาก
    "เราถึงแล้ว...แต่ท่านยังไม่ถึง"
    คำคมสั้นๆได้บอกความหมายนัยๆ
    ให้แก่พวกเราให้ขบคิดกัน


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...