ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)(ปิดกระทู้)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุดใจเขากะลา, 9 สิงหาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    - ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยธาตุ และพลังงานธาตุทางเคมีที่ประกอบกันอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเราก็รู้ว่ามี ดิน น้ำ ลม ไฟอากาศธาตุ ประกอบกันอยู่ และมีธาตุรู้ (หรือที่เรียกว่าจิต) เป็นตัวขับเคลื่อน และธาตุหยาบทุกอย่างในร่างกายจะมีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ หรือทางวงการแพทย์ทั้งหมดซึ่งเป็นชื่อของธาตุทางเคมี การผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่ก่อนเกิด เป็นทารกแรกเกิด เป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่หรือวัยชรา เซลล์ทั้งหลายก็ไม่ใช่เซลล์เดียวกันเซลล์เดิมถูกเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนไปหมดแล้ว มีแต่เซลล์ใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลานี่คือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ทางธรรมะก็รู้ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันแปรปรวนตลอดเวลา เมื่อมีเกิด ก็ต้องมีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นธรรมดาซึ่งก็ถูกต้องทั้งสองด้าน


    - ทางวิทยาศาสตร์ ภายในสมองก็มีไฟฟ้า มีสารเคมี มีกลไกการทำงานที่สลับซับซ้อนความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ สบายกาย สบายใจ หรือไม่สบายกาย ไม่สบายใจส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับสารเคมีที่หลั่งออกมาตามความคิดที่เป็นตัวชักนำนั่นเอง


    - ทางธรรมะ มีการปฏิบัติธรรมเพื่อควบคุมความคิด อารมณ์ให้เป็นไปในแนวทางที่เป็นกุศล เพื่ออะไร? เพื่อเราจะได้ไม่มีความทุกข์ ซึ่งการคิดดีพูดดี ทำดี ก็จะทำให้ผู้นั้นมีความสุข เพราะมีความสงบเย็น อิ่มเอิบในจิตใจแต่ถ้าพยาบาท มุ่งร้าย ผู้นั้นจะมีแต่ความทุกข์ ร้อนรน และหาวิธีแก้แค้นต่าง ๆซึ่งมันอยู่ในข่ายของ ความทุกข์

    - แต่มนุษย์ต่างดาวบอกว่า มันต้องเป็น ...... อย่างนั้นเอง.......อยู่แล้ว มันเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ


    - เพราะกลไกของร่างกายมนุษย์ มันจะอิงกันกับความคิด ความรู้สึกของมนุษย์ผู้นั้น เมื่อมีความคิดดี มีความปราถนาดี มีความเมตตาสงสารเกิดขึ้นความคิดนี้ก็ไปกระตุ้นสารเอ็นโดฟีนในสมองให้มันหลั่งออกมาเมื่อร่างกายได้รับสารเอ็นโดรฟีน ก็จะทำให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองด้านบวกสดชื่นแจ่มใส อิ่มเอิบ อารมณ์ดี ที่เราเรียกว่ามีความสุข นั่นถูกต้อง แต่หากความคิดที่ออกมาเป็นไปในทางความโกรธ พยาบาท หรือวิตกกังวลความคิดนั้นก็จะไปกระตุ้นสารเคมีประเภทที่เป็นด้านลบในสมอง ให้หลั่งออกมาเมื่อสารเคมีชนิดนี้หลั่งออกมาแล้ว ก็จะมีปฏิกิริยาด้านลบส่งไปถึงอารมณ์ให้มีความทุรนทุราย ร้อนรน หรือวิตกกังวลตลอดเวลาซึ่งอารมณ์จะรุนแรงมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปริมาณสารเคมีที่หลั่งออกมาถ้าหลั่งมากเกินไป ก็จะอาละวาด ทำร้ายผู้อื่นได้ หรือเศร้าโศกเสียใจจนคิดฆ่าตัวตายได้ ดังนั้นเมื่อมีการคิดแต่พยาบาทครั้งแล้วครั้งเล่า สารเคมีตัวนี้หลั่งออกมามากเกินไปก็จะคลุ้มคลั่ง ต้องส่งโรงพยาบาลประสาท ซึ่งแพทย์ก็จะทำการรักษา ด้วยการฉีดสารเคมีที่จะไประงับการหลั่งของสารเคมีชนิดนั้น ให้อยู่ในภาวะสมดุลย์ อาการจึงจะสงบลงได้

    - ดังนั้นสารเคมีจึงเป็นตัวแสดงผลพฤติกรรมของมนุษย์ในแง่ต่าง ๆ นี่คือ
     
  2. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    - ดังนั้น เราจึงต้องย้อนกลับมาที่
     
  3. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ดังนั้นหลักของพุทธศาสนาเป็นเช่นนี้ สอนให้เราทำ
     
  4. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    จึงเห็นได้ว่า มันมีกลไกของธรรมชาติที่มีเหตุและผลตรงไปตรงมา ถ้าไม่มีกลไกอย่างนี้ ถ้าทุกอย่างอิงอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง คนรวยก็ต้องสุขอย่างเดียวสิ คนจนก็ต้องทุกข์ตายเลยสิ แต่เพราะมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เราจึงจะพอมองเห็นว่า ความรวย ความจน ไม่ได้เป็นตัวชี้นำให้เกิดความสุขความทุกข์ เราจึงเห็นคนรวยมากมายก็ยังมีความทุกข์อยู่ คนที่พอมีพอกินหรือคนจนที่รู้จักพอ เขาก็มีความสุขได้ซึ่งบางคนอาจจะสุขมากกว่าคนรวยบางคนด้วยซ้ำไปคนรวยที่มีความทุกข์มีมากมาย คนจนที่มีความสุข มีเยอะแยะ ดังนั้น ความสุข ความสงบเย็นของจิต จึงเป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ ไม่ว่าจะมีเงินมากมายแค่ไหน สิ่งนี้ต้องทำเอาเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นี่คือความเท่าเทียมกันตามธรรมชาติ และยุติธรรมที่สุด ก็คือการไขว่คว้าหาความสุข ความสงบทางจิต และหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์ ที่ไม่ว่ารวยหรือจนต้องหาด้วยตนเองกันทั้งนั้น<O:p</O:p


    ซึ่งจะเห็นได้จากพระอริยเจ้าทั้งหลาย หรือผู้ปฏิบัติจิตเพื่อการหลุดพ้น หรือผู้ปฏิบัติธรรมส่วนมาก ย่อมไม่ได้เห็นว่าทรัพย์สินเงินทองเป็นสิ่งสำคัญ ท่านไม่มีทำไมท่านไม่ทุกข์ ทำไมท่านจึงกลับมีแต่ความสุข ความสงบ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น จึงต้องมองให้เห็น มองให้ทะลุในกลไกของธรรมชาติ ว่าความสุขความทุกข์มันเกิดที่ไหน มันเกิดได้อย่างไร และควรใช้วิธีการใดในการจัดการกับความรู้สึก สุข ทุกข์ ที่เกิดขึ้นนี้ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พอเรารู้กลไกเช่นนี้ เราก็ต้องหลอกล่อด้วยกุศโลบายต่าง ๆ เพื่อให้จิตมีแต่คิดดี มีความเมตตา กรุณาต่อผู้อื่นเป็นนิจ เพื่อคอนโทรลให้มีแต่สารเคมีด้านบวกด้านเดียวเท่านั้นที่หลั่งออกมา เราก็จะมีแต่ความสุขได้ และอาจมีมากกว่ามนุษย์ทางโลกที่มากด้วยทรัพย์สินเสียอีก



    ทำให้นึกถึงบทความ จากหนังสือธรรมะเล่มหนึ่ง ที่ชื่อว่า
     
  5. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    เราก็ต้องมาเรียนรู้ขันธ์ห้าให้ถ่องแท้ว่า โดยความจริงแล้ว ความสุข ความทุกข์นั้น มันยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น แต่มันมีกลไกอื่น ๆ มาร่วมด้วย ดังที่ยกตัวอย่างด้านบนนั้นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เป็นกลไกของธรรมชาติของการเกิดเวทนา คืออารมณ์ที่ถูกปรุงแต่งโดยสารเคมี ถ้าลำพังตัวเวทนาของขันธ์ห้า มันไม่ได้รู้สึกอะไรไปด้วยหรอก เพราะมันมีหน้าที่แค่ปรุงแต่งไปตามสารเคมีเท่านั้น แต่เพราะมันมีคู่ด้วย คือจิตที่มีปัญญา(มโนวิญญาณ) เป็นตัวต่อเชื่อมกับเวทนาอยู่ .... แต่
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ระหว่างเวทนากับตัวจิตที่มีปัญญา(มโนวิญญาณ)นั้น ความจริงมันไม่ได้ติดกัน ไม่ได้อยู่ด้วยกัน และไม่ต้องรับผิดชอบซึ่งกันและกัน แต่เพราะว่า มีอุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา มาดักรออยู่ระหว่างกลางนั้น คอยที่จะเชื่อมระหว่างอารมณ์ ความรู้สึก กับตัวจิตที่มีปัญญานั้นให้เข้ามาติดกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นตัวเป็นตน และความไม่รู้คืออวิชชา ที่มีอุปาทานคอยสร้างตัวตนมารองรับอารมณ์นั้น ๆ อยู่เสมอ มันจึงมีเรากำลังอารมณ์ดี เราอารมณ์แจ่มใส เรากำลังหงุดหงิด อารมณ์เสีย เรากำลังขุ่นมัว เรากำลังร้อนอกร้อนใจ วิตกกังวล ซึ่งแท้ที่จริงมันไม่ได้มีตัวใครเป็นผู้ที่กำลังเกิดอารมณ์นั้นเลย มันเป็นแค่กลไกปรุงแต่งไปเรื่อยเท่านั้นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ความจริง อารมณ์มันก็สักแต่ว่าอารมณ์ มันก็เหมือนความคิดน่ะแหละ ถ้าเราเห็นว่ามันกำลังคิดอะไร เราก็จะมองมันเฉย ๆ ได้ อยากคิดคิดไป แต่ถ้าพอคิดกังวลปุ๊บ แล้วตามความคิดปั๊บ อุปาทานก็สร้างตัวเรามารองรับทันที มันจึงมีตัวเรากำลังกังวล กำลังไม่สบายใจ กำลังกลุ้มใจ ซึ่งแท้ที่จริงมันมีทางให้เลือก ว่าจะเป็นแค่ผู้ดู ด้วยรู้จริง ๆ ว่าแกเป็นแค่ความคิด หรือจะเลือกว่า มีตัวตนของเราเป็นผู้ที่ต้องกังวลไปตามความคิดนั้น <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ว่าเวทนา อารมณ์ความรู้สึกนั้น มันปล่อยวางยากกว่าความคิด เพราะมันจะมีความรู้สึกที่เหมือนเป็นตัวเรามากที่สุด วางความคิดว่ายากแล้ว ปล่อยวางอารมณ์ความรู้สึกนี่ยิ่งยากกว่า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น กว่าที่พี่สุดใจจะรู้จริง ๆ ว่าเวทนา หรืออารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้มันปรุงแต่งเอง มันสร้างอารมณ์ต่าง ๆ ขึ้นมาเองในขันธ์ห้า และมันไม่จำเป็นต้องมีใครเป็นผู้รองรับเวทนาเหล่านั้น ระบบก็ต้องสอนแล้วสอนอีก แยกแล้วแยกอีก ใช้อุปกรณ์ช่วยสอนหลายอย่าง ใช้การส่งข้อมูลมาอธิบายนอกรอบซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ จนกว่าจะค่อย ๆ แงะการยึดติดออกไปได้ทีละน้อยนั้น ให้ละอุปทานขันธ์ห้าทีละขันธ์นั้น น่าเหนื่อยจริง ๆ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    (ตอนที่ 16)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2008
  6. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ดังนั้นการรับรู้ทางเวทนา หรือทางอารมณ์นั้น ก็เช่นกัน อารมณ์ที่เกิดสักแต่ว่ารับรู้ก็ได้ เห็นว่าขณะนี้อารมณ์ซึมเศร้ากำลังเกิดขึ้นอยู่ ก็รู้ว่ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่ จะไปสนใจมันทำไม ให้มองเห็นสภาวะอารมณ์ในขณะที่มันเกิดอยู่นั้นตามความเป็นจริง เราก็จะมองดูอารมณ์เหล่านั้นเฉย ๆ ได้ ไม่ไปห้าม ไม่ไปบังคับให้มันหาย เพราะเมื่อมันเกิดขึ้นมา มองเห็น แล้วเราก็จะมีวิธีการจัดการกับอารมณ์นั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องทุกข์<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เช่นของหาย นาฬิกาข้อมือร่วงหายในตลาด ไปหาแล้วก็ยังไม่เจอ หากยังมีความยึดมั่นในนาฬิกาเรือนนั้นอยู่ เมื่อกลับมาก็ต้องมีความรู้สึกเสียดายเป็นธรรมดา มีอารมณ์ซึมเซา มีภาวะหดหู่ เศร้าหมอง อ่อนอกอ่อนใจ เราก็ต้องเข้าใจว่า มันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ เพราะมันเสียดายของ ความคิด อารมณ์ความรู้สึกก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ มันเป็นกลไกของขันธ์ห้าที่มันต้องปรุงไปตามเหตุปัจจัยมันก็จะเป็นแค่อารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น แต่มันไม่ใช่ความทุกข์<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ถ้าคน ๆ นั้นไม่ยึดมั่นในนาฬิกาเรือนนั้น พอร่วงหาย ก็ตัดเลย ความอาลัยอาวรณ์ไม่มี อารมณ์ซึมเศร้า หดหู่ก็จะไม่มีขึ้นมา เพราะมันไม่ส่งต่อความคิดไปที่เวทนานั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ตัวการสำคัญของเรื่องก็คือ อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา ที่คอยเชื่อมเวทนา เข้าด้วยกันกับจิตที่มีปัญญานั่นเอง <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้นคู่นี้ จึงต้องพิจารณาอย่างละเอียด ต้องแยกให้มันออกจากกัน ให้มันอยู่ห่าง ๆ กัน เพราะตัวจิตที่มีปัญญานั้น มันไม่ได้ติดกับขันธ์ห้า มันอยู่ของมันต่างหาก มันเป็นผู้ดูการทำงานของขันธ์ห้า มันจะไม่ทุกข์เลยถ้าไม่มีการเข้าไปรับเอาเวทนาเข้ามารวมกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อาจจะงง ....... ขออธิบายเพิ่มอีกนิด<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เวทนา ความรู้สึกสดชื่น อิ่มเอิบ หรือกระวนกระวาย ซึมเศร้า หดหู่ หม่นหมองนั้น มันเป็นภาวะที่กำลังเกิดอยู่ในขันธ์ห้า ไม่ได้เป็นตัวใครของใคร ส่วนจิตที่มีปัญญานั้น ก็มีหน้าที่แค่รับรู้อารมณ์ในขณะนั้น แค่นั้น เป็นผู้กำลังดูอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นของขันธ์ห้า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ทีนี้ ระหว่างจิตที่มีปัญญาซึ่งทำหน้าที่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2008
  7. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    วิธีการดูก็ต้องทำเหมือนดูความคิดปรุงแต่งน่ะแหละ ดูแบบเดียวกัน เห็นว่ามันคิดอะไร กังวลอะไร แล้วกำลังจะชวนไปทางไหนเมื่อดูเห็นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตกอกตกใจ มันอยากว่าใคร คิดอกุศลใด ๆ แยกเจตนาออกมาอย่าไปส่งเสริมมัน และอย่างไปอุปาทานว่ามีตัวเราเป็นผู้คิด<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เวทนาก็เหมือนกัน มันก็ต้องดูเฉย ๆ เหมือนดูความคิดน่ะแหละ อย่าไปให้น้ำหนักว่ามันสำคัญกว่ากัน มันกำลังร้อนรุ่ม กำลังวิตกกังวล กำลังหดหู่เศร้าหมอง กำลังเบื่อหน่าย ก็เห็นว่ามันกำลังเป็นอย่างนั้นอยู่ตามจริง อยู่กับอารมณ์นั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องไปทุกข์ด้วย เพราะเมื่อเราเห็นว่ามันเป็นอารมณ์เช่นนั้น มันก็สักแต่ว่าเป็นอารมณ์ของขันธ์ มันไม่ได้เป็นอารมณ์ของใคร <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ้าเราเห็นว่าเวทนากำลังเร่าร้อนด้วยความโกรธ หดหู่เศร้าหมองด้วยความเสียใจ หรือแม้กระทั่งสดชื่นแจ่มใสด้วยความสมหวัง เมื่อจิตที่มีปัญญาซึ่งกำลังเป็นผู้ดูอยู่นั้น ได้เห็นแล้วว่า มันก็แค่อารมณ์ที่รุ่มร้อน มันแค่อารมณ์ที่หดหู่ของขันธ์ห้าเท่านั้น มันไม่ใช่อารมณ์ของใคร หรือของเราเลย เมื่อจิตไม่เข้าไปจับ ไม่เข้าไปยอมรับว่าเป็นอารมณ์ของเรา มีสติดูเห็นตามความเป็นจริง ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะไม่มีใครเป็นผู้ทุกข์นั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ไม่ใช่เห็นแล้วอารมณ์หดหู่ เศร้าหมองจะดับในตอนนั้นนะ มันไม่ดับหรอก มันก็ยังคงมีอารมณ์นั้นอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ขณะที่ระทมด้วยความเศร้าหมอง แต่จะไม่ได้มีใครทุกข์กับอารมณ์นั้นจริง ๆ แค่มองเห็น แล้วชำเลืองดูมันแค่นั้น ไม่นานมันก็ต้องหายไปอยู่ดี เพราะมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ไม่นาน มันก็ต้องดับไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ถ้าทำบ่อย ๆ ก็จะรู้เท่าทันอารมณ์มากขึ้น ๆ พอเริ่มเบื่อ ก็จะมองเห็นความเบื่อ พอเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด ก็จะมองเห็นความหงุดหงิด พอเริ่มวิตกกังวลเหี่ยวแห้งใจ ก็จะมองเห็นอารมณ์ที่เศร้าซึมนั้นทันที แล้วจิตที่มีปัญญาก็จะเป็นผู้ดูที่ดี คือไม่ไปยุ่งกับอารมณ์ ไม่ไปบังคับให้มันหายเสียที ไม่ไปบังคับให้มันเลิกหดหู่เสียที
    <O:p</O:p
    แต่ถ้ามองเห็นอารมณ์ได้จริงอย่างที่พี่สุดใจ หรือกลุ่มผู้ฝึกเริ่มมองเห็น จะไม่เข้าไปรับผิดชอบในความรู้สึกนั้น ๆ เลย และมันอยู่ไม่นานมันก็จะเปลี่ยนของมันเอง เมื่อเห็นเราไม่สนใจมันก็เปลี่ยนใหม่ มันเป็นกลไกของธรรมชาติเช่นกัน

    (ตอนที่ 18)<O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <!-- edit note -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2008
  8. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ดังนั้น คู่สุดท้ายนี้ ก็คือเวทน กับ จิตที่มีปัญญาและเป็นผู้ดูอย่างเดียวทั้งคู่นี้ไม่ได้ติดกัน มีระยะห่างกัน เมื่อต่างคนต่างอยู่ อุปาทานว่าเป็นตัวเราสุขทุกข์ ก็ย่อมไม่มี
    <O:p</O:p
    ระวังแต่ตัวอุปาทานเท่านั้น ที่มันคอยแต่จะมาจับทั้งคู่เข้ารวมกัน และอุปาทานว่าขันธ์ห้า เป็นตัวเราของเราขึ้นมาอีกเท่านั้น <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ถ้าตัวเรา ของเราโผล่ออกมารับว่าเป็นอารมณ์ของเรา ทุกข์ของเราอีกเมื่อไร อย่าตกใจ ก็แค่ย้อนกลับไปทบทวนใหม่อีกครั้ง แล้วค่อย ๆ แยกออกจากขันธ์ห้ากันใหม่<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ส่วนมากจะอยู่ในข่ายของอุปาทานว่าเป็นความทุกข์เสียส่วนใหญ่ เพราะตอนที่ฝึก สิ่งที่ส่งเข้ามามีแต่การกดจิตให้ทุกข์ สิ่งที่เรียกว่าสุขแทบจะมองไม่เห็น จนกว่าจะรู้ว่า ความทุกข์ที่เคยกลัวนั้น มันไม่ได้มีจริง ไม่ได้มีตัวตนของความทุกข์จริง ๆ มีแต่อุปาทานว่ามีตัวเราเป็นผู้ทุกข์เท่านั้น กว่าจะจับได้ไล่ทันก็แทบแย่เหมือนกันค่ะ

    แม้ว่าพี่สุดใจ หรือกลุ่มที่ถูกฝึกจะถูกทดสอบ และถูกให้เรียนเพื่อแยกขันธ์ห้าอย่างหนักก็ตาม แต่ทั้งหมดนั้น ก็เพื่อทำเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ถ้าปฏิบัติจริง การแยกขันธ์ห้าออกจากจิตที่มีปัญญานั้น ก็สามารถทำได้จริง ๆ เพราะมีตัวอย่างของกลุ่มคนที่ทำได้มาแล้วนั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สำหรับผู้ที่อยู่ในระบบ อ่านข้อความนี้ ก็อาจจะเจอแบบหนักหนาสาหัสมาคล้าย ๆ กัน ก็ลองแยกดูนะคะ ระบบจะเรียกว่าการ ซ้อนขันธ์ เพราะเราต้องซ้อนทั้งห้าขันธ์ ให้เห็นว่ามันสักแต่ว่าร่างกาย สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าความคิด สักแต่ว่าอารมณ์เท่านั้นซึ่งก็คือ การปฏิบัติในสติปัฐฐาน 4 นั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หรือท่านที่อ่านแล้ว รู้สึกว่าสามารถทำความเข้าใจได้นั้น ก็ลองปฏิบัติดูก็ได้นะคะ ค่อย ๆ ทำไป ค่อย ๆ ดูไป และค่อย ๆ แยกแต่ละขันธ์ออกจากกันไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นว่า ความจริงมันไม่ได้มีตัวตนของตนจริง ๆ เป็นแค่กลไกของขันธ์ห้าจริง ๆ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ก็ขออนุโมทนาให้กับทุก ๆ ท่านประสบกับความสำเร็จในการปฏิบัติจิต และมีความเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    (ตอนที่ 19 จบ)<O:p
    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2008
  9. juksawat

    juksawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    980
    ค่าพลัง:
    +3,507
    มาให้กำลังใจกับคุณชยุตและคุณอภิชาญครับ
    บางที่อาจจะเป็นการทดสอบจากระบบตามทีพี่เม้าท์กล่าวไว้ก็เป็นได้

    อย่างไรก็ตาม อดีต มันผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง
    เราจึงไม่ต้องคำนึงว่ามันจะเป็นอย่างไร เขาจึงสอนให้อยู่กับปัจจุบันและมีสติอยู่ทุกขณะจิต

    การนิ่งเฉยไม่ใช่การปล่อยวาง การนิ่งเฉยนั้นจิตยังไปรับรู้หรือสัมผัสกับสิ่งที่ได้รู้ ได้เห็น ได้ยินมา มันอาจจะทำให้เกิด โลภ โกรธ หลงได้ แต่การปล่อยวางเราไม่เอาจิตไปยึดติดกับสิ่งที่ได้รู้ ได้เห็น ได้ยินมา คือไม่เอาจิตไปยึดติดกับสิ่งที่เข้ามากระทบกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจึงทำให้เราละจากความโลภ โกรธ หลงได้ อย่างที่อาจารย์สุดใจบอก สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน ฯ คือ เห็นเขาแต่ไม่รู้ว่าเขาทำอะไร ได้ยินว่าเขาพูดแต่ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร อย่างนี้เป็นต้น

    ดำเนินชีวิตให้อยู่กับปัจจุบันและให้เป็นไปตามธรรมชาติอย่างมีสติ ไม่ต้องไปคำนึงว่าจะปล่อยวางได้หรือไม่ ไม่ต้องไปสนใจว่าก้าวหน้ามากน้อยแค่ไหน เพราะสื่งเหล่านี้เป็นเรื่องของอนาคตซึ่งยังมาไม่ถึง มันจึงเป็นความอยากที่เรายึดติดและเป็นอุปสรรคต่อการปฎิบัติ

    สิ่งที่ทำให้เราฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ก็คือ ขันติ ความอดทน และนี่ก็อาจเป็นบทเรียนบทสุดท้ายก่อนที่จะปล่อยวางได้กระมัง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

    ถ้าอยากไม่ได้ ถ้าได้ไม่อยาก
     
  10. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ขอบคุณสำหรับธรรมะดีๆครับ พรุ่งนี้ผมจะไปร่วมงานบุญที่อาคารฝักข้าวโพด คงได้ขอคำแนะนำเพิ่มเติม :)
     
  11. Pasika

    Pasika Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +93
    สาธุ สาธุ สาธุ
    ขอบคุณสำหรับธรรมะดี ๆ จากอาจารย์สุดใจ
    ทำให้มองเห็นทางที่ควรจะเดินแล้ว
    กิเลสตัณหาอุปทานที่เกิด มันเหนียวมาก
    จะพยายามสลัดให้หลุดเพื่อจิตประภัสสร
     
  12. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ประกาศโดยระบบ
    <O:p</O:p

    เรื่อง มอบหมายหน้าที่
    <O:p</O:p

    ระบบฯ จะเปิดให้ทำการเชื่อมระบบเพิ่มเติม เป็นรายบุคคล ในกรณีที่บุคคลนั้นมีสภาวะจิตที่ปล่อยวางจากอัตตาตัวตนได้ในส่วนหนึ่ง เพียงพอที่จะมารับการติดตั้งอุปกรณ์จากระบบ เพื่อนำไปช่วยเหลือบุคคลอื่น ๆ ตามแต่ละหน้าที่ของบุคคลนั้น ๆ
    <O:p</O:p

    ดังนั้น แต่ละบุคคลที่จะได้มารับการเชื่อมระบบ จะต้องมีการสอบอารมณ์ จากบุคคลที่ระบบได้แต่งตั้งขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่คัดกรองก่อนในเบื้องต้น พร้อมทั้งทำการรับรองว่าบุคคลท่านนี้ ผ่านการทดสอบแล้วเท่านั้น ระบบจึงจะทำการเชื่อมระบบ เพื่อติดตั้งอุปกรณ์ให้ต่อไป
    <O:p</O:p

    หากท่านใดที่ยังไม่ผ่านการคัดกรอง ผู้สอบอารมณ์ต้องอธิบายทฤษฎีระบบ วิธีการปฏิบัติเพื่อปล่อยวาง ให้แต่ละบุคคล เพื่อให้มีความเข้าใจในพื้นฐาน และจุดมุ่งหมายก่อน จนมีความเข้าใจแน่นอนไม่สงสัย จึงจะส่งมาให้ทำการเชื่อมระบบต่อไป
    <O:p</O:p

    ดังนั้น ระบบขอแต่งตั้ง

    คุณบรรพต โรจน์รุ่งสัตย์รุ่น (MOUNTAIN)<O:p</O:p

    รับตำแหน่งเป็น วิปัสสนาจารย์ ประจำเขากะลา 2

    ทำหน้าที่
    สอบอารมณ์ และให้การรับรองว่าสามารถเข้ารับการเชื่อมระบบได้<O:p</O:p


    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2551 เป็นต้นไป<O:p</O:p
     
  13. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ขออนุโมทนากับคุณ คุณบรรพต โรจน์รุ่งสัตย์ (MOUNTAIN)<O:p</O:p ด้วยนะคะ กับตำแหน่งใหม่ที่สำคัญอย่างยิ่ง
    <O:p</O:p
    ระบบได้แจ้งว่า คุณบรรพต โรจน์รุ่งสัตย์ (MOUNTAIN) <O:p</O:pได้มีการปล่อยวางอย่างถูกต้อง ละการยึดติดในอัตตาตัวตน ละวางจากอุปปาทานขันธ์ห้าได้ตามทฤษฎีระบบ จนมีการยกระดับจิตขึ้นอย่างรวดเร็ว
    <O:p</O:p
    สามารถที่จะเป็นผู้สอบอารมณ์ได้ และเป็นผู้ให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาให้แก่รุ่นต่อ ๆ ไป ที่จะมารับการเชื่อมระบบ เป็นรายบุคคลไป
    <O:p</O:p
    พี่สุดใจขออนุโมทนาด้วย กับหน้าที่ ที่สำคัญยิ่งอันนี้ <O:p</O:p
    หากท่านใดมีความประสงค์จะมารับการเชื่อมระบบ ขอให้ติดต่อ แจ้งรายชื่อไปที่คุณคุณบรรพต โรจน์รุ่งสัตย์ (MOUNTAIN)<O:p</O:p เพื่อทำการสอบอารมณ์การปฏิบัติ ความเข้าใจก่อน
    <O:p</O:p
    จะมาหาด้วยตนเองเพื่อสอบอารมณ์ หรือจะให้สอบอารมณ์ทางโทรศัพท์ ก็อยู่ในดุลยพินิจของคุณ คุณบรรพต โรจน์รุ่งสัตย์ ที่จะเห็นสมควรดำเนินการค่ะ
    <O:p</O:p
    เมื่อวานเครื่องสแกน และเครื่องปริ้นภาพ ใช้ได้แล้ว
    <O:p</O:p
    นั่นหมายความว่า งานด้านการ... สแกนบุคคล กำลังจะเข้ามาให้ดำเนินการนั่นเอง
    <O:p</O:p
    และระบบ จะติดตั้งเครื่องสแกนสภาวะจิตของแต่ละบุคคลให้กับคุณบรรพต โรจน์รุ่งสัตย์ (MOUNTAIN)<O:p</O:p เพิ่มเติมด้วยอีกอุปกรณ์หนึ่งเพื่อทำงานนี้

    ระบบฯ คงจัดสรรบุคคลที่เหมาะสมมารับงานด้านบุคคลแทน เร็ว ๆ นี้แหละค่ะ ยังรอข้อมูลอยู่ คงต้องช่วยรักษาการแทนไปก่อนนะคะ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ขออนุโมทนาด้วยนะคะ งานใหม่มาเร็วเกินคาดจริง ๆ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2008
  14. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    เอาข่าวมาบอกจ้า
     
  15. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    รับทราบครับ
    ยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติงานร่วมกับระบบและคณะทำงานทุกท่านครับ
    ผมคงไม่ต้องถามว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร เพราะเป็นเรื่องของระบบเป็นผู้ดำเนินการทั้งสิ้น

    ขอบคุณพี่สุดใจที่แจ้งให้ทราบ

    ขอโมทนาครับ
     
  16. เส้นทางสายใหม่

    เส้นทางสายใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +360

    _/l\_
    _/l\_
    _/l\_
    _/l\_
    _/l\_
    _/l\_
    _/l\_
    _/l\_
    _/l\_ สาธุอนุโมทนาด้วยครับ _/l\_

    การศึกษาธรรม การปฏิบัตธรรม การรักษาธรรม ว่าทำยากแล้ว

    การเป็นผู้สั่งสอนธรรม นับว่ายากยิ่งยากยิ่งยากยิ่งกว่า ผู้ศึกษามาก

    ขออนุโมทนาอย่างสูงสุด
     
  17. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    เมื่อเช้าระบบส่งภาพ "ประกาศพิเศษ" มาให้ เข้ามาในกระทู้ก็มีเรื่องพิเศษสำหรับระบบจริง ๆ ขอแสดงความยินดีกับคุณเมาเท่นด้วยค่ะ นอกนั้นมีรหัสพิเศษเข้ามา ยังดูอยู่

    ประกาศพิเศษ

    OIJC (15+9+10+3) = 37 (7+3) = 10 = 1
    NEED (14+5+5+4) = 28 (2+8) =10 =1
    AN (1+14) = 15 (1+5) = 6

    1+1+6 = 8

    สรุปมันแปลว่าอะไรเนี่ย ฮ่า ๆ
     
  18. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    เมื่อวานได้มีโอกาสขยายระบบจากพี่สุดใจอีกครั้ง จริง ๆ สามสี่วันที่ผ่านมานี้ระบบได้จัดให้มีการขยายระบบโดยพี่สุดใจตลอด เริ่มจากคำว่า "ถอนตัว" (อันนี้ระบบเล่นแรง ตามจริตของขันธ์ห้า ถ้าไม่แรงไม่GET) หลังจากได้รับการขยายความเกี่ยวกับคำนี้แล้ว ระบบได้ส่งข้อความคำว่า "ให้รับต่อไปอีก" จึงได้สอบถามถึงความหมายไปยังพี่สุดใจอีกครั้ง ปรากฏว่า ระบบให้ขยายระบบต่อไปอีกเรื่อย ๆ พี่สุดใจก็ได้เมตตาอธิบายถึงกลไกการทำงานของขันธ์ห้า พร้อมทั้งอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบกับสารคดี (หนัง) ให้จนจินตวดีเกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกระดับ จากนั้นระบบได้ส่งข้อความเข้ามาอีก "การที่จะทำงานกับระบบนั้น โดยเฉพาะผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ (บางคนก็เรียกความว่าง สุญญตา แล้วแต่จะเรียกกันนะ) จำเป็นจะต้องมีการปล่อยวางให้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ จะขาดแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียวก็ไม่ได้ จึงได้โทรสอบถามไปยังพี่สุดใจอีกครั้ง ก็ยังได้เมตตาขยายให้อีกโดยไม่รู้จักเบื่อหน่าย (อันนี้ติด ๆ กันทุกวันเลย) หลังจากนั้นได้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับรายละเอียดของขันธ์ห้า จึงคิดว่าจะเข้าไปเปิดดูของเก่าที่เคยเห็นคุณสุดใจพิมพ์เอาไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ยังหนักใจว่า มันหลายหน้าเหลือเกิน เราเองก็เวลาน้อย กลัวจะเสียเวลาหานาน ปรากฏว่า "ระบบจัดให้" เพราะตอนเช้าเมื่อวานระบบส่งภาพ "เว็บพลังจิต" มาให้ ก็คิดอยู่แล้วว่าต้องมีข้อมูลบางอย่างแน่ ปรากฏระบบจัดให้ตามที่ต้องการจริง ๆ เพราะพี่สุดใจมาโพสต์เรื่องขันธ์ห้าให้โดยละเอียดเสร็จสรรพ อันนี้ถือเป็นความเมตตาจากระบบจริง ๆ

    หลังจากได้รับทราบและขยายระบบพอสมควร ก็ได้นำมาประมวลกับของเก่าที่เราเคยศึกษามาไม่ว่าจะเป็นสายความฝันของท่านอาจารย์โนวาอนาลัย ไม่ว่าจะเป็นของคุณอวตารบอย หรือ การฝึกสติปัฐฐานสี่ ในสายมหาสติปัฐฐานของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่สติสัมปชัญญะประมวลได้ทำให้ค้นพบอย่างแท้จริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นเรื่องเดียวกันทั้งนั้น คือการให้มีสติจับอยู่กับปัจจุบัน ให้มีสติระลึกรู้ถึงการทำงานของขันธ์ แต่ไม่ให้คิดว่า เราเป็นผู้กระทำ หรือ เราเป็นเจ้าของขันธ์หรือภาวะทางกายภาพนั้น แต่ให้เราเป็นแค่เพียงผู้ติดตามดูมันทำงานเท่านั้น (ซึ่งเรื่องนี้มีระบุไว้ในห้องของคุณอวตารบอย และ อาจารย์อนาลัยเช่นกัน)อันนี้คือให้เป็นผู้ติดตามดูทั้งในภาวะทางกายภาพ (ขันธ์ห้า) และจินตภาพ (ความฝัน) คือมีสติดู + ติดตามเฉยๆ อย่างนี้จึงเรียกว่า เป็นผู้ดูร้อยเปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นจินตวดีก็ได้นำมาฝึก คือพยายามแยกจิตส่งออกข้างนอกเป็นแค่ผู้ดู แรก ๆ ก็ติดขัดบ้าง มีสติแป๊บเดียว เดี๋ยวลืมอีกแล้ว แต่พอนึกได้ก็จะลองพยายามทำอย่างพี่สุดใจสอนอีก ปรากฏว่าทำไปทำมา พฤติกรรมปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว คือ จากเป็นคนสมาธิสั้น โกรธง่าย โมโหง่าย ก็เบาลง จนแทบไม่มี พอเริ่มจะโกรธ สติเราคอยดูอยู่แล้วนี่ เรารู้ทันมัน ก็คือดูให้เห็นว่ามันกำลังโกรธ แต่ไม่ไปปรุงแต่งมันต่อ ไม่ไปจับที่อารมณ์นั้นต่อ เดี๋ยวมันก็หายเอง เช่นเดียวกับสุขภาพ อันนี้ระบบจัดให้เช่นกัน สมัยก่อนมันเครียดมาก มันเอาแต่ทุกข์มาสุมไว้ ร่างกายมันคงหลั่งสารที่ให้ผลลบกับร่างกายเยอะ มันเลยป่วย โดยเฉพาะกรดในเลือดนะ เคยไปเจาะ หมอร้องโอ้โหเลย ทุกวันนี้เข่าไม่ดี กรดมันเยอะ ระบบฮอร์โมนเสียหาย ดูสิยังไม่สี่สิบเต็มเลย วัยทองถามหาเราซะแล้ว เคยลองถามระบบ มีวิธิแก้ไหม วันนี้ระบบให้พี่สุดใจตอบคำถามเองเลย เพราะถ้าเราทำตามที่เขาสอนแล้ว รู้จักกำหนดเป็น รู้เท่าทันทุกข์นั้น เราก็ไม่ทุกข์ จิตของเราจะมีความเมตตาเป็นบรรทัดฐานโดยอัตโนมัติ ร่างกายก็จะหลั่งสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โรคภัยต่าง ๆ เดี๋ยวมันจะคลายไปเอง ทุกวันนี้จินตวดียังมีผื่นขึ้นอยู่บ้าง แต่ไม่หนักหนาเหมือนเดิมแล้ว และก็ไม่ทุกข์ด้วย เพราะเชื่อว่า ทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป เมื่อมันเกิดขึ้น มันอยู่บนผิวเรา เดี๋ยวมันก็หายเอง สรุป ผื่นมันน้อยลงนะ มันน้อยตามการปล่อยวางของเราจริง ๆ (เหมือนอาจารย์อนาลัยบอกไว้ จดจ่ออย่างไรได้อย่างนั้นไม่มีอย่างอื่น ถ้าวางการจดจ่อได้ ย่อมไม่มี)

    มีเรื่องแปลก ๆ เล่าให้ฟัง อันนี้ระบบทำให้ดูเลย ขณะที่กำลังฝึกเอาสติมาตามดูการกระทำ คือ สมมติมให้เราเป็นจิตที่กำลังเฝ้าดูขันธ์ห้าของเราทำงาน ช่วงหนึ่งมีความรู้สึกชัดเจนเลยว่า จิตของเรามันแยกออกมาเฝ้าดูการกระทำของร่างกาย (ขันธ์ห้า) จริง ไม่มีความรู้สึกว่าตัวตนนี้เป็นของเรา เหมือนมันแยกออกมาเป็นคนละส่วนกัน ขนาดลองให้กายมันยกมือขึ้น มันยังไม่มีความรู้สึกเลยว่ามือนั้นมันเป็นของเรา และเผอิญโทรศัพท์ดังขึ้น เรารับสาย ปรากฏว่า ทางนั้นพูดคำว่า "แฟกซ์" เราจึงตอบกลับไปว่า "ขอสัญญาณแฟกซ์ใช่ไหม" แต่แปลกที่ว่า เรากลับพูดภาษาใต้ (จริง ๆพูดไม่เป็นนะ) ก็งงทำไมต้องพูดภาษาใต้ ปรากฏว่า แฟกซ์ที่ส่งมา มาจากโรงเรียนที่ใต้จริง ๆ คนส่งเป็นครูที่อยู่นครศรีธรรมราช อันนี้ยืนยันได้ว่า ระบบรู้จริง ทุกอย่างมีการโปรแกรมไว้ล่วงหน้าแล้ว อันนี้เราไม่เกี่ยว เพราะระบบเขาทำของเขาเอง เราแค่ตามดูเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2008
  19. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    <TABLE class=tborder id=post1521428 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- status icon and date -->[​IMG] 23-09-2008, 10:46 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #3541 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Astro Neemo<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1521428", true); </SCRIPT>
    ผู้ร่วมสนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2007
    ข้อความ: 608
    ได้ให้อนุโมทนา: 903
    ได้รับอนุโมทนา 9,988 ครั้ง ใน 518 โพส
    พลังการให้คะแนน: 325 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1521428 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ปฎิทินกิจกรรมของระบบ

    วันศุกร์ที่ 26 กย 2551 ทำบุญครบรอบวันมรณกรรมของคุณพ่อเชิด ชื่นสำนวน และเลี้ยงส่งอาจารย์ปู่และอาจารย์ดาวิษาไปปฎิบัติหน้าที่ ณ.โรงเจ เฮงฮุ้นยี่ คลอง7 รังสิต-นครนายก (เปลี่ยนจากวันพฤหัสมาเป็นวันศุกร์)

    10.45 น. ถวายภัตตาหารเพล พระอาจารย์ประสิทธิ์ ถิรจิตโต (หลวงบัง) จากวัดนก กทม. ณ. เขากะลา2 อาคารฝักข้าวโพดชั้น 11
    12.00 น. ถวายสังฆทาน
    14.00 น. คณะเดินทางไปส่งอาจารย์ทั้งสองท่าน พร้อมขนสัมภาระต่างๆ
    15.00 น. ถึงโรงเจ เฮงฮุ้นยี่
    15.30 น. เริ่มช่วยกันจัดแจงที่พักให้ท่านอาจารย์ทั้งสอง และจัดสถานที่ตกแต่งสถานธรรม จัดตั้งหิ้งพระ


    วันเสาร์ที่ 27 กย 2551ปฎิบัติธรรมตามระบบเหมือนเช่นเคย ณ. เขากะลา 2 อาคารฝักข้าวโพด1 ชั้น 11

    20.00 น. สวดมนต์ทำวัตร
    20.45 น. ทำพิธีขออโหสิกรรม ลดแรงกรรม อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
    21.45 น. เริ่มทำการขยายระบบ ตอบข้อสงสัยในการปฎิบัติ


    วันอาทิตย์ 28 กย 2551 เริ่มพิธีงานกินเจ ณ.โรงเจ เฮงฮุ้นยี่ คลอง7 รังสิต-นครนายก จัดโดยคนในระบบทุกๆท่าน

    16.11 น. เปิดมณฑลพิธี ทำพิธีอัญเชิญเทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์
    16.35 น. ทำพิธีบูชาพระรัตนตรัย ถวายประทีปพระพุทธเจ้าทั้ง 7พระองค์ พระมหาโพธิสัตว์ 2 พระองค์ สมาทานอุโบสถศีล สมาทานโพธิสัตว์ศีล มังสวิรัติศีล ประกาศอุทิศถวายเป็นพุทธบูชา
    17.45 น. เริ่มพิธีกินเจ สวดมนต์
    18.00 น. ร่วมฟังสวดวัชรปรัชญามหาปรามิตาสูตร แบบวัชรนิกาย(ธิเบต) โดยอาจารย์จากริโวเชธรรมสถาน
    (เข้าร่วมพิธีโปรดแต่งกายชุดขาว)

    หากท่านใดสนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว หรือเชิญชวนญาติธรรมเพื่อนสนิทมิตรสหายเข้าร่วมงานบุญได้ด้วยความยินดีครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    วันเสาร์ที่ 27 กย 2551 ปฎิบัติธรรมตามระบบเหมือนเช่นเคย ณ. เขากะลา 2 อาคารฝักข้าวโพด1 ชั้น 11

    20.00 น. สวดมนต์ทำวัตร
    20.45 น. ทำพิธีขออโหสิกรรม ลดแรงกรรม อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
    21.45 น. เริ่มทำการขยายระบบ ตอบข้อสงสัยในการปฎิบัติ


    เสาร์ที่ 27 ก.ย. 2551 นี้ พบกันที่อาคารฝักข้าวโพด 1 ชั้น 11
    ซอยรามคำแหง 40 นะครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...