ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]


    พระกลางลาน อีกหนึ่งพระขลังของหลวงปู่สีและหลวงปู่ดู่ วัดสะแก

    เหรียญ เปิดโลก เอ่ยชื่อนี้ผมว่าทุกท่านคงจะรู้จักันเป็นแน่แท้ อันเกิดจากรูปลักษณ์ภายนอกหนึ่ง พิธีกรรมหนึ่ง และที่สำคัญค่านิยมที่พุ่งพรวด ที่สำคัญของปลอมก็มีกุรุสๆเช่นกัน แต่ยังมีพระเครื่องรุ่นหนึ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่แพ้พิธีเปิดโลกแน่นอน และที่สำคัญน่าจะเป็น "คลัง" พลังจิตของวัดสะแกเลยด้วยซ้ำ

    "พระกลางลาน" หรือ "พระพุทธไตรรัตนะมหาจัตตุดมนพรัตน์ศรีสัมฤทธิ์"

    เนื่อง ด้วยลป.สีท่านประสงค์ที่จะหาทุนเพื่อบูรณะวัดคาน หาม อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวัดแถวบ้านเกิดของท่าน จึงได้จัดสร้างพระกลางลานขึ้นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2509 เป็นแบบพระเทหล่อโบราณ จำนวนการสร้างทั้งสิ้นประมาณ 550 องค์ ออกให้ทำบุญองค์ละ 200 บาท และ มีใบอนุโมทนาแนบไปพร้อมกับองค์พระด้วยครับ

    ใน เรื่องของการออกแบบนั้นได้นายช่างเกษม มงคลเจริญ ซึ่งเป็นช่างชั้นครูที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้นเป็นผู้แกะแม่พิมพ์ถวาย ส่วนตัวพุทธศิลป์ได้รับอิทธิพลมาจากพระบูชาสมัยสุโขทัย จึงทำให้องค์พระนั้นอ่อนช้อยและงดงามมาก มีคุณลุงสำเภา คมสัน (น.ต.สำเภา คมสัน ในสมัยนั้น) เป็นผู้ดูแลการจัดสร้าง

    ใน ส่วนของตัวมวลสารเท่าที่ทราบ ลป.สีท่านได้จารแผ่นชนวนบรรจุอักขระยันต์จำนวนมาก ตะกรุดและแผ่นยันต์เก่าของอาจารย์เฮง ไพรวัล พระบูชาเก่าแก่ที่แตกหักชำรุดเสียหายจำนวนมาก ตลอดจนทองคำ เงิน ทองเหลือง ฯลฯ ตามแต่ที่ลูกศิษย์ลูกหาที่ศรัทธาจะนำมาร่วมในพิธี มาเทหล่อคละเคล้าเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อเทหล่อเรียบร้อยแล้วจึงจำมาแต่งองค์พระอีกทอดหนึ่ง

    ใน เรื่องของพิธีกรรมการสร้างนั้น ลป.สี ท่านเป็นประธานในการทำพิธีพุทธาภิเษก โดยนิมนต์พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณและเป็นศิษย์ร่วมอุปัชฌาย์เดียวกับ ท่านคือ ลพ.กลั่น วัดพระญาติฯ มาร่วมพิธี อาทิ ลป.ใหญ่ วัดสะแก ลพ.อั้น วัดพระญาติฯ หลังจากเสร็จพิธีปลุกเสกหมู่แล้ว ลป.สี ท่านได้นำพระชุดนี้เข้าไปเก็บในกุฎิและปลุกเสกต่ออีก 1 พรรษา แล้วจึงนำออกให้บูชา ในส่วนของพระนามเต็มของพระกลางลานนั้นจริง ๆ แล้วลป.สี ท่านได้เตรียมพระนามไว้จำนวนหนึ่ง ซึ่งทุกพระนามล้วนไพเราะและมากไปด้วยความหมาย แต่สุดท้ายท่านให้คุณลุงสำเภา คมสัน เป็นผู้เลือกจึงได้พระนามอย่างเป็นทางการว่า "พระพุทธไตรรัตนะมหาจัตตุดมนพรัตน์ศรีสัมฤทธิ์"

    อีกประเด็นหนึ่งที่จะไม่ลืมกล่าวเสียมิได้คือ พระกลางลานนั้นนอกจากลป.สี และเหล่าพระเกจิอาจารย์ร่วมอุปัชฌาย์ตามที่กล่าวแล้วข้างต้นจะเป็นผู้ปลุก เสกแล้ว ยังมีอีกท่านหนึ่งที่ไม่ได้นั่งร่วมปรกในพิธี แต่ได้อธิษฐานจิตโดยอาราธนาเอาวิมานแก้วพระพุทธเจ้าไปครอบพระกลางลานนั่นก็ คือลป.ดู่ พรหมปัญโญ ด้วยความตั้งใจที่จะให้พระกลางลานนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เสียชื่อวัดสะแก เพราะท่านก็อาศัยอยู่ที่นี่เหมือนกัน ซึ่งในวันต่อมาลป.สีท่านได้เดินทางไปที่กุฎิของลป.ดู่ พร้อมทั้งสอบถามจนได้ความจริง

    แต่ จากข้อมูล ของคุณสุธันย์ สุนทรเสวี ซึ่งเป็นผู้ที่อยุ่ในพิธีนั้นด้วย ยืนยันว่าหลวงปู่ดู่ เป็น 1 ใน 4 องค์ ที่นั่งปรกคุมธาตุ ในพิธีเททองพระกลางลาน อย่างแน่นอน อีก 3 องค์ ประกอบด้วย หลวงปู่สี, หลวงปู่ใหญ่ และหลวงพ่ออั้น วัดพระญาติค การที่หลวงปู่สี นำพระกลางลาน ที่เททองและตัดชนวนออกแล้วไปตรวจสอบรังสีจิตที่ปรากฎในพระกลางลาน และพบวิมานแก้วครอบอยู่ ได้ไปสอบถามจากหลวงปู่ดู่ครับ จึงไดรับการยืนยันจากปากของหลวงปู่ดู่เองว่าหลวงปู่เป็นผู้อธิษฐานจิต อัญเชิญมา

    ...หลวงปู่ดู่ลงไปเสกเป็นองค์ สุดท้าย พอท่านลงนั่งภาวนา ไฟก็ดับพรึ่บทั้งวัดเลย ท่านเสกอยู่นาน 30 นาทีครับ ไฟก็ติด ...หลวงปู่สีท่านเป็นนักเช็ค ท่านก็นำไปตรวจดูท่านถึงรู้ว่าหลวงปู่ดู่ทำอะไรกับพระของท่าน


    ขอขอบคุณ

    เนื้อเรื่อง สวนขลัง
    ภาพ พรครูบา


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2009
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สังฆราชาผู้เลิศด้วยความสำรวม


    [​IMG]

    "คำ สั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นสั่งสอนอยู่ในภายใน ปฏิบัติได้อยู่ในภายใน รู้ยิ่งเห็นจริงได้เองทุก ๆ คน มีเหตุตรองตามให้เห็นได้จริงทุกๆคน ปฏิบัติก็ได้ผลจริงทุก ๆ คน เพราะไม่ได้สอนในภายนอก แต่ว่าสอนในภายใน แล้วก็เป็นเหตุเป็นผลที่ ตรองตามให้เห็นได้ ปฏิบัติได้ "


    หากให้ “เดา” ว่าพระธรรมเทศนาด้านบนนี้เป็นของพระภิกษุรูปใด เชื่อได้ว่ามีคนไม่น้อยทีเดียวที่จะต้อง “เดา” ว่าพระภิกษุผู้เป็นเจ้าของ พระธรรมเทศนาด้านบนนี้ต้องเป็นพระสายปฎิบัติฝ่ายอรัญวาสีหรือที่เราๆ ท่านๆ มักเรียกว่า “พระป่า” หรือ “พระกรรมฐาน” ด้วยคำสอนนั้นเน้นให้พิจารณา “สิ่งที่อยู่ภายในกายตน” ซึ่งมักเป็นคำสอนของ “พระป่า”
    หาก แต่เมื่อทำการเฉลยแล้วอาจทำให้หลายๆท่านแปลกใจว่า พระภิกษุเจ้าของพระธรรมเทศนานี้เป็นพระที่สำเร็จด้านปริยัติธรรมสูงสุดคือ เปรียญธรรม 9 ประโยค และมีสมณศักดิ์เป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะที่ ดำรงตำแหน่ง “สังฆราชา” แห่งสังฆมลฑลไทย
    ใช่ แล้วครับพระธรรมเทศนาด้านบนนี้เป็นพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จ พระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวัฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน
    หาก จะเขียนถึงสมเด็จพระญาณสังวรโดยไม่กล่าวถึงพระประวัติเกรงจะทำให้ขาดอรรถรส ไปบ้างพอสมควรดังนั้นก็ขอกล่าวแต่เพียงสังเขปพอได้ใจความเพราะเกรงจะเป็นการ เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน(ขลัง)
    สมเด็จ พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระนามเดิมว่า เจริญ นามสกุล คชวัตร นามฉายาว่า สุวัฑฒโน ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ลำดับที่ ๖ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นต้นมา
    สมเด็จฯ มีชาติภูมิอยู่ ณ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นบุตรคนที่ ๑ ในจำนวนบุตร ๓ คน ของนายน้อย คชวัตร และนางกิมน้อย คชวัตร ชาติกาล ณ บ้านวัดเหนือ ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ เวลา ๐๔.๐๐ น. เศษ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
    อายุ ได้ ๘ ขวบ ได้เข้าศึกษาชั้นต้น ณ โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม และโรงเรียนในสมัยนั้นก็คือ ศาลาวัดนั่นเอง จบชั้นประถม ๓ ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๖๙ มีอายุย่างเข้าปีที่ ๑๔ ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดเทวสังฆาราม มีพระครูอดุลสมณกิจ (ดี พุทธโชติ) เป็นพระอุปัชฌาย์

    เมื่อ ออกพรรษาแล้วได้ไปเรียนบาลีไวยากรณ์ที่วัดเสนหา จังหวัดนครปฐม ในพรรษานั้น เพื่อกลับมาสอนที่วัดเทวสังฆาราม ในพรรษาต่อมาคือ พ.ศ. ๒๔๗๒ พระครูอดุลสมณกิจได้พาสมเด็จฯ มาถวายตัวต่อเจ้าพระคุณสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (พระ ยศในขณะนั้นของ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์) เพื่ออยู่ศึกษาต่อ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ประทานนามฉายาว่า สุวัฑฒโน
    พ.ศ. ๒๔๗๒ อายุ ๑๗ ปี สอบได้นักธรรมชั้นตรี เมื่อถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็สอบได้นักธรรมชั้นเอก และเปรียญ ๔ ประโยค
    พ. ศ. ๒๔๗๖ สมเด็จฯ มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ จึงได้กลับไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเทวสังฆาราม พระครูอุดมสมณกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทแล้วอยู่จำพรรษาช่วยสอนปริยัติธรรม ณ วัดเทวสังฆาราม ๑ พรรษา ออกพรรษาแล้วจึงกลับมาวัดบวรนิเวศวิหาร อุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุตอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๖ เจ้าพระคุณสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (พระสมณศักดิ์ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในขณะนั้น) ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ แม้จะกลับมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร ก็ยังคงไปมาช่วยสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามอยู่อีก ๒ ปี
    พ.ศ. ๒๔๗๖ อายุ ๒๑ ปี สอบได้เปรียญ ๕ ประโยค จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๘๔ อายุ ๒๙ ปี ก็สอบได้เปรียญ ๙ ประโยค
    ใน ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๗-๘ สมเด็จฯ ได้ศึกษาภาษาอังกฤษและภาษาสันสกฤต เป็นพื้นฐานได้ศึกษาด้วยตนเองในเวลาต่อมา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ สมเด็จฯ ทรงนำมาใช้ประโยชน์เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ สมเด็จฯ ยังได้ศึกษาภาษาเยอรมันและฝรั่งเศสด้วย โดยใช้เวลาว่างในตอนเย็นหรือกลางคืน ศึกษากับครูคฤหัสถ์ที่มาสอนเป็นการส่วนตัว แต่เนื่องจากไม่มีเวลาศึกษาอย่างติดต่อ ภายหลังจึงได้เลิกร้างไป
    เมื่อ สอบได้เปรียญชั้นสูงแล้ว สมเด็จฯ ก็เริ่มรับภาระหน้าที่ต่างๆ ทั้งวัดบวรนิเวศวิหาร ของคณะสงฆ์ และขององค์กรต่างๆ ทางพระพุทธศาสนามาโดยตลอด
    ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๔ จนถึงปัจจุบัน สมเด็จฯ ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ที่สำคัญดังต่อไปนี้
    พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
    พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะสามัญที่ พระโสภณคณาภรณ์
    พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราชในราชทินนามเดิม
    พ.ศ. ๒๔๙๘ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นเทพในราชทินนามเดิม
    พ. ศ. ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เสด็จออกทรงผนวช เสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างวันที่ ๒๒ ตุลาคม ถึง ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระราชอุปัธยาจารย์ ทรงเลือกสมเด็จฯ เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในระหว่างที่ทรงผนวช และก็ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมวราภรณ์รักษาการพระวินัยธรชั้นฎีกา ในศกนี้
    พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร สืบต่อจากพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ)
    พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร
    พ. ศ. ๒๕๓๒ วันศุกร์ที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๓๒ ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    หากบทความนี้จะจบลงแค่เพียงพระประวัติของท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯก็เกรงว่าจะไม่ได้อรรถรสและคงไม่ทำให้การนำเสนอ ใน“สวนขลัง” นี้ต่างจากการนำเสนอจากแหล่งอื่นในโลกไร้พรมแดนนี้ คงเหมือนกับการรับประทานปลากระป๋องที่ต่างกันเพียงแค่ “ฉลาก” แต่รสชาติก็เหมือนๆกันซ้ำซากจำเจ ...
    แต่สวนขลังก็ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีที่ใดเหมือน...
    ในตอนต้นที่นำเสนอพระธรรมเทศนานั้นจะไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยหากมีใครสักคนเดาว่าเป็น “คำสอน” จากพระธุดงค์กรรมฐานที่เลิศยิ่งด้านวิปัสนาธุระ ด้วยว่าสมเด็จพระญาณสังวรนี้ถึงแม้ว่าท่านจะทรงภูมิศึกษาพระปริยัติธรรมจน ถึงขึ้นสูงสุดคือเปรียญธรรม 9 ประโยคแล้ว ท่านก็มิได้ทรงละเลยด้านการปฏิบัติธรรมเลย ดังจะเห็นได้อยู่เสมอเมื่อครั้งที่สังขารขันธ์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯท่านยัง แข็งอยู่โดยจะทรงหาโอกาสไปศึกษาด้านจิตตภาวนากับพระวิปัสนาจารย์ฝ่าย อรัญวาสีอยู่เป็นประจำทั้งที่มีอายุพรรษามากกว่าเช่น หลวงปู่แหวน สุิจิณโณวัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี (จ.หนองบัวลำภูในปัจจุบัน) หลวงปู่เทศน์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร และวัดถ้ำขาม จ.สกลนคร โดยจะเสด็จไปประทับอยู่เป็นเวลาหลายวันเพื่อสนทนาธรรมและปฏิบัติภาวนาส่วน พระองค์หรือหากเป็นพระผู้มีอายุกาลพรรษาใกล้เคียงกัน หรือแม้แต่น้อยกว่า หากแต่เป็นผ้มีความชำนาญด้านปฏิบัติภาวนาแล้วพระองค์ก็เสด็จไปศึกษาด้วยเช่น กัน อาทิ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้าตาด จ.อุดรธานี พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงค์ธรรม จ.สกลนคร พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดภูทอก จ.หนองคาย พระอาจารย์เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูิริทัตตปฏิปทาราม จ.ปทุมธานีเป็นต้น
    หรือ หากพระเถรานุเถระทั้งหลายนี้มีกิจนิมนต์มาที่กรุงเทพก็จะเข้าำพำนักที่ วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งมีองค์สมเด็จพระญาณสังวรเป็นเจ้าอาวาสทุกคราวไปตัวอย่างเช่นพระอาจารย์ มหาบัว ญาณสัมปันโนเมื่อครั้งที่ยังไม่ได้มีการสร้าง “สวนแสงธรรม” ที่พุทธมณฑล สาย 3 เมื่อมีกิจที่จะต้องมาำพำนักในกรุงเทพฯ ท่านก็จะมาพำนักที่ วัดบวรนิเวศวิหารเสมอเป็นเหตุให้ท่านมีความคุ้นเคยกับสมเด็จพระญาณสังวรเป็น อย่างดี เนื่องจากมีอายุเท่ากันและพรรษาที่ใกล้เคียงกัน ...
    เรื่อง ข้อวัตรปฏิบัตินี้เจ้าพระคุณสมเ็ด็จฯท่านก็ถือปฏิบัติเคร่งครัดยิ่งนัก จะมีน้อยคนที่รู้ว่าท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯถือธุดงควัตรอยู่ข้อหนึ่งคือ ทรงเสวยมื้อเดียวมาตลอดเว้นแต่ทรงปชวร หรือดังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดของท่านเจ้าพระคุณ สมเด็จฯว่าในคราวหนึ่งเมื่อครั้งที่ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระญาณสังวร มีพระชนมายุ 60 พรรษาเศษแล้ว ได้เสด็จไปประทับที่วัดถ้ำขาม เพื่อศึกษา และปฏิบัติภาวนากับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดนี้ตั้งอยู่บนยอดเขา เวลาบิณฑบาต ต้องเดินลงมาที่ศาลารับบิณฑบาตซึ่งอยู่ข้าล่าง ทางเดินเป็นหินที่ค่อนข้างชัน และลำบาก พระเณรจึงกราบทูลพระองค์ว่าไม่ต้องเสด็จลงไปรับบิณฑบาตข้างล่าง เพราะพระเณรจะรับบิณฑบาตมาถวายเอง แต่พระองค์ไม่ทรงยินยอม จึงเสด็จลงเขาไปรับบิณฑบาตจากชาวบ้านร่วมกับพระเณรด้วยพระองค์เองทุกวัน หรือแม้แต่การเสวยก็ทรงเสวยมื้อเดียว และเสวยในบาตรเฉกเช่นวัตรที่ “พระป่า” ถือปฏิบัติมาเช่นกัน ...
    ด้วย เหตุนี้จึงเป็นหตุให้พระเถระฝ่ายอรัญญวาสีเหล่านั้นจึงมักเอ่ยชื่นชมแล ยกย่องถึงพระองค์อยู่เสมอเช่นหลวงปู่แหวน สุจิณโณ และหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่แม้ท่านจะเป็นพระวิปัสสนาจารย์ซึ่งไม่ใคร่ที่จะให้คนยึดติดกับวัตถุมงคล นัก หากแต่ก็อนุโลมหากเป็นไปเพื่อการก่อสร้างถาวรวัตถุัและสาธารณกุศล นั่นเป็นเหตุให้เหล่าผู้นิยมพระปฏิบัติดี แลพระขลังต่างมุ่งหน้าบุกป่าฝ่าดงไปนมัสการท่านถึงอารามที่ำำพำนัก...
    แต่ แล้วพระเถระผู้เฒ่านั้นกลับแนะนำชาวกรุงเทพฯที่อุตสาห์ดั้นด้นมาเป็นร้อยๆ กิโลเมตรว่า ไม่จำเป็นต้องมากราบท่านถึงที่วัดก็ได้ เพราะหนทางไกล และลำบาก หากอยากกราบพระดี ให้ไปกราบสมเด็จฯวัดบวรก็ได้...
    หากกล่าว ถึงสมณศักดิ์ของพระเถรานุเถระแล้วบางสมณศักดิ์ก็เป็นสมณศักดิ์ที่สืบทอดกัน มาหากองค์หนึ่งถึงแก่มรณภาพแล้วสมณศักดิ์นั้นก็จะได้รับพระราชทานให้แก่พระ เถระที่เหมาะสมต่อไปเช่น สมณศักดิ์ที่ “พระภาวนาพิศาลเถร” ซึ่งเป็นสมณศักดิ์ของพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ ซึ่งมีพระเถระที่เคยได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้คือ พระภาวนาพิศาลเถร (หนู ฐิตปัญโญ) หรือ พระภาวพิศาลเถร (พุธ ฐานิโย) เป็นต้น
    แต่ ในบางคราวได้มีการตั้งสมณศักดิ์ใหม่เป็นพระกรณีพิเศษเพื่อพระราชทานอย่าง จำเพาะเจาะจงให้กับพระภิกษุบางรูปซึ่งสมณศักดิ์นั้นจะมีความหมายแสดงนัยถึง คุณลักษณะของพระรูปนั้นโดยเฉพาะเช่น พระญาณวิทยาคม (สมณศักดิ์พระราชาคณะชั้น “สามัญ” ) ,พระราชวิทยาคม (สมณศักดิ์พระราชาคณะชั้น “ราช” ) ,พระเทพวิทยาคม (สมณศักดิ์พระราชาคณะชั้น “เทพ”) สมณศักดิ์เหล่านี้มีความหมายแสดงโดยนัยว่าพระเถระที่ได้รับสมณศักดิ์นี้ย่อมมี “ความเด่น” ทางด้านวิทยาคมอย่างยิ่ง ซึ่งพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้คือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา นั่นเอง...
    และหากพิจารณาถึงสมณศักดิ์สมเด็จพระราชาคณะที่ “สมเด็จพระญาณสังวร” นั้นเป็นตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ ซึ่งตามพระนามหมายถึงผู้ที่ความสำรวมในความรู้อย่างยิ่ง (“ญาณ” หมายถึง ความรู้ และ “สังวร” หมายถึง สำรวม) หรือหากอ้างถึงพระอรรถกถาความหมายของ "ญาณสังวร” จะเป็นหัวข้อหนึ่งในสังวรวินัย 5 คือ สีลสังวร สติสังวร ญาณสังวร ขันติสังวร และวิริยสังวร.
    และดังได้มีอรรถาธิบายความหมายของ “ญาณสังวร” ว่า
    สังวรที่ตรัสไว้ว่า

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอชิตะ กระแส (ตัณหา)
    เหล่าใด ในโลกมีอยู่ สติย่อมเป็นเครื่องห้ามกระแสเหล่า
    นั้น เราตถาคตกล่าวสติว่าเป็นเครื่องระวังกระแสทั้งหลาย
    กระแสเหล่านั้นอันบุคคลย่อมละด้วยปัญญานี้เรียกว่าญาณสังวร.



    สมณศักดิ์ที่”สมเด็จพระญาณสังวร”นี้ตั้ง ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชพระราชทานแก่พระอาจารย์สุก วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) พระเถระที่เลื่องลือด้านวิปัสนาธุระและเปี่ยมด้วยเมตตายิ่ง ถึงขนาดมีตำนานเล่าว่าสามารถแผ่เมตตาให้ไก่ป่าที่ได้ชื่อว่าปราดเปรียวและ ระแวงภัยยิ่ง ให้เชื่องเหมือนไก่บ้านได้ ครั้นสมเด็จพระญาณสังวร(สุก) ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ชาวประชาทั้งหลายจึงมักพากันขนานนามท่านว่า “สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน” นับตั้งแต่เมื่อครั้งสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ก็มิได้มีพระเถระรูปใดได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ “สมเด็จพระญาณสังวร” อีกเลยเป็นเวลานานถึง 152 ปี ( พ.ศ. 2463 ถึง 2515) จนได้มีการพระราชทานสมณศักดิ์นี้แด่ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯเป็นที่สมเด็จพระ ญาณสังวร (เจริญ สุวัฒโณ) เมื่อปี พ.ศ.2515
    นอก จากนี้หากนับความพิเศษในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯท่านก็มีความพิเศษอยู่อีกข้อหนึ่งซึ่งสมควรบันทึกไว้ คือเมื่อพระองค์ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯให้ใช้พระนาม “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก” เป็นกรณีพิเศษ เช่นเดียวกับสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นราชวงศ์ เนื่องจากตามปกติ สมเด็จพระสังฆราชที่มิใช่พระราชวงศ์จะออกพระนามว่า “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก” แล้ววงเล็บพระนามตามหลังเหมือนกันหมดทุกประองค์ เช่น สมเด็จพระอริวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (อยู่ ญาโณทัย) วัดสระเกศ เป็นต้้น



    AmpolJane.com :: �Ӿ� ਹ, �׺�Ҿ������ͧ��, �ô���ѧ, �������ͧ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2009
  3. sophon2009

    sophon2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +1,311
    ผมโสภณ ศิริดำรงค์ศักดิ์ และครอบครัว ขอร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธครับ

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" align=center bgColor=#bdc9d5 border=0><TBODY><TR><TD background=/krungsri_thai/pic_ib/bullet/bar1.gif height=22> </TD><TD background=/krungsri_thai/pic_ib/bullet/bar1.gif>
    ชื่อเรียกแทนบัญชี
    </TD><TD background=/krungsri_thai/pic_ib/bullet/bar1.gif>
    ชื่อบัญชี
    </TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD width="32%" bgColor=#ffffff>บัญชีผู้โอน</TD><TD width="34%">
    5381011891 ​
    </TD><TD width="34%" bgColor=#ffffff>
    SOPHON ​
    </TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD>บัญชีผู้รับโอน</TD><TD>
    Monk Donate ​
    </TD><TD bgColor=#ffffff>
    PRATOM F. ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=/krungsri_thai/pic_ib/bullet/dot_18.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="59%">
    จำนวนเงินที่ต้องการโอน​
    </TD><TD width="41%">
    2,000.00 บาท ​
    </TD></TR><TR><TD>
    ค่าธรรมเนียมการโอนข้ามเขต​
    </TD><TD>
    0.00 บาท ​
    </TD></TR><TR><TD>
    ค่าคู่สาย​
    </TD><TD>
    0.00 บาท ​
    </TD></TR><TR><TD></TD><TD>
    </TD></TR><TR><TD>
    </TD><TD>
    </TD></TR><TR><TD>
    </TD><TD>
    </TD></TR><TR><TD>
    </TD><TD>
    </TD></TR><TR><TD>
    การแจ้งให้ผู้รับทราบ​
    </TD><TD>
    ไม่ต้องการ​
    </TD></TR><TR><TD>
    แจ้งโดย​
    </TD><TD>
    -​
    </TD></TR><TR><TD>
    หมายเลขอ้างอิง​
    </TD><TD>
    bayi8893885​
    </TD></TR><TR><TD>
    วัน / เวลา ​
    </TD><TD>
    06/06/2009 07:09:43 PM ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    ได้รับพระแล้วครับ สวยงามมากครับ
    เป็นบุญที่ได้พระท่านมาบูชาครับ
    ขอบคุณมากครับและโมทนาบุญกับผู้ร่วมจัดสร้างและผู้เกี่ยวข้องทุกๆท่านนะครับ
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ย้อนอดีตไปเมื่อปีที่แล้วในวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นวันครบรอบการก่อตั้งทุนนิธิที่มีชื่อเต็มว่า "ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร" ที่มีพันธกิจหลักในการสงเคราะห์สงฆ์อาพาธตาม รพ.ต่างๆ และภารกิจรองคือให้การสนับสนุนในการก่อสร้างถาวรวัตถุในพุทธศาสนาและช่วยเหลือหรือให้ความเมตตาธรรมแก่ผู้ที่ยากไร้ต่างๆ ตามที่คณะกรรมการฯ เห็นสมควร โดยในปีก่อนทางคณะกรรมการทุนนิธิฯ ได้เชิญท่าน อ.ประถมฯ มาจาก จ.ชลบุรี เพื่อมาเป็นเกียรติในการร่วมกิจกรรมทำบุญพร้อมถวายสังฆทาน ที่รพ.สงฆ์ โดยท่าน อ.ประถมฯ ก็มิได้ทำให้พวกเราผิดหวัง ท่านได้มาเล่า มาเปิดเผยถึงความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระพิมพ์สกุลพระวังหน้า และพระพิมพ์สกุลบรมครูเทพโลกอุดรให้ผู้ที่สนใจฟังอย่างไม่ปิดบัง

    คราวนี้อีกเช่นกันในวันอาิทิตย์ที่ 28 มิถุนายน 2552 นี้ ทุนนิธิฯ ได้ก่อตั้งมาครบ 1 ปีครึ่ง ทางคณะกรรมการฯ จึงเห็นพ้องต้องกันที่จะ้เดินทางไปขอให้ท่านได้มาเป็นเกียรติอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากท่านตอบรับแล้ว กำหนดการต่างๆ ในการจัดกิจกรรมจะได้แจ้งให้ทราบอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ก็ยังไม่ได้คิดเหมือนกันว่าจะแจกพระพิมพ์อะไรให้เพื่อเป็นเครื่องระลึกในวันครบรอบปีครึ่งนี้ครับ แต่ยังไงก็ตามมีแจกให้สำหรับผู้ที่ไปร่วมกิจกรรมประจำเดือนในงานครบรอบ 1 ปีครึ่งนี้ ฟรีแน่นอน ยังไงก็พยายามเข้ามาอ่านในกระทู้นี้ให้ได้น๊ะครับ หรือพยายามเคลียร์ภารกิจการงานต่างๆ ไว้ล่วงหน้า เพราะพระที่แจกคงไม่รับฝากกันไปให้ คงให้เฉพาะผู้ที่มาร่วมงานบุญเท่านั้นเองเพราะพระมีมาไม่มาก

    สุดท้ายนี้คณะกรรมการฯ ก็ต้องขอขอบคุณหลายๆ ท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้เป็นประจำ และที่เข้ามาใหม่ หากช่วงนี้มีการหายหกตกหล่นในเรื่องการปรับปรุงข้อมูล ต้องขออภัยกันด้วยครับ เพราะหลายคนติดภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวกันมากจริงๆ แต่หากพอมีเวลาแล้ว รับรองจะมาโพสท์บทความต่างๆ ตามที่แต่ละคนถนัดให้ได้อ่าน ได้ศึกษากันอย่างแน่นอนครับ

    ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งด้วยใจจริง

    พันวฤทธิ์
    7/6/52

    บทคัดย่อของทุนนิธิฯ

    <table cellpadding="3" cellspacing="0"><tbody><tr><td align="center" valign="top" width="80"> [​IMG]
    </td> <td valign="top"> ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ
    ด้วย ในปัจจุบันพระภิกษุสงฆ์อาพาธตามโรงพยาบาลต่างๆ เช่น รพ.สงฆ์ ยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก พระสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็นเนื้อนาบุญของเรา ดังคำกล่าวที่ว่า"ผู้ใดปราถนาจะอุปปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงรักษาภิกษุป่วยไข้"
    ผู้เขียน: pratomfoundation ชมแล้ว: 156,646 ครั้ง
    post ครั้งแรก: Thu 7 February 2008, 3:43 am ปรับปรุงล่าสุด: Sat 23 May 2009, 2:26 pm
    อยู่ในส่วน: พักผ่อนหย่อนใจ, วิชาการ.คอม, สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป, โรคภัยไข้เจ็บ, อาหารการกิน, กิจกรรมพิเศษ, ศาสนา
    <input value="article" type="hidden"> <input value="34941" type="hidden"> <input value="vblog" type="hidden">

    </td> </tr> </tbody></table>สารบัญ
    1-20 | 21-40 | 41-60 | 61-80 | 81-100 | 101-120 | 121-132

    หน้า : 1 บทนำ
    หน้า : 2 จุดเริ่มต้นและแนวทางการดำเนินงาน
    หน้า : 3 ความคืบหน้าและยอดเงินบริจาค ณ เดือน ธันวาคม 2550
    หน้า : 4 พี่ใหญ่ฝากมา...
    หน้า : 5 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน ธันวาคม 2550 #1
    หน้า : 6 ความรู้ปู่ให้มา..พระสมเด็จกรุบางน้ำชน (ปีระกาป่วงใหญ่)
    หน้า : 7 ความรู้ปู่ให้มา..พระสมเด็จปูนสอ "สมเด็จอัศนี"
    หน้า : 8 พระท่าดอกแก้วที่ อ.ประถม อาจสาครสร้าง
    หน้า : 9 ความคืบหน้าและยอดเงินบริจาค ณ เดือน มกราคม 2551
    หน้า : 10 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มกราคม 2551 #2
    หน้า : 11 ความคืบหน้าและยอดเงินบริจาค ณ เดือน กุมภาพันธ์ 2551
    หน้า : 12 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2551 #3
    หน้า : 13 การไหว้ 5 ครั้ง (ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร ) วัดเทพศิรินทราวาส
    หน้า : 14 แจ้งกำหนดการร่วมทำบุญเดือน มีนาคม
    หน้า : 15 ภาพพระโลกอุดรที่เรียกว่า "กรุเก่า"
    หน้า : 16 ใบเสร็จรับเงินที่ไปทำบุญมาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2551
    หน้า : 17 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2551 #4
    หน้า : 18 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2551 #4 หน้า 2
    หน้า : 20 "กระดูก 300 ท่อน" สุดยอดธรรมจากหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
    หน้า : 21 ย้อนหลังกลับมาคุยถึงเรื่อง พระกำลังใจ 2

    หน้า : 22 ชนวนที่ใช้ในการสร้างพระกำลังใจ 2 หน้าที่ 1
    หน้า : 23 ชนวนที่ใช้ในการสร้างพระกำลังใจ 2 หน้าที่ 2
    หน้า : 24 สรุปยอดเงินบริจาคที่ Update ยอดเมื่อวันนี้ 10 เมษายน 2551
    หน้า : 25 ใบโมทนาบัตรเมื่อคราวไปทำบุญเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2551
    หน้า : 26 สรุปรายการพระที่นำมามอบให้เป็นสำหรับผู้ร่วมทำบุญกับทุนนิธิ ฯ
    หน้า : 27 บรรยากาศแบบไทย ๆ ณ บ้านอาจารย์ประถม อาจสาคร ร่วมกับ คณะกรรมการทุนนิธิฯ
    หน้า : 28 พระอีกรุ่นหนึ่งที่เป็นพระที่ อ.ประถมฯ สร้างไว้...
    หน้า : 29 คำบอกเล่าเกี่ยวกับกิจกรรมทำบุญครั้งที่ 5 ของทุนนิธิฯ...จากประธานทุนนิธิฯ
    หน้า : 30 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน เมษายน 2551 #5
    หน้า : 31 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน เมษายน 2551 #5-2
    หน้า : 32 รูปขณะที่ทางประธานทุนนิธิฯและคณะกรรมการได้นำกระเช้า ไปกราบเยี่ยมอาการผ่าตัดต้อที่ตาของ อาจารย์ประถม ที่บ้าน
    หน้า : 34 ประชาสัมพันธ์ งานบุญที่ รพ.สงฆ์ ครั้งที่ 6/51
    หน้า : 35 รายละเอียด ก่อนเริ่มการทำบุญ ในวันอาทิตย์ที่ 25/5/2551
    หน้า : 36 รายงานการถอนเงินออกมาเพื่อทำบุญ และ สรุปยอดเงินบริจาคที่ Update ยอดเมื่อ 27/05/08
    หน้า : 37 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน พฤษภาคม 2551 #6 หน้าที่ 1
    หน้า : 38 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน พฤษภาคม 2551 #6 หน้าที่ 2
    หน้า : 39 แจ้งข่าว หลวงปู่อ่อนศรี ฐานวโร วัดถ้ำเขาประทุน ชลบุรี ได้มรณภาพแล้วด้วยอาการสงบ
    หน้า : 40 แจ้งข่าวเรื่องการทำบุญ รพ.สงฆ์ ในวันที่ ๒๒/๐๖/๒๕๕๑
    หน้า : 41 ขอประชาสัมพันธ์กิจกรรมของทุนนิธิฯ วันที่ 22 มิ.ย (ครั้งที่ 7)
    หน้า : 42 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มิถุนายน 2551 #7 หน้าที่ 1

    หน้า : 43 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มิถุนายน 2551 #7 หน้าที่ 2
    หน้า : 44 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มิถุนายน 2551 #7 หน้าที่ 3
    หน้า : 45 ประธานทุนนิธิฯ แจ้งยอดการทำบุญในครังที่ 7 นี้ และใบเสร็จแจ้งการทำบุญ ร่วมโมทนาบุญด้วยกันครับ
    หน้า : 46 พระนาคปรกมหาลาภ
    หน้า : 47 ประชาสัมพันธ์กิจกรรมสำหรับงานบุญประจำเดือนกรกฎาคม 2551
    หน้า : 48 หลักฐานการโอนเงินเข้ากองทุนของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และ กองทุนสงฆ์อาพาธ รพ. 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ์ จ.อุบลฯ
    หน้า : 49 ใบโมทนาบัตรที่ทางโรงพยาบาลสงฆ์ และของทาง รพ.50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ จ.อุบลส่งมาให้ทางทุนนิธิฯทั้งของเดือน พฤษภาคมและเดือนมิถุนายน
    หน้า : 50 การเบิก-จ่ายในงานบุญ ๒๗/๐๗/๒๕๕๑
    หน้า : 51 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน กรกฏาคม 2551 #8 หน้าที่ 1
    หน้า : 52 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน กรกฏาคม 2551 #8 หน้าที่ 2
    หน้า : 53 พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่า พิมพ์ปรกโพธิ์
    หน้า : 54 ซื้อผ้ามัสสลิน ถวายเพื่อใช้เป็นเครื่องบริขารให้แก่พระสงฆ์อาพาธ ณ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น
    หน้า : 55 ปุจฉา - วิสัชนา
    หน้า : 56 สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าพิมพ์ใหญ่และสมเด็จปัญจสิริรุ่นแรกเนื้อเก่าสวยๆ #1
    หน้า : 57 สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าพิมพ์ใหญ่และสมเด็จปัญจสิริรุ่นแรกเนื้อเก่าสวยๆ #2
    หน้า : 58 สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าพิมพ์ใหญ่และสมเด็จปัญจสิริรุ่นแรกเนื้อเก่าสวยๆ #3
    หน้า : 59 สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าพิมพ์ใหญ่และสมเด็จปัญจสิริรุ่นแรกเนื้อเก่าสวยๆ #4
    หน้า : 60 สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าพิมพ์ใหญ่และสมเด็จปัญจสิริรุ่นแรกเนื้อเก่าสวยๆ #5
    หน้า : 61 ใบโมทนาบัตรของเดือน กรกฎาคม+ยอดเงินที่เบิกออกมาใช้ในการทำบุญกับทาง รพ.สงฆ์ ในวันที่ 24 สิงหาคม 2551
    หน้า : 62 ภาพของผ้ามัสลินที่ได้จากการบริจาคของทุนนิธิ ฯ ไปใช้หอสงฆ์ที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น

    หน้า : 65 พระกรุวังหน้าบางส่วน
    หน้า : 66 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน สิงหาคม 2551 #1
    หน้า : 67 แจงรายละเอียดการทำบุญเดือนสิงหาคม 2551
    หน้า : 68 ปิดท้ายงานบุญเดือนสิงหาคม 2551
    หน้า : 69 พระพิมพ์เจ้าสัว....
    หน้า : 70 พระกรุโลกอุดร
    หน้า : 71 พระกรุโลกอุดร พิมพ์ปิดตา อรหัง
    หน้า : 72 พระสารีริกธาตุของพระพุทธปัจเจกพุทธเจ้า
    หน้า : 73 พระสกุลวังหน้า
    หน้า : 74 พระพิมพ์สกุลวังหน้า
    หน้า : 75 พระพิมพ์สกุลวังหน้า.. ต่อ
    หน้า : 76 พระพิมพ์ของบรมครูพระเทพโลกอุดร
    หน้า : 77 แจ้งข่าวเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานขั้นต่อไปของทุนนิธิ
    หน้า : 78 ทางทุนนิธิฯตั้งใจจะแจกพระให้ในเดือนนี้นั้นก็ขอเรียนชี้แจงดังนี้นะครับ
    หน้า : 79 ภาพพระ ๒๔๐๘ เพื่อการศึกษา
    หน้า : 80 ภาพของการรักษาผู้ป่วยของ รพ.สงขลานครินทร์ ที่เราเตรียมส่งเงินไปช่วยเหลือ
    หน้า : 81 ภาพพระ ๒๔๐๘ เพื่อการศึกษา (๒)
    หน้า : 82 ใบโมทนาบัตรของโรงพยาบาล 5 พรรษา มหาวชิราลงกรณ และโรงพยาบาล ศรีนครินทร์ มาให้ได้ร่วมกันโมทนาในบุญ
    หน้า : 83 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน กันยายน 2551 #10 หน้าที่ 1
    หน้า : 84 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน กันยายน 2551 #10 หน้าที่ 2

    หน้า : 85 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน กันยายน 2551 #10 หน้าที่ 3
    หน้า : 86 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน กันยายน 2551 #10 หน้าที่ 4
    หน้า : 87 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน กันยายน 2551 #10 หน้าที่ 5
    หน้า : 88 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน กันยายน 2551 #10 หน้าที่ 6
    หน้า : 89 รายนามท่านที่บริจาคเงินสมทบเข้าทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551
    หน้า : 90 ร่วมทำบุญให้กับ รพ.แม่สอด จ.ตาก (รพ.ชายแดน)
    หน้า : 91 นำใบโอนเงินมาร่วมโมทนาบุญกับทาง ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร
    หน้า : 92 ใบอนุโมทนาบัตรที่ได้รับจากโรงพยาบาลต่าง ๆ ครับ โมทนาสาธุ
    หน้า : 93 การประชุมคณะกรรมการทุนนิธิฯ
    หน้า : 94 ภาพการทำบุญ รพ.สงฆ์ วันที่ 19 ตุลาคม 2551
    หน้า : 95 ภาพพระสมเด็จที่ระลึกในงานศพของคุณพ่อพี่พันวฤทธิ์
    หน้า : 96 รายงานยอดเงินที่ถอนไปทำบุญในเดือนนี้และใบขอบคุณและโมทนาบัตรของโรงพยาบาลต่างๆครับ
    หน้า : 97 สรุปผลการประชุม ๒๖-๑๐-๒๕๕๑ และแจ้งวันร่วมทำบุญในเดือน พฤษจิกายน ๒๕๕๑
    หน้า : 98 รายงานยอดเงินเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2551 ที่ผ่านมา
    หน้า : 99 สรุปยอดบริจาคผ้าห่มให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ที่อำเภอปัว โรงพยาบาลที่สกลนคร ของหลวงปู่แฟ๊บ และ โรงพยาบาลที่อำเภอแม่สอด
    หน้า : 100 ภาพหลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท วัดป่าดงหวาย
    หน้า : 101 รูปบรรยากาศการพบปะของลูกศิษย์และอาจารย์ ณ บ้านอาจารย์ประถม
    หน้า : 102 รูปบรรยากาศการพบปะของลูกศิษย์และอาจารย์ ณ บ้านอาจารย์ประถม ต่อ....
    หน้า : 103 ประชาสัมพันธ์เรื่องด่วนควรค่าแก่การโมทนาและสาธุบุญให้ผู้ที่บริจาคเข้าบัญชีทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธฯ
    หน้า : 104 หลักฐานการโอนเงิน และใบตอบรับ โมทนาบัตรของโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่ทางทุนนิธิฯได้ส่งเงินไปช่วย

    หน้า : 105 มีรูปมาฝากจากแม่สอด ที่เราบริจาคเพื่อซื้อผ้าห่มให้กับ สงฆ์อาพาธและไว้ใช้ที่ รพ.แม่สอด ครับ
    หน้า : 106 รูปกิจกรรมทำบุญ ครบบรอบ ๑ ปี ของทุนนิธิ ธันวาคม ๒๕๕๑ #๑๒ หน้าที่ ๑
    หน้า : 107 รูปกิจกรรมทำบุญ ครบบรอบ ๑ ปี ของทุนนิธิ ธันวาคม ๒๕๕๑ #๑๒ หน้าที่ ๒
    หน้า : 108 รูปกิจกรรมทำบุญ ครบบรอบ ๑ ปี ของทุนนิธิ ธันวาคม ๒๕๕๑ #๑๒ หน้าที่ ๓
    หน้า : 109 รายงานสรุปผลารดำเนินการของทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร
    หน้า : 110 พระดีที่น่ากราบไหว้
    หน้า : 111 แจ้งวันทำบุญ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๒
    หน้า : 112 สรุปยอดเงินสำหรับเตรียมการบริจาคในวันอาทิตย์ที่ 18 มกราคมนี้
    หน้า : 113 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มกราคม 2552 #13 หน้าที่ 1
    หน้า : 114 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มกราคม 2552 #13 หน้าที่ 2
    หน้า : 115 กำหนดการทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์ วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2552
    หน้า : 116 "พระปิยบารมีพิมพฐานบัวใหญ่" ที่ได้นำบรรจุกรุเพื่อสืบพระพุทธศาสนา
    หน้า : 117 "พระปิยบารมีพิมพ์ฐานบัวเล็ก" สำหรับแจกผู้ร่วมบริจาคทำบุญอย่างต่อเนื่องครับ
    หน้า : 118 ความเคลื่อนไหวของยอดเงินในบัญชีของทุนนิธิฯ กุมภาพันธ์ 2552
    หน้า : 119 ภาพกิจกรรมทำบุญของทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อาจารย์ประถม อาจสาคร ประจำเดือนกุมภาพันธ์
    หน้า : 120 ภาพกิจกรรมทำบุญของทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อาจารย์ประถม อาจสาคร ประจำเดือนกุมภาพันธ์ หน้าที่ 2
    หน้า : 121 ภาพกิจกรรมทำบุญของทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อาจารย์ประถม อาจสาคร ประจำเดือนกุมภาพันธ์ หน้าที่ 3
    หน้า : 122 รายละเอียดการจัดกิจกรรมทำบุญประจำเดือนในวันอาทิตย์หน้า คือวันที่ 22 มีนาคม 2552
    หน้า : 123 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2552 หน้าที่ 1
    หน้า : 124 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2552 หน้าที่ 2

    หน้า : 125 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2552 หน้าที่ 3
    หน้า : 126 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2552 หน้าที่ 4
    หน้า : 127 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2552 หน้าที่ 5
    หน้า : 128 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2552 หน้าที่ 6
    หน้า : 129 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2552 หน้าที่ 7
    หน้า : 130 ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2552 หน้าที่ 8
    หน้า : 131 สรุปผลการดำเนินงานเดือน มีนาคม ๒๕๕๒
    หน้า : 132 รายชื่อผู้บริจาค 22 มีนาคม 2552 และ ยอดเงินคงเหลือในบัญชี
    หน้า : 133 หลักฐานการทำบุญกับร.พ.ศิริราชครับ
    หน้า : 134 รายละเอียดในการทำบุญ วันที่ 26 เมษายน 2552
    หน้า : 135 หลักฐานการส่งเงินของทุนนิธิฯไปช่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ และอนุโมทนาบัตร
    หน้า : 136 รายละเอียดการจัดกิจกรรมทำบุญประจำเดือนในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2552
    <input name="cur_content" id="cur_content" value="121" type="hidden">



    หน้าที่ 106 - รูปกิจกรรมทำบุญ ครบบรอบ ๑ ปี ของทุนนิธิ ธันวาคม ๒๕๕๑ #๑๒ หน้าที่ ๑

    มาชมภาพกิจกรรมของทุนนิธิฯ ประจำเดือนธันวาคม และเป็นวาระการก่อตั้งทุนนิธิฯครบรอบ1ปี


    [​IMG]

    [​IMG][​IMG]
    หลายท่านช่วยกันนำอาหาร น้ำ และขนม ที่เตรียมมาแบ่งใส่ถุงเป็นชุดๆเพื่อนำไปถวายพระ



    [​IMG][​IMG]
    อาจารย์ประถมพร้อมทั้งประธาน รองประธาน ทุนนิธิฯ ได้ทำการบริจาคให้กับทางโรงพยาบาลสงฆ์โดยเป็นค่าซื้อโลหิต และ เวชภัณฑ์ เป็นจำนวนรวมกัน 20000 บาท




    [​IMG]
    ก่อจะนำอาหารไปถวายพระได้ถ่ายภาพรวมหน้าตึกกัลยาณิวัฒนา

    [​IMG]
    ก่อนถวายได้นำอาหารทั้งหมดมาร่วมกันโมทนาบุญ

    [​IMG]

    [​IMG]
    อาจารย์ปุ๊นำกล่าวถวายอาหารทั้งหมดเป็นสังฆทาน






    [​IMG]
    อาจารย์ประถมเป็นประธานถวายอาหารแด่ประธานสงฆ์

    [​IMG]
    จากนั้นพระสวดให้พร อาจารย์ประถมทำการกรวดน้ำตามประเพณีอันดีงามที่ทำกันมาในพระศาสนา





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2009
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    เจอยอดคนมาอีก 1 แล้ว ขอโมทนาในกุศลที่ทำไว้ดีแล้ว และร่วมสาธุกับบุญที่เกิดขึ้นในกุศลนี้ ร่วมไปพร้อมกัคุณโสภณ ศิริดำรงค์ศักดิ์ และครอบครัว ด้วยครับ ยังไงงานบุญข้างต้นอย่าลืมน๊ะครับ หรือช่วยตั้งใจทำบุญมาทุกเดือนน๊ะครับ มากบ้างน้อยบ้าง พยายามให้ครบสัก 6 ครั้ง คณะกรรมการฯ จะได้พิจารณามอบพระ "ปิยบารมี" ให้เป็นกำลังใจครับ


    [​IMG]


     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    จุ๊ๆ อย่าบอกไป ของดีนา ไปกราบท่านให้ได้กระทู้นี้เคยลงประวัติท่านไว้แล้ว แพะน้อยตัวนี้ ราคา 250.- แต่ผลงานคูณพันเท่านา...(ลองมาแล้วโดยสมาชิกที่ทำบุญในกระทู้นี้ล่ะ "เพื่อนหนูขายของนับเงินไม่ไหวเลยพี่)

    แพะมหาเสน่ห์ หลวงพ่อสายทอง วัดพรหมนิวาสวรวิหาร
    [​IMG]

    พระ เกจิอาจารย์ชื่อดัง "หลวงพ่อสายทอง ฉันทกโร" วัดพรหมนิวาสวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา ศิษย์สายหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช, ศิษย์หลวงพ่อโบ วัดโคก, ศิษย์หลวงปู่สี วัดสะแก นับเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของเมืองกรุงเก่าที่กำลังมาแรงในปัจจุบันนี้ ท่านสร้างเครื่องรางของขลัง "แพะมหาเสน่ห์" ซึ่งเป็นยอดด้านเมตตามหาเสน่ห์

    โบ ราณจารย์ยุคเก่า รู้ว่าแพะตัวผู้ เป็นมหาเสน่ห์เหนือกว่าสัตว์อื่น จึงทำเครื่องรางของขลังรูปแพะขึ้น ส่วนที่เป็นของเก่ามีราคาแพงก็ต้อง "แพะเขาควายแกะ" ของหลวงพ่ออ่ำ จ.ระยอง เช่าหากันตัวเป็นแสนบาท

    นอก จากเรื่องมหาเสน่ห์ที่ขึ้นชื่อแล้ว แพะยังมีเขาที่แหลมคมเป็นอาวุธ และถือเป็นของทนสิทธิ์ เพราะเป็นอาวุธตามธรรมชาติ จึงนิยมนำเขาแพะมาทำเป็นด้ามมีดหมอ เชื่อว่ากันและแก้เสน่ห์ยาแฝดได้กัน และไล่คุณผี คุณคนได้

    มาปัจจุบันนี้ "หลวงพ่อสายทอง" เรียนวิชาสร้างแพะมหาเสน่ห์จากอาจารย์เพชร เข็มเหล็กฆราวาสเรืองชื่อ เรืองอาคมแห่งบางบาล แพะมหาเสน่ห์ของหลวงพ่อสายทองนั้น ดีด้านเมตตามหาเสน่ห์ยิ่งนัก ดุจแพะตัวผู้จ่าฝูง อยู่ท่ามกลางแพะตัวเมียทั้งฝูง ถ้าใช้ด้วยความรับผิดชอบจะช่วยส่งเสริมผู้ใช้ให้เจริญก้าวหน้า และจะยิ่งขลังทวีขึ้นทุกวี่วัน

    หากจะผันเมตตามหาเสน่ห์เป็นเมตตาค้า ขาย เรียกลูกค้ามาซื้อของก็ทำได้ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ พ่อค้า แม่ขาย จะได้ลืมตาอ้าปากได้เสียที แพะนี้ใช้ได้ทั้งชาย และหญิง หลวงพ่อสายทองทดลองมอบแพะให้พ่อค้าตลาดหัวรอ ผู้เป็นศิษย์ใช้ดู เขากลับมาบอกว่า เมตตามหาเสน่ห์แรงจริงๆ ในขณะเดียวกันก็ขายของดีขึ้นด้วย ขนาดบางวันเขาไม่อยู่ร้าน ยังมีลูกค้ามาถามหาบ่อยมาก

    ไปหาอ่านเอาเองใน


    http://www.suankhlang.com
     
  8. BD

    BD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +419
    ลองของพระเครื่อง

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=AsYktPF8ebE"]YouTube - ลองของพระเครื่อง[/ame]
     
  9. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    การฝึกตนดีแล้วจึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า

    ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา

    สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทรมานฝึกหัดพระองค์จนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็น พุทฺโธ ผู้รู้ก่อนแล้วจึงเป็น ภควา ผู้ทรงจำแนกแจกธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ สตฺถา จึงเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้ฝึกบุรุษผู้มีอุปนิสัยบารมีควรแก่การทรมานในภายหลัง

    จึงทรงพระคุณปรากฏว่า กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต ชื่อเสียงเกียรติศัพท์อันดีงามของพระองค์ย่อมฟุ้งเฟื่องไปในจตุรทิศจนตราบเท่าทุกวันนี้

    แม้พระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้วก็เช่นเดียวกัน ปรากฏว่าท่านฝึกฝนทรมานตนได้ดีแล้ว จึงช่วยพระบรมศาสดาจำแนกแจกธรรม สั่งสอนประชุมชนในภายหลัง ท่านจึงมีเกียรติคุณปรากฏเช่นเดียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้า

    ถ้าบุคคลใดไม่ทรมานตนให้ดีก่อนแล้ว และทำการจำแนกแจกธรรมสั่งสอนไซร้ ก็จักเป็นผู้มีโทษ ปรากฏว่า ปาปโกสทฺโท คือเป็นผู้มีชื่อเสียงชั่วฟุ้งไปในจตุรทิศ เพราะโทษที่ไม่ทำตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์สาวกเจ้าในก่อนทั้งหลาย

    : มุตโตทัย
    : หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


    <!-- m -->http://www.watput.com/index.php?option= ... &Itemid=30
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พรหมลูกฟัก (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)


    [​IMG]

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช


    ท่านว่า พรหมลูกฟักเทวดานั้น มีจำนวนมากมาย ล่องลอยอยู่ในสวรรค์ชั้นพรหม
    เป็นพรหมที่เคยปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระพุทธศาสนา แต่ไม่ปรากฎว่าด้วยกรรมใด
    จึงลงท้ายด้วยการเปลี่ยนแปลง

    ไม่ปฏิบัติพระพุทธศาสนาอย่างดีงาม
    แต่ปฏิบัติไปตามความพอใจของตน ที่คิดว่าถูกต้อง
    เป็นการปฏิบัติผิดต่อพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก
    มีผลประการหนึ่งให้ต้องได้เป็นพรหมลูกฟัก

    ท่านผู้รู้ผู้เห็นเล่าว่า
    เทพพรหมที่เป็นมนุษย์เคยปฏิบัติผิด
    ต่อพระพุทธศาสนา จะมีโทษหนักประเภทหนึ่ง

    คือต้องเปลี่ยนสภาพจากเทวดาชั้นพรหมไปเป็นเทวดาชั้นพรหมลูกฟัก

    ท่านอธิบายว่าพรหมลูกฟักมีลักษณะเป็นพรหมเช่นที่ได้เกิดในสวรรค์ชั้นพรหม
    ตามกรรมที่ได้ทำ เป็นกรรมดีจึงได้ภพชาติเป็นพรหม
    แต่หลังจากเริ่มต้นด้วยการทำดีต่อพระพุทธศาสนา ได้ละเลยในการปฏิบัติกรรมดี

    ไปพอใจความคิดความเห็นและการปฏิบัติของตนมีความสำคัญ มีความถูกต้อง
    สมควรกว่าการปฎิบัติในพระพุทธศาสนาที่ตนเคยทำมา
    จึงเปลี่ยนความคิดเห็นไปตามกรรมตามอำนาจความคิดเห็นความพอใจของตน
    ซึ่งเมื่อเป็นการผิดต่อพระพุทธศาสนา ผลร้ายของกรรมประการหนึ่ง
    คือต้องเปลี่ยนภพชาติ จากเป็นพรหม ไปเป็นพรหมลูกฟัก
    เมื่ออำนาจของกรรมที่ปฎิบัติผิดต่อพระพุทธศาสนาส่งถึง


    พรหมลูกฟักนั้น ท่านผู้รู้เล่าว่า จะมีสภาพเป็นพรหมที่กรรมดีนำให้ไปเกิดนั้นเอง
    แต่เมื่อกรรมไม่ดีตามมาทัน พรหมลูกฟักยังมีคุณลักษณะเป็นพรหมอยู่เช่นเดิม
    แต้จะมีกรรมไม่ดีเป็นผลเข้าห่อหุ้มพรหมเหล่านั้นไว้

    ซึ่งท่านว่ามีมากมายนักในสวรรค์ชั้นพรหมแม้จะเป็นเทวดาชั้นพรหมที่งดงาม
    แต่เมื่อถึงเวลากรรมให้ผล จะมีโทษของกรรมเข้าห่อหุ้ม พระพรพมซึ่งเป็นหนึ่งในเทวดา ก็จะถูก
    กรรมห่อไว้หุ้มไว้ทั้งร่าง ไม่อาจเคลื่อนไหว ออกพ้นเครื่องห่อหุ้มได้ เห็นใครเห็นอะไรก็ไม่ได้
    ปิดมิดอยู่ในเครื่องห่อหุ้มนั้นทั้งองค์ ไม่อาจใช้ปากใช้เท้าใช้มือที่มีอยู่พร้อมบริบรูณ์ได้


    ต้องเป็นพรหมที่ถูกห้อมล้อมอยู่แน่นหนาภายในเครื่องแวดล้อม
    ที่มีลักษณะของ “ลูกฟัก” ที่ทำให้เกิดคำว่า “พรหมลูกฟัก” ขึ้น
    เป็นคำเรียกขานผู้เริ่มทำดีต่อพระพุทธศาสนา เป็นบุญเป็นกุศล แต่ลงท้าย
    ด้วยการทำผิดทำบาปเป็นอกุศลต่อพระพุทธศาสนา.


    : แสงส่องใจ ส.ค.ศ. ๒๕๕๒
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097


    [​IMG]


    การขอโทษและการให้อภัย

    การรู้จักขอโทษนั้นเป็นมารยาทอันดีงามสำหรับตัวผู้ทำเอง และเป็นการช่วยระงับหรือช่วยแก้โทสะของผู้ถูกกระทบกระทั่งให้เรียบร้อยด้วยดีในทางหนึ่ง หรือจะกล่าวว่าการขอโทษคือการพยายามป้องกันมิให้มีการผูกเวรกันก็ไม่ผิด

    เพราะเมื่อผู้หนึ่งทำผิด อีกผู้หนึ่งเกิดโทสะเพราะถือความผิดนั้นเป็นความล่วงเกินกระทบกระทั่งถึงตน แม้ไม่อาจแก้โทสะนั้นได้ ความผูกโกรธหรือความผูกเวรก็ย่อมมีขึ้น ถ้าแก้โทสะนั้นได้ก็เท่ากับแก้ความผูกโกรธหรือผูกเวรได้ เป็นการสร้างอภัยทานขึ้นแทน อภัยทานก็คือการยกโทษให้ คือการไม่ถือความผิดหรือการล่วงเกินกระทบกระทั่งว่าเป็นโทษ

    อันอภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ
    เช่นเดียวกับทานทั้งหลายเหมือนกัน
    คืออภัยทานหรือการให้อภัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด
    จะยังจิตใจของผู้นั้นให้ผ่องใสพ้นจากการกลุ้มรุมบดบังของโทสะ


    โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น

    ผู้ดูแลเห็นความสำคัญของจิต จึงควรมีสติทำความเพียรอบรมจิตให้คุ้นเคยต่อการให้อภัยไว้เสมอ เมื่อเกิดโทสะขึ้นในผู้ใดเพราะการปฏิบัติล้วงล้ำก้ำเกินเพียงใดก็ตาม พยายามมีสติพิจารณาหาทางให้อภัยทานเกิดขึ้นในใจให้ได้ ก่อนที่ความโกรธจะดับไปเสียเองก่อน

    ทำได้เช่นนี้จะเป็นคุณแก่ตนเองมากมายนัก ไม่เพียงแต่จะทำให้มีโทสะลดน้อยลงเท่านั้น และเมื่อปล่อยให้ความโกรธดับไปเอง ก็มักหาดับไปหมดสิ้นไม่ เถ้าถ่านคือความผูกโกรธมักจะยังเหลืออยู่ และอาจกระพือความโกรธขึ้นอีกในจิตใจได้ในโอกาสต่อไป

    ผู้อบรมจิตให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับการให้อภัย
    แม้จะไม่ได้รับการขอขมา ก็ย่อมอภัยให้ได้


    ในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่เคยอบรมจิตใจให้คุ้นเคยกับการให้อภัยเลย โกรธแล้วก็ให้หายเอง แม้ได้รับการขอขมาโทษ ก็อาจจะไม่อภัยให้ได้ เป็นเรื่องของการไม่ฝึกใจให้เคยชิน

    อันใจนั้นฝึกได้ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ฝึกอย่างไดก็จะเป็นอย่างนั้น ฝึกให้ดีก็จะดี ฝึกให้ร้ายก็จะร้าย...


    : พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร..
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บทสุดท้ายของนักการเมือง ข้าราชการ รวมถึงพสกนิกรทุกหมู่เหล่าที่เคยให้สัตย์กับท่านไว้

    ในหลวงรับสั่ง 3 ครั้ง
    “ใครทุจริตแม้นิดเดียวขอให้มีอันเป็นไป”
    สุเมธเตือนอย่าเหมือนรัสเซีย คิดได้เมื่อสาย

    ดร.สุเมธเผย “ในหลวง” ทรงเตือนสติ-ทรงปฏิบัติเป็นแบบอย่าง แต่ไม่มีใครทำตาม สังคมยังบ้าอำนาจ-เงินทอง-โกงกิน ระบุเคยรับสั่งถึง 3 ครั้ง “ใครทุจริตแม้นิดเดียวขอให้มีอันเป็นไป” เลขาฯ มูลนิธิชัยพัฒนาเตือนอย่าให้เหมือนรัสเซีย อยากมีพระเจ้าแผ่นดิน แต่สายไป

    เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธศาสนา” ในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ โครงการสมานฉันท์เพื่อความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนา เนื่องในโอกาสครบ 100 ปี กรมเสมียนตรา ที่หอประชุมใหญ่ สำนักพุทธมณฑล โดยมีพระภิกษุเข้าฟัง 50 รูป และประชาชนที่สนใจ 150 คน

    ดร.สุเมธ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภก และทรงเป็นพุทธมามกะโดยแท้ ในขณะที่สังคมสมัยนี้ มีแต่พุทธมามกะโดยรูปฟอร์ม เจอพระสงฆ์ก็ได้แต่กราบและขอหวยอย่างเดียว แต่เรื่องแก่นของธรรมะกลับไม่สนใจ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าเป็นกาลสมัยของโลกหรือเปล่า เพราะตอนนี้โลกทั้งโลกถูกครอบด้วยกิเลสตัณหาทั้งสิ้น ต้นเหตุเกิดจากระบบทุนนิยมซึ่งเป็นระบบแห่งตัณหา ชักจูงให้บริโภคเกิดความอยากตลอดเวลา มนุษย์ก็บริโภคจนจะหมดโลกแล้ว ดิน น้ำ ลม ไฟ จะหมดแล้ว คนทั้งโลกมีประมาณ 6,700 ล้านคน แล้วคนทั้งหมดนี้กำลังนั่งกินโลกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วจะเอาอะไรมาเลี้ยงดู โลกกำลังดำเนินไปสู่ความพินาศ

    “ตั้งแต่วันแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ กระทั่งบัดนี้ 60 กว่าปีแล้ว ทรงพยายามเตือนสติ ทรงปฏิบัติทุกอย่างให้ดูเป็นแบบอย่าง แต่มีใครทำตามบ้าง สังคมก็ยังคงบ้าอำนาจ บ้าเงินทอง โกงกินกันอยู่ทุกวันนี้” ดร.สุเมธกล่าว

    ดร.สุเมธ กล่าวอีกว่า ในฐานะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ทรงรู้เรื่องพระพุทธศาสนาลึกซึ้งยิ่งนัก ทรงรับสั่งถึงการบวชว่าเป็นเรื่องที่ดี ทรงยกตัวอย่างพระองค์เอง เมื่อตอนที่ทรงตัดสินพระทัยทรงผนวชนั้น ทรงเข้าไปทูลสมเด็จพระบรมราชชนนีว่าจะทรงผนวชให้สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงดีพระทัยมาก ทรงรับสั่งว่า “แม่ดีใจมาก พอรู้ว่าเราจะบวช เข้ามากอดเราใหญ่เลย แล้วแม่ก็ยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้มมานานแล้ว และตั้งแต่วันนั้นมา แม่ก็ยิ้มมาตลอด” ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่า สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงประสบความโศกเศร้ามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สิ้นรัชกาลที่ 8 พระพักตร์นิ่งเฉยตลอด แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงผนวชให้ จากความเศร้าก็เปลี่ยนเป็นความปลื้มปิติ

    ดร.สุเมธ กล่าวว่า ในแง่ของการปกครอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้หลักธรรมภิบาลในการปกครองแผ่นดิน ทรงใช้มาตลอด 60 กว่าปี ในขณะที่ฝรั่งเพิ่งรู้จักเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา แต่คนไทยกลับเพิ่งมาเห็นคุณค่าเพราะคนไทยบ้าฝรั่ง อะไรที่เป็นของดี ของใกล้ตัวกลับไม่เห็นคุณค่า เป็นกิ้งก่าได้ทอง

    “หลักทศพิธราชธรรมเป็นหลักธรรมที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้ ประกอบด้วย 1. ทาน คือการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน 2. ศีล ขอแค่ศีล 5 ข้อก็ยังดี เพราะเป็นหลักสากลของทุกศาสนา แต่ทุกวันนี้พอเปิดโทรทัศน์ดู แค่ศีล 5 ข้อยังไม่ปฏิบัติกัน โกหกหน้าตาเฉย ไม่ขอเอ่ยถึงใคร ไม่อยากยุ่ง เพราะฉะนั้นไม่ปฏิบัติไม่ได้ ถ้าเป็นมนุษย์ต้องยึด ถ้าไม่ยึดก็ไม่ใช่มนุษย์ 3. ปริจจาคะ การสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพราะไม่มีข้าศึกคนไหนสามารถทำให้ประเทศไทยแตกได้ ให้ยิ่งใหญ่หรือทรงพลังแค่ไหนไม่สามารถทำให้คนไทยแตกได้ คนไทยจะแตกหรือไม่แตกอยู่ที่คนไทยด้วยกันเอง กรุงศรีอยุธยาแตกแต่ละครั้ง แตกเพราะข้าศึกหรือ” ดร.สุเมธกล่าว

    ดร.สุเมธ กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีโอกาสไปประเทศรัสเซีย ประเทศที่เป็นต้นตำรับของระบอบการปกครองคอมมิวนิสต์ เมื่อก่อนเคยมีระบบกษัตริย์ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว

    “ตอนนี้คนรัสเซียอยากมีพระเจ้าแผ่นดิน คิดถึงพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 แห่งรัสเซีย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงอัญเชิญพระอัฐิของพระเจ้าซาร์มาประดิษฐานในโบสถ์หลวง สถาปนาให้เป็นนักบุญนิโคลัสเพื่อสักการบูชา ซึ่งก็สายไปแล้ว เพราะได้ทำลายสิ่งที่ตอนนี้ต้องการที่สุดไปแล้ว แล้วของเรามียิ่งกว่านักบุญ ปฏิบัติมาตลอด 60 ปี นักบุญบางคนผลงานอาจไม่ค่อยเป็นที่ประจักษ์เท่าไหร่ แต่นี่ 60 ปี เราไม่ค่อยจะถนอมกัน แล้ววันนั้นจะเสียใจ ก็ฝากไว้ให้คิด” ดร.สุเมธกล่าว

    ดร.สุเมธ กล่าวถึงหลักทศพิธราชธรรมข้ออื่นๆ อาทิ อาชชวะ ความซื่อสัตย์สุจริต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเคยรับสั่งว่า ใครทุจริตแม้นิดเดียวขอให้มีอันเป็นไป ทรงกำชับถึง 3 ครั้ง แสดงว่าทรงเหลืออดแล้ว เพราะทุกวันนี้โกงกินกันชนิดที่เรียกว่าไม่เห็นหัวเห็นหางหมดทั้งแผ่นดิน ส่วนข้อ อักโกธะ การระงับความโกรธ ยิ่งเป็นคนใหญ่คนโต ผู้บริหาร หัวหน้า โกรธไม่ได้

    “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่เคยทรงโกรธ อาจมีบ้างที่ทรงไม่พอพระทัย แต่ไม่เคยทรงโกรธ เพราะความโกรธไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น แต่จะเป็นอย่างสังคมที่เป็นอยู่ตอนนี้ เห็นว่าเดือนหน้าจะมีอีกแล้ว ยังไม่หมดแรงกัน น่ารำคาญ” ดร.สุเมธกล่าว

    ดร.สุเมธ กล่าวว่า เป้าหมายการทรงงานหนักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ความเป็นประชาธิปไตย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า “เหตุผลที่ทรงงานหนักอยู่ทุกวันนี้ เพราะประชาชนยังยากจนอยู่ เมื่อยังยากจนแล้ว เขาก็ไม่มีอิสรภาพเสรีภาพ เมื่อเขาไม่มีอิสรภาพเสรีภาพ เขาจะเป็นประชาธิปไตยไม่ได้” จุดหมายปลายทางของพระองค์ คือเรื่องประชาธิปไตยที่ทุกคนเปล่งกันทุกวันนี้ โดยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เข้าใจแต่ว่าประชาธิปไตยคือเลือกตั้งเท่านั้น ทั้งที่ความจริงลึกซึ้งกว่านั้น ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประชาชนอิ่มท้อง เมื่ออิ่มท้องแล้ว ก็จะมีอิสรภาพเสรีภาพ แต่ถ้าตราบใดที่ประชาชนยังหิว เมื่อ 500, 1,000 บาทมา เขาก็ไป แล้วก็ไม่เกิดประชาธิปไตยเสียที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่เคยใช้คำว่าร่ำรวย แต่ทรงใช้คำว่าประโยชน์ ความเจริญ และความผาสุกเท่านั้น

    ก่อนจบปาฐกถา ดร.สุเมธ ย้ำถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันเฉลิมฉลองครองราชย์ครบ 60 ปี ที่ไม่ค่อยมีใครจดจำได้ว่า พวกเราชอบเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ไม่เคยมองพระองค์ ชอบได้ยินพระเจ้าอยู่หัว แต่ไม่เคยฟังพระองค์ เพราะฉะนั้นถึงไม่เคยจดจำอะไรได้เลย หลัก 4 ข้อคือ 1. คิด พูด ทำ คิดดีต่อกัน 2. ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน 3. อยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต 4. คิดต่างกันได้ แต่ให้ตั้งอยู่บนความเที่ยงตรงและมีเหตุมีผล ถ้าทุกคนปฏิบัติตาม 4 ข้อนี้ได้ เหตุการณ์บ้านเมืองคงไม่เป็นอย่างปัจจุบันนี้ และจะทำให้เกิดเอกภาพขึ้นในประเทศ

    “เป็นที่น่าเสียดาย เรามีพระบรมครู ยอดปราชญ์อยู่ในแผ่นดิน แต่ไม่ฟัง กลับไปฟังอะไรก็ไม่รู้ แล้ววันหนึ่งจะเสียใจ ผมพูดได้แค่นี้ ยังไม่สายนะครับ อย่าเสียกำลังใจ” ดร.สุเมธกล่าวทิ้งท้าย



    <FONT color=navy>ที่มา : มติชนออนไลน์ วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 255
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2009
  14. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ๖๐ พุทธภาษิตเกี่ยวกับชีวิต
    และความตาย

    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=30> DSC04350.gif </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    ๑. ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ สั้นนิดเดียว ลำบากยากเข็ญ มีทุกข์มาก แต่ก็ไม่มี เครื่องหมายให้รู้ว่า จะตายเมื่อใด
    ๒. สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว พยายามหาวิธีที่จะไม่ต้องตาย ก็ไม่สำเร็จ ถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จนชราภาพก็ต้องตาย อยู่ดี เพราะธรรมดาของสัตว์โลกเป็นอย่างนี้
    ๓. สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ก็มีภัยจากการที่ต้องตายเป็นนิตย์ เปรียบเหมือน ผลไม้สุกงอม แล้ว ก็มีภัย จากการที่ต้องร่วงหล่นไปในเวลาเช้า
    ๔. ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ต้องแตกดับไปเป็นธรรมดาเปรียบเหมือนภาชนะดินทุกชนิด ที่ช่างหม้อปั้นแล้วในที่สุดก็ต้องแตกไป
    ๕. ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนโง่ ทั้งคนฉลาด ล้วนตกอยู่ในอำนาจของมฤตยู บ่ายหน้า ไปสู่ความตายทั้งนั้น
    ๖. เมื่อเหล่าสัตว์จะตาย ต้องไปปรโลกแน่นอนแล้ว บิดามารดาก็ไม่สามารถช่วย บุตรธิดาของตนไว้ได้ หรือหมู่ญาติก็ไม่สามารถจะช่วยพวกญาติของตนไว้ได้
    ๗. จงดูเถิด ทั้งๆ ที่มีหมู่ญาติมาเฝ้ารำพึงรำพันอยู่ โดยประการต่างๆ แต่ผู้จะตาย กลับถูกมฤตยูคร่าตัวเอาไปแต่เพียงผู้เดียว เหมือนโคที่เขาจะฆ่า ถูกนำไปแต่เพียงตัวเดียว
    ๘. สัตว์โลกตกอยู่ในอำนาจของความแก่และความตายอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น นักปราชญ์ทั้งหลายทราบชัดถึงสภาพของสัตว์โลกแล้ว จึงไม่เศร้าโศกกัน
    ๙. ท่านหาได้รู้ทางของผู้มา (เกิด) หรือผู้ไป (สู่ปรโลก) ไม่ เมื่อไม่เห็นปลายสุดทั้งสองด้าน ถึงจะคร่ำครวญไปก็ไร้ประโยชน์
    ๑๐. ถ้าผู้ที่ทำตนให้เดือดร้อนด้วยการหลงใหลคร่ำครวญ จะทำประโยชน์อะไร ให้เกิดขึ้นได้บ้าง นักปราชญ์ผู้รู้แจ้งก็คงจะทำอย่างนั้นตามไปแล้ว
    ๑๑. การร้องไห้ เศร้าโศก ไม่สามารถทำใจของผู้คนให้สงบได้ มีแต่จะเกิดทุกข์มากยิ่งขึ้น ทั้งร่างกายก็จะพลอยทรุดโทรม
    ๑๒. จะเบียดเบียนตนเอง มีร่างกายซูบผอม ผิวพรรณหมองคล้ำ การร่ำไห้คร่ำครวญ ไม่ได้ช่วยอะไรแก่คนที่ตายไปแล้ว จึงไม่มีประโยชน์อะไรเลย
    ๑๓. คนที่สลัดความโศกไม่ได้ มัวทอดถอนใจถึงคนที่ตายไปแล้ว ตกอยู่ในอำนาจของ ความเศร้าโศก มีแต่จะทุกข์มากยิ่งขึ้น
    ๑๔. จงดูเถิด ถึงแม้คนอื่นก็กำลังจะตายไปตามยถากรรม สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ต่างตกอยู่ในอำนาจมฤตยู กำลังพากันดิ้นรนด้วยกันทั้งนั้น
    ๑๕. สัตว์ทั้งหลายตั้งความหวังอยากจะให้เป็นอย่างอื่น (คือไม่ตาย) แต่ก็ไม่สมหวัง ความพลัดพรากจากกันมีอยู่เป็นประจำ ท่านจงพิจารณาดูความจริงแท้ของสัตว์โลกเถิด
    ๑๖. แม้จะมีคนอยู่ได้ถึงร้อยปี หรือเกินกว่านั้นไปบ้าง ก็ต้องพลัดพรากจากหมู่ญาติ ทิ้งชีวิตไว้ในโลกนี้ อยู่ดี
    ๑๗. เพราะเหตุนั้น เมื่อได้สดับธรรมเทศนาของพระท่านแล้ว ก็พึงระงับ ความคร่ำครวญ ร่ำไห้เสีย ยามเมื่อเห็นคนล่วงลับดับชีวิตไป ก็ให้กำหนดรู้ว่า เขาตายไปแล้ว เราจะให้ เขาฟื้นคืนมาอีกไม่ได้
    ๑๘. ธีรชนผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด พึงกำจัดความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นเสียโดยฉับพลัน เหมือนเอาน้ำดับไฟ ที่กำลังไหม้ลุกลาม และเหมือนลมพัดปุยนุ่น
    ๑๙. ผู้แสวงสุขแก่ตน ควรระงับความเศร้าโศกคร่ำครวญร่ำไห้ ความโหยหา และ ความโทมนัส ควรถอนลูกศรคือความเศร้าโศกเสียให้ได้
    ๒๐. ผู้ถอนลูกศรนี้ได้แล้ว ก็จะมีอิสระ ได้ความสงบใจ ผ่านพ้นความเศร้าโศกทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศกมีแต่เยือกเย็นใจ
    ๒๑. ชีวิตนี้น้อยนัก มนุษย์ย่อมตายภายในร้อยปี ถึงใครจะอยู่เกินกว่านั้นไปบ้าง ก็ต้องตายเพราะชราเป็นแน่แท้
    ๒๒. ชนทั้งหลายเศร้าโศก เพราะสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นของเรา ทั้งๆ ที่สิ่งที่ยึดถือนั้น ไม่มีอะไรเที่ยงแท้เลย ผู้ที่มองเห็นว่า ความพลัดพรากจากกันจะต้องมีแน่นอนเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ควรอยู่ครองเรือน
    ๒๓. คนที่สำคัญหมายสิ่งใดว่า " นี้ของเรา" ก็จะต้องจากสิ่งนั้นไปเพราะความตาย พุทธมามกะผู้เป็นบัณฑิต ทราบความข้อนี้แล้ว ก็ไม่ควรเอนเอียงไปในทาง ที่จะยึดถือว่า เป็นของเรา
    ๒๔. คนที่รักใคร่กัน ตายจากไปแล้ว ก็จะไม่ได้พบเห็นกันอีก เหมือนคนตื่นขึ้น ไม่เห็นสิ่งที่พบในฝัน
    ๒๕. (ขณะมีชีวิตอยู่) คนที่มีชื่อเรียกขาน ก็ยังพอได้พบเห็นกันบ้าง ได้ยินเสียงกันบ้าง คนที่ตายไปแล้วก็เหลือแต่ชื่อเท่านั้น ที่จะพูดถึงกันอยู่
    ๒๖. ผู้ที่พึงพอใจในสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นของเรา ย่อมสละความเศร้าโศก ความคร่ำครวญ และความหวงแหนไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผู้เข้าถึงธรรม (มุนี) ทั้งหลายเห็น ความปลอดโปร่ง จึงสละสิ่งที่เคยแหนหวงเที่ยวไปได้
    ๒๗. บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวถึงผู้ไม่แสดงตนในภพ (ผู้บรรลุแล้ว) ว่าเป็นบุคคลที่สอดคล้อง เหมาะสมกับภิกษุผู้บำเพ็ญความหลีกเร้นถอนจิต (ผู้ที่ยังไม่บรรลุ) ซึ่งอยู่ในเสนาสนะ ที่สงัด
    ๒๘. ผู้เข้าถึงธรรม (มุนี) ไม่ติดอยู่ในสิ่งทั้งปวง ไม่ทำอะไรๆ ให้เป็นที่รัก ให้เป็นที่ชัง ความรำพึงรำพันและความหวงแหน จึงมิได้แปดเปื้อน เหมือนน้ำไม่แปดเปื้อนใบบัว
    ๒๙. หยาดน้ำไม่ติดบนใบบัว วารีไม่ติดบนดอกบัวฉันใด ผู้เข้าถึงธรรม(มุนี) ก็ไม่ติดในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน และอารมณ์ที่ทราบมาถึงใจ ฉันนั้น
    ๓๐. ผู้ห่างไกลจากกิเลส ผู้มีปัญญา ไม่ใส่ใจในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน และอารมณ์ที่รับทราบ ไม่ปรารถนาความบริสุทธิ์ด้วยวิธีการอื่น ทั้งไม่ยินดียินร้าย
    ๓๑. บุคคลใด ประพฤติชั่วร้าย ไม่มีความคิด ถึงจะมีชีวิตตั้งร้อยปี ชีวิตของเขา ก็หาประเสริฐไม่ ส่วนบุคคลใด มีศีล มีความคิด แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ก็เป็นชีวิต ที่ประเสริฐกว่า
    ๓๒. บุคคลใด เกียจคร้าน มีความเพียรทราม ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี ชีวิตของเขา ก็หาประเสริฐไม่ ส่วนบุคคลใด มุ่งหน้าทำความเพียรอย่างมั่นคง แม้มีชีวิตอยู่ เพียงวันเดียว ก็เป็นชีวิตที่ประเสริฐกว่า
    ๓๓. บุคคลพึงสละทรัพย์เมื่อจะรักษาอวัยวะ พึงยอมสละอวัยวะเมื่อจะรักษาชีวิต และยอมสละทุกอย่างทั้งอวัยวะ ทรัพย์ และแม้ชีวิต เมื่อคำนึงถึงธรรม
    ๓๔. อายุสังขารจะพลอยประมาทไปกับมนุษย์ทั้งหลาย ที่ยืน เดิน นั่งนอนอยู่ ก็หาไม่
    ๓๕. เพราะฉะนั้น ในชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ คนเราควรทำกิจหน้าที่ของตน และไม่พึง ประมาท
    ๓๖. ดอกไม้ที่สุมกันอยู่เป็นกอง นายช่างที่ฉลาด สามารถนำมาร้อย เป็นพวงมาลัย มีคุณค่ามากได้ฉันใด ชีวิตคนเราที่เกิดมานี้ ก็ควรจะใช้ ประกอบกุศลกรรม ความดีให้มาก ฉันนั้น
    ๓๗. บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ในปรโลก
    ๓๘. ความตายเราก็มิได้ชื่นชอบ ชีวิตเราก็มิได้ติดใจ เราจักทอดทิ้งกายนี้ อย่างมีสติ สัมปชัญญะ มีสติมั่น
    ๓๙. ความตายเราก็มิได้ชื่นชอบ ชีวิตเราก็มิได้ติดใจ เรารอคอยเวลา เหมือนคนรับจ้าง ทำงานเสร็จแล้วรอรับค่าจ้าง
    ๔๐. วัยสิ้นไปตามคืนและวัน
    ๔๑. วันคืนล่วงไป ชีวิตของคนก็พร่องลงไป จากโอกาสที่จะได้สร้างประโยชน์
    ๔๒. วันคืนไม่ผ่านไปเปล่าๆ
    ๔๓. กาลเวลาล่วงไป วันคืนผ่านพ้นไป วัยก็หมดไปทีละตอนๆ ตามลำดับ
    ๔๔. รูปกายของสัตว์ย่อมร่วงโรยไป แต่ชื่อและโคตรไม่เสื่อมสลาย
    ๔๕. เมื่อจะตาย ทรัพย์แม้แต่น้อยก็ติดตามไปไม่ได้
    ๔๖. กาลเวลาย่อมกลืนกินสัตว์ทั้งหลาย พร้อมกับตัวมันเอง
    ๔๗. ถ้าบุคคลจะเศร้าโศกถึงคนที่ไม่มีอยู่แก่ตนคือ คนที่ตายไปแล้ว ก็ควรจะเศร้าโศก ถึงตนเอง ซึ่งตกอยู่ในอำนาจของพญามัจจุราชตลอดเวลา
    ๔๘. วัยย่อมเสื่อมลงไปเรื่อย ทุกหลับตา ทุกลืมตา
    ๔๙. เมื่อวัยเสื่อมสิ้นไปอย่างนี้ ความพลัดพรากจากกันก็ต้องมีโดยไม่ต้องสงสัย หมู่สัตว์ที่ยังเหลืออยู่ควรเมตตาเอื้อเอ็นดูกัน ไม่ควรจะมัวเศร้าโศกถึงผู้ที่ตายไปแล้ว
    ๕๐. ผู้ที่เศร้าโศกถึงคนตาย ก็เหมือนเด็กร้องไห้ขอพระจันทร์ที่โคจรอยู่ในอวกาศ คนตายถูกเผาอยู่ ย่อมไม่รู้ว่าญาติคร่ำครวญถึง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศก เขาไปแล้วตามวิถีทางของเขา
    ๕๑. ตอนเช้า ยังเห็นกันอยู่มากคน พอตกเย็น บางคนก็ไม่เห็นกัน เมื่อเย็น ยังเห็นกันอยู่ มากคน ตกถึงเช้า บางคนก็ไม่เห็นกัน
    ๕๒. จะตายก็ไปคนเดียว จะเกิดก็มาคนเดียว ความสัมพันธ์ของสัตว์ทั้งหลาย ก็เพียงแค่ มาพบปะเกี่ยวข้องกันเท่านั้นเอง
    ๕๓. วันคืนผ่านไป อายุก็เหลือน้อยเข้าทุกที
    ๕๔. แม่น้ำเต็มฝั่ง ไม่ไหลทวนขึ้นสู่ที่สูงฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่เวียนกลับมาสู่วัยเด็กได้อีก ฉันนั้น
    ๕๕. ผู้เข้าถึงธรรม ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ดำรงอยู่กับปัจจุบัน ฉะนั้นผิวพรรณจึงผ่องใส
    ๕๖. คืนวันผ่านไป ไม่มีอะไรให้เราเดือดร้อน ไม่เห็นมีอะไรที่เราสูญเสียในโลก ฉะนั้น เราจึงนอนสบายใจคิดแต่จะช่วยปวงสัตว์
    ๕๗. เวลาแต่ละวัน อย่าให้ผ่านไปเปล่าๆ จะน้อย หรือมาก ก็ให้ทำอะไรไว้บ้าง
    ๕๘. เร่งทำความเพียรเสียแต่วันนี้ ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะตายหรือจะอยู่
    ๕๙. คนขยันทั้งคืนวัน ไม่ซึมเซา เรียกว่า มีแต่ละวันนำโชค
    ๖๐. จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่เดือดร้อน ถึงจะตายก็ไม่เศร้าโศก ถ้าเป็นปราชญ์ มองเห็นที่หมายแล้ว ถึงอยู่ท่ามกลางความเศร้าโศก ก็ไม่เศร้าโศก



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
     
  15. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    พระชำรุดมาทำใหม่ได้หรือไม่
    ในทัศนะเจ้าคุณนรรัตน์ฯ


    บางท่านบอกว่า"ได้" บางท่านก็บอกว่า"ไม่ได้"
    แล้วในญาณทัศนะของ"พระอรหันตเจ้า"ผู้ทรงวิสุทธิคุณและปัญญาคุณอันยิ่งยวด ครบถ้วนทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธอย่างสิ้นเชิงดุจดั่ง "ท่านเจ้าคุณนรรัตน์" วัดเทพศิรินทราวาส มีคำวินิจฉัยเป็นเยี่ยงไรฤา..???

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    "การนำพระชำรุดมาสร้างใหม่ นับเป็นการดี เพราะเท่ากับสร้างท่านให้สมบูรณ์แบบ ดีกว่าปล่อยปละละเลย เดี๋ยวจะสูญหาย เพราะพระที่ชำรุดส่วนมาก เขาให้ถือเป็นพระธาตุเสีย.."

    พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
     
  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ในหลวงรับสั่ง3ครั้ง
    "ใครทุจริตแม้นิดเดียวให้มีอันเป็นไป"

    [​IMG]
    สุเมธเตือนอย่าเหมือนรัสเซียคิดได้เมื่อสาย

    ดร.สุเมธเผย "ในหลวง" ทรงเตือนสติ-ทรงปฏิบัติเป็นแบบอย่าง แต่ไม่มีใครทำตาม สังคมยังบ้าอำนาจ-เงินทอง-โกงกิน ระบุเคยรับสั่งถึง 3 ครั้ง "ใครทุจริตแม้นิดเดียวขอให้มีอันเป็นไป" เลขาฯ มูลนิธิชัยพัฒนาเตือนอย่าให้เหมือนรัสเซีย อยากมีพระเจ้าแผ่นดิน แต่สายไป

    เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธศาสนา" ในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ โครงการสมานฉันท์เพื่อความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนา เนื่องในโอกาสครบ 100 ปี กรมเสมียนตรา ที่หอประชุมใหญ่ สำนักพุทธมณฑล โดยมีพระภิกษุเข้าฟัง 50 รูป และประชาชนที่สนใจ 150 คน

    ดร.สุเมธ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภกและทรงเป็นพุทธมามกะโดยแท้ ในขณะที่สังคมสมัยนี้ มีแต่พุทธมามกะโดยรูปฟอร์ม เจอพระสงฆ์ก็ได้แต่กราบและขอหวยอย่างเดียว แต่เรื่องแก่นของธรรมะกลับไม่สนใจ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าเป็นกาลสมัยของโลกหรือเปล่า เพราะตอนนี้โลกทั้งโลกถูกครอบด้วยกิเลสตัณหาทั้งสิ้น ต้นเหตุเกิดจากระบบทุนนิยมซึ่งเป็นระบบแห่งตัณหา ชักจูงให้บริโภคเกิดความอยากตลอดเวลา มนุษย์ก็บริโภคจนจะหมดโลกแล้ว ดิน น้ำ ลม ไฟ จะหมดแล้ว คนทั้งโลกมีประมาณ 6,700 ล้านคน แล้วคนทั้งหมดนี้กำลังนั่งกินโลกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วจะเอาอะไรมาเลี้ยงดู โลกกำลังดำเนินไปสู่ความพินาศ

    "ตั้งแต่วันแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ กระทั่งบัดนี้ 60 กว่าปีแล้ว ทรงพยายามเตือนสติ ทรงปฏิบัติทุกอย่างให้ดูเป็นแบบอย่าง แต่มีใครทำตามบ้าง สังคมก็ยังคงบ้าอำนาจ บ้าเงินทอง โกงกินกันอยู่ทุกวันนี้" ดร.สุเมธกล่าว
    ดร.สุเมธ กล่าวอีกว่า ในฐานะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ทรงรู้เรื่องพระพุทธศาสนาลึกซึ้งยิ่งนัก ทรงรับสั่งถึงการบวชว่าเป็นเรื่องที่ดี ทรงยกตัวอย่างพระองค์เอง เมื่อตอนที่ทรงตัดสินพระทัยทรงผนวชนั้น ทรงเข้าไปทูลสมเด็จพระบรมราชชนนีว่าจะทรงผนวชให้สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงดีพระทัยมาก ทรงรับสั่งว่า "แม่ดีใจมาก พอรู้ว่าเราจะบวช เข้ามากอดเราใหญ่เลย แล้วแม่ก็ยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้มมานานแล้ว และตั้งแต่วันนั้นมา แม่ก็ยิ้มมาตลอด" ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่า สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงประสบความโศกเศร้ามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สิ้นรัชกาลที่ 8 พระพักตร์นิ่งเฉยตลอด แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงผนวชให้ จากความเศร้าก็เปลี่ยนเป็นความปลื้มปิติ
    ดร.สุเมธ กล่าวว่า ในแง่ของการปกครอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้หลักธรรมาภิบาลในการปกครองแผ่นดิน ทรงใช้มา ตลอด 60 กว่าปี ในขณะที่ฝรั่งเพิ่งรู้จักเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา แต่คนไทยกลับเพิ่งมาเห็นคุณค่า เพราะคนไทยบ้าฝรั่ง อะไรที่เป็นของดี ของใกล้ตัวกลับไม่เห็นคุณค่า เป็นกิ้งก่าได้ทอง

    "หลักทศพิธราชธรรมเป็นหลักธรรมที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้ ประกอบด้วย 1.ทาน คือการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน 2.ศีล ขอแค่ศีล 5 ข้อก็ยังดี เพราะเป็นหลักสากลของทุกศาสนา แต่ทุกวันนี้พอเปิดโทรทัศน์ดู แค่ศีล 5 ข้อ ยังไม่ปฏิบัติกัน โกหกหน้าตาเฉย ไม่ขอเอ่ยถึงใคร ไม่อยากยุ่ง เพราะฉะนั้นไม่ปฏิบัติไม่ได้ ถ้าเป็นมนุษย์ต้องยึด ถ้าไม่ยึดก็ไม่ใช่มนุษย์ 3.ปริจจาคะ การสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพราะไม่มีข้าศึกคนไหน สามารถทำให้ประเทศไทยแตกได้ ให้ยิ่งใหญ่หรือทรงพลังแค่ไหน ไม่สามารถทำให้คนไทยแตกได้ คนไทยจะแตกหรือไม่แตก อยู่ที่คนไทยด้วยกันเอง กรุงศรีอยุธยาแตกแต่ละครั้ง แตกเพราะข้าศึกหรือ" ดร.สุเมธกล่าว
    ดร.สุเมธ กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีโอกาสไปประเทศรัสเซีย ประเทศที่เป็นต้นตำรับของระบอบการปกครองคอมมิวนิสต์ เมื่อก่อนเคยมีระบบกษัตริย์ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว
    "ตอนนี้คนรัสเซียอยากมีพระเจ้าแผ่นดิน คิดถึงพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 แห่งรัสเซีย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงอัญเชิญพระอัฐิของพระเจ้าซาร์มาประดิษฐานในโบสถ์หลวง สถาปนาให้เป็นนักบุญนิโคลัสเพื่อสักการะบูชา ซึ่งก็สายไปแล้ว เพราะได้ทำลายสิ่งที่ตอนนี้ต้องการที่สุดไปแล้ว แล้วของเรามียิ่งกว่านักบุญ ปฏิบัติมาตลอด 60 ปี นักบุญบางคน ผลงานอาจไม่ค่อยเป็นที่ประจักษ์เท่าไหร่ แต่นี่ 60 ปี เราไม่ค่อยจะถนอมกัน แล้ววันนั้นจะเสียใจ ก็ฝากไว้ให้คิด" ดร.สุเมธกล่าว
    ดร.สุเมธ กล่าวถึงหลักทศพิธราชธรรมข้ออื่นๆ อาทิ อาชชวะ ความซื่อสัตย์สุจริต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเคยรับสั่งว่า ใครทุจริตแม้นิดเดียวขอให้มีอันเป็นไป ทรงกำชับถึง 3 ครั้ง แสดงว่าทรงเหลืออดแล้ว เพราะทุกวันนี้โกงกินกันชนิดที่เรียกว่า ไม่เห็นหัวเห็นหางหมดทั้งแผ่นดิน ส่วนข้อ อักโกธะ การระงับความโกรธ ยิ่งเป็นคนใหญ่คนโต ผู้บริหาร หัวหน้า โกรธไม่ได้

    "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่เคยทรงโกรธ อาจมีบ้างที่ทรงไม่พอพระทัย แต่ไม่เคยทรงโกรธ เพราะความโกรธไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น แต่จะเป็นอย่างสังคมที่เป็นอยู่ตอนนี้ เห็นว่า เดือนหน้าจะมีอีกแล้ว ยังไม่หมดแรงกัน น่ารำคาญ" ดรสุเมธกล่าว
    ดร.สุเมธ กล่าวว่า เป้าหมายการทรงงานหนักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ความเป็นประชาธิปไตย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า "เหตุผลที่ทรงงานหนักอยู่ทุกวันนี้ เพราะประชาชนยังยากจนอยู่ เมื่อยังยากจนแล้ว เขาก็ไม่มีอิสรภาพเสรีภาพ เมื่อเขาไม่มีอิสรภาพเสรีภาพ เขาจะเป็นประชาธิปไตยไม่ได้" จุดหมายปลายทางของพระองค์ คือเรื่องประชาธิปไตยที่ทุกคนเปล่งกันทุกวันนี้ โดยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เข้าใจแต่ว่าประชาธิปไตยคือเลือกตั้งเท่านั้น ทั้งที่ความจริง ลึกซึ้งกว่านั้น ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประชาชนอิ่มท้อง เมื่ออิ่มท้องแล้ว ก็จะมีอิสรภาพเสรีภาพ แต่ถ้าตราบใดที่ประชาชนยังหิว เมื่อ 500 , 1,000 บาทมา เขาก็ไป แล้วก็ไม่เกิดประชาธิปไตยเสียที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่เคยใช้คำว่าร่ำรวย แต่ทรงใช้คำว่าประโยชน์ ความเจริญ และความผาสุกเท่านั้น
    ก่อนจบปาฐกถา ดร.สุเมธ ย้ำถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันเฉลิมฉลองครองราชย์ครบ 60 ปี ที่ไม่ค่อยมีใครจดจำได้ว่า พวกเราชอบเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ไม่เคยมองพระองค์ ชอบได้ยินพระเจ้าอยู่หัว แต่ไม่เคยฟังพระองค์ เพราะฉะนั้นถึงไม่เคยจดจำอะไรได้เลย หลัก 4 ข้อคือ 1.คิด พูด ทำ คิดดีต่อกัน 2.ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน 3.อยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต 4.คิดต่างกันได้ แต่ให้ตั้งอยู่บนความเที่ยงตรงและมีเหตุมีผล ถ้าทุกคนปฏิบัติตาม 4 ข้อนี้ได้ เหตุการณ์บ้านเมืองคงไม่เป็นอย่างปัจจุบันนี้ และจะทำให้เกิดเอกภาพขึ้นในประเทศ
    "เป็นที่น่าเสียดาย เรามีพระบรมครู ยอดปราชญ์อยู่ในแผ่นดิน แต่ไม่ฟัง กลับไปฟังอะไรก็ไม่รู้ แล้ววันหนึ่งจะเสียใจ ผมพูดได้แค่นี้ ยังไม่สายนะครับ อย่าเสียกำลังใจ" ดร.สุเมธกล่าวทิ้งท้าย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=30>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ทั้งที่รัฐบาลของพระเจ้าทซาร์ล้มลงในปี1917 แต่ท่านไม่ยอมที่จะหนีไปไหนแต่รอความตายจากซาตานสังหาร ไม่มีคนชอบธรรมที่คำสั่งสังหารแม้กระทั่งเด็กอายุ11 กลางดึก ในห้องใต้ดิน บ้านพักเพื่อจุดประสงค์พิเศษ และท่านยืนหยัดในความเชื่อพระคริสต์ จนผู้ที่ไร้ความเชื่อในพระเจ้าสังหาร ท่านปกป้องความเชื่อของคริสตชนในรัสเซีย ตลอดเวลาที่คอมมิวนิสต์กดขี่ ทำลายโบสถ์ วิหาร วัด อาราม แม้กระทั่ง เอาวิหารมาเป็นสระว่ายน้ำ
    ถ้าพระเจ้าทซาร์เป็นซาตานดั่งพรรคแดงว่า ในปี1917ที่ถูกโค่น มันน่าจะหายแล้วเป็นตราลบไปตลอดกาล เหตุไฉน 7พ.ย.1991 สิ่งที่โค่นล้มพระเจ้าทซาร์กับโดนโค่นโดยชนชาติเดียวกันเอง ในเวลานั้นที่เคยมีธงแดง
    เสียงเพลงพระเจ้าคุ้มครองทซาร์กลับมากึกก้องอีกครั้ง
    "ตอนนี้คนรัสเซียอยากมีพระเจ้าแผ่นดิน คิดถึงพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 แห่งรัสเซีย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงอัญเชิญพระอัฐิของพระเจ้าซาร์มาประดิษฐานในโบสถ์หลวง สถาปนาให้เป็นนักบุญนิโคลัสเพื่อสักการะบูชา ซึ่งก็สายไปแล้ว เพราะได้ทำลายสิ่งที่ตอนนี้ต้องการที่สุดไปแล้ว..."


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    "....แล้วของเรามียิ่งกว่านักบุญ ปฏิบัติมาตลอด 60 ปี นักบุญบางคน ผลงานอาจไม่ค่อยเป็นที่ประจักษ์เท่าไหร่ แต่นี่ 60 ปี เราไม่ค่อยจะถนอมกัน แล้ววันนั้นจะเสียใจ ก็ฝากไว้ให้คิด"
    ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    ?ط?ǧȬ
     
  17. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    สวัสดีครับวันนี้ครอบครัวผมใอนเงินทำบุญ 500 บ.ประจำเดือน มิ.ย 52
    (11/06/09*เวลา 16:29 น.*)
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ความเดิมของเหรียญกระโดดบาตร



    เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่น กระโดดบาตร ปี ๒๕๓๐



    [​IMG]
    เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่น กระโดดบาตร ปี 2530
    คัดลอกมาจากเวปพุทธานุภาพพระเครื่อง
    ที่มาของการสร้างเหรียญกระโดดบาตร สืบเนื่องมาจากในสมัยที่ คุณแล่ม จันท์พิศาโล ยังทำงานที่นิตยสารพระเครื่อง “ ลานโพธิ์ ” วันหนึ่งขณะเดินทางไปทำธุระ ระหว่างทางก็ได้เห็นคนกำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ จึงได้ชะลอรถเพื่อดู ภาพที่เห็นคือ มีมอเตอร์ไซด์เก่า ๆ คันหนึ่งได้ล้มคว่ำอยู่ข้างทาง มีผู้หญิงและผู้ชายนอนตายอยู่ใกล้ ๆ กัน และมีเด็กอายุประมาณ 2-3 ขวบ กำลังร้องไห้เรียกหาพ่อแม่ซึ่งนอนตายอยู่ พร้อมทั้งกอดศพพ่อและแม่ ภาพที่เห็นนั้นรู้สึกสลดใจยิ่งนัก จึงเกิดความคิดสร้างพระแจกให้คนทั่ว ๆ ไปได้มีพระเอาไว้ติดตัวคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ เผื่อคนจนจะได้มีพระไว้บูชาด้วย
    ก็มานั่งนึกว่าจะสร้างเป็นพระอะไรก็นึกถึง หลวงปู่ทวดขึ้นมา เพราะเคยมีคนกล่าวว่า มีหลวงปุ่ทวดคิดตัวจะไม่เกิดอุบัติเหตุตายโหง เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงให้ช่างแกะพิมพ์เป็นรูปหลวงปู่ทวดนั่งสมาธิอยู่ในกรอบ พระทรงสี่เหลี่ยม กว้าง 1.5 ซม. สูง 2.0 ซม. เป็นเนื้อทองแดงรมน้ำตาลเพียงอย่างเดียวไม่มีเนื้ออื่น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อทองคำ เงิน นาก ทองเหลือง หรือตะกั่ว และไม่มีเหรียญแจกกรรมการ ( เพราะไม่มีการแต่งตั้งกรรมการแต่อย่างใด ) จำนวนสร้าง 20,000 เหรียญ เมื่อเหรียญสร้างเสร็จแล้วปรากฏว่าสวยงามมาก ใบหน้าของหลวงปู่ทวดแสดงถึงความเมตตาเป็นอย่างมาก
    พระอาจารย์ที่ตั้งใจจะให้ท่านปลุกเสกก็คือ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา โดยคุณช้าง ราชดำเนิน เป็นผู้นำไปฝากไว้ที่วัดสะแกด้วยตนเอง ซึ่งเมื่อนำเหรียญที่สร้างทั้งหมดมาให้หลวงปู่ดู่ท่านอธิษฐาน พร้อมทั้งบอกจุดประสงค์ในการสร้างว่ามีเจตนาเพื่ออะไร พอหลวงปู่ทราบ ท่านก็พูดออกมาดัง ๆ ว่า “ ข้าขออนุโมทนากับแกด้วย ” จึงฝากเหรียญทั้งหมดไว้ให้หลวงปู่ปลุกเสกเป็นเวลาหนึ่งไตรมาสตลอดพรรษาปี 2530
    เมื่อครบกำหนดออกพรรษาแล้วหลายวัน ทางผู้สร้างและคุณช้างจึงกลับไปที่วัดสะแกอีกครั้ง พร้อมกับขอรับเหรียญหลวงปู่ทวดที่ฝากไว้กลับคืน โดยได้ให้คำมั่นสัญญากับหลวงปู่ว่า “ จะเอาเหรียญนี้ไปแจกแก่ผู้ซื้อหนังสือลานโพธิ์ และผู้ทำคุณประโยชน์แก่สาธารณกุศลเท่านั้น โดยจะไม่นำไปจำหน่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอย่างเด็ดขาด”
    หลวงปู่ดู่ได้กล่าวอนุโมทนาและได้เมตตานั่งปรกอธิษฐานจิตให้อีกครั้ง หนึ่งนานประมาณ 30 นาที โดยท่านได้บอกกับลูกศิษย์ที่ไปนั่งปฏิบัติธรรมบนกุฏิว่า “ ขอให้ทุกคนนั่งสมาธิตั้งจิตอธิษฐานมาที่กล่องเหรียญหลวงปู่ทวดนี้ด้วย ” ซึ่งทุกคนก็ได้ปฏิบัติตามที่หลวงปู่สั่งไว้ ( มีผู้ที่นั่งสมาธิในวันนั้นบอกว่า เห็นแสงสว่างสุกปลั่งไสว เป็นแสงสีนวลบนกล่องเหรียญ )
    หลังจากที่หลวงปู่นั่งสมาธิอธิษฐานจิตเสร็จแล้ว ท่านได้ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ทั่วทุกกล่องพระ ทางผู้สร้างได้แบ่งเหรียญใส่พานถวายท่าน 2 ถุง ( 2,000 เหรียญ ) กราบเรียนท่านว่า “ ขอให้รับไว้เพื่อแจกแก่ผู้ที่มากราบหลวงปู่ ” หลวงปู่รับเหรียญแล้วก็แกะถุงพลาสติก หยิบเหรียญออกมาแจกแก่ทุกคนที่อยู่บนกุฏิในวันนั้น
    ในเวลานั้นผู้สร้างได้มีโอกาสคุยกับลูกศิษย์ที่มีความนับถือหลวงปู่ดู่ ด้วยกันหลายคน หนึ่งในลูกศิษย์นั้นเล่าว่า มีคนนำเหรียญรูปหลวงปู่ทวดมาให้หลวงปู่ดู่ปลุกเสก เหรียญรุ่นนั้นหลวงปู่ดู่ท่านเมตตาปลุกเสกอย่างเต็มที่ ลูกศิษย์ผู้นั้นกล่าวต่อว่า เดิมที่เหรียญนั้นอยู่ในกล่องกระดาษ และได้มีลูกศิษย์มาพบ เห็นว่าเหรียญนั้นเป็นเหรียญรูปหลวงปู่ทวด จึงนำเหรียญเหล่านั้นมาใส่ไว้ในบาตรพระแทน
    ในการปลุกเสกคราวหนึ่ง คนที่ศรัทธาหลวงปู่กลับไปหมดแล้ว ท่านว่างจึงได้ทำการอธิษฐานจิตปลุกเสกเหรียญหลวงปู่ทวดตอนนั้นเป็นเวลาเย็น มากแล้ว ซึ่งมีเพียงตาแกละที่คอยเก็บกาน้ำชา และคอยทำความสะอาดอยู่บริเวณนั้น ตาแกละได้เล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อดู่ท่านได้ปลุกเสกเหรียญทั้งหมดจนเหรียญตั้งขึ้นได้ทุกองค์แล้ว เหรียญทุกองค์ก็ได้ลอยขึ้นมาจากบาตร เมื่อตาแกละเห็นดังนั้นจึงนั่งลงกราบ แล้วหลวงพ่อดู่ก็ลืมตาขึ้นมามองทางตาแกละ วันนั้นหลวงพ่อท่านอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ตาแกละก็เลยกล่าวกับหลวงพ่อว่า “ เหรียญรุ่นนี้หลวงพ่อปลุกเสกจนเหรียญลอยเลยนะครับ ” หลวงพ่อท่านเมตตาตอบว่า “ คนสร้างเหรียญรุ่นนี้เขามีเจตนาดี อยากให้ผู้อื่นแคล้วคลาดปลอดภัยทำมาหากินเจริญ คนแบบนี้หาได้ยาก ด้วยเจตนาอันเป็นกุศลนี้ข้าเลยอนุ โมทนาให้เขาเต็มที่ เหรียญที่ปลุกเสกนี้เมื่อนำไปใช้ก็จะเจริญร่ำรวย มีโชคลาภ แคล้วคลาดปลอดภัย เมตตา สมกับเจตนาที่ตั้งไว้ ข้าเสกเหรียญนี้ไว้ในบาตรพระ ก็เพราะบาตรพระเป็นภาชนะที่ญาติโยมนำข้าวปลาอาหาร กล้วยสุกลูกไม้ มาให้ด้วยความศรัทธา บาตรพระนี้แหละแกเอ๋ย ดีเป็นที่สุดเลย ” หลวงพ่อยังพูดต่อว่า “ เหรียญหลวงปู่ทวด ที่ข้าปลุกเสกนี้ อีกหน่อยจะหายากจนแทบพลิกแผ่นดินหากันแหละแก ”
    เมื่อผู้สร้างได้ฟังเรื่องต่าง ๆ ถึงกับขนลุกขึ้นถึงหัวเลยทีเดียว คนที่เล่าก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้สร้าง นี้คือที่มาของเหรียญหลวงปู่ทวดกระโดดบาตร อีกหลายปีผ่านไปก็เป็นอย่างที่หลวงปู่ดู่ได้กล่าวไว้ว่า เหรียญนี้มีพุทธคุณต่าง ๆ นา ๆ ผู้ที่ใช้มักมีปาฏิหาริย์มาเล่าให้ฟังกันต่าง ๆ

    บันทึกของคุณชาญชัย ก่อเกียรติสกุลชัย
    ณ ห้อง 223 เตาปูนแมนชั่น อาคาร เอ ถ.เตชะวาณิช
    แขวง/เขต บางซื่อ กทม. 10800 โทรฯ 5859628-9 ต่อ 223
    ( หมายเหตุ ปัจจุบันทางแมนชั่นได้เปลี่ยนเป็นสายตรงแทนแล้ว )

    27 พ.ย. 2539
    ข้าพเจ้า นายชาญชัย ก่อเกียรติสกุลชัย จบการศึกษาปริญญาตรีวิทยาศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปัจจุบันทำงานที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนากระบวนการทำงานธนาคารกสิกรไทย และมีเชื้อสายจีนเต็มตัว
    เดิมข้าพเจ้าไม่มีความสนใจในแก่นหรือหลักของพระพุทธศาสนา เพียงแต่มีความเข้าใจอย่างผิวเผิน และได้ประสบเหตุการณ์บางอย่างในการทำงานในต่างจังหวัด ทำให้มีความสนใจในเรื่อง “ พระพุทธคุณ ” ( พระพุทธคุณ คือ พลังงานที่อยู่ในพระ ) ว่าจะมีจริงหรือเปล่า จึงได้เสาะแสวงหาพระเครื่องของพระเกจิอาจารย์และพระกรุต่างๆ จากหนังสือพระเครื่องหลายฉบับ โดยเสียเงินในการเช่าบูชาเป็นจำนวนมากพอสมควร
    เนื่องจากข้าพเจ้ามีพระเครื่องจำนวนมากมาย ทำให้ไม่มีการจัดเก็บให้เป็นที่เรียบร้อย มารดาข้าพเจ้าซึ่งเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ( เรียกว่า เป็นคนต่างด้าว ) และมีความนับถือในพระศาสดากับพระโพธิสัตว์กวนอิม โยมมารดาเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านได้สวดมนต์ทำสมาธิมาตั้งแต่เมื่ออายุเพียง 15 ปี ตั้งแต่สมัยอยู่ในประเทศจีน จนมีอายุในขณะนี้ 70 ปี และตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าจำความได้ ก็เห็นมารดาสวดมนต์บูชาพระพุทธองค์และพระโพธิสัตว์กวนอิมทุกวันในช่วงเย็น ไม่น้อยกว่าวันละ 3 ชั่วโมง
    โดยปกติลูกหลานจะทราบเพียงแต่ว่า มารดาข้าพเจ้ามีความสามารถในการทำนายโหงวเฮ้ง ( โหงวเฮ้ง หมายถึง การดูตรงหน้า ดูลักษณะ 5 อย่าง เช่น ดูตา ใบหู จมูก เป็นต้น ) ได้อย่างเม่นยำมาก แต่จะบอกเฉพาะลูกหลานหรือญาติเท่านั้น
    จนมากระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง มารดาได้ให้ข้าพเจ้าไปจัดเก็บพระเครื่องต่างๆ ที่วางไว้ระเกะ ระกะให้เป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากเป็นวันหยุด ข้าพเจ้าจึงนำพระเครื่องทั้งหมดออกมาทำความสะอาดแล้ววางไว้บนโต๊ะ มารดาข้าพเจ้า ( ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ) ได้เดินมาที่โต๊ะที่วางพระเครื่องจำนวนหลายร้อยองค์ของข้าพเจ้า พร้อมกับได้หยิบพระเครื่องแยกออกมาจำนวนหนึ่งประมาณ 4-5 องค์ แล้วเลือกพระเครื่องออกมาเพียง 1 องค์ยื่นให้ข้าพเจ้า องค์ที่เหลือได้วางกลับลงไปที่เดิม
    เนื่องจากมารดาเป็นคนจีนพูดไทยชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ได้พูดภาษาจีนแปลเป็นไทยได้ว่า “ พระเครื่องที่หยิบมาทุกองค์มีพลังหรือพุทธคุณสูงมาก แต่องค์ที่พุทธคุณสุดยอดคือองค์นี้ ” ซึ่งในภายหลังข้าพเจ้าทราบว่าเป็น เหรียญสี่เหลี่ยมเล็ก ทองแดงรมสีน้ำตาล รูปหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ สร้างเมื่อปี 2530 อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวโดย หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา ซึ่งบางคนเรียกเหรียญรุ่นนี้ว่า “ รุ่นกระโดดบาตร ”
    มารดาได้กล่าวย้ำให้ข้าพเจ้านำไปเลี่ยมทองแขวนคอไว้เป็นมงคลแก่ตัว โดยปกติมารดาไม่เคยสนใจในเรื่องพระเครื่อง และอ่านภาษาไทยไมได้เลย แต่ท่านจะตักบาตรทุกวันและนับถือหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี กับ สมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ ( ฟื้น ) วัดสามพระยา
    ข้าพเจ้ามีความสงสัยเป็นอย่างมากว่า มารดาทราบได้อย่างไรว่าองค์ไหนมีพุทธคุณสูง และท่านสามารถตรวจสอบได้จริงหรือไม่ พระเครื่ององค์ดังกล่าวเป้นพระที่ข้าพเจ้าได้รับจากการทำบุญกับเพื่อน เป็นพระรุ่นใหม่และไม่มีราคาเช่าหาแต่อย่างใด จึงสอบถามมารดาว่า แม่รู้ได้อย่างไรว่าพระองค์นี้ดีและองค์ที่วางลงไปมีพุทธคุณน้อยกว่า ( พระที่มารดาวางลงไป 3-4 องค์ ล้านเป็นพระเครื่องที่นิยมในวงการและมีราคาเช่าหาสูงในระดับหลักหมื่นขึ้นไป ทั้งสิ้น ) ข้าพเจ้าได้เลือกพระองค์ที่บูชามาในราคาสูงมาให้ตรวจสอบอีกจำนวนหนึ่ง ผลก็คงเป็นเช่นเดิม
    มารดาบอกว่า พระองค์นี้ ( เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่น กระโดดบาตร ) ดีมาก เป็น “ ผ่อสัก ” ( คือ “ พระโพธิสัตว์ ” เหมือนกับ “ เจ้าแม่กวนอิม ” ) ให้นำไปเลี่ยมแขวนที่คอ หากไม่มีเงินก็จะให้
    ข้าพเจ้าแย้งว่า พระองค์นี้ได้มาจากการทำบุญราคาถูกมาก จะดีกว่าพระองค์ที่มีราคาแพงๆ ได้อย่างไร ?
    มารดาบอกว่า พระองค์ราคาแพงมีพุทธคุณสูง มีลักษณะพลังงานแบบสายน้ำที่ไหลเรื่อยๆ มาไม่ขาดสาย แต่พระองค์ที่เลือกให้ ( เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่น กระโดดบาตร ) มีพุทธคุณสูงสุด มีพลังงานเหมือนกับน้ำตกที่ไหลแรงมากและไม่ขาดสายเช่นกัน

    ข้าพเจ้ายังไม่เชื่อว่ามารดาจะตรวจสอบพุทธคุณได้จริงๆ จึงได้ไปยืมพระเครื่องที่มีราคาเช่าหาในหลักแสนมา 2 องค์ ให้มารดาตรวจสอบใหม่อีกครั้ง ปรากฏว่ามารดาก็ยังยืนยันเหมือนเช่น เดิม แต่ข้าพเจ้าก็ยังแคลงใจ จึงได้พิสูจน์อีกครั้งหนึ่ง โดยนำกล่องใส่พระที่ปิดสนิท 3 กล่อง
    - กล่องที่ 1 บรรจุพระเหรียญหลวงปุ่ทวด รุ่น กระโดดบาตร
    - กล่องที่ 2 บรรจุพระเก่าราคาแพง
    - กล่องที่ 3 บรรจุเม็ดลูกอมกิมจ๊อ

    ไม่สามารถมองเห็นว่าข้างในกล่องมีอะไร แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบ เพราะได้วางสลับไปสลับมาจนตัวเองก็งง
    มารดาได้ยกกล่องใส่พนมมือทีละกล่อง โดยบอกว่า กล่องนี้มีพระองค์ที่มีพุทธคุณเยี่ยมยอด ( เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่น กระโดดบาตร ) ส่วนกล่องนี้พุทธคุณเบาบางมาก ( พระเก่า ) อีกกล่องท่านได้โยนทิ้งถังขยะ กล่องที่ถูกทิ้งถังขยะเป็นกล่องที่บรรจุเม็ดลูกอมกิมจ๊อ จึงทำให้ข้าพเจ้าเริ่มสนิทใจว่า
    มารดาตรวจสอบพุทธคุณได้จริง และพุทธคุณมีจริง
    จากจุดนี้ทำให้ผู้เขียนสอบหาพระเครื่องที่ปลุกเสกโดย หลวงปู่ดู่ วัดสะแก มาโดยตลอด แม้ในทุกวันนี้ ต่อมาได้อ่านหนังสือ พระผู้จุดประทีปในดวงใจ ทำให้สนใจเริ่มค้นคว้าคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อย่างจริงจังและนำมาปฏิบัติ ธรรม จึงขอสนับสนุนแนวทางที่ หลวงปู่ดู่ วางไว้ว่า
    “ ติดวัตถุมงคล
    ดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล ”

    เมื่อสามารถฝึกจิตตนเองและปฏิบัติธรรมได้อย่างจริงจังแล้ว ก็จะค้นพบของดีวิเศษในตนเอง ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง
    อ้างอิง 1. “ เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่น กระโดดบาตร 2530 หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา ปลุกเสก ” โดย แล่ม จันท์พิศาโล
    หนังสือปรกโพธิ์
    2. “เหรียญกระโดดบาตร หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ” โดย กฤษ บางพรม หนังสือนะโภคทรัพย์

    เพิ่มข้อเขียนของคนสร้างครับ
    จาก…”เหรียญแจกฟรี”..กับหนังสือพระ
    มาเป็น..เหรียญนิยมหลักพันเศษ

    เหรียญหลวงปู่ทวด
    รุ่น”กระโดดบาตร”2530
    หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา ปลุกเสก
    โดย…แล่ม จันท์พิศาโล
    ในช่วงระยะเวลา 15 ปี ที่ผมเป็นบรรณาธิการบริหารนิตยสารพระเครื่อง”ลานโพธิ์” ได้เคยจัสร้างเหรียญและพระเครื่องแจกไปกับหนังสือมาแล้วหลายรุ่นด้วยกัน
    ในปีพ.ศ2519 ได้สร้างพระปรกใบมะขาม โดยได้ตระเวนขอบารมีหลวงพ่อหลวงปู่พระอาจารย์ชื่อดังปลุกเสกทั่วประเทศ ใช้เวลาเป็นเดือนๆ ในช่วงที่รอคอยก็ได้ลงโฆษณาเป็นระยะๆ ทำให้ท่านผู้อ่านตื่นตัวอยากจะได้พระปรกใบมะขามรุ่นนี้กันมาก จึงได้มีการสั่งจองหนังสือกันล่วงหน้า เอเย่นต์ต่างจังหวัดส่งยอดขอเพิ่มหนังสือกันแทบทุกวัน จนต้องปิดรับจอง
    ทำให้หนังสือ”ลานโพธิ์”ฉบับแถมพระปรกใบมะขามนี้มียอดพิมพ์สูงถึง 1 แสน 2 หมื่นฉบับ…แทบไม่น่าเชื่อ ถ้ายังไม่ปิดจองก็คงต้องสูงกว่าเป็นแน่แท้
    นับเป็นหนังสือพระฯที่มียอดพิมพ์สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งยังไม่มีหนังสือพระฯเล่มใดทำได้มาก่อน..แม้ในทุกวันนี้ (ปี 19 น่ะครับ)
    พระปรกใบมะขาม รุ่นนี้มีตัวหนังสือจารึกอยู่ด้านหลังว่า “ลานโพธิ์ ๑๙” ออกแบบองค์พระโดย ท่านอาจารย์อวบ สาณะเสน ศิลปินเอกของเมืองไทย.ในปี พ.ศ2530 ผมได้สร้าง เหรียญแจกไปกับหนังสือ”ลานโพธิ์” อีก 3 เหรียญ แจกเป็นระยะๆ (เป็นการแจกฟรีจริงๆไม่ได้ขอบวกเพิ่มค่าพระไว้ในหนังสือพระเครื่องแต่ประการ ใด)
    เหรียญ 3 พิมพ์นี้คือ
    1.เหรียญหลวงปู่ศุข วัดปากครองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท ปลุกเสกโดย หลวงพ่อมหาโพธิ์ ลูกศิษย์หลวงปู่ศุข
    2.เหรียญหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม ปลุกเสกโดยหลวงพ่อแช่มเอง
    3.เหรียญหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ จ.ปัตตานี ปลุกเสกโดย หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา
    ทั้ง 3 พิมพ์นี้เป็นเหรียญสี่เหลี่ยมมีขนาดเท่ากันคือกว้าง 1.5 ซม. สูง 2.0 ซม.

    เหรียญหลวงปู่ศุข กับเหรียญหลวงพ่อแช่ม มียอดสร้าง 1 หมื่นเหรียญ ส่วนเหรียญหลวงปู่ทวด มียอดสร้าง 2 หมื่นเหรียญ ทั้งหมดเป็น เหรียญทองแดง รมน้ำตาล แต่เพียงอย่างเดียว ไม่มีเนื้อพิเศษอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อทองคำ เงิน นาก ทองเหลืองหรือตะกั่วและไม่มีแจกกรรมการ (เพราะไม่มีการแต่งตั้งกรรมการแต่อย่างใด)
    ทราบว่าตอนหลังมานี้มี “เหรียญปลอม” ออกมาด้วย โดยเฉพาะเหรียญหลวงปู่ทวดเนื้อเงิน ทองเหลืองและทองแดงกาไหล่ทอง ซึ่งผมขอยืนยันว่า
    “ไม่มีอย่างแน่นอน”

    กล่าวสำหรับ “เหรียญหลวงปู่ทวด” คุณช้าง ราชดำเนิน เป็นผู้นำไปฝากไว้ที่วัดสะแกด้วยตนเอง โดยฝากไว้ตลอดพรรษาปี 2530 คุณช้าง ราชดำเนิน(หรือ”พี่ช้าง”ของผม) เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิคนหนึ่งของหลวงปู่ดู่ และได้ขึ้นธรรมกับหลวงปู่มาก่อน
    ออกพรรษาแล้วหลายวัน ผมกับพี่ช้างได้ไปกราบหลวงปู่ดู่ด้วยกันพร้อมกับขอรับเหรียญหลวงปู่ทวดที่ ฝากปลุกเสกกลับมาแจกหนังสือ โดยผมได้ให้คำมั่นสัญญากับหลวงปู่ว่า
    “จะเอาเหรียญนี้ไปแจกแก่ผู้ที่ซื้อหนังสือลานโพธิ์ และให้ผู้ทำคุณประโยชน์แก่สาธารกุศลเท่านั้น โดยจะไม่นำไปจำหน่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอย่างเด็ดขาด”
    หลวงปู่ได้กล่าวอนุโมทนา และได้เมตตานั่งปรก อธิษฐานจิตปลุกเสกให้อีกนานประมาณ 30 นาที โดยได้บอกกับบรรดาลูกศิษย์ที่ไปนั่งปฏิบัติธรรมอยู่บนกุฏิว่า “ตั้งจิตอธิฐานมาที่กล่องเหรียญหลวงปู่ทวดนี้ด้วย” ซึ่งทุกคนก็ได้ปฏิบัติตามที่หลวงปู่สั่งไว้ มีผู้ที่นั่งสมาธิในวันนั้นบอกว่าเห็นแสงสว่างสุกปลั่งไสวเป็นแสงสีนวลบน กล่องเหรียญ
    หลังจากที่หลวงปู่นั่งสมาธิอธิษฐานจิตเสร็จแล้วท่านได้ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ทั่งทุกกล่องพระ
    ผมได้เอาเหรียญหลวงปู่ทวดออกมา 2 ถุง (2,000 เหรียญ) ใส่พานถวายแด่หลวงปู่กราบเรียนท่านว่า ขอให้รับไว้เพื่อแจกแก่ผู้ที่มากราบหลวงปู่
    หลวงปู่รับเหรียญแล้วก็แกะถุงพลาสติก หยิบเหรียญออกมาแจกแก่ทุกคนที่อยู่ในกุฏิในวันนั้น

    เรื่องการแจกเหรียญหลวงปู่ทวดรุ่นนี้ ผมมาทราบทีหลังว่า บรรดาลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ให้ความนิยมชมชอบกันมาก จะด้วยสาเหตุใดก็ไม่ทราบ และได้มีการเรียกขานเหรียญรุ่นนี้ว่า “รุ่นกระโดดบาตร” นัยว่าหลงปู่ปลุกเสกจนเหรียญกระโดดออกจากบาตร จริงเท็จประการใด ผมไม่ขอยืนยัน เพราะไม่ได้พบเห็นด้วยตนเอง

    คัดลอกมาจากกระทู้ในเวปพลังจิต




    ความจริงเรื่องเหรียญกระโดดบาตรจากคุณแล่ม คมชัดลึก (ใหม่)


    เรียนท่านผู้นับถือหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญทุกท่านครับ
    ผมมีความเคารพนับถือหลวงปู่ดู่อย่างสูงและได้ติดตามสืบเสาะข้อมูลไม่ว่า ทางสื่อสิ่งพิมพ์หรือทางอินเตอร์เน็ตทุกเวปที่มีชื่อ
    หลวงปู่อยู่ ซึ่งผมก็พบข้อมูลซึ่งอ่านแล้วก็ทำให้เกิดศัทธาในวัตรปฏิบัติของพระอริยะสงฆ์รูปนี้เป
    ็นอย่างสูง

    กระผม ได้ความรู้รวมไปถึงหลักปฏบัติจากข้อมูลที่กระผมสืบเสาะมาพอสมควร รวมไปถึงข้อมูลในวัตถุมงคลที่จัดสร้างของหลวงปู่เกือบทุกประเภท จนมาสะดุดกับข้อมูล"เหรียญกระโดดบาตร"ซึ่งจัดสร้างโดยหนังสือพระเครื่องลาน โพธิ์ เมื่อปี 2530 ซึ่งผู้จัดสร้างที่กระผมพบในข้อมูลนั้นคือ"คุณแล่ม จันทพิศาโล"หรือคุณแล่ม คมชัดลึกนั่นเอง โดยส่วนตัวแล้วอาแล่มกับกระผม ท่านให้ความเมตตาอยู่เสมอ กระผมมักจะมีโอกาสโทรสอบถามเพื่อขอความรู้ รวมไปถึงการหาข้อมูลในเชิงลึกของวัตถุมงคลของพระคณาจายร์บางรูป เฉกเช่นเดียวกัน กระผมได้ไปพบข้อมูลของการจัดสร้างเหรียญกระโดบาตรซึ่งกระผมสนใจเป็นอย่าง ยิ่ง และผู้ที่จัดสร้างนั้น มีความคุ้นเคยกับกระผมพอสมควร วันนี้8 มิ.ย.2552 เวลาประมาณ15.30น จึงโทรไปสอบถามเรื่องราวของเหรียญรุ่นดังกล่าว พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวที่กระผมอ่านในเวบฟัง คุณแล่มจึงอยากจะอธิบายความจริงดังนี้

    ที่มาของการสร้างเหรียญกระโดด บาตร สืบเนื่องมาจากในสมัยที่ คุณแล่ม จันท์พิศาโล ยังทำงานที่นิตยสารพระเครื่อง “ลานโพธิ์ ” วันหนึ่งขณะเดินทางไปทำธุระ ระหว่างทางก็ได้เห็นคนกำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ จึงได้ชะลอรถเพื่อดู ภาพที่เห็นคือ มีมอเตอร์ไซด์เก่า ๆ คันหนึ่งได้ล้มคว่ำอยู่ข้างทาง มีผู้หญิงและผู้ชายนอนตายอยู่ใกล้ ๆ กัน และมีเด็กอายุประมาณ 2-3 ขวบ กำลังร้องไห้เรียกหาพ่อแม่ซึ่งนอนตายอยู่ พร้อมทั้งกอดศพพ่อและแม่ ภาพที่เห็นนั้นรู้สึกสลดใจยิ่งนัก จึงเกิดความคิดสร้างพระแจกให้คนทั่ว ๆ ไปได้มีพระเอาไว้ติดตัวคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ เผื่อคนจนจะได้มีพระไว้บูชาด้วย

    ....เรื่องราวดังกล่าวไม่เป็นความจริง มูลเหตุการจัดสร้างแท้จริงแล้วเป็นการจัดสร้างเพื่ออภินันทนาการให้แก่ผู้มีอุปการะ
    คุณ หนังสือลานโพธิ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางคุณแล่ม ได้จัดสร้างเหรียญหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยขอบารมีหลวงพ่อมหาโพธิ์ วัดปากคลองมอญอธิษฐานจิต เหรียญที่2คือเหรียญหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม ซึ่งในขณะนั้นท่านมีชีวิตอยู่ จึงนิมนต์ให้ท่านอธิษฐานจิต และเหรียญที่3 คือเหรียญ หลวงพ่อทวด โดยความตั้งใจคือขอบารมีหลวงปู่ดู วัดสะแก อธิษฐานจิตจำนวน 1หมื่น เหรียญมีเนื้อเดียว คือ เนื้อทองแดง คุณแล่มตั้งข้อสังเกตุว่า การจัดสร้างทั้ง3เหรียญนี้ ใน2เหรียญแรกคือหลวงปูศุข และหลวงพ่อแช่ม จะมีชื่อ"ลานโพธิ์"อยู่ด้านหลังเหรียญส่วนเหรียญหลวงพ่อทวดนั้น จะไม่มีคำว่าลานโพธ์อยู่ที่ด้านหลัง ส่วนเรื่องที่กล่าวกันว่า"คุณแล่มไปพบเจอพ่อแม่ลูกที่ขี่มอเตอร์ไซค์นั้นไม่ เป็นความจริง"

    พระอาจารย์ที่ตั้งใจจะให้ท่านปลุกเสกก็คือ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา โดยคุณช้าง ราชดำเนิน เป็นผู้นำไปฝากไว้ที่วัดสะแกด้วยตนเอง ซึ่งเมื่อนำเหรียญที่สร้างทั้งหมดมาให้หลวงปู่ดู่ท่านอธิษฐาน พร้อมทั้งบอกจุดประสงค์ในการสร้างว่ามีเจตนาเพื่ออะไร พอหลวงปู่ทราบ ท่านก็พูดออกมาดัง ๆ ว่า “ ข้าขออนุโมทนากับแกด้วย ” จึงฝากเหรียญทั้งหมดไว้ให้หลวงปู่ปลุกเสกเป็นเวลาหนึ่งไตรมาสตลอดพรรษาปี 2530 .....กรณีนี้ความจริงแล้ว หลังจากที่คุณแล่มได้จัดสร้างเหรียญรุ่นนี้สำเร็จแล้วจึงนำไปไว้ที่วัดสะแก กับหลวงพี่ใย การปลุกเสกของหลวงปู่กับเหรียญรุ่นนี้ มีเพียงวันรับเหรียญไว้ในวันแรก และวันสุดท้ายที่คุณแล่มไปรับเหรียญกลับมาส่วนที่เหลือทั้งหมดพระถูกเก็บไว้ ที่หลวงพ
    ่อใย และขอยืนยันตรงนี้ว่า

    "วันที่รับเหรียญกลับมาทั้งหมด พระยังอยู่ในถุงเหมือนเดิมทุกประการมิได้ถูกฉีกออกจากถุงที่บรรจุมาจากโรงงานแม้นแต่
    น้อย"

    และ ทางคุณแล่มได้ถวายหลวงปู่ไป 2000 เหรียญ ก็เป็นความจริง และในการนี้คุณ ได้รับสัจจะกับหลวงปู่ว่าจะนำไปแจกจ่ายให้กับผู้อ่านหนังสือและพุทธศาสนิกชน ที่ ศรัทธาเท่านั้น จะไม่นำออกมาจำหน่าย จนถึงปัจจุบันนี้คุณแล่มก็ยังถือสัจจะที่รับมากับท่านอยู่จนวันนี้

    ใน เวลานั้นผู้สร้างได้มีโอกาสคุยกับลูกศิษย์ที่มีความนับถือหลวงปู่ดู่ด้วยกัน หลายคน หนึ่งในลูกศิษย์นั้นเล่าว่า มีคนนำเหรียญรูปหลวงปู่ทวดมาให้หลวงปู่ดู่ปลุกเสก เหรียญรุ่นนั้นหลวงปู่ดู่ท่านเมตตาปลุกเสกอย่างเต็มที่ ลูกศิษย์ผู้นั้นกล่าวต่อว่า เดิมที่เหรียญนั้นอยู่ในกล่องกระดาษ และได้มีลูกศิษย์มาพบ เห็นว่าเหรียญนั้นเป็นเหรียญรูปหลวงปู่ทวด จึงนำเหรียญเหล่านั้นมาใส่ไว้ในบาตรพระแทน...กรณีนี้ ได้รับการยืนยันจากผู้จัดสร้างว่า เหรียญทุกเหรียญยังอยู่ในสภาพเดิมภายในถุง มิได้ถูกแกะออกแม้นแต่เหรียญเดียว ถุงที่ถูกแกะออกเป็นครั้งแรกนั้นก็คือพระที่คุณแล่ม ได้ถวายหลวงปู่นั่นเอง

    จึงเรียนมาเพื่อเป็นข้อมูลที่ถูกต้องในภายภาคหน้า สอบถามข้อมูลเพิ่ม ได้ที่คุณแล่ม 08161619


    http://board.watthummuangna.com/showthread...9652#post219652
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บทความที่คัดมาฝากสำหรับคนที่เริ่มมีความรู้สึกท้อแท้และหมดหวังกับอะไรบางอย่างในชีวิต
    "พ่อ" สอนว่าอย่างไร อ่านเอา คิดเอา แล้ว สู้ต่อ.ว้ย...



    [​IMG]

    ประสบการณ์ดีๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ได้ทรงรับสั่งให้กำลังใจในการทำงาน


    องคมนตรีสุเมธ ท่านได้เล่าให้ฟังว่า

    " ตอนนั้นผมกำลังทำงานอยู่ในสภาพจิตใจที่แย่มาก มันไม่มีกำลังใจจะทำอะไร

    ท้อแท้กับงานมาก ไม่มีใครเข้าใจ เหมือนทำดีแต่ไม่ได้ดี "

    ในหลวงท่านเสด็จมาพอดี และท่านทรงได้เห็นสีหน้าผมไม่สู้จะดี

    ท่านทรงได้สอบถามจนได้ความว่า ผมกำลังท้อแท้กับงาน

    ท่านจึงทรงตั้งคำถามและรับสั่งว่า

    " ท่านสุเมธเคยขายเศษเหล็กไหม

    เศษเหล็กเหล่านั้นเวลาขายคุณภาพมันต่ำมาก คงได้เงินมาไม่กี่บาท

    แต่ถ้าเราเอาเศษเหล็กเหล่านั้นมาหลอมรวมกันเป็นแท่ง

    เวลาหลอมนี่เหล็กมันคงร้อนมาก พอหลอมเสร็จเรานำมาทำเป็นดาบ

    คงต้องนำมาตีให้แบนอีก เวลาตีก็ต้องคอยเอาไปเผาด้วย

    ต้องตีไป เผาไป หลายรอบกว่าจะเป็นรูปเป็นร่างดาบอย่างที่เราต้องการ

    ต้องผ่านความเจ็บปวดความร้อนอยู่นาน

    แถมเมื่อเสร็จแล้วถ้าจะให้สวยงามดังใจ ก็ต้องนำไปแกะสลักลวดลาย

    เวลาที่แกะลวดลายก็คงต้องใช้ของมีคมมาตีให้เป็นลวดลายอีก

    แต่เมื่อเสร็จเป็นดาบที่งดงามก็จะมีคุณค่าที่สูงมาก

    เทียบกับเศษเหล็กคงจะต่างกันลิบลับ

    จะเห็นว่ากว่าเศษเหล็กที่ไม่มีคุณค่ามากนัก จะกลายเป็นดาบอันงดงามนั้น

    ต้องผ่านอุปสรรคมามากมาย ทั้งความเจ็บปวดต่างๆกว่าจะประสบความสำเร็จ "

    ดังนั้น ขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า

    " ใครไม่เคยถูกตี ถูกทุบ เจอเรื่องเลวร้ายมาในชีวิตเลยนั้น จงอย่าได้หาญคิดทำการใหญ่ "


    คัดลอกจาก...
    <!-- m -->http://www.dhammahome.com/front/webboar ... hp?id=5845<!-- m -->
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" height="426" width="50"><tbody><tr align="center"><td class="tdpic" style="text-align: left;" height="20">
    ภาพการ์ตูน กฏแห่งกรรม

    [​IMG]
    </td> </tr> <tr align="center"> <td class="fontnews" style="text-align: left;" height="20">ผลจาก เคยชอบทำความสนุกสนานด้วยการผายลมในที่ชุมชน
    ขว้างปาไข่เน่า ผลไม้เน่า ของโสโครกใส่เพื่อนฝูง
    </td> </tr> <tr align="center"> <td class="tdpic" style="text-align: left;" height="20">[​IMG]</td> </tr> <tr align="center"> <td class="tdpic" style="text-align: left;" height="20">ชาตินี้ เกิดมามีระบบหายใจขัดข้อง</td></tr></tbody></table>

    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" height="426" width="50"><tbody><tr align="center"><td class="tdpic" style="text-align: left;" height="20">[​IMG]</td> </tr> <tr align="center"> <td class="fontnews" style="text-align: left;" height="20">ผลจาก เคยมีความอิจฉาริษยา ใครดีเกินหน้าไม่ได้</td> </tr> <tr align="center"> <td class="tdpic" style="text-align: left;" height="20">[​IMG]</td> </tr> <tr align="center"> <td class="tdpic" height="20">
    ชาตินี้ เกิดมากลิ่นตัวแรงน่ารังเกียจ
    </td></tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" height="426" width="550"><tbody><tr align="center"><td class="tdpic" style="text-align: left;" height="20">[​IMG]</td> </tr> <tr align="center"> <td class="fontnews" style="text-align: left;" height="20">ผลจาก เป็นคนชอบวางอำจาจ ดูถูกดูหมิ่น ไม่ให้ความเคารพสามี</td> </tr> <tr align="center"> <td class="tdpic" style="text-align: left;" height="20">[​IMG]</td> </tr> <tr align="center"> <td class="tdpic" style="text-align: left;" height="20">ชาตินี้ จึงเกิดมามีสามีที่โหดร้ายทารุณ</td></tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" height="426" width="550"><tbody><tr align="center"><td class="tdpic" style="text-align: left;" height="20">[​IMG]</td> </tr> <tr align="center"> <td class="fontnews" style="text-align: left;" height="20">ผลจาก ชาติก่อนเพิกเฉยต่อการกระทำความดีของภรรยา
    เห็นทำอะไรก็ไม่ขัดขวาง หรือไม่สนับสนุนแต่ประการใด
    </td> </tr> <tr align="center"> <td class="tdpic" style="text-align: left;" height="20">[​IMG]</td> </tr> <tr align="center"> <td class="tdpic" style="text-align: left;" height="20">ชาตินี้ จึงเกิดมาเป็นสามีที่เป็นช้างเท้าหลัง</td></tr></tbody></table>
     

แชร์หน้านี้

Loading...