ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    กิเลสกับธรรมเป็นคู่แข่งขันกัน..(หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    [​IMG]


    กิเลสกับธรรมเป็นคู่แข่งขันกัน

    การปฏิบัติธรรมให้ได้ผลเท่าที่ควร
    พึงทราบจริตนิสัยของตนก่อนว่าหนักไปทางใด
    เพราะกิเลสกับธรรมเป็นคู่แข่งขันกัน
    เหมือนนายแพทย์ผู้ฉลาด
    ก่อนวางยาคนไข้ก็ตรวจดูสมมุฏฐานพร้อมทั้งอาการของโรค
    แล้วค่อยวางยาให้ตรงกับสมมุฏฐานของโรค ฉะนั้น
    เช่น จริตหนักไปทางเบียดเบียนโหดร้ายต่อผู้อื่น
    ควรเจริญเมตตาสงสารเพื่อเป็นเครื่องลบล้างกัน
    ความเบียดเบียนโหดร้ายเมื่ออบรมด้วยธรรม
    คือ ความเมตตาแล้ว จะกำเริบรุนแรงไปไม่ได้
    นับวันจะอ่อนโยนสงสารต่อเพื่อนมนุษย์
    และสัตว์โลกด้วยกันโดยถ่ายเดียว

    อนึ่ง สิ่งใดเป็นไปเพื่อขัดขวางตัดรอนความดี
    และขัดขวางจิตใจไม่ให้สะดวกในการประพฤติความดี
    เมื่ออนุโลมแล้ว ยิ่งกำเริบรังควานใหญ่
    เหมือนคนไข้ชอบอาหารแสลงแก่โรค
    เมื่อรับประทานลงไปยิ่งทำให้โรคกำเริบรุนแรง
    ฉะนั้น สิ่งนั้นเรียกว่ามาร
    มารนี้ท่านจำแนกไว้มี ๕ คือ กิเลสมาร ขันธมาร
    มัจจุมาร เทวปุตตมาร และ อภิสังขารมาร
    มารนี้ท่านให้นามว่า ธรรมเหมือนกัน แต่เป็นธรรมฝ่ายชั่ว
    และเป็นคู่แข่งขันกันกับธรรมฝ่ายดี
    ผู้ปฏิบัติเพื่อธรรมฝ่ายดีจึงต้องรบกับศัตรูเหล่านี้ให้ได้ชัยชนะ


    หนังสือธรรมคู่แข่งขัน : ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด
    คัดลอกจาก...คุณjsp

    http://www.watthummuangna.com/board/arc ... t-961.html

    post โดยคุณลูกโป่ง

    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=22089

    <!-- m --><!-- m -->
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้คณะทุนนิธิฯ ได้ไปทำบุญกุศลในกิจกรรมประจำเดือนที่ รพ.สงฆ์ตั้งแต่เช้า ผู้เข้าร่วมกิจกรรมค่อนข้างเยอะ ได้ถวายปัจจัยในการซื้อโลหิตและเวชภัณฑ์ รวมทั้งสังฆทานอาหารเช้าสำหรับพระสงฆ์ที่อาพาธอยู่บนตึกกัลยาฯ และึตึกโรคตา จำนวน 180 รูป เป็นเงินราว 2 หมื่นกว่าบาท และได้รับบริจาคเพิ่มเข้ามาในวันเดียวกันจากคณะผู้ร่วมกิจกรรมอีกราว 3 หมื่นกว่าบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ จะกันไว้ซื้อรถเข็นสำหรับผู้ป่วยอัมพาตช่วงล่างที่ยากไร้ ตามที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่นแจ้งด่วนมาอีก 1 คัน ราวๆ เกือบ 5 พันบาท จึงขออนุโมทนาและสาธุบุญมาด้วยกัน ส่วนรูปในงานทั้งหมดนี้ จะได้ทยอยนำมาลงกันให้ทราบครับ และโดยสรุปในเดือนนี้ทั้งที่ รพ.สงฆ์ และ รพ.ภูมิภาคทั้ง 6 แห่ง รวมถึงรถเข็นอีก 1 คัน ( 5 พันบาท) ยอดบริจาคตัวเลขกลมๆ ก็ประมาณ6 หมื่นบาทครับ

    ทั้งหลายทั้งปวงในวันนี้ได้สำเร็จได้ก็ด้วยความร่วมมือของหลายๆ ท่าน และเวบพลังจิต รวมถึงท่านผู้มาร่วมทำบุญใหม่อีก 10 กว่าท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้แล้วเกิดศรัทธา นี่ล่ะตัวบุญที่ต้องทำเอง ต้องเห็นเอง อิ่มเอิบในบุญเอง อุปมาดั่งเรากินข้าว อิ่มเอง รู้เองไม่ต้องมีใครบอก เราทำบุญ ต้องทำด้วยสองมือเอง สัมผัสเอง รับรู้เอง จึงจะรู้ว่าปิติในบุญนั้นเป็นอย่างไร ฟังใครสาธยายก็ไม่รับรู้ได้ด้วยเราทำเอง เห็นเอง และมีความสุขด้วยตัวเองครับ...

    ด้วยความนับถือในจิตใจใฝ่บุญของทุกท่าน งานบุญคราวหน้า วันที่ 28 มิถุนายน 2552 แล้วค่อยพบกันใหม่ครับ

    พันวฤทธิ์
    ประธานทุนนิธิฯ
    24/5/52


    [​IMG]


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2009
  3. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ขอรายงานการทำวันที่ 24 พฤษภาคม 2552 นี้

    1. ในช่วงเช้าจะมีเพื่อนๆ บุญมาช่วยกันจัดแจงภัตราหารครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    2. พี่ๆ ท่านมาบริจาคที่อาคารรับบริจาคครับ

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC11155 2.JPG
      SDC11155 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      110.5 KB
      เปิดดู:
      254
    • SDC11156 2.JPG
      SDC11156 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      102.7 KB
      เปิดดู:
      258
    • SDC11157 2.JPG
      SDC11157 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      107.9 KB
      เปิดดู:
      255
    • SDC11162 2.JPG
      SDC11162 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      94.9 KB
      เปิดดู:
      253
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2009
  4. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    3. ยอดบริจาคเฉพาะที่ รพ. สงฆ์ครับ

    [​IMG]


    4. ถ่ายรูปร่วมกันที่หน้าตึกกัลยาณิวัฒนาครับ

    [​IMG]

    5. การอธิฐานจิตร่วมกันครับ

    [​IMG]

    6. เริ่มพิธีครับ

    [​IMG]

    7. ผมเห็นพระท่านป่วยครับ นึกขึ้นได้ ไม่เที่ยงหนอครับ

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC11168 2.JPG
      SDC11168 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      71.5 KB
      เปิดดู:
      255
    • SDC11174 2.JPG
      SDC11174 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      101.2 KB
      เปิดดู:
      243
    • SDC11177 2.JPG
      SDC11177 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      107.9 KB
      เปิดดู:
      247
    • SDC11178 2.JPG
      SDC11178 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      104.3 KB
      เปิดดู:
      234
    • SDC11180 2.JPG
      SDC11180 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      125.3 KB
      เปิดดู:
      311
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2009
  5. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    8. ยังเป็นพิธีอยู่ครับ

    [​IMG]

    9. ช่วยกันร่วมกันถวายภัตราหารแด่พระสงฆ์ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC11183 2.JPG
      SDC11183 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      112.6 KB
      เปิดดู:
      261
    • SDC11185 2.JPG
      SDC11185 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      113.2 KB
      เปิดดู:
      256
    • SDC11187 2.JPG
      SDC11187 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      114.6 KB
      เปิดดู:
      229
    • SDC11189 2.JPG
      SDC11189 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      106.2 KB
      เปิดดู:
      243
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2009
  6. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    9. ช่วยกันถวายครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    10. พระท่านให้พรครับ มีทีมดูแลภัตราหาร และทีมดูแลน้ำครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    หลังจากนั้นก็ช่วยกันร่วมถวายตั้งแต่ ชั้น 6 , 5, 4, 3, 2 ครับ

    แต่ผมจะต้องกลับไปเรียนหนังสือก่อนครับ

    ภาพหลังจากนี้ จะมีพี่ๆ เพื่อนร่วมบุญ มาโพสต่อครับ

    สาธุครับ

    ขออนุโมทนาสาธุกับทุกท่านครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC11190 2.JPG
      SDC11190 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      111.4 KB
      เปิดดู:
      245
    • SDC11194 2.JPG
      SDC11194 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      110.2 KB
      เปิดดู:
      238
    • SDC11193 2.JPG
      SDC11193 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      117.8 KB
      เปิดดู:
      237
    • SDC11195 2.JPG
      SDC11195 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      104.4 KB
      เปิดดู:
      235
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2009
  7. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ส่วนผมนำภาพเก็บตกมาฝากครับ

    [​IMG]

    งานนี้คุณหมออาบเหงื่อก่อนทำบุญครับผม:z2
    [​IMG]

    ช่วยกันผูกช่วยกันมัดเผลอแป๊บเดียวเรียบร้อยแล้วครับ

    [​IMG]

    งานนี้บุญหนักมากกก..เลยต้องช่วยกันหลายคนfly_pig
     
  8. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]
    อยากดูรูปนี้กันชัดๆคลิ๊กที่รูปได้เลย

    welcome3งานนี้มีตั้งแต่รุ่นเล็กจนถึงรุ่นเดอะสมาชิกใหม่และสมาชิกเก่าเพียบ!!:VO
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2009
  9. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]

    รูปครอบครับคณะกรรมการเราเอง....:z8
     
  10. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]

    รูปครอบครัวคณะกรรมการเราเอง....:z8
     
  11. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG][​IMG]

    [​IMG][​IMG]
    หนุ่มน้อยคนนี้ก็ขยันเหลือเกินครับ ;ปรบมือ
    สมาชิกท่านอื่นๆ อีกเพียบแต่ถ่ายรูปมาไม่หมดครับrabbit_run_awayตามไม่ทัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2009
  12. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ที่ลืมไม่ได้เลยครับ
    ต้องขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับขนมสุดอร่อยของสาวสวยผู้ใจบุญครับ
    [​IMG]
    [​IMG]


    ขอโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
    narongwate
     
  13. nathaphat

    nathaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +750
    วันนี้ได้ร่วมโอนเงินทำบุญ 200 บาท ครับ
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านทั้งหมดทั้งมวลด้วยครับ สาธุ

    [​IMG]
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวันอาทิตย์ได้อ่านหนังสือพิมพ์โพสท์ทูเดย์ ได้พบบทความธรรมะบทความหนึ่งใน "คาบใบลาน" ซึ่งเป็นเรื่องที่เขียนเกี่ยวกับฌาณลาภีบุคคลท่านหนึ่งของ จ.ชลบุรี ผู้ซึ่งมีความพิสดารแห่งจิตพอๆ กับคุณแม่ชีบุญเรือน ทำให้ได้ความรู้ขึ้นมากอีกโข หลังจากเคยได้ยินจากปากของ อ.ประถมฯ และพี่ใหญ่มาบ้างแล้ว วันนี้จึงขออนุญาตนำบทความของ "เซียนสู" ผู้ซึ่งมีความพิสดารแห่งจิตมาให้อ่านกัน ซึ่งเป็นบทความที่เกี่ยวพันกับคุณทมยันตี และในปัจจุบันนี้เช่นกัน ลูกชายคุณทมยันตี คือคุณเด่นที่มีแฟนสาวคือน้องตาดีผู้ที่มีความสามารถพิเศษจากอดีตชาติที่บำเพ็ญเพียรเป็นฤาษีชีไพรกลับมาเกิดใหม่ ทำให้สำเร็จปฐวีกสิณ สามารถตรวจพลังพระได้ จนเป็นที่ชื่นชอบของหลายคนที่ไปร่วมกิจกรรมที่ รพ.สงฆ์ ที่มักจะไหว้วานให้ช่วยตรวจพระองค์โน้นที องค์นี้ทีว่าดีอย่างไร ใครเสกฯ แถมน้องเองก็มีพื้นนิสัยเดิมด้านอิทธิฤทธ์มาก กระเป๋าถือจึงอุดมไปด้วยตะกรุดดอกโต รวมถึงแพะ หรือเครื่องรางอย่างอื่นอีกหลายอย่างแถมตามแขนตามสีข้างยังฝังตะกรุด หรือขี้เหล็กไหลอีก สรุปแล้วทั้งคู่ก็เลยมาเกี่ยวพันกับทุนนิธิฯ แบบตามกันมาในสายบุญเดียวกันนั่นเอง เอาล่ะ เล่ามาซะยืดยาว มาลองดูบทความของ "เซียนสู" กันดีกว่า


    เซียนสู พรหมเชยธีระ

    [​IMG]

    โพสท์ใน Thaimisc.com : HOME กระทู้ที่ 00138 โดย ยุ [14 มิ.ย. 2545]

    เรื่องเล่านี้เอามาจากหนังสือของคุณทองทิว สุวรรณทัต เขียนถึงเซียนสู พรหมเชยธีระ ผู้เสมือนเป็นบิดาของ "ทมยันตี"
    เมื่อประมาณเกือบยี่สิบปีมาแล้ว ผู้เขียนได้อ่านพบประวัติชีวิตของ ท่านอาจารย์สู ในนิตยสาร "แสงเทียน" ของสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ และต่อมาได้พบชีวประวัติของท่านอีกครั้งหนึ่งในหนังสือ "ปูชนียบุคคล" ซึ่งเขียนโดย คุณสมพร เทพสิทธา จึงมีความในใจในตัวท่านอาจารย์สูเป็นอย่างยิ่ง ใคร่จะได้กราบไหว้ท่านที่จังหวัดชลบุรี แต่ก็หาโอกาสไม่ได้สักครั้ง
    จนกระทั่งปี 2510 ลูกชะนีที่ภรรยาของผู้เขียนนำมาเลี้ยงดูตั้งแต่ขนยังเปียก เติบโตพอจะรู้ภาษาหลายอย่าง เกิดป่วยกะทันหัน ไม่ยอมกินอาหาร เวลานอนก็สะดุ้งผวา น่าเวทนาแท้ๆ อันเป็นเหตุให้กลัดกลุ้ม จำเป็นต้องหาทางช่วยเหลือป่วยไข้ให้จงได้
    เมื่อคิดได้ดังนั้นผู้เขียนก็มุ่งเดินทางไปยังจังหวัดชลบุรี ทันทีเพื่อจะไปขอความกรุณาจากท่านอาจารย์สู ให้ท่านรักษาลูกชะนีของเรา โดยที่ผู้เขียนเองยังไม่เคยรู้จักกับท่านมาก่อน และไม่ทราบว่าบ้านของท่านอยู่ที่ไหน แต่ขณะที่นั่งรถ บขส.ไปนั้นได้ตั้งจิตภาวนาว่าขอให้ได้พบท่านอาจารย์สูสมความปรารถนาเถิดอย่าได้เสียเที่ยวเลย นึกไปเช่นนี้ ภาวนาไปเช่นนี้ตลอดทาง
    พอรถถึงชลบุรี ผู้เขียนก็เที่ยวสอบถามสามล้อที่มาคอยรับผู้โดยสารอยู่ 3-4 ราย ถึงบ้านของท่านอาจารย์สู ไปได้ความเอาคนสุดท้ายที่เป็นชายวัยกลางคน ก็ดีใจเป็นที่สุด จึงว่าจ้างไปส่งที่บ้านท่าน
    บ้านของท่านอาจารย์เป็นตึก 2 ชั้น ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ บรรยากาศภายในบ้านมีแต่ความสงัด ไม่มีเสียงผู้คนเอะอะแม้แต่น้อย ผู้เขียนกดกริ่งที่หน้าประตู ชั่วครู่เดียวก็มีผู้หญิงวัย 40 เศษ ออกมาถามความประสงค์ของผู้เขียน ผู้หญิงคนนั้นก็เปิดประตูเชิญให้เข้าไปข้างในแล้วบอกให้ขึ้นไปขั้นบนของตึก
    ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ชายจีนวัยหกสิบ รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ากลม ศีรษะโล้นเกรียน ผิวขาวสะอาด ในชุดเสื้อขาว กางเกงขาว แววตาเต็มไปด้วยความเมตตา ก็เปิดประตุเดินออกมาหาผู้เขียน พลางถามเป็นภาษาไทยที่ไม่สู้ชัดเจนนักว่า "คุณมีอะไร"
    ผู้เขียนรีบทำความเคารพ เพราะแน่ใจว่าท่านผู้นี้คือท่านอาจารย์สูที่ตนปรารถนาจะมาพึ่งท่าน แล้วเล่าความทุกข์ของผู้เขียนกับภรรยาที่เกิดจากการเจ็บป่วยของลูกชะนีให้ท่านฟัง
    ท่านอาจารย์สูฟังจบท่านก็ยิ้มบอกว่า
    "รักสัตว์ทั้งผัวทั้งเมีย"
    ผู้เขียนรับคำแล้วนิ่งอยู่ จากนั้นท่านอาจารย์ก็สั่งผู้เขียนว่า
    "ชูนิ้วของคุณมาซิ นิ้วไหนก็ได้ เอานิ้วเดียว"
    ผู้เขียนงง เพราะยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร แข็งใจถามไปว่า
    "มือไหนครับ"
    "มือขวา"
    ผู้เขียนกลั้นใจยกนิ้วชี้ ท่านอาจารย์สูเห็นแล้วหัวเราะบอกว่า
    "ไม่มีอะไร ลูกชะนีของคุณไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไร เขาอยากเที่ยว กลับไปนี้ คุณพาเขาออกเที่ยวตามสวนที่มีต้นไม้มากๆ เดี๋ยวก็หาย"
    ผู้เขียนกลับมากรุงเทพฯ ในบ่ายวันนั้น รุ่งเช้าก็พาภรรยากับลูกชะนีขึ้นรถขับไปเที่ยวบ้านคนรู้จัก ที่ในสวนบางขุนนนท์
    พอลูกชะนีเห็นต้นไม้ที่มีอยู่ดาษดื่นก็ร้องกรี๊ดกร๊าด ลงจากสะเอวแม่ได้ก็ปราดเข้าไปปีนป่ายด้วยความสนุกสนานสำราญใจจนเย็นค่ำจึงกลับบ้าน นับแต่นั้นมาลูกนีของเราก็หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง กินได้นอนหลับเป็นอันดี เมื่อผู้เขียนไปสำรวจป่าเขาเขียว ชลบุรี เพื่อหาเนื้อที่สำหรับก่อตั้งสวนสัตว์เปิดขององค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ก็ได้แวะไปกราบท่านอาจารย์อีกหลายครั้ง และทุกครั้งท่านได้ให้ความเมตตาต้อนรับ สนทนาปราศรัยเป็นอย่างดี ถึงขนาดเคยชักชวนให้ผู้เขียนพาผู้ใต้บังคับบัญชาไปขุดสมบัติบนเขาเขียวกับท่าน แต่วาสนาของผู้เขียนมีน้อย จึงไม่สามารถพาใครไปร่วมกับท่านได้ ก็เป็นอันล้มเลิกไป
    บัดนี้ท่านอาจารย์สูสิ้นแล้ว ถึงกระนั้นผู้เขียนยังอดคิดไม่ได้ว่า จะหาฆราวาสปฏิบัติธรรมและได้ผลระดับท่านนั้นคงจะยากยิ่งนัก อีกประการหนึ่ง คุณวิมล ศิริไพบูลย์ เจ้าของนามปากกา "ทมยันตี" อดีตวุฒิสมาชิกหญิง ซึ่งรักนับถือกับผู้เขียน ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านอาจารย์สูกับเธอ ทีมีความเคารพเสมือนพ่อกับลูกเกี่ยวกับประสบการณ์แปลกๆที่เธอได้พบมาด้วนตัวเองอีกด้วย จึงขอถือโอกาสนำชีวประวัติของท่านอาจารย์มาเผยแพร่เพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติทั่วไป และเพื่อเป็นการบูชาพระคุณที่ท่านได้เมตตากรุณาต่อผู้เขียนดังต่อไปนี้
    ท่านอาจารย์สู พรหมเชยธีระ เป็นคนจีนโดยแท้ ท่านเกิดที่มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2450 ท่านได้ออกจากบ้านเพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมและแพทย์แผนโบราณตามสำนักเต๋าขงจื้อและศาสนาพุทธ โดยมอบสมบัติให้น้องชายดูแล แล้วออกจากประเทศจีนท่องเที่ยวหาความรู้ต่างๆ ในอินโดจีน จนในที่สุดได้เข้ามาตั้งรกรากที่จังหวัดชลบุรี ด้วยการประกอบอาชีพทอดปาท่องโก๋และขายขนมปังเป็นหลัก เมื่ออายุ 34 ปี ได้แต่งงานกับ คุณสุนันท์ บุญประเวศ จึงได้ภรรยามาแบ่งเบาภาระ ทำให้ท่านมีเวลาฝึกกรรมฐาน และช่วยเหลือผู้อื่นได้เต็มที่
    [​IMG]ครั้นท่านมีอายุ 41 ปีก็ได้พบพระรูปหนึ่งอยู่วัดราษฏร์บำรุง ชื่ออาจารย์เชย ซึ่งมากำกับท่านขณะนั่งกรรมฐานในนิมิตอยู่เสมอมิเคยขาด เมื่ออาจารย์สูได้พบกับท่านอาจารย์เชยที่ตรงกับที่ท่านฝันเห็นในนิมิต จึงเกิดความเลื่อมใสได้เข้ามอบตัวเป็นศิษย์แต่นั้นมา
    พระอาจารย์เชยมีวัตรปฏิบัติแปลกกว่าภิกษุอื่นๆ ปกติ ท่านไม่ค่อยพูด ในบางครั้งขุดดินอยู่ใต้พื้นดินขังตัวเอง ทำแต่ปล่องอากาศสำหรับหายใจเหมือนเรือดำน้ำ ท่านจะครองแต่จีวรเก่าๆ จำวัดอยู่ในโกดังเก็บศพและชอบนอนในโลงศพเป็นนิจศีล บางทีก็ออกไปนั่งอยู่กลางทุ่งนา ฝนจะตก แดดจะออกขนาดไหน ท่านก็นั่งเฉยอยู่อย่างนั้น วันหนึ่งเด็กเลี้ยงควายไปเห็นพื้นที่ที่อาจารย์นั่งอยู่ท่ามกลางแสงแดดกลับร่มเป็นวงกลมคล้ายมีกลดมาบัง ครั้นถึงคราวฝนตกเด็กก็ไปเห็นฝนไม่ตกเฉพาะพื้นที่ที่พระอาจารย์เชยนั่ง เด็กๆจึงโวยวายเอาไปเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง เลยมีผู้คนแห่ไปขอหวยเป็นการใหญ่ จนโดนท่านด่าเปิงไปตามๆกัน
    เมื่อท่านอาจารย์สูไปขอมอบตัวเป็นศิษย์นั้น พระอาจารย์เชยสั่งให้นำดอกไม้ 5 ชนิดไปถวาย แล้วท่านได้สอนวิชากำหนดลมหายใจเข้าออก หรืออานาปานสติ แล้วไล่ให้อาจารย์สูไปปฏิบัติเอง
    ท่านอาจารย์สูเคยเล่าว่า พระอาจารย์เชยชอบทำอะไรแผลงๆ เช่น คราวหนึ่งท่านปืนขึ้นไปบนยอดตาลแล้วเอาใบตาลเสียบแขน 2 ข้างเป็นปีกกระพือขึ้นลง พลางตะโกนว่า "กูจะเหาะแล้วโว้ย ! กูจะเหาะแล้วโว้ย!"
    ทันใดนั้นก็กระโดลงมาจากยอดตาลถึงพื้นดินเดินขึ้นกุฏิหน้าตาเฉย ถ้าเป็นคนธรรมดาขาคงหักป่นปี้กองอยู่ตรงนั้น
    มีอยู่อีกคราวหนึ่งอาจารย์สูไปเห็นพระอาจารย์เชยนั่งตกปลาอยู่ พอได้ปลาก็เอาขึ้นมาทุบหัว เลือดสาดกระจาย แล้วขอดเกล็ดหั่นลงหม้อทั้งๆ ที่ปลายังดิ้นกระแด่วๆอยู่ พอแกงสุกก็ตักฉัน ปากก็บอกว่า "อร่อยๆ" แล้วเรียกอาจารย์สูให้ไปกิน อาจารย์สูชิมดูรู้สึกมีรสฝาด พอพระอาจารย์เชยไปแล้วจึงเข้าไปเปิดฝาหม้อดู เห็นมีแต่ใบไม้ลอยเต็มไปหมด!
    วันหนึ่งอาจารย์สูเที่ยวตามหาอาจารย์เชยทั่ววัดก็ไม่พบ ไปเจอท่านกำลังยืนพิงเจดีย์ หัวเราะอยู่คนเดียว อาจารย์สูเข้าไปถามว่ามาทำอะไรอยู่ที่นี่ พระอาจารย์ตอบว่ากำลังดูละครสนุก สนุก อาจารย์สูสงสัยถามว่าละครที่ไหน ท่านบอกว่าละครที่กรุงเทพฯ อยากดูไหม
    ว่าแล้วพระอาจารย์ก็ชี้ให้อาจารย์สูดูที่กำแพง ปรากฏว่าท่านยกละครมาทั้งโรงมาแสดงให้ดูจริงๆ เป็นภาพปรากฏออกมาเหมือนเขาถ่าย ทีวีกระนั้น
    ครั้งท่านอาจารย์สูไปค้างกับพระอาจารย์เชยบนเขาปากแรดนั้น ท่านเล่าว่าเมื่อพระอาจารย์เชยฉันข้าวเสร็จ ท่านจะเอาข้าวสุกกองไว้กลางแจ้งปากก็เรียก "หนูจ๋า มากินข้าว" สักครู่เห็นหนูนับร้อยๆตัวออกมาแย่งกินข้าวกันให้เจี๊ยวจ๊าวไปหมด พระอาจารย์เชยเห็นดังนั้นก็สั่ง "เข้าแถวเรียงหนึ่งกินทีละตัว" พวกหนูก็จะเข้าแถวกินทีละตัวจนอิ่ม
    ฯลฯ
    เมื่ออาจารย์สูปฏิบัติอานาปานสติสำเร็จแล้ว เช้าวันหนึ่งพระอาจารย์เชยก็เรียกเข้าไปหาแล้วบอกว่า "ภารกิจของอาตมาเสร็จสิ้นแล้ว" พลางชูนิ้ว 3 นิ้วให้ดู
    ท่านอาจารย์สูได้ฟังดังนั้นก็ก้มลงกราบ แล้วรีบลงจากภูเขาเป็นการด่วน เที่ยวไปซื้อจีวรครองทั้งชุดมาเปลี่ยนให้พระอาจารย์ของตน
    พอครบ 3 วันตามที่ท่านบอก พระอาจารย์เชยก็ถึงแก่มรณภาพในท่านั่งสมาธิ ป่าทั้งป่าที่เคยมีสัตว์ร้องวุ่นวายไปทั้งดงก็เงียบกริบ เหมือนไม่มีสิ่งที่มีชีวิตอาศัยอยู่ แม้แต่ใบไม้ก็ไม่ไหวติง
    หลังจากเผาศพท่านแล้ว อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุหมด มีอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นสามกษัตริย์ คือ เงิน นาค ทองทั้งแท่ง
    เมื่ออาจารย์สูฝากตัวเป็นศิษย์กับพระอาจารย์เชยแล้ว ท่านก็หมั่นกระทำความเพียรโดยมานะ ครั้นมีอายุ 44 ปี ก็เริ่มปฏิบัติอย่างจริงจัง ด้วยการแยกที่นอนกับภรรยาอย่างเด็ดขาด เพื่อประพฤติพรหมจรรย์แต่นั้นมา
    ต่อมาท่านอายุได้ประมาณ 50 ปีเศษ หลังจากระอาจารย์เชยมรณภาพไม่นานนัก อาจารย์สูได้พาครอบครัวย้ายมาอยู่บ้านที่สร้างขึ้นใหม่ในที่ดินที่เช่าจากวัดกำแพง ทั้งเลิกประกอบอาชีพทำขนมปัง และเริ่มให้การรักษาโรคแก่คนทั่วไปตามตำรายาจีน ซึ่งถ่ายทอดมาจากตระกูล ประกอบกับการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง นอกจากนั้นยังได้สอนธรรมะและวิธีปฏิบัติกรรมฐานแก่ผู้ที่สนใจ ทั้งยังแนะนำช่วยเหลือผู้อื่นที่แบกทุกข์มาหาท่าน นับเป็นที่พึ่งแก่คนทั้งปวงแต่บัดนั้น
    ซึ่งเรื่องนี้ คุณวิมล ศิริไพบูลย์ เจ้าของนามปากกา "ทมยันตี" ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
    "อาเตีย" เป็นอาจารย์คนแรกที่สอนอี๊ดให้ปฏิบัติในทางที่ถูกต้อง เพราะเดิมอี๊ดชอบเล่นกสิณ แต่อาเตียสอนให้อี๊ดจับลมหายใจเข้าออก อันเป็นแบบอานาปานสติกำหนดจิตดูลมหายใจของตนเอง"
    คำว่า "อาเตีย" นี้เป็นสรรพนามที่คุณวิมลเรียกท่านอาจารย์สูด้วยความเคารพรักอย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้เพราะในบั้นปลายชีวิตของท่านอาจารย์สูได้ใช้เวลาอบรมสั่งสอนลูกหลาน และบรรดาศิษย์เป็นส่วนใหญ่ และในบรรดาศิษย์ทั้งหมดนั้น คุณวิมลเป็นศิษย์ที่ท่านยอมรับเป็นลูกสาวของท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น
    คุณวิมลได้เล่าให้ฟังว่า ท่านอาจารย์สูได้สงเคราะห์ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นด้วยดีเสมอมา โดยไม่ต้องการชื่อเสียงเกียรติยศหรืออามิสใดๆ ท่านปฏิบัติเช่นนี้จนกระทั่งท่านจากไป
    "ทมยันตี"ได้เล่าถึงเรื่องของเธอที่อาจารย์สูเคยช่วยเหลือว่า วันหนึ่ง ติ๊ก ลูกสาวคนเล็กของท่าน นั่งสมาธิตรวจอาการปวดศีรษะของเธอซึ่งเป็นมานาน แล้วก็หันไปพูดกับท่านด้วยภาษาจีนอยู่นาน พอจับใจความได้ว่าเธอกำลังเป็นเนื้องอกในสมอง
    ครั้นท่านอาจารย์สูทราบจากลูกสาวแล้วก็เรียก "ทมยันตี" ให้ออกไปกลางแจ้งกับท่านเพียง 2 คน สั่งให้เธอนั่งคุกเข่า ตัวท่านอาจารย์เองยืนเพ่งดวงอาทิตย์จนนัยน์ตาแดงดังนกกรดแล้วก้มลงใช้สายตาของท่านเพ่งที่หน้าผากของเธอครู่ใหญ่ เสร็จแล้วบอกว่าท่านช่วยได้แต่เพียงแค่นี้ คือหมายถึงเนื้องงอกที่กำลังจะเป็นในสมองไม่มีโอกาสจะงอกอีก หากทว่าโรคปวดศีรษะยังคงมีต่อไป แต่ไม่มากเหมือนก่อน
    "ทุกวันนี้อี๊ดปวดหัวเกือบทุกวัน แต่ไม่ค่อยรุนแรงพอทนได้" เธอบอก
    ท่านอาจารย์สูได้ให้ความรักและความเมตตาแก่ "ทมยันตี" เหมือนลูกในไส้ ขนาดถ่ายทอดวิชาให้แก่เธอ แต่มีข้อแม้ว่า ถึงจะมีใครมาปลุกในเวลาตี 1 ตี 2 เพื่อขอความช่วยเหลือก็จะต้องตื่นไปช่วยเหลือเขา
    "อี๊ดตื่นไม่ไหวจ๊ะ เลยไม่ขอรับวิชานั้น แต่ท่านก็ให้วิชาแก่อื๊ดมาพอสมควร"
    ด้วยความเคารพรักอย่างสุดใจที่"ทมยันตี"มีต่อ "อาเตีย" ของเธอนั้น ทำให้เธอทนดูสภาวการณ์บางอย่างไม่ไหว
    เพราะผู้ที่ไปพึ่งท่านอาจารย์สูนั้น ไม่เคยคิดเลยว่าท่านต้องการจะพักผ่อนบ้าง โดยเฉพาะต้องรับประทานอาหารเช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งหลาย ฉะนั้น ท่านอาจารย์จึงต้องรับแขกตั้งเช้าจนถึงบ่าย โดยไม่มีข้าวตกถึงท้องสักเม็ด ในขณะที่แขกหมุนเวียนเปลี่ยนกับไปออกหาอาหารรับประทานกันได้ตลอดเวลา
    เมื่อ "ทมยันตี" เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนี้อยู่เนื่องๆ วันหนึ่งเธอหมดความอดทน จึงเดินขึ้นบันไดปังๆไปหา"อาเตีย"ของเธอ แล้วบอกด้วยสำเนียงที่เฉียบขาดว่า
    "อาเตีย ไปทานข้าว! ตั้งแต่เข้าจนถึงบ่าย อาเตียไม่ได้หยุดเลย แต่พวกคุณๆ ผลัดกันลงไปทานกันทุกคน ฉะนั้นขอหยุดให้อาเตียได้พักผ่อนบ้าง"
    แขกทุกคนที่นั่งอยู่ถึงแก่ตะลึง ส่วน"อาเตีย" ก็ยอมลุกเดินตาม "ทมยันตี" ไปรับประทานข้าวแต่โดยดี
    และแล้ววันหนึ่งหัวใจของ"ทมยันตี" นักเขียนสตรีนามอุโฆษก็แทบจะแตกสลาย เมื่อทราบว่า "อาเตีย" ที่เคารพรักประดุจบิดาบังเกิดเกล้าของเธอ ถึงแก่กรรมด้วยการนั่งสมาธิแล้วถอดจิตออกจากสังขาร เช่นเดียวกับท่ามรณภาพของพระอาจารย์ท่าน ในคืนวันที่ 17 เมษายน 2522 เวลาประมาณ 20.45 น.
    โดยมีคำกลอนที่เขียนบนกระดาษชิ้นน้อยติดไว้ใต้เสื่อที่ท่านนั่งเพียง 4 ประโยคว่า

    ละครปิดฉาก
    ลงเรือข้ามฟาก
    ที่นี่เรียบเรียบ
    ฝากให้รู้ข่าว
    สู พรหมเชยธีระ


     
  15. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2009
  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    [​IMG]
     
  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    มหาทาน ๕ และ พุทธพจน์

    [​IMG]
    มหาทาน ๕

    ทานที่ยิ่งใหญ่ ลงทุนน้อย ได้ผลมาก มี ๕ ประการ คือ
    ๑. งดเว้นจากปาณาติบาต คือ เว้นจากฆ่าสัตว์ เท่ากับให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสัตว์ทั้งหลาย
    ๒. งดเว้นจากอทินนาทาน คือเว้นการลักทรัพย์เท่ากับให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น
    ๓. งดเว้นกาเมสุมิจฉาจาร คือ เว้นประพฤติผิดในกาม เท่ากับให้ความบริสุทธิ์กับภรรยา, ธิดา ของตนเองและผู้อื่น
    ๔. งดเว้นจากมุสาวาท คือเว้นพูดปด พูดไม่จริง เท่ากับให้ความจริงแก่ผู้อื่น
    ๕. งดเว้นจากสุรา-เมรัย ไม่เสพ ไม่ดื่ม เท่ากับให้ความปลอดภัยแก่ตนเองและผู้อื่น


    พุทธพจน์

    ในการสมาทานศีล ๕ รักษาศีล ๕ ไว้ได้นั้น ภูมิจิตจะยกขึ้นสู่โสดาปัตติผล พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า <CITE>“แม้เพียงโสดาปัตติผลเท่านั้นยังประเสริฐกว่าความเป็นเอกราชในแผ่นดิน ประเสริฐกว่าการกำเนิดเป็นเทพในสวรรค์ ประเสริฐกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง เมื่อเป็นดังนี้ จะกล่าวไปใยถึง อรหัตผล เล่าว่ามีผลเลิศเพียงใด”</CITE> พระพุทธองค์เทศนาให้พระเจ้าอชาติศัตรูฟัง..ภายหลังพระราชบิดาและพระราชมารดาสิ้นพระชนม์แล้ว ได้ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกในการสังคยานา ร้อยกรอง พระธรรมวินัยครั้งแรก ภายหลังพุทธปรินิพพาน เมื่อศีล ๕ ทำให้ผู้ประพฤติประเสริฐกว่าเทพในสวรรค์ประเสริฐกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง เราควรจะสมาทานศีลห้ารักษาศีลห้าไว้ให้ได้ เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วจะได้ไปอุบัติในโลกสวรรค์ ในเทวภูมิ ๖ ภูมินั้น ด้วยกำลังอำนาจของศีล


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    พุทธะดอทคอม | ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก
     
  18. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284

    <CENTER>ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนศีล ๕</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 495px; HEIGHT: 1015px" cellSpacing=10 cellPadding=0 width=495 border=0><TBODY><TR><TD height=20></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=HotNews vAlign=top>

    โดย พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
    วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา


    ในเมื่อเรามาถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่ง ก็หมายความว่า เราจะรับเอาพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดา
    สมมติว่าพระพุทธรูปท่านพูดได้ เราปฏิญาณตนว่า
    "พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก"
    ถ้าพระพุทธเจ้าท่านพูดได้..... "เธอจะเอาจริงไหม"
    ถ้าเราตอบท่านว่า "เอาจริง"
    "เอาจริงแล้วปฏิบัติตามคำสั่งของเราได้ไหม"
    "คำสั่งของพระองค์ท่านคืออะไร"
    "ศีล ๕ ประการนั้นอย่างไร"
    "โอ๊ย! ปฏิบัติไม่ได้แล้ว มันยาก"
    "ช่วยไม่ได้" พระองค์จะบอกเราอย่างนี้
    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่า ศีล ๕ ข้อนี้เป็นหลักธรรมที่เป็นข้อมูล เป็นจุดเริ่มแห่งการกระทำที่เป็นความดี ในฐานะที่เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า


    ธรรมทั้งหลายที่กล่าวอยู่นั้น มันเป็นธรรมะกลาง ๆ หลักปฏิบัติสมาธิภาวนาก็เป็นหลักกลาง ๆ ไม่สังกัดในลัทธิและศาสนาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าศีล ๕ ข้อนี่มันเป็นบทบัญญัติที่พระพุทธเจ้ายอมรับ ยอมรับเอามาสมทบกับหลักคำสอน
    ศีล ๕ ประการนี้ พระเจ้าองค์ใดบัญญัติไว้เราก็ไม่ทราบได้ยินแต่ว่าเป็นมนุษยธรรม ไม่ได้กล่าวว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ เรารับทราบกันเพียงว่าเป็นมนุษยธรรม เพราะเป็นธรรมที่ไม่เคยสาบสูญไปจากโลก

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    www.watlanzae.com/<WBR>index.php?page_id=20
     
  19. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    สัญลักษณ์ที่แสดงความเป็นพระพุทธศาสนา




    [​IMG]

    ธงฉัพรรณรังสี
    ธงสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ในระดับสากล

    สัญลักษณ์ คือเครื่องหมายเป็นที่กำหนดรู้กันว่า หมายถึงเรื่องราวประวัติความเป็นมาอย่างไร มีความสำคัญอย่างไร และใช้หมายถึงสิ่งไหน เช่น สัญลักษณ์สถาบันของชาติไทยเราคือธงไตรรงค์ หรือธงชาติไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีความหมายตามพระราชนิพนธ์บรรยาย ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ว่า ขอพร่ำรำพันบรรยาย ความคิดเครื่องหมาย แห่งสีทั้งสามงามถนัด ขาวคือบริสุทธิ์ศรีสวัสดิ์ หมายพระไตรรัตน์ และธรรมะคุ้มจิตไทย แดงคือโลหิตเราไซร้ ซึ่งยอมสละได้ เพื่อรักษาชาติศาสนา น้ำเงินคือสีโสภา อันจอมประชา ธ โปรดเป็นของส่วนองค์ จัดริ้วเป็นทิวไตรรงค์ จึงเป็นสีธง ที่รักแห่งเราชาวไทยฯ นอกจากนี้แล้ว ในประเทศถิ่นฐานหรือสถาบันที่มีความเจริญรุ่งเรืองต่างๆ มักจะมีตราสัญลักษณ์ปรากฏให้เห็นกันอยู่ทั่วไป ยิ่งพระพุทธศาสนาของเราซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองผ่านมาแล้วนับด้วยพันปี จนสืบเนื่องมาถึงประเทศไทยของเรา และเป็นที่ยอมรับนับถือว่าเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว นักปราชญ์ราชบัณฑิต ได้บัญญัติตราสัญลักษณ์ขึ้นมากมาย สัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่ชาวไทยเราเห็นอยู่เสมอๆ และทั่วๆ ไป ก็คือ "ธงเสมาธรรมจักร" ซึ่งจัดทำขึ้นในคราวงานสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ ในสมัยรัฐบาล ฯพณฯ จอมพล ป พิบูลสงคราม พ.ศ.๒๕๐๐ ที่จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน)



    [​IMG]
    ธงธรรมจักร
    ธงสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาที่ใช้ในประเทศไทย


    ย้อนหลังไปดูถิ่นกำเนิดของธรรมจักรในสมัยอดีต เราจะพบวงล้อธรรมจักรใหญ่กับกวางหมอบคู่กันอีกสัญลักษณ์หนึ่ง ก็เป็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เป็นสัญลักษณ์ที่ขุดได้จากอาณาจักรทวาราวดี จังหวัดนครปฐม โดยกรมศิลปากร และตั้งแสดงให้ประชาชนได้เข้าชมและศึกษาอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรมศิลปากร สัญลักษณ์นี้เป็นสัญลักษณ์อันประเดิมเริ่มแรกประวัติศาสตร์ ของพระพุทธศาสนาทีเดียว คือเป็นสัญลักษณ์การประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกของพระพุทธเจ้า โดยทรงเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ ๕ ท่าน คือ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมกานามะ และพระอัสสชิ ด้วยพระธรรมเทศนา ชื่อว่า “ธัมมจักกัปปวัตนะ” ซึ่งเป็นกำเนิดของวงล้อธรรมะอันจะหมุนเคลื่อนตัวไปรอบแล้วรอบเล่า เพื่อจะให้เข้าถึงประชาหมู่สัตว์ทั่วๆ ไป ดุจวงล้อของราชรถที่พระราชาประทับขับเคลื่อนไปฉะนั้น ส่วนกวางหมอบเป็นสัญลักษณ์ของสถานที่ เป็นที่แสดงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธะ นั่นคือราวป่าเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาสรรพสัตว์ เขตปลดปล่อยโดยสวัสดิภาพ มีชื่อเรียกว่า "ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน"


    [​IMG]

    วงล้อ ธรรมจักร
    “วงล้อ” เป็นดุจธรรมคลาดเคลื่อน และ “รูปสัตว์กวาง” เป็นสัญลักษณ์ ทางพระพุทธศาสนา


    นักปราชญ์ทางศาสนา จึงกำหนดเอา “วงล้อ” เป็นดุจธรรมคลาดเคลื่อน และ “รูปสัตว์กวาง” เป็นสัญลักษณ์ ทางพระพุทธศาสนา ประการหนึ่ง เรียกว่า "ธรรมจักร" เป็นสัญลักษณ์อันประเดิมเริ่มแรกของพระพุทธศาสนา หลังจากนั้น ถัดมาอีกประมาณ ๒๓๐ กว่าปี ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ยิ่งใหญ่ของชมพูทวีปในประเทศอินเดีย ทรงนับถือและเลื่อมใสในประพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งจนถึงกับทรงยอมรับเป็นศาสนูปถัมภก ในคราวที่พระองค์ทรงโปรดให้พระภิกษุสงฆ์ชำระและทำสังคยนาพระพุทธศาสนา นับเป็นการทำสังคยนาครั้งที่ ๓ ภายหลังจากเสร็จสิ้นการสังคายนาแล้ว พระองค์ทรงโปรดให้พระสงฆ์หัวหน้าทำสังคยนาคัดเลือส่งพระสงฆ์ ผู้มีความสามารถไปประกาศพระพุทธศาสนายังประเทศต่างๆ หลายสาย ประเทศไทยของเราก็มีส่วนได้รับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาครั้งนี้ด้วย โดยพระโสณะเถระและพระอุตตรเถระได้มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิประเทศ (อาณาจักรทวาราวดี) และพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะคือพระองค์ได้สร้างอนุสาวรีย์สถานในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ คือ สถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนา และสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ณ สถานที่นั้นๆ พระองค์ได้ทรงสร้างสถูปเจดีย์ไว้อย่างมั่นคงและแข็งแรง ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ในชมพูทวีป ประเทศอินเดียถึงทุกวันนี้ และที่สำคัญ คือสถานที่นั้นๆ พระองค์ได้ทรงสร้างเสาหินใหญ่ไว้ทุกแห่ง บนยอดของเสาหินนั้น มีรูปสิงห์ยืนผงาดอยู่ทั้ง ๔ ทิศ ยืนหันหลังให้กันและกัน ที่หน้าอกของสิงห์แต่ละตัวสลักรูปเสมาธรรมจักรไว้ทุกตัว โดยมีกงล้อถึง ๒๔ กงด้วย และเป็นสัญลักษณ์ให้รู้กันว่า ณ สถานที่นี้มีความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาและพระพุทธศาสนาเคยมีความมั่นคง ณ สถานที่นี้ ดังนั้น จึงทำให้เกิดสัญลักษณ์ที่เรียกว่า "เสาเสมาธรรมจักร" ขึ้น ซึ่งมีความหมายทั้งเสาเสมา เสาที่เป็นเขตแดนความมั่นคงและวงล้อธรรมจักร อันหมายถึงการประกาศเผยแผ่หลักธรรมในพระพุทธศาสนา ให้เข้าถึงประชาชน รวมเป็น "เสาเสมาธรรมจักร" โดยกรมการศาสนาได้จำลองรูปแบบส่วนหนึ่งมาเป็นสัญลักษณ์ และมอบให้แก่ผู้บำเพ็ญคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ในงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชาทุกปี สำหรับตราธรรมจักรนั้น บางท่านอยากจะทราบต่อไปอีกก็ได้ว่า บางตรามี ๔ มี ๘ มี ๑๖ มี ๓๗ หรือาจมีมากกว่านั้นก็มีนั้น ขอเรียนว่านั่นเป็นเครื่องหมายที่นักปราชญ์ ทางศาสนาท่านคิดค้นหลักธรรม ในทางพระพุทธศาสนาย่อมาใส่ไว้เป็นกงหนึ่งๆ ในตราธรรมจักรนั้น เช่น ๔ กง อาจหมายถึงหลักของอริยสัจจ์ ๔ ก็ได้ ๘ กง อาจหมายถึงมรรคมีองค์ประกอบ ๘ ประการก็ได้ อาจหมายถึงมรรค ๔ ผล ๔ ก็ได้ ๑๖ กงอาจหมายถึงญาณ ๑๖ ในวิปัสสนากัมมัฏฐานก็ได้ ๒๔ กง อาจหมายถึงปัจจยาการ ๑๒ (อิทิปัจจยตา) ทั้งฝ่ายอนุโลมและฝ่ายปฏิโลมรวมเป็น ๒๔ ก็ได้ ๓๗ กง อาจหมายภึงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ก็ได้ หรือาจหมายถึงอย่างอื่นอีก สุดแต่จะกำหนดความหมายเอาหลักธรรมที่ตนเองเลื่อมใสหรือปฏิบัติมาย่อเข้านั่นเอง




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    พุทธะดอทคอม | ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2009
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวานนี้ได้โอนเงินที่ได้จากการบริจาคในวันกิจกรรมเพื่อซื้อรถเข็นให้ผู้พิการจากอุบัติเหตุจนเป็นเหตุให้เป็นพัมพาตตั้งแต่ช่วงเอวลงไป แถมเป็นผู้ป่วยยากไร้ตามที่ รพ.ศรีนครินทร์แจ้งมา 1 รายไปเรียบร้อยแล้วเป็นเงิน 5,000.- โดยค่ารถเข็นเท่าที่สอบถามราคามาราว ๆ 4,000.-บาท และส่วนที่เหลือก็เลยขอบริจาคเข้าไปในบัญชีสงเคราะห์สงฆ์อาพาธของ รพ.เองโดยตรง โดยไม่ผ่านกองทุนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี จึงขอนำสำเนาสลิปการโอนมาแจ้งให้ทราบครับ (เป็นบัญชีของคุณวรารัตน์ สุนทราภา จนท.ที่ดูแลหอสงฆ์อาพาธ ซึ่งเธอบอกว่า รูปถ่ายตอนมอบรถพร้อมหนังสือขอบคุณและใบเสร็จค่ารถจะเมล์ให้ผมทราบอีกครั้งในภายหลังครับ)

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...