ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    ต้องขออนุญาตท่าน จขกท.ด้วยนะคะที่นำภาพนี้มาลงในกระทู้ให้เห็นกันจะจะเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันโดยตรงกับชื่อกระทู้ และปณิธานของท่าน จขกท.ค่ะ



    <TABLE class=tborder id=post2209610 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->สันโดษ<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2209610", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนบริจาค</FONT< div>
    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Oct 2007
    ข้อความ: 9,339
    พลังการให้คะแนน: 1340 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]





    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2209610 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->ปาฏิหาริย์เททองหล่อ พระนเรศวร ท้องฟ้ามืดครึ้ม<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><TABLE class=A14 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>เมื่อ เวลา 09.09 น.วันที่ 23 มิ.ย.พล.ท.คมน์ จันทร์เด่นแสง นายทหารพิเศษประจำกรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

    เดินทางไเป็นประธานฝ่ายฆราวาสในการเททองหล่อพระบรมรูปองค์สมเด็จพระ นเรศวรมหาราช ณ วัดเวียงเชียงรุ้ง ต.ทุ่งก่อ อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย ที่พระอาจารย์สัง์กา มหาปัญโญ ร่วมกับสานุศิษย์ผู้ศรัทธา อาทิ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชนและนักเรียนชาวอำเภอเวียงเชียงรุ้งสร้างขึ้นโดยมีพระเกจิคณาจารย์ดัง ทางภาคเหนือจำนวน 4 รูป นั่งปรกอธิฐานจิตทั้งสี่ทิศ ระหว่างที่พราห์มกำลังทำพิธีอยู่นั้นได้เกิดปฏิหาริย์ท้องฟ้ามืดครึ้มลง สร้างความเลื่อมใสให้กับประชาชนที่มาร่วมพิธีนับพันคนต่้างพากันยกมือไว้ ท่วมหัวด้วย

    พล.ท.คมน์ กล่าวว่า การจัดสร้างพระบรมรูปองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในครั้งนี้เพื่อเป็นการเทิด พระเกียรติและเผยแผ่บุญญาธิการของพระองค์

    เพื่อให้ประชาชนผู้เลื่อมใสเคารพศรัทธาได้มีโอกาสกราบไหว้บูชา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ประชาชนคนไทยได้มีความรักไคร่สามัคคีตาม โครงการสร้างความสามัคคีทั่วประเทศของรัฐบาล ส่วนพระบรมรูปได้จัดสร้างขนาดเท่าพระองค์จริง ความสูงความสูง 1.50 เมตร ในลักษณะประทับนั่งท่าพระขรรค์ โลหะรมดำและเมื่อการหล่อพระบรมรูปพระนเรศวรฯเสร็จสิ้นลงจะมีการอัญเชิญไป ประดิษฐานไว้ในหอศาลในวัดเวียงเชียงรุ้ง โดยหันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือเพื่อประทานบารมี แก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ให้มีความร่มเย็นสงบสุขตลอดไป.


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    [​IMG]</CENTER>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2009
  2. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    อนุโมทนาด้วยนะครับ ได้ทราบมาว่าพิธีกรรมในครั้งนี้ได้

    กระทำถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณี ทั้งทางพิธีสงฆ์ และ

    พิธีพราหมณ์ไม่มีขาดไม่มีเกิน จะมีพิธีใหญ่อีกครั้งนะครับ

    ประมาณต้นธันวานี้ เดาว่าคงจะเป็นพิธีเปิดพระบรมรูปและ

    การเฉลิมฉลองประมาณนั้นนะครับ
     
  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขออนุโมทนาค่ะ

    ได้หนังสือเกร็ดพงศาวดารมาเมื่อเช้านี้เองค่ะ

    เพิ่งจะเริ่มอ่าน ยังไม่ถึงไหนเลยค่ะ

    พรุ่งนี้จะมาลงภาคต่อ ย้อนรอยกรรม ตำนานพระพี่นาง สุพรรณกัลยา นะคะ

    วันนี้ขอใช้หัวคำนวนเกี่ยวกับเลขนิดหน่อยค่ะ อิอิ

    นัดกับญาติว่าเข้าพรรษานี้จะไปหาหลวงพ่อสิงห์ทนกัน

    ช่วงนี้มีใครไปเยี่ยมท่านมาบ้างค่ะ

    อัฟเดทข้อมูลให้ฟังบ้าง

    คิดถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

    ไม่ทราบจะเจอมรสุมอะไรบ้างนะคะ
    ----------------------------------------------------------------------------------
    เมื่อสัก 3 เดือนก่อน ก่อนวันวิสาขบูชา ไปถืออุโบสถศีลหนึ่งคืน รุ่งเช้าหลังพระทั้ง 3 รุปกลับจากบิณฑบาตร

    พวกเราที่มาถือศีลก็ใส่บาตรและช่วยพระท่านจัดเตรียมถ้วยชาม เพื่อจัดอาหารให้เป็นสำรับก่อนจะถวายให้ท่านฉัน

    จะมีอาจารย์ท่านหนึ่งจะมาช่วยปอกผลไม้ทุกเช้า เพื่อถวายท่านในตอนเช้า และตอนเพล

    หลวงพ่อสิงห์ทนท่านทานผลไม้แทนข้าวในมื้อเพลค่ะ พวกมาถือศีลก็ง่วนอยู่กับการจัดเตรียม

    ก็เห็นหลวงพ่อเดินลงมาจากศาลาสวดมนต์นเรศวร ถือถุงอาหารนกมาด้วย ซึ่งเป็นกิจทุกเช้า

    ท่านจะเดินไปทางพระปรางค์และโบสถ์เพื่อสักการะสถานที่และให้ทานนก โปรยอาหารให้นก

    ซึ่งตอนนั้นทางสายธาตุกำลังเตรียมข้าวใส่โถข้าว พี่สะใภ้กับอาจารย์กำลังปอกผลไม้ พระทั้งสามรูปกำลังจัดอาหารใส่ถ้วยเพื่อเตรียมฉัน

    ทางสายธาตุเงยหน้าขึ้นเห็นหลวงพ่อกำลังโปรยอาหารให้นก โดยเพิ่งเดินลงมาจากฐานพระปรางค์ มาสู่พื้นดิน

    ทางสายธาตุก็ก้มหน้าแกะถุงพลาสติกข้าวอีกถุงหนึ่งเพื่อเทรวมกันในโถข้าว เทเสร็จก็เงยหน้าอีกที

    เห็นหลวงพ่อท่านเดินไปทางด้านหลังโรงครัว ที่เป็นทางเดินข้ามบ่อน้ำไปทางโบสถ์ที่สร้างใหม่แล้ว

    ระยะห่างจากจุดแรกที่เห็น ไปจุดที่เห็นเป็นครั้งที่สอง 50 เมตรได้ ที่สำคัญไม่มีทางอื่นให้ผ่านนอกจากที่พวกเรากำลังจัดเตรียมอาหาร

    ชั่ววินาที หลวงพ่อจะเดินผ่านพวกเราไป โดยไม่มีใครเห็นได้ยังไง งงเลย

    ถามแม่ชีดาวนภา แม่ชียิ้มๆ บุ้ยปากบอก ก็เป็นอย่างนี้แหละอย่าเอ็ดไป
    เพราะเห็นหน้าทางสายธาตุกำลังสงสัย และกำลังจะเอ่ยปากถามว่า
    หลวงพ่อทำได้อย่างไงค่ะ แม่ชีบอกว่า เป็นแบบนี้แหละ เงียบๆ อย่าเอ็ดไป

    มีอะไรแปลกๆให้เห็นกับตาตัวเองมาแล้วนะเนี่ยคะ
     
  4. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    สาธุ สาธุ สาธุ ครับ ฟอร์ทยังติดตรึงอยู่กับเรื่องราวของพระพี่นางสุพรรณกัลยา มิรู้ลืมครับ
     
  5. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อนูโมทนา สาธุครับ ตั้งใจว่าจะไป ก็ยังอยู่แค่ความตั้งใจ
    ยังไม่เป็นการปฎิบัติ คงต้องรีบนัดหมายกับสมาชิกท่านอื่น
    ทราบว่าคุณชานนคนไทยก็มีแผนที่จะไปพบหลวงพ่อท่านอยู่เหมือนกันครับ
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา

    คัดมาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา"
    เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย (หน้า 13-25) ..ต่อ


    แต่ชาติก่อนๆ สมัยท่าน ฉันก็ถูกจับมาเป็นเชลย เป็นขี้ข้าเขา ต่อมาอีกชาติ เป็นนายทวาร เป็นขุนคลัง เขาสั่งประหารหนีตาย ขนเอาสมบัติไปฝังดินไว้ เข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์ กู้เมืองช่วยพระยาตาก แล้วติดตามฝรั่ง ไปตายที่กรุงโรม และก่อนตาย ก็ไปสร้างกรรม หาความร่ำรวย สร้างความมั่งมี เอาไว้ที่เมืองฝรั่ง แล้วมาเกิดเมืองไทย กลับไปเอาในสมบัติเก่า เข้าบวชในศาสนาคริสต์ เป็นถึงบัณฑิตครูสอน แล้วย้อนกลับมาบวช ในศาสนาพุทธที่เมืองไทย อะไรกันนี่สนุกเหลือเกิน เราจะมาเพลิดเพลิน ในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลส ตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำ นำพาให้เรา ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เทียวไล้เทียวขื่อ พอมาถึงตอนนี้ ท่านหญิงก็หัวเราะ เพราะท่านเองก็รู้ ตระหนักดีว่า เราเป็นคนขยัน คือขยันเกิด แล้วก็ขยันตาย

    แต่ในโลกทิพย์ เขาอยู่กันเพียงสองวัน เพราะมันมีความสุข วันคืนก็เลยยาว จึงได้ความว่า เวลาเร็ว คือเวลาที่ต้องการ แต่เวลานาน คือเวลาที่รอคอยคือโลกมนุษย์นี้ร้อยปี มีเวลาเท่ากับ หนึ่งวันของโลกทิพย์ มันห่างกันเหลือเกิน เราได้สัมผัสทางฝัน คุยกับท่านหญิงจนเพลิน ท่านก็บอกว่า พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ให้ท่านนำเอารูปลักษณ์ ที่ประจักษ์อยู่ใน มโนทวารของท่าน ให้ปรากฏแก่สายตา ของผู้คนที่เขาคิดถึงฉัน ให้ฉันได้ไปช่วยเขาด้วย และก็รับปากท่าน เพราะท่านเชื่อแน่ว่า เราทำได้ จึงมาคิดดูว่าจะเอาอย่างไรดี กับเรื่องที่ได้ให้สัญญาท่านไว้ หากเราจะเขียนสเก็ต ให้เป็นรูปร่างขึ้นมาจากกิ๊ฟ (Give) ให้ใกล้กับความจริง เราทำได้ เพราะเราเป็นช่างเขียน เรียนมาจากเมืองฝรั่ง ฝั่งแม่น้ำแชร์ ที่กรุงปารีส แต่นั่นมันเกิดขึ้นจากฝีมือเรา มิใช่เงา หรือภาพจริงของท่าน ที่มาปรากฏให้เห็นอย่างจริงจัง ฝรั่งเขาถือมาก ถือว่ารูปใด ที่เรารับจ้างเขียนให้ เขาไม่ได้มานั่งให้ดู ในเวลาเขียน เขาจะไม่เอา เพราะเป็นรูปที่ไม่มีเงาของเขา เข้าไปติดอยู่ในมโนภาพ แล้วภาพนั้น จะไม่มีชีวิตชีวา ถือว่าไม่ขลัง ดังนั้น อันการสร้างรูปท่านขึ้นมา จะด้วยวิธีการอย่างใด ก็ต้องให้ได้สัมผัสทางจิตวิญญาณให้ได้


    อันการสัมผัสได้ ด้วยทางจิตวิญญาณนั้น แบบเรารู้เอง เราเห็นเองเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน คนอื่นๆ เขาไม่ได้สัมผัส เขาไม่ได้เห็น เขาก็ไม่เชื่อ จึงมาใช้ความพินิจพิเคราะห์ดูว่า เราจะทำอย่างไรหนอ เราจะเอาสิ่งที่เห็นด้วยตาใจ ให้มาเห็นด้วยตาจริง เพื่อที่จะได้สิ่งอ้างอิง ให้เป็นรูปธรรม ได้ปรากฏแก่สายตา คนภายนอกได้ จึงมาค้นคิดขึ้นได้ว่า เราต้องใช้วิธีการ ถึงสองระบบ ได้แก่ ระบบนามธรรม คือทางจิต ไสยศาสตร์ทางจิตวิญญาณ และทางรูปธรรม คือเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้แก่กล้องถ่ายรูป จึงหากล้องถ่ายรูปมาสองตัว สองยี่ห้อ คือ กล้องโอลิมปัส Olimpus ของเยอรมัน (ตามที่มีผู้อ่านบางท่าน โต้แย้งมาเรื่องกล้อง Olympus ของเยอรมัน ว่าเขียนผิด ผู้เขียนเองรู้ที่มา ที่ไปของกล้องยี่ห้อนี้ เพราะผู้เขียนเองอยู่เยอรมัน ก่อนคนค้านจะเกิดอีก คือเมื่อ พ.ศ. 2496 ทีแรกเป็นของเยอรมัน แต่ญี่ปุ่นลอกแบบมาทำ เมื่อ พ.ศ. 2479 เพราะกฎหมายลักลอบ ลอกเรียนทางปัญญา ของประชาคมโลก ยังไม่มีในยุคนั้น แต่กล้องที่ถ่ายนั้น เป็นของคนชาติเยอรมัน เขามาอยู่ด้วย เขาเขียนไว้ว่า MADE IN GERMANY เพราะเขาถือว่า ต้นตระกูลเขา ออกแบบมา แล้วก็ขายลิขสิทธิ์ให้ญี่ปุ่น เรื่องก็เท่านั้นเอง



    ข้าพเจ้าจึงเขียนอย่างนั้น ขอบอกตรงๆ ว่า ถ้าไม่อยากอ่าน ก็อย่าอ่านเลยดีกว่า ไม่ต้องเอามาอ่าน ให้รกสมองของตน ด้วยโดยไร้เหตุผล) และกล้องโพโตลอง Potolon ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นกล้องเก่าแก่ที่สุด มาดัดแปลง ติดตั้งอันเด็บเตอร์ พ่วงเข้าใส่นาฬิกา ตั้งเวลาให้เป็นออโตเมติก ให้ถ่ายได้เองทุกสิบนาที การดัดแปลงทางอิเล็คทรอนิกส์ อย่างนี้เราถนัดมาก เพราะเราเรียนอิเล็คทรอนิกส์มาแล้ว แล้วจัดหาเครื่องพลีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีเครื่องบูชามีอาหารหวานคาว ผลหมากรากไม้ และเครื่องแต่งตัวของผู้หญิงมี เครื่องขัดแป้งแต่งตัว น้ำอบน้ำหอมผ้าถุงเสื้อนุ่ง เป็นสีทอง ดังที่เรามองเห็น จากมโนภาพทางฝัน เป็นเรื่องทางไสยศาสตร์ เสร็จแล้วก็เตรียมตัว เตรียมใจ ในอันที่จะทำพิธีการ ในสถานที่ที่เราถูกกักบริเวณ ที่เราฝันเห็นนั้นเอง เพราะตอนนั้นเราเข้าๆ ออกๆ ได้แล้ว หมดเรื่องกับผู้ต้องหา


    การถ่ายรูปเอาดวงวิญญาณ อันหลักการอย่างนี้ ท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ฟังแล้วก็คงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว ในหลักของพระพุทธศาสนา ก็มีมาในบาลีว่า ยังกัมมังกริสสันติ กัลยานังวา ปาปะกังวา ตัสสะทายาทาภวิสสามิ ได้ใจความว่า ไม่ว่ากรรมใดๆ ที่บุคคลกระทำแล้ว กรรมนั่นจะไม่หายไปไหน และจะติดตามให้ผล แก่ผู้กระทำตลอดไป ไม่เร็วก็ช้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า และในทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ก็มีหลักยืนยันว่า E=MC2 สสาร ย่อมไม่หายไปจากโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีขึ้นแล้วในโลก เมื่อถึงคราวแตกดับไป สลายตัวไป ก็จะกลายเป็นสสาร ยืนยงคงอยู่ตลอดไป (เพราะอุณหภูมิ คือความร้อนรักษาไว้ เมื่อเราได้จัดแจง อุปกรณ์ภายนอก ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว หันหน้ากล้องทั้งสอง เข้าหาพานเครื่องเส้นทำใจให้สงบ หันหน้าตัวเอง ไปแนวเดียวกับกล้องถ่ายรูป แล้วสวดคาถาว่า เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิ ตานังอาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ เอหิวิญญานะสุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา


    ภาวนาได้เจ็ดครั้ง แล้วก็หยุด เอาสติตามลม เข้าออก เข้าออก เข้ารู้ ออกรู้ จนลมที่ออกๆ เข้าๆ มีความละเอียดลง ละเอียดลง ใช้ความรู้สึกอย่างแรง ในขณะหายใจเข้า ดึงเอาภาพลักษณ์ ของพระสุพรรณกัลยา ให้มาปรากฏ แล้วจิตมันก็ว่าง อันรูปภาพของพระนาง ก็ปรากฏขึ้นใน มโนภาพเห็นชัดเจน อันกล้องถ่ายทั้งสอง มันก็ทำงานตามที่กำหนดไว้ ใช้เวลาอยู่สามชั่วโมงก็หยุด เอาฟิล์มออกมาล้างดู ล้างด้วยมือเอง เพราะเราเคยเป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน ได้รูปออกมาเป็นที่น่าพอใจ ไม่ผิดอะไรกับที่เห็น ในสัมผัสทางฝัน แต่รูปอื่นๆ ก็ติดมาบ้าง ที่ไม่รู้จักเราไม่เอามา ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า มีรูปคนอื่น ผีอื่น วิญญาณอื่นบ้างหรือเปล่า ขอตอบว่ามีโลกเมืองผี กับโลกเมืองคน มันก็มีสับสน วุ่นวายพอๆ กัน แบบไทยมุงก็มี ผีมุงก็มาก มันอยากดู อยากเห็นเหมือนกัน เรามีพร้อมแต่ไม่เอาลงมาที่นี่ เราก็เลือกเอาเฉพาะ ที่เราต้องการเท่านั้น


    เมื่อได้ออกมาแล้ว ก็เก็บเอาไว้ดู อยู่มาอีกหลายสิบปี เมื่อจะทำงาน อะไรที่เห็นว่าเป็นงานใหญ่ และเป็นงานท้าทาย เกี่ยวกับสังคม ก็ระลึกนึกถึงท่าน เพราะเราถือว่าท่านเป็นเทพธิดา ผู้ซึ่งเคยปวารณา อาสากับเราไว้ ดังงานค้นหาเสาหลักเมือง จังหวัดพิจิตร เขาคิด เขาค้นกันมานานไม่พบ เขาบอกว่า ถ้าได้เสาหลักเมืองขึ้นมา จากตรงไหน ก็จะขอมอบที่ดินทั้งหมด ให้ทางราชการ เขาควานหากันหลายสมัยผู้ว่า ก็ไม่พบ พอเขามาร้องขอเราไปเดินดู นั่งดู นอนดู สองวันเจอเลย จึงได้ลงมือก่อสร้าง ศาลเสาหลักเมือง และอุทยานเมืองเก่าไว้ ทุกวันนี้ แต่ปี พ.ศ. 2510 มาแล้ว

    และที่เสาหลักเมือง จังหวัดน่าน อีกเช่นกัน ท่านก็ชี้บอกให้ว่าอยู่ตรงไหน เสาจริงที่เป็นไม้ เขาเอาไปฝังไว้ใต้โบสถ์และต่อมาทางราชการ กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายให้โรงเรียน ทุกโรงเรียน ต้องมีเครื่องหมายทางศาสนา ไว้หน้าเสาธง และให้มีทั่วประเทศ ไม่เกินห้าปี ถ้าไม่รีบทำอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม้กางเขนละสิ มันง่ายดี เมื่อในโรงเรียน มีเครื่องหมายของศาสนาอื่น เด็กชาวพุทธ ก็ถูกกลืนหมดแน่นอน ข้าพเจ้าจึงรีบร้อนจัดทำ จัดสร้างพระพุทธวิโมกข์ ขนาดหน้าตัก 19 และ 29 นิ้ว ขึ้นแจกฟรีๆ โดยไม่คิดมูลค่าใดๆ ร่วมแสนกว่าองค์ ใช้ทุนรอนส่วนตัวไป หมดไปหลายล้าน โดยไม่ยอมรับ บริจาคเงินทุน ไม่ยอมบอกบุญ เอาทุนเอารอนจากใครทั้งนั้น เพราะมีพร้อมแล้ว เรื่องนี้งานทั้งหมด ยกให้ท่านพระสุพรรณกัลยา เมื่อเสร็จแล้วก็รู้สึกทึ่งใจ


    เพราะงานคราวนี้ เป็นงานท้าทายกับความสามารถที่สุด ที่มนุษย์ดีๆ เขาทำกันไม่ได้ แต่เราก็ทำได้ ทำให้สังคม สร้างให้พระพุทธศาสนา ใครจะไหว้ จะไม่นับถือ เราก็มีเครื่องคุ้มกัน กันศาสนาอื่น ไม่ให้ยื่นมือเข้ามายุ่งกับนักเรียน เมื่อครบกำหนด จำนวนหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นองค์ ดังที่ได้บอกพระนางท่านไว้ ก็จัดปั้นการหล่อ เราลงมือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 แล้ว แต่ขณะนั้น ยังมีงานเรื่องสร้างเสาศาลหลักเมือง ให้จังหวัดสระแก้ว กับจังหวัดพิษณุโลกอยู่ และตอนหลักเมืองจะเสร็จ ก็ได้ปรารภกับ ท่านสวัสดิ์ ส่งสัมพันธ์ ซึ่งท่านเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ในสมัยนั้น แต่ท่านก็มีอันที่จะต้อง ไปรับราชการเป็นรองปลัดมหาดไทย เสียก่อน ท่านจึงได้เรียนบอกท่าน พลโทถนอม วัชรพุทธ แม่ทัพภาคสาม ท่านแม่ทัพก็รับปากทันที ตกลงกันว่า เราจะอัญเชิญพระรูปของท่าน ให้ไปประดิษฐานไว้ที่ที่ท่าน จะทอดพระเนตรเห็น น้องยาเธอทั้งสองพระองค์ของท่าน ที่ท่านร่ำร้อง ต้องการอยากจะทัศนาทอดสายตา ดูน้องชายทั้งสองของท่าน ตลอดไปอีกนานเท่านาน ซึ่งไม่ไกลจากวังจันทร์เกษม ซึ่งถือเป็นถิ่นกำเนิดของท่าน

    รูปหล่อนี้ เราหล่อด้วยเนื้อทองเหลือง และทองแดง ส่วนมากจะเป็นทองของเก่า ที่ขุดมาได้จากอยุธยาเป็นส่วนมาก แล้วลงรัก ปิดทอง ประดับด้วยอัญมณี ที่เป็นสมบัติของท่านเอง แต่อดีตชาติ แล้วก็ลงมือ หล่อรูปบูชาขึ้นมาอีก และทำรูปเหรียญ ของท่านขึ้นมาอีกด้วย หลายพันเหรียญ เพื่อให้ท่านแม่ทัพ จะได้แจกจ่าย แก่ผู้เคารพนับถือ ในพระนางท่านอีกต่อไป เท่าที่ข้าพเจ้าได้สัมผัส มาด้วยตนเองเป็นเวลา ล่วงมาได้สี่สิบห้าปีแล้ว รู้สึกว่าได้อาศัย บารมีของท่านตลอดมา เฉพาะงานที่เสี่ยงๆ และท้าทาย ท่านทั้งหลาย

    ที่ได้อ่านหนังสือนี้เข้า ก็คงจะหาว่า เอาเข้าแล้วหลวงตาโง่น แกจะบ้าหรือไง ไปเลื่อมใสกับผี กับวิญญาณไม่เข้าเรื่อง ขอบอกท่านผู้อ่านอย่างตรงๆ ว่า อันข้าเอง ก็ยังไม่สำเร็จอรหันต์ อรหลอะไรนี้หว่า ในขณะที่เดินไป ตกหลุมเลนโดยไม่รู้ตัว กลัวจะจมลงไปลึกกว่านั้น มีอะไรที่จะค้ำยันไว้ก็ต้องเอา หรือกำลังลอยตุ๊บป่องๆ อยู่ในท้องทะเลอันกว้างไกล จะจมตายแหล่มิตายแหล่ เห็นอะไรลอยมา ถึงจะเป็นซากศพของผีตายโหง แต่พอที่จะเกาะไว้กันตายได้ก็เอาละ ขอให้พ้นจากความตายได้ก็พอ อันเรื่องที่ข้าพเจ้า จะได้ติดต่อสัมผัส กับโลกวิญญาณ โลกลี้ลับที่กล่าวมาแล้ว ก็เป็นเรื่องบังเอิญ ที่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิดฝันมาก่อน

    แต่เรื่องบังเอิญเรื่องนี้ เวลาร่วมห้าสิบปี ก็ยังไม่ลืมเลือน จะลืมได้อย่างไร เพราะถ้าไม่ฝันไปเห็นท่านเข้า เราก็คงติดคุกอ้ายหม่องจนหัวโต ตายในที่ที่เขากักขัง ป่านนี้ก็คงจะเป็นตายโหง อยู่เมืองพะโคไปแล้ว และถ้าไม่ฝันไปเห็นเจอท่าน เราก็คงจะไม่ได้ศึกษา เรื่องโลกวิญญาณ โลกลี้ลับ และก็คงโง่เง่าดักดาน คัดค้านเรื่องโลกลี้ลับ ตลอดมาอย่างเดิม เพราะเคยโง่มาเป็นเวลาครึ่งชีวิต และเมื่อเราจับทาง ที่ท่านนำพาให้รู้แล้ว จิตใจเราก็ผ่องแผ้วสงบเย็น และเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ทางฝัน

    จึงถือว่า พระนางท่านเป็นสหาย เป็นมิตร อยู่ใกล้ชิดตลอดมา และเป็นผู้ให้ความสดชื่นอุรา ในเวลาหงอยเหงา เป็นผู้ช่วยแบ่งเบา ในคราวเจอกับงานหนักๆ เป็นผู้ให้ความพิทักษ์ ปกป้องในคราวเกิดอันตราย และหลายครั้งที่เจอกับอุบัติเหตุ ทั้งทางอากาศ ทางน้ำ ทางรถยนต์ เราได้รอดพ้นมาได้อย่างอภินิหาร คนอื่นๆ ที่ประสบพร้อมกับเรา เขาเหล่านั้น ก็เรียบร้อยโรงเรียนผีกันหมด เหลือแต่เราคนเดียว ต้องขึ้นศาลเป็นพยานโจทก์ และพยานจำเลย มาหลายครั้ง ครั้งที่ห้า และครั้งที่หก ที่ศาลจังหวัดพิจิตรนี้เองเพราะทางศาล หาใครเป็นพยานบุคคลไม่ได้ มันตายหมด


    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงอดที่จะไม่นำเอาเรื่องราวของพระนางท่านมากล่าวให้ผู้สนใจไม่ได้ได้ใช้ดุลยพินิจคิดว่าคงมีสาระประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่ที่กล่าวมาอย่างยืดยาวนี้ ก็มิใช่จะมีเจตนา ที่จะชักนำให้ท่านได้หลงใหล งมงาย ในเรื่องผี เรื่องวิญญาณอะไรทั้งนั้น เพราะเรื่องอะไรทุกอย่างมันอยู่ที่จิตใจของเรา อันอิทธิฤทธิ์ก็ดีและอภินิหารก็ดี มันไม่อยู่ที่อื่น แต่มันมีรากฐานอยู่ที่ กำลังใจของแต่ละท่าน แต่ละคนเท่านั้น แต่จิตใจมันจะตั้งมั่น ก็ต้องมีเครื่องยึด คนที่ไม่ปฏิเสธ และไม่ยอมเชื่อถืออะไรง่ายๆ คือคนฉลาด เพราะเขาจะต้องหาเหตุผล เท่าที่ได้ค้นคว้าทางโลกวิญญาณมามากต่อมาก คือตลอดเวลาที่เป็นนักบวช ทางศาสนาพุทธร่วมหกสิบปี ได้ใช้สติปัญญา เวลาทั้งหมด ค้นแต่เรื่องของจิตใจ เรื่องของวิญญาณ เพราะคำสั่งสอน ในทางพระพุทธศาสนา ก็กล่าวว่า จิตเตนนิยติโลโก โลกอันจิต ย่อมนำไปทั้งที่เป็นวิญญาณเฝ้า และวิญญาณแฝง


    แต่ก่อนอื่น ที่จะเป็นจิตวิญญาณอื่นๆ ได้ก็ต้องฝึกหัดให้รู้ ให้เห็นจิตวิญญาณของตังเองเสียก่อน อันจิตวิญญาณของเรานี้ มันอยู่กับเรา แต่เรามองไม่เห็นมัน ข้อสำคัญคือ ให้เห็นเราก่อน ตัวจิตตัวเราคือธรรมชาติ ความรู้สึกนึกคิด จิตใจตัวนี้เห็นมันยาก พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นตถาคต อันการค้นคว้า หาจิตวิญญาณนั้น มันอยู่เลยความตายไปอีก เราจะให้พบ จิตวิญญาณของเราได้ ก็ต้องกำหนดจิตกับกาย ให้อยู่คนละส่วน ฝึกจิตใจ ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ในตัวกูของกู จิตอยู่ในที่ว่าง วางแล้วมันจะสงบ มันจะหลบเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง ซึ่งเป็นภะวัง ภะวังคือภพของจิต ร่างของจิต ติดอยู่กับอุปทยรูป คือรูปแฝง มันจะเป็นรูปร่างที่เบา ไม่มีใครเห็นได้ นอกจากตัวเอง เรื่องนี้ ขอยกไปอธิบาย รายละเอียดไว้ตอนต่อไป


    แต่เรื่องราวของพระสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมานี้ เป็นเรื่องที่ท่านได้มีบุญ มีพระคุณ แก่ข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น เมื่อกล่าวถึงส่วนรวมแล้ว พระนางท่านมีพระคุณอย่างเหลือหลาย เหลือที่จะบรรยายเป็นภาษามนุษย์ ทรงมีปิยคุณท่วมท้น ล้นฟ้าชลาธาร ท่วมวิญญาณทวยราชทั้งชาติไทย เมื่อกล่าวถึง เชื้อพระวงศ์แล้ว พระนางท่านก็อยู่ในระดับ เจ้าฟ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ คือเป็นพระธิดา ของพระมหาธรรมราชา


    ซึ่งต้นตระกูลของท่าน ก็ได้จัดสร้างพระพุทธชินราช ซึ่งงามที่สุดในโลก ไว้ให้ชาวพุทธได้บูชา แต่ต่อมาก็เป็นกษัตริย์องค์สุดท้าย ของวงค์สุโขทัย ที่ได้ไปครองกรุงศรีอยุธยา ซึ่งนับว่า เป็นพระราชธิดา ของต้นตระกูลไทยพระองค์หนึ่ง ตอนที่ยังทรงพระเยาว์วัย ก็ได้สถิตอยู่ในไอศูรย์สมบัติ อันน่ารื่นรมย์ ประทับอยู่ในสถานที่น่าชื่นชม น่าทัศนา กาลต่อมา บ้านเมืองพังพินาศ พระนางท่านต้องนิราศรอนแรมไกล ไปเป็นเชลย ได้ใช้ชีวิตแบบทาส อยู่ใต้เบื้องบาทผู้เป็นนาย แล้วเลี้ยงดูน้องชายทั้งสอง ได้ประคับประคองจนเติบใหญ่ ขึ้นเป็นจอมไทยมหาราช คือพระนเรศวร กับพระเอกาทศรถ มีพระนามปรากฏขจรไกล แก่ชาวไทยทั้งประเทศ


    ผู้เป็นเหตุในพระคุณนี้คือพระนาง ท่านทำคุณประโยชน์ ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติคือต้องยอมเสียสละความสุข ตลอดพระชนม์ชีพส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมือง สยามไทยทั้งประเทศ ซึ่งก็ไม่มีวีรสตรี หรือวีรบุรุษท่านใด ในอดีตถึงปัจจุบัน ที่จะได้เสียสละอย่างนั้น ซึ่งก็มีวีรสตรีบางท่าน ที่ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลัง ได้ก่อสร้างรูปเป็นอนุสาวรีย์ไว้ แต่ท่านเหล่านั้น ก็ยอมเสียสละให้ เฉพาะบ้านนั้น เมืองนั้นเท่านั้น นับว่าเป็นวงแคบ

    ส่วนพระนางสุพรรณกัลยานี้ ท่านยอมเสียสละ พระชนม์ชีพตลอดทั้งความสุข เพื่อคนไทยทั้งชาติ และเพื่อแผ่นดินสยามไทย อันกว้างไกลทั้งประเทศ ที่เราๆ ท่านๆ ได้มีผืนแผ่นดิน ที่อุดมสมบูรณ์ อันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งได้รับความสุข ความสำราญกันทั่วหน้านี้ มิใช่เราได้มาจากพระเมตตา และการเสียสละ ของท่านนะหรือ แล้วสมควรไหม ที่ชาวไทยจะลืมท่านลง ลืมกันหมดแล้วจะบอกให้ แต่ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คงไม่ลืมแน่




    ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ถวายแด่ พระพี่นางสุพรรณกัลยา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.6 MB
      เปิดดู:
      75
  7. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    "เทิดไท้ น้ำใจแม่เอย เปรียบเหมือนเพชรงาม เรืองวาว

    เด็ดเดี่ยว แกร่งกร้าว กล้าหาญ หยัดยืน

    ชีพแม่สูญสิ้นผ่านกาลนานคืน ยังไม่สิ้นสูญแซ่ซ้อง

    ศรัทธา"


    ขอกราบถวายบังคมแทบฝ่าพระบาท ด้วยความจงรักภักดี

    และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
     
  8. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    -อนุโมทนา สาธุ ครับ


    -พระวีรกรรมของพระองค์จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของ

    พวกเราชาวไทยตลอดไป ขอดวงพระวิญญาณของพระองค์

    จงพระเกษมสำราญ สถิตย์สูงในวิมานแดนสรวง แผ่พระ

    บารมีปกป้องไพร่ฟ้าประชาราษฎร์และผืนแผ่นดินไทยให้

    มีแต่ความสุข สงบและร่มเย็นสืบไป

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
     
  9. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ขออนุโมทนากับทุกท่านครับ โดยเฉพาะคุณทางสายธาตุ

    ขอความกรุณาอย่ารีบจบนะครับ
     
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    วิชา คงกระพันชาตรี

    สมัยนี้แล้ว ทางสายธาตุยังได้เห็นอะไรดีๆ ที่ไม่เคยเชื่อว่าจะมีจริงบนโลกใบนี้มาก่อน ทหารไทยน่าจะเอากลับเรียนก็คงจะดีนะ วิชาโบราณแท้ๆ ^^

    ได้เจอข้อมูลบันทึกเรื่องวิชชาคงกระพันชาตรีไว้ กล่าวถึงตอนที่เจ้าพระยาโกษาปาน เป็นราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14

    ---------------------------------------------------------------------

    ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ส่ง ออกพระวิสูตรสุนทร-โกษาปาน ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส ซึ่งได้มีบันทึกไว้ ในจดหมายเหตุของ ลาลูแบร์ และจดหมายเหตุต่างๆ ว่า

    ความเดิม

    วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2228 ราชทูตไทย ชุดที่ 3 มี ออกพระวิสูตรสุนทร คือท่านโกษาปาน เป็นราชทูต ออกเดินทางไปฝรั่งเศสได้เฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซายส์ เมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2229 เดินทางกลับ 1 มีนาคม 2230 ถึงปากน้ำเจ้าพระยาเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2230 พร้อมด้วย มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ อัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส

    [SIZE=-1]๒๒ ธันวาคม ๒๒๒๘[/SIZE]
    [SIZE=-1]ราชทูตไทย ชุดที่ ๓ มีออกพระวิสูตรสุนทร คือโกษาปานเป็นราชทูต ออกเดินทางไปฝรั่งเศสได้เฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ที่พระราชวังแวร์ซายส์ เมื่อ ๑ กันยายน ๒๒๒๙ [/SIZE]

    [SIZE=-1]๒๘ มิถุนายน ๒๒๒๙[/SIZE]
    [SIZE=-1]ออกพระวิสูตรสุนทร ได้เป็นราชทูตออกไปเมืองฝรั่งเศส เดินทางถึงเมืองเบรสต์ นำเด็กไทยไปด้วย ๑๒ คน[/SIZE]

    [SIZE=-1]๑๔ สิงหาคม ๒๒๒๙[/SIZE]
    [SIZE=-1]วันที่คณะทูตไทยถวายพระราชสาส์น แด่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ณ พระราชวังแวซายส์[/SIZE]

    [SIZE=-1]๑ กันยายน ๒๒๒๙[/SIZE]
    [SIZE=-1]คณะทูตไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ฯ มีออกพระวิสูตรสุนทร (ปาน) เป็นหัวหน้าคณะ เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการ แด่พระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ อย่างเป็นทางการ ณ พระราชวังแวร์ซายส์ นับเป็นคณะทูตไทยชุดที่ ๓ ที่เดินทางไปฝรั่งเศส[/SIZE]

    [SIZE=-1]๑ มีนาคม ๒๒๓๐[/SIZE]
    [SIZE=-1]ออกพระวิสูตรสุนทร ได้เป็น ราชทูตออกไปเมืองฝรั่งเศส เดินทางกลับถึงประเทศไทย ฝรั่งเศสได้ส่งกองทหาร ๖๓๖ คน ในบังคับนายพลเดฟาร์ช มาประจำที่ป้อมเมืองมะริด ตามคำร้องขอของฟอลคอน และมีหัวหน้าทูตเข้ามา ๒ คน คือ เดอลาลูแบ และ คลอดเซเบแต้ดูบูลเย[/SIZE]

    [SIZE=-1]๑๑ สิงหาคม ๒๒๓๐[/SIZE]
    [SIZE=-1]สมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทรงประกาศสงครามกับบริษัทอินเดียของอังกฤษ[/SIZE]

    [SIZE=-1]๒๗ กันยายน ๒๒๓๐[/SIZE]
    [SIZE=-1]คณะราชทูตไทยมีออกพระวิสูตรสุนทร (ปาน) เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยคณะราชทูตฝรั่งเศส ชุดที่สองมี เดอลาลูแบร์ เป็นหัวหน้า มาถึงประเทศไทย[/SIZE]


    เรื่องเล่า

    เรื่องท่านโกษาปานไปฝรั่งเศสนั้น ในพงศาวดารเล่าว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ทรงปรึกษากับเจ้าพระยาโกษา (เหล็ก-ผู้เป็นพี่ชายท่านโกษาปาน) ว่าควรจะส่งผู้ใดออกไปดี เจ้าพระยาโกษาเหล็ก จึงได้กราบทูลว่า มีน้องชายของท่านคนหนึ่งชื่อ "ปาน" เป็นคนฉลาดเฉลียว และมีสติปัญญาดี

    สมเด็จพระนารายณ์จึงโปรดให้เข้าเฝ้า ทรงพระราชปฏิสันถารจนเป็นที่พอพระราชหฤทัยแลัว จึงกำหนดตัวให้เป็นราชทูตเพื่ออัญเชิญพระราชสาส์นของพระองค์ ออกไปเจริญทางพระราชไมตรีกับ พระเจ้ากรุงฝรั่งเศส


    ในครั้งนั้นท่านโกษาปาน ได้นำอาจารย์ (ปะขาว) ผู้เชี่ยวชาญคาถาอาคมไปกับตนด้วย

    “...........เมื่อเรือสำเภาจะเข้าสู่กรุงฝรั่งเศสนั้น จะต้องผ่านวังน้ำวน เรือสินค้ามากมายถูกดูดลงสู่วังน้ำวน จมลงนับร้อย เรือสำเภาอันท่านโกษาปานราชทูตโดยสารมานั้น จะถูกดูดเข้าวังวน ปะขาวอาจารย์ของท่านโกษาปาน ได้ตั้งพิธีขึ้น ระลึกถึงพุทธานุภาพ ทำอาโปกสิณ บัดหนึ่งก็เกิดลมสลาตันยกเรือสำเภาของพระยาโกษาปาน ข้ามผ่านวังน้ำวนนั้นไปเป็นที่อัศจรรย์"

    เมื่อท่านไปถึงฝรั่งเศส ต้องรอเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ด้วยความอดทนถึง ๑๕ วัน โดยท่านคุกเข่าทูลพระราชสานส์รอเฝ้าอยู่อย่างนั้น.. จนพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงเห็นความอดทนจึงยอมให้เข้าเฝ้าได้

    ทรงรับสั่งให้ล่ามถามทูตถึงทางอันมาในทะเลนั้นสะดวกดี หรือมีเหตุการณ์ประการใดบ้าง ครั้นได้ทรงทราบว่ากำปั่น (สำเภา) ตกวนเวียนอยู่ในวังน้ำวนใหญ่ถึงสามวัน จึงขึ้นพ้นมาได้ ก็ให้สงสัยพระทัยนัก ด้วยว่าแต่ก่อนแม้ว่ากำปั่นลำใดตกลงในวังวนนั้นแล้ว ก็จะถูกดูดจมลงไปสิ้น มิอาจรอดขึ้นได้แต่สักลำหนึ่ง

    จึงให้ล่ามซักถามทูตอีก ทูตให้การยืนคำอยู่ก็มิได้ทรงเชื่อ จึงให้สืบถามบรรดาฝรั่งเศสลูกเรือ ต่างก็ให้การสมคำราชทูตทั้งสิ้น ทรงเห็นเป็นมหัศจรรย์นัก

    จึงให้ซักถามราชทูตว่าคิดอ่านแก้ไขประการใด กำปั่นจึงรอดพ้นจากวนได้

    ท่านโกษาปานราชทูตได้กราบทูลว่า
    “ ข้าพเจ้าคิดกระทำสัตยาธิฐาน ขอเอาพระกฤษฎานุภาพแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองฝ่าย ซึ่งเริ่มแรกจะผูกพระราชสัมพันธ์มีแก่กัน ขอจงอย่าได้เสียสูญขาดทางพระราชไมตรีจากกันเลย เอาความสัจจาข้อนี้เป็นที่พำนัก ด้วยพระเดชพระคุณพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองฝ่าย ก็บันดาลเกิดเป็นมหาวาตะพายุใหญ่ พัดหวนหอบเอากำปั่นพ้นจากวังวนได้ “

    พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้ทรงฟังคำราชทูตก็เห็นจริงด้วย พระราชดำริว่าพระเจ้ากรุงศรีอยุธยามีบุญญามากเสมอด้วยพระองค์ ก็ทรงพระมหากรุณาแก่ราชทูต

    อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าหลุยส์ ต้องการแสดงพระราชอำนาจให้แก่คณะทูต จึงเชิญให้เข้ามาเฝ้า...

    "...........ในเวลาเที่ยง พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงให้ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์แม่นปืนสองหมู่ หมู่หนึ่งชุดแต่งกายแดงร้อยคน หมู่หนึ่งชุดแต่งกายดำร้อยคน ตั้งกองอยู่ตรงข้ามกัน ห่างกันสักสี่สิบห้าสิบวา ฝ่ายทหารชุดแต่งกายแดงทั้งร้อยคน ยิงปืนไปยังหน่วยทหารแต่งกายดำ ลูกปืนเข้าสู่ลำกล้องของทหารแต่งกายดำทั้งร้อยกระบอก พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงตรัสว่า พระเจ้าแผ่นดินสยาม มีทหารแม่นปืนเช่นนี้หรือไม่ ? ท่านโกษาปานตอบว่า ในเมืองสยามไม่มีทหารแม่นปืน เหมือนเช่นในฝรั่งเศส เพราะอาวุธปืน ไม่อาจทำอันตรายทหารสยามได้ จึงไม่มีความจำเป็น ในการตั้งกองทหารปืน พระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ จึงตรัสว่า มีเหตุเช่นนั้นจริงหรือ ?

    ท่านโกษาปานจึงกราบทูลตอบว่า “ข้าพระพุทธเจ้า จะขอแสดงให้ทอดพระเนตรในวันพรุ่ง โดยขอให้หน่วยทหาร ทั้งชุดแดงและชุดดำ เป็นผู้ยิงปืน”

    ในวันรุ่งขึ้น อาจารย์ปะขาวได้ตั้งศาลเพียงตา แลวางสายสิญจน์รอบปักธงธวัชแล้ว ให้กลาสีเรือชายสยามทั้งร้อย เข้าไปอยู่ภายในวงรอบสายสิญจน์ มลฑลพิธี

    ภายนอกห่างไปสักยี่สิบวา ทหารชุดแต่งกายแดง และทหารชุดแต่งกายดำ พร้อมปืนยืนรออยู่ เมื่อปะขาวผู้ทรงศีลให้สัญญาณ ท่านโกษาปาน จึงกราบทูลให้พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ รับสั่งให้ทหารปืนทั้งหมด เล็งยิงไปยังกลาสีเรือชายสยามทั้ง ๑๐๐ คนนั้น

    เสียงปืน ๒๐๐ กระบอก ดังสนั่นหน้าพระที่นั่ง ควันปืนอบอวลคลุ้งกระจาย ลูกกระสุนปืนทั้ง ๒๐๐ นัด มิได้ระคาย แม้ชายเสื้อทหารสยามทั้งหลาย เป็นที่อัศจรรย์

    อาจารย์ทหารสยามจึงร้องอนุญาตไปว่าท่านจงยิงอีกเถิด ทีนี้เราจะให้เพลิงติดดินดำ แลจะให้กระสุนออกทั้งสิ้น

    ทหารฝรั่งเศส พร้อมกันยิงอีก เพลิงก็ติดดินดำ กระสุนก็ออกจากลำกล้อง ตกลงตรงปากกระบอกบ้าง ห่างออกไปบ้าง ลางกระสุนก็ตกลงที่ใกล้เบญจา แต่จะได้ถูกต้องทหารไทยผู้หนึ่งผู้ใดหามิได้


    พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ จึงทรงตรัสถามท่านโกษาปานว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มียอดทหารเช่นนี้อีกเท่าใด?

    ท่านโกษาปานกราบทูลตอบว่า ชายสยามเหล่านี้ เป็นเพียงประชาชนชาวบ้านธรรมดาทั่วๆ ไป ที่เกณฑ์มาเป็นกลาสีเรือเท่านั้น ส่วนทหารของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้านั้น เยี่ยมยอดกว่านี้มากมาย" (ความจริงแล้ว กลาสีเรือทั้ง ๑๐๐ คนนี้ คือหน่วยอาทมาต ที่ได้ศึกษาวิชชาชาตรี เจนจบในตำหรับพิชัยสงครามมาเป็นอย่างดีแล้ว)

    ..........พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ตรัสสรรเสริญ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ว่ามีบารมี ที่มีทหารหาญ ที่แกร่งกล้าและคงทนแก่ศาสตราวุธ จึงสามารถรักษาประเทศสยาม ให้เป็นเอกราชไว้ได้..........”

    พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ มีพระราชประสงค์จะใคร่ได้พืชพันธุ์ของท่านโกษาปานไว้ จึ่งพระราชทานนางข้าหลวงให้เป็นภรรยาคนหนึ่ง แล้วพระราชทานเครื่องแต่งตัวอย่างฝรั่ง ล้วนประดับด้วยพลอยต่าง ๆ กับฉลองพระองค์ทรงองค์หนึ่ง แล้วให้เขียนรูปราชทูตแลจดหมายถ้อยคำไว้ทุกประการ

    แลราชทูตก็อยู่กินกับภรรยา จนมีบุตรชายคนหนึ่ง มีรูปร่างเหมือนบิดา.......ต้นสกุล Kosapan ในฝรั่งเศส

    คุณจงรักภักดีได้เรียนบ้างไหม วิชาคงกระพัน ดูจากหลักฐานแล้วน่าจะมีจริงและเป็นวิชาที่ยังใช้การได้อยู่นะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2009
  11. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อนุโมทนาครับ เรื่องการแสดงอิทธิฤทธิ์ของคณะทูตท่าน

    โกษาปานเพิ่งจะเคยได้ทราบนี่แหละครับ ผมทราบว่า

    ปัจจุบันก็ยังมีผู้สนใจร่ำเรียนกันอยู่บ้างนะครับ แต่ความ

    ศักดิ์สิทธิ์จะได้ขนาดไหนคงต้องวิจารณ์กันอีกยาว ที่ง่ายๆ

    สั้นๆน่าจะอยู่ที่คุณภาพของผู้ถ่ายทอดและผู้ที่รับการถ่าย

    ทอด มีศีลและจิตบริสุทธิ์ได้สูงเท่ากับผู้คนในสมัยก่อน

    เพียงใดหรือไม่ เวทมนต์และคาถาอาคมเป็นของศักดิ์สิทธิ

    หากประพฤติและปฎิบัติไม่ดีก็จะเสื่อมได้ ที่เขากล่าวว่า

    มนต์ไม่ขลังทำนองนั้นครับ ในสมัยก่อนเราอาจจะเคยได้

    ยินคำร่ำลือว่าแม้แต่โจรบางคนยังคงกระพันชาตรี ส่วน

    ทางด้านการทหาร อาวุธและกระสุนล้วนมีอานุภาพทำลาย

    สูง ถึงยิงไม่เข้า(ถ้ายิงถูก)ก็อาจช้ำในตาย แต่อย่างไรก็

    ตามทหารแทบจะทุกคนก็ยังเสาะแสวงหาพระเครื่องราง

    ของขลังกันครับ คงจะเคยสังเกตนะครับเวลาเกิดเหตุการณ์

    รบทัพจับศึก ทหารแต่ละคนจะแขวนเครื่องรางของขลังกัน

    คนละจำนวนไม่น้อยทีเดียว
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระราชพิธีอะไรเอ่ย พระมหากษัตริย์จะต้องทรงแพ้ในการแข่งเสมอ

    คิดแล้วเรื่องนี้น่ารักดี คิดถึงองค์พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาผู้เกรียงไกร

    ผู้ชนะในศึกเหนือศึกใต้ แต่ว่าเรื่องนี้พระองค์ท่านจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสมอ

    ชนะไม่ได้ มีเคือง แม้ถ้าจะมุ่งเอาชนะก็จะง่ายนิดเดียว แต่ก็ต้องทำพระองค์เองให้แพ้

    ตั้งแต่อ่านพงศาวดารกรุงศรีอยุธยามา เรื่องนี้อ่านแล้วอมยิ้มที่สุด น่ารัก

    จะเฉลย เมื่อมีผู้อ่านทะลุ 980 Views ตอนนี้อยู่ที่ 954 Views

    สงสัยกลับจากวัดวรเชษฐ์หลังพรรษาแล้วก็ยังไม่ต้องเฉลย

    เพราะความเห็นเดินไปเรื่อยๆแบบรถไฟรางเดียวของประเทศไทย

    ตอนแรกว่าจะใช้เลข 1000 Views ดูจากปัจจัยแล้วลดให้ 20

    เอ๊ะ หรือว่าแค่ถามก็มีคนรู้คำตอบแล้วคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  13. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อยากจะเดานะครับ แต่ไร้ข้อมูล ต้องเก็บไว้ในใจก่อนครับ
     
  14. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488

    โอ้โฮ ครับ ขึ้นต้นด้วยคำว่าพระราชพิธี คงจะเดาลำบากนะครับ เพราะบางพระราชพิธีแรกๆฟังชื่อแล้วยังไม่ทราบว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร มีใบ้บ้างไหมขอรับ
     
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระราชพิธีนี้มีเกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยนะคะ อิอิ

    เมื่อวานตอนบ่ายตัดสินใจยังไม่ไปวัดดีกว่า เพราะว่าถือศีลในโบสถ์ไม่ได้

    ฝนตกหนักและโบสถ์นี้เป็นโบสถ์ open air มีหลังคาแก้วและกำแพงแก้ว

    แต่ถ้าฝนตกจริงจะเปียกจริง เกรงว่าจะเป็นภาระให้แม่ชีต้องคอยเป็นห่วง

    ตั้งใจว่าหมดฝนเมื่อไหร่ จะไปนั่งสมาธิดูพระจันทร์อีก เมื่อวันที่ 5 พ.ค.

    ไปกันเกือบ 15 คน ดูพระจันทร์ทรงกรด 3 ชั้นสวยมาก

    เกิน 992 views ไปแล้ว ขอรวบรวมข้อมูลก่อน

    [​IMG] [​IMG]
     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระราชพิธีอาษาฒมาส เดือน 8 งานบุญเข้าพรรษา

    พระราชพิธีที่ถามไว้นั้น กำหนดให้มีในหลังวันออกพรรษาไปแล้วในเดือน 11และตามด้วยพระราชพิธีพยุหยาตราทางชลมารค ถวายผ้าพระกฐินตามวัดหลวงต่างๆ

    ซึ่งในสมัยสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า ท่านได้จัดให้มีพระราชพิธีในเดือน 11 นี้และถูกบันทึกไว้ 1 ครั้ง โดยมีปรากฏในจดหมายเหตุชาวต่างประเทศ ตอนนี้จะยังไม่พูดถึงพระราชพิธีเดือน 11


    วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ไปทำบุญด้วยนะคะ

    เรามาพูดถึงพระราชพิธีที่กระทำกันในเดือน 8 ก่อนเฉลย เผื่อจะมีผู้ตอบได้นะคะ ว่าพระราชพิธีอะไรกระทำกันในเดือน 11 รอ ๆ ๆ

    พระราชพิธีอาษาฒมาส

    ประเพณีการถวายเทียนจำพรรษาของชาวไทย ปรากฏมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในหนังสือ นางนพมาศ ซึ่งมีทั้งพระราชพิธีและพิธีของราษฎรว่า

    "พอถึงเดือน ๘ นักขัตฤกษ์บูชาใหญ่ "พระราชพิธีอาษาฒมาส" สมเด็จพระร่วงเจ้าทรงโปรดให้จัดตกแต่งพระอารามหลวงทุกแห่ง และถวายเครื่อง บริขารสมณะแด่พระสงฆ์ พร้อมทั้งเทียนประจำพรรษาบูชาพระบรมธาตุ โปรดให้ชาวพนักงานเชิญเทียนเข้า ไว้ในพระวิหาร หอพระ และให้จุดตามในที่นั้นๆทุกพระอาราม ทรงอุทิศสักการะบูชาพระรัตนตรัยสิ้นไตรมาส ตลอด ๓ เดือน"

    ส่วนพิธีแห่เทียนจำนำพรรษาของราษฎรมีกล่าวไว้ในหนังสือนางนพมาศเช่นเดียวกันว่า

    "ฝ่ายมหาชน ประชาชนชายหญิงในตระกูลต่างๆทั่วไป ทั้งพระราชอาณาเขตขัณฑสีมา ประชุมกันเป็นพวก เป็นเหล่า ตามวงศ์คณาญาติ ต่างตกแต่งร่างกายประกวดกัน แห่เทียนจำนำพรรษาของตนไปทางบกบ้าง เรือบ้าง เสียงพิณพาทย์ ฆ้องกลองสนั่นไปทุกแห่งตำบลเอิกเกริกด้วยประชาชนคนแห่ คนดู ทั้งทางบก ทางน้ำ เป็นมหานักขัตฤกษ์ แล้วเชิญประทีปจำนำพรรษาเข้าตั้งในอุโบสถวิหาร จุดตามบูชาพระรัตนตรัยสิ้น ไตรมาสสามเดือน ทุก ๆ อารามราษฎร์"

    ดังนั้น ประเพณีถวายเทียนจำนำพรรษา ซึ่งมีมาแต่สมัยสุโขทัยนั้น ปัจจุบันยังคงกระทำสืบ ต่อกันมา ซึ่งมีวิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกันกับที่เคยปฏิบัติกันมาในอดีต

     
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระราชพิธีอาศวยุช งานบุญออกพรรษา เดือน 11

    บางที่จะเขียนว่า พระราชพิธีอาสวยุทธ ไม่รู้ควรจะเขียนอย่างไรจึงจะถูกต้องเหมือนกัน พระราชพิธีนี้ตอนแรกอ่านชื่อแล้วคิดว่าเป็นพระราชพิธีที่จัดไว้สำหรับแสดงแสนยานุภาพทางน้ำของกองทัพกรุงศรีอยุธยาเสียอีก แต่ไม่ใช่ พระราชพิธีนี้เป็นพระราชพิธีการแข่งเรือเสี่ยงทาย ระหว่างพระมหากษัตริย์ กับพระอัครมหเสี

    คิดว่ามีหลายคนรู้ว่าเป็นพระราชพิธีนี้ คิดว่าคุณจงรักภักดีอาจจะทราบแล้ว ถือว่าข้อเขียนนี้เป็นการย้อนรำลึกถึงในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยกันค่ะ

    จากคำให้การของชาวกรุงเก่ากล่าวถึงการแข่งเรือในสมัยกรุงศรีอยุธยาว่าเป็นพระราชพิธีเดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง หรือพระราชพิธีอาศยุชคือการแข่งเรือของพระเจ้าแผ่นดินว่า

    “พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาทรงเรือพระที่นั่งกิ่งลำหนึ่ง พระอัครมเหสีทรงลำหนึ่ง แข่งเรือกันแล้วโปรดให้เสนาอำมาตย์ทั้งหลายแข่งเรือกันโดยลำดับ พระราชพิธีนี้ทำกันเมื่อขึ้น 14 ค่ำ จนแรม 3 ค่ำ รวม 3 วัน พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาจะทรงเครื่องขาวพระมหามงกุฎทำด้วยเงินเวลากลางคืนพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาจะเสด็จลงลอยพระประทีปอุทิศถวายพระพุทธเจ้า แล้วเสด็จลงเรือพระที่นั่งประทับยืนไปพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ อันประดับด้วยประทีปเสด็จรอบพระนคร มีการเลี้ยงลูกขุนและข้าราการทั้งปวง เสด็จไปพระราชทาน พระกฐินตามพระอารามในกรุง” การพระราชพิธีอาศ-ยุชนั้นเป็นการเสี่ยงทายสำหรับพระมหานครโดยปรากฏในกฎมณเฑียรบาลว่าเรือที่พระมหากษัตริย์จะลงคือเรือสมรรถชัยและเรือมเหสีคือเรือไกรสรมุข และมีคำเสี่ยงทายว่า "ถ้าเรือสมรรถชัยแพ้ ข้าวเหลือกินอิ่ม สุขเกษมเปรมประชา ถ้าเรือสมรรถชัยชนะจะมียุคเข็ญ"

    สรุปว่าการแข่งขันในพระราชพิธีนี้ เรือพระที่นั่งไกรสรมุข จะต้องชนะเรือพระที่นั่งสมรรถชัยเสมอ หรือกล่าวอีกนัยก็คือ เรือพระที่นั่งของพระมเหสีจะต้องชนะเรือพระที่นั่งขององค์พระมหากษัตริย์เสมอ รู้สึกว่าเป็นพระราชพิธีที่น่ารักดี ^^

    กฎมณเฑียรบาลที่ตราขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีเจ้า พระองค์ที่ ๔ (สมเด็จพระบรมไตรโลกเจ้าครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๐๓๑) เล่าถึงการพระราชพิธีอาสยุชแข่งเรือ (อาสวยุทธ) ไว้ว่า

    “เดือน ๑๑ การอาสยุชพิทธี มีหม่งครุ่มซ้ายขวาระบำหรทึกอินทเภรีดนตรี เช้าธรงพระมหามงกุฎราชาประโภค กลางวันธรงพระสุพรรณมาลา เอย็นธรงพระมาลาสุกร่ำสภักชมพู สมเดจ์พระอรรคมเหสีพระภรรยาธรงพระสุวรรณมาลา นุ่งแพรลายทองธรงเสื้อ พระอรรคชายาธรงพระมาลาราบนุ่งแพรดารากรธรงเสื้อ ลูกเธอหลานเธอธรงศิรเพศมวยธรงเสื้อ พระสนมใส่สนองเกล้าสภักสองบ่า สมรรถไชยเรือต้นสรมุกขเรือสมเดจ์พระอรรคมเหสี สมรรถไชยไกรสรมุกขนั้นเปนเรือเสี่ยงทายถ้าสมรรถไชยแพ้ไซ้เขาเหลีอเกลีออี่มศุกขเกษมเปรมประชา ถ้าสมรรถไชยชำนะไซ้จะมียุข”

    สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับพระราชพิธีนี้ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารฯ พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) ของไทย พบว่ารัชกาลสมเด็จพระนเรศมีการกล่าวถึงพระราชพิธีอาสวยุทธและการต้อนรับคณะทูตกัมพูชาที่เดินทางมาถวายเครื่องราชบรรณาการยังราชสำนักศรีอยุทธยา ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ที่พระเจ้าแผ่นดินสยามเสด็จฯ ทางชลมารคและการเสด็จออกรับทูตกัมพูชาในจดหมายเหตุสเปน ความว่า

    “ลุศักราช ๙๔๕ ปีมะแมศกเบญจศก สมเด็จพระนเรศเป็นเจ้า ครั้นเสด็จการพระราชพิธีอาสวยุทธแล้ว มีพระราชบริหารสั่งให้เกณฑ์ทัพเตรียมไว้ และพลฉกรรจ์ลำเครื่องแสนหนึ่ง ช้างเครื่องแปดร้อย ม้าพันห้าร้อย กำหนดเดือนอ้ายจะยกไปตีกรุงกัมพูชาธิบดี...”

    โดยเรื่องศักราชมีความเห็นว่าต้องปรับปรุงเพราะดูจากหลักฐานเรื่องการเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารถเพื่อถวายผ้าพระกฐินโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปีศักราชน่าจะต้องสอดคล้องกัน

    การพระราชพิธีอาสวยุทธที่กระทำกันใน จ.ศ. ๙๔๕ ปีมะแมเบญจศก (พ.ศ. ๒๑๒๖) นั้นน่าจะผิด เพราะปีศักราชดังกล่าวยังคงอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชผู้พระราชบิดาแต่เมื่อสอบกับ พระราชพงศาวดารฯฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์แล้ว ควรปรับเป็น จ.ศ. ๙๕๕ มะเส็งศก (พ.ศ.๒๑๓๖) ช้ากว่ากัน ๑๐ ปี ดังนั้นการต้อนรับทูตกัมพูชาใน จ.ศ. ๙๔๙ ปีกุนนพศก (พ.ศ.๒๑๓๐) ควรปรับปีศักราชให้ช้าตามไปด้วยอีก ๑๐ ปีเช่นกัน จึงควรเป็น จ.ศ. ๙๕๙ ปีระกานพศก (พ.ศ. ๒๑๔๐) โดยทั้งสองเหตุการณ์จะอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศทั้งสิ้นตรงตามที่กล่าวไว้ใน พระราชพงศาวดารฯ พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด)

    ในจดหมายเหตุของสเปนยังได้ระบุพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้ด้วย แต่มิได้ระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐินหรือไม่

    [​IMG]


    ตอบกันได้เยอะเลยแน่นอน แต่ตอบกันในใจใช่ไหมคะ









     
  18. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ตอบกันได้เลยครับ ว่าเดาผิด เป็นความรู้ใหม่จริงๆครับ

    ต้องขอบพระคุณคุณทางสายธาตุมากทีเดียว ครับ
     
  19. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เสริมด้วยรูปเรือในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="67%" height=17>กระบวนพยุหยาตราชลมารค

    หมายถึง



    </TD></TR><TR><TD height=17>ริ้วกระบวนเรือพระราชพิธีที่จัดขึ้นสำหรับพระมหากษัตริย์ เสด็จพระราชดำเนินไปในการต่าง ๆ ทั้งเป็นการส่วนพระองค์และที่เป็นการพระราชพิธี แต่เดิมกระบวนพยุหยาตราชลมารคเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเพื่อประกอบการพระราชพิธีต่างๆ ที่สำคัญ เช่น พระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน พระราชพิธีบรมราชาภิเษก การเสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการรอยพระพุทธบาทสระบุรี การอัญเชิญพระพุทธรูปที่สำคัญจากหัวเมืองเข้ามาประดิษฐานในเมืองหลวง ตลอดจนการต้อนรับราชทูตจากต่างประเทศเป็นต้น



    </TD></TR><TR><TD height=17></TD></TR><TR><TD height=17></TD></TR><TR><TD height=17></TD></TR><TR><TD height=15></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=980 align=center border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width=720 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=33>เรือเอกไชยเหินหาว</TD><TD align=middle height=33>เรือเอกไชยหลาวทอง</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=29>เรือกระบี่ปราบเมืองมาร</TD><TD align=middle height=29>เรือกระบี่รานรอนราพณ</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=29>เรืออสุรวายุภักษ</TD><TD align=middle height=29>เรืออสุรปักษี</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=32>เรือพาลีรั้งทวีป</TD><TD align=middle height=32>เรือสุครีพครองเมือง</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=30>เรือครุฑเหินเห็จ</TD><TD align=middle height=30>เรือครุฑเตร็จไตรจักร</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=31>เรือเสือทยานชล</TD><TD align=middle height=31>เรือเสือคำรณสินธุ์</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=31>เรือทองขวานฟ้า</TD><TD align=middle height=31>เรือทองบ้าบิ่น</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=31>เรือแตงโม</TD><TD align=middle height=31>เรืออีเหลือง</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=31>เรือดั้งทอง</TD><TD align=middle height=31>เรือดั้ง</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=31>เรือตำรวจ</TD><TD align=middle height=31>เรือแซง</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffcc99 height=341 cellSpacing=1 cellPadding=1 width=720 align=center border=1><TBODY><TR><TD align=middle width=704 bgColor=#de8712 height=25>
    เรือพระราชพิธีที่เข้าร่วมในกระบวนพยุหยาตราชลมารค






    </TD></TR><TR><TD align=middle width=704><TABLE borderColor=#ffcc00 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=720 border=1><TBODY><TR bgColor=#fffec6><TD align=middle width=344 height=17>เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส</TD><TD align=middle width=366 height=17>เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 </TD></TR><TR bgColor=#fffec6><TD align=middle width=344 height=15>เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช </TD><TD align=middle width=366 height=15>เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle width=704 bgColor=#ded745 height=24>เรือประเภทต่าง ๆ ที่เข้าร่วมในกระบวนพยุหยาตราชลมารค</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=704><TABLE borderColor=#ffcc66 cellSpacing=1 cellPadding=1 width=720 border=1><TBODY><TR bgColor=#feefcb><TD align=middle width=344>เรือเอกไชยเหินหาว </TD><TD align=middle width=366>เรือเอกไชยหลาวทอง </TD></TR><TR bgColor=#feefcb><TD align=middle width=344 height=17>เรือพาลีรั้งทวีป </TD><TD align=middle width=366 height=17>เรือสุครีพครองเมือง </TD></TR><TR bgColor=#feefcb><TD align=middle width=344>เรืออสุรวายุภักษ </TD><TD align=middle width=366>เรืออสุรปักษี </TD></TR><TR bgColor=#feefcb><TD align=middle width=344 height=17>เรือกระบี่ปราบเมืองมาร </TD><TD align=middle width=366 height=17>เรือกระบี่ราญรอนราพณ </TD></TR><TR bgColor=#feefcb><TD align=middle width=344>





    </TD><TD align=middle width=366>เรือครุฑเตร็จไตรจักร </TD></TR><TR bgColor=#feefcb><TD align=middle width=344 height=21>เรือเสือทยานชล </TD><TD align=middle width=366 height=21>เรือเสือคำรณสินธุ์ </TD></TR><TR bgColor=#feefcb><TD align=middle width=344>เรืออีเหลือง </TD><TD align=middle width=366>เรือแตงโม </TD></TR><TR bgColor=#feefcb><TD align=middle width=344>เรือทองขวานฟ้า </TD><TD align=middle width=366>เรือทองบ้าบิ่น </TD></TR><TR bgColor=#feefcb><TD align=middle width=344>เรือดั้ง จำนวน 22 ลำ </TD><TD align=middle width=366>เรือตำรวจ จำนวน 3 ลำ </TD></TR><TR bgColor=#feefcb><TD align=middle width=344 height=17>เรือแซง จำนวน 7 ลำ </TD><TD align=middle width=366 height=17>รวมทั้งหมด 52 ลำ </TD></TR><TR bgColor=#fefaaf><TD align=middle colSpan=2 height=17></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2009
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    มีผู้ฝากข่าวถึงคุณชานนคนไทย ว่าวันอาทิตย์นี้จะว่าง
    ไปวัดวรเชษฐ หรือไม่ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...