ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ต้องขออนุญาตคั่นจังหวะเพลงพระสุพรรณกัลยา สักครู่นะครับ

    ด้วยได้อ่านพบข้อเขียนดีๆเกี่ยวกับเรื่องปฎิจสมุปบาทที่อ่าน

    เข้าใจได้ง่าย เลยขออนุญาตท่านเจ้าของคัดลอกมาฝากกัน

    "..........ถามว่า........ก่อนที่ใจจะผุดรับผัสสะภายนอก แล้วปรุงให้เกิดอารมณ์

    ที่เรียกว่า วงจรปฏิจสมุปบาทนั้น ก่อนเกิดใจอยู่อย่างไร ,ขณะเข้าไปรับผัสสะ

    ใจไหวอย่างไร และเมื่อเข้าไปปรุงให้เกิดอารมณ์แล้ว ใจเปลี่ยนไปอย่างไร

    **********************************************************


    ขอบคุณครับ.....ที่กรุณาตอบกัน

    คำตอบก็เป็นไปตามภูมิธรรมของแต่ละท่าน ซึ่งท่านที่ปฏิบัติถึงขั้นตอนนี้

    ท่านย่อมตอบได้ และรับรู้อาการต่างๆ เหมือนกัน เพียงแต่

    ถ่ายทอดเป็นคำพูดต่างกันเท่านั้น ซึ่งบางท่านก็ไม่ตอบเสียดื้อๆ

    หรือเงียบหายไปเฉยๆ บางท่านก็ตอบอย่างสละสลวย งดงาม

    ก็ขอขอบคุณครับ วงจรปฏิจสมุปบาทเป็นวงจรการเกิดอารมณ์ของจิต

    ปรุงแต่งเป็นภพชาติ วงจรทั่วไปของปถุชนธรรมดา จะไล่เรียงตั้งแต่มีสิ่งเร้าภายนอก

    เข้ามาทางตา หู จมูก กาย ใจ และจิตไหวตัวออกไปปรุงแต่งกับสิ่งเร้านั้น

    แล้วเกิดอารมณ์กับสิ่งนั้น เป็นโกรธ เกลียด ไม่ชอบใจ ซึ่งวงจรนี้บุคคลทั่วไปไม่เห็น

    และไม่รู้ แต่ผู้ปฏิบัติสามารถเห็นตั้งแต่ อาการของใจที่ อยู่ว่างๆ ไหววูป เกิดความทึบ

    ของจิต แล้วพุ่งพรวด ส่งเหมือนงวงช้างออกจากจิต เข้าไปจับกับสิ่งเร้า แล้วปรุงต่อ

    จนเกิดอารมณ์นั้นเทียว วงจรนี้ผู้ปฏิบัติืจะมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าไม่เท่ากัน แล้วแต่บุคคล

    สำหรับบุคคลที่จิตรู้อยู่แล้วว่า ส่งจิตอกนอกไปจับสิ่งเร้า จะทำให้เกิดทุกข์ จิตจะไม่ออก

    ไปจับ จะอยู่กับจิต โดยไม่ต้องบังคับ อยู่กับจิตตัวเองและรู้ทีละน้อยว่าจิตตัวเองนั้นไม่เที่ยง

    จนกระทั่งจิตรวมและตัดสินความรู้ครั้งใหญ่ .....<!-- google_ad_section_end -->


    *ขอขอบคุณ คุณโป จากกระทู้ การสอนดูจิตตอนนี้ฯ(คุณธรรมภูต)ในคำตอบกระทู้ #964
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2009
  2. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210
    [​IMG]



    เทิดไท้ พระสุพรรณกัลยา

    เนื้อร้อง/ทำนอง/ ขับร้อง/ กัญญนัทธ์ ศิริ
    ดนตรี กฤษดา เครือนวล

    ใจโอ้ใจ ต้องจำไกล พรากจากจร
    จากถิ่นฟ้าเคยนอน ต้องจำจร ไกลร้างห่างเมือง

    ไกล ..โอ้ ไกล แผ่นดินถิ่นกำเนิดมา
    ห่วงรักในอนุชา มุ่งสู่หงสา ชีพเป็นเดิมพัน

    ต้อง ยอมสละสิ้นแล้วทุกสิ่ง ต้องละวางทิ้งสุขนับคณา
    หยดริน ไหลร่วง น้ำตา เพื่อสุขประชาไพร่ฟ้าสราญ

    กู่ร้อง หาใครได้ยิน ดั่งเหมือน ฟ้าฟาดธรณิน
    ชีพดับแดสิ้น โอ้ อนิจจา
    จบสิ้นสุดแล้ว พันธนา ปวงราชประชา ร่ำหาอาวรณ์

    เทิดไท้ น้ำใจแม่เอย เปรียบเหมือนเพชรงาม เรืองวาว
    เด็ดเดี่ยว แกร่ง กร้าว กล้าหาญ หยัดยืน

    ชีพแม่สูญสิ้นผ่านกาล นานคืน ยังไม่สิ้นสูญ แซ่ซ้อง ศรัทธา
    สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา

    ขวัญเอย แม่อยู่แห่งไหน กลับฟ้าเมืองไทย อโยธยา
    เห่กล่อม ขวัญแม่นิทรา แม่สุข เถิดหนา ในนฤพาน

    มา..ฮืม....แม่มา ปวงราช ประชา จักขอ กราบกราน
    สิ้นภพ มิสิ้นตำนาน ก้องกู้ กล่าวขาน ความดีแม่เอย
    สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา



    ขอบพระคุณ คุณพี่ทางสายธาตุ มากๆค่ะ ที่เมตตาแปะเพลงให้น้องค่ะ



    ขออนุญาติ เล่าเหตุการณ์ หนึ่งทีเกิด ขณะกำลังจะเริ่มแต่งเพลงนี้ ค่ะ
    (โปรดใช้วิจารณญาณ)

    หลังจากที่ สวดมนต์ไหว้พระเสร็จตามปกติ ขณะกำลังจะนอนหลับ ก็นอนภาวนาพุทโธ (ปกติจะนอนภาวนา จนหลับไปค่ะ)

    กำลังจะเคลิ้ม หลับ ก็ได้ปรากฏภาพให้เห็นในจิต เห็นผู้คนหลายคน
    กำลังรุมล้อม หญิงท่านหนึ่ง จิตก็เลยมอง ว่าใครนะ เขาทำอะไรกัน


    ขณะที่กำลังใช้จิตมอง ผู้คนต่างรุมเข้ามา เสียงดัง มืด เร็ว
    โมเยก็สึก เจ็บมาก ที่หัวใจ ไม่ใช่หน้าอกนะคะ
    ความเจ็บมัน เร็ว แรง เจ็บมาก

    เหมือนเจ็บแปลบ ที่ขั้วหัวใจ เหมือนมีใครมากระชากหัวใจ ของโมเย ออกไป
    จนต้องร้องออกมาดังๆ จนร้องไห้ รู้สึกเจ็บ มาก เหมือนใจจะขาด


    หญิงท่านนั้นที่โมเยเห็น คงจะเจ็บปวด และถ่ายทอดความเจ็บปวด
    มายังที่จิตของโมเย
    จึงรีบลุก ออกจากภวังค์ ขึ้น เขียนประโยค ที่ว่า


    กู่ร้อง หาใครได้ยิน......
    ดั่งเหมือน ฟ้าฟาดธรณิน
    .......ชีพดับแดสิ้น โอ้ อนิจจา ....
    <o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2009
  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระราชประวัติ สมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา

    [​IMG]

    (รูปนี้ถ่ายจากกล้องถ่ายรูปโดยการอธิษฐานจิตขอให้ติดภาพพระพี่นาง ผู้ถ่ายรูปนี้คือ หลวงปู่โง่น โสรโย)

    พระสุพรรณกัลยา



    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>พระบรมนามาภิไธย</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>สุวรรณเทวี</TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>พระปรมาภิไธย</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>พระสุพรรณกัลยา</TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>พระอิสริยยศ</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>พระมเหสีเล็กในพระเจ้าบุเรงนอง<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP>

    พระมเหสีในพระเจ้านันทบุเรง
    </TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>ราชวงศ์</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>ราชวงศ์สุโขทัย</TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ข้อมูลส่วนพระองค์[ซ่อน]

    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>ประสูติ</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>พ.ศ. ๒๐๙๕</TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>สิ้นพระชนม์</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9></TD></TR></TBODY></TABLE>​



    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>
    พระบิดา
    </TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช</TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>พระมารดา</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>พระวิสุทธิกษัตรีย์</TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>พระราชสวามี</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>พระเจ้าบุเรงนอง


    พระเจ้านันทบุเรง

    </TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>พระราชโอรส/ธิดา</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>เจ้าหญิงเมงอทเว

    เจ้าชายไม่ปรากฏพระนาม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    พระสุพรรณกัลยา สุวรรณกัลยา หรือ สุวรรณเทวี<SUP class=reference id=cite_ref-1>[2]</SUP> ทรงเป็นพระราชธิดาใน สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช และ พระวิสุทธิกษัตรีย์ และเป็นพระพี่นางใน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ สมเด็จพระเอกาทศรถ ประสูติ ณ พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก<SUP class=reference id=cite_ref-2>[3]</SUP> เชื่อว่าพระนามเดิม คือ "องค์ทอง" ได้รับการกล่าวขานว่าทรงมีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ยอมเสียสละความสุขส่วนพระองค์ และนับว่าทรงเป็นวีรสตรีไทยที่ควรแก่การยกย่องเชิดชู

    <TABLE class=toc id=toc sizset="0" sizcache="0"><TBODY sizset="0" sizcache="0"><TR sizset="0" sizcache="0"><TD sizset="0" sizcache="0">เนื้อหา



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>องค์ประกันหงสาวดี

    มเหสีพระเจ้าบุเรงนอง

    ในคราวสงครามครั้งเสียกรุงครั้งที่ ๑ ในปี พ.ศ. ๒๑๑๒ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงสถาปนาสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา พระสุพรรณกัลยาทรงยอมเป็นองค์ประกันของหงสาวดีแทนพระนเรศวรผู้เป็นพระอนุชา โดยได้ถวายตัวเป็นพระมเหสีน้อยในพระเจ้าบุเรงนอง สมเด็จพระนเรศวรจึงได้เสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา

    พระนางทรงมีพระธิดา ๑ พระองค์กับพระเจ้าบุเรงนอง ทรงพระนามว่า เมงอทเว เชื่อกันว่าเป็นพระมเหสีที่พระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดปราน โดยทรงจัดให้สร้างตำหนักทรงไทยขึ้นในพระราชวังกรุงหงสาวดี

    มเหสีพระเจ้านันทบุเรง

    ภายหลังจากที่พระเจ้าบุเรงนองสวรรคตเมื่อพ.ศ. ๒๑๒๔ พระเจ้านันทบุเรงขึ้นครองราชย์แทน พระนางจึงกลายเป็นพระมเหสีในพระเจ้านันทบุเรงตามประเพณี และมีพระโอรส ๑ พระองค์ (ไม่ปรากฏพระนาม)

    การสิ้นพระชนม์

    ภายหลังจากที่พระมหาอุปราชามังกะยอชวาสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๑๓๕ จากการทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเจ้านันทบุเรงทรงพระพิโรธมาก จึงใช้พระแสงขรรค์สังหารพระนางและพระโอรสสิ้นพระชนม์ ขณะที่พระโอรสพระชนม์ได้ ๘ เดือน เพราะถ้าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้รับชัยชนะจากการทำสงครามเมื่อไหร่ ความตายก็เข้าไกล้พระนางเมื่อนั้น

    การพบหลุมพระศพพระสุพรรณกัลยา

    เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘ มีการขุดพบหลุมแห่งหนึ่งซึ่งมีทั้งพระโกฎทองคำและเครื่องใช้ในราชสำนักจำนวนมากรวมทั้งโครงกระดูกบางส่วนรวมอยู่ด้วย ในระหว่างที่กำลังมีการปรับพื้นดินเพื่อสร้างเมืองใหม่ของพม่าใกล้กับเมืองปีนมานา ในภาคกลางของพม่า โดยมีการพูดคุยในหมู่นายทหารระดับสูงของพม่าว่า หลุมดังกล่าวคาดว่าเป็นหลุมพระศพของพระสุพรรณกัลยา เนื่องจากเครื่องใช้ราชสำนักบางส่วนมีลักษณะคล้ายลวดลายไทย
    แหล่งข่าวดังกล่าวเปิดเผยอีกว่า ขณะนี้ทางกองทัพพม่าได้สั่งระงับการสร้างเมืองดังกล่าวไว้ชั่วคราว และพยายามปิดข่าวนี้อย่างมิดชิด เนื่องจากเกรงว่าจะมีการขอเข้าไปตรวจสอบและทวงทรัพย์สมบัติล้ำค่าจากทางการไทย<SUP class=reference id=cite_ref-3>[4]</SUP>
    <SUP></SUP>
    พระนามต่างๆ

    ๑. สุวรรณกัลยา จากคำให้การขุนหลวงหาวัด ฉบับหลวง
    ๒. จันทรกัลยา จากคำให้การชาวกรุงเก่า
    ๓. พระสุวรรณ จากพงศาวดารฉบับอูกาลา
    ๔. อะเมี้ยวโยง แปลว่าผู้จงรักภักดีในเผ่าพันธุ์ตน จากพงศาวดารของมหาสีหตู
    ๕. พระสุวรรณเทวี จากพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา
    ๖. พระสุพรรณกัลยาณี จากพระประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระราชนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

    สถานที่เกี่ยวกับพระองค์

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2009
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เจดีย์ทรงปราสาทยอด วัดวรเชษฐ์

    [​IMG]



    “หลวงปู่โง่น” ก็เอาพระอัฐิพระสุพรรณกัลยามาเก็บไว้<O:p
    หลวงพ่อ ดร.สิงห์ทน เล่าด้วยว่า มีผู้เชี่ยวชาญด้านสัมผัสที่หกจำนวนไม่น้อยที่ระบุตรงกันว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ปลงพระบรมศพ และเป็นที่เก็บพระโกศที่บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยชี้สถานที่เก็บพระบรมโกศเหมือนกันทุกรายว่าอยู่ในเจดีย์ใหญ่ทรงพระปรางค์ที่เด่นตระหง่านเหนือหมู่เจดีย์อื่นๆ

    <O:p
    <O:p
    นอกจากนี้ยังมีการระบุด้วยว่า ที่ในเจดีย์องค์อื่นๆ มีการเก็บพระอัฐิและอัฐิสำคัญอีกมากมาย คือในเจดีย์เล็กด้านข้างนั้น เป็นเจดีย์เก็บพระอัฐิพระชายาในสมเด็จพระเอกาทศรถ สมเด็จพระราชอนุชาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, ในเจดีย์ทรงย่อมุมไม้สิบสองที่เดิมสมเด็จพระเอกาทศรถทรงโปรดให้สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ของสมเด็จพระพี่นางผู้เสียสละ คือ “พระสุพรรณกัลยา” นั้น ภายหลังหลวงปู่โง่น โสรโย เกจิอาจารย์ชื่อดังผู้ที่เชื่อว่าได้นิมิตจากการติดต่อจากดวงพระวิญญาณของพระสุพรรณกัลยา ที่เดินทางไปอัญเชิญพระอัฐิของพระองค์จากแดนพม่ากลับมาเมืองไทยก็ได้แบ่งพระอัฐิของพระนางส่วนหนึ่งมาบรรจุไว้ในเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองที่วัดนี้ด้วย<O:p

    <O:p
    “อันนี้เป็นเพราะหลวงปู่โง่นทราบดีว่าสถานที่ใดเป็นสถานที่จริง ท่านเป็นพระที่มีอภิญญา สามารถเล็งเห็นว่าควรเก็บพระอัฐิของพระสุพรรณกัลยาไว้ที่ใด ท่านจึงเดินทางมาที่วัดนี้ และบรรจุส่วนหนึ่งเอาไว้ในเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ท่านก็บอกอาตมาเหมือนกัน แล้วท่านก็เล่าว่านำมาเก็บไว้ที่นี่ ส่วนตัวอาตมาและหลวงปู่โง่นแล้วสนิทมักคุ้นกันดี”

    ขอแก้จาก เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง เป็น เจดีย์ทรงปราสาทยอดค่ะ<O:p


    <O:p
     
  5. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระอนุสาวรีย์ พระสุพรรณกัลยา

    [​IMG]
    "พระอนุสาวรีย์ พระสุพรรณกัลยา" ณ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    (กองทัพภาคที่ 3) อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก


    ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๑ หลวงปู่โง่น โสรโย แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวกอำเภอ ตะพานหินจังหวัดพิจิตร ได้รับกิจนิมนต์จากพระมหาปีตะโกภิกขุ ให้ไปช่วยงาน ด้านประติมากรรม ซ่อมแซม รูปลายฝาผนังเมืองพะโค (หงสาวดี) ประเทศพม่า ในขณะนั้นประเทศพม่ามีเหตุการณ์ทางการเมืองภายในเกี่ยวกับสมณศักดิ์ พระภิกษุ หลวงปู่โง่นพลอยต้องอธิกรณ์โทษการเมืองไปด้วย กลับเมืองไทยไม่ได้ ระหว่างถูกกักบริเวณท่านใช้เวลาในการฝึกจิตกำหนดตัวแฝงและพลังแฝงในกายได้ สามารถติดต่อกับโลกวิญญาณ และได้เข้าถึงกระแสพระวิญญาณที่สื่อสารต่อกัน กล่าวว่าท่านเคยเป็นนายทหารช่างสร้างบ้านเรือนทั้งยังเคยถูกพม่ากวาดต้อนไปพร้อมกับพระนางในครั้งนั้นเคยเป็นข้ารับใช้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และ กรุงธนบุรี พระสุพรรณกัลยาได้ขอร้องให้หลวงปู่โง่น ช่วยแก้พันธนาการ ทาง ไสยศาสตร์เพื่อดวงพระวิญญาณของพระองค์ จะได้กลับไปเมืองไทย และให้นำภาพลักษณ์ของพระองค์ อันเกิดจากกระแสพระวิญญาณ เผยแพร่ ให้แก่ชาวไทย ผู้ลืมพระองค์ท่านไปแล้ว พระองค์จะกลับมาทำคุณประโยชน์ ช่วยเหลือ ประเทศ ชาติทั้งยังปณิธานจะกลับมาอุบัติเป็น เจ้าหญิงในปัจฉิมสมัยของวงศ์กษัตริย์ไทย จะสร้างบารมีประกอบคุณความดี เพื่อให้อยู่ในหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ ด้วย เหตุเพราะ คนไทยลืมคุณกู้ชาติของพระองค์ ที่ยอมสละความสุขในชีวิต เพื่อให้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถ มีโอกาสกู้ชาติบ้านเมือง ได้สำเร็จ



    ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น หลวงปู่โง่น โสรโย และท่านพลโทถนอม วัชรพุทธ แม่ทัพกองทัพภาคที่ ๓ ได้ร่วมมือกันสร้าง พระอนุสาวรีย์ ของพระ สุพรรณกัลยา มีขนาดเท่าองค์จริง และได้อัญเชิญ มา ประดิษฐานไว้ ณ ริมฝั่ง แม่น้ำน่านในบริเวณ " ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช " ใกล้กับพระบรม ราชานุสาวรีย์ พระอนุชาทั้งสองพระองค์ โดยได้นำส่วนของสรีระเช่นกระดูกฟัน และเครื่องประดับ ของมีค่าบางอย่างที่ขุดค้นได้จากแหล่งฝังพระศพของพระนาง นำมาบรรจุ ในพระอุระของพระรูปด้วย เพื่อให้ชาวไทยทุกคน ได้มีโอกาสเคารพ สักการะ วีรสตรี ผู้เสียสละยิ่งใหญ่กว่าผู้ใด เพียงให้สยามไทย ได้คงอยู่ชั่วฟ้าดิน .

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • kalaya2.jpg
      kalaya2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.1 KB
      เปิดดู:
      4,709
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา

    ขอให้ท่านหวนจิต คิดย้อนกลับไปดูภาวะของฉันที่ได้กำเนิดเกิดมา เป็นธิดาองค์ใหญ่ ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย พระราชบิดา ได้ไปครองเมืองอยุธยา ได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคา อย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน นับว่าฉันเองได้สถิต อยู่ในมไหยสมบัติ อยู่ในดินแดนเมืองมนุษย์ มีความสุขสุดที่จะพรรณา แต่ต่อมา พม่าตีเมืองได้ ฉันกับน้องชาย ต้องตกเป็นเชลย ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นขี้ข้าเขา แล้วได้มาเป็นเมียบุเรงนอง แล้วถูกจำจอง ด้วยเครื่องพันธนาการ

    ฉันเองได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน ทั้งกายและจิตใจตลอดมา จำเดิมแต่ได้พลัดพราก จากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดารยังมาทุกข์ทรมานในการจำจากน้องทั้งสอง อันเป็นที่รักที่สุด ดุจกับว่าดวงตา ดวงใจ มันหลุดลอยออกไปจากร่างออกไป สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเอง เฆี่ยนตีทำโทษ จนถึงแก่ความตายอย่างทรมานที่สุด ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆจะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไปเพื่อความอยู่รอด ของประเทศชาติบ้านเมือง ฉันเสียใจที่คนไทยลืมฉัน ฉันจะหาที่เกิดเป็นกุลสตรี ที่ได้นั่งอยู่บนหัวใจของคนทั้งชาติ โดยปราศจากการมีครอบครัว แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัย ไปสู่สถานที่ ที่ไม่มีการเกิด การตายอีกแล้ว


    แต่เรื่องนั้นจะมีขึ้นได้จริง ก็ต้องพึ่งพิงอาศัยกระแสดวงใจของคนจำนวนมากช่วยค้ำจุนหนุนส่งให้ ดังนั้น จึงอยากจะขอร้องท่าน ช่วยเอารูปลักษณ์ของฉัน ออกให้ปรากฏแก่สายตาของคนทั่วไป ที่เขาอยากรู้ อยากเห็นด้วย

    นี้แหละท่านอันชีวิตคนเราทุกๆ คน จะคละเคล้าไปด้วยสุข และทุกข์ เสียงหัวเราะและน้ำตา เสียงสนุกเฮฮา และร้องไห้โหยหวน ชวนให้คิดว่า นี่แหละโลก นี่แหละชีวิตคิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ทุกชีวิตก็ตกเป็นทาส เพราะตกอยู่ใต้อำนาจ ของความปรารถนา ชีวิตที่ถูกความโง่เขลา ปลูกสร้างขึ้นมา แล้วก็ยึดถือหวงแหนไว้ ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นของกู ตัวกูไปทุกสิ่ง ได้ครอบครองสิ่งใดแล้ว ก็ชื่นชมยินดี เทิดทูน และผูกติดกับสิ่งนั้น ไว้ด้วยความหลงผิด หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังบ้า แบกภาระอันหนักหน่วง เอาไว้ไม่รู้จักวาง ทางออกที่ดีก็คือ การไม่เกิดแล้วก็ไม่ตาย และท่านกล่าวต่อไปว่า อันความยึดมั่นถือมั่น ในตัวกูของกูนี่เอง ที่ทำให้คนเราโง่ ทำให้คนโง่เขลา พากันมัวเมาหลงผิด คิดว่าเป็นของตัวเองทุกอย่างไป ดวงใจมันก็ได้รับแต่ความทุกข์

    แต่ฉันเองรู้สึกเสียใจมาก ที่บ้านเมืองของเราหลายๆ แห่ง ได้ถูกกองทัพเจ้าพม่า มันฆ่าทารุณผู้คน ขนมาเมืองมัน จนไม่เหลืออะไรแล้ว มันก็สั่งให้คนไทย จุดไฟเผาบ้านเรือนตลอดพระราชฐาน วัดวาอารามที่สวยๆ งามๆ ให้เหลือแต่ซากปลักหักพัง พินาศสันตะโร แต่กรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดี ก็มีพระยาตากมากู้เอาไว้ ท่านองค์นี้มีสายตาไกล ท่านไม่ยอมเอาเมืองหลวงเก่าเป็นราชธานี ท่านกลัวว่ามวลหมู่ ผีร้ายๆ จะก่อกวน จึงชักชวนพวกอพยพ ไปตั้งราชธานีที่เมืองบางกอก

    แต่พวกพม่านั้น มันก็ได้รับผลกรรม ตอบแทนอย่างคุ้มค่า เรียกว่ากรรมตามทัน ทำให้มันต้องรบราฆ่าฟันกัน เพื่อแย่งชิงอำนาจกัน ไม่มีเวลาสิ้นสุด แต่การรบราฆ่าฟันกันนั้น จะติ หรือใส่ร้าย แต่พวกพม่าก็ไม่ได้ ส่วนมากก็คนไทยนั่นแหละ เป็นไส้ศึกเป็นตัวการ ช่วยเผาผลาญ บ้านเมืองตัวเองให้พินาศ เพราะจิตใจคิดอาฆาต ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วแบ่งพรรคแบ่งพวก จนเจ้าเหนือหัวคือ พระมหินทราธิราช พระราชบิดาของฉัน มาเป็นมหาอุปราช


    ผลสุดท้าย ของพระราชบิดาของฉัน ก็ได้ครองราชแทน เพราะพระเจ้ามหินทราธิราช ได้มาสิ้นพระชนม์ชีพที่เมืองอังวะ ก็พระคุณท่านนั่นเองแหละ ได้รวบรวมหมู่เชลยไทย ช่วยกันถวายพระเพลิงศพท่าน แล้วเอาพระอัฐิท่านมาไว้ที่โน้น อันการเกิดกุลียุค เผาผลาญบ้านเมืองในคราวนั้น ผู้ลงมือเอง ส่วนมากคือคนไทยเอง ที่เขาเคืองแค้น ไม่ได้รับความเป็นธรรม จากผู้เป็นใหญ่ผู้มีอำนาจ ที่หลงอำนาจ บ้ายศ หลงตัว ถือตัว มหาภัยยุคเข็ญ มันก็ต้องเกิด ดังนี้ จะหาโทษพม่าเป็นคนทำลาย ไม่ถูกหรอก ท่านจงให้ความเป็นธรรมกับเขาบ้าง ก็คนไทยนั่นแหละ เป็นตัวการเผาผลาญบ้านเมืองตัวเอง เขาเผาเพราะความแค้น

    ส่วนพญาละแวก คือพวกขอม ขะแม มันก็ตัวศัตรูคู่แค้น คู่อริกับคนไทยมาตลอด จิตใจมันมืดบอด ไม่เห็นบาปกรรม ที่มันทำลายล้างผลาญ สังหารคนไทย นับครั้งไม่ถ้วน การที่มันกระทำนั้นเอง จึงเป็นมรดกตกทอด มาถึงลูกหลานของมัน และมันก็เข่นฆ่าทารุณกันเอง เพื่อแย่งชิงอำนาจ ก่อความวินาศฉิบหาย จนสูญสิ้นชาติขอม มาเป็นขะแม สิ้นขะแมมาเป็นเขมร เขมรก็รบกัน เหลือแต่หัวกะโหลกกองไว้ ให้ชาวโลกได้เย้ยหยัน นี่แหละคือผลของความบ้าอำนาจ บ้ายศ จำไว้เน้อ ผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าบ้านัก และอย่าลืมตัว

    ส่วนเมืองสยามไทย ไทยเราก็จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ให้คนไทยทั้งชาติ ตกอยู่ในยุคทั้งสิบ แบ่งเป็นยุคละยี่สิบปี คือยุคพระกาฬ พานยักษ์ รักบัณฑิต สถิตธรรม จำแขนขาด ราชโจน นนทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นตาขาว ยุคชาววิไล ขอให้ท่านดูไปก็แล้วกัน

    แต่ดีอย่างหนึ่ง ที่คนไทยไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร ชอบจะเป็นมิตรกับคนทุกชาติ แต่เสียอย่างเดียว ที่คนไทยมีนิสัย ไม่ผิดกับหมาไทย คือถ้ามีใครมารังแก มันจะไม่ยอมแพ้ มันจะแห่กันเล่นงานทันที แต่ยามไม่มีใครมาเข่นฆ่าราวี มันก็ตีกันเอง คือพวกบ้าอำนาจ บ้ายศ บ้าจี้ มันนึกว่ามันดีกว่าทุกคน เมื่อถึงยุคราชโจน อาจจะมีนักปกครองปัญญาอ่อน แต่บ้าอำนาจ จะเอาบ้านเอาเมืองไปขายกิน ก็อาจจะเกิดมีได้ดูไปเถอะ แต่กรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่สิ้นคนดี คนไทยเขาคงไม่ยอมแน่ เพราะเขามีพระดี หลวงพ่อดี หลวงพ่อองค์นั้นก็คือท่าน ผู้ประทับอยู่บนหัวใจ ของคนไทยทั้งชาติ คงจะเป็นพระยาธรรมมิกราช คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง


    แต่อยากถามว่า พระคุณเจ้าจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ฉันจะตามไปด้วย ไปช่วยสร้างบารมี มุณีทั้งหลาย ท่านจึงหาทางออกจากวัฏสงสาร ด้วยการทำความดีแก่ตน และสั่งสมให้มากที่สุด ที่จะมากได้ แล้วท่านจึงตรัสถามข้าพเจ้าว่า เมื่อพระคุณเจ้าถูกจับกุม ในข้อหาที่หนักๆ ทางการเมืองมาตั้งหลายครั้ง หลายคราวนั้น ท่านมีทุกข์ใจมากไหม เพราะเท่าที่ฉันรู้มาว่า ท่านโดนเขาเล่นงานมาถึงสี่ครั้งแล้ว ก็ตอบท่านว่า ทุกครั้งที่อาตมาเจอกับความทุกข์ เราจะไม่ยอมแพ้มัน คือเรารู้จักวิธีฝึก ให้จิตอยู่เหนือความทุกข์ ไม่ให้ความทุกข์อยู่เหนือจิต สร้างความรู้สึกนึกคิด ประดิษฐ์สิ่งที่ร้าย ให้เป็นสิ่งที่ดีเอาไว้ (เราเอ๋ยเรา) อดรนทนไว้เถิด นานๆ ไปมันจะชินไปเอง

    ผู้มีความฉลาด มีปัญญา ย่อมไม่สร้าง ทุกขเวทนาให้แก่ใจ ในสิ่งที่สุดทางแก้ ฉันก็ดี โยมก็ดี ก็มีทุกข์ไม่แพ้กัน แต่ตัวฉันนี้เอง เป็นคนที่มีความขยันที่สุด ที่ฉันจะล่วงรู้อะไรได้ ก็เพราะได้มาเจอท่าน ท่านหญิงเป็นมัคคุเทศก์ อย่างวิเศษในดวงใจ และดวงตาของฉัน ที่ได้นำพาให้ฉัน กลับไปรู้ไปเห็นว่า ฉันเคยเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ทำอะไร ที่บอกท่านว่า เป็นคนขยันนั้นคือ ขยันเกิด แล้วก็ขยันตาย ท่านหญิงยังสบาย เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมาน อันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่ สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวี จากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว

    แต่ชาติก่อนๆ สมัยท่าน ฉันก็ถูกจับมาเป็นเชลย เป็นขี้ข้าเขา ต่อมาอีกชาติ เป็นนายทวาร เป็นขุนคลัง เขาสั่งประหารหนีตาย ขนเอาสมบัติไปฝังดินไว้ เข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์ กู้เมืองช่วยพระยาตาก แล้วติดตามฝรั่ง ไปตายที่กรุงโรม และก่อนตาย ก็ไปสร้างกรรม หาความร่ำรวย สร้างความมั่งมี เอาไว้ที่เมืองฝรั่ง แล้วมาเกิดเมืองไทย กลับไปเอาในสมบัติเก่า เข้าบวชในศาสนาคริสต์ เป็นถึงบัณฑิตครูสอน แล้วย้อนกลับมาบวช ในศาสนาพุทธที่เมืองไทย อะไรกันนี่สนุกเหลือเกิน เราจะมาเพลิดเพลิน ในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลส ตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำ นำพาให้เรา ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เทียวไล้เทียวขื่อ พอมาถึงตอนนี้ ท่านหญิงก็หัวเราะ เพราะท่านเองก็รู้ ตระหนักดีว่า เราเป็นคนขยัน คือขยันเกิด แล้วก็ขยันตาย



    คัดบางส่วนนี้มาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา"
    เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2009
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา




    [​IMG]



    แต่ในโลกทิพย์ เขาอยู่กันเพียงสองวัน เพราะมันมีความสุข วันคืนก็เลยยาว จึงได้ความว่า เวลาเร็ว คือเวลาที่ต้องการ แต่เวลานาน คือเวลาที่รอคอยคือโลกมนุษย์นี้ร้อยปี มีเวลาเท่ากับ หนึ่งวันของโลกทิพย์ มันห่างกันเหลือเกิน เราได้สัมผัสทางฝัน คุยกับท่านหญิงจนเพลิน

    ท่านก็บอกว่า พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ให้ท่านนำเอารูปลักษณ์ ที่ประจักษ์อยู่ใน มโนทวารของท่าน ให้ปรากฏแก่สายตา ของผู้คนที่เขาคิดถึงฉัน ให้ฉันได้ไปช่วยเขาด้วย

    และก็รับปากท่าน เพราะท่านเชื่อแน่ว่า เราทำได้ จึงมาคิดดูว่าจะเอาอย่างไรดี กับเรื่องที่ได้ให้สัญญาท่านไว้ หากเราจะเขียนสเก็ต ให้เป็นรูปร่างขึ้นมาจากกิ๊ฟ (Give) ให้ใกล้กับความจริง เราทำได้ เพราะเราเป็นช่างเขียน เรียนมาจากเมืองฝรั่ง ฝั่งแม่น้ำแชร์ ที่กรุงปารีส แต่นั่นมันเกิดขึ้นจากฝีมือเรา มิใช่เงา หรือภาพจริงของท่าน ที่มาปรากฏให้เห็นอย่างจริงจัง ฝรั่งเขาถือมาก ถือว่ารูปใด ที่เรารับจ้างเขียนให้ เขาไม่ได้มานั่งให้ดู ในเวลาเขียน เขาจะไม่เอา เพราะเป็นรูปที่ไม่มีเงาของเขา เข้าไปติดอยู่ในมโนภาพ แล้วภาพนั้น จะไม่มีชีวิตชีวา ถือว่าไม่ขลัง ดังนั้น อันการสร้างรูปท่านขึ้นมา จะด้วยวิธีการอย่างใด ก็ต้องให้ได้สัมผัสทางจิตวิญญาณให้ได้


    อันการสัมผัสได้ ด้วยทางจิตวิญญาณนั้น แบบเรารู้เอง เราเห็นเองเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน คนอื่นๆ เขาไม่ได้สัมผัส เขาไม่ได้เห็น เขาก็ไม่เชื่อ จึงมาใช้ความพินิจพิเคราะห์ดูว่า เราจะทำอย่างไรหนอ เราจะเอาสิ่งที่เห็นด้วยตาใจ ให้มาเห็นด้วยตาจริง เพื่อที่จะได้สิ่งอ้างอิง ให้เป็นรูปธรรม ได้ปรากฏแก่สายตา คนภายนอกได้ จึงมาค้นคิดขึ้นได้ว่า เราต้องใช้วิธีการ ถึงสองระบบ ได้แก่

    ระบบนามธรรม คือทางจิต ไสยศาสตร์ทางจิตวิญญาณ และทางรูปธรรม คือเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้แก่กล้องถ่ายรูป

    จึงหากล้องถ่ายรูปมาสองตัว สองยี่ห้อ คือ กล้องโอลิมปัส Olimpus ของเยอรมัน (ตามที่มีผู้อ่านบางท่าน โต้แย้งมาเรื่องกล้อง Olympus ของเยอรมัน ว่าเขียนผิด ผู้เขียนเองรู้ที่มา ที่ไปของกล้องยี่ห้อนี้ เพราะผู้เขียนเองอยู่เยอรมัน ก่อนคนค้านจะเกิดอีก คือเมื่อ พ.ศ. 2496 ทีแรกเป็นของเยอรมัน แต่ญี่ปุ่นลอกแบบมาทำ เมื่อ พ.ศ. 2479 เพราะกฎหมายลักลอบ ลอกเรียนทางปัญญา ของประชาคมโลก ยังไม่มีในยุคนั้น แต่กล้องที่ถ่ายนั้น เป็นของคนชาติเยอรมัน เขามาอยู่ด้วย เขาเขียนไว้ว่า MADE IN GERMANY เพราะเขาถือว่า ต้นตระกูลเขา ออกแบบมา แล้วก็ขายลิขสิทธิ์ให้ญี่ปุ่น เรื่องก็เท่านั้นเอง


    ข้าพเจ้าจึงเขียนอย่างนั้น ขอบอกตรงๆ ว่า ถ้าไม่อยากอ่าน ก็อย่าอ่านเลยดีกว่า ไม่ต้องเอามาอ่าน ให้รกสมองของตน ด้วยโดยไร้เหตุผล) และกล้องโพโตลอง Potolon ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นกล้องเก่าแก่ที่สุด มาดัดแปลง ติดตั้งอันเด็บเตอร์ พ่วงเข้าใส่นาฬิกา ตั้งเวลาให้เป็นออโตเมติก ให้ถ่ายได้เองทุกสิบนาที การดัดแปลงทางอิเล็คทรอนิกส์ อย่างนี้เราถนัดมาก เพราะเราเรียนอิเล็คทรอนิกส์มาแล้ว แล้วจัดหาเครื่องพลีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีเครื่องบูชามีอาหารหวานคาว ผลหมากรากไม้ และเครื่องแต่งตัวของผู้หญิงมี เครื่องขัดแป้งแต่งตัว น้ำอบน้ำหอมผ้าถุงเสื้อนุ่ง เป็นสีทอง ดังที่เรามองเห็น จากมโนภาพทางฝัน เป็นเรื่องทางไสยศาสตร์ เสร็จแล้วก็เตรียมตัว เตรียมใจ ในอันที่จะทำพิธีการ ในสถานที่ที่เราถูกกักบริเวณ ที่เราฝันเห็นนั้นเอง เพราะตอนนั้นเราเข้าๆ ออกๆ ได้แล้ว หมดเรื่องกับผู้ต้องหา


    การถ่ายรูปเอาดวงวิญญาณ อันหลักการอย่างนี้ ท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ฟังแล้วก็คงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว ในหลักของพระพุทธศาสนา ก็มีมาในบาลีว่า

    ยังกัมมังกริสสันติ กัลยานังวา ปาปะกังวา ตัสสะทายาทาภวิสสามิ

    ได้ใจความว่า ไม่ว่ากรรมใดๆ ที่บุคคลกระทำแล้ว กรรมนั่นจะไม่หายไปไหน และจะติดตามให้ผล แก่ผู้กระทำตลอดไป ไม่เร็วก็ช้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า และในทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ก็มีหลักยืนยันว่า E=MC2 สสาร ย่อมไม่หายไปจากโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีขึ้นแล้วในโลก เมื่อถึงคราวแตกดับไป สลายตัวไป ก็จะกลายเป็นสสาร ยืนยงคงอยู่ตลอดไป (เพราะอุณหภูมิ คือความร้อนรักษาไว้ เมื่อเราได้จัดแจง อุปกรณ์ภายนอก ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว หันหน้ากล้องทั้งสอง เข้าหาพานเครื่องเส้นทำใจให้สงบ หันหน้าตัวเอง ไปแนวเดียวกับกล้องถ่ายรูป แล้วสวดคาถาว่า

    เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิ ตานังอาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ เอหิวิญญานะสุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา

    ภาวนาได้เจ็ดครั้ง แล้วก็หยุด เอาสติตามลม เข้าออก เข้าออก เข้ารู้ ออกรู้ จนลมที่ออกๆ เข้าๆ มีความละเอียดลง ละเอียดลง ใช้ความรู้สึกอย่างแรง ในขณะหายใจเข้า ดึงเอาภาพลักษณ์ ของพระสุพรรณกัลยา ให้มาปรากฏ แล้วจิตมันก็ว่าง อันรูปภาพของพระนาง ก็ปรากฏขึ้นใน มโนภาพเห็นชัดเจน อันกล้องถ่ายทั้งสอง มันก็ทำงานตามที่กำหนดไว้ ใช้เวลาอยู่สามชั่วโมงก็หยุด เอาฟิล์มออกมาล้างดู ล้างด้วยมือเอง เพราะเราเคยเป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน ได้รูปออกมาเป็นที่น่าพอใจ ไม่ผิดอะไรกับที่เห็น ในสัมผัสทางฝัน

    แต่รูปอื่นๆ ก็ติดมาบ้าง ที่ไม่รู้จักเราไม่เอามา ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า มีรูปคนอื่น ผีอื่น วิญญาณอื่นบ้างหรือเปล่า ขอตอบว่ามีโลกเมืองผี กับโลกเมืองคน มันก็มีสับสน วุ่นวายพอๆ กัน แบบไทยมุงก็มี ผีมุงก็มาก มันอยากดู อยากเห็นเหมือนกัน เรามีพร้อมแต่ไม่เอาลงมาที่นี่ เราก็เลือกเอาเฉพาะ ที่เราต้องการเท่านั้น


    คัดบางส่วนนี้มาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา"
    เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2009
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา

    [​IMG]
    "พระอนุสาวรีย์ พระสุพรรณกัลยา" ณ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

    (กองทัพภาคที่ 3) อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก



    เมื่อได้ออกมาแล้ว ก็เก็บเอาไว้ดู อยู่มาอีกหลายสิบปี เมื่อจะทำงาน อะไรที่เห็นว่าเป็นงานใหญ่ และเป็นงานท้าทาย เกี่ยวกับสังคม ก็ระลึกนึกถึงท่าน เพราะเราถือว่าท่านเป็นเทพธิดา ผู้ซึ่งเคยปวารณา อาสากับเราไว้ ดังงานค้นหาเสาหลักเมือง จังหวัดพิจิตร เขาคิด เขาค้นกันมานานไม่พบ เขาบอกว่า ถ้าได้เสาหลักเมืองขึ้นมา จากตรงไหน ก็จะขอมอบที่ดินทั้งหมด ให้ทางราชการ เขาควานหากันหลายสมัยผู้ว่า ก็ไม่พบ พอเขามาร้องขอเราไปเดินดู นั่งดู นอนดู สองวันเจอเลย จึงได้ลงมือก่อสร้าง ศาลเสาหลักเมือง และอุทยานเมืองเก่าไว้ ทุกวันนี้ แต่ปี พ.ศ. 2510 มาแล้ว

    และที่เสาหลักเมือง จังหวัดน่าน อีกเช่นกัน ท่านก็ชี้บอกให้ว่าอยู่ตรงไหน เสาจริงที่เป็นไม้ เขาเอาไปฝังไว้ใต้โบสถ์และต่อมาทางราชการ กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายให้โรงเรียน ทุกโรงเรียน ต้องมีเครื่องหมายทางศาสนา ไว้หน้าเสาธง และให้มีทั่วประเทศ ไม่เกินห้าปี ถ้าไม่รีบทำอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม้กางเขนละสิ มันง่ายดี เมื่อในโรงเรียน มีเครื่องหมายของศาสนาอื่น เด็กชาวพุทธ ก็ถูกกลืนหมดแน่นอน ข้าพเจ้าจึงรีบร้อนจัดทำ จัดสร้างพระพุทธวิโมกข์ ขนาดหน้าตัก 19 และ 29 นิ้ว ขึ้นแจกฟรีๆ โดยไม่คิดมูลค่าใดๆ ร่วมแสนกว่าองค์ ใช้ทุนรอนส่วนตัวไป หมดไปหลายล้าน โดยไม่ยอมรับ บริจาคเงินทุน ไม่ยอมบอกบุญ เอาทุนเอารอนจากใครทั้งนั้น เพราะมีพร้อมแล้ว เรื่องนี้งานทั้งหมด ยกให้ท่านพระสุพรรณกัลยา เมื่อเสร็จแล้วก็รู้สึกทึ่งใจ


    เพราะงานคราวนี้ เป็นงานท้าทายกับความสามารถที่สุด ที่มนุษย์ดีๆ เขาทำกันไม่ได้ แต่เราก็ทำได้ ทำให้สังคม สร้างให้พระพุทธศาสนา ใครจะไหว้ จะไม่นับถือ เราก็มีเครื่องคุ้มกัน กันศาสนาอื่น ไม่ให้ยื่นมือเข้ามายุ่งกับนักเรียน เมื่อครบกำหนด จำนวนหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นองค์ ดังที่ได้บอกพระนางท่านไว้ ก็จัดปั้นการหล่อ เราลงมือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 แล้ว แต่ขณะนั้น ยังมีงานเรื่องสร้างเสาศาลหลักเมือง ให้จังหวัดสระแก้ว กับจังหวัดพิษณุโลกอยู่ และตอนหลักเมืองจะเสร็จ ก็ได้ปรารภกับ ท่านสวัสดิ์ ส่งสัมพันธ์ ซึ่งท่านเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก

    ในสมัยนั้น แต่ท่านก็มีอันที่จะต้อง ไปรับราชการเป็นรองปลัดมหาดไทย เสียก่อน ท่านจึงได้เรียนบอกท่าน พลโทถนอม วัชรพุทธ แม่ทัพภาคสาม ท่านแม่ทัพก็รับปากทันที ตกลงกันว่า เราจะอัญเชิญพระรูปของท่าน ให้ไปประดิษฐานไว้ที่ ที่ท่านจะทอดพระเนตรเห็น น้องยาเธอทั้งสองพระองค์ของท่าน ที่ท่านร่ำร้อง ต้องการอยากจะทัศนาทอดสายตา ดูน้องชายทั้งสองของท่าน ตลอดไปอีกนานเท่านาน ซึ่งไม่ไกลจากวังจันทร์เกษม ซึ่งถือเป็นถิ่นกำเนิดของท่าน

    รูปหล่อนี้ เราหล่อด้วยเนื้อทองเหลือง และทองแดง ส่วนมากจะเป็นทองของเก่า ที่ขุดมาได้จากอยุธยาเป็นส่วนมาก แล้วลงรัก ปิดทอง ประดับด้วยอัญมณี ที่เป็นสมบัติของท่านเอง แต่อดีตชาติ แล้วก็ลงมือ หล่อรูปบูชาขึ้นมาอีก และทำรูปเหรียญ ของท่านขึ้นมาอีกด้วย หลายพันเหรียญ เพื่อให้ท่านแม่ทัพ จะได้แจกจ่าย แก่ผู้เคารพนับถือ ในพระนางท่านอีกต่อไป เท่าที่ข้าพเจ้าได้สัมผัส มาด้วยตนเองเป็นเวลา ล่วงมาได้สี่สิบห้าปีแล้ว รู้สึกว่าได้อาศัย บารมีของท่านตลอดมา เฉพาะงานที่เสี่ยงๆ และท้าทาย ท่านทั้งหลาย


    คัดบางส่วนนี้มาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา"
    เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2009
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา

    ท่านทั้งหลายที่ได้อ่านหนังสือนี้เข้า ก็คงจะหาว่า เอาเข้าแล้วหลวงตาโง่น แกจะบ้าหรือไง ไปเลื่อมใสกับผี กับวิญญาณไม่เข้าเรื่อง ขอบอกท่านผู้อ่านอย่างตรงๆ ว่า อันข้าเอง ก็ยังไม่สำเร็จอรหันต์ อรหลอะไรนี้หว่า ในขณะที่เดินไป ตกหลุมเลนโดยไม่รู้ตัว กลัวจะจมลงไปลึกกว่านั้น มีอะไรที่จะค้ำยันไว้ก็ต้องเอา หรือกำลังลอยตุ๊บป่องๆ อยู่ในท้องทะเลอันกว้างไกล จะจมตายแหล่มิตายแหล่ เห็นอะไรลอยมา ถึงจะเป็นซากศพของผีตายโหง แต่พอที่จะเกาะไว้กันตายได้ก็เอาละ ขอให้พ้นจากความตายได้ก็พอ อันเรื่องที่ข้าพเจ้า จะได้ติดต่อสัมผัส กับโลกวิญญาณ โลกลี้ลับที่กล่าวมาแล้ว ก็เป็นเรื่องบังเอิญ ที่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิดฝันมาก่อน

    แต่เรื่องบังเอิญเรื่องนี้ เวลาร่วมห้าสิบปี ก็ยังไม่ลืมเลือน จะลืมได้อย่างไร เพราะถ้าไม่ฝันไปเห็นท่านเข้า เราก็คงติดคุกอ้ายหม่องจนหัวโต ตายในที่ที่เขากักขัง ป่านนี้ก็คงจะเป็นตายโหง อยู่เมืองพะโคไปแล้ว และถ้าไม่ฝันไปเห็นเจอท่าน เราก็คงจะไม่ได้ศึกษา เรื่องโลกวิญญาณ โลกลี้ลับ และก็คงโง่เง่าดักดาน คัดค้านเรื่องโลกลี้ลับ ตลอดมาอย่างเดิม เพราะเคยโง่มาเป็นเวลาครึ่งชีวิต และเมื่อเราจับทาง ที่ท่านนำพาให้รู้แล้ว จิตใจเราก็ผ่องแผ้วสงบเย็น และเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ทางฝัน

    จึงถือว่า พระนางท่านเป็นสหาย เป็นมิตร อยู่ใกล้ชิดตลอดมา และเป็นผู้ให้ความสดชื่นอุรา ในเวลาหงอยเหงา เป็นผู้ช่วยแบ่งเบา ในคราวเจอกับงานหนักๆ เป็นผู้ให้ความพิทักษ์ ปกป้องในคราวเกิดอันตราย และหลายครั้งที่เจอกับอุบัติเหตุ ทั้งทางอากาศ ทางน้ำ ทางรถยนต์ เราได้รอดพ้นมาได้อย่างอภินิหาร คนอื่นๆ ที่ประสบพร้อมกับเรา เขาเหล่านั้น ก็เรียบร้อยโรงเรียนผีกันหมด เหลือแต่เราคนเดียว ต้องขึ้นศาลเป็นพยานโจทก์ และพยานจำเลย มาหลายครั้ง ครั้งที่ห้า และครั้งที่หก ที่ศาลจังหวัดพิจิตรนี้เองเพราะทางศาล หาใครเป็นพยานบุคคลไม่ได้ มันตายหมด


    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงอดที่จะไม่นำเอาเรื่องราวของพระนางท่านมากล่าวให้ผู้สนใจไม่ได้ได้ใช้ดุลยพินิจคิดว่าคงมีสาระประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่ที่กล่าวมาอย่างยืดยาวนี้ ก็มิใช่จะมีเจตนา ที่จะชักนำให้ท่านได้หลงใหล งมงาย ในเรื่องผี เรื่องวิญญาณอะไรทั้งนั้น เพราะเรื่องอะไรทุกอย่างมันอยู่ที่จิตใจของเรา อันอิทธิฤทธิ์ก็ดีและอภินิหารก็ดี มันไม่อยู่ที่อื่น แต่มันมีรากฐานอยู่ที่ กำลังใจของแต่ละท่าน แต่ละคนเท่านั้น แต่จิตใจมันจะตั้งมั่น ก็ต้องมีเครื่องยึด คนที่ไม่ปฏิเสธ และไม่ยอมเชื่อถืออะไรง่ายๆ คือคนฉลาด เพราะเขาจะต้องหาเหตุผล เท่าที่ได้ค้นคว้าทางโลกวิญญาณมามากต่อมาก คือตลอดเวลาที่เป็นนักบวช ทางศาสนาพุทธร่วมหกสิบปี ได้ใช้สติปัญญา เวลาทั้งหมด ค้นแต่เรื่องของจิตใจ เรื่องของวิญญาณ เพราะคำสั่งสอน ในทางพระพุทธศาสนา ก็กล่าวว่า จิตเตนนิยติโลโก โลกอันจิต ย่อมนำไปทั้งที่เป็นวิญญาณเฝ้า และวิญญาณแฝง

    แต่ก่อนอื่น ที่จะเป็นจิตวิญญาณอื่นๆ ได้ก็ต้องฝึกหัดให้รู้ ให้เห็นจิตวิญญาณของตังเองเสียก่อน อันจิตวิญญาณของเรานี้ มันอยู่กับเรา แต่เรามองไม่เห็นมัน ข้อสำคัญคือ ให้เห็นเราก่อน ตัวจิตตัวเราคือธรรมชาติ ความรู้สึกนึกคิด จิตใจตัวนี้เห็นมันยาก พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นตถาคต อันการค้นคว้า หาจิตวิญญาณนั้น มันอยู่เลยความตายไปอีก เราจะให้พบ จิตวิญญาณของเราได้ ก็ต้องกำหนดจิตกับกาย ให้อยู่คนละส่วน ฝึกจิตใจ ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ในตัวกูของกู จิตอยู่ในที่ว่าง วางแล้วมันจะสงบ มันจะหลบเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง ซึ่งเป็นภะวัง ภะวังคือภพของจิต ร่างของจิต ติดอยู่กับอุปทยรูป คือรูปแฝง มันจะเป็นรูปร่างที่เบา ไม่มีใครเห็นได้ นอกจากตัวเอง เรื่องนี้ ขอยกไปอธิบาย รายละเอียดไว้ตอนต่อไป


    แต่เรื่องราวของพระสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมานี้ เป็นเรื่องที่ท่านได้มีบุญ มีพระคุณ แก่ข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น เมื่อกล่าวถึงส่วนรวมแล้ว พระนางท่านมีพระคุณอย่างเหลือหลาย เหลือที่จะบรรยายเป็นภาษามนุษย์ ทรงมีปิยคุณท่วมท้น ล้นฟ้าชลาธาร ท่วมวิญญาณทวยราชทั้งชาติไทย เมื่อกล่าวถึง เชื้อพระวงศ์แล้ว พระนางท่านก็อยู่ในระดับ เจ้าฟ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ คือเป็นพระธิดา ของพระมหาธรรมราชา

    ซึ่งต้นตระกูลของท่าน ก็ได้จัดสร้างพระพุทธชินราช ซึ่งงามที่สุดในโลก ไว้ให้ชาวพุทธได้บูชา แต่ต่อมาก็เป็นกษัตริย์องค์สุดท้าย ของวงค์สุโขทัย ที่ได้ไปครองกรุงศรีอยุธยา ซึ่งนับว่า เป็นพระราชธิดา ของต้นตระกูลไทยพระองค์หนึ่ง ตอนที่ยังทรงพระเยาว์วัย ก็ได้สถิตอยู่ในไอศูรย์สมบัติ อันน่ารื่นรมย์ ประทับอยู่ในสถานที่น่าชื่นชม น่าทัศนา กาลต่อมา บ้านเมืองพังพินาศ พระนางท่านต้องนิราศรอนแรมไกล ไปเป็นเชลย ได้ใช้ชีวิตแบบทาส อยู่ใต้เบื้องบาทผู้เป็นนาย แล้วเลี้ยงดูน้องชายทั้งสอง ได้ประคับประคองจนเติบใหญ่ ขึ้นเป็นจอมไทยมหาราช คือพระนเรศวร กับพระเอกาทศรถ มีพระนามปรากฏขจรไกล แก่ชาวไทยทั้งประเทศ



    [​IMG]



    ผู้เป็นเหตุในพระคุณนี้คือพระนาง ท่านทำคุณประโยชน์ ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติคือต้องยอมเสียสละความสุข ตลอดพระชนม์ชีพส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมือง สยามไทยทั้งประเทศ ซึ่งก็ไม่มีวีรสตรี หรือวีรบุรุษท่านใด ในอดีตถึงปัจจุบัน ที่จะได้เสียสละอย่างนั้น ซึ่งก็มีวีรสตรีบางท่าน ที่ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลัง ได้ก่อสร้างรูปเป็นอนุสาวรีย์ไว้ แต่ท่านเหล่านั้น ก็ยอมเสียสละให้ เฉพาะบ้านนั้น เมืองนั้นเท่านั้น นับว่าเป็นวงแคบ

    ส่วนพระนางสุพรรณกัลยานี้ ท่านยอมเสียสละ พระชนม์ชีพตลอดทั้งความสุข เพื่อคนไทยทั้งชาติ และเพื่อแผ่นดินสยามไทย อันกว้างไกลทั้งประเทศ ที่เราๆ ท่านๆ ได้มีผืนแผ่นดิน ที่อุดมสมบูรณ์ อันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งได้รับความสุข ความสำราญกันทั่วหน้านี้ มิใช่เราได้มาจากพระเมตตา และการเสียสละ ของท่านนะหรือ แล้วสมควรไหม ที่ชาวไทยจะลืมท่านลง ลืมกันหมดแล้วจะบอกให้ แต่ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คงไม่ลืมแน่<!-- / message --><!-- edit note -->

    คัดบางส่วนนี้มาจากหนังสือ .. "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา"
    เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2009
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ฟังเพลงแล้วน้ำตาไหล ฟังวนหลายรอบค่ะ

    ขอเอาบางตอนของหนังสือย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย มาแสดงอีกครั้ง

    เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยาค่ะ
     
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    การนับปีพ.ศ. ตามพงศาวดาร

    อ้างอิงการประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง

    เมื่อปี พ.ศ. 2126 พระเจ้าอังวะเป็นกบฎ เนื่องจากไม่พอใจทางกรุงหงสาวดีอยู่หลายประการ จึงแข็งเมือง พร้อมกับเกลี้ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหลายเมืองให้แข็งเมืองด้วย พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงยกทัพหลวงไปปราบ ในการณ์นี้ได้สั่งให้เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู และเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งทางกรุงศรีอยุธยาด้วย ให้ยกทัพไปช่วย ทางไทย สมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปแทน สมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจากเมืองพิษณุโลก เมื่อวันแรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม พ.ศ. 2126 พระองค์ยกทัพไทยไปช้า ๆ เพื่อให้การปราบปรามเจ้าอังวะเสร็จสิ้นไปก่อน ทำให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงแคลงใจว่า ทางไทยคงจะถูกพระเจ้าอังวะชักชวนให้เข้าด้วย จึงสั่งให้พระมหาอุปราชา คุมทัพรักษากรุงหงสาวดีไว้ ถ้าทัพไทยยกมาถึงก็ให้ต้อนรับ และหาทางกำจัดเสีย และพระองค์ได้สั่งให้พระยามอญสองคน คือ พระยาเกียรติและพระยาราม ซึ่งมีสมัครพรรคพวกอยู่ที่เมืองแครงมาก และทำนองจะเป็นผู้คุ้นเคยกับสมเด็จพระนเรศวรมาแต่ก่อน ลงมาคอยต้อนรับทัพไทยที่เมืองแครง อันเป็นชายแดนติดต่อกับไทย พระมหาอุปราชาได้ตรัสสั่งเป็นความลับว่า เมื่อสมเด็จพระนเรศวรยกกองทัพขึ้นไป ถ้าพระมหาอุปราชายกเข้าตีด้านหน้าเมื่อใด ให้พระยาเกียรติและพระยาราม คุมกำลังเข้าตีกระหนาบทางด้านหลัง ช่วยกันกำจัดสมเด็จพระนเรศวรเสียให้จงได้ พระยาเกียรติกับพระยาราม เมื่อไปถึงเมืองแครงแล้ว ได้ขยายความลับนี้แก่พระมหาเถรคันฉ่อง ผู้เป็นอาจารย์ของตน ทุกคนไม่มีใครเห็นดีด้วยกับแผนการของพระเจ้ากรุงหงสาวดี เพราะมหาเถรคันฉ่องกับสมเด็จพระนเรศวร เคยรู้จักชอบพอกันมาก่อน
    [FONT=MS Sans Serif, AngsanaUPC]กองทัพไทยยกมาถึงเมืองแครง เมื่อวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ. 2127 โดยใช้เวลาเดินทัพเกือบสองเดือน กองทัพไทยตั้งทัพอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองแครงพร้อมทั้งพระยาเกียรติกับพระยารามได้มาเฝ้า ฯ สมเด็จพระนเรศวร จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งคุ้นเคยกันดีมาก่อน พระมหาเถรคันฉ่องมีใจสงสาร จึงกราบทูลถึงเรื่องการคิดร้ายของทางกรุงหงสาวดี แล้วให้พระยาเกียรติกับพระยาราม กราบทูลให้ทราบตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ได้ทราบความโดยตลอดแล้ว ก็ทรงมีพระดำริเห็นว่า การเป็นอริราชศัตรูกับกรุงหงสาวดีนั้น ถึงกาลเวลาที่จะต้องเปิดเผยต่อไปแล้ว จึงได้มีรับสั่งให้เรียกประชุมแม่ทัพนายกอง กรมการเมือง เจ้าเมืองแครงรวมทั้งพระยาเกียรติพระยาราม และทหารมอญมาประชุมพร้อมกัน แล้วนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่อง และพระสงฆ์มาเป็นสักขีพยาน ทรงแจ้งเรื่องให้คนทั้งปวงที่มาชุมนุม ณ ที่นั้นทราบว่า พระเจ้าหงสาวดีคิดประทุษร้ายต่อพระองค์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, AngsanaUPC]"ด้วยพระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีรสธรรม ประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรร่วมสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป"[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, AngsanaUPC]จากนั้นพระองค์ได้ตรัสถามชาวเมืองแครงว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด พวกมอญทั้งปวงต่างเข้ากับฝ่ายไทย สมเด็จพระนเรศวรจึงให้จับเจ้าเมืองกรมการพม่า แล้วเอาเมืองแครงเป็นที่ตั้งประชุมทัพ เมื่อจัดกองทัพเสร็จ ก็ทรงยกทัพจากเมืองแครง ไปยังเมืองหงสาวดี เมื่อวันแรม 3 ค่ำ เดือน 6[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, AngsanaUPC]ฝ่ายพระมหาอุปราชาที่อยู่รักษาเมืองหงสาวดี เมื่อทราบว่าพระยาเกียรติ พระยารามกลับไปเข้ากับสมเด็จพระนเรศวร จึงได้แต่รักษาพระนครมั่นอยู่ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพข้ามแม่น้ำสะโตงไปใกล้ถึงเมืองหงสาวดี ได้ทราบความว่า พระเจ้ากรุงหงสาวดีมัชัยชนะได้เมืองอังวะแล้ว กำลังจะยกทัพกลับคืนพระนคร พระองค์เห็นว่าสถานการณ์ครั้งนี้ไม่สมคะเน เห็นว่าจะตีเอาเมืองหงสาวดีในครั้งนี้ยังไม่ได้ จึงให้กองทัพแยกย้ายกันเที่ยวบอกพวกครัวไทย ที่พม่ากวาดต้อนไปแต่ก่อน ให้อพยพกลับบ้านเมือง ได้ผู้คนมาประมาณหมื่นเศษ ให้ยกล่วงหน้าไปก่อน พระองค์ทรงคุมกองทัพยกตามมาข้างหลัง[/FONT]



    ทางสายธาตุเคยสงสัยเรื่องเวลาปีพ.ศ. อาทิ

    สมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจากเมืองพิษณุโลก เมื่อวันแรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม พ.ศ. 2126

    กองทัพไทยยกมาถึงเมืองแครง เมื่อวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ. 2127 โดยใช้เวลาเดินทัพเกือบสองเดือน

    เคยสงสัยว่ายกทัพไปเดือน 3 ไปถึงเดือน 6 ทำไมจึงข้ามปี พ.ศ. จาก พ.ศ. 2126 ถึง พ.ศ. 2127

    หลายท่านเก่งปฎิทินไทยคงไม่งงเหมือนทางสายธาตุ ข้าพเจ้าจึงเพิ่งเข้าใจช่วงเดือนที่คาบเกี่ยวระหว่างสองปี

    ดังนั้นปี พ.ศ. 2129 ที่สมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพไปตีสมเด็จละแวก จึงมีบางฉบับเขียนว่ายกไปปี 2130

    จึงคิดว่าคงเป็นช่วงปลายปี พ.ศ. 2129 ถึงช่วงต้นปี พ.ศ. 2130 อันนี้คือนับปีตามแบบปีปฎิทินสากล

    ครั้งที่ไปปราบสมเด็จละแวกครั้งใหญ่ ปลายปี พ.ศ. 2136 หลังพระราชพิธีอาสวยุทธ

    และเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคไปถวายผ้าพระกฐิน เดือน 11 ปีพ.ศ. 2136

    หนังสือบางฉบับจึงเขียนว่าไปปราบสมเด็จละแวกและทำปฐมกรรมสมเด็จละแวกในปี พ.ศ. 2137

    ก็หมายถึงคาบเกี่ยวช่วงปลายปี พ.ศ. 2136 กับต้นปี พ.ศ. 2137 ตามแบบปีปฎิทินสากลนั่นเอง

    เรื่องปีพ.ศ. นี้เคยทำให้อ่านพงศาวดารแล้วไม่กระจ่างในการลำดับเหตุการณ์ตามวันเวลาและปี

    แต่เมื่อเข้าใจแล้วก็เข้าใจลำดับเหตุการณ์ได้ดีขึ้นค่ะ จึงอยากจะนำมาแบ่งปันเรื่องที่เคยสงสัยให้อ่านกัน

    แต่บางท่านอาจไม่ติดขัดเรื่องนี้เพราะถนัดการนับปีปฎิทินแบบจันทรคติอยู่แล้ว ก็ถือว่าเล่าสู่กันฟังนะคะ
     
  12. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210
    สวัสดีค่ะ คุณพี่ ศรัทธา_พิสุทธ์ สบายดีหรือเปล่าคะ

    คิดถึงคะ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

    โมเย
     
  13. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210
    ขอเชิญร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    จุดแสงทอง ส่องทั่วหล้า

    เวปสวยมากค่ะ

    ดูแล้วปิติใจ น้ำตาไหล

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
     
  14. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205

    สวัสดีจ้ะน้องโมเย พี่สบายดีตามสภาพ ต้องคอยดูแลเอาใจใส่สุขภาพหน่อย

    ค่ะ ขอบคุณน้องมากค่ะ อากาศทาง ชม.คงจะหนาวมากแล้ว น้องต้องระวัง

    รักษาสุขภาพด้วยเช่นกันนะคะ เห็นน้องว่าอยู่แม่ริมแต่ยังไม่เคยขึ้นไปที่พระ

    พุทธบาทสี่รอย หรือคะ พี่ได้เคยขึ้นไปไหว้ครั้งหนึ่งประมาณสิบปีมาแล้ว สมัย

    ถนนยังไม่ได้เทคอนกรีต ตั้งใจว่าหากได้มาเชียงใหม่จะต้องขึ้นไปไหว้อีกให้

    ได้ ไว้รอขึ้นไปไหว้พร้อมกันไม๊คะน้องโมเย แต่พี่เกรงว่าพอไปเชียงใหม่แล้ว

    จะไม่อยากกลับ น่ะซิคะ ก็เห็นน้องโมเยบอกว่า

    "หากว่าใครได้มายล เหมือนมีมนต์มาดลมัดใจ


    หลงไอ กลิ่นแดนแห่งเวียงวิไล ไม่อยากจากไปไกลฟ้าเวียงพิงค์ "


    ระลึกถึงน้องโมเยเสมอค่ะ
     
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เพลง เทิดไท้ พระสุพรรณกัลยา

    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>

    <!-- google_ad_section_start -->
    [​IMG]

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.774001/[/MUSIC]

    เทิดไท้ พระสุพรรณกัลยา

    เนื้อร้อง/ทำนอง/ ขับร้อง กัญญนัทธ์ ศิริ

    ดนตรี กฤษดา เครือนวล

    ใจโอ้ใจ ต้องจำไกล พรากจากจร

    จากถิ่นฟ้าเคยนอน ต้องจำจร ไกลร้างห่างเมือง

    ไกล ..โอ้ ไกล แผ่นดินถิ่นกำเนิดมา

    ห่วงรักในอนุชา มุ่งสู่หงสา ชีพเป็นเดิมพัน

    ต้องยอมสละสิ้นแล้วทุกสิ่ง ต้องละวางทิ้งสุขนับคณา

    หยดริน ไหลหยาด น้ำตา เพื่อสุขประชาไพร่ฟ้าสราญ

    กู่ร้อง หาใครได้ยิน ดั่งเหมือน ฟ้าฟาดธรณิน
    ชีพดับแดสิ้น โอ้ อนิจจา

    จบสิ้นสุดแล้ว พันธนา ปวงราชประชา ร่ำหาอาวรณ์

    เทิดไท้ น้ำใจแม่เอย เปรียบเหมือนเพชรงาม เรืองวาว

    เด็ดเดี่ยว แกร่ง กร้าว กล้าหาญ หยัดยืน

    ชีพแม่สูญสิ้นผ่านกาล นานคืน ยังไม่สิ้นสูญ แซ่ซ้อง ศรัทธา

    สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา

    ขวัญเอย แม่อยู่แห่งไหน กลับฟ้าเมืองไทย อโยธยา

    เห่กล่อม ขวัญแม่นิทรา แม่สุข เถิดหนา ในนฤพาน

    มา..ฮืม....แม่มา ปวงราช ประชา จักขอ กราบกราน

    สิ้นภพ มิสิ้นตำนาน ก้องกู่ กล่าวขาน ความดีแม่เอย

    สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา


    สวัสดีด้วยคนค่ะ คุณศรัทธา_พิสุทธ์ คุณฟอร์ท คุณโมเย คุณไก่เหลืองหางขาว พี่จงรักภักดี พี่อุกามณี คุณพระราชมนู คุณจมื่นราชฯ .....

    ขอให้ห้วงเวลานี้เป็นเวลาที่เรามาดื่มด่ำในความกล้าหาญ เสียสละ แห่งองค์พระพี่นางสุพรรณกัลยาค่ะ

    คิดว่าทุกท่านที่เข้ามาฟังเพลงนี้คงจะรู้สึกเหมือนๆกันว่า บทเพลงทำให้ซาบซึ้งถึงพระกรุณาของพระองค์ที่มีต่อพระอนุชาและประชาราษฎร์ของพระองค์

     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,902
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 21 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 20 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>ทางสายธาตุ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ ที่มีจิตจงรักภักดีในส่วนลึกของหัวใจทุกๆดวง

    ทางสายธาตุหยุดจิ้มก้องระยะหนึ่ง เพราะ

    ข้อหนึ่ง เนื้อหามีแต่การซื้อๆขายๆ ไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับการเล่าถึงการพระราชสงคราม

    ข้อสอง บันทึกของชาวจีน กล่าวถึงพระเชื้อสายขององค์พระเจ้าตากไว้ ทางสายธาตุไม่แน่ใจว่าบันทึกของชาวจีนนี้ถูกต้องหรือไม่ และกล่าวถึงจะเป็นปมที่คนจะหยิบไปเป็นวิจารณ์ทางการเมืองปัจจุบันที่มีผู้นำพระประวัติของพระองค์ไปเป็นข้อกล่าวอ้าง

    ข้อสาม จิ้มก้องและกำไรเล่มนี้ กล่าวถึงการค้าในสมัยที่ล่วงเลยจากสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไปแล้ว โดยเริ่มต้นที่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเป็นต้นไป ซึ่งมีหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ชื่อความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการระหว่างจีนกับไทย ของ ดร. สืบแสง พรหมบุญ ซึ่งตามหาซื้อไม่ได้แล้ว เพราะพิมพ์แค่หนึ่งพันเล่ม ต้องตามหาอ่านตามห้องสมุดมหาวิทยาลัยเท่านั้น ยังไม่เคยได้อ่านจึงไม่แน่ใจว่าเล่มนี้จะมีเนื้อหาตรงกว่าหรือไม่

    จึงเป็นเหตุให้หยุดจิ้มก้องและกำไร สักระยะ

    คุณโมเยให้คำแนะนำว่า อาจจะเป็นประโยชน์ต่อท่านที่ไม่เคยรู้เรื่องจิ้มก้อง (ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไทยผ่านระบบเครื่องราชบรรณาการ) ได้อ่านเป็นความรู้ อันนี้ก็รับมาพิจารณาไว้ค่ะ

    ขอคิดอีกนิด ห่วงที่สุดก็เรื่องพระชาติกำเนิดของสมเด็จพระเจ้าตากสินที่ทางจีนบันทึกไว้ จะพบว่าพระองค์ท่านเป็นคนจีนทั้งทางสายพระบิดาและพระมารดา อีกทั้งพระมเหสีก็ทรงเป็นคนจีนด้วยค่ะ ละเอียดอ่อนมากค่ะประเด็นนี้ ห่วงตรงนี้ที่สุด
     
  17. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210

    ขอบพระคุณมากค่ะคุณพี่ ศรัทธา_พิสุทธ์


    เอาไว้มีโอกาสคงจะได้ไปกราบนสัมการ รอยพระพุทธบาท

    พร้อมคุณพี่ ศรัทธา_พิสุทธ์ ขอเชิญคุณพี่ทางสายธาตุด้วยนะคะ
     
  18. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Fort_GORDON [​IMG]

    ............................
    แต่การเข้าได้มาคุยกันในกระทู้มันก็ได้ความรู้สึกไปอีกแบบนะครับ คล้ายๆการพูดคนเดียว กลับมาพูดคุยเกี่ยวกับเพลงของพี่โมเยต่อนะครับ เพื่อคนที่ยังไม่มีโอกาสได้ฟังจะได้รับรู้รับทราบกันบ้าง ฟอร์ทเคยพูดถึงเพลงพระสุพรรณกัลยา ไว้บางตอน ลองติดตามกันนะครับ " ...ต้องจำพรากไกลจากจร จากถิ่นฟ้าเคยนอน ต้องจำจรไกลร้างห่างเมือง "ไกล..โอ้ไกล แผ่นดินถิ่นกำเนิดมา ห่วงรักในอนุชา มุ่งสู่หงสา ชีพเป็นเดิมพัน ..."

    ท่านที่พอทราบเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ก็คงจะเข้าถึงความรู้สึกของพระองค์ท่าน โดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมใดๆ เพราะผู้ประพันธ์เพลงได้กล่าวบรรยายไว้ได้ครบถ้วนชัดเจน หากได้ฟังเสียงหวานปนเศร้าของท่านผู้ร้องคือพี่โมเย ด้วยแล้ว แทบไม่ต้องบรรยายใดๆกันเลยทีเดียว พูดได้คำเดียวว่าน้ำตาซึม แค่คำว่า "ห่วงรักในอนุชา " ซึ่งหมายถึงสมเด็จพระนเรศวร ที่ต้องไปเป็นตัวประกันที่หงสา คงจำกันได้นะครับ

    ยังมีอีกครับ ไหนๆได้พูดคุยกันแล้วก็ขอต่อให้จบ ...."ยอมสละสิ้นแล้วทุกสิ่ง ต้องละวางทิ้งสุขนับคณา หยดริน ไหลร่วง น้ำตาเพื่อสุขประชาไพร่ฟ้าสราญ "

    .............................

    -ฟอร์ทขออนุญาตนำของเก่ามาเล่าใหม่อีกครั้งครับ ยังเป็นความรู้สึกที่ไม่เปลี่ยนแปลง ขอรับ


    *** ชอบที่น้องฟอร์ทเขียนมาก อนุโมทนาค่ะ
     
  19. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    ฟอร์ทมาขอร่วมรำลึกถึงสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยาด้วยขอรับ

    ขอบคุณพี่ ศรัทธา_พิสุทธิ์ ครับ
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    "สวัสดีด้วยคนค่ะ คุณศรัทธา_พิสุทธ์ คุณฟอร์ท คุณโมเย คุณไก่เหลืองหางขาว พี่จงรักภักดี พี่อุกามณี คุณพระราชมนู คุณจมื่นราชฯ .....

    ขอให้ห้วงเวลานี้เป็นเวลาที่เรามาดื่มด่ำในความกล้าหาญ เสียสละ แห่งองค์พระพี่นางสุพรรณกัลยาค่ะ

    คิดว่าทุกท่านที่เข้ามาฟังเพลงนี้คงจะรู้สึกเหมือนๆกันว่า บทเพลงทำให้ซาบซึ้งถึงพระกรุณาของพระองค์ที่มีต่อพระอนุชาและประชาราษฎร์ของพระองค์ "


    ขออนุโมทนา ครับ คุณทางสายธาตุ ความกล้าหาญ เสียสละของพระพี่นางฯ

    จะเป็นแบบอย่างที่ดีของพวกเราชาวไทยสืบต่อไปตราบนานเท่านาน






    <!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...