เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,347
    แก้โรคยาสั่ง


    นี่โรคใหม่ประเภทนี้ ถ้าคนโบราณเขามีทางแก้ แต่ทางแก้มันก็คล้ายคลึงกับแก้อะไรล่ะ โรคยาสั่ง
    สำหรับสมัยก่อนพระธุดงค์เขาแก้โรคยาสั่ง คือ 1. มีต้นรากไม้ชนิดหนึ่ง เขาเรียก "ต้นรางจืด" ต้นไม้รางจืด นี่ถ้ากินอะไรผิดที่เป็นโทษเข้าไป ถ้าฝนกินนะหายหมดนะ

    ประการที่ 2 สำหรับยาสั่งโดยเฉพาะ กันด้วยแก้ด้วย ให้ใช้ "กระดูกห่านขาว" ลงด้วย "นะโมพุทธายะ"
    ถ้ารู้ว่ามียาพิษก็กินให้หมดเลย อย่าไปฆ่าห่านนะบาป ใครฆ่าห่านตายแล้วเอากระดูก ต้องตายตามห่านเลย เยอะไป เจ๊กเขาทำตรุษจีนห่านขาวทั้งนั้น ใช่ไหม

    ทีนี้สำหรับโรคนี้มีท่านผู้ใหญ่ท่านมาบอก ที่ว่าบอกนี่ท่านมาบอกมาแล้ว อาตมาบอกไปก็อย่าเพิ่งเชื่อสนิท และก็อย่าเพิ่งไม่เชื่อ ลองใช้ก่อนนะ แต่บอกว่า ไอ้โรคที่เขาลือกัน ถ้ามันมีจริงให้เอา "ใบทับทิม" มาเสกด้วย "นะโมพุทธายะ" ให้มันหาย

    ถ้าหากว่าถ้าป้องกันไม่ให้เกิดในบ้านของตัว ก็เอาใบทับทิมนี่มาเสกด้วย "นะโมพุทธายะ" สักใบ 2 ใบ ใส่ไปในอาหาร คือใส่ไปในข้าวหรือว่าแกงนี่เวลาที่จะต้มจะแกงเท่านี้กินได้ ท่านว่าอย่างนั้นนะ อันนี้ฟังแล้วก็อย่าเพิ่งเชื่อสนิท แล้วก็อย่าเพิ่งไม่เชื่อ ลองทำดูก่อน ใช่ไหม

    นี่มีท่านผู้ใหญ่มาบอกไอ้นี่ก็แก้ได้ ว่า "นะโมพุทธายะ" นี่เขาแก้ของผิดสำแดง แก้ของสิ่งที่มีโทษ แก้หลายอย่าง แม้แต่คนป่วยที่มีทุกขเวทนาหนัก เขาเป่าด้วย "นะโมพุทธายะ" ยังหายป่วย ไอ้ร่างกายที่ปวดแน่น อะไรอย่างนี้นะ ใกล้จะตาย นี่มันปวดหนัก ใช้ "นะโมพุทธายะ" คาถา "นะโมพุทธายะ" นี่เป่าหาย หายป่วยนะ

    อ้อ หายปวด ไม่ใช่หายป่วย ก็ทุกขเวทนาดับลงไปได้ แต่ว่าหายโรคไม่ได้ ใช่ไหม
    นี่บ้านใครมี ต้นทับทิม ก็ระวังใบจะหายก็ลองดูก่อนนะ เพราะว่าตอนจะมานี่เห็นท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านมาบอกว่า ไอ้โรคที่เขาลือกัน และมันเป็นจริง มันเป็นเข้าไปถึง มโนรมย์ และก็ ชัยนาท แล้วนะ โรงพยาบาลมโนรมย์ ก็มี ที่ใกล้ๆวัดและโรงพยาบาลชัยนาทก็มี นี่จะหาว่าเขาลือไม่จริงก็ไม่ได้ นี่ถ้าหากว่ามันเป็นแบบนี้ ท่านผู้ใหญ่ท่านบอกมาก็ลองใช้ดู ลองๆดูนะ

    บอกว่าถ้าจะกันไม่ให้เป็นล่ะก็ เอา "ใบทับทิม" มาสัก 2 ใบก็ได้ เสกด้วย "นะโมพุทธายะ" ให้ใจสบาย ใส่ไปในหม้อแกงหม้อต้มอะไรนี่ แกงต้มไปด้วยเลย อันนี้กินได้ทั้งบ้าน

    และถ้าเป็นขึ้นมาจริงๆ ท่านบอกให้เสก ใบทับทิม สักใบหรือ 2 ใบ กินครั้งละใบ หรือ 2 ใบก็พอ ท่านว่าอย่างนั้น หายไม่หายไม่รับรองนะ ใช่ไหม อ้าวเสร็จแล้ว ต่อไปญาติโยมตั้งใจอุทิศส่วนกุศล



    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 13 หน้า 215-216)


    ไม่ต้องสวดมนต์เลยได้ไหมครับ

    "ที่หลวงพ่อบอกว่าสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน ยังงั้นก็ไม่ต้องสวดมนต์เลยได้ไหมครับ...?"

    สวดมนต์ก็เป็นสรณะอันหนึ่ง การสวดมนต์นี่จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ เป็นเทวดาชั้นยามา ท่านกล่าวสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน หมายความว่าสวดไม่ต้องมากนัก อิติปิ โส บทเดียวนั่นคุ้มแล้ว

    ห้องต้นสรรเสริฐคุณพระพุทธเจ้า ใช่ไหม ห้องกลางสรรเสริญคุณพระธรรม ห้องท้ายสรรเสริญคุณพระสงฆ์ หมดแค่นี้ ไอ้ว่าบทอื่นว่าไปก็ไปสรรเสริญ 3 อย่างนี่ ฉันเลยไม่เอาเปลือกเอาเนื้ออย่างเดียว ใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้สวดไม่ได้ พอเริ่มจะสวดเปิดเลย พอเริ่มจะสวดปุ๊บไปแล้ว พอเริ่มจะสวดหยุกกึ๊กแล้ว มันชิน

    ถ้าจะสวดให้ได้ทำไง ต้องเริ่มปล่อยให้ใจไปตั้งอยู่สักพักหนึ่งก่อน แล้วถอยหลังมาให้กำลังมันทรงตัวแล้วถอยหลังมานิด ก็ว่า แต่พอว่าไปก็อีกนั่นแหล่ะ ถ้าว่าถึงบทพุทธคุณ พอถึงอิติปิโส ท่านก็มาแล้ว แจ๋ว

    พอถึงสวากขาโต พระธรรม ธัมมานุสสตินี่ นิมิตเป็นดอกมะลิแก้ว เป็นดอกมะลิแก้วใส ไหลจากพระโอษฐ์ หลวงพ่อปานท่านเคยสอนยังงั้น แล้วเป็นยังงั้นจริงๆ พอขึ้นสวากขาโต เป็นดอกมะลิแก้วไหลลงหัว พอขึ้นสุปฏิปันโน พระอริยะมาเต็มพรึ่บ

    ต้องพยายาม ต้องไม่ปล่อยจิตให้มันลึกเกินไป ต้องพยายามดึงไว้แค่อุปจารสมาธิ พอจบเข้าไปเลย ออก พอสวดจบก็พึ้บออกไปแล้ว ไปหาท่าน นั่งคุยตามสบายๆ

    แต่ว่าวิธีการแบบประเภทฉับพลันรีบร้อนนี่ นึกพั้บให้อารมณ์จับทันทีนี่ ต้องฝึกให้คล่อง อย่าไปห่วงว่าภาวนานานดี จิตเข้าถึงฌานเร็วน่ะดี

    การฝึกเข้าฌานนี่เขาต้องฝึกให้ไม่เสียเวลาแม้แต่ 1 วินาที เริ่มจับพั้บนี่ต้องเริ่มไม่สนใจกับลมหายใจเข้าออกเลย ต้องฝึกตัวนี้ เริ่มพั้บจับอารมณ์จับภาพพระเลย ไม่สนใจกับลมหายใจเลย อันนี้ทำบ่อย ๆ จับพั้บเป็นฌาน 4 ทันที

    ไอ้ที่เราต้องเลี้ยงลมหายใจเพราะว่าจิตกำลังมันยังอ่อนอยู่ ใช่ไหม ต้องเลี้ยงลมหายใจให้จิตมันทรงตัว อันนี้ก็จำเป็นเหมือนกัน ก็ต้องฝึกอยู่ 2 อย่าง คือจับลมหายใจไว้ให้จิตมันทรงตัว กับ ไม่สนใจกับลมหายใจเลย

    ถ้าพอไม่สนใจกับลมหายใจเลย มันคล่องตัวแล้วไม่ต้องสนใจจับมันเลย มันจับพั้บให้ได้เลย จับพั้บให้ได้เลย พอจับพั้บอารมณ์เป็นฌาน 4 ทันที ก็เป็น 2 แบบ

    คือว่าถ้าอารมณ์ใจยังอ่อนก็ต้องคุมอารมณ์หายใจ แต่ว่าลมหายใจนี่ถ้าเราคุมไปๆ พอถึงฌาน 4 นี่มันจะไม่รู้สึกว่าเราหายใจ นี่การฝึกไม่สนใจกับลมหายใจมันฝึกตั้งฌาน 4 ทันทีนะ จับตัวปลาย เราลองซ้อมดู

    มันไปไม่ไหวก็มาจับลมหายใจ จับไปจับมาพั้บฉันไม่สนใจลมหายใจ จับภาพพระพุทธเจ้า ก็เราเห็นแล้วใช่ไหม จับตรงนี้เราไม่สนใจกับลมหายใจ และประเดี๋ยวมันจะตก ตกลงมาจับลมหายใจก็ช่างมัน จิตก็จับภาพพระพุทธรูปไว้ ภาพพระพุทธเจ้าอย่าให้เคลื่อน พอสบายดีฉันไม่สนใจแกอีก เล่นขึ้นๆล่องๆแบบนี้ ไม่ช้าอารมณ์จิตมันจะชิน

    พอจับพั้บไม่สนใจกับลมหายใจเลย ไอ้นั่นน่ะพอจับพั้บทีไรเป็นฌาน 4 ทุกที ตัวนี้แหละเราต้องการ ถ้าจิตเป็นแบบนั้น กำลังจิตมันก็เข้มข้นมันตัดกิเลสง่าย ฌาน 4 มันตัดกิเลสได้อย่างง่าย

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 149 กรกฏาคม 2536 หน้า 15-16)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2024 at 11:38
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,347
    ตั้งศาลพระภูมิผิดทิศ

    ท่านเจ้าคุณฯ ถามว่า เอ เดือนที่แล้วเล่าเรื่องปั๊มน้ำมันหรือยังนะ คือฉันกลับไปนครสวรรค์ ไปที่ข้างบ้าน คือว่าผ่านไปก็เป็นคนบ้านเดียวกันพวกกัน บอก เอ๊ะ ตั้งปั๊มน้ำมันมันเป็นยังไงวะ ปั๊มน้ำมันใหญ่นะ เห็นมันหมองๆมอมๆอยู่ ทำไมมันเป็นอย่างนั้น

    พอเห็นอย่างนั้นก็ถามเขา บอก เฮ้ย แกตั้งศาลพระภูมิไปทางไหนวะ บอก อย่าตั้งศาลพระภูมิไปทางทิศตะวันตกนะ ฉิบหายตายโหงนะ

    เราก็บอกอย่างนั้น ไอ้คนที่เป็นพวกๆกันก็บอก หลวงพี่ จริงๆเลย มันก็คิด ทิศไหนหนา มันก็นั่งไล่ทิศ โอ้โฮ ทิศตะวันตกจริงๆ พอรู้ว่าทิศตะวันตกจริงๆ มันก็บอก ที่หลวงพี่พูดนี่ตรงเลย
    เมื่อไม่กี่วันสักเดือนที่แล้วนี่ ไอ้เด็กปั๊มทะเลาะกับคนขับรถเป็ปซี่ เมาหรือไงไม่รู้ รถเป็ปซี่ชนปั๊มทะลุเลย พอชนปั๊มทะลุไอ้เด็กปั๊มก็ชักปืนมายิงเป้ง ยิง 2 ทีก็ทะลุผิวเลย เข้าไปในเนื้อ ตาย ฉิบหายตายโหงจริงๆ เลย และอีกไม่กี่วัน พวกในปั๊มขับรถไปชนคนตายอีก

    นี่จำไว้เรื่องตั้งศาลพระภูมิ ถ้าไม่จำเป็นระวัง ตั้งทางทิศตะวันตกน่ะนะ ตำราบอกว่าฉิบหายตายโหงนี่
    เราก็มาวิเคราะห์ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เคยได้ยินพระท่านบอกว่า บุญไม่พอกับเทวดารักษาจุดนี้ บุญไม่พอกัน

    ตั้งศาลนี่ไม่ใช่หันหน้าไปทางทิศทางไหนนะ บางคนบอกตั้งทิศไหนก็ได้แต่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ออกเฉียงเหนือ มันอย่างนั้นเสีย


    วางศาล (ตั้งเสา) อยู่ในทิศตะวันตกนี่ห้าม (ทิศตะวันตก)เป็นศาลของวัด สำหรับวัด


    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 472 เดือนกรกฏาคม 2563 หน้า 10-11)
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,347
    สุกรมัทวะ คือ อะไร


    "พระพุทธเจ้าท่านฉันเนื้อ" ฉันทุกอย่าง "ตามมีตามเกิด" ก็ตามมีตามเกิดซิ

    แล้วอาหารมื้อสุดท้ายชื่อ "สุกรมัทวะ" คือ อะไรกันแน่ เห็นคนยังถกเถียงกันอยู่

    ก็ไอ้คนมันอยากเถียง เขาบอกว่าหมูก็หมูหมดเรื่อง เสือกอวดโง่ไปเอง ก็ดันเถียงกันอยู่นั่นแหละ ถ้าอยากจะรู้จริงๆก็ทำทิพจักขุญาณให้ได้ให้เกิดขึ้น ทำปุพเพนิวาสานุสสติญาณให้เกิดขึ้น ทำอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณให้เกิดขึ้น ก็หมดเรื่อง ไม่ใช่ไปนั่งเถียงกัน เถียงกันไปเมื่อไหร่จะจบ ไอ้คนถ้าไม่เคยมาวัดท่าซุง แล้วก็เถียงกันอยู่ที่บ้าน มันจะรู้หรือว่าวัดท่าซุงมีรูปร่างลักษณะเป็นยังไง ใช่ไหม

    "เขาว่าเป็นเห็ด"

    เปล่า ใครจะเถียงกันก็เถียงกันไป ฉันเนื้อสุกรธรรมดา ไม่ใช่เห็ดเหิดอะไรหรอก

    ฉันเคยอ่านหนังสือแล้ว ไอ้พวกนี้บ้าไม่จบ ของเขามีให้พิสูจน์ในพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อุทุมพริกสูตร"

    ถ้าหากว่า...เอางี้ง่ายๆ เราฝึกทิพจักขุญาณให้เกิดขึ้น มันก็จะได้จุตูปปาตญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ได้ตัวนี้ตัวเดียวมันก็ได้หมด

    เมื่อฝึกตัวนี้ให้เกิดขึ้น เราก็ไปดูที่พระพุทธเจ้าท่านฉันวันนั้นน่ะมันเห็ดหรือว่ามันหมูแท้ ใช่ไหม..นี่ ที่เราไม่รู้ว่าหมูแท้ คุณดันไปแก้กันเอง ดันเถียงกันเองเขาว่าหมูแท้กันมานานแล้ว เพิ่งจะมามีปัจจุบันนี่แหละ เมื่อไม่กี่ปีนี่ ดันเถียงกันได้

    ก็ที่เนื้อสุกรอ่อนที่ไม่เหมาะแก่พระทั้งหลายในกาลนั้น ก็เพราะว่าเทวดาเอาของทิพย์โปรยลงมา ไอ้ของทิพย์นี่ไฟธาตุของพระอื่นย่อยไม่ได้ ย่อยได้แต่พระพุทธเจ้า อาหารสองวาระมันมีค่าเท่ากัน อย่างอาหารวันที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณของนางสุชาดา กับอาหารวันนิพพานที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

    "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ต่อไปภายหลังเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว คนจะจ้วงจาบกล่าววาจาบริภาษนายจุลณฑ์ หาว่าถวายอาหารแก่ตถาคต แล้วตถาคตตาย จงบอกเขา บอกว่าอาหารสองวาระนี่มีอานิสงส์เท่ากัน มีอานิสงส์เลิศคือ

    ประการที่หนึ่ง อาหารก่อนที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ คืออาหารอันนั้นเป็นเหตุให้บรรลุพระโพธิญาณ และ

    ประการที่สองอาหารวันที่จะนิพพาน เป็นอาหารที่มีอานิสงส์เลิศ ประเสริฐที่สุด อานิสงส์มาก"


    แต่ว่าเมื่อท่านบอกว่านายจุลณฑ์เอาอาหารผสมเนื้อสุกรอ่อนมาถวายตถาคตแต่ผู้เดียว ทั้งนี้เพราะว่าอาหารชุดนี้เขาทำดีเป็นพิเศษ แต่เทวดาเอาของทิพย์โปรยลงมาด้วย ถ้าพระอื่นฉันตายหมด เมื่อฉันเสร็จท่านก็สั่งฝัง ห้ามคนอื่นกินต่อไปอีก

    แต่ว่าก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าพระฉันกับข้าวนายจุณฑ์ไปแล้ว ก็เป็นโรคขันธิกาพาธ ถ่ายเป็นเลือดสดๆ ไอ้ร่างกายมันจะพังซะอย่าง ก็หมดเรื่องกันไป


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 159 พฤษภาคม 2537 หน้า 20-21)


    คนถวายบุญสังฆทานถึงนิพพานได้ ผู้รับบุญนั้นถึงนิพพานได้เหมือนกัน


    ผู้ถาม : น้องชายประสบอุบัติเหตุรถชนตายเมื่อวันพุธ ฝากเพื่อนมาถวายสังฆทาน 1 ครั้ง คนนั่งทางในเขาบอกว่า "ดี ได้รับ" เลยมาถวายอีก 3 ครั้ง

    อยากจะทราบว่า 1 ครั้งแรกกับ 3 ครั้งหลังนี่เขาจะได้รับสมบูรณ์แบบหรือเปล่าเจ้าค่ะ?

    หลวงพ่อ : ถ้าเขาถวายครั้งแรกเขาได้รับใช่ไหม ถ้าถวายครั้งหลังก็เพิ่มความดีซิหนักไปอีกตั้ง 2-3 เท่า หนักดี คนนี้ก็เลยต้องลืมนรกไปเลย

    ถ้าเผอิญพี่นิยมนิพพาน พยายามอุทิศส่วนกุศลให้แกเสมอๆนะ ถ้าพี่ไปถึงไหนได้ น้องที่ตายก็ไปถึงที่นั่นได้ เพราะเป็นปัตตานุโมทนามัย

    ถ้าพี่สาวมีกำลังไปนิพพานได้ น้องชายก็มีกำลังไปถึงนิพพานเหมือนกัน นี่หลายคนแล้วนะ ของฉันเจอมาเยอะเลย

    ไอ้ตกน้ำตายบ้าง อะไรอีก อีโล้งโต๊งแล้งอยู่นี่ บางทีมาเดินอีโล๊งโต๊งแล้งอยู่นะ สมัยหนุ่มๆ ถามว่าเป็นอะไรตาย บอกว่าเป็นไอ้นั่นตาย ไอ้นี่ตาย บอกเราก็อุทิศส่วนกุศลให้ เอ๊ะ...ไอ้เราถึงไหนหมอก็ถึงนั่น พอเราไปถึงไอ้จิตใจถึงนิพพานได้ ไอ้หมอนั่นเลยไปนั่งอยู่นิพพานเลยเสร็จ เดี๋ยวนี้มันไปปร๋ออยู่นิพพาน เราแย่ปวดท้องขี้ปวดท้องเยี่ยวอยู่นี่นะ หมอนั่นเลิกแล้ว

    ผู้ถาม : อย่างนี้ก็หมายความว่า จะตายโหงตายอะไรก็ได้

    หลวงพ่อ : เหมือนกัน ถ้าเขาโมทนาได้นะ

    ถ้าหากว่าผู้ให้มีกำลังถึงไหนพยายามให้เขาไปเรื่อยๆนะ ผู้รับจะมีกำลังถึงนั่นเหมือนกัน


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 145 เดือนมีนาคม 2536 หน้า 64-65)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2024 at 12:19
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,347
    อานิสงส์คูณด้วยแสน

    พอเริ่มอุทิศส่วนกุศล ท่านบอกว่ามีบางส่วนที่ยังต้องเกิดอีก อาจจะท่านที่มากันใหม่ บอกท่านอย่าเพิ่งบอกนะ ผมไม่จดนะ มีบางส่วนนะและก็อาจจะเพิ่มมาใหม่ๆ มาใหม่อาจจะอยู่ในเกณฑ์ที่ยังไม่พร้อม ไม่อบายภูมิ แต่ส่วนใหญ่ท่านบอกตกล่ะ ไอ้พวกนี้ตกก็ดี ขี้เกียจนั่นล่ะดี ใช่ไหม ถ้าขี้เกียจตกเสียได้เราสบายใจ เพราะอะไร ก็เพราะว่า ทุกคนที่ทำเนืองๆมันเป็นการทำบุญที่มีความบริสุทธิ์มาก อย่างตอนกลางคืนก็เหมือนกัน ต่างคนต่างมาก็มีศีล

    อย่างกลางคืนนี่มีความหมายเหมือนกัน เพราะว่าก่อนจะทำบุญทุกคนตั้งใจมาด้วยดี มาถึงก็สมาทานศีล นี่เป็นเริ่มต้นแห่งความบริสุทธิ์ ต่อมาก็เจริญสมาธิวิปัสสนาญาณ และก็หลังจากนั้นเราก็ทำบุญ เราให้ทานกัน ทำบุญกันตอนนี้แหละ เพราะว่าการทำบุญระยะนี้กับระยะต้นที่เราไม่มีอะไร ผลมันต่างกันมาก ต้องคูณด้วยแสนนะ ฉันไม่รู้จะเอากี่แสนคูณมันไม่ได้คูณด้วย 1 หรือ 2 ต้องใช้จำนวนแสนๆ คูณให้สมศักดิ์ศรีนะ ให้สมกับเวลาที่ออกจากสมาบัติ

    แต่พระออกจากสมาบัติอย่างเดียวฝ่ายเดียว และก็ญาติโยมไม่ได้ออกจากสมาบัติ ก็พระองค์เดียวกันนั่นแหละ ทำบุญมีผลต่างกันตั้งเยอะ เวลายามปกติ ถึงแม้ท่านจะดีขนาดไหนก็ตามท่านดี
    สมมุติว่าถวายทานกับพระอรหันต์นะ แต่พระอรหันต์ยังไม่ได้ออกจากสมาบัติ อานิสงส์สูงมาก พอท่านออกจากสมาบัติต้องคูณด้วยแสน ของชิ้นเดียวกัน เท่ากัน บาทเดียวน่ะ ราคาไม่เท่ากัน ไอ้บาทต้นน่ะดีหนึ่ง บาทหลังนี่เป็นทองคำประดับเพชร ค่าต่างกันเยอะ ทีนี้ถ้าจะถวายทานกับพระบอกแกนั่งเข้าสมาบัติสัก 2 นาทีก่อนถึงจะให้นะ (หัวเราะ) แต่ก็ไม่แน่

    แต่ท่านที่มีฌานสมาบัติหรือท่านที่เป็นพระอริยะ ส่วนใหญ่ตอนเช้ามืดท่านหวดเต็มที่เลยใช่ไหม ตื่นขึ้นมาแล้วโดยมากเขาจะเข้าสมาบัติกันเต็มอัตรา เพื่อสงเคราะห์ญาติโยมตลอดวัน นี่แสดงว่าไม่ต้อง เพราะเขาเข้าสมาบัติกันแล้วใช่ไหม มันก็คลุมเต็มๆวัน

    อย่างญาติโยมทำกันเมื่อกี้นี้ พระออกจากสมาบัติ ออกหรือไม่ออกไม่สำคัญแต่เมื่อกี้นี้ถวายสังฆทาน สังฆทานนี่ถ้าพระไม่ดีก็รับได้ ถ้ารับแล้วโยมไปสวรรค์ พระดันไปนรก สังฆทานนี่ใช้ดีๆ เขาไม่ลงนรกหรอก ใช้ผิดระเบียบก็ลงนรก สังฆทาน นี่อาตมารับแต่ผู้เดียว เขาถือว่าเป็นผู้แทนสงฆ์ ไม่มีสิทธิ์ใช้ของพวกนี้แต่ผู้เดียว ถ้าไปกันไว้ส่วนใดส่วนหนึ่งใช้แต่ผู้เดียว พระยายมท่านบอกว่าอเวจีว่าง ท่านเปิดห้องไว้เลย เรียบร้อยจัดให้เสร็จ และไม่ต้องสอบสวน เวลาตายปั๊บนำลงดิ่งสบายเรียบร้อยดีมาก นี่พระอยู่ในเกณฑ์ลำบากไม่สบายนะ

    และเมื่อกี้นี้ญาติโยมออกจากสมาบัติด้วย สมาธิของญาติโยมจะดีหรือไม่ดีขนาดไหนก็ตาม คำว่า "สมาธิ" นี่ต้องถือว่าดี บางคนนั่งไปใจวอกแว่กๆ ใช่ไหม บางทีก็นั่งหลับ แทนที่จะนึกถึงคู่รัก ดันไปนึกถึงเจ้าหนี้เข้าให้ (หัวเราะ) นึกถึงคู่รักจิตใจมันชุ่มชื่นนะ นึกไปนึกมาไปชนเอาเจ้าหนี้ถอยหลังกรูดเลย
    คือว่าอารมณ์ไม่แน่นอน บางทีจิตใจก็ภาวนาไปบ้าง พิจารณาไปบ้าง จิตเผลอ คิดเรื่องอื่นบ้าง แต่ก็อย่าลืมนะ ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "ดูก่อน สารีบุตร บุคคลใดทำจิตว่างจากกิเลส วันหนึ่งชั่วขณะจิตเดียว เรากล่าวว่าบุคคลผู้นั้นเป็นผู้มีจิตไม่ว่างจากฌาน"

    เห็นไหม วันหนึ่ง 24 ชั่วโมง แต่ว่าจิตมันสะอาดจริงๆ ไม่น้อมถึงกิเลสเป็นปกติชั่วขณะจิตเดียว ขณะจิตเดียวนี่ได้หนึ่งนาทีหรือเปล่า นี่เป็นอันว่าผลของจิตที่ว่างจากกิเลสมีค่าเหมือนเพชรน้ำหนึ่ง ราคาสูงมาก
    พอจิตว่างจากกิเลสจริงๆ นานสัก 2 นาที ถ้า 10 วันมัน 20 นาทีนะ 100 วัน 200 นาที แล้วความดีประเภทนี้มันไม่ได้สลายตัว มันสะสม

    ที่พระพุทธเจ้าบอกการบำเพ็ญบารมีมาจนกว่าจะเต็ม คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะการบำเพ็ญบารมี 4 อสงไขยกับแสนกัป ถ้าศรัทธาธิกะต้องบำเพ็ญ 8 อสงไขยกับแสนกัป วิริยาธิกะต้องบำเพ็ญบารมี 16 อสงไขยกับแสนกัป

    เราจะเห็นว่าการทำบุญทุกครั้ง บุญนี่ไม่ได้สลายตัวไป มันสะสมตัวจนกว่าจะเต็ม ถูกไหม คิดว่าไม่ถูกจะค้าน ค้านก็อธิบายไปเลย ถูกเหรอๆ (หัวเราะ) นี่ต้องปัญญาครูนะ อย่างนี้เรียกว่าเป็นการยอมรับนะ (หัวเราะ) กลัวเหรอ ไปกลัวอะไรไม่มีกรรมการ เออ..ดีๆมาก นุ่งขาวห่มขาวนี่ ทีหลังได้บุญตอนหลับ


    (จากจุลสาร "สารธรรม" ฉบับที่ 7 เดือนตุลาคม 2547 หน้า 33-35)


    เรื่อง การจัดบายศรีปากชามในพิธีบวงสรวง

    มีคนสงสัยเสมอ คือเรื่องการจัดบายศรีปากชามในพิธีบวงสรวงควรทำอย่างไร หลวงพ่อตอบว่า
    การจัดบายศรีปากชาม

    1. ถ้าบริษัท ห้างร้าน วัด คนร่ำรวยต้องใช้ตามนี้ หมู 3 หัว ไก่ 1 ตัว บายศรีขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ข้าวปากหม้อ ไข่ลูกยอด แล้วก็กลัวยน้ำว้า มะพร้าวอ่อน ถั่วราชมาส รู้จักไหม
    ถั่วราชมาสก็คือถั่วเขียวคั่ว ถ้าเป็นบ้านก็ควรจะมีปลาแป๊ะซะอีกตัวหนึ่ง เพื่อพระภูมิเจ้าที่

    2. บายศรีปากชามต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งชั้น สำหรับไก่ต้องวางไว้ทิศเหนือนะ ถ้าวางหมูไว้ทิศเหนือมีเรื่องแน่ หมู 3 หัววางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้ อย่าวางผิดทิศนะ ถ้าวางผิดทิศต้องมีเรื่องแน่

    3. ถ้าชาวบ้านธรรมดา ก็ใช้หมูชิ้นหนึ่งไม่ต้องหัวหมู ถ้าฐานะพอสมควรตั้งแต่ จน ถึง ปานกลาง นะ ใช้หมูชิ้นหนึ่ง แต่ชิ้นหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าครึ่งกิโล


    เออนี่ อย่าลืมนะ ต้องมีปลาแป๊ะซะอีกตัวนะ เพื่อพระภูมิเจ้าที่ เพราะพิธีตั้งเป็นเรื่องของท่านท้าวมหาราชท่าน


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 97 มีนาคม 2532 หน้า 19)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2024 at 00:32
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,347
    จะตาย เงินช่วยไม่ได้แต่อานาปาฯช่วยได้


    ท่านเจ้าคุณฯบอกว่า อย่างคนที่ตายที่เครื่องบินตก (ขอสงวนชื่อ) ตายที่สูงซะด้วย ตายบนยอดไม้โน่น มีเงินเป็นหมื่นๆล้านนี่ เรามองดูแล้ว โอ ไม่มีอะไรเลย หมด มีเงินมากๆก็ยังช่วยไม่ได้

    ก็ถือว่าอีตอนเราไม่มีเงิน ตอนนั้นอยากจะมี มันอยาก นึกว่าเงินช่วยได้ทุกอย่าง อันที่จริงช่วยไม่ได้ทุกอย่างหรอก ตอนจะตายนี่นะ เงินกองๆ อยู่ข้างตัว เงินก็ช่วยไม่ได้ หมออยู่ข้างตัวก็ช่วยไม่ได้

    แต่อานาปาฯนี่ช่วยได้ ช่วยบรรเทาทุกขเวทนา คือหลบเลี่ยงได้ ตัวนี้อยากให้ทำกัน ได้ตัวนี้แล้วจะทรงอย่างอื่นได้หมด ง่าย ส่วนมากเราทิ้งอานาปาฯกันเสียเยอะ ไม่ต้องเสียสะตุ้งสตางค์เลย

    ตัวนี้คือบรรเทาทุกขเวทนาได้ จิตมันแยกออกจากกาย หลบแค่นี้นะ จิตมันแยกในสมาธิ มันจะบรรเทาทุกขเวทนาตัวนี้

    พูดถึงสมาธิเฉยๆ สมาธิดีแล้ว ปัญญาไม่ต้องไปนั่นหรอก มันเกิดง่าย ปัญญาของลูกศิษย์หลวงพ่อส่วนมากจะง่าย เพราะท่านสอนวิปัสสนาญาณควบไปเยอะ พอจิตเป็นสมาธิปุ๊บ มันจะเห็นอะไรก็ง่ายไปหมด เพราะท่านแทรกซึมเคล้าไปหมดแล้วนี่

    บางคนเห็นหลวงพ่อสอนมโนมยิทธิ นี่บอก มันฌานโลกีย์นี่ มโนมยิทธิคือฌานโลกีย์จริง แต่ว่าท่านไม่ได้สอนอย่างเดียวนี่ มีวิปัสสนาญาณ ต้องตัดขันธ์ 5 เห็นร่างกายเป็นทุกข์ อะไรอย่างนี้ ใช่ไหม เป็นวิปัสสนาญาณไปแล้วนี่ ผสมผสานกลมกลืนไปหมด

    ยกทรงถามว่า ปกติภาวนาเบื่อนี่ก็สลับกับวิปัสสนาได้ ใช่ไหมครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า ใช่ จิตบางคนมันเบื่อภาวนา บางทีมันไม่เอา ภาวนามันเบื่อ ก็ต้องมาพิจารณา พิจารณาเบื่อ มันฟุ้งน่ะ มันฟุ้งก็ต้องปล่อยมัน ตามมัน ตามดูฟุ้งไปถึงไหน ตามดูมัน บางทีจับอานาปาฯไม่อยู่ อารมณ์ยังคิดนี่ เราก็ต้องรู้จิตเรา มันคิดก็ต้องคิด คิดแล้วดูมันคิดเรื่องอะไรต้องตามดู

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 475 เดือนตุลาคม 2563 หน้า 13)

    เรื่องบวชตลอดชีวิต

    มีคนปรารภเรื่องตั้งใจบวชตลอดชีวิต พระครูปลัดอนันต์ แนะนำว่า

    การบวชตลอดชีวิตมารมันเอาเราเหมือนกัน มารก็คือกิเลสของตัวเราเองนี่แหละ ก็มี
    พวกกันตั้งหลายคน รุ่นนายทหาร รุ่นท่านอาจินต์นี่แหละ บวชหลายองค์ ตอนหลังสึก
    หมด อย่างยกทรงพวกกันน่ะรู้ดี

    "เพื่อนของผมหนักกว่านั่นหน่อย ไปที่โคนโพธิ์ที่อินเดีย อธิษฐานข้าพระพุทธเจ้า
    ขอเป็นพระพุทธเจ้าในเร็วๆนี้เถิด กลับมาอยู่กุฏิไม่ได้เลย ต้องวิ่งแอบไปอยู่วัดโพธิ์ ใครนิมนต์เทศน์ ด่ามันแหลกเลย อยู่ได้แค่ 7 วัน เตสังวูปะสะโม สุโข นี่พุทธภูมิ"

    พุทธภูมิต้องสึก ต้องไปหาสาวกนี่

    "โอ..ใช่ๆ ต้องมีสาวก"

    คือว่าพ่อแม่ต้องการให้ลูกบวช ลูกบวชแล้วสบายใจ คือไม่มีกังวล เพราะอยู่ในขอบวัด หลวงพ่อบอกว่าแม้นว่าพระเป็นคนเลว บวชแล้วก็ยังทำตัวเลวอยู่ พ่อแม่เขาก็ไม่รู้ แต่พ่อแม่รู้ว่าลูกชายบวชในพระพุทธศาสนา มีความชื่นใจ เท่านี้พ่อแม่ตายแล้วไปสวรรค์ อย่างน้อยนะ

    เมื่อเราบวชแล้ว มันไม่มีอะไรหนักหรอก มันรบกับนิวรณ์ เรื่องที่อยู่อาศัย ยศถาบรรดาศักดิ์ เกียรติยศ ชื่อเสียง เสื้อผ้าอาภรณ์ ไมได้คิดจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ความกังวลเรื่องนั้นไม่มี มันกังวลอยู่กับนิวรณ์ ความฟุ้งช่านของจิตเท่านั้นเอง ปัญหาอยู่ตรงนี้เท่านั้นเอง จะตั้งใจแข็งเกินไป ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็เอาเรื่อง

    คือว่า "มัชณิมาปฏิปทา" มันต้องมีผ่อนสั้นผ่อนยาว บางทีอกุศลกรรมมันให้ผลทำให้เร่าร้อนใจ เราก็ต้องรู้เท่าทัน เมื่อมันให้ผลจะเอาบารมีตัวใดมาใช้ อย่างฉันนี่เป็น 10 ปี ฟังเทปไม่ได้ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาก็ยังดี มันไม่เข้าหูเลย คือมันไม่เข้าไปในที่จิตเราเลย พอได้ยินเสียงมันเบื่อขึ้นมาเลย ตัวเองนะ โอ้ย..ทำยังไงโว้ย กลุ้มเหลือเกิน ภาวนามันก็ไม่ภาวนา ไม่มีกำลังใจภาวนา

    "ที่ว่านี่บวชหรือยังนี่"

    ยังบวชอยู่ซิ

    "ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ"

    แต่ไม่คิดสึกเท่านั้นเอง เอาขันติบารมีมาใช้ได้ 1 ตัว ตัวอื่นใช้ไม่ได้แล้ว มันไม่มีกำลัง
    สู้กับมัน นี่ทนๆๆ แต่ไม่ได้ทำความชั่วอะไร พอมันคลายปุ๊บก็ภาวนา พอสู้กับมันได้ ถ้ามันเหนือกว่าเรา เราก็สู้ไม่ไหว เดี๋ยวประสาทเครียดไปใหญ่เลย ฉะนั้นถ้าพระมีปัญหาหนักใจจะต้องคุยกัน อย่าไปเก็บความร้อนไว้ในใจ

    พวกที่เคร่งมีอะไรเก็บไว้เงียบๆ ระเบิดตูม ถอดผ้าเหลืองออกไปเลย อย่างนี้ทุกคน ฉะนั้นเรื่องบวช จะไม่ชวนใครบวชตลอดชีวิต ไอ้ความพอดีของคนไปบอกกันไม่ได้ มัชฌิมาปฏิปทานะ มันกลางของเราซิ ไม่กลางของคนอื่น ถ้าใครจะบวชตลอดชีวิตมันต้องมีลูกยืดหยุ่นเยอะ ยืดหยุ่นกับไอ้กิเลสนี่นะ แรงเกินไปก็ไปแล้วอยู่ไม่ได้ หย่อนเกินไปก็ไม่ไหวอีก ต้องใช้ปัญญาประกอบไปตลอดเลย

    "เพื่อนกันมีอยู่องค์หนึ่ง พอผู้หญิงมาปั๊บแกไม่มองเลย ก้มเลย พูดคำตอบคำ ได้สัก
    20 กว่าวันไปตัดกางเกงเสียแล้ว สึกเลย"

    อันที่จริงถ้าบวชได้อยากให้บวชกัน เพราะว่าความสุขมีมากจริงๆนะ ความสุขจาก
    ความไม่กังวลน่ะ คิดดูก็แล้วกันมีกินไม่มีกินไม่ต้องกังวล การแต่งตัวไม่กังวล ที่อยู่อาศัยไม่กังวล ยศถาบรรดาศักดิ์ไม่กังวล ศักดิ์ศรีไม่กังวล แต่ฆราวาสตรงข้ามกันเลย จะต้องหาให้ได้มากเพื่อตัวเอง แล้วต้องเผื่อพี่น้องเพื่อนพ้องอีก ถ้าแต่งงานมีลูกมีเต้าก็ต้องเผื่อลูกหลานเหลนอีก ต้องเตรียมหมดทุกอย่าง

    ไม่ใช่คิดเฉพาะวันนี้ พรุ่งนี้ทั้งชีวิตต้องคิดล่วงหน้าไว้เลย พระพรุ่งนี้ยังไม่คิดเลย ความกังวลเหล่านี้มันไม่มี มันจึงเบาจิต จิตไม่มีทุกข์เรื่องพวกนี้ คนเราไม่ใช่ทำวันเดียวบรรลุเลยหรอก มันเหมือนเราตัวเท่านี้ กินข้าวมา 20 กระสอบ ไม่ได้กินวันเดียวนี่ กินทีละหน่อยๆ มันถึงตัวเท่านี้ได้

    หลวงพ่อเคยสอนว่า เรารักษาศีลเจริญภาวนานั่งกรรมฐาน บางครั้งมันก็มีความโกรธความโลภความหลงมันก็มีอยู่ แต่ท่านบอกให้ไปวัดกำลังใจก่อนที่เรามาปฏิบัติธรรม เขาด่าเรามาคำหนึ่งเราไปสิบ แถมให้ดอกไปเลยแต่เมื่อเรามาปฏิบัติธรรมแล้ว เขาด่าเรามาคำเราไปคำ แสดงว่าลดไปตั้ง 9 แล้ว บางทีเขาด่าเรามาคำเราไปครึ่ง บางทีเขาด่ามาคำเราอดได้ หลวงพ่อบอกให้ดูความดีตรงนี้ ดูจิตของเราตรงนี้ ความดีมันจะสะสม ให้ดูตัวเองไม่ต้องให้ใครเขามายอเราหรอก

    สมัยก่อนหลวงพ่อบอกให้ดูความผิดของตัวเราเองอยู่เสมอ ก็เหมือนเก็บของ ถ้าไปเก็บแต่ความดีออกความชั่วมันก็พอกพูน ถ้าเก็บความชั่วออก มันก็เหลือแต่ความดี

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 158 เมษายน 2537 หน้า 93-94)



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2024 at 11:37

แชร์หน้านี้

Loading...