ไม่รู้จักกัน

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย อนัตตา, 4 มกราคม 2019.

  1. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    bNGgZADC.jpg
     
  2. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ไปเที่ยวกัน

    วัดชะอำ ตั้งอยู่ที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ชื่อนี้กร่อนมาจากคำว่า "ชะอาน (หนองชะล้างอานม้า)" ตามประวัติเล่าว่า สมเด็จพระนเรศวร ได้ประทับที่ชะอานที่มีหนองน้ำจืด ที่กว้างใหญ่ ให้ไพร่พลแวะพักดื่มน้ำ ชะล้างอานม้า (จากหนังสือวัดชะอำ)

    ภายในวัดมีภูเขาหิน ซึ่งมีถ้ำ ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธไสยาสน์ และพระพุทธรูปปางมารวิชัย และถ้ำทอหูก ซึ่งภายในมีเจดีย์ และพระพุทธรูปเป็นประธาน....

    วัดชะอำคีรี เป็นวัดเก่าแก่คู่ชาวชะอำมาช้านาน ภายในวัดมีถ้ำที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ ให้ได้สักการะบูชา นอกจากนี้ที่วัดชะอำคีรี ยังมีถ้ำลอดรูปใบโพธิ์หนึ่งเดียวในประเทศไทย ให้ได้ชมกันด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ปัญญาอาศัยจิต จิตอาศัยปัญญา

    ปัญญาอาศัยจิต ถ้าจิตไม่มีปัญญาเกิดขึ้นไม่ได้ อาศัยเหตุนี้พระอรหันต์ทุกประเภทล้วนสำเร็จเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ เพราะจิตเป็นเหตุ ปัญญาเป็นผล ที่จิตอาศัยธรรมวินัยอบรมจนเกิดปัญญารู้ตามเห็นตาม จนจิตเป็นปัญญา ปัญญาเป็นจิต จิตอาศัยพระธรรมวินัย ปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อบรมแล้วก็หลุดพ้นได้ ที่เรียกปัญญาวิมุตติ เพราะปัญญาอบรมจิต ข้อนี้เป็นปัญหานอกที่โอปนยิโกน้อมเข้ามาในจิต
     
  4. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เหมือนเรื่องพระสารีบุตรท่านได้ถวายงานพัดพระศาสดาอยู่ พลอยได้ปัญญาความรู้สำเร็จเป็น สาวกบารมีญาณ เพราะได้ฟังเวทนาปฏิคคหสูตรในเรื่องทิฏฐิ ๓ จำพวก แก่ฑีฆะนะขะเวสนะโคตร ณ.ที่ถ้ำสุกรขาตา ภูเขาคิชกูฏ ซึ่งเป็นหลานของท่าน ฟังจบบรรลุอรหัตตผล ฑีฆะนะขะบรรลุโสดาบัน นี่ปัญญาวิมุตติเพราะท่านตั้งใจฟังตามด้วยดี มีสมาธิมั่นคงในการฟัง จึงเกิดปัญญารู้แจ้งในจิต กำหนดจิตตามพระกระแสธรรม จึงเกิดความเห็นได้ตรงถูกต้อง เพราะมีปัญญาพิจารณาธรรม กำหนดจิตตามด้วยดี มีปัญญาผ่องใส มีจิตใจบริสุทธิ์ ควรแก่ธรรมของพระพุทธเจ้า จิตจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยธรรมเพราะความเคารพพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรมกระแสเสียง มีจิตตั้งมั่นอ่อนโยน ควรแก่การงาน จิตอ่อนชนิดนี้คงมีเมตตาภาวนาอยู่เสมอ มีจิตเมตตาอยู่เสมอ จิตคิดใคร่สงเคราะห์ อนุเคราะห์ผู้อื่นอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีทิฏฐิละเอียด มีความเห็นละเอียด จึงมีปัญญาละเอียด จึงเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน แม้สิ่งเล็กน้อยก็พิจารณาถึงเหตุถึงผล จึงเป็นผู้รู้จักคุณรู้จักโทษ มีประโยชน์และไร้ประโยชน์ เมื่อท่านสารีบุตรมีทิฏฐิละเอียด ปัญญาละเอียด เป็นประณีตสุขุมลุ่มลึก ละเอียดอ่อน คัมภีรภาพ มีปกติอยู่ด้วยกาย วาจา และใจอยู่เช่นนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงทราบด้วยญาณอันวิเศษกว่าของพระองค์ จึงทรงแสดงแจงทิฏฐิ ๓ จำพวกให้ฟัง ผลก็ทรงสมปรารถนา ได้พระอัครสาวกผู้มีปรีชาญาณด้านปัญญาเป็นคู่บารมี
     
  5. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ส่วนเจโตวิมุตตินั้น อาศัยปัญญาใน ที่ปรากฏอุบายแยบคายในจิต จิตมีความรู้ ความเห็นเป็นอัศจรรย์ เป็นเองโดยอัตโนมัติ มีความรู้ปรากฏไม่สิ้นสุด จนคร้านที่รับรู้รับทราบ จิตรู้แต่บังคับไม่ให้รู้บ่อยเข้า ถีนะมิทธะก็ครอบงำ จิตก็เข้าฐานที่สงบไม่ยอมรับรู้รับทราบดังแต่ก่อน เงียบหายเป็นประจำ จะบังคับให้รู้ดังแต่ก่อนก็ไม่ได้ ถูกถีนะมิทธะนิวรณ์ครอบงำใจ จิตก็ไม่ผ่องใส ใจก็เลยไม่สงบ พบแต่ความฟุ้งซ่าน อุบายระงับจิต ข่มจิต ดักจิต ยกจิตไม่พอ เพราะความโงกง่วงครอบงำ ดังเช่นพระมหาโมคคัลลานะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบด้วยพระญาณก็ทรงเสด็จมาประทานอุบายระงับการโงกง่วงเสียได้ ใจก็เป็นสุข จิตก็เป็นสมาธิ คอยระงับจิตเมื่อเป็นไปพล่าน ยกจิตเมื่อหดหู่ ประคองจิตเมื่อเป็นไปสม่ำเสมอ จิตถูกอุบายวิธีนี้กำหราบก็อยู่ในอำนาจ สามารถบังคับบัญชาตามปรารถนาที่ใจต้องการ สามารถกำหนดจิต ดูจิต รู้จิตของบุคคล สัตว์และเทพ พรหมทั้งหลายได้ เป็นผู้ชำนาญจิต แสดงฤทธิ์ต่างๆ ตามที่ตนและพระพุทธเจ้าต้องการ เมื่อสำเร็จเป็นสาวกบารมีญาณคู่พระบารมีพระพุทธเจ้าในทางมีฤทธิ์ มีปัญญาแต่อาศัยจิต จึงมีฤทธิ์ มีเดช มีอำนาจ สามารถทรมานมนุษย์ สัตว์ที่เป็นมิจฉาทิฎฐิให้เป็นสัมมาทิฏฐิได้โดยง่าย จิตเป็นไปพร้อมกับปัญญา มีความรู้แจ้งในจิต พิจารณาจิต ดูจิต เห็นจิต พิจารณาเฉพาะๆเรื่อง ละไป ทิ้งไป ตามลำพัง ตามกำลังของจิตเอง จิตหมุนรอบพร้อมปัญญา รู้ รู้แล้วละๆๆๆๆ ตัดไป (ผ่านอารมณ์ไปๆ)จนจิตรวม พักถอน รวม พักถอน จนจิตมีกำลัง มีอานุภาพทำลายกิเลส อาสวะ หลุดไปสิ้นไป หมดกิเลสเหลือแต่รู้ เป็นสัญญาอารมณ์ ใจรู้อารมณ์จิต สามารถละอารมณ์ ถอนอารมณ์ที่จิตเคยยึดมั่น ถือมั่น แต่รู้อารมณ์ ไม่กินอารมณ์ เพราะเคยกินจนเบื่ออารมณ์ คลายอารมณ์ เป็นจิตล้วน เอกตคตาจิต เป็นธรรมล้วน เอกตคตาธรรม เอกํจิตตํ จิตเดียว เอโกธมโม ธรรมเดียว จิตปภัสสร ตอนนี้บริสุทธิ์ผ่องใสยิ่งนัก ธมโมปทีโป เป็นดวงประทีปธรรม เห็นอรรถธรรมสว่างสุขุมลุ่มลึก กว้างไกลยิ่งนัก ธรรมประณีต จิตก็ประณีต จิตหยาบก็รู้หยาบ เห็นหยาบ ธรรมตื้นๆ
     
  6. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    อันนี้แล้วแต่บุพพวาสนา หยาบ ปานกลาง ประณีตต่างกัน นิสัยวาสนาต่างกัน ความรู้ความเข้าใจในธรรมต่างกัน เพราะอบรมสั่งสมเหตุมาต่างกัน จึงรู้กว้างแคบต่างกัน อุปนิสัยต่างกัน จิตหรือจริตต่างกัน ฤดู วัน เดือน ปี ต่างกันคล้ายกันก็มีบ้างแต่ไม่ถึงกับเหมือนกัน ทำด้วยกัน สร้างเหมือนกันแต่อารมณ์ธรรม อารมณ์สร้างหรืออารมณ์ปรารถนาต่างกัน จึงมีส่วนเหมือนโดยรูปวัตถุ สังขารร่างกาย แต่อารมณ์จิตใจต่างกันลิบลับหรือคนละโลก คนหนึ่งปรารถนาโลกโลกีย์ คนหนึ่งปรารถนานิพพาน แต่อาศัยวัตถุเดียวกันหรือเหมือน หรือด้วยอารมณ์ ตอนปรารถนา ศรัทธาน้อย ปานกลาง ประณีตต่างกัน เพราะฉะนั้นความรู้ความเห็นจึงต่างกัน บางคนใจเย็น บางคนใจร้อน บางคนไม่เย็นไม่ร้อน “นี่แหละปัญญาในอาศัยเจโต” รู้ใจ เห็นใจ กำหนดลงที่ใจ ใจดวงนี้ดวงเดียวที่รู้อยู่เห็นอยู่ ทั้งสะอาด ทั้งสกปรกอย่างไร ก็ได้รู้ได้เห็นที่ใจตนของตน กำหนดตนที่ใจ คนจะไปนรก เป็นเปรต เป็นอสูรกาย สัตว์ดิรัจฉานก็เพราะใจ จะเกิดมาเป็นมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม หรือนิพพานก็ด้วยใจดวงนี้ดวงเดียว เพราะฉะนั้นจงรักษาใจ ระวังอย่าให้มีความกำหนัด มีความขัดเคืองและลุ่มหลงมัวเมา อย่ามีความประมาทในการให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา เพื่อหวังมรรค ผล นิพพาน ในกาลบัดนี้ต่อไปเทอญ สวัสดี เอวํ

    ...สำนักปฏิบัติธรรม อาทิจฺจวํโส เชียงดาว เชียงใหม่...

    (นำมาให้อ่านกันยาวๆ ค่ะ ไม่สนใจก็ข้ามไปนะ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    กามกิเลส

    พระธรรมเทศนา โดย หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
    วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่


    การต่อสู้กามกิเลส เป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทุกทาง พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง ก็ถอนได้

    กามนี้มันหมุนรอบโลก มันเป็นเจ้าโลก กามกิเลสนี้แหละ ที่ทำให้เกิดสงครามต่อสู้กัน เกิดก็เพราะกาม ตายก็เพราะกาม รักก็เพราะกาม ชังก็เพราะกาม
     
  8. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    กามทุกอย่างนี้เรียกว่ากามกิเลส การต่อสู้กามกิเลสเป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทุกทาง ความพอใจก็คือกิเลส ความไม่พอใจก็คือกิเลส กามกิเลสนี้อุปมาเหมือนแม่น้ำ ธารน้ำน้อยใหญ่ไม่มีประมาณไหลลงสู่ทะเลไม่มีที่เต็มฉันใดก็ดี

    กามตัณหาที่ไม่พอดี ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นแหล่งก่อทุกข์ ก่อความเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมดอยู่ที่ใจ สุขก็อยู่ที่ใจ ทุกข์ก็อยู่ที่ใจ ใจนี่แหละคือตัวเหตุ ทำความพอใจให้อยู่ที่ใจนี่

    หมั่นเพียรและตั้งสัจจะให้มั่น รักษาศีล รักษาตา รักษาหู รักษาตัว รักษาปาก สำรวมอินทรีย์ รักษาธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ พิจารณาเข้าไป ตจปัญจกกรรมฐาน ๕ กายคตากรรมฐาน พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงก็จะถอนได้
     
  9. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    พวกหมู หมา เป็ด ไก่ มันก็เสพกามกันทั่วแผ่นดิน อย่าได้ไปอัศจรรย์ มีแต่ศีล สมาธิ ปัญญา ผู้ใดรักษาศีล ภาวนาเข้าจนเกิดสมาธิแล้ว สติก็ดิ่งเข้าไปแล้ว ก็จะได้ทำจิตทำใจของตนให้บริสุทธิ์ พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ท่านชี้เข้าหาใจนี่แหละ ทำใจให้บริสุทธิ์ ให้มีสติสัมปชัญญะนำคืนออกให้หมด ถ้ามีสติแล้วก็นำความผิดออกจากกายจากใจของตน อย่าหลงสมมติทั้งหลาย มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อย่าเอามาหมักไว้ในใจ
     
  10. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    กามตัณหาเปรียบเหมือนแม่น้ำไหลไปสู่ทะเล ไม่รู้จักเต็มสักที อันนี้ฉันใด ความอยากของตัณหามันไม่พอ ต้องทำความพอจึงจะดี

    เราจะต้องทำใจให้ผ่องใส ตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในทาน ตั้งอยู่ในธรรม ตั้งอยู่ในสมาธิก็ดี ทุกอย่างเราทำความพอดี ความพอใจนำออกเสีย ความไม่พอใจก็นำออกเสีย เวลานี้เราจะพักจิต ทำกายของเราทำใจของเราให้รู้แจ้งในกายในใจของเรานี้ รู้ความเป็นมา วางให้หมด วางอารมณ์ วางอดีตอนาคตทั้งปวง ที่ใจนี่แหละ
     
  11. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เรื่องสังขารนี้ สังขารมันปรุง สังขารมันแต่ง มันเกิด มันแก่ มันเจ็บ มันดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา วางอยู่นี่แหละ อดีตอนาคตมันก็มานี่แหละ ตัดอดีตอนาคตลงหมด จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน วางในปัจจุบัน ทำจิตทำใจของเราให้สว่าง ให้รู้แจ้งในมรรคในผล ในศีล สมาธิ ปัญญา เอาที่ใจนี้แหละ ให้มันสำเร็จขึ้นที่ใจ
     
  12. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เวลาปฏิบัติจริงกิเลสมันมาได้ทุกทิศทุกทาง ใจนี้มันสำคัญ เหตุมันเกิดจากใจนี้ ตั้งสัจจะ จริงกายจริงวาจาจริงใจ อย่าหลงไปตามเขา ตามอารมณ์ ละทิ้งความที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย สมบัติของเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหมดนี้ เป็นที่ตั้งของทาน เป็นที่ตั้งของมรรค เป็นที่ตั้งของพระนิพพาน จงละและวางให้เป็นพุทโธ ละวางหมดก็เป็นสุข ปล่อยวางก็สบาย
    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    จาก "อนุสรณ์หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ" โดย มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ,
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ...อ่านแล้วรู้สึกดี...

    เครื่องประดับ .. ที่มีค่ามากที่สุดของร่างกาย .. คือ “ รอยยิ้ม ”
    สิ่งที่ต้อง .. ปกป้องมากที่สุด .. คือ “ สติ ”
    สิ่งที่ต้อง .. รอบคอบมากที่สุด .. คือ “ ความคิด ”
    สิ่งที่ต้อง .. ควบคุมมากที่สุด .. คือ “ อารมณ์ ”
    สิ่งที่ต้อง .. ระวังมากที่สุด .. คือ “ คำพูด ”
    สิ่งที่ต้อง .. ถนอมมากที่สุด .. คือ “ ความรัก ”
    สิ่งที่ต้อง .. พัฒนามากที่สุด .. คือ “ นิสัย ”
    ของใช้ .. ประจำตัวที่ .. มีค่ามากที่สุด .. คือ “ ปัญญา ”

    “ พึ่งพาตัวเอง ” .. ให้มาก
    .. อย่าคาดหวังอะไรจากผู้อื่น ..
    “ ลมหายใจ ” .. เป็นของเรา
    .. อย่าเอาจมูกใครมาใส่ ..
    เวลาหายใจเข้าจะได้ ..' สบายใจ '..
    .. หายใจออกจะได้ ..' เป็นสุข '..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    หาก..ทำดี เพื่อให้คนอื่นเห็น ให้คนอื่นชื่นชม ความดีก็ไม่บริสุทธิ์

    หาก..เราตักเตือน เพื่อให้คนอื่นทำดีแต่เรากลับไม่ได้ทำ«คำตักเตือน»ก็จะไม่มีความหมาย

    ความดี ไม่ได้วัดกันที่เล็กหรือใหญ่ ทำบุญมากหรือน้อย ยามลำบากหรือยามสบาย แต่วัดกันที่"ใจ" ว่ามีความบริสุทธิ์ มากน้อยแค่ไหน

    มีคำเปรียบเปรยกล่าวไว้ว่า:

    “ความบริสุทธิ์ใจ(แท้ๆ) เปรียบเหมือนเดินบนผืนทราย เงียบ.และ.แผ่วเบา ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าสักก้าวเดียว แต่กลับทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจน..”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เวลาที่ความหลงพุ่งทะยานไป จิตใจย่อมขาดซึ่งปัญญา

    จิตเสพอยู่กับความพอใจ ชอบใจ ไม่สนไม่แคร์สิ่งใดทั้งสิ้น

    มองใครที่ไม่เห็นตามด้วย เป็นศัตรูไปหมด
    ต้องห้ำหั่นหักล้างกันไปให้สิ้นซาก
    นั่นคือโทษของกิเลสกองโมหะ
    มันทำให้เมาหลงไปในกองทุกข์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    กายมีทุกขเวทนา ใจมีทุกขอริยสัจจ์
    ล้วนแสวงหาทางพ้นทุกข์กันไปตามปัญญา

    มันเป็นสัญชาติญานการอยู่รอดของสัตว์
    ป้องกันตัวเอง ยื้อแย่ง ตอบโต้....สร้างอำนาจ
    สนองกิเลสกามที่มีอยู่ในใจ
    เหตุนี้จึงเกิดการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
    พัวพันอีรุงตุงนังกันไปหลายภพหลายชาติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    " โลกไม่ใช่ของใคร โลกเป็นของกลาง.
    สังขารไม่ทำอันตรายให้ใครเลย.
    แต่ว่าเกิดขึ้นแปรปรวนและแตกสลายอยู่อย่างนั้น.
    เป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น.
    โลกนี้ก็ไม่ได้นึกว่าจะเบียดเบียนใคร.
    แต่ผู้ที่หลงโลกมาอยู่ในโลกเบียดเบียนตนต่างหาก.
    เกิดแก่เจ็บตายไม่ได้นึกว่าจะเบียนเบียนใคร.
    สุขทุกข์อุเบกขาก็ไม่ได้นึกว่าจะเบียดเบียนใคร.
    แต่ผู้เกิดมาแล้วก็มาพบสุขทุกข์อุเบกขา.
    เพราะยังไม่หน่ายเกิด.
    หน่ายโลกคือหน่ายยังไง ก็คือหน่ายความหลงของตนนั้นเอง.
    ตนไปหลงโลก โลกไม่ได้มาหลงตน.
    ตนไปหลงเกิด เกิดไม่ได้มาหลงตน.
    ตนหลงตา เพราะตาไม่ได้มาหลงตน.
    ตนหลงหู เพราะหูไม่ได้มาหลงตน.
    ตนหลงจมูก เพราะจมูกไม่ได้มาหลงตน.
    ลิ้นกายใจก็เหมือนกัน.
    ตนหลงใจ เพราะใจไม่ได้มาหลงตน.
    นอกจากใจไม่มีอันใดจะหลงใจ.
    ใครเป็นผู้ไปหลงใจ...ก็คือกิเลส.
    นอกจากใจก็ไม่มีอันใดจะรู้ใจ.
    นอกจากใจก็ไม่มีอันใดจะปฏิบัติใจ.
    นอกจากใจก็ไม่มีอันใดจะรับเหตุรับผลจากใจ.
    ตาหูจมูกลิ้นกายมันก็ไม่รับเหตุรับผลกับใจ."
    ตกลงก็ตัดสินลงที่ใจ."

    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    โสดาปตฺติผล

    ที่เรียกว่าสังโยชน์ทั้ง ๓ นั้นคือ

    ๑. สกฺกายทิฏฺฐิ "ความเห็น"เป็นเหตุให้ถือว่าก้อนกายนี้เป็นของตน

    ๒. วิจิกิจฉา "ความลังเล" เป็นเหตุให้ไม่แน่ใจในความดีที่เราเชื่อถือกันคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีความจริงหรือไม่

    ๓. สีลพฺพตปรามาส "ความลูบคลำ" อยู่ในสิ่งที่ตนประพฤติปฏิบัติอยู่นั้น กล่าวให้สั้น ก็ได้แก่

    "การที่ยึดถือความดีทั้งหลาย อันเป็นส่วนของกิริยาภายนอก เป็นต้นว่า

    "รักษาศีล" หรือทำข้อวัตรปฏิบัติ ก็ยึดถือเอาแต่อาการของกายของวาจาเท่านั้น ศีลก็รักษากันแต่สิกขาบท

    "สมาธิ" ก็ได้แต่กิริยานั่งโด่อยู่เท่านั้น ไม่สามารถที่จะปลดเปลื้องกิริยาทั้งหลายเหล่านั้นออกจากตนได้ ยังคอยยึดเอาความดีอันเกิดจากกิริยานั้นอยู่

    โสดาปตฺติผล ท่านได้ดำเนินในไตรสิกขา คือ "ศีล สมาธิ ปัญญา" ได้ "รู้แจ้งเห็นจริง" ใน "อริยสัจ ๔" จึงจะได้ "ละสังโยชน์ ๓ ประการ" ออกจาก ดวงใจของท่าน

    จึงได้หลุดเข้าไปใน “กระแสของนิพพาน”

    โสดาที่ท่านได้ “ละขาด” แล้ว ใจท่าน “ไม่ข้อง”อยู่ใน “ลัทธิประเพณี”

    “ศีล” ของท่าน เข้าถึง “ตัวจริงของศีล” ศีลก็ปราศจาก "กาลเวลา"

    ปุถุชนนั้น จะต้องมอบหมายความดีให้ "กิริยาภายนอก" อยู่ เป็นต้นว่าศีลอยู่กับวัน ๘ ค่ำ อยู่กับวัน ๑๕ ค่ำ อยู่ในพรรษา อยู่ในเดือนปี แล้วยึดกันอย่างมั่นคง ถ้าใครทำไม่ถูกตามประเพณีลัทธินั้นๆ แล้ว ก็หาว่าไม่เป็นศีลเป็นธรรม

    ในที่สุดก็เลยหาโอกาสทำความดีได้ยาก นี่แหละจึงเรียกว่า “ไม่รู้จักหลักเกณฑ์แห่งความดีทั้งหลาย”

    “เครื่องกั้นแห่งความดี” เป็นต้นว่า “ทาน ศีล ภาวนา” ที่เคยถือกันมาว่า วัน ๘ ค่ำ วัน ๑๕ ค่ำ ที่เราเรียกว่าบุญนั้นแหละ เป็นเครื่องกั้นแห่งความดี

    โสดา อุปมาเปรียบเหมือนบุคคลที่แจวเรือถูกร่องลงแหล่งแห่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีแต่ที่จะลอยไปสู่ปากน้ำสมุทรสาคร กล่าวคือ "อมตนฤพาน" นั้นถ่ายเดียว

    ที่แสดงออกมานี้เป็นความเห็นส่วน "โลกุตตรภูมิ" ของจิตทั้งหลาย ฉะนั้นผู้ฟังทั้งหลายให้ "ไตร่ตรองดู"

    ท่านพ่อลี ธัมมธโร
    วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    "ธรรมไม่มีเพศ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเพศหญิงเพศชาย นักบวช ฆราวาสจึงบำเพ็ญหรือทำได้ด้วยกันเพราะจิตไม่มีเพศ จิตเป็นธรรมชาติที่รู้เท่านั้น ส่วนธาตุขันธ์นี้จึงเป็นเพศ เป็นสมมุติประเภทหนึ่ง ธรรมจึงเข้ากันได้กับจิต เพราะธรรมไม่มีเพศ จิตก็ไม่มีเพศ ประพฤติปฏิบัติธรรมได้ บุญบาปไม่มีเพศ สุขทุกข์ไม่มีเพศ เมื่อทำดีต้องเป็นสุขขึ้นมา ทำชั่ว
    ต้องเป็นทุกข์ขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายนักบวชหรือฆราวาส เพราะฉะนั้นเราจึงปฏิบัติธรรมได้ด้วยกัน"

    โอวาทธรรม: พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    ............................
    รายนามมหาอุบาสิกาผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในภาพ เรียงจากซ้ายไปขวา มีดังนี้
    1.คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม แห่งวัดอาวุธวิกสิตาราม
    2.แม่ชีแพง โลหิตดี โยมแม่หลวงตามหาบัว
    3.ท่าน ก.เขาสวนหลวง อริยสาวิกาที่องค์หลวงตารับรอง
    4.แม่ชีนารี การุณ เคยอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่น
    5.คุณแม่จันดี โลหิตดี โยมน้องสาวหลวงตามหาบัว
    6.แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ มหาอริยสาวิกาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
    7.คุณยายวัลย์ นานายน น้องสาวของท่าน ก.เขาสวนหลวง
    8.หลวงแม่อุ่น ไร่พิมาย โยมแม่หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร
    9.แม่ชีโสดา โสสุด ธิดาธรรมพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
    10.อาจารย์รัญจวน อินทรกำแหง ศิษย์ท่านพุทธทาสภิกขุ
    11.คุณยายหมออุไรวรรณ ผู้ถวายที่ดินสร้างสวนแสงธรรม
    12.ย่าชีพิมพา วงศาอุดม ผู้ที่หลวงปู่เทสก์ยกย่องว่า "ผู้หญิงใจสิงห์"

    ธรรมไม่มีเพศ
    ถึงแม้เป็นหญิงก็มีหัวใจที่ใฝ่ในธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    +++ จิตไม่เสมอ – จิตไม่เห็นธรรม +++

    คิดดูง่ายๆสิ่งที่เราหวงแหนทุกอย่าง ยิ่งหวงมากห่วงมากก็ยิ่งทุกข์มาก เช่น ลูกของเรา สามีภรรยาของเรา พ่อแม่ของเรา เราถือเป็นของของเรา พวกเหล่านั้นหากป่วยไข้ จิตใจของเราจะต้องกังวลวุ่นวาย วิ่งเต้นหาหยูก หายา หามด หาหมอมารักษา ไม่เป็นอันกินอันนอนถ้าป่วยหนักเข้า ทั้งๆที่เราอยู่สบายกายของเราไม่มีไข้ไม่มีเจ็บอะไร แต่ก็เป็นไปเพราะความรัก อำนาจของใจที่ไปยึดไปเกี่ยวข้อง

    คนอื่นซึ่งนอกจากความรักของเรา ไม่ไปเกี่ยวข้อง ไม่ไปยึดถือ เขาป่วยเขาเป็นเขาล้มเขาตาย สบาย…ไม่มีการคิดอะไร ว่าคนนั้นป่วยหนัก คนนั้นตายไป.. เสียจิตเสียใจอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี จิตของพวกเราที่ไม่มีธรรมอคติอย่างนี้

    ถือยึดในสิ่งของของตน แล้วไม่ยึดไม่ถือ ไม่ถือว่าเป็นของของตนญาติของตน คนของตน ทั้งๆที่คนเหล่านั้นมีคุณค่าเสมอกัน คนเราตายหรือคนเขาตาย ก็คือตายด้วยกัน คนเขาเจ็บ คนเราเจ็บก็คือเจ็บด้วยกัน แต่พวกเราท่านนี่ไม่พิจารณา จิตจึงยึดเป็นบางเกาะบางดอนบางสิ่งบางอย่าง นี่คือ “จิตไม่เสมอ” จิตยังไม่เห็นอรรถธรรม ไม่พิจารณาตามเป็นจริง

    พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร
    วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...