แต่ละคนแพ้กิเลสไม่เหมือนกัน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 กรกฎาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    211087844_4547026515347994_3359064786282048732_n.jpg

    แต่ละคนแพ้กิเลสไม่เหมือนกัน


    สมัยที่อยู่เกาะพระฤๅษี พวกอาตมาอาศัยบะหมี่สำเร็จรูปเป็นหลัก พอมารับสังฆทานจากกรุงเทพฯ ก็จะเป็นอาหารหรูหราฟู่ฟ่าไปเลย หลังจากนั้นกลับไปที่เกาะ บะหมี่ซองก็จะเป็นหลักเหมือนเดิม

    จึงมานึกว่า เราทำบุญมาไม่สม่ำเสมอ เพราะถ้าเราทำบุญสม่ำเสมอก็ต้องได้ในลักษณะเท่า ๆ กันหรือใกล้เคียงกันทุกวัน นี่บทมีกินก็กินกันปางตาย บทไม่มีจะกินก็เจอแต่บะหมี่สำเร็จรูปเป็นอาทิตย์ ๆ เลย

    อย่างวันนี้ อยู่ ๆ ก็มีน้ำพริกมา ๖-๗ ถ้วยพร้อม ๆ กัน บทจะไม่มีบางทีสามวันก็ไม่มีน้ำพริกเลย ฉะนั้น..เรื่องของการทำบุญต้องสม่ำเสมอ ถ้าไม่สม่ำเสมอเดี๋ยวจะเจอแบบอาตมา

    อาตมาเป็นคนแปลกมาตั้งแต่เด็ก เพราะไม่มีอาหารอะไรที่รู้สึกอร่อยจนอยากจะกินซ้ำ ตั้งแต่เด็กก็เป็นอย่างนี้ สมัยมาทำงานที่กรุงเทพฯ ใครเขาว่าอาหารอร่อยก็ไปกินดู ก็ไม่เห็นจะอร่อยกับเขาตรงไหน

    ตอนนั้นหูฉลามนายเก๊า ถ้วยนิดเดียวราคาหกร้อยบาท..! เท่ากับค่าแรงอาตมาตั้งหลายวัน ลองไปกินดูไม่เห็นจะอร่อยตรงไหน ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อคาบูกิ เปิดครั้งแรกที่โรงแรมอินทรา ก็อุตส่าห์ขึ้นไปลองกิน ไม่รู้ว่าญี่ปุ่นเขากินได้อย่างไร จืดเป็นบ้าเลย อาตมาเห็นมีซีอิ๊วญี่ปุ่นก็ใส่ ชิมไปก็ไม่เค็ม หวานปะแล่ม ๆ ใส่ไปครึ่งขวดก็ยังหวานปะแล่ม ๆ อยู่ ตกลงว่าอาหารญี่ปุ่นหารสเค็มไม่ได้ อยู่ทะเลกันอย่างไรก็ไม่รู้ ? กลายเป็นซื้อความรู้ไป

    อะไรที่เขาว่าอร่อยไปลองมาหมดแล้ว ประเภทซูเปอร์ราดหน้า สมัยนั้นจานละ ๖๐ บาท ใส่หมูชิ้นหนึ่งเกือบเท่าฝ่ามือ ก็ลองไปชิมดู ผลสรุปว่าบางร้านที่ไปกินส่งเดชอร่อยกว่าเชลล์ชวนชิมเยอะเลย มีก๋วยเตี๋ยวรถเข็นอยู่เจ้าหนึ่ง อยู่ใต้สะพานลอยพระโขนง ใครกินแล้วไม่สั่งเพิ่ม รับประกันได้ว่าจะต้องลิ้นตะเข้จริง ๆ จนกระทั่งหลายคนระแวงว่าเขาใส่กัญชาหรือเปล่า ? เพราะถ้าผสมกัญชาลงไป กินอะไรก็จะอร่อยไปหมด

    จึงแปลกใจว่า ตั้งแต่เด็กมาไม่เคยคิดอยากจะกินอะไรซ้ำ อาหารบางอย่างก็รู้สึกว่าอร่อยนะ แต่ก็อร่อยแค่ครั้งนั้น แต่ถึงขนาดให้ตะกายไปหามากินใหม่ก็ไม่ไป แต่โยมบางคนเป็นตายอย่างไรก็ต้องไปกินให้ได้ เคยขึ้นรถยนต์โยมบางคน เขามีแต่แผนที่ร้านเชลล์ชวนชิม แสดงว่าไปทุกที่ ตรงไหนว่าอร่อยเขาไปทั้งนั้น

    เราจะเห็นว่า ในเรื่องของกิเลสแต่ละคนแพ้ไม่เหมือนกัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นกิเลสที่ดึงร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏสงสาร แต่ละคนแพ้ไม่เท่ากัน คนแพ้รูปก็ทำสถิติสะสมอีหนูไปเถอะ คนแพ้รสเห็นว่ามีอาหารที่ไหนอร่อยต้องไปที่นั่น ต่อให้ป่วยเป็นเบาหวานก็จะไป หมอห้ามแค่ไหนก็จะกิน

    ส่วนใหญ่อาตมาลองครั้งเดียวก็เลิก ไม่มีอะไรให้ประทับใจกับเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะพิซซ่า ในชีวิตนี้ได้ฉันพิซซ่าอร่อยครั้งเดียวที่กุฏิหลวงปู่มหาอำพัน เพราะว่ามีน้ำปลาพริกอยู่ถ้วยหนึ่ง อาตมาเทราดลงไปหมดเลย หลังจากนั้นก็ไม่เคยฉันพิซซ่าที่ไหนอร่อยอีก

    ในชีวิตแทบจะไม่เคยปรุงเครื่องปรุงรส เหตุที่ไม่เติมก็เพราะว่า ถ้าเติมแล้วอร่อยแปลว่าเป็นฝีมือเราทำเอง ถ้าอาหารอร่อยต้องอร่อยเพราะฝีมือคนทำ แต่ถ้าเติมแล้วอร่อยก็เป็นเพราะเราทำเอง จึงเคยชินกับการฉันที่ไม่ต้องเติม

    มาระยะหลัง ๆ อาหารไทยเสียรสชาติหมด เด็ก ๆ ก็เสียลิ้น เพราะรสชาติออกหวานไปหมด ขนาดแกงส้มก็หวาน น้ำพริกก็หวาน ชิมแล้วหมดอารมณ์ ปกติอาหารไทยของเราจะมีของหวานตามหลังอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..อาหารไทยจึงไม่ใช่อาหารรสหวาน นอกจากบางชนิดอย่างขนมจีนน้ำพริกหรือแกงบอน จะมีหวานนำนิดหน่อย

    ถ้าใครบอกว่าอาหารชาววังรสหวาน อย่าไปเชื่อเชียว ชาววังลิ้นท่านประณีตกว่าเราเยอะ เปรี้ยวหวานมันเค็มของท่านจะครบรสกว่าเรา เพราะมีเวลาในการประดิษฐ์ประดอยมากกว่า แต่เขาไปลือว่ากินหวานเป็นต้นตำรับชาววัง เสียหายไปหลายแสน อาตมาเคยวิ่งเล่นในวัง ไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย"

    ถาม : เรื่องอาหารทำให้คนติดได้ง่าย พระพุทธเจ้าจึงให้คนพุทธจริตพิจารณากองนี้หรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นแพ้อะไร รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นต้น คนที่ติดเรื่องกลิ่นเราจะเห็นว่า น้ำหอมแพงแค่ไหนเขาก็สะสม ขวดเท่านิ้วก้อยราคาเกือบหมื่นก็ซื้อมาสะสมเพราะชอบกลิ่น พอถึงเวลาบริษัทมีชื่อเสียงผลิตน้ำหอมกลิ่นใหม่ เป็นตายเขาก็ต้องไปลองให้ได้

    สุนทรภู่บอกว่า "..อันรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร..ฯ" ก็แปลว่า เวียนตายเวียนเกิดกันไม่รู้จบ ในพระอภัยมณีมีอะไรดี ๆ เยอะเลย เพียงแต่ว่าเราจะสังเคราะห์ออกมาได้หรือเปล่า ? หรือคนอ่านจะมีกำลังใจเข้าถึงได้แค่ไหน ? ไม่อย่างนั้นจะติดแค่อรรถรสหรือเนื้อหาเฉย ๆ ไม่ได้ดูถึงหลักธรรมหรือข้อคิดสอนใจที่แฝงเอาไว้

    ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย.......ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
    ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย....................จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย


    พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสใด ก็สู้เพศตรงข้ามไม่ได้

    พระจันทรสว่างกลางโพยม...............ไม่เทียมโฉมนางงามพี่พราหมณ์เอ๋ย
    แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย...ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน
    เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงในเพลงปี่........ป่วนฤดีเสนาะในฤทัยหวาน
    หวั่นประหวัดสตรีฤดีดาล...................ก็ซาบซ่านเสียวสดับจนหลับไป


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๔ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...