เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 ตุลาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ต้องบอกว่า "เก็บชีวิตคืนมาได้" เนื่องเพราะว่าช่วงเข้ากรรมฐาน ๓ วัน ออกมาแล้วก็มีแต่งาน ไม่ได้พักผ่อน ฉันอาหารลงไปก็ไม่ย่อย มาลาเรียก็เลยกำเริบ..!

    ไข้มาลาเรียเป็นไข้ที่ต้องการการพักผ่อนอย่างมาก ไม่เช่นนั้นก็จะกำเริบทันที โบราณเขาเรียก "ไข้พ่อตาหน่าย แม่ยายชัง" เพราะว่าเอาแต่กินกับนอน งานการทำไม่ค่อยไหว การกำเริบของมาลาเรียแต่ละครั้ง ถ้าคนที่เคยเป็นก็จะรู้ เพราะว่ากระดูกทุกท่อนอยู่ตรงไหนจะรู้หมด ปวดจนอธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ถูก..! ส่วนใหญ่ที่ตายกัน ก็เพราะทนการอักเสบแบบนั้นไม่ไหว

    วันนี้กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางแต่เช้า เพื่อไปงานพุทธาภิเษกที่วัดบ้านห้วยน้ำขาว ซึ่งไม่ได้มีแต่วัตถุมงคลของวัดบ้านห้วยน้ำขาวเท่านั้น ยังมีของท่านอาจารย์พระมหาธวัชชัย กลฺยาโณ ป.ธ.๙ เจ้าคณะอำเภอพนมทวน ฝากมาอีกเป็นคันรถ ร่างกายไม่ไหว แต่ก็ต้องไป เพราะว่ารับปากเขาเอาไว้แล้ว ขนาดฉันยาไปแล้ว พอจับมือ ดร.โรจน์ (พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร.) สะดุ้งเฮือก "หลวงพ่อตัวร้อนขนาดนี้เลยหรือ !!?" ปกติ..ก็ร้อนอย่างนี้แหละ..!

    สมัยที่ยังเป็นคนไข้ตัวอย่างของเวชศาสตร์เขตร้อนอยู่ วัดไข้แล้ว พยาบาลตกใจ "๔๒ องศาเซลเซียส" ถามว่า "เดินมาได้อย่างไร !!?" "ก็เดินมาอย่างที่เห็นนี่แหละ" แต่คราวนี้การไปในลักษณะอย่างนั้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายกำลังใจไม่พอ ก็ต้องใช้คำว่า "ไปไม่รอด"
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    อันดับแรกเลยก็คือ ร่างกายไม่ไหว ต้องใช้กำลังใจบังคับ ซึ่งเคยมีผู้ถามเหมือนกันว่า สูตรของกระผม/อาตมภาพประหลาดมาก "ร่างกายไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้น...เราต้องบังคับร่างกาย ไม่ใช่ให้ร่างกายบังคับเรา" ถามว่าทำได้อย่างไร ? ก็บอกว่า ถ้ากำลังใจถึงก็ทำได้..!

    สรุปว่าพอบวงสรวงพุทธาภิเษกเสร็จ ต้องขออนุญาตเขากลับเลย ระหว่างนั้นก็ฉันยาไปเรื่อย ตกลงว่าช่วงเช้าอย่างเดียวฉันยาไป ๓ รอบ กลับมาถึงท่านทั้งหลายคิดว่าผมปกติดี เพราะว่าฉันเพลได้ ขอให้ทุกคนจำไว้เลยนะครับว่า เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ต้องกินให้ได้ ถ้ากินไม่ได้ ร่างกายจะไม่ฟื้น

    กระผม/อาตมภาพเองเคยชินกับการเจ็บป่วยแบบนี้ และรู้ว่าถ้าร่างกายจะฟื้นต้องกินได้ ก็พยายามยัด ๆ เข้าปากไป รู้รสบ้าง ไม่รู้รสบ้าง เหมือนกับเคี้ยวกระดาษบ้าง แต่ถ้าหากว่ามีอาหารที่กินเข้าไป ร่างกายได้รับสารอาหารก็สามารถที่จะให้พลังงาน เราเองก็จะฟื้นตัวเร็วขึ้น ฉันเพลแล้วนอนยาวไป ฟังการอบรมไปด้วย เพราะว่าเข้าระบบซูมทิ้งเอาไว้ การอบรมวันนี้ ได้ความรู้ก็ดีมาก ตั้งรูปแทนตัวเอาไว้ แล้วฟังไป..นอนภาวนาไป

    เรื่องนี้ถ้าหากว่าพูดไปแล้ว ต้องบอกว่ากระผม/อาตมภาพเป็นผู้ชำนาญที่สุด ก็คือนอนอยู่แล้วต้องฟังรู้เรื่อง เพราะว่าซักซ้อมมาตั้งแต่เด็ก เนื่องเพราะว่าตั้งแต่เรียนชั้นประถมปีที่ ๕ ก็ต้องทำหน้าที่ดูแลพ่อที่ป่วย ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่มีเวลาหลับ ไม่มีเวลานอน ไปโรงเรียนแล้วง่วงมาก ยกมือขออนุญาตครู "ขออนุญาตนอนครับ"

    สมัยนั้นครูบาอาจารย์แต่ละท่านจะรู้สภาพของเด็กที่ตนเองดูแลเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น..ครูท่านบอกว่า "เธอนอนได้ แต่วิชาของครูห้ามตกนะ..!" กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องบังคับตัวเองว่า ถึงจะหลับ หูก็ต้องได้ยิน ถ้าได้ยิน จะจำได้ ถ้าจำได้นี่ ไม่มีคำว่าสอบตก

    ทำแบบนั้นอยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ ก็คือตั้งแต่ ป.๕ ป.๖ ป.๗ ม.ศ.๑ ม.ศ.๒ ขึ้น ม.ศ.๓ โยมพ่อก็ตาย คนที่ซ้อมมา ๖ ปีเต็ม ๆ ไม่เก่งก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น...ผมจะเคยชินว่า ถ้าหากว่าหลับอยู่ ใครพูดใครทำอะไรรอบข้างจะรู้หมด จึงใช้วิธีนี้ในการฟังการอบรมไปด้วย เพราะว่าลงทะเบียนไว้แล้ว ไม่อยากจะทิ้ง มาฟื้นเอาบ่าย ๒ กว่า เกือบบ่าย ๓ โมง เริ่มมีแรง โงเงลุกขึ้นมาได้ จึงถือว่าเก็บชีวิตกลับคืนมาได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    หลายท่านก็สงสัยว่าอาการแบบนี้เป็นมาหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งกระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ใส่ใจ ฟื้นขึ้นมาได้ก็ทำงานเหมือนเดิม เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ผมไม่ได้คิดไปข้างหน้า และไม่ได้คิดไปข้างหลัง ก็คืออดีตไม่เอา อนาคตไม่สนใจ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ แล้วเราก็จะตอบตัวเองได้ว่า เราเต็มที่กับทุกอย่างแล้ว ที่กระผม/อาตมภาพใช้คำว่า แหงนหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน เต็มที่กับทุกอย่างแล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เราก็ตอบตัวเองได้แล้ว

    คราวนี้การที่เป็นคนมีวันนี้วันเดียว ทำให้เราไม่ประมาท กำลังใจต้องเกาะพระหรือเกาะพระนิพพานเอาไว้เสมอ ยิ่งตอนป่วยหนัก ๆ ยิ่งชัดเจนมาก ท่านทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติมาระยะหนึ่ง ถ้าหากว่าเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ ระดับเฉียดเป็นเฉียดตาย หรือว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้น จะรู้ว่าต้นทุนของตัวเองมีเท่าไร เพราะว่าในภาวะฉุกเฉิน กำลังใจทั้งหมดของเราจะรวมตัวกัน เราจะบอกตัวเองได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้พร้อมที่จะตายหรือยัง ? เพราะเห็นอย่างชัดเจนว่าต้นทุนของตัวเองมีเท่าไร


    ดังนั้น...สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว เรื่องของความเจ็บ ความป่วย ความตาย จึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเรื่องของการทดสอบ เป็นเครื่องวัดผลการปฏิบัติของเราว่าทำไปได้เท่าไร ทำไปถึงไหนแล้ว ?


    ในระยะแรก ๆ ด้วยความที่สติ สมาธิ ปัญญา ยังไม่เพียงพอ เคยปวดท้อง เข้าห้องน้ำไปก็บิดไปบิดมา ปวดไม่เลิก ไปโอดครวญอยู่กับร่างกายอยู่พักใหญ่ กว่าที่จะนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าตายตอนนี้เราแย่แน่ เพราะกำลังใจไม่ได้เกาะความดีเลย มัวแต่ไปทุกข์ทนกับอาการเวทนาที่เกิดขึ้น จึงต้องรีบส่งใจไปเกาะพระ ส่งใจไปเกาะพระนิพพาน

    แต่ว่าพอซักซ้อมไปบ่อย ๆ ความเคยชินก็ทำให้ไม่เผลอแบบนั้นอีก จะมีการเกาะพระ หรือว่าเกาะพระนิพพานเป็นปกติ ถึงเวลาเมื่อไร สภาพจิตเคยชินก็จะวิ่งไปตรงนั้น ซึ่งตรงจุดนี้ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงจะทราบดี ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกอยู่เสมอว่า มโนปุพพังคมา ธัมมา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มโนเสฏฐา สูงสุดก็ที่ใจ มโนมยา สำเร็จก็ที่ใจ จิตสุดท้ายเกาะอะไรก็ไปอย่างนั้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    แต่คราวนี้ ขอให้ทุกคนเข้าใจอย่างชัดเจนเลยว่า ถ้าจิตสุดท้ายของเราเกาะพระนิพพาน เราจะไปพระนิพพานไม่ได้..! ใครทำยังไม่ถึง ก็ฟังเอาไว้เป็นเครื่องวัดตัวเอง เนื่องเพราะว่า ตราบใดที่เรายังเกาะสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ เราก็ไปไหนไม่รอด..!

    เราบอกว่าเราจะไปกรุงเทพฯ แต่เรายืนกอดเสาอยู่ตรงนี้ เราย่อมไปกรุงเทพฯ ไม่ได้แน่นอน เรื่องของพระนิพพานก็เช่นเดียวกัน ถ้าใจเรายังเกาะพระ ยังเกาะพระนิพพานอยู่ เราไปพระนิพพานไม่ได้ เพราะว่าเรายังยึดเกาะ ก็เลยหลุดพ้นไม่ได้ แล้วเราจะไปพระนิพพานอย่างไร ? ตรงจุดนี้ถ้าท่านทำถึงจริง ๆ จะรู้เอง เพราะว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว จิตใจของเราจะปล่อยโดยอัตโนมัติ

    หลายท่านบอกว่าปล่อยวาง ปล่อยวาง เรายึดเกาะอะไรไม่ได้ ขอให้รู้ว่านั่นบอกผิดแล้ว ถ้าเราไม่ยึดเกาะ เราจะไม่มีอะไรให้ปล่อย แต่การยึดเกาะนั้นก็คือยึดเกาะในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ยึดเกาะในสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล เมื่อยึดเกาะในสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล สร้างบุญสร้างกุศลจนเต็มที่แล้ว สังเกตไหมว่าถ้าน้ำเต็มแก้ว ก็จะไหลล้นไปได้เอง เรื่องของกำลังใจในการเกาะความดีก็เหมือนกัน ถ้าดีถึงที่สุดแล้ว จะปล่อยดีไปเอง เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ก็ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน พระนิพพานอยู่ในทุกที่ ตายเมื่อไรก็ไปพระนิพพานเมื่อนั้น..!

    ดังนั้น...บรรดาพระอริยเจ้าทั้งหลายที่เป็นสุกขวิปัสสโก ไม่มีทิพจักขุญาณ ไม่มีความเป็นทิพย์ด้านอื่น ๆ ทำไมท่านถึงรู้ได้ว่าท่านสามารถเข้าพระนิพพานได้ ? ก็เพราะว่าถ้าท่านปล่อยวางได้จริง ๆ อารมณ์พระนิพพานจะเต็มอยู่ในใจของท่านเอง ตอนนั้นไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ที่นั่นก็คือพระนิพพาน
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ดังนั้น...ท่านที่ทำไม่ถึงจริง อาจจะพาเราเปะปะไปทางโน้น ทางนี้ ทางนั้น ขอให้ทุกคนยึดเกาะ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลัก สร้างกุศลในทาน ในศีล ในภาวนาต่อไปเรื่อย โดยตั้งเป้าอยู่อย่างเดียวว่า บุญกุศลทั้งหมดที่เราทำนี้ก็เพื่อพระนิพพาน ถ้าทำได้เต็มที่ ถึงเวลาเราก็จะปล่อยเอง

    เมื่อถึงเวลานั้น กำลังใจของเราจะไม่ยึดเกาะอะไร รู้ว่าดีก็ทำ เพื่อเป็นแบบอย่างแก่คนอื่น เพื่อความไม่ประมาท ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็เหลือเพียงพระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น ที่สมควรแก่ท่านทั้งหลายที่จะไปได้


    เนื่องจากวันนี้เฉียดความตายมา ก็เลยนำเอาเรื่องที่ไม่เคยได้บอกกล่าวอย่างชัดเจน มาบอกแก่ทุกท่าน มาบอกมากล่าวให้ชัดเจน อย่าไปเถียงกับคนอื่นเรื่องพระนิพพาน พระนิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน เป็นภาษาใจ ทำถึงเมื่อไรก็จะรู้เอง


    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนญาติโยมที่ฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...