เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 มกราคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพเพิ่งกลับมาจากงาน งานสำคัญก็คือไปถวายสักการะพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ปีนี้ท่านอายุ ๘๘ ปีแล้ว เรียนท่านว่าอยู่ฉันเพลไม่ได้ ต้องรีบกลับ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าตอนวิ่งไปนั้นรถมีปัญหา ก็เลยต้องเอากลับมาเข้าศูนย์ สรุปว่าช่วงล่าง "ไปแล้ว"

    ปกติแล้วมีบางคนที่ใช้รถแบบฉลาดมาก ก็คือครบ ๕ ปีก็เอาไป "เทิร์น" คันใหม่ ก็เท่ากับว่าเช่ารถใช้นั่นเอง เพราะว่ารถเมื่อถึง ๕ ปีไปแล้ว อะไหล่ทุกอย่างจะเสื่อมตามสภาพ นี่ก็เท่ากับว่ากระผม/อาตมภาพแทบจะต้องทำใหม่ทั้งคัน ต้องบอกว่าใช้รถหรือรถใช้ก็ไม่รู้ แต่คำว่า "รถ" ออกเสียงเดียวกับคำว่า "ลด" ก็คือมีแต่"ลดลง" ไม่มีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเงินในกระเป๋าของเรา ที่ลดลงไปเรื่อย

    พระพุทธเจ้าตรัสถึงวัตถุทาน ๑๐ ประการ ไม่น่าเชื่อว่ามีรถอยู่ด้วย พระองค์ท่านบอกว่า อันนัง ปานัง วัตถัง ยานัง มาลา คันธัง วิเลปะนัง เสยยาวะสะถัง ปะทีเปยยัง ทานาวัตถู อิเม ทะสะ

    ทานวัตถุทั้ง ๑๐ ประกอบไปด้วย อันนัง คือข้าว ข้าวสุก
    ปานัง คือน้ำ
    วัตถัง คือผ้า
    ยานัง คือยาน, ยานพาหนะ คือ รถรา เครื่องบิน อะไรประมาณนั้นนั่นแหละ
    มาลา คือดอกไม้
    คันธัง คือของหอม
    วิเลปะนัง เครื่องลูบไล้ สมัยนี้ก็น่าจะเป็นพวกโลชั่น สมัยก่อนเป็นน้ำมัน เน้นตรงทาเท้า เพราะว่าคนเดินเท้าเปล่า ระยะทางไกล ๆ บางทีเดินหลาย ๑๐ กิโลเมตร หรือเป็น ๑๐๐ กิโลเมตร ถึงเวลาเข้าที่พัก ล้างเท้าสะอาดแล้วก็ทาน้ำมันกันเท้าแตก เพราะว่าถ้าเท้าแตก ก็เดินทางต่อไปไม่ได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366

    เสยยา เครื่องนอน

    วะสะถัง เครื่องนั่ง เครื่องนอนเราก็รู้ใช่ไหม ? พวกฟูก พวกหมอน พวกผ้าปูที่นอน เครื่องนั่งคืออะไร ? ก็พวกสันถัต พวกอาสนะ สันถัตกับอาสนะ เป็นที่นั่งเหมือนกัน แต่สันถัตเขาใช้หล่อขึ้นมา แต่อาสนะนั้นเย็บขึ้นมา

    เพราะฉะนั้น...พวกท่านที่เจอในวินัยพระ การหล่อสันถัต เขาจะทำแบบกว้างยาวตามที่ตัวเองต้องการ แล้วเอาขนเจียม ก็คือขนสัตว์ที่โดนกร้อนเป็นเส้น ๆ มา โรยลงไป เกลี่ยบาง ๆ เอากาวราดทา เมื่อทาจนทั่วแล้วก็เท่ากับว่าเป็นแผ่นขนสัตว์บาง ๆ ที่มีกาวเป็นตัวยึด แล้วก็โรยชั้นต่อไป แล้วทากาวทับ โรยชั้นต่อไป ทากาวทับ จนได้ความหนาตามที่ต้องการ เขาถึงได้เรียกว่าหล่อสันถัต

    ปะทีเปยยัง เครื่องตามประทีป ไม่ว่าจะเป็นเทียน เป็นไม้ขีด เป็นอะไรก็ตาม สมัยนี้ก็พวกหลอดไฟ จะหลอดประหยัดหรือไม่ประหยัด จัดอยู่ในนี้ทั้งหมด

    แต่ก็เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงว่า เรื่องของยาน คือพาหนะ กลายเป็นวัตถุทานอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนเลย แล้วมีบาลีรับรองด้วย ยานโท สุขโท โหติ จักขุโท โหติ ทีปโท การให้ยานชื่อว่าให้ความสุข การให้ประทีปโคมไฟชื่อว่าให้จักษุ คือดวงตา เป็นเพราะว่าเวลามียานพาหนะ ไปไหนก็สะดวกสบาย มีความสุข ไม่ต้องยากลำบากเหมือนเดินไปเอง

    แต่ถ้าหากว่าเข้าทุ่งใหญ่นี่ เจอกะเหรี่ยงเดินอยู่ ชวนขึ้นรถ ถ้าเป็นหน้าฝน เขาไม่ขึ้นกับเราหรอก "ไปด้วยกันไหม ?" "เราไม่ไปหรอก เรากำลังรีบ" แล้วก็เดินไป ปล่อยให้เรานั่งรถไป เชื่อเถอะ..อีกไม่กี่นาที เราก็ไปทั้งขุดทั้งเข็นอยู่ข้างหน้า ส่วนเขาเดินไปไกลลิบแล้ว เพราะฉะนั้น..ถ้าไปชวนกะเหรี่ยงบอกว่านั่งรถสบายกว่า เขาไม่เชื่อหรอก เขาเจอมาเยอะแล้ว ต้องไปช่วยเขาขุด ช่วยเขาเข็น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    กระผม/อาตมภาพเองก็ช่วยเขาเข็นรถมา ๗๐ กว่ากิโลเมตร เจ้าของรถเขาตัดใจทิ้งแล้ว กระผม/อาตมภาพบอกว่าไม่ได้ คือกระผม/อาตมภาพอาศัยรถเขาเข้าไปครับ แล้วไม่รู้ว่าพวกนั้นบ้า..! ไอ้เจ้าเด็กวัยรุ่น ๓-๔ ตัวนั่นเอ็นทร้านซ์ติด ฉลองด้วยการไปเที่ยวทุ่งใหญ่ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าทุ่งใหญ่นั้นไม่มีปั๊มน้ำมัน ป่าล้วน ๆ ดูแผนที่แล้ว ประเภทหัวท้าย ๙๓ กิโลเมตร น้ำมันถังเดียวสบายมาก ก็วิ่งเข้าไปเลย แล้วเป็นรถเบนซินครับ..!

    ในทุ่งใหญ่ ถ้าคุณจะขอปันน้ำมันเขาได้ ก็คือดีเซลครับ แล้วสมัยนั้นดีเซลลิตรละ ๕ บาทกว่า ๖ บาท กระผม/อาตมภาพเจอมาแล้วครับ ไปขอปันจากเขา เจอเข้าไปลิตรหนึ่ง ๓๐ กว่าบาท จะโทษเขาก็ไม่ได้นะครับ เพราะว่าตอนหลังนี่กระผม/อาตมภาพซื้อน้ำมันไปให้เขา กระผม/อาตมภาพต้องเดินแบกเข้าไป ๔๐ กว่ากิโลกว่าที่จะถึงรถครับ เอาน้ำมันไป ๒ ถัง ถัง ๒๐ ลิตร ก็คือ ๔๐ กิโลกรัมนั่นแหละ

    เจ้าของรถเขาตัดใจทิ้งแล้วครับ กระผม/อาตมภาพบอกว่าไม่ได้ มากับกระผม/อาตมภาพถ้าทิ้งเสียชื่อหมด "ในเมื่อกูอาศัยรถมึง ถึงเวลามึงจะอาศัยกูบ้าง กูก็ต้องส่งมึงจนถึงที่สุดนั่นแหละ" ค่อย ๆ เข็นไปครับ ช่วงขึ้นเขาก็เอาไม้รองล้อ ขึ้นไปทีละนิ้ว ๆ บางจังหวะรองพลาด ไม้ยันไม่อยู่ ก็ทับมือกระผม/อาตมภาพแบนแต๋ไปเลย เพิ่งจะรู้ว่าเวลาเราเจ็บนั้นคุมร่างกายไม่ได้ครับ ยกมือขึ้นมามันสั่นดิก ๆ ๆ แต่คราวนี้กระผม/อาตมภาพเป็นคนเจ็บแล้วไม่ร้อง คนอื่นก็เลยไม่รู้ว่าเจ็บแค่ไหน ต้องให้ไปโดนเอง..!

    สรุปว่าเข็นรถออกมา ๗๐ กว่ากิโลเมตรครับ แค่ต้น ๆ ทางจากเหมืองพุจือมา ขี้โคลนก็ท่วมหัวแล้วครับ ออกมาถึงบ้านจะแกแค่ไม่กี่กิโลเมตร ก็ปล่อยญาติโยมเขาเดินเข้าบ้านไปหาข้าวกิน กระผม/อาตมภาพนอนเฝ้ารถให้เขา ตื่นเช้าขึ้นมา ขยับตัวนี่..ขี้โคลนร่วงกราวเลยครับ แห้งคาตัวไปเลย พอเราขยับแล้วขี้โคลนก็แตกเป็นแผ่น ๆ

    คุณอย่าคิดนะครับว่ากระผม/อาตมภาพ "ซกมก" ขนาดนั้น ถ้าพวกคุณลองไปเข็นรถทั้งวัน ก็หมดสภาพไม่มีอารมณ์แม้แต่จะอาบน้ำครับ เพราะฉะนั้น...ช่วงหน้าฝนอย่าไปชวนกะเหรี่ยงในทุ่งใหญ่นะ ชวนเขาขึ้นรถ เขาจะตอบว่า "เราไม่ไปด้วยละ เรากำลังรีบ" ลองไปชวนดูบ้างก็ได้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ผมเองเดินเข้าออกทุ่งใหญ่หลายรอบ มีรอบหนึ่งที่ไปก็มีพระครูแสง ตอนนั้นยังไม่ได้บวชไปด้วย ท่านถามว่า "หลวงพี่ทำได้อย่างไร ? ทุ่งใหญ่ ๙๓ กิโลเมตร เดินเช้าเย็นถึง" "มา...! เสียเวลาคุย ไปเดินกันเลย" กระผม/อาตมภาพลากเดินตั้งแต่ตี ๓ บ่าย ๓ โมงก็ถึงแล้วครับ พระครูแสงไปถึง หัวไถพื้นได้ก็นอนเลย ข้าวปลาอาหารอะไรกูไม่เอาทั้งนั้นแหละ นอนอย่างเดียว เพราะว่าช่วงท้าย ๆ ตะคริวกินขาท่าน เดินขาขวิดเป็นเลข ๘ เลย..!

    ตอนแรกผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองสมรรถภาพร่างกายดีมาก ไปรู้ตอนที่เป็นทหาร แล้วทดสอบอะไรก็แทบจะได้ที่ ๑ เกือบทุกอย่าง มีแค่ "ดึงข้อ (โหนบาร์เดี่ยว)" ข้อ สู้เพื่อนไม่ได้ ผมได้ ๑๑ ครั้ง เพื่อนได้ ๑๘ ครั้ง แล้วก็ซิทอัพที่เราเรียกว่าเล่นกล้ามท้องนั่น ๒ นาที ผมได้ ๗๒ ครั้ง เพื่อนได้ ๘๐ ครั้ง ถามว่าทำไมเพื่อนได้เยอะกว่า ? เขาเป็นนักมวยอาชีพครับ ส่วนผมเป็นลูกชาวบ้านธรรมดา สู้เพื่อนไม่ได้ ไม่ต้องถามหา เพื่อนคนนี้ตายไปแล้ว..!

    เพราะฉะนั้น...พอมาดูสมรรถภาพร่างกายตัวเองก็แปลกใจ แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ แก่ ๆ แล้วบางทียกข้าวยกของอะไร กระผม/อาตมภาพยังยกได้หนักกว่าพวกคุณ ต้องบอกว่ากำลังตอนนี้เหลือ ๑ ใน ๑๐ ของสมัยหนุ่ม ๆ เท่านั้นแหละ

    ไม่ต้องสงสัยหรอก สมัยหนุ่ม ๆ มีเรื่องกัน ผมต่อยใครไม่เคยได้ซ้ำเลย มีอยู่รายหนึ่งเขากำลังรุมพระครูแสงอยู่ พอผมวิ่งเข้าไป เขากระโดดมาขวาง ผมทิ่มตูมเดียว ปลิวข้ามราวสะพานตกน้ำไปเลย ราวสะพานนั่นสูงประมาณเอว ผมต้องโดดตามลงไปลากขึ้นมาจากน้ำ เพราะว่าเขาสลบ ไม่อย่างนั้นก็จมน้ำตาย แล้วเขาก็เที่ยวไปคุยกับเพื่อนว่า โดนกระผม/อาตมภาพตีด้วยไม้..! สมัยนั้นถ้าใครโดนผมอัดเข้า ผมมักจะต้องหามไปส่งบ้านด้วย..!

    เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าการปฏิบัติธรรมช่วยได้เยอะมหาศาลเลย เยอะขนาดไหน ? อันดับแรก...สติดีมากเลย เขาจะด่าท้าทายขนาดไหน ไม่โกรธเลย แต่หลังจากที่พวกเขาไป โอ้โห...โกรธจนมือสั่นตีนสั่นเลย คือตอนฉุกเฉินอยู่เฉพาะหน้า กำลังที่เราทำได้ทั้งหมดจะรวมตัว เราจะรู้เลยว่าต้นทุนเรามีเท่าไร สามารถที่จะเจรจากับเขาแบบไม่มีความตื่นเต้นในชีวิตเลย
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    บางทีเขามายี่สิบสามสิบคน กระผม/อาตมภาพมีอยู่แค่สองพี่น้อง แล้วก็พร้อมที่จะลุย ไม่ได้กลัวเลยครับ เวลากำลังใจทรงตัว บางทีแหม...พอไม่ได้ลงไม้ลงมือ เขากลับไปแล้ว มานึกทีหลัง "มันด่ากูนี่หว่า..!" โกรธจนมือสั่นตีนสั่น กรรมฐานพังไปเป็นเดือน รู้อย่างนี้ เตะมันเสียตั้งแต่แรกก็ดีแล้ว..!

    หลังจากนั้นพอฝึกไป ๆ ก็มีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ พัฒนาไปถึงระดับที่กลัวตัวเอง ตอนที่กลัวตัวเองที่สุดก็คือ ตอนที่ไปไล่พวกหาปลาหน้าวัดท่าซุง แล้วพวกนั้นคว้าปืนลูกซองมาขึ้นลำ ผมเดินสวนปากกระบอกปืนเข้าไปอย่างชนิดที่ว่า ถ้าทำอะไรกระผม/อาตมภาพรับประกันว่าเจ้านั่นตายแน่..! ใจเย็น..นิ่งเสียจนเรากลัวตัวเอง ก็คือไม่ได้เห็นเลยว่าอาวุธในมือเขาจะมีคุณค่าอะไรเลย..!

    พอมานานไป ๆ ก็ค่อย ๆ ขัดเกลาตัวเองไป กาย วาจา ใจ มีความก้าวหน้า รัก โลภ โกรธ หลง ก็เบาลง ๆ แล้วท้ายที่สุด จากที่เราแพ้ตลอด เราก็เริ่มชนะบ้าง แล้วก็ชนะมากกว่าแพ้ เป้าหมายสุดท้ายก็คือจะต้องไม่แพ้กิเลสอีก

    เรื่องพวกนี้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา จะดีหรือชั่วก็ตาม ถึงเวลาเราต้องรู้จักเอามาประเมินว่า การปฏิบัติของเรามีความก้าวหน้าแค่ไหน ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดขึ้น แล้วก็เสียเวลาไปนั่งคร่ำครวญอยู่นั่นแหละ กำลังใจพังไปอีกแล้ว น่าเสียดายเหลือเกิน อุตส่าห์ประคองมาตั้งนาน ไม่ต้องไปใส่ใจเลยครับ พังได้พังไป เราก้แค่เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ที่เล่ามาถึงตรงนี้ ก็เพราะว่าไปนึกถึงที่เอารถเข้าซ่อม แล้วก็ไปนึกถึงตอนที่ต้องไปเข็นรถให้ชาวบ้าน ตอนนั้นกำลังใจสู้จริง ๆ ครับ ทำให้เห็นว่าเรื่องของสมาธิช่วยให้เราเข้มแข็งกว่าคนอื่นมาก คนอื่นเขาถอดใจทิ้งกันหมดแล้ว เจ้าของรถยังบอกเลยว่า "เดี๋ยวหน้าแล้งค่อยหารถมาลาก" แต่กระผม/อาตมภาพไม่ยอมหรอก "มึงถือพวงมาลัยไป มึงไม่มีแรงเรื่องของมึง เดี๋ยวกูเข็นให้..!"

    เรื่องของกำลังใจ ถ้าหากว่าเข้มแข็ง เวลาเราสู้กิเลสก็ได้เปรียบ ไม่ท้อง่าย ๆ แพ้ได้แพ้ไป ต้องมีชนะสักครั้งหนึ่ง ตอนแพ้เราไม่พูดถึง แต่ชนะนี่ภูมิใจมาก เกิดปีติขึ้นมา ก็จะสู้เพื่อครั้งต่อไป คะแนนต่อไปใครจะได้ ? กิเลสได้หรือว่าเราได้ ? ก็จะแข่งกันไป วัดกันในลักษณะนี้แหละ

    คราวนี้พวกท่านทั้งหลายต้องรับภาระมากหน่อย เพราะว่าญาติโยมมักจะเห็นพระเป็นที่พึ่ง ถ้าความสามารถไม่พอ จะให้เขาพึ่งก็ลำบากครับ จึงต้องขัดเกลาตัวเองให้มากกว่าชาวบ้านเขาหลายเท่า เมื่อถึงเวลาที่ชาวบ้านเขาต้องการที่พึ่ง อย่างน้อย ๆ ก็เป็นหลักให้เขาได้ พาเขาขึ้นจากน้ำไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ก็เป็นเกาะกลางน้ำให้เขาได้อาศัยพักสักนิดก็ยังดี วันนี้น่าจะเลยเวลามามากแล้ว เอาแต่เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...