เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 2 พฤศจิกายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ ต้องบอกว่าวันนี้เป็น "วันจ่าย" โดยเฉพาะเมื่อสักครู่นี้ก็จ่ายเงินไป ๑,๓๖๘,๐๐๐ บาท เพราะเซ็นสัญญาให้เขามาวางรางรถไฟและติดตั้งหัวรถจักรโบราณ เพื่อทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ของชุมชน

    ทางตัวแทนบริษัทเขาถามว่า "หลวงพ่อมีอะไรเกี่ยวเนื่องกับทางการรถไฟหรือเปล่า ?" เพราะว่าทุกรายที่จ้างให้ทำแบบนี้ ต้องเกี่ยวเนื่องกับการรถไฟแห่งประเทศไทยมาทั้งนั้น บางท่านก็เป็นผู้บริหารระดับสูง บางท่านก็เป็นพนักงานขับรถเองเลย จึงบอกไปว่า "ไม่มีความเกี่ยวเนื่องอะไร ?" ตั้งใจทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของชุมชน เพื่อรักษาประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งทางรถไฟสายมรณะตัดผ่านหน้าวัดท่าขนุน เป็นที่ตั้งของสถานีบ้านท่าขนุน ถัดไปอีกไม่กี่ก้าวก็คือค่ายท่าขนุน ซึ่งมีเชลยศึกที่โดนกวาดต้อนมาสร้างทางรถไฟตายมากที่สุด..!

    ทางตัวแทนบริษัทเขาก็งง ๆ คือไม่เคยเห็นคนทำงานเพื่อส่วนรวม เพราะว่าการทำงานแบบนี้ก็คือ ทางวัดเรามีหน้าที่จ่ายกับจ่าย แต่พอนักท่องเที่ยวมา ไม่ว่าจะที่กิน ที่นอน มัคคุเทศก์ ล้วนแล้วแต่เป็นรายได้ที่ตกกับชาวบ้านทั้งนั้น ตรงจุดนี้ต้องบอกว่าหลายปีที่ทำงานมา สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจไว้ก็คือ ถ้าหากว่าชาวบ้านเขาอยู่ดีกินดี เขาจะมาสนับสนุนวัดเอง

    เราต้องเข้าใจว่า การลงทุนบางอย่างไม่ได้เห็นผลทันตา แต่ต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวนานมาก อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ดำเนินโครงการพระราชดำริ ๔,๐๐๐ กว่าโครงการ บางโครงการไม่ได้เห็นผลในระยะเวลาใกล้ ๆ แต่ใช้เวลาหลายปี อย่างที่เคยยกตัวอย่างก็คือ การสร้างเขื่อนกั้นน้ำบริเวณปากถ้ำหินปูน เป็นต้น

    แต่ถ้าหากว่าจะเอาความเกี่ยวเนื่องก็มีเหมือนกัน ก็คือหลวงปู่สาย อคฺควํโส (พระครูสุวรรณเสลาภรณ์) อดีตเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนรูปที่ ๓ ตามที่เขาลงไว้ในประวัติ เพราะว่าก่อนหน้านั้นมีมามาก แต่ว่าประวัติเริ่มมาปรากฏสมัยหลวงปู่พุก เขาก็เลยยกให้หลวงปู่พุกเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    หลวงปู่สายเป็นข้าราชการกรมรถไฟหลวงมาก่อน เนื่องจากท่านเกิดที่วังดอกไม้ของเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน อธิบดีกรมรถไฟหลวง ทำงานที่กรมรถไฟหลวงจนกระทั่งเงินเดือน ๓๒ บาท ก็ต้องบอกว่าอยู่ในอัตราของผู้บริหารระดับสูงเลย เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่อายุใกล้เคียงกัน ท่านบอกว่าท่านรับราชการเป็นทหารเรือระดับสัญญาบัตร ยศเรือตรี มีเงินเดือน ๑๐ บาท

    เงินเดือน ๑๐ บาท ท่านบอกว่าซื้อชุดราชประแตน หมวก รองเท้าคัตชู แถมไม้เท้าอีก ๑ อัน เงินยังเหลือใช้ได้ชนเดือน เราต้องเข้าใจว่าสมัยก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ เงิน ๑๐ บาทนั้นมีค่ามหาศาล แต่หลวงปู่สายเงินเดือน ๓๒ บาท ต้องบอกว่าถึงไม่ใช่อธิบดีกรมรถไฟก็น่าจะใกล้เคียง ถ้าจะเอาความเกี่ยวเนื่องตรงจุดนี้ก็พอได้อยู่ว่า หลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนของเรา เคยเป็นผู้บริหารกรมรถไฟหลวงระดับสูงมาก่อน


    สมัยนั้นหลวงปู่ท่านเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๘ (ม.๘) ซึ่งปัจจุบันนี้เหลือน้อยมาก ถ้าเพื่อนกันก็คือพระครูสังฆกิจจารักษ์ วัดสิงห์ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ที่ผมเรียกตามความสนิทสนมว่า "พี่กวง" พี่กวงยังเป็นเด็กจบ ม.๘ อยู่ เป็น ม.๘ รุ่นท้าย ๆ ภาษาอังกฤษแน่นเปรี๊ยะ รุ่นนั้นจบ ม.๘ สามารถไปเรียนต่างประเทศได้เลย

    แบบเดียวกับหลวงปู่มหาอำพัน (พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ วิ.) วัดเทพศิรินทราวาส ที่ท่านสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง (King's Scholarship) รุ่นแรก ไปเรียนต่างประเทศก็ด้วยวุฒิ ม.๘ แต่หลวงปู่ท่านแพ้อากาศหนาว ก็เลยเป็นโรคปอดกลับมา เรียนไม่จบ มาตอนหลังพอท่านได้รับพระราชทานเลื่อนจากพระครูปัญญาภรณ์โศภณ ขึ้นเป็นเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ท่านบอกว่าตอนเรียนไม่จบกลับมา เพื่อนฝูงจบกลับมาเป็นคุณหลวงคุณพระกันหมด ก็น้อยใจเหมือนกัน แต่พอมาบวช ตอนนี้ตัวเองเป็นเจ้าคุณ ก็รู้สึกว่า เออ...ชะตาคงจะต้องมาทางด้านนี้แทน เพราะว่าคุณพระอย่างไรก็จะเล็กกว่าเจ้าคุณ..!

    เจ้าคุณ เขาจะเรียกท่านที่อยู่ในระดับพระยาขึ้นไป ถ้าหากว่าระดับพระ เขาก็เรียกคุณพระ ระดับหลวง ก็เรียกคุณหลวง ระดับขุน ก็เรียกท่านขุน ต้องพระยาขึ้นไปถึงเรียกเจ้าคุณ ถ้าเจ้าพระยาเขาเรียกกันว่าเจ้าคุณใหญ่
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ในยุคนั้นภาษาอังกฤษของเรา ต้องบอกว่าสู้ต่างชาติได้สบาย ขนาดที่ฝรั่งยังทึ่งว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชสาส์นภาษาอังกฤษด้วยพระองค์เอง "เขียนได้เหมือนกับฝรั่งเขียน" เท่านั้นยังไม่พอ ถ้าเราศึกษาพระราชประวัติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ไปเรียนต่างประเทศ ก็ด้วยภาษาอังกฤษที่เรียนในประเทศไทยนี่แหละ แล้วทำไมเด็กรุ่นหลังของเราถึงไม่ได้เรื่องอย่างนี้ก็ไม่รู้ ?

    ผมเองเรียนจนจบปริญญาเอกด้วยพื้นฐานภาษาอังกฤษแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ถ้าเปรียบสมัยนี้ก็ชั้น ม.๔ ไม่ถึง ม.๖ ถ้า ม.๖ นี่เท่ากับ ม.๘ สมัยโน้น แสดงว่าภาษาอังกฤษสมัยเก่านี่พื้นฐานแน่นกว่าปัจจุบันมาก เนื่องเพราะว่ารุ่นผมเรียนหลายเล่มมาก เรียนแกรมม่าคือไวยากรณ์ทั่วไป เรียนอ๊อกซ์ฟอร์ด เป็นตำราภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เรียนสแตนดาร์ดเป็นมาตรฐานการศึกษาภาษาอังกฤษของอเมริกันของ แล้วก็เรียนลิฟวิ่ง เป็นการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน

    เด็กชั้น ป.๕ สมัยก่อนเรียน ๔ - ๕ เล่ม ขนาดนี้ แล้วสมัยนี้เรียนอะไรกันผมก็ไม่รู้ ? รู้แต่ว่าไปต่างประเทศ เพื่อนจะต้องเรียกหาอยู่ตลอดเวลา ก็ถามด้วยความสงสัยว่า "ทำไมวะ ? ตอนเรียนก็เห็นรู้เรื่องดีนี่หว่า..!" เพื่อนบอกว่า "รู้เรื่อง..แต่ตอนฟังฝรั่งพูดนั้นฟังไม่ทัน" ในเมื่อฟังไม่ทันก็จะมีปัญหา ก็คือไม่สามารถที่จะโต้ตอบไ
    ด้
    ภาษาอังกฤษของเด็กไทยเรามีจุดอ่อนใหญ่หลวงที่สุดก็คือ ฟังภาษาอังกฤษแล้วแปลเป็นไทย แล้วคิดจะตอบเป็นภาษาไทย จากนั้นค่อยแปลเป็นภาษาอังกฤษ แล้วพูดตอบเป็นภาษาอังกฤษ แบบนี้ไม่ทันรับประทาน สมัยที่ผมเรียนปริญญาเอก ท่านอาจารย์ด็อกเตอร์นิรุธ อำนวยศิลป์ ท่านสอนว่า ทำอย่างไรที่เราจะหลุดปากพูดออกไปเลยโดยไม่ต้องคิด ผิดถูกช่างมัน ท่านสอนให้เราหน้าด้าน..!


    ท่านบอกว่า "ผิดเป็นปัญหาของคนฟัง ไม่ใช่ปัญหาของเรา" ก็เลยทำให้บรรดาหลวงปู่หลวงตาที่เรียนร่วมรุ่นกัน อย่างท่านเจ้าคุณโสภณ (พระสมุทรวชิรโสภณ) วัดเพชรสมุทร ท่านอายุ ๗๐ ปีแล้ว ก็ "Yes, No, Okay" กันสนุกสนาน จนกระทั่งท้ายสุดก็สามารถที่จะสื่อสารได้ เพราะฉะนั้น..ภาษาอังกฤษต้องอาศัยความกล้ามาก ก็คือ "ใจกล้า หน้าด้าน ไม่กลัวผิด" ถ้าสามารถทำอย่างนั้นได้ ก็จะเก่งทุกคน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้มีคำถามมาว่า มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง มีวัตถุมงคลจำนวนหนึ่งที่เป็นของส่วนตัว ได้เล่าให้พระรูปหนึ่งฟังว่า จะเปิดให้บูชาวัตถุมงคลเพื่อนำเงินไปซื้อที่ดินถวายวัดส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งจะได้เอาไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพราะว่ายังมีภาระอยู่

    พระรูปนั้นได้ฟังแล้ว ก็ขอบูชาวัตถุมงคลไปทุกชิ้น แล้วไปประกาศในเฟซบุ๊ก ขอเชิญญาติโยมร่วมทำบุญซื้อที่ดินถวายวัด พอได้ปัจจัยมาก็ไปมอบให้โยมเจ้าของวัตถุมงคล แล้วถ่ายรูปตอนมอบเงิน เพื่อยืนยันในเฟซบุ๊กให้ผู้ทำบุญเห็นว่าได้ทำจริง ๆ แต่ปิดบังเรื่องวัตถุมงคลเอาไว้ คำถามคือ พระรูปนั้นมีโทษอย่างไรบ้างครับ ?

    พวกคุณตัดสินโทษได้ไหม ? คือ ถ้าเจตนาปิดบังเพื่อเอาวัตถุมงคลเป็นของตัวเอง ก็แปลว่า ต้องอาบัติปาราชิก (ขาดความเป็นพระ) ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าวัตถุมงคลอย่างไรก็ราคาเกิน ๑ บาท กรรมนั้นสำเร็จลงแล้ว ถ้าหากว่าไม่ได้มีเจตนาปิดบัง ก็ไม่สมควรที่จะทำเช่นนั้นอยู่ดี เพราะว่าไม่โปร่งใส ถ้าไม่มีเจตนาปิดบัง แล้วทำไมไม่บอกกล่าวให้ชัดเจนว่าเจ้าของเขาให้ทำบุญนี้ แล้วจะได้รับวัตถุมงคลเป็นของตอบแทน ?

    เรื่องพวกนี้ กระผมขอเตือนท่านทั้งหลายนะครับว่า ให้รักความเป็นพระของเราให้มาก เพราะว่าถ้าพลาดเมื่อไร เราจะขาดจากความเป็นพระไม่รู้ตัว อยู่ต่อก็มีโทษมาก สึกหาลาเพศไป ถ้าต้องอาบัติปาราชิกติดตัวไป ทำอะไรก็ไม่เจริญ ผมสังเกตดูมาเยอะแล้ว

    ดังนั้น...เรื่องของเงินต้องโปร่งใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกวันนี้ท่านเห็นว่าผมยอมลำบากทำบัญชีเอง ทั้ง ๆ ที่ปัจจุบันนี้สายตาก็ไม่ค่อยดีแล้ว เพราะผมมั่นใจว่าตัวผมเองว่าไม่โกงแน่นอน สตางค์เดียวก็ไม่เอา ถ้ายอดไม่เต็มผมเติมให้ด้วย แล้วการทำบัญชีโดยคอมพิวเตอร์มีการแก้ไขตัวเลขทุกวันครับ อย่างเช่นเงินสังฆทาน ถ้าเข้ามาแล้วก็ต้องบวกเข้าไป บวกเข้าไป จนกว่าจะสิ้นเดือนค่อยตัดบัญชีครั้งหนึ่ง ถ้าคนอื่นทำนี่ มั่นใจไหมครับว่าจะไม่โกง ?
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ผมขอบอกนะครับว่า ผมรักความเป็นพระของผมมากกว่าเงินทองทั้งโลกนี้ เพราะฉะนั้น..ตรงจุดนี้ที่ผมทำบัญชีเอง เพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่โกง สตางค์เดียวก็ไม่เอา คนอื่นอาจจะมีติดหนี้สงฆ์ แต่ของผมนี่ สงฆ์เป็นหนี้ผมเยอะมากเลยนะครับ เพราะว่าผมใช้เงินส่วนตัวโปะเข้าไปในกองบุญการกุศลที่เกี่ยวเนื่องด้วยสงฆ์เป็นจำนวนมาก เนื่องจากว่าเงินสงฆ์ไม่พอใช้งาน

    ประมาณพรรษาที่ ๒ พระผู้ใหญ่ที่วัดท่าซุงสึกไปหลายรูป ขนาดหลวงตามหาแสวง (พระมหาแสวง ญาณสํวโร ป.ธ.๔) ที่อยู่มาจนอายุ ๗๐ กว่าแล้วก็ยังสึก บรรดาพี่ ๆ หลายท่าน ที่บางท่านพวกเราถึงขนาดคิดว่าท่านจะเป็นองค์แทนหลวงพ่อวัดท่าซุงได้ก็สึก กลางคืนผมนอนกอดจีวร มีความรู้สึกว่า "ใครอย่ามาเอาของกูไปนะ..!" พูดง่าย ๆ ก็คือหวงความเป็นพระของตัวเองมาก

    ใครจะสึกก็สึกไป กูไม่สึก กำลังใจยึดมั่นขนาดนั้นครับ ไอ้กำลังใจที่ยึดมั่นขนาดนั้น ไม่ได้ยึดติดในลักษณะที่ไม่ได้รู้จักปล่อยจักวางนะครับ แต่ยึดอยู่ในลักษณะที่ว่า ความเป็นนักบวชนี้เป็นหนทางที่ง่ายที่สุด ซึ่งจะนำเราไปสู่พระนิพพาน เป็นตายเราก็จะไม่เปลี่ยนไปจากทางสายนี้ เพราะว่าทางสายอื่นมีแต่ยากลำบากกว่าทั้งนั้น โดยเฉพาะเส้นทางของฆราวาส ลำบากสาหัสเลยครับ

    ในชีวิตฆราวาส คุณสร้างบุญสร้างกุศลเป็นแสนครั้ง กว่าจะได้เท่ากับตอนเป็นพระทำสักครั้งหนึ่ง แล้ว รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัวก็หนักหนาสาหัส เพราะว่าไม่มีศีล ๒๒๗ ข้อเป็นเครื่องคุ้มตัว มีอยู่แค่ ๕ ข้อ ซึ่งบางทีก็ไม่ครบด้วย

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ฆราวาสที่จะมีโอกาสเข้าถึงธรรมหรือว่าเข้าถึงพระนิพพานได้จริง ๆ มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย กำลังใจผมจึงยังยึดอยู่ตรงจุดที่ว่า ถ้าอย่างไรเราจะไปพระนิพพาน ก็ต้องไปในเส้นทางของนักบวช ดังนั้น...ตรงจุดนี้ทำให้ผมระมัดระวังทุกอย่างที่จะทำให้พลาดจากความเป็นพระ

    โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเตือนไว้ ๒ เรื่อง "สตรีกับสตางค์" ท่านสอนไว้ว่าอย่าให้มีเงินเหลือข้ามปี ถ้ามีเงินเหลือให้คิดทำโครงการที่ใหญ่กว่าเงินเอาไว้ เมื่อเงินเข้ามา เราจะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นของเราเอง "ถ้าเงินเหลือเมื่อไร ผู้หญิงจะมา" ท่านว่าอย่างนั้น แล้วผมสังเกตดู ก็เป็นจริง เพราะว่ามีผู้หญิงจำนวนหนึ่ง ที่อยู่ในลักษณะที่ว่าตั้งใจมาเพื่อสึกพระโดยเฉพาะ ก็จะเกาะพระที่ต้องบอกว่ามีฐานะ
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ดังนั้น..การที่พระเราทำตัวร่ำรวย ไม่ว่าจะเป็นการมีเงินมีทองใช้เหลือเฟือ ฟุ่มเฟือยก็ดี การใช้รถยนต์รุ่นใหม่ป้ายแดง เปลี่ยนรถบ่อย ๆ ก็ดี การเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือทุกครั้งที่ออกรุ่นใหม่ก็ดี หรือแม้กระทั่งการใช้ของแบรนด์เนมอย่างเพื่อนฝูงหลายท่าน ผมฟันธงเลยว่า "กำลังหาเรื่องใส่ตัว..!" เพราะว่าของพวกนี้จะทำให้ศัตรูร้ายของนักบวช ก็คือสตรี จะมาถึง

    ทุกท่านอาจจะเห็นว่าผมเองขีดเส้นเรื่องผู้หญิงชัดเจนมาก โอกาสเข้าใกล้นี่ไม่มีเลย เรียกง่าย ๆ ว่าแทบจะไม่มีการรับแขกเป็นการส่วนตัวเลย ในเมื่อเราระมัดระวังตัวแบบนี้แล้ว แถมยังไม่มีเงินเหลือข้ามปีด้วย ใครเขาอยากจะสนใจ ?

    จึงได้แต่เตือนท่านทั้งหลายเอาไว้ว่า ถ้ารักที่จะอยู่ต่อในความเป็นนักบวชของเรา ต้องระมัดระวังว่าอย่าให้พลาดไปต้องอาบัติหนัก ไม่ว่าจะเป็นปาราชิกหรือสังฆาทิเสสก็ตาม โดยเฉพาะเรื่องแบบนี้ที่มีคำถามมา ก็คือไม่น่าพลาดเลย ต้องบอกว่าในเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง นั้น จะเป็นสิ่งที่มายั่วยวนเราให้ตบะแตก
    อยู่เสมอ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องระมัดระวังสุดขีด ถ้าหากว่าอยากร่ำอยากรวย อย่าไปเสี่ยงกับการต้องอาบัติปาราชิกเลยครับ สึกออกไปทำมาหากินจะง่ายกว่า

    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวให้ญาติโยมได้ทราบแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...